+++Premium พระเครื่องราคาพิเศษ(ปิดกระทู้ชั่วคราว)

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย dekdelta2, 13 กันยายน 2009.

  1. ปัญจ

    ปัญจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    27,318
    ค่าพลัง:
    +87,993
    จองครับ
     
  2. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 458 เหรียญครูบาคำแสน วัดป่าดอนมูล รุ่นกล้าหาญ

    ออกปี 2518 ให้บูชา 150 บาท
    .............................................................

    อัตชีวประวัติหลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร



    [​IMG]
    หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร เกิดเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๔๓๖ ปีมะเมีย นามเดิม คำแสน เพ็งทัน เป็นบุตรของนายเป็ง นางจันทร์ตา เพ็งทัน บ้านสันโค้งใหม่ ตำบลทราบมูล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ มีพี่น้องรวมกัน ๘ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๗

    ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๗ ปี โดยมีพระอธิการโพธิ (ครูบา) วัดสันโค้ง เป็นพระอุปัชฌาย์ และต่อมาก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดดอนมูลนี้ เมื่อบวชได้ ๓ พรรษา ท่านก็ได้ไปศึกษาต่อกับพระอธิการแก้ว ชัยยะเสโน(ครูบาแก้ว) ที่วัดน้ำจำ ตำบลร้องวัวแดง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้ศึกษาธรรมและเรียนกรรมฐาน

    ก่อนหน้านั้นท่านได้ทราบข่าวจากชาวบ้าน ว่าทางราชการได้จับครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา มากักขังไว้ที่วัดศรีดอนไชย จังหวัดเชียงใหม่ ครูบาคำแสนมีความเคารพและเลื่อมใสในครูบาศรีวิชัยเป็นอย่างยิ่ง ก็รู้สึกเสียใจและอยากไปกราบนมัสการ ได้ชักชวนพระสงฆ์และชาวบ้านให้พากันไปเยี่ยม แต่คนทั้งหลายกลัวจะถูกตำหนิ หรือถูกกลั่นแกล้งจากทางราชการ ในที่สุดก็เดินทางไปกับเณรและลูกศิษย์เพียง ๒ – ๓ คนเท่านั้น

    ท่านได้เดินทางประมาณ ๑๕ – ๑๖ กิโลเมตรกว่าจะถึงวัดศรีดอนไชย เมื่อเข้าไปภายในวิหารนั้น เขาใช้เชือกมนิลาเส้นโต ผูกเสาวิหารไว้เป็นรูปสี่แหลี่ยมเหมือนคอกหมู ภายในคอกสี่เหลี่ยมนั้นมีพระสงฆ์สูงอายุรูปหนึ่งนั่งอยู่ด้วยอาการสงบ ในลักษณะขัดสมาธิ ห่มผ้าสีกรัก กำลังนับลูกประคำอยู่

    ในขณะที่กราบลงไปนั้นก็เกิดความอ่อนไหว จนร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ ด้วยความที่สงสารในครูบาศรีวิชัย ที่ต้องมาถูกจองจำ และจะถูกจับสึกที่กรุงเทพฯ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของครูบาคำแสนในขณะนั้น ทำให้ครูบาศรีวิชัยเอื้อมมือมาตบที่ไหล่พร้อมว่า

    "ท่านเป็นพระจะร้องไห้ไม่ได้ พระเป็นผู้ตัดแล้วซึ่งกิเลส เมื่อเป็นเช่นนั้นต้องระงับอารมณ์ ไม่ให้มีการร้องไห้เด็ดขาด"

    ขณะเดียวกันก็เริ่มสอนให้นั่งขัดสมาธิ เอามือประสานกันวางไว้บนตัก หลับตามพร้อมกับท่องคำว่า นะโม ในใจหลายสิบหลายร้อยจบให้ท่องไปเรื่อย ๆ ครูบาคำแสนก็ปฏิบัติตามคำสั่ง ท่องไปท่องมาไม่นาน อาการสะอึกและน้ำตาก็หายไป ครูบาศรีวิชัยจึงสั่งให้ลืมตาขึ้น แล้วก็ถามว่าเป็นใครมาจากไหน

    ครูบาคำแสนก้มลงกราบแทบเท้า และกล่าวตอบว่ามาจาก อำเภอสันกำแพง ครูบาศรีวิชัยได้เทศน์อบรมเกี่ยวกับขันติ ให้ครูบาคำแสนฟัง พร้อมกับแนะนำสั่งสอนให้ศึกษาวิปัสสนา แล้วครูบาคำแสนก็นมัสการลา จึงนับว่าเป็นบทเรียนบทแรกในชีวิต เกี่ยวกับการศึกษาวิปัสสนา และท่านก็หาทางจะศึกษาในเรื่องนี้ จากทุกแห่งที่มีข่าวว่ามีอาจารย์สอน

    ต่อมาเมื่อท่านได้เรียนกรรมฐานจากครูบาแก้ว ชัยยะเสโนแล้ว ท่านก็ขอลาครูบาแก้ว ออกเดินธุดงค์จาริกไปในที่ต่าง ๆ เมื่อคราวเข้าพรรษา ท่านจึงจะกลับมาอยู่ที่วัดดอนมูล พออายุได้ ๓๔ ปี ๑๓ พรรษา เจ้าอาวาสพระอธิการธรรมเสนาก็มรณภาพลง ทางคณะศรัทธาจึงได้นิมนต์ครูบาคำแสนเป็นเจ้าอาวาสแทนสืบต่อมา

    จนท่านมีอายุได้ ๓๙ ปี ๑๘ พรรษามีพระธุดงค์ชื่อพระอาจารย์แหวน สุจิณฺโณ

    เดินธุดงค์มาพักอาศัยอยู่ที่วัดอู่ทรายคำ ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อทราบว่าดังนั้น ท่านได้ให้โยมคนหนึ่งไปนิมนต์พระอาจารย์แหวน สุจิณฺโณ ให้มาเผยแพร่พระธรรมและอบรมศรัทธาที่วัดดอนมูล

    ต่อมาพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้มาพำนักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง พระอาจารย์แหวนและครูบาคำแสน ก็ได้ไปนมัสการและได้มอบกาย มอบจิตถวายเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่นตั้งแต่บัดนั้นมา

    ต่อมาพระอาจารย์แหวน ท่านได้จาริกไป ๆ มา ๆ ในเมืองเชียงใหม่ และไปจำพรรษาที่วัดป่าห้วยน้ำริน อำเภอแม่แตง ส่วนครูบาคำแสนหลังจากได้เรียนพระกรรมฐานจากพระอาจารย์มั่นแล้ว ท่านก็ออกเดินธุดงค์ไปยังประเทศพม่า ย่างกุ้ง หงสาวดี แล้วเดินย้อนกลับไปสู่ภาคอีสาน ไปอยู่กับท่านอาจารย์สิงห์ที่จังหวัดนครราชสีมา

    จากนั้นจึงได้เดินทางกลับขึ้นไปทางเหนือไปอยู่ถ้ำเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ถ้ำพระ จังหวัดเชียงราย ถ้ำดอกคำพร้าว พระบาทสี่รอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ที่ใดเป็นที่วิเวก เป็นป่าเปลี่ยว ท่านก็ได้พักภาวนาเรื่อยไปไม่หยุดหย่อน ตามโอวาทของพระอาจารย์มั่น ที่ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า “ทำจริง ก็คงจะได้เห็นของจริงเท่านั้น” ท่านเป็นลูกศิษย์ที่อยู่ในมหานิกาย ไม่ต้องญัตติใหม่เป็นธรรมยุติ

    ครูบาคำแสนได้มรณภาพในวันอาทิตย์ ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ เวลา ๑๐.๑๒ น. อายุได้ ๘๖ ปี ๖๘ พรรษา


    <TABLE width=500><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    </TD></TR><TR><TD>



    ขอบคุณที่มาจาก www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=35287
    </TR></TBODY>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2010
  3. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 459 เหรียญหลวงพ่อสด วัดโพธิ์แดงใต้ ปี 2537

    เนื้อกะไหล่ทอง บูชา 150 บาท

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    หลวงปู่สด วัดโพธิ์แตงใต้

    หลวงปู่สด (ธมฺมวโร) วัดโพธิ์แตงใต้ อ.บางไทร จ.อยุธยา

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR>หลวงปู่สด (ธมฺมวโร) วัดโพธิ์แตงใต้ เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ในย่านบางไทร พระเครื่องที่ลือชื่อก็คือ พระชุด "ศาลาล้ม" อันโด่งดัง ... ท่านได้สร้างวัตถุมงคลจำนวนไม่มากนัก ประกอบกับทางวัดไม่มีวัตถุประสงค์ ในการวางบูชาพระตามศูนย์พระเครื่อง จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักอนุรักษ์พระเครื่องเท่าไหร่ แต่สำหรับคนในท้องที่ จะทราบถึงความอัศจรรย์ในพระเครื่องของท่านไม่มากก็น้อย

    </TD>






    </TR></TBODY></TABLE>

    เมื่อราวปีพุทธศักราช 2358 ในสมัยแผ่นดินขององค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีชาวมอญกลุ่มใหญ่เดินทางอพมาจากกรุงหงสาวดี ประเทศพม่าเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในแผ่นดินไทย โดยชาวมอญกลุ่มนี้ได้พากันกระจายไปปักหลักสร้างฐานตามบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ปากเกร็ด ปทุมธานี ราชคราม และบ้านโพธิ์แตง พระนครศรีอยุธยา แต่เดิมนั้น ?บ้านโพธิ์แตง? ชาวบ้านเรียกว่า ?โพธิ์แดง? ซึ่งคำว่าโพธิ์แดงนั้นสันนิษฐานว่าเนื่องมาจากที่ตำบลแห่งนี้มีต้นโพธิ์ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งต้นโพธิ์ในแถบนี้ก็จะมีลักษณะพิเศษกว่าที่อื่นนั่นคือ ใบโพธิ์จะมีสีแดงนวล จนชาวบ้านเรียกกันติดปากว่าโพธิ์แดง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เพี้ยนจากโพธิ์แดงมาเป็น ?โพธิ์แตง? จนถึงปัจจุบัน

    หลวงพ่อสด ธัมฺมวโร มีนามเดิมว่า ?สด? นามสกุล ธรรมประเสริฐ ด.ช.สด มิได้มีนิสัยซุกซนหรือชอบวิ่งเล่นแบบเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน แต่กลับเป็นเด็กเรียบร้อยและชอบติดตามพวกญาติพี่น้องที่เป็นผู้ใหญ่ไปช่วยงานทางวัดอยู่เป็นประจำ ซึ่งจากการที่ได้มีโอกาสเข้ามาในวัดบ่อยๆ อาจจะเป็นหนึ่งที่ทำให้ ด.ช.สด เกิดความรู้สึกพึงพอใจในเพศบรรพชิตที่ดูสงบ ร่มเย็น ด.ช.สดจึงไดขออนุญาตจากบิดา มารดาเพื่อบวชเป็นสามเณรเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และเรียนหนังสือไปด้วย ทั้งบิดา มารดาดีใจพี่ลูกชายคนเดียวของครอบครัวใฝ่ใส่ในการศึกษาจึงอนุญาตให้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์สมความตั้งใจ แต่ท่านก็บวชได้ไม่นานโยมบิดา มารดาได้มาขอร้องให้ท่านลาสิกขาจากสามเณร เพื่อกลับไปช่วยทางบ้านในการทำสวน ทำนา ซึ่งเป็นอาชีพหลักของครอบครัว



    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR>จนกระทั่งปี พ.ศ. 2460 มีญาติผู้ใหญ่ของท่านคนหนึ่งได้ถึงแก่กรรมลง ซึ่งตามธรรมเนียมไทยที่มีมาแต่โบราณ เมื่อมีการเสียชีวิตของญาติผู้ใหญ่ก็จะให้บุตรหลานบวชเป็นสามเณร หรือที่นิยมเรียกกันว่า บวชหน้าไฟเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับ และท่านก็ได้เสนอตัวในการบวชสามเณรหน้าไฟในครั้งนี้ และการบวชสามเณรในครั้งนี้ของท่านกลายเป็นจุดเปลี่ยนแปลงชีวิตของท่าน เพราะเมื่อเสร็จสิ้นงานศพแล้วท่านได้ขออนุญาติโยมบิดา มารดาเพื่อขออยู่ในผ้าเหลืองต่อไปอีก ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 ท่านมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ท่านก็ได้ทำการบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถ วัดโพธิ์แตงใต้โดยมีท่านเจ้าคุณพระอริยทัชชะมุนี แห่งวัดสำแล จ.ปทุมธานี ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีเป็นพระอุปฌาย์ ได้รับฉายา ?ธมฺมวโร? สังกัดรามัญนิกาย

    </TD>






    </TR></TBODY></TABLE>

    ต่อมาในปีพ.ศ. 2489 ภายหลังวัดโพธิ์แตงใต้ ได้ขอโอนย้ายการปกครองมาอยู่ในคณะธรรมยุติ ท่านจึงได้เดินทางไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร และได้ทำการอุปสมบทใหม่อีกครั้งโดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศวิหารเป็นองค์พระอุปฌาย์ และให้ใช้ฉายาเดิมว่า ?ธมฺมวโร? เมื่อได้ทำการอุปสมบทแล้วท่านก็อยู่จำพรรษาและศึกษาพระบาลีอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ท่านจำพรรษาเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปีพุทธศักราช 2507 วัดโพธิ์แตงใต้ก็สิ้นบุญเจ้าอาวาส และขาดเจ้าอาวาสที่จะคอยดูแลเสนาสนะต่างๆ ชาวบ้านจึงได้พร้อมใจกันเดินทางไปนิมนต์ท่านให้กลับไปปกครองวัดโพธิ์แตงใต้ ซึ่งท่านเองก็มิได้ขัดข้องซึ่งก่อนหน้าที่ท่านจะเดินทางกลับมารับตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปฌาย์ (วิสามัญ) ที่พระครูเอนกสารคุณ เมื่อท่านมาปกครองดูแลวัดโพธิ์แตงใต้แล้ว ท่านก็ได้เริ่มบูรณะและปฏิสังขรณ์เสนาสนะในส่วนที่ชำรุดทรุดโทรม จนล่วงมาถึง พุทธศักราช 2514 ท่านก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูอเนกสารคุณ ชาวบ้านจึงได้ประชุมหารือและได้จัดงานเฉลิมฉลองวาระอันเป็นมงคลนี้ในปีถัดไป คือในปี พ.ศ. 2515 เพราะว่าท่านมีอายุครบ 72 ปีหรือ 6 รอบพอดี


    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR>ในการจัดงานเฉลิมฉลองสมณศักดิ์ และการทำบุญอายุครบ 72 ปีของท่านในครั้งนี้ ทางคณะกรรมการการจัดงานได้จัดสร้างวัตถุมงคลเพื่อให้ท่านนำไปแจกแก่ญาติโยมและศิษยานุศิษย์ และผู้มีจิตศรัทธาที่มาร่วมงานในครั้งนี้ โดยจัดทำเป็นเหรียญโลหะทองแดง ซึ่งท่านได้นั่งปลุกเสกเดี่ยวด้วยตัวท่านเอง ซึ่งต่อมาเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อท่านก็ได้สร้างปาฏิหาริย์ให้กับผู้ที่นำไปบูชาติดตัวในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องเมตตามหานิยม แคล้วคลาดจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว และก็ยังมีวัตถุมงคลของหลวงปู่อีกหลายรุ่นที่แสดงถึงปาฏิหาริย์ ให้หลายต่อหลายท่านประจักษ์มาแล้ว


    </TD>






    </TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR>และด้วยวัยของหลวงปู่ที่สูงอายุมากขึ้น แต่ท่านก็ยังให้การต้อนรับญาติโยมที่เดินทางมาหาอย่างเป็นกันเอง แม้ว่าท่านจะได้รับการทัดทานจากบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ต้องการจัดเวลาเข้าพบ เพื่อให้ท่านมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น และแล้วข่าวเศร้าที่ทำให้ประชาชนรู้สึกช๊อคไปทั้งประเทศ เมื่อมีข่าวว่าหลวงปู่ล้มป่วยด้วยโรคชรา และมรณภาพลงอย่างสงบยังความเศร้าเสียใจมายังศิษยานุศิษย์และประชาชนทั่วไปอย่างยิ่ง ซึ่งหลังจากที่ท่านละสังขารไปแล้วคณะกรรมการวัดได้นำสังขารของท่านบรรจุไว้ในโลงแก้ว เก็บไว้บนศาลาการเปรียญเพื่อให้ประชาชนผู้เคารพ ศรัทธาในวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ได้กราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลมาตราบจนถึงทุกวันนี้


    โดย สมปอง โนรีย์


    </TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0044.jpg
      scan0044.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.9 KB
      เปิดดู:
      112
    • scan0045.jpg
      scan0045.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.9 KB
      เปิดดู:
      114
  4. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 460 เหรียญหลวงปู่ครูบาพรหมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า ปี 2520

    ให้บูชา 290 บาท ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงปู่ครูบสาชัยวงศ์ หลวงพ่อฤาษียังยกย่องว่ามีจิตไวประดุจสายฟ้าเลยทีเดียว

    <CENTER>เกร็ดประวัติพระสุพรหมยานเถร
    (ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก หลวงพ่อ พระพุทธบาทตากผ้า)
    วัดพระพุทธบาทตากผ้า
    อ.ป่าซาง จ.ลำพูน

    </CENTER>ข้อมูลมาจาก http://www.konmeungbua.com/book_internet/por_takpa/por_takpa.html
    หลวงปู่รู้ได้อย่างไร

    การที่ผู้เขียน (คุณดำรงค์ ภู่ระย้า) ได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการ หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร นักบุญแห่งลานนาไทยองค์ที่สองอยู่เสมอ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา ก็ได้มองเห็นปฏิปทา ข้อวัตรปฏิบัติของท่านแล้ว ไม่ว่าในที่แจ้ง หรือท่านจะอยู่เพียงลำพังในกุฏิ ท่านจะกระทำสมณกิจตามอัตภาพแห่งตน อย่างสม่ำเสมอ ดังมีเรื่องจะได้นำมาบอกเล่า ให้ท่านผู้อ่านพิจารณา สักเรื่องหนึ่ง....
    "ท่านอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ และผู้เขียน เดินทางไปเก็บหนังสือ - เยี่ยมลูกค้า ตอนเย็นประมาณ 4 โมง ก็ได้เข้ากราบนมัสการท่าน แต่ก่อนจะมาถึงตลาดป่าซาง ก็พอดีในช่วงนั้น ทางการกำลังสร้างทาง และได้เทลูกรังไว้ ฝนตกมาก ถนนลื่น ทำให้รถไถลลงไปข้างทาง ล้อจมทั้ง 4 ข้าง ต้องเดินกรำฝนไปตามรถมาช่วยลาก เป็นชั่วโมงกว่าจะขึ้นมาจากหล่มโคลนสำเร็จ ครั้นเมื่อไปถึงวัด ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน จากนั้นจึงเข้านมัสการหลวงปู่ท่าน
    ขณะที่ขึ้นไปบนกุฏิ หลวงปู่กำลังนั่งสมาธิอยู่....จึงนั่งรอท่าน พอท่านออกจากสมาธิ ท่านก็หันมามอง ท่านได้เอ่ยทัก ด้วยคำพูดที่น่าอัศจรรย์ว่า....
    "ฝนตกมากนะ....ถนนลื่นรถก็ไถลลงไปแช่น้ำครึ่งคัน เสียเงินค่าลากจูงอีก 300 บาท ก็เอาละ วันนี้นอนค้างเสียที่กุฏินี้แหละ จะได้นั่งภาวนาด้วยกัน"
    ผู้เขียนได้ยินท่านพูดเช่นนั้น เกิดปีติเป็นอย่างมาก และเชื่อในความรู้เห็นอันแจ่มใสของท่านด้วยอำนาจแห่งสมาธิธรรม ก็สิ่งเหล่านี้แหละ นักปฏิบัติผู้สนใจ หลงใหลที่จะได้กันนัก คืนนั้น หลวงปู่ได้สอนวิธีปฏิบัติธรรม การพิจารณาธรรมอันมีทุกข์ - สุข เป็นต้น จนบังเกิดความสว่างทางจิตใจเป็นอันมาก
    เรื่องนี้ มิใช่ว่าจะนำมากล่าวหรือยกย่องในคุณวิเศษของครูบาอาจารย์ แต่เป็นการเทิดทูน ธรรมความดีจริง ของพระพุทธเจ้า แม้ผู้ใดปฏิบัติทางจิต เข้าสู่ความสงบแล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมจะได้พบ กับความอัศจรรย์ทางจิตใจได้ทุกเมื่อ แม้พระพุทธศาสนาของเราจะล่วงเวลามานาน กว่า 2527 ปีแล้วก็ตาม สัจธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ยังมีอยู่ ภายในจิตของผู้ปฏิบัติไม่ลบเลือน นี่แหละ ท่านจึงสอนว่า "ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมรู้เองเห็นเอง"
    อุเบกขาธรรม

    ความยึดมั่นว่า เป็นของตัวกู ของกู ถ้ามีอยู่ในบุคคลใด บุคคลนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์องค์เณร หรือจะเป็นฆราวาส ก็ล้วนแต่จะเกิดทุกข์ สำหรับ หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร แห่งวัดพระพุทธบาทตากผ้า จังหวัดลำพูนนั้น มีศิษย์หลายรูป (บวชพระอยู่กับท่าน) ได้กรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า....
    "คงจะมีพระภิกษุ หรือสามเณรรูปใดรูปหนึ่งเป็นแน่ ที่ตนเองเข้าใจว่า ทำแต่ความดี แล้วอาจไม่ชอบใจ พระภิกษุสามเณรด้วยกัน วางตัวเป็นผู้ว่ายาก สอนยาก แต่ด้วยความเมตตาปรานีชนิดดุว่าใครไม่เป็น จึงทำให้พระหรือสามเณรที่ตั้งใจทำกิจการงานด้วยดี น้อยอกน้อยใจ จึงได้เขียนแผ่นป้ายไปติดไว้ข้างกุฏิหลวงปู่ มีใจความว่า " ความเมตตาเกินประมาณ ทำให้อันธพาลเต็มวัด" เมื่อหลวงปู่พระสุพรหมยานเถร ท่านได้อ่านข้อความแล้ว ท่านก็อมยิ้มไม่พูดว่ากระไร นิ่งเฉยไม่ถามเลยว่า ใครเป็นผู้เขียน ก็ได้ผลมาก การกระทำของท่าน คือ ทำให้พระเณรในวัดมีความอดทน อดกลั้น มีความสามัคคี จิตใจก็ดีขึ้น มองเห็นความจริงของจิตใจมนุษย์ว่า จะให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ดีงามเหมือนใจตนน่ะไม่ได้ ห้ามรถห้ามเรือน่ะมันได้ จะมาห้ามจิตและความเป็นอนุสัยแต่เก่าก่อนนั้น เห็นจะยากเต็มทน
    อภัยให้ในความไม่รู้

    วัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง เป็นวัดที่สงบร่มรื่น เป็นวัดที่มีความสะดวกสบายอยู่ไม่น้อย จึงทำให้ปีหนึ่ง ๆ จะมีพระภิกษุ สามเณรมากมาย ได้มาบวชเรียนศึกษาหาความจริงในธรรมะ แต่เมื่อหมู่มากเข้ามาปะปนกัน ผู้เป็นหัวหน้าคอยดูแล ก็ต้องเป็นผู้มีความรู้ความหนักแน่นพอสมควรเลยทีเดียว เรื่องราวที่ต้องเล่าให้ผู้อ่านฟังก็เป็นสาเหตุมาจากสามเณรตัวน้อย ๆ ซึ่งนิสัยของสามเณร ก็ได้พกนิสัยเด็กมาจากบ้านนั่นเอง ความไม่รู้ของสามเณรก็น่าฝึกน่าสนใจอยู่ไม่น้อย วันนั้นสามเณรน้อยเดินไปตามบริเวณวัดที่โล่งเตียน แต่ในมือของสามเณรน้อย มีกระดาษแผ่นใหญ่ ฉีกแล้วโปรยไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็เป็นความสนุกของเด็ก ๆ นั่นเอง
    หลวงปู่พระสุพรหมยานเถรมองเห็น ท่านก็เดินเก็บเศษกระดาษที่สามเณรน้อยฉีกทิ้งทีละชิ้น ๆ ฝ่ายสามเณรน้อย ก็ฉีกโปรย ๆ ไม่ได้คิดหันไปมองข้างหลังว่า มีใครเดินตามเก็บเศษกระดาษนั้น จนที่สุด กระดาษก็หมด จึงหันมามองข้างหลัง ก็ได้พบกับหลวงปู่พระสุพรหมยานเถร ท่านกำกระดาษไว้ในมือ ยืนยิ้มกับสามเณรน้อยรูปนั้น นับได้ว่าหลวงปู่ท่านสามารถแยกแยะผิด - ถูก ชั่ว - ดี สำหรับสามเณรรูปนี้เป็นเด็กนั่นเอง ย่อมมีนิสัยซุกซนไปตามประสา จะดุด่าว่ากล่าวก็ไม่สมควร เท่าที่สามารถอดข้าวมื้อเย็นได้ รู้จักหน้าที่สวดมนต์ไหว้พระ รู้จักระเบียบบ้างในบางกรณี ก็นับว่าเป็นการฝึกที่ได้ผลอยู่ไม่น้อย
    ช่างเขาเถอะ...เขาเอาไปบูชา

    ในพ.ศ.2524 เป็นปีที่พวกมารพระพุทธศาสนาลุกฮือขึ้นมาทำลายล้างแทบทุกรูปแบบ ซึ่งในปีดังกล่าว แม้ท่านผู้อ่านย้อนนึกถอยหลังไป ก็คงจะจำได้ดีว่า ในปีนั้น มารพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาหลายรูปแบบ เช่น...เอาวิญญาณร้ายมาอ้างว่า เป็นพระภิกษุรูปนั้นองค์นี้มาเข้าทรง เอาพระเกียรติของพระมหากษัตริย์หลายพระองค์มาทรงเจ้าเข้าผีหมด นอกนี้แล้วยังมีพวกมารพระพุทธศาสนาออกไปอาละวาด ขโมยพระพุทธรูป.....ตัดเศียรพระพุทธรูประบาดไปทั่วประเทศทุกภาคของประเทศไทย เป็นปีที่พระผอม แต่ผีปีศาจอ้วนพี มีเอกลาภมากมาย ปีนั้นพระพุทธรูปในพระวิหารวัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ก็ถูกมารพระศาสนาลักขโมยเอาไป
    วันรุ่งขึ้นโยมวัดได้ทราบเหตุการณ์ จึงได้นำเรื่องนี้เข้ากราบเรียนให้หลวงปู่พระสุพรหมยานเถรทราบ เมื่อสิ้นคำบอกเล่าของโยมวัด หลวงปู่ก็มีความปกติ มิได้แสดงอาการอันใดออกมา เฉยนิ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า "อย่าไปตกใจอะไรเลย ดีแล้ว เขาเอาไปกราบไหว้บูชา ช่างเขาเถิดนะ..." ท่านพูดจบก็ยิ้มปลอบใจโยมวัดคนนั้น คล้ายกับจะพูดว่า "ช่างเถิด อะไรจะเกิดขึ้นก็ย่อมเกิด กฎของความไม่เที่ยงความทุกข์ และความไม่แน่นอนจะปรากฏอยู่เสมอ ๆ ทุกเวลานาที พระนิพพาน เท่านั้นเที่ยงแท้ในโลก" ผู้เขียน นี่ถ้าหลวงปู่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ ก็คงจะทำให้เป็นทุกข์มาก เมื่อพระพุทธรูปหายไป
    พุทธปาฏิหาริย์

    เมื่อหลายสิบปีก่อนโน้น วัดพระพุทธบาทตากผ้ายังเป็นวัดป่าที่จะหาความจำเริญหูจำเริญตาไม่ค่อยจะได้ ยิ่งเป็นที่วัดหนองเจดีย์ สมัยนั้นก็เป็นวัดรกร้างหาใครเข้าไปอยู่ได้ยาก กลัวงู กลัวเสือ กลัวผีไปทุก ๆ ชนิด ที่วัดหนองเจดีย์ มีพระเจดีย์ร้างอยู่องค์หนึ่ง พระเจดีย์องค์นี้อยู่ในลักษณะทรุดโทรมหักพัง กองอิฐถูกผู้โลภหวังจะหาทรัพย์สมบัติโบราณทำลายขุดจนดูไม่ออกว่า พระเจดีย์นี้มีรูปลักษณ์แบบใดกันแน่ ต่อมาเมื่อ หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร หรือ ท่านครูบาพรหมา ได้ผ่านไปทางพระเจดีย์ร้างนี้ ก็กำหนดรู้ด้วยวาระจิตว่า ใต้ฐานเจดีย์ทิศตะวันออกมีพระพุทธรูปสำคัญอยู่องค์หนึ่ง ทั้งยังมีพระบรมธาตุอันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ดังนั้น หลวงปู่จึงได้ให้ญาติโยมวัดผู้อุปัฏฐากไปขุดค้นตรงบริเวณดังกล่าว ก็ได้พบกับพระแก้วมรกตองค์หนึ่งงดงามมาก พร้อมกับพระบรมธาตุในผอบอีก 111 องค์
    หลวงปู่พระสุพรหมยานเถรได้อัญเชิญมาวางในที่อันควร จากนั้นได้ทำการสรงน้ำ (คือล้างดินทรายออกจากองค์พระแก้วมรกต) ก็ปรากฏเป็นแสงสว่างเขียวงามตาไปทั่วบริเวณ ส่วนพระบรมธาตุ 111 องค์ หลวงปู่ได้ทำการอัญเชิญสรงน้ำด้วยเครื่องหอม น้ำอบ และแก่นจันทน์ พอตกกลางคืน ก็ปรากฏว่ามีแสงสีสว่างจ้าทุกคืน
    อัญเชิญประดิษฐานไว้สักการะ

    ความอัศจรรย์กับพระบรมธาตุศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน ผู้เขียนได้กราบเรียนถามศิษย์ใกล้ชิดของท่านคือ....ครูบาเขื่อนคำ อัตตสันโต เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ก็ได้รับคำยืนยันว่า.....
    เป็นความจริงนะโยม ครูบาพรหมาท่านเก็บรักษาบูชาของทั้งสองอย่างอยู่ไม่นานนัก เพราะท่านกำหนดรู้ถึงความไม่ปลอดภัยของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างนี้ ดังนั้น ท่านครูบาพรหมาจึงได้นำอัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบรมธาตุทั้ง 111 องค์ ตรงไปยังวัดป่าเหียง เพื่อทำการอัญเชิญบรรจุในพระเจดีย์ พอไปถึงวัดป่าเหียง ท่านครูบาพรหมาต้องผิดหวัง เพราะว่าท่านเจ้าอาวาสท่านปฏิเสธที่จะรับของอันมีค่านี้ไว้
    ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าเหียงก็ได้แนะนำให้ท่านครูบาพรหมาอัญเชิญไปบรรจุ ณ วัดหนองเงือกทันที เพราะขณะนั้นวัดหนองเงือกกำลังก่อสร้างพระเจดีย์ เมื่อครูบาพรหมารีบนำพระแก้วมรกต และพระบรมธาตุไปที่วัดหนองเงือก ท่านเจ้าอาวาสวัดหนองเงือก ก็รับเอาไว้ด้วยปีติยินดี
    แล้วได้ทำการอัญเชิญประดิษฐานลง ณ พระเจดีย์ดังกล่าว เพื่อเป็นที่สักการบูชาของคณะศรัทธาญาติโยมต่อไป
    เหตุที่เร่งด่วน

    ความเป็นผู้มีญาณรู้ของท่านครูบาพรหมานั้น นับเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก อาตมาเคยได้ประจักษ์มาแล้ว โยมคงสงสัยว่า ทำไมหนอท่านครูบาพรหมา จึงนำสิ่งอันล้ำค่านั้น รีบร้อนไปบรรจุไว้ แรก ๆ อาตมาก็สงสัยเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ประจักษ์ด้วยเหตุผลของท่าน.....
    ท่านครูบาเขื่อนคำ อัตตสันโต ท่านได้กรุณาเล่าต่อไปว่า
    ภายหลังจากท่านครูบาพรหมา อัญเชิญพระพุทธรูปแก้วมรกต และพระบรมธาตุ ไปบรรจุ ณ พระเจดีย์วัดหนองเงือกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ต่อมาเพียงสามวัน เรื่องการพบของอันมีค่าของครูบา ได้ยินเข้าหูของเจ้าหลวง ผู้ครองนครเมืองลำพูนว่า
    "พระครูบาฯ ได้พบพระแก้วมรกต"
    จึงได้สั่งให้คนรับใช้เดินทางมาบอกเจ้าอาวาสวัดหนองเงือก
    "จงนำพระแก้วมรกต ที่ได้จากวัดหนองเจดีย์ ไปให้เจ้าหลวงลำพูนชมเป็นการด่วน"
    (สมัยนั้นเจ้าหลวงเป็นใหญ่ มีอำนาจมาก)
    ครั้นพอรุ่งเช้า ท่านเจ้าอาวาสวัดหนองเงือกพร้อมด้วยเด็กวัด ได้ออกเดินทางโดยเท้าเปล่า ไปพบเจ้าผู้ครองเมืองลำพูน ก็น่าสงสารท่านเจ้าอาวาสรถรามีที่ไหน เดินตัวปลิวไปถึงในเมือง ระยะทางจากบ้านหนองเงือก ถึงอำเภอป่าซาง ก็ประมาณ 15 กม. เมื่อมาถึงจวนเจ้าเมือง ก่อนจะเข้าคุ้มหลวง ก็ต้องหยุดพักเหนื่อยนุ่งห่มให้เรียบร้อย แล้วเดินเข้าคุ้มหลวงไปถึงบนบ้าน ท่านเจ้าหลวง ก็ออกมาต้อนรับทันที พร้อมนมัสการเอ่ยปากถามว่า
    "ท่านครูบาได้พระแก้วมรกตจริงไหม"
    ท่านเจ้าอาวาสวัดหนองเงือก ก็ตอบว่า
    "เจริญพร เป็นความจริงแต่เวลานี้ได้อัญเชิญบรรจุในพระธาตุเจดีย์เสียแล้ว"
    เจ้าหลวงก็พูดว่า
    "ถ้าไม่เอาบรรจุก็จะขอมาดูชม เมื่อเอาบรรจุแล้ว ก็ไม่เป็นไร เรื่องของเรื่องที่ให้มาพบก็มีเท่านี้"
    เสร็จแล้ว ท่านเจ้าอาวาสวัดหนองเงือก ก็เจริญพรลากลับในตอนเย็นวันนั้นเอง ในความคิดของอาตมา ก็คิดว่าท่านครูบาพรหมาท่านรีบร้อนอัญเชิญไปบรรจุก็ด้วยสาเหตุ ที่ท่านรู้ความจริงในข้อนี้ จากอำนาจจิต อนาคตังสญาณ คือ รู้ว่าอนาคตจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ดังนั้น ครูบาพรหมาจึงพยายามมองหาสถานที่อันมั่นคง เก็บรักษาองค์พระแก้วมรกตและพระบรมธาตุ มิให้ตกไปเป็นสมบัติของผู้ใดใครคนหนึ่ง ท่านประสงค์ที่จะให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประชาชน โดยส่วนรวม
    พระครูขี้เหนียว

    ท่านผู้อ่านที่เคารพ ท่านทั้งหลายคงจะเคยได้อ่านประวัติอันดีงาม มีความเสียสละอย่างใหญ่หลวงของ ท่านพระครูขี้หอม ผู้บูรณะพระธาตุพนมมาแล้ว คราวนี้ลองมาอ่านปฏิปทาของ ท่านพระครูขี้เหนียว ดูบ้าง
    ซึ่ง หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร ได้เล่าให้ ครูบาเขื่อนคำ อัตตสันโต ฟัง แล้วได้ขยายมาสู่ผู้เขียน...ผู้อ่านโดยลำดับดังนี้
    "อาตมาได้รับฟังมาจากท่านครูบาพรหมา หลวงปู่ของเรา ได้เล่าว่า มีท่านพระครูรูปหนึ่ง ท่านก็อยู่ที่วัดในตัวเมือง ท่านพระครูรูปนี้ ท่านตระหนี่ถี่เหนียวมาก เป็นที่เล่าลือว่า ถ้าใครไปขอสิ่งของอะไรก็ตามจากท่าน แม้ผู้นั้นได้ของของท่านมาก็นับว่า ยอดเยี่ยมที่สุด ครูบาพรหมาของเรา รู้ข่าวก็อยากจะไปพิสูจน์ว่า "ดูซิว่าคนขี้เหนียวน่ะมันเป็นอย่างไร มีหน้าตายังไงกันหนอ" ท่านครูบาคิดอย่างนั้นแล้ว ก็สู้อุตส่าห์เดินทางไปยังวัดของท่านพระครูรูปนั้นทันที เมื่อเดินขึ้นไปบนกุฏิ ก็พบท่านพระครูขี้เหนียวท่านอยู่พอดี จึงเข้ากราบไหว้ตามธรรมเนียมพร้อมกับพูดขึ้นว่า.....
    "วันนี้ขอเมตตาถุงย่ามกับท่านพระครูสักใบ"
    ท่านพระครูได้ยินดังนั้น ก็ส่งเสียงดังใส่ครูบาพรหมาว่า....
    "แม้แต่ถุงย่ามก็ไม่มีหรือ ?" ท่านพระครูพูดแล้วมองหน้า
    ทันใดนั้น ท่านก็เดินเข้าห้องไป ขากลับมาในมือก็ถือถุงย่ามเก่ายื่นให้ 1 ใบ พร้อมกับในย่ามก็มีแปรงสีฟันและยาสีฟัน 1 หลอด เมื่อท่านครูบาพรหมารับเอาไว้แล้ว ก็ได้แสดงความขอบคุณพร้อมกับลากลับ"
    นี่เป็นการแสดงให้เห็นได้ว่า ท่านหลวงปู่พระสุพรหมยานเถรสามารถเอาชนะคนขี้เหนียวตระหนี่ให้กลายเป็นคนเสียสละ รู้จักการให้ทานได้ อย่างเช่น ท่านพระครูขี้เหนียวรูปนี้ เป็นต้น
    คนชอบขอ

    ผู้ขออาจเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งก็ว่าได้ เพราะเขาจะขอทุกอย่าง ไม่ว่าครูบาอาจารย์จะทำอะไรอยู่ ถืออะไรอยู่ จับอะไรอยู่ หรือจะห่มอะไรอยู่ ผู้มีนิสัยขี้ขอ ก็ขอทุกอย่างทุกชนิดไป ไม่เคยคิดพิจารณาว่า ควรหรือไม่ควร ดังสมัยหนึ่ง ครูบาเขื่อนคำ อัตตสันโต ท่านได้เล่าให้ฟังว่า
    "มีพระทางภาคกลาง มีวัดอยู่ในกรุงเทพฯ มาถึงวัดพระพุทธบาทตากผ้า ก็ได้พยายามเมียงมองอยู่เป็นเวลาพอสมควร พอผู้คนเริ่มน้อยลง พระภิกษุรูปนั้น ก็ปราดเข้ามากราบท่านครูบา พร้อมกับพูดว่า
    "กระผมมาจากกรุงเทพฯ ตั้งใจจะมาขอสิ่งที่ครูบามีอยู่ คือ จีวรที่ครูบาห่ออยู่นี้สักผืนหนึ่งขอรับ"
    พอพูดจบคำว่า " ขอ....รับ" แล้ว ท่านครูบาพรหมาก็ได้ถามขึ้นว่า
    "จะเอาไปทำไม ?"
    พระภิกษุรูปนั้นก็พูดว่า
    "จะนำไปตัดเป็นชิ้น ๆ เพื่อทำเป็นวัตถุมงคล"
    ความจริงเรื่องอย่างนี้ ครูบาถูกขอมาแล้วจำนวนไม่น้อย บ้างก็เอาไปทำประโยชน์จริง ๆ แต่บางรายเอาไปทำประโยชน์ใส่ย่าม ใส่กระเป๋าก็ไม่น้อยเหมือนกัน.....
    แต่ด้วยจิตใจเมตตาของท่าน ครูบาท่านไม่เคยขัดใครในเรื่องเช่นนี้ ท่านเมตตาสงเคราะห์ด้วยจิตใจยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะ ทาน ศีล ภาวนา เป็นแนวทางธรรมที่ท่านครูบาพรหมา พรหมจักโก ได้ตั้งใจดำเนินจิตใจมาอย่างมั่นคงจนวันสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน
    ล่วงรู้เหตุการณ์

    สำหรับความอัศจรรย์ที่เกิดกับจิตใจของผู้ประสบเหตุการณ์ได้นำมาเล่าเป็นที่น่าสนใจมาก หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร แห่งวัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ท่านมีจิตสัมผัสรู้ด้วยปัจจุปปันนังสญาณ คือ กำหนดรู้ถึงเหตุปัจจุบันจนเป็นที่ยอมรับของพระภิกษุสามเณรเลยทีเดียว ดังมีเรื่องเล่าสู่กันฟังดังนี้
    หลวงปู่พระสุพรหมยานเถรหรือหลวงพ่อวัดพระพุทธบาทตากผ้า จังหวัดลำพูน ท่านสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์มาก โดยเฉพาะภายในวัดพระพุทธบาทตากผ้านั้น พระภิกษุรูปใด จะทำอะไรที่ไหน มีความคิดอย่างไร จะทำอะไร ถูกหรือผิดพระวินัยแค่ไหน หลวงปู่จะล่วงรู้ได้จนหมดสิ้น จากนั้น ท่านจะให้พระเณรไปตามตัวมา เมื่อมานั่งตรงหน้าแล้ว หลวงปู่จะเอ่ยปากทักท้วงขึ้นทันที ตรงใจ และความคิดของพระรูปนั้น ๆ เลยทีเดียว
    ความที่ครูบาพรหมา สามารถรู้เห็นเหมือนกับได้ไปเห็นมากับตาของท่านเองนี้ เป็นที่ยำเกรง และไม่มีพระเณรรูปใดกล้าทำความผิด ตรงกันข้ามพระเณรจะเคร่งครัด มีระเบียบวินัยมาก
    หิวเหลือเกิน

    ครั้งหนึ่งอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ ได้ไปบวชอยู่ ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า เมื่อบวชแล้วหลวงปู่ได้จัดที่อยู่จำพรรษาให้ท้ายวัด จะมีกุฏิหลังหนึ่ง มีที่นั่งสมาธิภาวนา มีที่เดินจงกรม โดยไม่ให้เข้าหมู่ ให้บำเพ็ญภาวนาโดยตลอด สองวันล่วงไป ที่พระบวชใหม่ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ก็เห็นทีสุดจะทน เกิดความหิวขึ้นมา สิ่งแรกที่นึกคิดเวลานั้น
    "แหม....หิวเหลือเกิน ถ้าได้น้ำหวานสักขวดสองขวด ก็คงจะช่วยบรรเทาเอาไว้ได้นะนี่..."
    อาจารย์ปถัมภ์ หรือหลวงพี่ปถัมภ์ คิดแล้วก็แล้วไป นั่งสมาธิเดินจงกรมไปตามหน้าที่ สักพักเดียวเท่านั้น ท่านก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามายังกุฏิ พอมาถึงก็พบว่าเป็นพระภิกษุสองรูป ได้นำน้ำหวาน (น้ำอัดลม) ใส่ลังมาวางไว้ ทั้งได้พูดขึ้นว่า....
    "ท่านหลวงพ่อครูบา ให้กระผมนำน้ำหวานมาถวาย ท่านว่าพระปถัมภ์หิวจะเป็นลมอยู่แล้ว อยากได้สองขวด เลยยกมาให้ทั้งลังเลยทีเดียว"
    หลวงพี่ปถัมภ์ หรืออาจารย์ปถัมภ์ ได้ฟังถึงกับขนลุกซู่ ๆ เลยทีเดียว
    รู้ลึกถึงจิตที่คิดนึก

    เมื่อพระภิกษุปถัมภ์ บวชเป็นพระใหม่ ก็ตั้งใจจะปฏิบัติให้เต็มที่ เพราะเวลาการบวชนั้นน้อยมาก จึงพยายามนั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรมตลอดเวลา ส่วนตอนเช้ามืดก็ปฏิบัติ ตอนเย็นค่ำ หลังจากสวดมนต์แล้ว ก็ปฏิบัติ ฟังธรรมะ ประกอบสติอารมณ์ไปด้วย หลังจากฟังธรรมะในตอนหนึ่ง ก็เกิดความสงสัย แต่ไม่กล้าถาม หลังจากแยกไปกุฏิของตนแล้ว พระปถัมภ์ก็เดินคิดไปเรื่อย ๆ ตอนกลับกุฏิว่า
    "แหม เมื่อสักครูนี้ หลวงพ่ออธิบายธรรมะไม่กระจ่างเลย น่าจะอธิบายซ้ำอีกนิด จะได้เข้าใจได้ถูกต้อง"
    นึกคิดไปแค่นั้นก็ปล่อยวาง พอดีเดินผ่านห้องน้ำ ก็เลยแวะเข้าห้องน้ำก่อน จากนั้นก็ตรงไปยังกุฏิท้ายวัด เดินไปได้หน่อย สายตาก็ไปสะดุดหยุดลงที่หน้ากุฏิ หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร เห็นท่านนั่งอยู่ก่อนแล้ว จึงเข้าไปกราบแล้วได้ถามขึ้นว่า....
    "หลวงพ่อมีอะไร จะใช้กระผมหรือครับ"
    หลวงปู่ท่านพูดขึ้นช้า ๆ และชัดเจนว่า
    "อาตมามารออยู่ เพื่อจะอธิบายธรรมะที่สงสัยเมื่อสักครู่นี้ ให้คุณปถัมภ์คลายจิตใจ...!"
    พูดจบ ท่านก็แสดงธรรมะอธิบายตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเวลา 1 ชั่วโมงเศษ ๆ ขณะฟังธรรมจากหลวงปู่พระภิกษุปถัมภ์ หรือหลวงพี่ปถัมภ์ เรียนเมฆ นั่งหลับตานึกอัศจรรย์ใจ ทำให้เกิดปีติอย่างหนักที่หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร ท่านสามารถรู้วาระจิตของทุกคนที่คิดในปัจจุบันอย่างแม่นยำ
    บังเกิดความเชื่อมั่นในคุณธรรมของท่านอย่างไม่มีข้อสงสัย ขนลุกเกรียว ๆ เลยทีเดียว เมื่อแสดงธรรมะจบแล้ว หลวงปู่ก็ได้ถามว่า
    "เป็นไงคุณปถัมภ์ เข้าใจหรือยัง หายสงสัยหรือเปล่าล่ะ ?"
    พระภิกษุปถัมภ์ตอบว่า....
    "เข้าใจชัดเจนเลยครับผม...หายสงสัยแล้วขอรับ"
    ครับนี่เป็นตอนหนึ่งที่ผู้เขียนเคยได้รับฟังจากอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ บ.ก.คนพ้นโลก
    คำเตือนของหลวงปู่

    อดีต ปัจจุบัน อนาคต ถ้าจะพูดไปก็จะหาว่า ผู้เขียนยกย่อง หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร มากจนเกินไป แต่เท่าที่สายตาของคณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย เคยได้ไปกราบ เคยได้สดับตรับฟังมา....
    ประวัติความเป็นจริงของหลวงปู่พระสุพรหมยานเถร แห่งวัดพระพุทธบาทตากผ้า ไม่เคยมีอะไรด่างพร้อยและไม่เคยพูดอะไรให้เป็นเรื่องตลกพกลม ดังนั้น ผู้เขียนจึงกล้าเขียนด้วยหลักความจริง เพื่อเป็นอนุสรณ์ถวายแด่ท่านในครั้งนี้....
    คำเตือนของหลวงปู่ ผู้เขียนถือเป็นคำอมตะ ท่านเคยสอนไว้ว่า....
    "เธอเป็นนักเขียนธรรมะ จงพยายามพูดไปตามความจริงที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน อย่าเกินเลยไปกว่านั้นนะ ไม่ดี อายุจะสั้น"
    คำว่า อายุจะสั้น ก็คือ ความไม่เจริญนั่นเอง ท่านผู้อ่านที่เคารพ ลองอ่านเรื่องราวของหลวงปู่พระสุพรหมยานเถร แห่งวัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน จากคณะศิษย์ของท่านบ้าง แต่.....ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนนะครับว่า การที่หลวงปู่วัดพระพุทธบาทฯ ไม่ค่อยจะพูดอย่างโจ่งแจ้งก็เพราะไม่อยากให้ใครมาตำหนิว่าเป็นการโอ้อวด แต่สิ่งที่ท่านทักท้วงมักเจอเหตุการณ์เสมอ ๆ
    เตือนแล้วยังเถียง

    วันหนึ่ง หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร ได้ถูกนิมนต์ไปในงานศพ ขณะนั่งอยู่ในที่อันเป็นอาสนะ สายตาก็เหลือบเห็นเส้นลวดขนาดเขื่อง พาดผ่านมาตรงหน้า ท่านก็ได้เรียกเจ้าของงานมาถามว่า
    "โยมเส้นลวดที่ผ่านมานี้ จะเอามาทำอะไรหรือ..."
    ก็ได้รับคำตอบจากเจ้าภาพงานศพว่า....
    "จะจุดบ้องไฟ (ลูกหนู) ผ่านมาทางนี้ครับ"
    (หมายเหตุ ศพที่สำคัญ ๆ มีฐานะ จะมีการจุดลูกหนู ให้วิ่งไปตามสายลวด แล้วอาศัยแรงเหวี่ยงไปปะทะกับยอดปราสาทโลงศพ ก็จะคว้ารางวัลไปคือเป็นผู้ชนะ เป็นการละเล่นที่ตื่นเต้นชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นการเสี่ยงกับความตายอีกศพหนึ่ง)
    เมื่อหลวงปู่พระสุพรหมยานเถรได้ฟังอย่างนั้น ก็ได้ทักท้วงขึ้นว่า
    "ควรจะเอาผ่านไปทางอื่น อาตมากลัวว่า มันจะเกิดอันตรายเมื่อสายลวดมันขาด แล้วบ้องไฟมันจะวิ่งมาชนคนที่อยู่ข้างหน้า"
    คำเตือนนี้ ได้รับคำปฏิเสธจากเจ้าภาพงานศพว่า
    "คนที่ทำบ้องไฟ เขาเก่งมาก ไปจุดมาแล้วหลายงาน ไม่เคยปรากฏว่ามีอันตราย"
    หลวงปู่พระสุพรหมยานเถรก็ว่า
    "อะไรทุกสิ่งทุกอย่างเอาแน่นอนบ่ได้"
    เมื่อเตือนไม่เชื่อ หลวงปู่ก็นั่งลงนิ่ง ผลที่สุด ! ก็ปรากฏว่า บ้องไฟ หรือ ลูกหนูนั้น ได้ถูกจุดขึ้นมา เป็นด้วยสาเหตุอันใดไม่ปรากฏเกิดเส้นลวดขาด บ้องไฟวิ่งฉิวตรงมาตกห่างจากอาสนะที่หลวงปู่นั่งอยู่ราว 2 ศอกเศษ ๆ แต่....ขณะบ้องไฟตกลงมากระทบพื้นไม่ไกลจากหลวงปู่นักก็เหมือนมีมือใครสักคนหนึ่งช่วยปัดให้กระเด็นขึ้นไปสู่ท้องฟ้า วิ่งไปทางอื่น ซึ่งไม่ถูกผู้คนให้บาดเจ็บ
    แต่ชาวบ้านทุกคนต่างก็พากันตะลึง แม้เจ้าภาพเองก็หน้าซีดเหมือนไก่ต้มสามคืนสามวัน เพราะทุกคนนึกว่า ท่านครูบาของเขาได้รับอันตราย....ก็ท่านเตือนแล้วกลับเถียงก็ต้องมีสาเหตุอย่างนี้ ดีนะที่ไม่มีใครเป็นอันตราย....
    ถ้ำถล่ม

    ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนได้รับฟังมาจากศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่ คือ ครูบาเขื่อนคำ อัตตสันโต.ท่านเล่าว่า
    ครั้งหนึ่ง ท่านครูบาพรหมาท่านได้ไปเยี่ยมพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งท่านไปบำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำ การเยี่ยมเยือน ก็ถือเป็นเรื่องของกำลังใจ ที่พระอาจารย์ทั้งหลายจะมอบให้แก่ศิษย์ หรือท่านที่เคารพนับถือ ซึ่งพระกรรมฐานถือเป็นกฎปฏิบัติมาช้านานแล้ว ครันเมื่อหลวงปู่พระสุพรหมยานเถรไปถึงภูเขาลูกนั้นแล้ว ก่อนเข้าไปในถ้ำ สายตาของท่านก็เหลือบไปมองดูบนเพดานถ้ำ
    ตาทิพย์ ก็คือ ตาใน ตาในก็คือ ตาใจ มองเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ภาพนั้นเกิดรู้เห็นขึ้นมาในความรู้สึก ท่านจึงรีบเอ่ยปากพูดขึ้นว่า
    "ขอให้ท่านจงรีบย้ายออกมาจากถ้ำเดี๋ยวนี้"
    พระภิกษุรูปนั้นได้ฟังแบบงง ๆ ท่านยังไม่ได้กราบทำความเคารพเลย ก็ได้ยินคำเตือนแกมบังคับขึ้นอีกว่า
    "กลัวว่ามันจะพัง เวลามันจะพังก็พังได้ง่าย ๆ ขอให้ท่านออกมาเสียเถิด เร็ว"
    ย้ำคำที่สอง แม้จะเสียดายถ้ำที่เคยอยู่ แต่ก็รู้กิตติคุณของท่านโดยเฉพาะอำนาจจิต จึงทำให้พระภิกษุรูปนั้น รีบออกมาจากถ้ำนั้นทันที เมื่อพระภิกษุรูปนั้นออกมานอกปากถ้ำ แล้วก็วางบริขารนั่งลง แต่ยังไม่ทันได้กราบ หูของท่านผู้ที่นั่งอยู่ในที่นั้น ได้ยินเสียงหินเพดานภายในถ้ำหล่นหักลงมาดังสนั่นกึกก้องไปหมด พระภิกษุเจ้าของถ้ำ ถึงกับตัวสั่นตกใจ ทำเอาพระผู้ติดตามหลวงปู่ไป ต้องตกใจไปด้วย พระภิกษุรูปนั้นรำพึงในใจแล้วพูดว่า
    "ถ้าผมยังดื้อรั้น ยึดมั่นกับสถานที่อยู่ ป่านนี้คงถูกฝังเป็นปู่โสมเฝ้าถ้ำไปแล้ว" (ท่านหมายถึง เปรต นั่นเอง)
    งดเสียเถอะ

    ในปี พ.ศ.2527 ท่านครูบาเขื่อนคำ อัตตสันโต ท่านได้เมตตาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า.
    "ในปีนั้น คนที่ไม่เชื่อครูบาอาจารย์กล่าวสอนตักเตือนก็มีอยู่ไม่น้อยเลย คือ คณะกรรมการได้จัดงานประจำปี โดยในงานนี้มีการจุดบ้องไฟ ลักษณะแข่งขันว่า ใครจะดีเด่นกว่ากัน ท่านครูบาพรหมา ท่านก็ขอร้องให้งดเสีย ท่านเกรงว่า จะเกิดอันตราย ! แต่คณะกรรมการส่วนใหญ่เกิดคัดค้านให้มีตามเดิม และบอกว่า ถ้ามีเหตุการณ์ก็จะขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว
    เมื่อที่ประชุมต้องการอย่างนั้น ท่านครูบาก็นิ่งเฉยเสีย ยอมด้วยเสียงหมู่มาก ความจริงคำทักท้วงนี้ ถ้าไม่เป็นวิบากกรรม ไม่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ หลายคนจะต้องมีใครสักคนสะดุดคำเตือนนี้ เปล่า..ไม่มีใครเข้าใจคำเตือน ในที่สุด วันจัดงานก็มาถึงงานที่สนุกสนาน ทำให้ผู้คนตื่นเต้นทั้งกล้า ทั้งกลัว ระคนกัน ในนาทีต่อมา การจุดบ้องไฟก็เริ่มขึ้นขณะจุดชนวนไฟ เหตุการณ์เจ็บปวดก็ได้เกิดขึ้น คือ
    บ้องไฟได้ตกจากค้างที่ทำเป็นแคร่ใหญ่รองรับ เกิดหลุดตกลงมาที่พื้นดิน กำลังผลักดันของกำมะถัน และดินปืน ก็ทำให้บ้องไฟวิ่งไปชนกำแพงวัดพังเสียหาย ทันทีที่บ้องไฟตก ถูกแรงกระแทกก็แตกระเบิด กระเด็นไปยังหมู่ประชาชน ทำให้ชาวไทยมุง ชาวแม้วมุง แตกกระจาย ได้รับบาดเจ็บอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้อยู่ข้างหน้า ๆ นี่คือโทษที่ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์จึงได้รับบทเรียนเช่นนี้
    ความเห็นของชาวป่าซาง

    คุณครูอินตา วรรณะมะกอก ท่านเป็นผู้ที่เคารพนับถือ หลวงปู่สุพรหมยานเถร มากคนหนึ่งได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่า
    "ปฏิปทาของท่านครูบาพรหมาของเรานี่ เป็นที่น่าเลื่อมใสมาก ท่านปฏิบัติตนได้อย่างสม่ำเสมอไม่ขาดตกบกพร่อง นับตั้งแต่อดีตสมัยครูบาท่านยังเป็นพระหนุ่ม พวกเราเคยเห็นท่าน ท่านมีอิริยาบถต่าง ๆ น่าประทับใจมากมีความเรียบร้อยสง่าราศีเปล่งปลั่งดีแท้ ในป่าซางนี้ ก็มีท่านเพียงองค์เดียวที่ทุกข์ยากขึ้นมา เข้าหาท่านง่าย เงินทองท่านบ่เคยยุ่ง บ่เสียหาย ในย่ามของท่านแม้แต่บาทเดียว หรือสลึงเดียวก็ไม่มีติดตัว เวลาญาติโยมถวายปัจจัยท่านก็ให้พร และเรียกให้เด็กมาเอาไปลงบัญชี เข้ากองกลางเป็นของสงฆ์ ซึ่งนิสัยของท่านนี้ ได้ติดตัวท่านมาจนแก่เฒ่า
    การปฏิบัติธรรม มีภาวนาเป็นต้นนี้ ย่อมสามารถอบรมจิตใจของท่าน ให้บังเกิดความอ่อนละมุน มีความเคารพน่าบูชาเป็นอย่างยิ่ง พวกเราชาวป่าซาง ไม่สงสัยเลย ที่มีชาวกรุงเทพฯ เดินทางมายังวัดพระพุทธบาทตากผ้า ด้วยความเคารพและความศรัทธาเลื่อมใส แต่ละวัน รถขนาดใหญ่ต่างก็วิ่งออกวิ่งเข้าวัดพระพุทธบาทตากผ้าไม่เว้นแต่ละวัน
    พวกเราชาวป่าซางมีความภาคภูมิใจที่มีปูชนียบุคคล ได้สร้างกิตติคุณให้เกิดหอมหวนทวนลมไปไกลแสนไกล อย่างเช่น ครูบาเจ้าพรหมาของเรานี้ อดีตเมืองลำพูน เป็นเมืองผ่าน จะขึ้นชื่อก็ป่าซาง แต่ก็เป็นการมาหาซื้อสิ่งของ อันพวกเราได้มีครูบาอาจารย์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้ได้กราบไหว้บูชาก็แสนจะดีใจนัก เมื่อท่านต้องจากพลัดพรากด้วยความตาย เราก็แสนเสียดาย แต่ก็เป็นกฎของอนิจจัง ล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน เราจะเอาอย่างใจเรานั้นมันบ่ได้ เราอยากจะให้ท่านครูบาอยู่กับพวกเราไปนาน ๆ แต่สังขารมันบ่ไหว"
    ครับ นี้เป็นความศรัทธาอย่างลึกซึ้งของชาวอำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน
    ธรรมมะครูบาพรหมาจักร
    คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ
    คน…. โง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ, คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจจะปากหนัก(ไม่ค่อยจะพูดมาก) คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก ใจมันไม่อยู่ที่ตัวใจมันไปอยู่ที่ปาก มันจึงพูดไปวันยังค่ำ คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ ความสำคัญของตัวเองที่จะเข้าใจกันไว้ตัวของคนเราแต่ละคนมีความสำคัญ ๆ อย่างไร? สุดแท้แต่จะพิจารณา ความคิดพิจารณาต่างๆ กันตามทัศนะของใครของมัน ความสำคัญที่ตัวเอง……ส่วนมากผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษา และอบรมมักจะสำคัญมั่นหมายตนเองว่า เป็นผู้รู้ เป็นผู้เก่งกว่าเขา เป็นผู้ที่มีมั่งมีกว่าเขา เป็นผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่าเขา เห็นคนอื่นเป็นคนต่ำต้อยไปเสียหมดเห็นหน้าคน เป็นหน้าสัตว์ไปเสียหมด ! ความสำคัญอย่างนี้เป็นความสำคัญเข้าใจผิดๆ อย่างมากที่สุด
    เพราะเป็นเหตุให้เกิดมานะ จองหอง ทะนงตัว เป็นไฝฝ้า หรือเป็นรั้วปิดบังความดี จะทำความดีไม่ได้ แล้วก็จะไม่ได้ความร่วมมือจากใคร ๆ ก็ไม่สอนอีกแล้ว การทะนงตัวการมีทิฐิมานะ ใครเห็นแล้วรู้แล้วก็ปล่อยเลยตามเลย ตายก็ปล่อยให้ตายไป ภาษาธรรมะว่าเป็นไฝฝ้าปิดบังความดี ความจริงน่าจะได้ดีแต่ก็ดีไม่ได้ การมีทิฐิมานะ การทระนงตัว ความจองหองมันไปปิดบังเอาไว้หมด ถือตัวเป็นใหญ่ ว่าเป็นผู้รู้ มั่งมี ผู้ดี มียศสูงศักดิ์ กว่าเขา สำคัญว่าคนอื่นต่ำต้อยกว่า เป็นความสำคัญผิด เป็นเหตุให้เกิดมานะทิฐิ จองหอง เป็นไฝฝ้าปิดหูบังตาไม่ได้บรรลุความดี
    ผู้ใดเป็นดังนี้ คนทั้งหลายจะต้องตีตัวออกห่าง ใคร ๆ ก็ไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย เรื่องนี้จึงอยากฝากให้ทุกคนจงคิดพิจารณาเห็นความสำคัญที่ตัวเอง ๆ ที่สำคัญว่าถ้าเราได้ดี ทำดี มันจะดีไปเสียทุกอย่าง ถ้าคิดผิดทาง สำคัญมั่นหมาย ตัวเรารู้ตัวเราดี ตัวเรามีอะไร ๆ ที่ยิ่งกว่าคนอื่น เห็นคนอื่นต่ำต้อยกว่า เป็นการสำคัญผิด เป็นเหตุให้เกิดมานะทิฐิจองหอง ไม่ยอมลดข้อให้ใครในที่สุดจะมีความได้อย่างไร
    ใครคนใดที่เป็นอย่างนี้ ยากที่ใครจะชอบ ใครอยู่ใกล้ก็จะตีตัวออกห่างและไม่คิดจะอยู่ใกล้ แล้วเขาจะกลายเป็นคนที่เป็นปัญหาของสังคม เป็นที่น่ารังเกียจ ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย ภาษาธรรมะเรียกว่า "เป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองหมักดองอยู่ในสันดานของเขา คนดีสละละเสียซึ่งความมั่นหมาย"
    แต่ตรงกันข้าม ถ้าใครมาเห็นความสำคัญที่ตัวเองด้วยการพินิจพิจารณาตามหลักที่ว่า "อัตตัญญุตา" คือ ความรู้จักตนเองว่า มาด้วยชาติ ว่ามาด้วยตระกูล ๆ ไหน ? สูงหรือต่ำอย่างไร ? ว่าด้วยยศศักดิ์ เรามียศ มีวิทยฐานะอย่างไร เป็นกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นมหาเปรียญ เป็นเจ้าคุณ หรือพระครู หรือเป็นลูกวัดเขา เป็นลูกน้องเขา อะไรเหล่านี้เป็นต้น แล้วมาตั้งตัวตั้งตนอยู่ดี ตามฐานะของตน อยู่พอดิบพอดี กิริยาเป็นระเบียบเรียบร้อย ละมุนละไมมีศีลาจารวัตร งดงาม ใครเห็นก็น่าดูน่ารัก พูดจาปราศรัยออกมาใครได้ยินก็น่าฟัง น่าเอ็นดู พวกเด็ก ๆ ก็มีความเคารพ มิตรสหายก็มีความรักใคร่ ผู้หลักผู้ใหญ่มีความกรุณาเอ็นดู …….คนที่วางตัวอย่างนี้ สำคัญมั่นหมายตัวอย่างนี้นับว่าเป็นคนดี ไม่มีข้าศึกศัตรูที่ไหนมา เด็ก ๆ ก็มีความเคารพ มิตรสหายรุ่นเดียวกัน หรือต่างรุ่นก็รักใคร่ ผู้ใหญ่ก็ให้ความเอ็นดู เขาก็จะได้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่อยู่ร้อนนอนทุกข์ เป็นคนดีมีชื่อเสียง ใครเขาก็สรรเสริญเยินยอด้วยความจริงใจ
    "อัตตัญญูตา" คือ ความรู้จักตน และก็ประพฤติปฏิบัติให้สมกับฐานะของตัว ว่าฐานะของเราเป็นอย่างไร? และวัด บ้าน โรงเรียน สถานที่ราชการ เราควรวางตัว ทำตัวอย่างไร มันมีคนพร้อมหมด เช่น พระเณร ก็มี ชาวบ้าน นักเรียนก็มี ทหารตำรวจ นายสิบนายพัน ปริญญาตรี โท เอก ก็มี นี่เป็นวิทยฐานะและใครก็ไม่ได้ถือตัวว่าเรามีวิทยฐานะอย่างไร อ้นนี้ขอฝากไว้เป็นข้อคิด อยู่พอเหมาะพอดีมีศีลาจารวัตรอันงดงาม สงบเสงี่ยมเจี่ยมตัว การพูดจาปราศัยก็พูดเฉพาะที่จะเป็น ที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพูด การที่จะพูดจาอะไรจะต้องนึกคิดพิจารณาเสียก่อน ใช้สติสัมปชัญญะไตรตรองให้รอบคอบเสียก่อนว่าสมควรหรือไม่ อย่างนี้เป็นการดี จะทำอะไร อย่าให้ขาดสติสัมปชัญญะ อย่าทำอะไรเหมือนคนตาบอด อย่าให้เข้าทำนองที่กล่าวว่า "คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก" คือ คิดอะไรก็ไหลออกปากทันที จะไม่ดี
    ส่วน "คนฉลาดเขาเอาปากไว้ที่ใจ" คือ เวลาเขาจะพูด เขาจะคิดไตร่ตรอง ย้อนแล้วย้อนอีกว่าจะมีผลดี ผลเสีย และมีผลกระทบทั้งส่วนตนเองและคนรอบข้าง อย่างไร หรือไม่ ? ซึ่งเขาจะกลั่นกรองเสียก่อนจึงพูดออกมา อันนี้ให้จำใส่ใจเอาไว้ นี้คือ "อัตตัญญุตา" คือการรู้จักวางตนหรือทำตนอย่างไร?
    นอกจากรู้จักตน ตั้งตนให้อยู่พอเหมาะพอดี แล้วก็จงพยายามพัฒนาตนเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเองได้ด้วย อย่าได้คอยแต่จะพึ่งพาอาศัยคนอื่น เช่นว่าเราเป็นเด็กไม่รู้เดียงสา ตอนนั้น เราก็จะพึ่งพาอาศัยพ่อแม่เราอยู่ พอโตขึ้นมาเราก็พึ่งครูอาจารย์ เมื่อมีงานการอะไรเราก็พึ่งเจ้าของกิจการ และเพื่อน มิตรสหาย แต่ผู้ที่เป็นที่พึ่งของเราอย่างนั้นเป็นได้บางอย่าง และชั่วครั้ง ชั่วคราว พึ่งได้ตามแต่เขาจะกรุณา เช่นพ่อแม่ เราพึงท่านได้ ท่านให้ความอุปการะคุณเลี้ยงดูทุกอย่างก็แต่ในช่วงที่ท่านยังแข็งแรงหรือเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อไม่อยู่ในฐานะดังกล่าวแล้ว เราก็ไม่สามารถพึ่งได้
    ครูอาจารย์ก็เหมือนกันเป็นที่พึ่งของเราก็ได้เพียงการแนะนำพร่ำสอน ถ้าเราเป็นนักเรียนที่ถูกดื้อถือรั้น สอนสั่งไม่ปฏิบัติตาม ครูอาจารย์ก็จะเอาเราคือ จะไม่เมตตา หรือถ้าท่านเมตตาก็เป็นได้ช่วงหนึ่งแห่งชีวิตของเราเมื่อยังเป็นนักเรียน แต่เมื่อเราจบมาแล้ว ๆ เรายังจะต้องพึ่งครูตลอดไปคงไม่ได้
    ส่วนรายอื่น ๆ ก็เช่นกัน มีเพื่อน มิตรสหาย เจ้านายที่ทำงาน หรือผู้คนรอบข้างในสังคม ถ้าเราปฏิบัติตัวเป็นคนดี ใคร ๆ เขาก็อยากคบค้าสมาคม หรือเป็นที่พึ่งพาอาศัย ในยามที่เราเดือดร้อน บางคนแม้แต่คำแนะนำเขาก็ไม่อยากช่วยเหลือเพราะเราไม่เป็นคนดีนั่นเอง …..ดังนั้นการพึ่งที่ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุดในชีวิตก็คือ "การทำตัวเองให้ดี และก็พึ่งตัวเอง"
    ข้อสำคัญที่สุดคือ การรู้จักตนเอง ควรที่จะได้นึกเน้นให้มันลึกเข้าไป พยายามฝึกหัดดัดสันดานของตัวเอง พยายามปกครองตนเองให้มันได้ ให้ตนเองเป็นที่พึ่งของตนเองได้จริง ๆ
    เมื่อเรารู้แล้วอย่างนี้ว่าเราจะทำอย่างไร? เราก็พินิจพิจารณาความสำคัญที่ตัวของเราเอง จึงขอฝากไว้เป็นที่พิจารณาว่าตัวของเราเป็นสิ่งที่สำคัญ อะไรที่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่าง ร้ายดีถี่ห่างอยู่ที่ตัวของเราทั้งหมด เขาจะรักเรา หรือว่าชังเราก็อยู่ที่ตัวของเรานี่แหละ ….
    จงมองดูที่ตัวของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าหากว่าจะติคนอื่นก็ขอให้ติตัวเราเสียก่อน จะโทษคนอื่นก็จงโทษตัวเราก่อน ถ้าตัวเราดีแล้วใครเล่าเขาจะมาติ มาด่า มาว่าเรา ทำร้ายเรา ก็ไม่มี
    สิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้น กับเราเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากตัวของเรานี่เอง จงพยายามโทษที่ตัวเอง จงอย่าลืม " คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเอาปากไว้ที่ใจ" จงพยายามฝึกหัดดัดสันดานตัวเองเข้าไว้ ให้เด็กเห็นเกิดความเคารพรัก ให้เพื่อน ๆ เห็นก็รักใคร่ ให้ผู้ใหญ่เห็นก็เอ็นดู นี้จึงนับว่าได้ทำตัวเองให้มีคุณค่าของความเป็นคนขึ้นมา………
    สุภาษิตท้ายบท…
    "โมกโข กัลยาณิยา สาธุ แปลว่า การเปล่ง/กล่าว วาจางาม ย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จ"
    "มุตวา ตัปปติ ปาปิกัง แปลว่า คนใดพูดวาจาชั่ว ย่อมเดือนร้อน"
    โดย : พระสุพรหมยานเถร (ครูบาพรหมา พรหมจักโก)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0048.jpg
      scan0048.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.5 KB
      เปิดดู:
      112
    • scan0049.jpg
      scan0049.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63 KB
      เปิดดู:
      107
  5. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 461 พระหลวงพ่อพ่วง วัดกก ปี 2473 (พิมพ์นิยมสูงสุด)

    หลวงพ่อพ่วง วัดกก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ของหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง ขนาดลูกศิษย์ยังดังเป็ฯเหรียญหล่ออันดับ 1 ของสยามประเทศ
    ครั้งที่หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ชราภาพมากแล้ว มีคนมาขอวัตถุมงคลจากท่าน ท่านยังว่า ให้ไปขอที่อุปัชฌาย์พ่วง วัดกก องค์นี้เก่งจริงๆ

    พระพิมพ์นี้นิยมสูงสุด เพราะมี พศ 2473 ที่หน้าองค์พระ เริ่มเดิมที่ที่วัดให้บูชาสำหรับพิมพ์นี้ถึง 5000 บาท ต่างจากพิมพ์อื่นที่ให้บูชาเริ่มต้น 500-1000 บาท

    ให้บูชา 2000 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0050.jpg
      scan0050.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.1 KB
      เปิดดู:
      338
    • scan0051.jpg
      scan0051.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.7 KB
      เปิดดู:
      256
  6. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 462 เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ

    มหานิยม ที่ดังที่สุดในภาคกลาง ยุคปัจจุบัน
    ใครๆก็กล่าวถึงแต่ ขุนแผน ลูกอมหลวงพ่อสงวน
    เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญรุ่นแรก รุ่นเดียวที่ทันหลวงพ่อ

    ท่านโด่งดังขนาดที่ว่าหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทองให้ลูกศิษย์มาขอผงอิทธิเจหลวงพอ่สงวน เพื่อสร้างสมเด็จแพพันที่มีมูลค่าหลักแสน

    ปัจจุบันเหรียญรุ่นนี้ทะลุ 2000

    ให้บูชา 999 ก็พอ มีเหรียญเดียวครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0054.jpg
      scan0054.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.2 KB
      เปิดดู:
      184
    • scan0055.jpg
      scan0055.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.8 KB
      เปิดดู:
      147
  7. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,968
    ค่าพลัง:
    +5,381
    ขอจองรายการ ๔๕๘(ครูบาคำแสน) ๔๖๐(ลป.พรหมมา) ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2010
  8. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,968
    ค่าพลัง:
    +5,381
    รายการที่ 462 เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->มหานิยม ที่ดังที่สุดในภาคกลาง ยุคปัจจุบัน
    ใครๆก็กล่าวถึงแต่ ขุนแผน ลูกอมหลวงพ่อสงวน
    เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญรุ่นแรก รุ่นเดียวที่ทันหลวงพ่อ

    ท่านโด่งดังขนาดที่ว่าหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทองให้ลูกศิษย์มาขอผงอิทธิเจหลวงพอ่สงวน เพื่อสร้างสมเด็จแพพันที่มีมูลค่าหลักแสน

    ปัจจุบันเหรียญรุ่นนี้ทะลุ 2000

    ให้บูชา 999 ก็พอ มีเหรียญเดียวครับ<!-- google_ad_section_end --> ขอจองครับ
     
  9. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 463 เหรียญหลวงพ่อคง วัดตะคร้อ

    <TABLE width=550 align=center><TBODY><TR><TD align=middle>หลวงพ่อคงมีศักดิ์เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ครับ ให้บูชา 100 บาท



    ประวัติและภาพวัตถุมงคล พระครูคงคนครพิทักษ์ (คง ฐิติปัญโญ) วัดตะคร้อ ต.เมืองคง อ.คง จ.นครราชสีมา

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="FONT-SIZE: 10pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR height=15><TD></TD></TR><TR><TD align=middle>
    [​IMG]
    รูปหล่อรุ่นแรก หลวงพ่อคง วัดตะคร้อ จงนครราชสีมา ค่านิยมหลักพันต้น
    </TD></TR><TR height=15><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="FONT-SIZE: 10pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR height=15><TD></TD></TR><TR><TD align=middle>
    เมื่อปี พ.ศ.2523 หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ลงข่าว ผู้หญิงถูกผู้ชายยิงในตรอกหลักหินใกล้หัวลำโพง สาเหตุที่สามาคนเก่าเกิดความแค้นที่อดีตภรรยาเดินคู่กับสามีคนใหม่ แต่ลูกปืนที่ยิงผู้หญิงนั้นยิงไม่เข้า เมื่อดูในคอจึงรู้ว่ามีเหรียญของหลวงพ่อคงห้อยคอเพียงองค์เดียวเท่านั้น เป็นเหรียญเสมาด้านหลังนางกวัก เป็นเหรียญรุ่นแรกของท่าน จากข่าวที่ลงในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันทำให้คนจากหลาย ๆ จังหวัดที่มีความเลื่อมใสเดินทางไปยังวัดเพื่อบูชาเหรียญของท่าน ปรากฏว่าช่วงนั้นพระเครื่องของท่านมีไม่กี่รุ่นได้หมดไปจากวัดในเวลาอันรวดเร็ว และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผู้คนก็เดินทางไปหากันไม่เคยขาด พระเครื่องของท่านได้จัดสร้างกันมาตลอดเวลา และแต่ละรุ่นนั้นก็มีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เป็นที่กล่าวขานถึงบุญญาอภินิหาร
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="FONT-SIZE: 10pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR height=15><TD></TD></TR><TR><TD align=middle>
    พระอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบศึกษาธรรมะ และเล่าเรียนวิชาอาคมขลังเอาไว้ช่วยเหลือผู้คนที่มีความเดือนร้อน นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมากที่สมัยนี้การเดินทางนั้นสะดวกรวดเร็ว อีกทั้งข่าวสารก็ช่วยกันเผยแพร่ให้คนรู้จัก จากวัดตะคร้อที่มีสิ่งก่อสร้งไม่มากมายอะไรนักก็เจริญขึ้นมาใหญ่โตมากในระยะเวลาไม่กี่ปีเท่านั้น เมืองโคราช หรือนครราชสีมานี้ อดีตนั้นเคยมีผู้หญิงกล้า พระอาจารย์ในอดีตที่ผ่านมานับเป็นร้อย ๆ รูปที่ทรงคุณวิเศษในด้านต่าง ๆ ก็มากมายและศิษย์ก็ได้รับการสืบทอดวิชานั้นเอาไว้จนมาถึงปัจจุบัน
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="FONT-SIZE: 10pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR height=15><TD></TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="FONT-SIZE: 10pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR height=15><TD></TD></TR><TR><TD align=middle>ชาติภูมิ นามเดิมว่า คง นามสกุล เทพนอก เกิดเมื่อปีกุน พ.ศ.2454 ที่บ้านดอนเมือง อ.คง พ่อของท่านชื่อ พูน แม่ของท่านชื่อ แย้ม ท่านเป็นลูกชายคนโตในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 8 คน พ.ศ.2471 ท่าบวชเป็นสามเณร พ.ศ.2475 ก็บวชเป็นพระต่อเลยที่ วัดบ้านวัด ต.เทพาลัย อ.คง จ.นครราชสีมา พระครูศรีวิสุทธิพรต วัดเดิม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สุข เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ทิม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ภายหลังบวชไปอยู่วัดแจ้งนอกในตัวเมืองโคราชเพื่อเล่าเรียนด้านธรรมะ และเดินทางไปอยู่ที่วัดหนองจะบก สองปีที่ผ่านมาอยู่วัดนี้เพื่อสะดวกในการเดินทางไปเรียนหนังสือและศึกษาด้านธรรมะที่ วัดบึง อันเป็นสำนักยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น ได้นักธรรมเอกและติดตามพระอาจารญ์ของท่านไปอยู่อีกหลายวัด และเดินทางเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ นอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค จากสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร แล้วไปอยู่ที่บัวใหญ่ ต่อจากนั้นก็ไปอยู่วัดตะคร้อเมื่อปี พ.ศ.2495 พ.ศ.2496 ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอและเป็นพระอุปัชฌาย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="FONT-SIZE: 10pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR height=15><TD></TD></TR><TR><TD align=middle>
    พระอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาอาคมขลังให้ท่านมีดังนี้ หลวงพ่อเสี่ยง วัดเสมาใหญ่ หลวงพ่อรอด วัดดอนผวา หลวงพ่อเขียว วัดปอปิด แต่ละรูปนั้นในด้านคุณวิเศษของท่านแล้วยอดเยี่ยมที่สุดสมัยนั้น แต่ละรูปเหรียญหรือพระเครื่องของท่านล้วนแต่ราคาแพงมากด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="FONT-SIZE: 10pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR height=15><TD></TD></TR><TR><TD align=middle>
    หลวงพ่อคงท่านเป็นพระที่สร้างความเจริญให้กับวัดตะคร้อเป็นอย่างมาก พระเครื่องของท่านนั้นมีไม่ต่ำกว่า 50 รุ่น คิดเอาเถอะครับว่าพระบ้านนอกอยางนั้นถ้าไม่แน่จริงแล้วคงไม่มีการสร้างพระเครื่องมามากขนาดนั้น แต่ด้วยความศรัทธาของประชาชนที่มีพระเครื่องของท่านติดตัวแล้วมีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ นั่นเอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="FONT-SIZE: 10pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR height=15><TD></TD></TR><TR><TD align=middle>
    [​IMG] [​IMG]
    เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อคง วัดตะคร้อง จ.นครราชสีมา ค่านิยมหมื่นกว่าบาท
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="FONT-SIZE: 10pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR height=15><TD></TD></TR><TR><TD align=middle>
    ที่มา : พระยอดนิยมภาคอีสาน ชุด วัฒนธรรมขอม ... มรดกพระเครื่อง</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ศึกษาประวัติของท่านเพิ่มเติมที่

    http://palungjit.org/threads/ร่วมกั...มงคล-หลวงปู่คง-วัดตะคร้อ-จ-นครราชสีมา.100697/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0042.jpg
      scan0042.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.4 KB
      เปิดดู:
      120
    • scan0043.jpg
      scan0043.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.1 KB
      เปิดดู:
      157
  10. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 464 พระผงน้ำมันวัดไผ่ล้อม ปี 2514 (หลวงปู่ทิม ปลุกเสก)

    พระเครื่องวัดไผ่ล้อม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ระยอง เป็นเจ้าพิธีปลุกเสก ปี พ.ศ.2513 เพื่อแจกเป็นที่ระลึกในงานผูกพัทธสีมาของวัดไผ่ล้อมในปี พ.ศ.2514

    หลวงปู่ทิมมอบผงจินดามณีให้สำหรับจัดสร้าง 1 กระป๋อง และเมตตาปลุกเสกให้ถึง 2 ครั้ง ยอดการสร้างเริ่มแรกตั้งใจจะให้ได้ถึง 84,000 แต่พอทำจริงๆ ได้แค่ 50,000 กว่าองค์เท่านั้น)

    ในครั้งเริ่มแรก พระอาจารย์จำปี วิปุโล(จำรัสแสง) ได้รับมอบหมายจาก พระอาจารย์พูน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ต.บ้านค่าย อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ให้เริ่มทำการสะสมว่านนานาชนิด มีทั้งว่านประเภทคงกระพันชาตรี, เมตตามหานิยม, ป้องกันสัตว์ร้ายเขี้ยวงาทุกชนิด แร่ธาตุต่างๆหลายชนิด มีแร่บังขนิฏสีเขียว, สีดำ, สีมันปู, แร่ดอกมะขาม จ.กาญจนบุรี, แร่พลวงเงิน, แร่พลวงทอง, พลอยจันทบุรี สีนิล, ชินปรอทสังฆวานร, โมราท้องรุ้ง, เสาตะลุงช้างเผือก, กระดูกหัวกะโหลกช้างทรง, เพชรน้ำค้าง, ศิลาน้ำค้าง, เหล็กทรหด, เหล็กน้ำพี้,เหล็กยอดเจดีย์, สัมฤทธิ์, ข้าวตอกพระร่วง, ข้าวสุกลอยน้ำ, ข้าวสารดำ, ข้าวรอดเพชรหลีก, ไคลประตูเมือง,ไคลเจดีย์,ไคลเสมา9 แห่ง, ดินโป่ง 9 โป่ง 9 สี, ดินบริสุทธิ์ กลางมหาสมุทร, ดินกรุซุ้มกอทุ่งเศรษฐี เมืองกำแพงเพชร, ดินกรุสุโขทัย, ดินกรุอยุธยา, ดินท่า 9 ท่า, อีกทั้งยังได้เก็บรวบรวมผงพระเครื่องต่างๆทุกยุคทุกสมัยที่ชำรุด มีสมัยเชียงแสน, สุโขทัย, อู่ทอง, ลพบุรี, พิจิตร, พิษณุโลก, กำแพงเพชร, สุพรรณบุรี, อยุธยา,รัตนโกสินทร์, ผงพระ 25 พุทธศตวรรษ
    ส่วนผงวิเศษต่างๆที่เก็บสะสมไว้อีกมากมาย เช่นผงปฐมอักขระ,ผงไตรสรณาคม, ผงพระพุทธคุณ, พระธรรมคุณ, พระสังฆคุณ, ผงพระเจ้า ห้าพระองค์, ผงพระเจ้า 16 พระองค์, ผงตรีนิสิงเห, ผงอิทธิเจ, ผงปถมัง, ผงมหาราช, ผงสังตโลก, ผงมหาอุตม์หลวงพ่อวงศ์, ผงพระเกสรหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย, ผงพระสมเด็จวัดระฆังที่หลวงปู่นาคมอบให้, ผงเก่าและสีผึ้งเขียว ของหลวงปู่ทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ระยอง, ผงหลวงพ่อเพ่ง วัดละหารใหญ่ ระยอง, ผงพญางิ้วดำ, กาฝาก, กาหลง, กาฝากรักซ้อน, กาฝากมะยม, กาฝากมะรุม, กาฝากมะขาม, กาฝากมะนาว, กาฝากลั่นทม, เถาวัลย์หลง, เครือสาวหลง, ว่านสาวหลง, ไม้รู้นอนเก้าอย่าง, ยอดรัก, ยอดสวาท, กัลปังหา, ทรายเงิน, ทรายทอง, ว่าน 108, เกสรดอกไม้108, น้ำมนต์บ่อขุนไกรอันศักดิ์สิทธิ์ จึงได้นำมาผสมสร้างเป็นองค์พระ

    ก่อนที่จะเริ่มกดพิมพ์พระ ได้ทำพิธีบวงสรวงเทพเทวา ครูบาอาจารย์เสร็จแล้วจึงกดพิมพ์เป็นปฐมฤกษ์ โดยพระอาจารย์จำปี วิปุโล เมื่อวันเสาร์ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปีระกา ตรงกับวันที่ 22 มีนาคม 2512 เวลา 09.09 น.ในราศีเมษ มหัทธโนแห่งฤกษ์ คือฤกษ์ที่มั่งคั่งสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สินเงินทองและเทพเทวารักษาดี

    เมื่อพิมพ์พระเสร็จแล้ว ก็ได้ทำพิธีปลุกเสก โดยพระอาจารย์จำปี วิปุโล ได้นิมนต์พระภิกษุภายในวัดมาร่วมสวดบริกรรมพระปริต มีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณพระ 5 รูปสวดพระธรรมจักร 108 ตลอดคืน รวม 15 คืน เริ่มปลุกเสกเมื่อวันเสาร์แรม 5 ค่ำเดือน 9 อยู่ในพรรษา ตรงกับวันที่ 22 สิงหาคม 2513 จนถึงวันที่ 5 กันยายน 2513 ซึ่งตรงกับวันเสาร์ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 10 ปีจอ รวม 15 คืน
    เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก เพราะว่าการทำพิธีครั้งนี้ตรงกับวันเสาร์ 5 ทั้งหมด คือตั้งแต่เริ่มพิมพ์ เริ่มปลุกเสก และวันสุดท้ายที่ปลุกเสกเดี่ยว ก็ตรงกับวันเสาร์อีกเช่นกัน ที่น่าอัศจรรย์อีกอย่างก็คือเมื่อทำพิธีปลุกเสกถึงเวลาตีห้าดับเทียนชัย ได้มีฝนตกซู่ลงมาประมาณ 1 นาที แล้วก็หยุดตกซึ่งจะเป็นอย่างนี้ทุกคืน

    วัตถุมงคลที่จัดสร้างในครั้งนี้ได้ทำพิธีปลุกเสกใหญ่อีกครั้งหนึ่งโดยนิมนต์พระคณาจารย์ที่มีอาคมขลังขมังเวท 9 รูป นั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสกตลอดคืน ดังมีรายนามดังต่อไปนี้

    หลวงปู่ทิม(พระครูภาวนาภิรัติ) วัดละหารไร่ จ.ระยอง, หลวงพ่อลัด(พระวิจิตร) วัดหนองกระบอก จ.ระยอง, หลวงพ่อชื่น วัดมาบข่า จ.ระยอง, หลวงพ่อโต่ง วัดบ้านเพ จ.ระยอง, หลวงพ่อรวย วัดท่าเรือ จ.ระยอง, หลวงพ่อหอม วัดชากหมากป่าเรไร จ.ระยอง, หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จ.จันทบุรี, หลวงพ่อสมชาย วัดแม่นางปลื้ม จ.อยุธยา, หลวงพ่อสละ วัดประดู่ทรงธรรม จ.อยุธยา

    มีสิ่งที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากในการปลุกเสกพระเครื่องครั้งนี้ คือ ขณะที่หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ นั่งบริกรรมภาวนาอยู่นั้น ช่างภาพถ่ายรูปไม่ติด คือแฟลชไม่ขึ้น ถ่ายอยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จผล ต้องขออนุญาตท่านก่อนจึงได้ถ่ายติด ในระหว่างที่หลวงปู่ทิม นั่งบริกรรมภาวนาอยู่นั้น ถ้าท่านหลับตาลงครั้งใด ไฟฟ้าจะดับทันที เป็นอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง ดังนั้นท่านจึงต้องบริกรรมภาวนาลืมตาตลอดคืน ไม่ได้พักเลย จนกว่าเสร็จพิธีคือสว่าง (ในวันที่ทำพิธีปลุกเสกนั้นได้เริ่มพิธีตั้งแต่ 18.00 น.จนถึง 22.00 น. หลังจากนั้นพระเกจิอาจารย์ทั้งแปดรูปก็ได้กลับวัด เหลือแต่หลวงปู่ทิมที่ยังไม่ได้กลับ หลังจากนั่งพักผ่อนไม่นาน หลวงปู่ทิมจึงได้ก้าวขึ้นไปนั่งบนธรรมมาสน์อีกครั้ง ได้เริ่มนั่งปลุกเสกเดี่ยวต่อไป)

    [​IMG]

    [​IMG]




    ให้บูชา 1500 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0052.jpg
      scan0052.jpg
      ขนาดไฟล์:
      120.9 KB
      เปิดดู:
      128
    • scan0053.jpg
      scan0053.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.2 KB
      เปิดดู:
      133
  11. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 465 จัดหลวงพ่อทาบ มาแบบจุใจ

    พระสมเด็จสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง

    สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2505 โดยอาจารย์ปถม อาจสาคร เป็นผู้แนะนำ การตำ คลุกเค้าผงและกดพิมพ์พระ
    ลักษณะ เป็นพระเนื้อผงผสมสีผึ้งเขียว สีดำเข้ม พิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก มีทั้งแบบปิดทองคำเปลวด้านหน้าและไม่ปิด
    พุทธคุณ อานุภาพสุดยอดด้านเสน่ห์เมตตามหานิยม คงกระพัน แคล้วคลาดและโชคลาภค้าขาย
    มวลสารส่วนผสม
    1.ผงวิเศษเก่าของหลวงพ่อทาบ
    2.สีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบ
    3.ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ของอาจารย์ปถม อาจสาคร
    4.ผงถ่านคัมภีร์ใบลานโบราณเก่าของหลวงพ่อทาบ
    5.ผงวิเศษของหลวงพ่อบุญมี วัดโพธิสัมพันธ์ อ.ศรีราชา ชลบุรี
    6.ผงดินมงคลของหลวงพ่อทาบ
    7.ผงโยคีฮาเล็บ วัดสารนาถ อ.แกลง
    ปลุกเสกครั้งที่ 1
    หลวงพ่อทาบปลุกเสกเดี่ยว 1 พรรษาเต็ม
    ปลุกเสกครั้งที่ 2 รายนามพระเกจิอาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก ณ วัดกระบกขึ้นผึ้ง
    1.หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ รับนิมนต์เป็นประธานพิธี
    2.หลวงพ่อหอม วัดซากหมาก
    3.หลวงพ่อเย็น วัดบ้านแลง
    4.หลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอก
    พระเกจิอาจารย์ได้เข้าสมาธินั่งปรกปลุกเสกตั้งแต่ 18.00 น. ถึงประมาณ 02.00 น. ของวันใหม่ โดยเฉพาะเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ทิมอิสริโก รับนิมนต์มาปลุกเสกนอกวัดละหารไร่ และท่านได้นั่งปรกปลุกเสกรวดเดียว 8 ชั่วโมง โดยไม่หยุดพักฉันน้ำชา (ปกติจะลั่นฆ้องทุก 2 ชั่วโมงเพื่อให้พระคุณเจ้าได้ถอนสมาธิพักผ่อนอิริยาบถและฉันน้ำชาประมาณ 30 นาที)

    *ประสบการณ์พระผง

    ในงานวัดกระบกขึ้นผึ้ง บรรดาหนุ่มในหมู่บ้านหลายแห่งได้มาพบกันในงานวัด และต่างก็ได้รับแจกพระเครื่องผงดำไปคนละองค์สององค์ ก็มีเรื่องเฮี้ยวเกิดขึ้นจนได้มีการเขม่นและเกิดวิวาทตีรันฟันแทงกันขึ้น เพราะบ้านค่ายนั้นเป็นดินแดนของหนุ่มชาวไร่อ้อย ชาวไร่มัน และหนุ่มโรงน้ำตาล ผู้คนมาจากทุกสารทิศ เรื่องตีรันฟันแทงมีขึ้นเป็นประจำทุกงาน ปกติหากวัดที่มีเกจิอาจารย์ดังๆ เป็นเจ้าวัด เวลามีงานท่านมักจะนำตะกรุดมหาระงับไปแอบฝังไว้ตรงลานวัด เพื่อระงับเหตุไม่ให้มีการทะเลาะกัน แต่หลวงพ่อทาบท่านไม่ได้ทำ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครเลือดตกอย่างออกเลย ด้วยเหตุนี้พระเครื่องส่วนที่นำออกไว้แจกจึงหมดไปในเวลาไม่นาน และพระเครื่องชุดนั้นก็ดังระเบิด รายต่อมาสามล้อระยอง กำลังปั่นซาเล้งอยู่กลางถนน เสาไฟฟ้าเกิดหักลงเกือบจะทับรถ ซึ่งแล่นมาพอดี คนขับไม่เป็นอะไรเพราะในตัวมีพระผงซึ่งได้รับแจกมาจากหลวงพ่อทาบเพียงองค์เดียว เรื่องนี้ดังมากในตลาดยุดนั้น

    ส่วนในด้านเมตตามหานิยม มีคนง่อยอยู่ใกล้วัดกระบกขึ้นผึ้งคนหนึ่ง นับถือหลวงพ่อทาบ และได้รับพระผงพิมพ์พระปิดตาไว้องค์หนึ่ง หลวงพ่อทาบสั่งว่าถ้าใช้ด้วยความศรัทธาและมั่นใจก็จะสัมฤทธิ์ผลทุกอย่าง ชายง่อยผู้นี้เป็นคนง่อยประเภทโด่ไม่รู้ล้ม มีภรรยาถึง ๖ คน ทุกคนอยู่กับชายง่อยด้วยความสามัคคี ไม่มีเรื่องทะเลาะกัน จนเป็นที่อิจฉาของเพื่อนบ้าน กิตติศัพท์เรื่องนี้เคยมีคนมาขอซื้อพระองค์นี้ แต่เจ้าตัวไม่ยอมขาย

    ในด้านอยู่ยงคงกระพัน ศิษย์ของหลวงพ่อทาบคนหนึ่ง ใช้พระพิมพ์สมเด็จที่หลวงพ่อทาบปลุกเสก ติดตัวอยู่เป็นประจำ เคยถูกลอบยิงด้วยปืนลูกซองเต็มแผ่นหลัง แต่ไม่ระคายผิวหนัง มีเพียงรอยไหม้เป็นจุดเล็ก ๆ เท่านั้น

    อีกรายหนึ่งเป็นเรื่องราวขึ้นในสมัยหลวงพ่อทาบ มีหญิงคนหนึ่งชื่อ นางไม้ ใจกล้า อยู่บ้านหนองคอกหมู อ.บ้านค่าย ได้ออกไปเก็บผักเก็บหญ้ากลางทุ่ง ขณะนั้นฝนตกกำลังพรำ ๆ ฟ้าได้ผ่าถูกต้องนางไม้สลบที่ เสื้อผ้าที่สวมใส่ไหม้ไฟ สร้อยเงินที่ห้อยคอละลาย แต่พระพิมพ์หลวงพ่อทาบพิมพ์กลีบบัวยังอยู่ปกติ ผู้ที่มาช่วยปฐมพยาบาลร่างอันสลบไสลของนางไม้ต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน อิทธิปาฏิหาริย์หลายรูปแบบของพระเครื่องหลวงพ่อทาบมีมากมายหลายเรื่องในยุดนั้น จนเป็นที่กล่าวขวัญและเล่าลือกันทั่วไป


    ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,


    พิมพ์สมเด็จปิดทอง ให้บูชา 2500 บาท
    พิมพ์สมเด็จแขนกาง แบบไม่ปิดทอง (พระสวยมาก) ให้บูชา 2900 บาท
    พิมพ์ปรกโพธิ์รัศมี หลังรอยจารยันต์ห้าหลวงปู่ทิม ให้บูชา 3000 บาท


    มีพร้อมกัน 3 องค์จองทันกันแน่นอนครับ คราวนี้


    หนังสือสแกนมาจาก หนังสือกระแสพระ ฉบับเดือนนี้ กับหนังสือ siamamulet ฉบับเดือนล่าสุดเช่นกัน แสดงว่ากระแสวัตถุมงคลของท่านจะแรงมากๆ เพราะ หลวงปู่ทิม ร่วมเสกด้วย พระนอกวัดที่หลวงปู่ทิมเสก เช่น หลวงพ่อโสธร เจ้าพ่ออุเทนถวาย เหรียญพระเจ้าตากสิน วัดแม่น้ำคู้ ก็ราคาหลักพันทั้งหมดแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0001.jpg
      scan0001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      313.1 KB
      เปิดดู:
      190
    • scan0002.jpg
      scan0002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      285.7 KB
      เปิดดู:
      187
    • scan0036.jpg
      scan0036.jpg
      ขนาดไฟล์:
      206.9 KB
      เปิดดู:
      158
    • scan0035.jpg
      scan0035.jpg
      ขนาดไฟล์:
      193.6 KB
      เปิดดู:
      156
    • scan0037.jpg
      scan0037.jpg
      ขนาดไฟล์:
      184.7 KB
      เปิดดู:
      127
    • scan0038.jpg
      scan0038.jpg
      ขนาดไฟล์:
      194 KB
      เปิดดู:
      149
  12. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 465 (ต่อรูป)

    รูปแรกเป็นผ้ายันต์พัดโบกจารมือ หลวงปู่ทิมนะครับ เทียบลายมือ ลายเส้นยันต์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • b01-05-10-10-22-35-1.jpg
      b01-05-10-10-22-35-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      138.3 KB
      เปิดดู:
      147
    • scan0033.jpg
      scan0033.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.3 KB
      เปิดดู:
      114
    • scan0034.jpg
      scan0034.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.7 KB
      เปิดดู:
      99
    • scan0031.jpg
      scan0031.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.5 KB
      เปิดดู:
      125
    • scan0032.jpg
      scan0032.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.5 KB
      เปิดดู:
      103
    • scan0029.jpg
      scan0029.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.5 KB
      เปิดดู:
      130
    • scan0030.jpg
      scan0030.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.3 KB
      เปิดดู:
      118
  13. สุทธิธรรม

    สุทธิธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +259
    ขอจอง
    รายการที่ 464 พระผงน้ำมันวัดไผ่ล้อม ปี 2514


    รายการที่ 465 จัดหลวงพ่อทาบ มาแบบจุใจ
     
  14. สุทธิธรรม

    สุทธิธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +259
    เรียนท่านdekdelta2

    คราวนี้จองทัน ผมขอเสียมารยาท รับทั้ง 3 องค์เลยนะครับ
    รบกวนสีผึ้งตามรูปยังไม่ทัน ถ้ามีรบกวนด้วยนะครับ

    หากมีเรื่องอันใดรบกวนโทรแจ้งด้วย ต้องรีบไปงานศพท่านเจ้าคุณพิศิษฐ์
    ที่วัดไตรมิตรก่อนนะครับ

    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2010
  15. krit_eng99

    krit_eng99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    791
    ค่าพลัง:
    +2,228
    โห้ หลวงพ่อทาบสวยมากครับ คุณสุทธิธรรมโชคดีจัง
    พิมพ์ปรกโพธิ์รัศมี หลังรอยจารยันต์ห้าหลวงปู่ทิม รูปมองไม่เห็นรอยจารหลวงปู่ทิม แต่ 3,000 ถูกจัง
     
  16. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,968
    ค่าพลัง:
    +5,381
    รายการที่ 461 พระหลวงพ่อพ่วง วัดกก ปี 2473 (พิมพ์นิยมสูงสุด)<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->หลวงพ่อพ่วง วัดกก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ของหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง ขนาดลูกศิษย์ยังดังเป็ฯเหรียญหล่ออันดับ 1 ของสยามประเทศ
    ครั้งที่หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ชราภาพมากแล้ว มีคนมาขอวัตถุมงคลจากท่าน ท่านยังว่า ให้ไปขอที่อุปัชฌาย์พ่วง วัดกก องค์นี้เก่งจริงๆ

    พระพิมพ์นี้นิยมสูงสุด เพราะมี พศ 2473 ที่หน้าองค์พระ เริ่มเดิมที่ที่วัดให้บูชาสำหรับพิมพ์นี้ถึง 5000 บาท ต่างจากพิมพ์อื่นที่ให้บูชาเริ่มต้น 500-1000 บาท

    ให้บูชา 2000 บาท<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    ขอจองครับ
     
  17. คุณปิง

    คุณปิง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +60
    ไม่ทันหลวงพ่อทาบเลยครับเศร้าเลยขอจองล่วงหน้าเลยใด้ไม้ครับ
     
  18. ปัญจ

    ปัญจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    27,318
    ค่าพลัง:
    +87,993
    โอนแล้วครับ

    โอนแล้วครับ เข้าบัญชีวันจันทร์นะครับ
    จัดส่งที่อยู่เดิม พร้อมรายการที่ยังไม่ได้ส่งได้ครับ
    1149c.JPG
     
  19. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 466 ขี่เสือ หลวงพ่อผาด วัดดงตาล (ลป.ปานปลุกเสก)

    ให้บูชา 700 บาท องค์เลี่ยมพลาสติก 800 บาท

    ประวัติย่อ (ประวัติเต็มเลยลงไปแล้วนะครับ)
    พระพิมพ์นี้สร้างโดยหมอผาด(ต่อมาบวชเป็นพระ) ท่านเป็นศิษย์เรียนวิชาการรักษาโรค จาก หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ก่อนสร้างพระมาบรรจุกรุที่วัด ก็ได้อาราธนาให้หลวงพ่อปาน ปลุกเสกก่อน


    ปิดรายการองค์เลี่ยมครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0070.jpg
      scan0070.jpg
      ขนาดไฟล์:
      129.4 KB
      เปิดดู:
      447
    • scan0071.jpg
      scan0071.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.4 KB
      เปิดดู:
      161
    • scan0068.jpg
      scan0068.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.8 KB
      เปิดดู:
      127
    • scan0069.jpg
      scan0069.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.6 KB
      เปิดดู:
      131
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2010
  20. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 467 เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ (กรรมการตอกโค้ต)

    อัตชีวประวัติ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ(พระครูปราสาทพรหมคุณ สุสานทุ่งมน (วัดเพชรบุรี) อ.ปราสาท จ.สุรินทร์

    เด็กชายสุวรรณหงษ์ จะมัวดี เป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียร มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา ได้ช่วยกิจการงานทุกอย่าง ทำนา หว่านกล้า เก็บเกี่ยวข้าว ด้วยความวิริยะอดทน จนอายุได้ 18 ปี มารดาขอร้องให้บวชเณร ด้วยสาเหตุเกรงว่าจะไปมีเรื่องกับผู้อื่น เพราะเป็นช่วงเวลาของวัยรุ่นอารมณ์ร้อน ซึ่งโดยนิสัยแล้วเป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็ง ไม่เกรงกลัวใคร สุดท้ายเห็นแก่มารดาจึงตัดสินใจบวชให้แค่เพียง 7 วัน
    ครั้นบรรพชาแล้วพระอุปัชฌาย์ได้ตั้งนามให้ใหม่ว่า"สามเณรพรหมศร" ลุมาได้ 3 วัน ขณะนั่งบนแคร่ไม้ใต้โคนต้นมะขามใหญ่ได้มีบุรุษหญิงชายแปลกหน้าทั้งมีอายุแก่และหนุ่ม แต่งกายแบบชาวบ้านมาขอร้องให้เทศน์โปรดทีเถิด สามเณรพรหมศรกล่าวว่า “ฉันพึ่งบวชได้ไม่ถึงวันยังเทศน์ไม่เป็นหรอก ชายหญิงผู้แปลกหน้าทั้งหลายต่างให้ข้อแนะนำว่า” “ท่านเจ้าคะท่านเทศน์ไม่เป็นก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ท่านทดลอง ว่านะโม 3 จบ ประเดี๋ยวท่านก็จะเทศน์ได้เองนั่นแหละ” สามสามเณรพรหมศรนั่งนิ่งแลสงสัยว่า บุคคลทั้งหลายเหล่านี้เป็นใคร? มาจากไหน? อยู่ๆก็มาขอร้องให้เราเทศน์ แต่เมื่อลองคิดแล้วเขาบอกให้ว่านะโม 3 จบ จากนั้นก็เป็นเรื่องที่ปากพูดไปได้เองเป็นเรื่องเป็นราว ชายหญิงทั้งหลายต่างนั่งพนมมือ อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ครั้นเทศน์จบก็กราบขอบคุณขอลากลับ หันไปอีกทาง ปรากฏว่าหายไปทางไหนก็ไม่รู้ ผู้เขียนกราบเรียนถามหลวงปู่ว่าทำไมสามเณรพรหมศรจึงเทศน์ได้ ท่านกล่าวว่า มันเป็นของเก่าหรือที่เรียกว่า “ธรรมบันดาล” ที่พาให้พูดกล่าวไปได้เอง ความตั้งใจที่จะบวชเพียง 7 วัน ก็อยู่เลยเรื่อยมาจนอายุครบ 20 ปี พระอุปัชฌาย์จึงอุปสมบทให้ ณ วัดเพชรบุรี ต.ทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ โดยตั้งนามฉายาให้ใหม่ว่า “พรหมปัญโญ” แปลว่า ผู้มีปัญญาดุจพรหม
    เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่หงษ์ ตั้งใจมั่นขยันหมั่นเพียรศึกษาพระปริยัติธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า หลวงปู่เป็นผู้มีความวิริยะสูง จดท่องจำแม่นยำยิ่งนัก ทั้งฝักใฝ่หาความรู้ เพียรหาครูบาอาจารย์อย่างไม่ลดละแม้จะไกลไปยาก ก็อุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางไป เพื่อให้ได้ความรู้กลับคืนมาเป็นรางวัล ด้วยปณิธานมั่นที่จะโปรดลูกหลานญาติโยมภายหน้า สืบไป
    ครั้นอุปสมบทได้แล้ว 3 พรรษา จึงกราบลาพระอุปัชฌาย์จาริกธุดงควัตรตามแบบฉบับแห่งพระบรมครู อาศัยอยู่ตามโคนไม้ นุ่งห่มใช้ผ้าเพียงสามผืน ทั้งถือที่สงบสัปปายะ เช่น ป่าช้าเป็นที่เจริญภาวนาเช้าค่ำ ขบฉันภัตตราหารเพียงมื้อเดียว ได้ท่องเที่ยวสู่เมืองขุขัน จ.ศรีสะเกษ เพราะเป็นเขตแห่งสรรพศาสตร์มนตรา จึงได้เข้าขอศึกษากับครูอาจารย์ที่เป็นทั้งฆราวาสก็ดี เป็นผู้ทรงศีลสมณะก็ตาม จนเป็นที่พอใจแล้ว จึงขออนุญาตลากลับเพื่อจาริกธุดงค์สู่พรมเปญ กัมพูชาสืบไป
    เมื่อธุดงค์ข้ามเขาเข้าเขตกัมพูชา อันเป็นที่ตระหนักดีอยู่แล้วว่าเป็นดินแดนแห่งอาณาจักรขอมถิ่นอาถรรพ์ เป็นที่รวมแห่งสรรพศาสตร์ ไสยเวทย์มนตรารุ่งเรืองนัก คงเป็นด้วยบุญบารมีเก่าหนุนนำ พาให้ได้พบกับครูบาอาจารย์เก่า เมื่อพบเห็นแล้วทุกครูอาจารย์ ต่างพึงพอใจในพระภิกษุหงษ์ พรหมปัญโญ ผู้สันโดษอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งนัก ได้บังเกิดความเมตตาประสิทธิประสาทสรรพวิชา ทั้งเวทย์มนแลคาถาเมตตา มหาเสน่ห์ กำบังภัยทั้งคุ้มครอง แคล้วคลาดกันอาวุธ ปืน หอก ดาบ ธนูหน้าไม้เขี้ยวงา ช้างเสือ หุงสีผึ้ง กันยาเบื่อ ทั้งคุณไสย ทำน้ำมนต์รดอาบต่างหายไป แม้นบ้าใบ้จิตหลอนก็อ่อนโยน จนลุเลยข้ามดงสู่จังหวัดสารพัดไต่เขาและภูผา อาศัยหุบเขาข้างห้วยเอนกายา ตกค่ำภาวนาตลอดไปยามสองจิตผ่องใส บังเกิดธรรมบันดาลพาพบไป กับพระอาจารย์ใหญ่องค์เทพเทวาได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาลงจารเสกปากกา อุปเท่มีคุณมากหนากว่าพันประการ ประทานเสร็จสอนจบครบตำรา พระพรหมปัญโญ ให้ปิติทั้งศรัทธา ตั้งจิตกราบครูบาแล้วเงยหน้าขอชมบารมี ทันทีที่ลืมตารูปท่านอาจารย์ใหญ่ก็จางหายทันที พระพรหมปัญโญ สุดที่จะเสียดายเพราะมิได้กล่าวคำว่าขอบคุณ แก่ท่านผู้กรุณาประสาทวิชา ครั้นล่องไพรในพนากลางป่าใหญ่ อัศจรรย์ใจเป็นนักหนาเห็นเด็กร่างดำใหญ่ดุจศิลา พลางผลักทักทายมาแต่ใด กุมารดินล้มหงายหลัง แล้วตั้งตรงทดลองใหม่ ผลักล้มมาด้านหน้า ทดลองถึงสองครั้งให้ระอาจึงแสดงกายาสูงใหญ่ได้ห้าเมตร แสดงเสร็จให้เกิดศรัทธาแล้วสั่งสอนถึงวิธีการสร้างกุมารทองให้ถูกต้องตามตำรับฉบับครู ครั้นธุดงค์ผ่านเขาพนาไพร นานอยู่ได้เกือบขวบปี แวะผ่านที่หมู่บ้านชื่อ “บ้านกรู”
    ณ หมู่บ้านนี้เองที่ชาวบ้านต่างกล่าวขานคุณงามความดีในวีรกรรมหลายๆสิ่งที่ไม่อาจลืมเลือนได้ จากหัวใจของทุกคน แม้หลวงปู่จะธุดงค์กลับประเทศไทยแล้วก็ตามจนขณะนี้หลวงปู่มีอายุย่าง 85 ปี จึงได้เดินทางไปเยี่ยมชาวกัมพูชา เมื่อชาวบ้านทราบข่าวว่าหลวงปู่จะมาต่างดีใจ ครั้นหลวงปู่ไปถึงชาวบ้านเกือบพันคนต่างนอนคว่ำเรียงรายตั้งแต่ถนนจนถึงศาลา แล้วอาราธนาให้หลวงปู่เดินเหยียบบนหลังของเขาเหล่านั้น หลวงปู่จะไม่เดินชาวบ้านเขาก็ไม่ยอม กล่าวว่ายอมพร้อมพลีกายด้วยความเคารพบูชา หลวงปู่ขัดเขามิได้จึงยอมเดินบนหลังของเขาเหล่านั้น แม้แต่ผู้เฒ่าอายุราว 100 กว่าปี เมื่อทราบข่าวว่าหลวงปู่หงษ์ มาก็อุตส่าห์ลากไม้เท้าหลังงองกเงิ่นเดินทางมากราบบูชา
    ผู้ติดตามหลวงปู่ทุกคนต่างแปลกใจและถามว่าทำไมจึงศรัทธาองค์หลวงปู่ขนาดนี้ พวกเราทุกคนต่างก็ถึงบางอ้อ! เพราะพ่อเฒ่าต่างเล่าให้ฟังว่า “หลานเอ๋ย ถ้าวันนั้นหลวงพ่อไม่ได้อยู่กับเราแล้ว หมู่บ้านกรูทั้งหมู่บ้านก็แตกกระจายป่นปี้ไปแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องแปลก ตาเองก็ไม่เคยเห็น ว่าลูกระเบิด และลูกปืนใหญ่ขนาดแตงโม มันตกมาบนหลังคาหญ้าแฝก แปลกที่มันไม่ทะลุหล่นลงมา กลับกลิ้งคลุกๆ ไปตามทางลาดชายคา พวกเราก็นึกว่าต้องตายแน่ๆ ถ้าลูกระเบิดตกกระทบกับพื้นดิน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังตุ้บ! ปรากฏว่าลูกปืนจมดินเกือบครึ่งลูก แต่มันอัศจรรย์มาก หลานเอ๋ย มันไม่ระเบิด! เท่านั้นแหละเม็ดกรวด เม็ดหิน แม้แต่ดินใต้แคร่ไม้ไผ่ เขายังขุดไปลึกเป็นเมตรเอาไปปั้นเป็นลูกอมตากแดด ครั้นหลวงพ่อกลับประเทศไทยไปแล้ว แคร่ตัวที่ท่านนั่งก็ยังไม่มีเหลือ ชาวบ้านเขาจุดธูปเอามาพลีแบ่งกันจบหมดไม่เหลือหรอ หลวงพ่อเน้อ! พร้อมกับยกมือไหว้ทางหลวงปู่หงษ์ พวกตาและชาวบ้านรอดตายมาได้ทุกคน เสมือนตายแล้วเกิดใหม่ เท่ากับหลวงพ่อท่านมาชุบชีวิตให้ใหม่”
    ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมชาวบ้านเขาจึงพร้อมใจกันยอมนอนคว่ำให้หลวงปู่ท่านเดินบนหลังของพวกเขา ชาวบ้านทุกคนเคารพรักหลวงปู่เสมือนเป็นเทพของพวกเขาทีเดียว เพราะมิใช่ว่าหลวงปู่ จะป้องกันภัยให้พวกเขาได้อย่างเดียว แต่หลวงปู่ได้แผ่เมตตาปล่อยสัตว์ ขุดบ่อ ขุดสระ สร้างฝายน้ำล้น ปลูกป่า ปล่อยช้าง วัว ควาย เต่า งู ตะขาบ สัตว์ทุกชนิด และสั่งห้ามมิให้ชาวบ้านทำลายป่าไม้ โดยอบรมสั่งสอนให้เห็นคุณและโทษของการไม่มีป่าไม้ไม่มีน้ำ จะเกิดความเดือนร้อนนานาประการ พร้อมทั้งสอนให้ชาวบ้านทุกคนถือศีลห้า ห้ามดื่มเหล้าเมายา แล้วครูอาจารย์ของหลวงปู่ท่านจะคุ้มครอง ทุกคนเคารพศรัทธาในหลวงปู่ได้ประพฤติปฏิบัติตาม จึงมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข
    หลวงปู่หงษ์ เป็นพระธุดงค์ ถือสันโดษ โปรดสัตว์ จึงไม่ติดกับที่อยู่ หรืออมิสลาภ จึงได้ลาญาติโยม เพื่อจาริกแสวงบุญต่อเรื่อยมา

    เมตตาบารมีอิทธิปาฏิหารย์ ปราบนางพญาโจรี
    หลวงปู่หงษ์ ธุดงค์จาริกแสวงบุญเรื่อยมายังเมืองพระตะบอง ขณะนั้น ชาวเมืองเกิดความเดือดร้อน ข้าวยากหมากแพง เกิดขโมย โจรชุกชุม แต่ยังมีกลุ่มโจรหนึ่งมีหัวหน้าเป็นสตรี มีลูกน้องกว่า 50 คน มีนามว่า “มะลิ” มะลิเป็นชื่อของสาวใหญ่ชาวเขมร ถือกำเนิด ณ เมืองพะตะบอง ในยุคนั้นแล้วต้องถือว่ามะลิเป็นสาวที่มีความงดงามที่สุด ความงามสมัยนั้นจะต้องมีผิวดำเป็นมัน ผมดำเงา มีความสง่าแฝงไปด้วยตะบะบารมีประดุจนางพญา เพราะนางนั้นมีสมุนพลพรรคบริวารประมาณกว่า 50 คน ทั้งนางและสมุนบริวารนั้นล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ทางราชการของกัมพูชาต้องการตัวมากที่สุด เพราะมะลิและบริวาร มีอาชีพในการจี้ปล้น
    แต่ก็เป็นโจรที่มีคุณธรรม เพราะข้าวของที่ได้มาจากการปล้นนั้นนางได้แบ่งปันแล้วก็นำไปแจกจ่ายแบ่งต่อคนยากจนด้วย ซึ่งการจี้ปล้นแต่ละครั้ง จะปล้นจากคนรวยมาแบ่งคนจน หรือการจี้ปล้นแต่ละครั้งนั้นจะกระทำก็ต่อเมื่อพรรคพวกอดอยากไม่มีจะกินแล้ว จึงทำการปล้น ในการลูกสมุนออกปล้นแต่ละครั้ง นางมะลิจะทำพิธีเบิกทางโจร ด้วยวิชาไสยศาสตร์โดยการตั้งขันทำน้ำมนต์เสร็จแล้วก็นำน้ำมนต์นี้แจกจ่ายแก่พวกสมุนให้ดื่มกินกันจนครบ จึงได้ออกกระทำการปล้น จนเป็นที่หวาดหวั่นสะพรึงกลัวต่อผู้มีฐานะร่ำรวย เดือดร้อนไปตามๆกัน จึงได้นำความนี้ขึ้นร้องเรียนแจ้งต่อกฎหมายบ้านเมือง แต่ก็มิได้รับผลสำเร็จแต่ประการใด เพราะยามใดที่ทางราชการออกกวาดล้างไล่จับ ก็ไม่สามารถจะจับได้ หรือติดตามได้ทัน ขนาดประชิดตัวเห็นอยู่หลัดๆจับได้ก็ดิ้นหลุด หายตัวมองไม่เห็นต่อหน้าต่อตา อย่างหาสาเหตุไม่พบ ขนาดตำรวจทราบลังหรือแหล่งที่อยู่ล้อมรอบไว้แล้วก็ยังมิอาจจะทำอะไรต่อสมุนนางได้
    เมื่อตำรวจล้อมบ้านยามใดสมุนทุกคนต่างกระโดดลงอ่างน้ำมนต์ หายไปต่อหน้าต่อตาเช่นกัน โดยที่บ้านเมืองนั้นต้องพบกับความผิดหวังร่ำไป และเมื่อทุกคนต่างทราบกิตติศัพท์ของหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ ว่าเป็นพระธุดงควัตร ประพฤติปฏิบัติดีมีสรรพวิชา เรืองด้วยวิทยาอาคมอันแก่กล้า ต่างก็นำความมากราบเล่าสู่หลวงปู่หงษ์ และขอความเมตตาช่วยเหลือปราบนางพญาโจรี และพรรคพวกด้วยเถิด หลวงปู่ก็ได้เมตตาสัตว์ที่ยากไร้ อันหาที่พึ่งมิได้ จึงได้ดำเนินเดินทางมาถึงบ้านของมะลิ และได้นั่งภาวนาแผ่เมตตาบารมีอยู่ ณ บนบ้านของนางพญาโจรี จนพลบค่ำนางพญาโจรีได้กลับมาถึงบ้าน หลวงปู่กล่าวว่านางมะลิมาแล้ว แต่ทุกคนก็มิอาจมองเห็นนางได้เลย แต่มะลินั้นมิอาจที่จะรอดพ้นสายตาของหลวงปู่หงษ์ผู้ทรงด้วยฌานแห่งทิพย์จักษุและเจโตปริยญานไปได้ ว่านางนั้นต้องการอะไร และจะประพฤติปฏิบัติเหตุการณ์อะไรต่อไปเป็นลำดับ ด้วยญานของอนาคตตังสะญาณ
    ทั้งที่นางมะลิพยายามก้าวขาขึ้นบันไดด้วยวิธีใดๆก็ตาม ก็มิอาจที่จะขึ้นบันไดบ้านของตนได้ จนหลวงปู่ได้กล่าวขึ้นว่า “อ้าว! ขึ้นมาบนเรือนซิ” นางจึงขึ้นมาบนเรือนได้ ทุกคนได้ยินเสียงเท้าคนเดินไปมา แต่ก็มิอาจที่จะมองเห็นนางมะลิได้อยู่ดีนั่นเอง จนหลวงปู่ได้กล่าวว่า “นั่งลงซี” พร้อมกันนั้นหลวงปู่ได้ทำการถอนเวทมนต์ทั้งปวง ทุกคนจึงได้เห็นว่านางมะลินั่งอยู่ หน้าหลวงปู่ ทันใดนางก็ชักปืนออกมาจากเอว หมายจะสังหารพระภิกษุรูปนี้เสีย แต่นางก็หาได้มีความไวเกินจากญานอันหยั่งรู้ของหลวงปู่ไปมิได้ ทันใดนั้นหลวงปู่ก็ตบที่หัวเข่าของท่านว่า “ติด” เป็นที่แปลก นางมะลินั้นมือก็ติดอยู่ที่ปืน และก็ไม่สามารถที่จะชักปืนนั้นออกมาจากเอวของนางได้ สักครู่ต่อมาหลวงปู่จึงได้ถามว่า “ยอมแล้วหรือยัง ถ้ายอมแพ้ให้กราบ” นางมะลิยอมแพ้และได้ก้มกราบแต่โดยดี และนำปืนไว้ข้างหน้า
    สักครู่นางจึงนึกว่าหลวงปู่ตายใจแล้วว่ายอมแพ้ พอหลวงปู่เผลอด้วยสัญชาติญาณของนางพญาโจรี นางก็ยื่นมือเตรียมหยิบปืน หมายจะสังหารหลวงปู่เสีย ให้สิ้นจงได้ แต่ก็มิสามารถที่จะหลุดเลยจากญานของหลวงปู่ไปได้ ทันใดนั้นหลวงปู่ก็ตบหัวเข่าของท่านอีกครั้ง และกล่าวว่า “ติด” ด้วยสัจจวาจาและตะบะบารมีจึงทำให้นางพญาโจรีจะเอื้อมหยิบปืนอย่างไรก็ไม่สามารถหยิบได้เลยทั้งๆที่ปืนนั้นอยู่ด้านหน้าของนางเองไม่ถึงศอก
    จากนั้นหลวงปู่หงษ์ ก็กล่าวอบรมให้สติ ด้วยหลักแห่งศีลและเมตตาธรรม จนนางนั้นได้เกิดความละอาย เกรงกลังต่อบาป บังเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถวายตัวเป็นอุบาสิกา และขอสมาทานศีลแปด ประพฤติดี ปฏิบัติชอบจนถึงทุกวันนี้ ณ ประเทศกัมพูชา ซึ่งหลวงปู่ก็นับถือน้ำใจของนางมะลิ ทั้งต่างให้ความนับถือกันเป็นพี่น้องบุญธรรมร่วมชาตินี้ด้วย
    ส่วนพรรคพวกสมุนบริวารต่างกลับตัวกลับใจ หันมาประกอบสัมมาอาชีพประพฤตัวถูกต้องตามกฎหมายเป็นพลเมืองดีของชาติบ้านเมืองสืบไป

    ห้าสิบห้าหาไม่เห็น
    หลวงปู่หงษ์ ได้ธุดงค์ ดั้นด้นมาถึงเขตดินแดงติดต่อระหว่างกัมพูชากับเวียตนาม(เวียตกง) ซึ่งขณะนั้นลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังเผยแพร่ มีอิทธิพลต่อทวีปเอเชียอาคเนย์เป็นอย่างมาก ได้มีหลายประเทศเปลี่ยนระบบการปกครองเป็นลัทธิดังกล่าว ในจำนวนนี้ ประเทศเวียตนาม หรือเรียกกันว่า “พวกเวียตกง” ก็เปลี่ยนระบบการปกครองไปแล้ว ระบอบการปกครองลัทธินี้ สอนให้ไม่มีศาสนา มีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเทวดา หรือว่าวิญญาณทั้งหลาย จึงได้กวาดล้างลัทธิของทุกศาสนาให้หมดไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นพระสงฆ์องค์เจ้าก็ต้องศึกไป บ้างก็ต้องหนีออกนอกประเทศ มิฉะนั้นจะถูกทำลายล้างเข่นฆ่าให้ตายหมด
    ขณะที่หลวงปู่หงษ์ ได้ธุดงค์มาถึง ณ เขตชายแดนประเทศกัมพูชา กับประเทศเวียตนาม ทันใดนั้นทหารเวียตกงก็ได้แห่กันมาประมาณห้าสิบกว่าคน ล้อมรอบกลดของหลวงปู่หงษ์ เพื่อจะจับนำตัวไปฆ่า แต่เมื่อเปิดผ้าคลุมมุ้งกลดดู ก็เห็นแต่กลดว่างเปล่า คงมีแต่กาน้ำใส่น้ำตั้งอยู่ กับบาตรและถุงยามเท่านั้น แต่องค์หลวงปู่นั้นได้หายไปแล้วจึงทำให้นึกย้อนเหตุการณ์สมัยหลวงปู่หงษ์ ผจญกับนางพญาโจรีที่พาลูกสมุนโดดลงขันน้ำกลางบ้านหายกันไปหมด แต่ได้กราบเรียนถามท่านแล้วว่าหลวงปู่ใช้วิชานี้หรือเปล่า หลวงปู่ท่านกล่าวตอบว่า “ทำมิได้หรอก” เป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ ที่จะช่วยให้ศัตรูเห็นก็ได้ หรือมิเห็นก็ได้ เป็นเรื่องของท่านหลวงปู่ทำไม่เป็นหรอก
    ซึ่งในการนี้ทหารเวียตกงจะค้นหาอย่างไรก็ไม่พบองค์หลวงปู่หงษ์ได้ ผลสุดท้ายท่านเมตตา และสงสารพวกทหารเวียตกง จึงได้ปรากฏกายยอมให้ทหารเวียตกงจับตัวไป โดยคิดปลงเสียว่า ถ้าอดีตเคยเป็นศัตรูกันมาก็ดี เคยเป็นเจ้ากรรมนายเวร จะนำไปฆ แกงอย่างไรก็เชิญจับไป ให้ถือว่าใช้เวรใช้กรรมกันเป็นชาติสุดท้าย จักได้เป็นอันตัดขาดหมดเวรหมดกรรมกันไป แต่ถ้ามิได้เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาก่อนแล้วละก็ ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยรักษา ครูบาอาจารย์รักษาคุ้มครอง อย่าได้เป็นอันตรายแต่ประการใดเลย
    ทันใดที่หลวงปู่ได้ปรากฏกายออกมาจากกลดนั้น ทหารเวียตกงต่างตกใจขวัญหนีดีฝ่อ จึงได้นำปืน M16 ประทับบ่าแล้วยิงถล่มสู่เป้าหมายถึงองค์หลวงปู่หงษ์ ทันที หลวงปู่นั้นก็ได้แต่ยืนเฉย หาได้สะทกสะท้าน หรือหวาดกลัวเสียงลูกปืนแต่ประการใดไม่ เพราะลูกปืนนั้นได้ตกลงกองอยู่ ณ ด้านปลายเท้าของหลวงปู่นั่นเอง ห่างจากปลายเท้าประมาณ 1 วา บางกระบอกปืนก็ยิงจนปากกระบอกแดง บางกระบอกลูกปืนไหลออกจากปากกระบอกเอง ซึ่งตามตำราของท่านเรียกว่า “ปืนแตกน้ำ” คือลูกกระสุนจะด้านหรือหมดสภาพประดุจลูกปืนหรือดินประสิวนั้น แช่อยู่ในน้ำ เวลายิงจึงด้าน และไหลออกมาประดุจว่าไหลมากับน้ำ จึงเรียกว่าปืนแตกน้ำ “ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดของวิชาคงกระพันของท่าน”
    เมื่อทหารเวียตกงจะฆ่าอย่างไรๆ ก็มิอาจฆ่าได้ ทุกคนต่างก็จนใจ ผลสุดท้ายจึงเข้ารุมจับหลวงปู่ แล้วนำมาใส่กรงเหล็ก นำเดินทางมาถึงท่าเรือ จากนั้นก็ยกกรงเหล็กใส่เรือตังเกออกสู่กลางทะเล สักครู่ต่อมาเวียตกงจึงนำเชือกผูกกรงเหล็ก แล้วยกกรงเหล็กถ่วงทะเล ประมาณ 10 นาทีต่อมาจึงได้สาวเชือกดึงกรงเหล็กขึ้นมา ทุกคนต้องตกใจอย่างที่สุด เพราะพระภิกษุที่อยู่ในกรงเหล็กนั้นนั่งสมาธิเฉยหาได้สะทกสะท้านตกใจกลังต่อภัยใดๆไม่ แถมจีวรที่นุ่งห่มอยู่นั้นก็ไม่เปียกน้ำทะเลแต่ประการใด
    ซึ่งการนี้ได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่าทำไมจีวรของหลวงปู่จึงไม่เปียกน้ำ หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า “อ๋อศีลคุ้ม คนเราถ้ามีศีลมั่นถือมั่น ในปฏิทาแห่งคุณพระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์แล้ว เชื่อว่าตกน้ำก็ไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้ ประกอบกับการที่เรามีเมตตาอธิษฐานแผ่ยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย”
    แต่ก็ยังไม่สะใจพวกทหารเวียตกงอยู่นั่นแหละ เพราะเขากลับมีคำสั่งให้เรือหาปลานั้นวิ่งแล่นต่อไปอีกไกลแสนไกล จนเห็นแค่ขอบฟ้าจรดผิวน้ำเท่านั้น จากนั้นก็นำกรงเหล็กหย่อนลงมหาสมุทร อยู่นานสักประมาณ 10 นาที จึงได้สาวเชือกขึ้นมา ทันใดทหารเวียตกงก็ต้องช๊อก เพราะว่าหลวงปู่นั้นยังคงนั่งสมาธิเฉยดุจเดิมอยู่ในกรงเหล็ก ทำให้พวกทหารเวียตกงนั้น หมดความสามารถที่จะประหารเข่นฆ่าพระภิษุรูปนี้ได้ จึงได้สั่งคนเรือหัวเรือกลับสู่ฝั่งของเมือง ได้กราบเรียนถามว่า”หลวงปู่หงษ์ ทราบได้อย่างไรว่าเป็นมหาสมุทรมิใช่ทะเล” หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า “ก็น้ำในมหาสมุทรนั้นจะเย็นมากกว่าน้ำในทะเล ผู้เขียนจึงถึงบางอ้อ และมีความรู้เพิ่มขึ้นอีก”
    ในที่สุดเรือหาปลาก็แล่นเข้าหาฝั่งอีกครั้ง แต่ทหารเวียตกงนั้นก็มิได้ละความพยายามแต่ประการใด ต่างก็ช่วยกันยกกรงเหล็กลงและรุมกระชากองค์หลวงปู่หงษ์ ออกมาจากกรงเหล็ก อีกสี่คนช่วยกันจับแขนทั้งสอง และขาทั้งสองอยู่ในลักษณะนอนคว่ำ จากนั้นก็นำพุ่งเข้าปากจระเข้ใหญ่ ซึ่งกำลังนอนหลับอ้าปากอยู่ ซึ่งตามลักษณะสัญชาติญาณของจระเข้แล้ว เวลานอน
    สุดท้ายทหารเวียตกงก็ยอมแพ้ในอิทธิบุญบารมีของหลวงปู่ จึงได้นำองค์หลวงปู่หงษ์ ออกจากจระเข้ใหญ่ พร้อมทั้งกราบถวายตัวเป็นศิษย์สืบมา

    สัจจวาจา...ปืนแตก
    หลวงปู่หงษ์ ได้เดินธุดงค์ จากเวียตนามสู่ประเทศกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง ขณะรุกขมูลอยู่กกลางป่าใหญ่นั้น จึงเต็มไปด้วยสัตว์ป่าน้อยใหญ่ ช้าง ม้า เสือ กวาง กระต่าย งู นานาพันธุ์ที่น่าแปลกยามใดที่หลวงปู่ปักกลดพักแรมเวลาค่ำคืน ณ ที่ใดก็ดี มักจะมีช้าง กวาง กระต่าย งูมาเป็นเพื่อนล้อมอยู่โดยรอบ ซึ่งหลวงปู่หงษ์ จะมีความสุขมากยามที่เงียบสงบ และได้พบกับสัตว์ป่านานาชนิดมาร่วมอยู่ข้างตัว ท่านเรียกว่า"เพื่อนของเรา" จนเวลารุ่งอรุณหลวงปู่หงษ์ จะบอกแก่สัตว์ทั้งหลายว่า ให้กลับเข้าป่าไป เดี๋ยวพวกคนป่า หรือนายพรานมาพบเข้าจะทำร้ายเอาให้รีบกลับเข้าป่าไปอย่างเป็นระเบียบ แต่น่าสงสารยังมีกวางท้องแก่ตัวหนึ่ง ท้องแก่มากเดินไม่ค่อยไหว เพราะต้องอุ้มท้องเดินต้วมเตี้ยมๆ อุ้ยอ้ายอยู่หลังสุด สักครู่ก็มีพรานป่าออกมาจากริมป่า พร้อมด้วยอาวุธปืนประทับบ่าเตรียมพร้อม จ้องสู่เป้าหมายคือกวางแม่ลูกอ่อน แต่ในยามนั้น ได้ลุล่วงสู่ฌาณสมาบัติของหลวงปู่หงษ์ จึงได้แผ่บารมีธรรมคุ้มครองป้องกัน ทั้งได้กล่าวด้วยเมตตาธรรมแห่งสัจจะวาจาว่า "อย่ายิงกวางแม่ลูกอ่อนนะ ถ้ายิงเดี๋ยวปืนมันจะแตก" ด้วยความไร้เมตตาและขาดคุณธรรมของนายพราน แถมยังดื้อดันมิยอมเชื่อฟัง คำห้ามปรามของภิกษุสงฆ์ ซึ่งขออภัยทานในชีวิตของสัตว์อีก
    จึงได้ยกปืนยาวขึ้นประทับบ่า แล้วลั่นไกปืนขึ้นทันที ทันใดนั้นเองปากกระบอกปืนของนายพรานดื้อก็ลั่นเสียงดัง เปรี๊ยะ! แต่เป็นเพียงให้หลาบจำมิได้เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่ประการใด ด้วย
    ความกลัวและตกใจ พรานป่าผู้ใจบาปจึงยอมลดปืนลง เบื้องหน้า พร้อมกับก้มกราบขอขมาต่อหลวงปู่ว่าจะไม่ประพฤติทำเช่นนี้อีกหลวงปู่จึงได้เมตตาให้โอวาทตักเตือน และให้พรจากนั้นพรานป่าจึงได้ลากลับสู่ครอบครัวของตน

    พระธาตุปรากฏ
    คุณหมอชัชชัย ด่านสุนทร นายแพทย์ประจำโรงพยาบาลบุรีรัมย์ได้หยิบพระพิฆเนศปางอ้อมจักรวาลเนื้อชานหมากกับพระพิมพ์ขุนแผนชัยวรมันให้ชมพร้อมกล่าว "แปลกนักพระเนื้อชานหมากทั้ง 2 นี้ได้มีเม็ดพระธาตุผุดเรียงเต็มไปหมดบางองค์ก็มากบางองค์ก็น้อย แต่ส่วนใหญ่ที่พิจารณาแล้วพระพิมพ์ขุนแผนชัยวรมันจะมีเม็ดพระธาตุขึ้นมากกว่าจึงได้พิจารณากันว่าพระธาตุที่ผุดขึ้นมีสีขาวทราบภายหลังว่า ในการผสมผงสร้างพระชุดนี้ ได้นำผงพระธาตุสิวลี ซึ่งหล่นอยู่ก้นโหลแก้วครั้งที่ คุณพี่ประดิษฐ์ สุขประเสริฐ ทายาทศิษย์สายหลวงพ่อดิ่ง วัดบางบัวจ.ฉะเชิงเทรา นำมาถวายหลวงปู่จึงได้นำผงพระธาตุสิวลีผสมกับผงของพระพิมพ์ขุนแผนชัยวรมัน ชุดนี้ด้วยประการแรก ประการที่สองเล็บของหลวงปู่นั้นงอกยาวได้ใสบ้าง เป็นเม็ดใสก็มี ประการที่สามอันว่าธาตุขันธ์ในกายของหลวงปู่ เช่น เกศ เล็บ น้ำลายผสมอยู่กับชานหมากก็ตาม เหล่านี้กระมังที่มาประชุมธาตุจนทำให้พระพิมพ์ ขุนแผนชัยวรมัน กับพิมพ์พระพิฆเนศ เนื้อผงชานหมากเหล่านี้ ปรากฏเป็นธาตุขึ้นได้ หรือแม้แต่พระผงรุ่นแรกพิมพ์นิยม พิมพ์ไกเซอร์ก็ดี พระพิมพ์สมเด็จ พระประธานก็ดี รุ่นฉลองชัยที่กดพิมพ์มือล้วนกรรมวิธีการสร้างแบบโบราณ คือ กดด้วยมือตัดขอบด้วยผิวไผ่หรือมีด ผึ่งลมตามธรรมชาติ เมื่อนำมาสักการบูชา ก็ปรากฏว่างอกได้ฟูได้ มีเม็ดพระธาตุงอกขึ้นเต็มทั้งองค์เช่นกัน หลวงปู่หงษ์ กล่าวว่า"เราตั้งใจทำให้จริงๆแล้วก็ทำให้อย่างดีด้วย เพราะว่าคณะศิษย์ตั้งใจทำเพื่อฉลองอายุครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์มิมีสิ่งใดที่จะตอบแทนน้ำใจ ก็มีแต่ศีลปฏิบัติภาวนาและน้ำจิตที่เป็นบุญเป็นกุศลสะสมมาแต่กาลก่อน อธิษฐานขอช่วยลูกศิษย์ให้ได้ดีทุกคนแต่ปรารถนา ขออย่างเดียวอย่าดื่มเหล้าหรือผิดลูกเมียผู้อื่นเขา อะไรก็ทำมิได้เลย สำหรับเรื่องนี้ทำให้นึกถึงคุณหมอชัชชัย หมอดีฝีมือเยี่ยมแห่งโรงพยาบาลบุรีรัมย์ จำได้ว่าวันที่ คุณหมอชัชชัย ได้ไปกราบหลวงปู่พร้อมกับผู้เขียนได้นำครอบน้ำมนต์ถวายหลวงปู่ได้ประสิทธิพร้อมขอน้ำมนต์ของหลวงปู่เติมไว้เป็นปฐม หลวงปู่เมตตาตักให้พร้อมกล่าวว่า"ให้นำน้ำธรรมดามาเติมใช้ได้ดี 108 ประการ" ครั้นกลับมาบ้านคุณหมอก็นึกถึง หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ว่าเวลาท่านสร้างพระมักนำพระแช่น้ำมนต์ 1-2 วัน นำขึ้นมาผึ่งก็บังเกิดมีพระธาตุผุดขึ้น เอ! ถ้าหลวงปู่ของเราก็น่าจะทำได้เช่นกัน เพราะบารมีธรรมจริยปฏิปทา จึงทำให้เกศาที่บูชาก็ยังเป็นแก้วเป็นธาตุได้ ครั้นเวลากลางคืนได้ฝันถึงหลวงปู่มาบอกว่า "ให้นำพระขุนแผนชัยวรมัน แช่น้ำมนต์ ซึ่งประเดียวก็เห็นเอง" คุณหมอชัชชัย สะดุ้งตื่น แต่มีความรู้สึกว่าหลวงปู่มากล่าวพูดเช่นนั้น จึงได้อาราธนาพระขุนแผนชัยวรมันองค์ละ 100 บาท แช่น้ำมนต์ประมาณ 1-2 วันแล้วนำมาผึ่งวางไว้ พอเวลาค่ำได้พบเห็นว่า พระพิมพ์ขุนแผนชัยวรมัน เกิดมีธาตุใสได้ จึงปลื้มปิติยินดีอย่างที่สุด

    ปฐมศรัทธา
    เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าพระที่ชอบอยู่กับงู พระที่ชอบปล่อยงู พระที่มีงูเป็นทหารในยุคนี้หมายถึงพระภิกษุรูปใด หนึ่งเดียวในสยามแห่งอีสานใต้ที่กระทำการดังกล่าวนี้เชื่องสุดๆ ประดุจปลาไหล เพราะหลวงปู่ท่านเป็นพระผู้มากด้วยเมตตาจิตต่อสัตว์ป่า แผ่บารมีธรรมสู่สัตว์โลก แม้แต่งูก็อยู่กับหนูได้ใต้โพรงหินไม่กัด ไม่กินกันหรืองูอยู่กับกบในสระน้ำไม่ทำร้ายกัน เป็นต้น สร้างความฉงนแก่ผู้พบเห็นนัก
    ยังมีเหตุการณ์หนึ่งที่ผู้เขียนได้พบเองสมัยครั้งแรกที่ได้ยินชื่อเสียงของหลวงปู่ใหม่ๆ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว โดยได้ยินบุคคลต่างๆทั่วไปกล่าวขานกันว่า หลวงปู่องค์นี้อยู่กับงู ชอบปล่อยสัตว์นานาชนิด จึงสนใจใคร่ติดตามไปจนถึงสำนักของหลวงปู่หงษ์ และต้องหายสงสัยหมดสิ้น ขณะนั้นเวลาประมาณ 6 โมงเช้า หลวงปู่นั่งออกรับญาติโยม สักครู่ต่อมาได้มีกระรอกขาวตัวหนึ่งไต่สายไฟจากป่ามายังที่หลวงปู่นั่งรับแขกโดยมิเกรงกลัวบุคคลที่นั่งเต็มไปหมด โดยวิ่งด้วยเท้าทั้ง 4 แล้วมาหยุดอยู่ข้างหน้าหลวงปู่ทันใดนั้นกระรอกยกขาคู่หน้าชูขึ้นคล้ายกับทำความเคารพ พลางส่งเสียงร้อง “จิกๆ” แล้ววิ่งมาทางด้านข้างขวาของหลวงปู่หงษ์ ที่มีจานองุ่นตั้งอยู่ เจ้ากระรอกก็วิ่งรอบจานองุ่นวิ่งกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้น
    โดยมิกล้าถือวิสาสะกินเองจนหลวงปู่ได้ยินเสียง “คลุกๆ” ไปมาจึงได้หันมาทางจานองุ่นด้วยอากัปกริยาอมยิ้มแล้วพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เอาซิๆ” เท่านั้นและเจ้ากระรอกก็ตรงเข้ากัดกินองุ่นในจาน จากนั้นหลวงปู่ก็หันหน้ากลับมาทางญาติโยมแล้วเอ่ยว่า “เขากินไม่มากหรอกลูกสองลูกประเดี๋ยวก็ไป” และก็เป็นไปตามคำพูดของหลวงปู่เพราะเจ้ากระรอกเขากินเพียงสองเม็ดจริงๆ แล้วคลานออกไป แต่ที่แปลกประทับใจทุกคนที่ได้พบเห็นก็คือ ก่อนที่เจ้ากระรอกจะไปได้คลาน 4 เท้า ข้ามาพอถึงด้านหน้าหลวงปู่ก็ยกเท้าคู่หน้าชูคล้ายกับพนมมือแล้วส่งเสียงร้อง “จิกๆ” แล้วจึงหันหลังวิ่งไต่สายไฟกลับสู่ป่าอันเป็นที่อยู่อาศัย สิ่งเหล่านี้คืออะไร ทำไมสัตว์ป่าจึงต้องทำความเคารพทั้งมาและไป ทุกคนต่างนึกต่างคิด ต่างฉงนมึนงงไปตามๆกันแต่สุดท้ายที่ทุกคนสรุปก็คือ หลวงปู่องค์นี้มิใช้พระธรรมดาแน่แม้นแต่สัตว์ป่ายังกระทำความเคารพ แล้วทำไมเราเป็นคนมิลองศึกษาจริยาวัตรข้อธรรมและปฏิปทาของท่าน ครั้นเดินลงมายังข้างศาลาก็ต้องผงะหงายเพราะได้เจอกับอสรพิษนามว่าแสงอาทิตย์ นอนกลิ้งหงายไปมาประดุจว่ามีแต่เขาเพียงตัวเดียวอยู่บนโลกนี้ แต่ผู้เขียนเองเมื่อได้มอง เห็นแล้วว่าน่ารักดีดูแล้วเหมือนลูกสุนัขที่กลิ้งหงายไปมายามต้องแสงสุริยาเพลาเช้าอย่างนั้น จึงได้ถึงบางอ้อ! อ๋อ! หลวงปู่หงษ์ ท่านชอบปล่อยงู ตะขาบ แมงป่อง ก่อนจะปล่อยหลวงปู่จะเป่าเสกให้ก่อน แล้วจึงปล่อยสัตว์ทั้งหลายไปเพื่อให้เขาเชื่องไม่ทำร้ายคน เป่าเพื่อเป็นเกราะกำบังคุ้มครองสัตว์นั้นๆ เป่าเสกเพื่ออธิษฐานให้สัตว์เหล่านั้นเมื่อละโลกนี้ไปแล้วขอให้เกิดเป็นคน อย่าได้เป็นสัตว์ต้องทุกข์ทรมาน เหล่านี้คือน้ำจิตอันเยือกเย็นแผ่ไพศาลยังสรรพสัตว์ทั้งหลายของโลก ให้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ละเลิกจากความเบียดเบียนซึ่งกันและกันย่อมเป็นสุข

    หลวงปู่สอนให้อดทนข่มใจ
    หลวงปู่หงษ์ ได้เมตตาให้กั้นลวดหนามเพื่อป้องกันสัตว์ลงไปเล่น เป็นที่น่ายินดีที่ทำงานเสร็จภายใน 1 วัน ด้วยการใช้กำลังแรงงานเพียง 80 คน ซึ่งรวมระยะเวลาล้อมประมาณ 7 ไร่กว่า หลวงปู่กล่าวว่าปลื้มใจที่ทุกคนตั้งใจร่วมใจกันทำงานอย่างขมีขมันมีความรับผิดชอบ ใครมีหน้าที่อย่างไรก็ทำตามหน้าที่ของตนก็สัมฤทธิผลได้ในกิจการนั้นๆ งานใดสิ่งใดก็ตาม เรามีความตั้งมั่น มีความ มุมานะ มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักอดออมเก็บความรู้สึกไว้ให้ได้ ผู้นั้นก็ย่อมประสบผลสำเร็จในกิจการนั้นๆ อีกสิ่งที่สำคัญคือจิต มีความไวมากในการสัมผัสรับรู้ หากเราไม่รู้เท่าทันตัวจิตนี้แล้วเราก็ต้องตกเป็นเหยื่อของสิ่งภายนอกที่เข้ามากระทบทุกๆเรื่องไป และถ้ายิ่งมีการปะทะโต้ตอบกันไปมาไม่รู้จักข่มใจตนเองสิ่งที่จะตามมาคือความเสียหาย ดังนั้นขอให้ลูกหลานรู้จักอดออม ข่มใจตนเอง ใครเขาจะว่าอย่างไรก็ขอให้นิ่งเฉยเสียเขาว่ามานั้นมิได้เจ็บปวดแต่ประการใด ถ้าจิตใจของเราไม่ไปปรุงแต่งในคำพูดของเขานั้นๆว่าเจ็บปวด ทุกสิ่งทุกอย่างขอให้ทุกคนดูตัวเอง ดูใจตัวเองว่าตัวเราเอง ตำหนิใจตัวเอง จนหาคำว่าตัวเราเองไม่ได้แล้วว่าไม่ดีจึงค่อยว่าผู้อื่นเขา ขอให้ระลึกนึกถึงว่า คนเราทุกวันนี้มักมีอายุไม่ค่อยยืนยาว อยู่กันไปไม่ถึง 100 ปี ก็ต้องจากกันไปทุกคน นี้คือความจริงแท้แน่นอน
    ทุกคนที่ได้สดับรับฟังต่าง ปิติยินดีที่หลวงปู่ได้เมตตาแนะนำกระแสธรรมให้มีจิตระลึกได้ เพราะคนเราทุกวันนี้ลืมนึกไปว่าเกิดแล้วไม่ตาย จึงต่างขวนขวายชิงดีชิงเด่น เอารัดเอาเปรียบกันสารพัด ขาดทมะ คือ ขาดความข่มใจ ไม่รู้จักการให้อภัย ขาดความเมตตาต่อกัน โลกเราทุกวันนี้จึงมีแต่ความร้อนระอุเร่าร้อนกัดกร่อนในการจัดสร้างความดี ก็คงต้องช่วยกันเรียกร้องให้พวกเราทุกคน รู้จักการให้อภัยมีเมตตาต่อกันและกัน สร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดีงาม เชื่อว่าโลกนี้จักสวยงามน่าอยู่สืบไป
    นอกจากนี้หลวงปู่หงษ์ยังเป็นครูบาอาจารย์ที่คอยพูดให้เราเห็น แสดงอาการกระทำให้เรารู้เป็นตัวอย่างทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ ด้วยจิตปรมัติตั้งมั่นให้ลูกหลานทุกคนสร้างความดี หนีความชั่ว ด้วยการตั้ง “กองทัพศีลห้า”
    ซึ่งตอนนี้หลวงปู่หงษ์กำลังเปิดรับสมัครกองพลทหารศีลห้า หลักกติกาไม่มีอะไรมาก ไม่จำกัดเพศและวัย ใบสมัครไม่ต้องใช้ สิ่งที่ต้องตระเตรียมก็คือ กาย วาจา และใจ ด้วยการกรองข้อมูลทางวาจาสู่ใจ “ว่าข้าพเจ้าจะรักษาศีลห้าปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่อย่างเคร่งครัด” เท่านี้ก็เป็นการบันทึกข้อมูลแล้วและหลวงปู่ท่านก็รับเป็นลูกศิษย์ ผลที่จักได้รับ คือบุญกุศลความดีที่ติดตามไปยามมีเหตุคับขันให้ภาวนา “นะเมติ” หลวงปู่และครูบาอาจารย์ของท่านจักลงมาช่วยคุ้มครองเอง นึกคิดประสงค์สิ่งใดจักสมใจปรารถนาทุกประการ หลวงปู่มักกล่าวเสมอๆว่า “เทวดาครูบาอาจารย์เขาช่วยคนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้”

    คุ้มศิษย์ต่างแดน

    “ประสบการณ์ต่างแดนหลวงปู่คุ้มครองลูกศิษย์ ณ ประเทศเยอรมันได้อย่างไร คงเป็นผลพวงจากการที่ คุณสุพิชา คงทอง นั้นได้สมัครเข้าเป็นกองกำลังพลกองทัพศีลห้า” ของหลวงปู่กระมัง เพราะโดยลำพังแล้วคุณสุพิชา คงทอง เป็นสตรีผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือบุคคลอื่นๆ และมีนิสัยเฉพาะตัวอีกอย่างหนึ่งเป็นคนชอบพูดคุย ใจคิดอย่างไร ปากก็จักพูดตามไปเช่นกัน และเมื่อต้นปีได้เดินทางไปทำงาน ณ ประเทศเยอรมัน ซึ่งมีคนไทยเป็นเจ้าของกิจการ ก็เป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลทั่วไป เมื่อเป็นคนมาใหม่ก็ย่อมถูกลองของ หรือกลั่นแกล้งจับผิดจากเพื่อนร่วมงานพูดง่ายๆ เสมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ ตนจึงต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ด้วยความเป็นคนช่างพูดเห็นสิ่งใด ไม่ถูกต้องก็จะพูดกล่าวไป ครั้งเวลาพลบค่ำจะต้องสวดมนต์ไหว้พระระลึกนึกถึง หลวงปู่ทุกวัน จึงได้ฝันเห็นหลวงปู่ถึง 3 วันติดๆ ในคืนวันทื่ 4 ได้เกิดเหตุการณ์ แปลกกว่าทุกวัน เพราะหลวงปู่ได้นำกำหญ้าคามาปิดปากคุณสุพิชา รุ่งเช้าคุณสุพิชา ได้โทรเล่าเรื่องให้ผู้เขียนฟังพร้อมกับกล่าวว่า ทำไมหลวงปู่ท่าน จึงเอาไม้พรมน้ำมนต์มาปิดปากหนู ผู้เขียนกล่าวว่า “เขาเรียกกำหญ้าคา สำหรับพรมน้ำมนต์” นั้นแหละหนูพูดไม่ถูกแต่เอ! ท่านจะไม่ให้หนูพูดหรืออย่างไรค่ะ? ผู้เขียนตอบ “แน่นอนถูกต้องตามที่คุณเข้าใจ เราเป็นคนใหม่อยู่คนเดียวกับอีกฝ่ายเขารวมกันเป็นหมวดหมู่ อย่างไรก็ตามไม้ซีกจะไปงัดกับไม้ซุงย่อมไม่เป็นผล” จะเห็นได้ว่าหลวงปู่นั้นท่านไปได้ทุกเมื่อทุกประเทศ เอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง เยอรมัน ฯลฯ ขอเพียงให้ลูกศิษย์เป็นคนดีมีศีลห้า แล้วสิ่งใดๆ ก็ทำมิได้ ครูบาอาจารย์ท่านคุ้ม ไปอยู่เมืองไหนประทศไหน หลวงปู่หงษ์ ก็ตามไปคุ้มครองได้
    อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องแปลกสดๆร้อนๆ โดยใช้ชื่อเรื่องว่า “อยากเป็นลูกศิษย์หลวงปู่” เมื่อวันก่อนคุณเอนก ได้พาเพื่อนๆ มากราบรูปเหมือนหลวงปู่ที่กองทุนปลูกป่าหลวงปู่หงษ์ ซ.นวลจันทร์ คุณเสกสรรผู้เป็นเพื่อนได้นั่งพินิจพิเคราะห์พิจารณารูปหล่อเหมือนหลวงปู่กับนึกคิดอยู่ในใจว่า เอ! ทำไมเดียวนี้คนจึงหันมากราบหลวงปู่กันเยอะจึงได้น้อมจิตระลึกนึกถึงหลวงปู่ว่า กระผมขออธิษฐานขอเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ด้วยคนเถิด หากหลวงปู่รับทราบขอจงได้แสดงให้ลูกได้รู้ได้รู้ ด้วยเถิด จนเวลาพลบค่ำได้เวลานอนขณะนั้นเอนกายสู่หมอนยังมิทันได้หลับก็ปรากฏว่า หลวงปู่มายืนอยู่ข้างเตียงของผมพร้อมกับพูดว่า “เรียกมาทำไม” สักครู่ก็หายไป ผมดีใจปลื้มใจเป็นที่สุดที่หลวงปู่ได้เมตตารับผมเป็นลูกศิษย์แล้วหลวงปู่นี้เป็นที่สุดจริงๆ ผมได้เห็นแล้ว จากคนที่ไม่เคยแขวนพระ หรือเครื่องรางใดๆ เลย ก็ต้องกลับหาพระของหลวงปู่ขึ้นอาราธนาคล้องคออย่างสบายใจทำให้เป็นที่กังขาแก่มิตรสหาย ว่าทำไมเพื่อนเราจึงหันมานิยมพระเครื่องทั้งที่เป็นคนสมัยใหม่

    เผาขน อบต.
    เหตุการณ์ครั้งหลังจากที่คุณสุเมธ ถูกรอบยิงแสกหน้าแบบเผาขนที่สุสานทุ่งมน แต่กระสุนมิได้ออกเลยกับแตกคาปากกระบอกปืน ส่วนที่จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นญาติของคุณนิดรู้จักกับผู้เขียนดี โดยผู้เขียนได้มอบเหรียญพ่อรักลูกให้คุณนิดๆ ได้นำเหรียญขุดสระนี้มอบให้กับน้าชายได้ไม่ถึงสัปดาห์ ขณะเดินทางไปตลาดถูกคู่อริที่เคยมีเรื่องกันมาก่อน นำปืนลูกโม่จ่อยิงเผาขนจนหมดโม่ แต่ผลไม่ระคายผิวหนังเลยเช่นกัน จากนั้นผู้ร้ายก็วิ่งหนีไป ประชาชนชาวเพชรที่อยู่ละแวกนั้นต่างตรงรี่เข้ามาขอดูว่าคุณแขวนพระดีอะไร? น้าของคุณนิดกล่าวว่ามีเหรียญของหลวงปู่หงส์รุ่นขุดสระ หลานชายมาจากกรุงเทพฯ มอบไว้ให้ พลางสั่งกำชับไว้ว่าให้เก็บไว้ให้ดี เพราะเป็นเหรียญรุ่นแรกและเคยมีประสบการณ์มาแล้วเมื่อหลังจากวันเสร็จพิธีพุทธาภิเษก โดยนายตำรวจได้นำเหรียญขุดสระเนื้อสำริดไปลองยิงดูปรากฏว่าปืนไม่ลั่น แต่ยกขึ้นฟ้าไกปืนทำงานตามปกติจนถึงลูกที่สามก็ยิงไม่ออกเช่นกัน หลวงปู่ท่านทราบและสั่งห้ามว่าทำดีแล้วไม่ต้องลอง แล้วจักเห็นเองยามคับขัน การกระทำเช่นนั้นเป็นการประมาทต่อครูบาอาจารย์ทีหลังอย่าทำอีกเล่นเอาตำรวจผู้นั้นหน้าหง๋อยไป
    ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมชาวบ้านเขาจึงพร้อมใจกันยอมนอนคว่ำให้หลวงปู่ท่านเดนบนหลังของวกเขา ชาวบ้านทุกคนเคารพรักหลวงปู่เสมือนเป็นเทพเจ้าของพวกเขาทีเดียว เพราะมิใช่ว่าหลวงปู่หงษ์ จะป้องกันภัยให้พวกเขาได้อย่างเดียว แต่หลวงปู่หงษ์ได้แผ่เมตตาปล่อยสัตว์ ขุดบ่อ ขุดสระ สร้างฝายน้ำล้น ปลูกผ่า ปล่อยช้าง วัว ควาย เต่า งู ตะขาบ สัตว์ทุกชนิด และสั่งห้ามมิให้ชาวบ้านทำลายป่าไม้โดยอบรมสั่งสอนให้เห็นคุณ และโทษของการไม่มีป่าได้ไม่มีน้ำจะ เกิดความเดือดร้อนนานาประการ พร้อมทั้งสอนให้ชาวบ้านทุกคนถือศีลห้า ห้ามดื่มเหล้าเมายา แล้วครูอาจารย์ของหลวงปู่ท่านจะคุ้มครอง ทุกคนเคารพศรัทธาในองค์หลวงปู่ได้ประพฤติปฏิบัติตาม จึงมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข

    [​IMG]

    หลวงปู่หงษ์ คาถาต่างๆ

    วิธีบูชากุมารทอง หลวงปู่หงษ์

    ตั้งนะโม 3 จบ จุดธูป 5 ดอก บอกพระภูมิ-เจ้าที่ หรือตี่จูเอี๊ย เพื่อขออันเชิญกุมารทอง...เข้าบ้านเรือนเพื่อเป็นศิริมงคล คุ้มครองป้องกัน บันดาลโชคลาภ ทำการค้าให้เจริญ

    จุดธูป 5ดอก ภาวนา"นะเมติปะจะขะ" 9 จบ ถวาย นม น้ำแดง ยาคูล ขนม กล้วย(เท่าที่มี หรือหาได้) แล้วตั้งจิตอธิฐาน ขอพรตามความปราถนา ทรัพสมบัติทั้งหลาย ยกให้กุมารทอง เป็นผู้คุ้มครองดูแลรักษา และช่วยหามาเพิ่มเติมด้วยเถิด

    คาถาอาราธนา ตะกรุดน้ำ

    ตั้งนะโม 3 จบ "นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะเมติ"9-12 จบ

    คาถาอาราธนา ตะกรุดดิน(ตะกรุดขอมดำดิน)

    ตั้งนะโม 3 จบ "นะโมพุทธายะ มะพะทะนะ จะภะกะสะ นะเมติ" 9-12 จบ

    คาถาอาราะนา ตะกรุดไฟ(ตะกรุดเตโช)

    ตั้งนะโม 3 จบ "นะโมพุทธายะ พะทะนะมะ จะภะกะสะ นะเมติ"9-12 จบ

    คาถาอาราธนา ตะกรุดลม(ตะกรุดวายุ)

    ตั้งนะโม 3 จบ "นะโมพุทธายะ ทะนะมะพะ จะภะกะสะ นะเมติ"9-12 จบ

    คาถาอาราธนา ตะกรุดชัยวรมัน

    ตั้งนะโม 3 จบ"นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ อะภะอะ นะเมติ"9-12 จบ

    คาถาอาราธนา พญาเสือดำ

    ตั้งนะโม 3 จบ"ยะขังนิขังวา อะภะอะ สิงหะละหุ นะเมติ"9-12 จบ

    คาถาอาราธนาพระยาพาลี

    ตั้งนะโม 3 จบ "กัตตะ วุตตะ นะเมติ"9-12 จบ

    คาถาพระพิฆเนศ

    ตั้งนะโม 3 จบ"โอมนะมัสสะ ปัตตะเยนะมะ โอมมหาเทวะ มหาสะการัม มหาพิฆะเนศสะการัม วิญญานัง โฮม ทีปัง ธูปังปุบผัง นะโมนะมัสสะการัม"

    คาถาหัวใจพระพิฆเนศ

    "โอม พระพิฆเนศ สายะ นะโมพุทะยะ นะเมติ"

    คาถาบูชาปฐมครูปู่ตาไฟ

    ตั้งนะโม 3 จบ"โอม นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ นะเมติ ฦ ฦา ฤ ฤา นมัสสิตวา หลวงปู่ตาไฟ สิทธิเตโช มหาปุญโญ มหายะโส มหาลาโภ อิทธิ ฤทธิ ประสิทธิเม"


    คาถาบูชาพระสิวลี

    ตั้งนะโม 3 จบ "อิมัง อัคคีทานัง ปัพผัง พระสิมพะลี จะมหาเถรัง

    พุทธังปูเชมิ ธัมมังปูเชมิ สังฆังปูเชมิ

    สิมพะลี นันทะเถรัสสะ เอตะพัตตัง สัพพะธะนัง

    สาริกะธาตุ พุทธรูปปัง อะหังวันทามิ สัพพะทา



    พระคาถาหัวใจพระสิวลี

    นะชาลีติ ประสิทธิลาภา ปะสันนะจิตา สะทาโหติ ปิยังมะมะ

    สัพเพชะนา พะหูชะนา สัพเพทิสา สะมาคะตา กาละโภชนา

    วิกาละโภชนา อาคัจฉันติ ปิยังมะมะ

    พระคาถานี้หากเราจะไปหาลาภที่ไหน ให้ภาวนาไปเถิด จะทำให้มีลาภผลดีนักแล



    คาถาตะกรุดอุปคุปต์ อุดปืน

    อุปปะ คุตโต จะมหาเถโร อุทะง อัทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะเมติ

    คาถาพญาเต่าเรือน(เต่ากัสโป)

    "นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะเมติ"9-12 จบ

    คาถาลูกกรองพรหมปัญโญ

    "นะโมพุทธายะนะมะพะทะ นะเมติ"9-12 จบ

    คาถาท้าวเวสสุวรรณ

    "เวสสะ พุสะ นะมะพะทะ จะภะกะสะนะเมติ"


    ถ้ามีวัตถุมงคลของหลวงปู่หงษ์ ห้ามกินเหล้าเด็ดขาดนะครับ ออกไปกินเหล้าแล้วไม่ใส่ของไปก็เสื่อมครับ


    .................................................................................


    เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่หงษ์สร้าง ปี 2540 ได้อาราธนาหลวงปู่ธรรมรังสี หลวงปู่คีย์ วัดศรีลำยอง หลวงปู่ฤทธิ์ วัดชลประทาน ร่วมปลุกเสก

    หลังยันต์นะเมติ

    พระชุดนี้พิเศษที่ชุบทอง และชุบเงิน เป็นชุดของกรรมการ และยังมีตอกโค้ต ซึ่งในหนังสือพระเครื่อง เนื้อทองแดงธรรมดาก็ให้บูชาเกินกว่า 500 บาท แล้วครับ (เนื้อธรรมดามีด้านหลัง 3 แบบคือ หลังยันต์ หลังแม่ธรณี หลังพระโพสพ ปัจจุบันที่วัดให้บูชา 200 บาท )


    ให้บูชา เหรียญละ 349 บาท
    (promotion 2 เหรียญขึ้นไป เหรียญละ 300 บาท)
    พุทธคุณเย็นแบบพระโพธิสัตว์ เลือกได้นะครับ มีชุบเงิน 6 เหรียญเรียงจากซ้ายไปขวา บนลงล่าง (หมายเลข1-6)
    ชุบทอง มี 2 เหรียญครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0056.jpg
      scan0056.jpg
      ขนาดไฟล์:
      113.9 KB
      เปิดดู:
      152
    • scan0057.jpg
      scan0057.jpg
      ขนาดไฟล์:
      132.6 KB
      เปิดดู:
      142
    • scan0058.jpg
      scan0058.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.5 KB
      เปิดดู:
      139
    • scan0059.jpg
      scan0059.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89 KB
      เปิดดู:
      123
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...