NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ.. GRAND NATURE ..

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Little Duck, 25 กุมภาพันธ์ 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    สัมพันธภาพแห่งจิต ..

    สัมพันธ์ภาพแห่งจิต

    ด้วยความรักพระพุทธองค์มั่นคงถึงธรรมสูงยิ่ง คือเห็นพระองค์แท้จริงในทุกสิ่งทุกสัตย์ทุกคน ในพระไตรปิฎกที่พระพุทธองค์ได้พูดถึงการปฏิบัติในอริยสัจข้อที่ 4
    ไม่ว่าจะเป็นทางสายกลาง ไตรสิกขา หรืออริยมรรคมีองค์ 8 ก็ตามนี่แหละ คือแนวทางการปฏิบัติ หรือในหลักของไตรสิกขา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
    พระองค์ก็ทรงอุปมา อุปมัยไว้ ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 12 ทรงอุปมาการปฏิบัติในแนวทางของไตรสิกขา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เหมือนโคแม่ลูกอ่อน ที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ แล้วก็ชำเลืองลูกน้อยไปด้วย ก็เหมือนกับชีวิตของเรา ในชีวิตประจำวันทุกคนต้องทำกิจการงานต่างๆ ทำการงานไปด้วย ดูจิตใจไปด้วย ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ทำกิจการงานอะไรอยู่ก็ชำเลืองดูจิตใจไปด้วย หรือไม่ได้ทำอะไรอยู่ก็ชำเลืองดูจิตใจไปด้วย
    และเราก็จะ “พบสิ่งใหม่” หลังจากที่เราได้สังเกตจิตใจแล้วนั่นคือสิ่งที่เราไม่เคยพบมาก่อนเลย ถ้าเราไม่ได้หันเข้ามามองจิตใจ นั่นก็คือสภาวะจิตที่บริสุทธิ์ หรือจิตที่ประภัสสรของเรานั่นเอง ปภสสร มิท๐ จิตต๐ จิตที่ประภัสสรเรานี่เป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะขั้นอัลติมะ หรือธรรมชาติที่แท้จริงหรือ อสังขตธรรม ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดสิ้นสุด

    ทุกครั้งที่เราหันมามองจิตใจของเรา หรือมองขบวนการความคิด ความรู้สึกเราจะพบว่า ความคิดมันหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง ในขณะที่ความคิดมันหยุดไป ถ้าเราลืมตา เราก็จะเห็น หูเราก็ได้ยิน แต่การเห็นการได้ยินขณะที่จิตเราว่าง จิตที่ไม่มีความคิด มันต่างไปจากเดิมที่เราเคยดำเนินชีวิตมา แต่ก่อนไม่รู้ว่าจิตใจเราว่างพอเรามองเห็นสิ่งต่างๆ หรือได้ยินสิ่งต่างๆ จะมีบัญญัติหรือสัญญาความจำมีชื่อที่เราไปตั้งให้มันไว้

    ขบวนการความคิดก็เริ่มจากสัญญา สร้างสิ่งที่ถูกรู้ก็คือชื่อต่างๆ นั่นเอง ขบวนการความคิดนั้นแบ่งแยก สิ่งที่ถูกรู้กับผู้รู้ออกจากกัน จึงมีความรู้สึกว่าฉัน ผู้รู้ก็คือฉัน คือ อัตตาตัวตนนี่แหละเกิดจากความจำที่ไม่ใช่ความจริงความจำอันนี้เราเรียก ว่า สัญญาวิปลาส กลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้สร้างผู้รู้ขึ้นมา ผู้รู้ก็คือนาม สิ่งที่ถูกรู้ก็คือรูป มีการรับรู้อย่างแบ่งแยกเพราะอวิชชา ไม่มีปัญญาเห็นความจริง อย่างใน ปฏิจสมุปบาท หรือในเหตุแห่งเกิดทุกข์ เพราะไม่มีปัญญาเห็นความจริง อวิชชาทำให้เกิดความคิดหรือการปรุงแต่งของจิตใจ เกิดสังขาร สังขารทำให้เกิดวิญญาณ เกิดธรรมชาติรู้ วิญญาณทำให้เกิดนาม-รูป ทำให้เกิดการรับรู้อย่างแบ่งแยก มีสิ่งที่ถูกรู้มีผู้รู้ ก็นำไปสู่ความรู้สึกพอใจ-ไม่พอใจ นำไปสู่การให้ค่าตัดสิน ลงความเห็นที่เป็นคู่ๆ นี่คือความสุดโต่งทั้งสอง

    สิ่งต่างๆ ที่เราเห็นแล้วลงความเห็นว่าสูง-ต่ำ,ดำ-ขาว,ยาว-สั้น คือความสุดโต่งทั้งสอง เป็นมิฐฉาทิฐิ เป็นความเห็นที่ผิดจากความเป็นจริง ทางสายกลางอยู่เหนือของคู่ เป็นสภาวะจิตที่อยู่เหนือโลก โลกเป็นของคู่ เหนือปัญญาระดับเหตุผล นำไปสู่ความต้องการพอใจ-ไม่พอใจขึ้นมา ได้มาก็เกิดความยึดถือ ยึดติด เกิดเป็นภพ เป็นชาติ คือขบวนการความคิดในแต่ละขบวนการที่เกิดจากอวิชชา มีความรู้สึกว่ามีตัวเรา มีอัตตาตัวตน เมื่อมีความทุกข์ก็มีตัวเราเป็นผู้ทุกข์ มีความสุขก็มีตัวเราเป็นผู้สุขเป็นผลมาจากการรับรู้อย่างแบ่งแยก
    ถ้าเราปฏิบัติอยู่ในทัศนะที่มีการรับรู้อย่างแบ่งแยก ก็เหมือนชีวิตธรรมดาที่ยังดำเนินอยู่ในมิติของจิตสามัญสำนึก ทางสายกลางเป็นจุดเริ่มต้นที่จะไปพ้นขบวนการรับรู้อย่างแบ่งแยก ไปพ้นขบวนการความคิดที่เกิดจากอวิชชา
    เมื่อขบวนการความคิดหยุดลง จิตของเราว่าง,การรับรู้อย่างแบ่งแยกก็หมดไป สิ่งที่ถูกรู้ก็ไม่มี ผู้รู้ก็ไม่มี เราก็เห็นเฉยๆ ได้ยินเฉยๆ ที่เราเห็นเฉยๆ ได้ยินเฉยๆ คือเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะกับ พาหิยะ พาหิยะได้ดวงตาเห็นธรรม

    พอพระพุทธองค์ตรัสว่า “พาหิยะ เธอจงเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน รู้สักแต่ว่ารู้ ทราบก็สักแต่ว่าทราบ ถ้าเธอรับรู้ได้อย่างนี้ ตัวเธอก็ไม่มี”
    นั่นคือไม่มีผู้รู้ โลกนี้ก็ไม่มี โลกหน้าก็ไม่มีนี่คือไปพ้นเวลา


    เมื่อใดที่เราหันมาสังเกตจิตใจขบวนการความคิดมัน หยุดไป “สิ่งใหม่” ก็เกิดขึ้นนั่นคือการรับรู้อย่างไม่แบ่งแยกเราจะพบกับสภาวะจิตที่สะอาด บริสุทธิ์ ประภัสสร เราจะสัมผัสได้กับสัจจะที่แท้ ที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุดไม่มีของคู่ ไม่มีสกปรก-ไม่มีสะอาด, ไม่มีเกิด-ไม่มีดับ ก็คือ อสังขตธรรม หรือ บรมธรรม ถ้าเราสัมผัสได้กับสิ่งนี้เท่ากับเราพบทางแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ได้เห็นทางของการปฏิบัติแล้ว
    การปฏิบัติ หรือการภาวนาในทุกอริยาบทสามารถทำได้ เป็นการปฏิบัติที่อยู่บนฐานของจิตที่พ้นจากความรู้สึกที่มีตัวเรา นั่นคืออยู่บนฐานของ “ทางสายกลาง” อยู่บนฐานของจิตที่อยู่เหนือโลก จึงเป็นศิลปะของการปฏิบัติอย่างยิ่งในการภาวนา หากเราได้ประจักษ์ แจ้งกับจิตบริสุทธิ์ จิตที่ประภัสสรของเราเวลาต่างๆ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็จะสลายไป ภาวะนั้นไปพ้นกาลเวลา เป็นอกาลิโก นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติ

    อุบายต่างๆ มาสิ้นสุดตรงนี้ ที่เรากำหนดรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ว่าจะเป็นลมหายใจ ลูกแก้ว ที่เท้า ที่มือ อะไรต่างๆ อยู่ในขั้นอุบายเป็นมิติของจิตสามัญสำนึก มีสิ่งที่ถูกรู้มีผู้รู้ พอความคิดสงบลงด้วยการหันเข้ามาดูที่จิตใจของเรา สิ่งที่ถูกรู้และผู้รู้ก็จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นเอกภาพเดียวกัน เราก็จะเห็นสภาวะจิตที่อยู่เหนือการรับรู้อย่างแบ่งแยก อยู่เหนือของคู่ เราตระหนักรู้ตรงนี้ เราจะรู้สึกว่าเรากับสรรพสิ่งเป็นเอกภาพเดียวกัน หรือเป็นหนึ่งเดียวกัน คือไม่แบ่งแยกนั่นเอง คือความเป็นหนึ่ง,เห็นเฉยๆ ได้ยินเฉยๆ, เมื่อมันไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ ไม่มีผู้รู้มันก็รับรู้ในความเป็นหนึ่ง, คือรับรู้อย่างไม่แบ่งแยก

    เราต้องสัมผัสเอาเองว่าการรับรู้อย่างไม่แบ่งแยกเป็น อย่างไร มันก็เห็น ก็ไดยินไปพ้นชื่อ พ้นความรู้สึกที่มีตัวเราเป็นผู้เห็น เราจะต้องสัมผัสให้ได้ เห็นมันให้ชัดเลย ว่าสภาวะจิตที่มันว่างจากความคิด รับรู้ทางประสาทสัมผัสไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มันรับรู้อย่างไร เมื่อเราสามารถตระหนักรู้ถึงจิตที่มันบริสุทธิ์หรือประภัสสรแล้วนี่ เราก็จะรับรู้ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่แท้เป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ

    นั่นก็คือการบรรลุสัจจะหรือบรรลุธรรมไปพ้นกาลเวลา ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เมื่อเราสามารถเข้าถึงสิ่งนี้ได้เราก็เริ่มเดินทาง พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้ชี้ทาง

    ที่พระพุทธองค์ชี้ทางนี้ในวันอาสาฬหบูชา “สมณะทางสุดโต่งทั้งสองไม่ควรเดินให้เดินทางสายกลาง "

    แล้วท่านอัญญาโกญธัญญะ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม การได้ดวงตาเห็นธรรมก็คือเห็นสภาวะจิตที่มันไปพ้นโลก ไปพ้นของคู่ ไปพ้นกาลเวลา ไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเรานั่นเอง


    เมื่อใดก็ตามที่เราหันเข้ามามองจิตใจของเรา เราก็จะสัมผัสได้กับสิ่งนี้ เราก็จะรู้ว่าเวลานี่มันไม่ได้มีจริงๆ เวลามันเกิดจากความคิดของเรา เมื่อวานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ บางคนถามว่าเมื่อวานมีไหม วันนี้มีไหม พรุ่งนี้มีไหม มันมีเพราะเราคิด ถ้าเราไม่คิดมันก็เป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองหมายถึง ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามันมีหรือมันไม่มี เมื่อภาวะจิตของเราว่างจากขบวนการความคิดมันไปพ้นของคู่ ไปพ้นความมี ไปพ้นความไม่มี ไปพ้นสูง พ้นต่ำ พ้นดำ พ้นขาว พ้นถูก พ้นผิด ภาวะนั้นคือ “ทางสายกลาง” หรือจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติล่ะ
    ถ้าถามว่าความจริงแท้ หรือสัจจะคืออะไร หรือจิตประภัสสรคืออะไร เราไม่สามารถที่จะหาภาษาที่ไปอธิบายภาวะของความจริงนั้นได้เลย เพราะว่าคำถามเหล่านั้นมันมาจากฐานของความคิด ของมายา ความคิดนี้เป็นมายา ฐานของจิตสามัญสำนึกที่มีสัตว์บุคคลมีตัวตน แต่ถ้าเราเข้าถึงสัจจะ ก็คือเห็นภาวะจิตที่มันว่างหรือเห็นสูญญตา ภาวะนั้นมันมีธรรมชาติรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด ก็คือปรีชาญาณ หรือปัญญาญาณ ถ้าเราสร้างฐานของปัญญาญาณให้เกิดขึ้นกับจิตใจของตัวเรานี่เราจะรับรู้ของ คู่ๆ ที่เราเคยใช้มา สูง-ต่ำ, ดำ-ขาว, ยาว-สั้น, มันจะไม่ต่างกัน คือภาวะจิตที่ไปพ้นของคู่ จะเห็นสิ่งต่างๆ ไม่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหมือนกัน, เหมือน-แตกต่างมันเป็นของคู่


    เราจะรับรู้สิ่งต่างไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่แตกต่างกันคือมันเป็นของมันเช่นนั้นเองภาษาพระท่านใช้ ตถตา ตถตาเป็นหัวใจของพุทธศาสนา มันเป็นภาวะของจิตที่ตื่นขึ้นท่ามกลางภาพลวงตาที่เราเคยเห็นในมิติจิตสามัญ สำนึก ถ้าเรามองโลกมองชีวิตด้วยระดับปัญญาเหตุผลนี่ สิ่งต่างๆ ที่รับรู้มันเป็นมายา เป็นภาพลวงตา คือมันไม่ใช่ความจริง
    แต่ถ้าเรามองโลกด้วยปรีชาญาณ ด้วยปัญญาญาณ ภาพลวงตาเหล่านั้น หรือปรากฎการณ์เหล่านั้นมันจะกลายเป็นความจริง ปัญหาของมนุษย์คือเราไม่รู้ความจริง คิดว่าสิ่งต่างๆ ที่เรารับรู้ ในมิติจิตสามัญสำนึกว่า มันเกิด- มันดับ,เห็นมันมีตัวตน-เห็นมันไม่มีตัวตน อย่างนี้เป็นความจริง มนุษย์-ปุถุชน เราคิดอย่างนี้ เอาความรู้ที่ไม่จริงไปบริหารชีวิตเรา ไปบริหารสังคม ปัญหาต่างๆ จึงเกิดขึ้นมากมาย การแก้ปัญหาสังคมมันแก้ได้ด้วยการศึกษาหรือสิกขา ไม่ใช่ศึกษาให้ทุกคนมีความรู้สูงๆ ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แม้จะได้ปริญญามากมาย แต่ทางพุทธศาสนาก็ยังไม่ถือว่าเป็นบัณฑิต

    จะต้องเกิดธรรมจักษุ คือได้ดวงตาเห็นธรรมหรือเห็นความจริง นั่นคือปัญญาญาณหรือปรีชาญาณ เห็นสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็นหรือตามความเป็นจริง หรือมันเป็นของมันเช่นนั้นเอง ทางพุทธศาสนาถึงจะเรียกว่าเป็นบัณฑิต ในทางโลกเรียนเพื่อสะสมความรู้ การศึกษาที่แท้จริงมันจะต้องทำให้เกิดปรีชาญาณ เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง ทุกคนก็จะมีความรักเอื้ออาทร เกื้อกูลกันและกัน นี่คือการศึกษาที่แท้จริง ดำเนินชีวิตอย่างมีทุกข์น้อยที่สุด หรือไม่มีความทุกข์เลย

    อนัตตา ที่เราจะเห็นได้ก็ต้องเกิดจากปรีชาญาณ เกิดจากจิตที่ว่าง เกิดจากจิตที่ประภัสสรของเรา การปฏิบัติในทัศนะของไตรสิกขา ที่พระองค์อุปมาเหมือนโคแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้าแล้วชำเลืองดูลูกน้อย นี่คือหัวใจของการภาวนา เมื่อเราเห็นสภาวะจิตที่มันว่าง ไปพ้นความคิด ไปพ้นของคู่ นี่มันเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่พระพุทธองค์พูดไว้ในพระไตรปิฏก ในโอฆะสูตร เล่มที่ 15 พระองค์ปฏิบัติทุกอริยบท อย่างไม่พัก-ไม่เพียร, ไม่จม-ไม่ลอย ก็คือสภาวะจิตที่อยู่เหนือโลก เหนือของคู่นั่นเอง เราก็สามารถจะปฏิบัติได้ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน เราสามารถปฏิบัติได้

    เมื่อใดที่เราสังเกตจะเกิดความเข้าใจอันเกิดจากปรีชาญาณ คือการเข้าใจที่แท้จริง ที่เขาบอกว่าความรู้ที่สูงสุดก็คือไม่รู้อะไรเลย ในขณะที่เราสังเกตแล้วมันว่าง ไปพ้นบัญญัติ ไปพ้นชื่อต่างๆ ที่เราจดจำมา, ไม่รู้อะไรเลยในเรื่องของความรู้ต่างๆ แต่ตรงนั้นมันรู้ความจริง ตระหนักรู้ถึงธรรมชาติที่แท้, ถึงสัจจะขั้นอัลติมะ ถ้าหากเราสามารถจะพัฒนาตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ และสัมผัสได้กับสิ่งนี้ นี่เราเริ่มต้นเดินทางแล้ว เมื่อเราเริ่มต้นเดินทางของมรรค กับผลก็อยู่ด้วยกัน

    ขณะที่เรารับรู้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายด้วยใจที่มันว่างจากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่ง เมื่อจิตเป็นสัมมาสมาธิ หรือตั้งมั่นแล้ว ธรรมชาติรู้จะแผ่ขยาย การรับรู้ในความเป็นทั้งหมด หรือในความเป็นองค์รวม ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ พร้อมบนฐานของเอกภาพ บนฐานของการรับรู้โดยไม่แบ่งแยกใน ทุกขณะที่เคลื่อนไหว ทุกขณะที่ย่างก้าว เราจะต้องหาวิถี ของการรับรู้ ของความเป็นทั้งหมดที่อยู่บนฐานของเอกภาพ ในวิถีของเอกายมรรคโค ในวิถีของความเป็นหนึ่ง ของความเป็นเอกภาพด้วยตัวของเราเอง ขณะที่เรารับรู้ด้วยความรู้สึกที่ไม่มีตัวเรา, เราจะรู้สึกสบาย เราจะเห็นความเป็นธรรมชาติ หรือความเป็นเองของมัน นี่คือความมหัศจรรย์ของการดำเนินชีวิตอีกมิติหนึ่ง

    พระพุทธองค์ทรงปลุกให้เราตื่นขึ้นท่ามกลางภาพลวงตาต่างๆ ที่เรารู้ด้วยประสาทสัมผัสเมื่อเราตื่นขึ้นแล้วเราจะพบว่ามันเป็นความ มหัศจรรย์จริงๆ ที่เราเห็น ที่เราได้ยิน สิ่งต่างๆ ปรากฏการณ์ที่มันกำลังดำเนินไป เปลี่ยนแปลงไป จากขณะหนึ่งไปสู่ขณะหนึ่ง จากเหตุจากปัจจัยของมันเราจะพบความสด ความใหม่ของจิตใจ ที่มันกำลังรับรู้ เราจะพบความอิ่มเอิบ ความเบิกบานของจิตใจ ในสภาพที่เราสัมผัสได้กับสิ่งใหม่ ในทุกขณะนี่คือผล ที่มันดำเนินร่วมกับมรรค หรือทางที่เรากำลังย่างก้าว หรือที่เรียกว่าภาวนา


    เวลา ที่ทุกคนเป็นทาสมัน ที่เขาเปรียบเทียบไว้ หรือวาดไว้ในรูป ปฏิจสมุปบาท มนุษย์ทุกคนเป็นทาสของเวลาในมิติของจิตสามัญสำนึก เราเป็นทาสของเวลา เวลามันกลืนกินสรรพสิ่ง กลืนกินสรรพสัตว์ ก็คือทุกคนดำเนินชีวิตด้วย อดีต ปัจจุบัน อนาคต ดำเนินชีวิตอยู่ในปัจจุบันด้วยการเอาเรื่องราวต่างๆ หรือประสบการณ์ต่างๆ ในอดีตที่เราพบมาอันนี้เราชอบ อันนี้เราไม่ชอบมาดำเนินในชีวิตประจำวัน อดีตก็เกิดขึ้น ปัจจุบันก็เกิดขึ้น ความคาดหวังมันจะได้จะเป็นจะมี แล้วเราก็ทำให้มันได้ ให้มันเป็น ให้มันมี พอใจก็มีความสุข ไม่พอใจก็มีความทุกข์ นั่นคืออนาคต ทุกคนดำเนินชีวิตในมิติของการรับรู้อย่างแบ่งแยก ที่มีตัวเราเป็นศูนย์กลางนี่ตกเป็นทาสของเวลา มีอดีต มีปัจจุบัน มีอนาคต
    แต่เมื่อเราสามารถสัมผัสกับจุดเริ่มต้นของการ ปฏิบัติ คือทางสายกลางได้ มันไปพ้นเวลา นี่มันไปพ้นอดีต พ้นปัจจุบัน พ้นอนาคต เราเรียกจิตที่ประภัสสรหรือจิตที่สะอาด บริสุทธิ์ ที่เป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะว่าปัจจุบัน ถ้ามันมีปัจจุบัน หรือถ้ามันมีวันนี้ มันก็มีเมื่อวาน ก็มีพรุ่งนี้ ถ้ามีปัจจุบัน มีอดีต มีอนาคต อกาลิโก ไม่มีทั้งอดีต ทั้งปัจจุบัน ทั้งอนาคต ไปพ้นเวลามีแต่ความเปลี่ยนแปลงจากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่ง จากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่ง ไม่ได้หมายถึงเวลามันไปพ้นเวลาเหมือนกระแสน้ำมันไหลอยู่ตลอดเวลา

    หากเราเริ่มต้นด้วยทางสายกลางจนจิตของเราตั้งมั่น จิตตั้งมั่นก็คือ สัมมาสมาธิเมื่อขบวนการความคิดที่เกิดจากอุปาทานอย่างหยาบมันลดละไป จนกระทั่งอุปาทานอย่างกลางที่เรียกว่านิวรณ์ 5 กามฉันทะ พยาบาท ถินมิทะ อทัจจะ กุกุตจะ วิจิกิจฉา ต่างๆ เหล่านี้ลดน้อยลงไป ขบวนความคิดต่างๆ ลดน้อยลงไป,จิตของเราก็เริ่มตั้งมั่น สมาธิมันเป็นอะไรบางสิ่งที่เราไม่สามารถจะไปทำ ไม่สามารถทำด้วยความรู้สึกว่ามีตัวเราเข้าไปทำได้ มันจะต้องมีความเป็นเองของธรรมชาติ ความเป็นเองมันเป็นอย่างไร มันก็เป็นจากการที่เราดูมันบ่อยๆ สังเกตมันบ่อยๆ เรียนรู้มันบ่อยๆที่เรียกว่า สิกขานั่นแหละ

    ทุกครั้งที่เราดู เราสังเกต หรือเห็นมัน เห็นขบวนการความคิดต่างๆ มันเป็นการทำลายความยึดถือที่เราได้ยึดถือมาแล้ว จากความยึดถือที่แสดงออกมาอย่างหยาบๆ ทางกาย ทางวาจา แสดงออกมาในรูปของนิวรณ์ต่างๆ เราสังเกตมัน ดูมัน มันเป็นการทำลายอุปาทาน ความคิดมันก็น้อยลงไป นิวรณ์ต่างๆ มันก็ลดน้อยลงไป ธรรมชาติของสัจจะขั้นอัลติมะ หรือสูญญตามันก็เผยตัวของมันเองยาวนานขึ้น การแสดงตัวของมันยาวนานขึ้น มันเป็นความตั้งมั่นของธรรมชาติที่แท้ เมื่อกระทบอารมณ์ทางทวารต่างๆ หรือเมื่อมีอารมณ์ต่างๆ มากระทบไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เมื่อจิตมันว่างอยู่มันก็ไม่ปรุงแต่ง


    เมื่อมันไม่ปรุงแต่งก็ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกพอ ใจ-ไม่พอใจ, ของคู่ไม่มี จิตก็ตั้งมั่นอยู่ในความว่างในความเป็นปกติ นี่คือสัมมาสมาธิ คุณสมบัติของ สัมมาสมาธิ ปริสุทโธ บริสุทธิ์ สมาหิโต คือตั้งมั่น กัมณีโย พร้อมที่จะเข้าไปเกี่ยวข้อง, อะไรมันพร้อมก็ ปรีชาญาณ หรือปัญญาญาณ มันพร้อมที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ที่มากระทบอย่างมีปัญญา ปัญญาตัวนี้เขาเรียกว่า ปัญญาของสัตบุรุษ ปัญญาที่เข้าถึงสัจจะนั้นก็คือรู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล บริษัท บุคคล มันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยรู้จักประมาณต่างๆ เหล่านี้นี่คือการดำเนินชีวิตที่มีปรีชาญาณของบุคคลที่เข้าถึงสัจจะ
    ถ้าเราเริ่มต้นด้วย ”ทางสายกลาง” จนกระทั่งนิวรณ์ต่างๆ มันน้อยลงไปเข้าถึงหรือรู้จักสัมมาสมาธิ ปรีชาญาณก็เกิดทำหน้าที่รู้พร้อม ปรีชาญาณนี่เป็นธรรมชาติรู้ที่มีอยู่แล้ว มันเกิดจากสัจจะขั้นอัลติมะ มันเกิดจากความว่าง ปรีชาญาณนี่มันมีอยู่แล้วในคนเราทุกคนแต่มันไม่สามารถจะแสดงออกมาได้ก็เพราะ ว่าขบวนการความคิดปรุงแต่งที่เกิดจากอุปาทานหรือในระดับจิตสามัญสำนึกมันบัง ปัญญาระดับเหตุผลมันบัง เมื่อเราไปพ้นปัญญาระดับเหตุผล ปรีชาญาณมันก็แสดงตัวออกมาทำหน้าที่ตามธรรมชาติของมัน



    สัมมาสมาธิมันเป็นความเป็นเองจากความเข้าใจธรรมชาติของ จิตใจที่เราได้สังเกต, แล้วมันหยุดไป แต่ละครั้งที่เราสังเกต มันเกิดการพัฒนาจากการที่เราไปดูมัน สังเกตมัน เรียนรู้มัน อุปาทานต่างๆ ลดน้อยลง ธรรมชาติที่แท้ก็เผยตัวของมัน ธรรมชาติที่แท้มันเผยตัว มันก็มีธรรมชาติรู้มันจะรู้ในความเป็นทั้งหมด เจ้าปรีชาญาณมันรู้ต่างจากปัญญาระดับเหตุผล ปัญญาระดับเหตุผลมันมีขอบเขตจำกัดรู้ได้ทีละทวาร รู้ได้ทีละเรื่อง รู้ได้ทีละประตู และก็รู้เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ นี่มันมีขอบเขตจำกัด ปรีชาญาณมันไปพ้นความรู้ต่างๆ มันจึงไม่มีขอบเขตจำกัด ในการรับรู้ในความเป็นทั้งหมดรู้ในความเป็นองค์รวม ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันจะรู้พร้อมที่อยู้บนฐานของการรับรู้แบบไม่แบ่งแยก เป็นฐานของการเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง นี่คือธรรมชาติรู้ ที่เราพัฒนาขึ้นมาจากการภาวนา จากการปฏิบัติ เรานำปัญญาญาณนี้ หรือปรีชาญาณนี้มาใช้ในโลก หรือในจิตสามัญสำนึก ที่เราจะต้องคิด ต้องพูด ต้องทำ ใช้ภาษาโลกเป็นของคู่ ของคู่ต่างๆ มันยังคงอยู่ เราใช้มัน แต่เมื่อฐานจิตของเรามีปรีชาญาณ มีปัญญาญาณ หรือสัมมาทิฐิแล้วนี่ เจ้าปรีชาญาณ หรือสัมมาทิฐิมันทำลายการขัดแย้งต่างๆ ทำให้เราอยู่ในโลกอย่างไม่ขัดแย้ง

    มันเข้าใจ มันก็สามารถใช้ของคู่อย่างไม่ขัดแย้งนั่นก็คือเรามาทำงานร่วมกับโลก หรือร่วมกับจิตสามัญสำนึก หรือความรู้ต่างๆ ที่เราสะสมมา ปรีชาญาณจะนำความรู้ต่างๆ มาใช้ มาคิด แต่ขบวนการความคิดมันเปลี่ยนไป แต่ก่อนเราคิดอยู่บนฐานของๆคู่ แต่นี่เราคิดอยู่บนฐานของความจริง อยู่บนฐานของธรรมชาติรู้ในความเป็นองค์รวม ในความเป็นทั้งหมดนั่นก็คือเห็นสัจจะขั้นอัลติมะ ควบคู่ไปกับการคิด การพูด การทำ ในทุกขณะนี่คือการดำเนินชีวิตด้วย อริยมรรคมีองค์แปด สัมมาทิฐิเป็นตัวนำแม้เราจะคิด พูด ทำ มันก็ Perfect มันก็สัมมาหมด
    หากเรามีความเข้าใจเป็นฐานของการปฏิบัติก่อนแล้วนี่ เราก็จะตระหนักรู้ว่า การปฏิบัติของเรามันก้าวหน้าไหม มันพัฒนา มันต่างไปจากเดิม หรือยังไม่ต่างไปจากเดิมก็ด้วยการที่เราได้สัมผัสกับอารมณ์ต่างๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เมื่อรับรู้แล้วจิตของเราก็ยังปกติอยู่ไหม หรือมันหวั่นไหว หรือมันยังมีความรู้สึกพอใจ-ไม่พอใจ ถ้ามันยังมีความรู้สึกพอใจ-ไม่พอใจอยู่นี่ก็แสดงว่าขณะที่เรารับรู้อยู่นี่ เรามิได้เห็นจิตใจ เราไม่ได้สังเกตจิตใจในขณะนั้น เราไม่มีสติ แต่ถ้ามีสติเห็นมันว่างอยู่ รับรู้อะไรก็จะไม่ปรุงแต่ง

    การปฏิบัติในทัศนะนี้ สามารถที่จะนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เราไปนั่ง 1 ช.ม. ,2 ช.ม. หยุดกิจการงานต่างๆ ไม่รับรู้อะไรเลย อันนั้นยังไม่มีประโยชน์ ไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ถึงแม้ความสงบนั้นจะทำให้เรามีความสุข ก็ไม่มีประโยชน์ เราต้องการปัญญา หรือความสงบของจิตใจมาใช้ในการดำเนินชีวิต ที่เราต้องรับรู้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ รับรู้แล้วใจของเราเป็นปกติอยู่ มีปัญญาเข้าไปเกี่ยวข้องนี่คือเป้าหมายของการปฏิบัติ “ทางสายกลาง” มันถูกกับคนทุกยุค ทุกสมัยที่ไม่มีเวลาที่จะต้องเข้าไปวัด ไม่ทำการงานใดๆ เลย แต่ทางสายกลางนี้ ปฏิบัติได้ในกิจการงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะ ยืน เดิน นั่ง นอน ให้สังเกตจิตใจไปด้วย ถูกกับคนยุคใหม่ที่บอกว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ การงานในชีวิตประจำวันมันคือการปฏิบัติ
    หากเราสัมผัสได้กับจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติ ก็นับวันจะก้าวหน้า นับวันจะพัฒนา ก็เหมือนกับอาจารย์ที่บอกให้ลูกศิษย์เฝ้าสังเกตดูจิตใจไว้เธอจะได้เป็นพุทธะ ลูกศิษย์ ก็ไม่เชื่อ เช้าวันหนึ่งก็เดินไปบิณฑบาตไปเห็นเงาของตัวเองในน้ำ ที่ฝนตกเมื่อคืนมันขังอยู่ อุทานออกมาว่า” เงาคือฉัน ก็เดินลุยน้ำไป เงามันก็หายไป อุทานออกมาอีก ฉันไม่ใช่เงา” เงาก็คือฉัน ฉันไม่ใช่เงา ได้บรรลุธรรม ได้เห็นภาวะจิตที่ว่าง ว่างจากของคู่ หรือเห็นของคู่ที่มันไม่ต่างกัน ฉันคือเงา เงาไม่ใช่ฉัน นี่มันเป็นของคู่ ก็เห็นภาวะจิตที่ว่างก็ได้บรรลุธรรม

    หรืออย่างท่านโปถิระใบลานเปล่าท่านก็เฝ้าที่ใจของท่าน และก็จับเหี้ยได้ ที่เณรให้ปริศนาธรรมว่า

    “มีจอมปลวกอยู่จอมปลวกหนึ่งมีรูอยู่ 6 รู เจ้าเหี้ยมันวิ่งเข้า-ออก ที่รู 6 รู ทำอย่างไรถึงจะจับเหี้ยได้”

    จับความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในพุทธศาสนา นี่คือแนวทางของการปฏิบัติด้วยทางสายกลาง หรือไตรสิกขา
    ต้องเริ่มหันเข้ามามองจิตใจ และก็พบสภาวะจิตที่มันว่างจากขบวนการความคิด ใหม่ๆ ก็หยุดเดี๋ยวเดียว ต่อไปก็หยุดนานขึ้น เข้าถึงความเป็นเอง ไม่มีวิธีใดเลยที่จะทำให้ความคิดมันหยุดด้วยตัวของมันเอง ถ้าไม่ใช่การสังเกต ถ้าเราไปกดข่มบังคับจิตใจ บังคับใจของเราไม่ให้มันคิดไปที่อื่นมันก็สงบเหมือนกัน แต่สงบอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ เพราะเราไปกำหนดรู้ที่ใดที่หนึ่ง มันก็มีสิ่งที่ถูกรู้มีผู้รู้ ความสงบชนิดนั้นมันไม่สามารถจะทำให้เกิด หรือมีปรีชาญาณที่จะเห็นความจริงได้
    เราต้องมีความเข้าใจ หากเราเข้าถึงความแจ่มใสของสมาธิจิต จะทำให้เรามีความสดชื่น มีชีวิตชีวา มีพลัง มีความสงบเย็นของจิตใจ และเราจะพบว่าสิ่งล้อมรอบตัวเราในขณะที่ใจเราเบิกบานร่าเริงสดชื่น สิ่งที่ล้อมรอบตัวเราก็พลอยสดชื่นไปด้วย เราก็จะเห็นความมหัศจรรย์ของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลก ที่มันเป็นความหัศจรรย์ ตรงที่เรารับรู้สิ่งต่างๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย พร้อมกันเลย นี่เป็นการรับรู้ในความเป็นองค์รวมในความพร้อมของประสาทต่างๆ

    การรับรู้ของประสาทต่างๆ แล้วรวมลงในธรรมชาติรู้กับปรีชาญาณ ธรรมชาติรู้ที่เกิดจากจิตใจที่บริสุทธิ์ นี่เป็นความมหัศจรรย์ที่เราสามารถจะสัมผัส, เราสามารถจะพัฒนา มันได้เมื่อจิตใจของเราสงบนิ่ง เมื่อจิตใจของเราไม่หวั่นไหวเลย รับรู้ในความเป็นองค์รวมในทุกขณะ ไม่ว่าจะ เดิน ยืน นั่ง นอน หรือขณะทำกิจการงานเราก็สามารถที่จะเห็นจิตใจที่มันสงบนิ่ง และเราก็จะตระหนักรู้ว่าเราก็คือสรรพสิ่ง สรรพสิ่งก็คือเรา

    มันสามารถตระหนักรู้จริงๆ ว่าเราคือสรรพสิ่งรอบๆ ตัวเรา คือมันไม่แบ่งแยกสรรพสิ่งก็คือเรา เราก็คือความว่าง สรรพสิ่งก็คือความว่าง เมื่อเราเข้าถึงการตระหนักรู้ถึงสรรพสิ่งก็คือความว่าง ความว่างในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่เห็นอะไรเลย หรือไม่ได้ยินอะไรเลย ว่างในที่นี้ก็คือ ความว่างที่ไม่ใช่ความว่างเข้าใจไหม? นี่ก็คือสูญญตา หรืออนัตตาที่มันอยู่เหนือของคู่ ถ้าเราเข้าใจด้วยจิตสามัญสำนึก ว่างคือไม่มีอะไรเลย มีกับว่างนี่เป็นของโลก แต่ว่างนี้, สูญญตา อยู่เหนือมี เหนือไม่มี เหนือมี เหนือว่าง ว่างคือสภาวะจิตที่ไม่อาจจะกล่าวได้ว่า สรรพสิ่งที่เราเห็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มันมีหรือไม่มี นี่คือสูญญตา นี่คืออนัตตา

    นี่เป็นหลักการสูงสุดของพุทธศาสนา อนัตตานี่เราจะเข้าถึงด้วยจิตที่บริสุทธิ์ของเราเท่านั้นไม่ใช่ด้วยความคิด ไม่ใช่ไปพิจารณาสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นทางตา ได้ยินทางหู ก็คือรูปว่ามันไม่เที่ยง มันไม่มีตัวตน ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ มันเกิด มันดับ, ไม่ใช่ไปพิจารณาปรากฏการณ์ ให้มันว่างด้วยขบวนการความคิดอย่างนี้ แต่การที่เราจะเห็นสิ่งต่างๆ หรือปรากฏการณ์มันว่าง จิตใจของเราต้องเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะขั้นอัลติมะ นั่นคือจิตที่ประภัสสร ที่มันเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่แท้ หรือสัจจะที่สูงสุดแล้วเราจะรับรู้ ด้วยปรีชาญาณเห็นสิ่งต่างๆ มันเป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา)


    ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามันมี หรือไม่มีนี่คือว่าง ที่เรียกว่าอนัตตา หรือที่เรียกว่าสูญญตา ที่พระพุทธองค์ทรงตอบโมฆราชะะ โมฆราชะ เธอจงมีสติ มีปัญญาเห็นโลกด้วยความเป็นของว่าง ถอนความรู้สึกว่ามีตัวเราออกเสีย มัจจุราชจะตามหาเธอไม่เจอ เมื่อไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวเรา เราจะเห็นสรรพสิ่งนี้มันว่าง ว่างจากของคู่ ว่างจากความรู้สึกว่ามีตัวเรา ว่างจากของเรา เราจะมีความรู้สึก หรือตระหนักว่าสรรพสิ่งในจักรวาล มันประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้แบ่งแยก ทุกสิ่งดำรงค์อยู่ด้วยความสอดคล้อง ประสานกลมกลืนกับธรรมชาติที่แท้ก็คือสัจจะขั้นอัลติมะ
    ทุกคนเกิดมาจากธรรมชาติ แล้วดำเนินไปตามวิถีของธรรมชาติ ตามวิถีของพุทธธรรม ตามเหตุตามปัจจัย และเราจึงมีความรู้สึกว่าเรากับสรรพสิ่งนี้เป็นเอกภาพเดียวกัน หรือเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเราได้พบ”ทางสายกลาง” หรือเมื่อเราไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเรานั่นก็คือไปพ้นมิติของจิตสามัญสำนึก ในมิติของจิตสามัญสำนึก ที่ทุกคนยังไม่ได้เห็นทาง หรือยังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรมเราดำเนินชีวิตอย่างแบ่งแยก มีสิ่งถูกรู้มีผู้รู้ สิ่งที่ถูกรู้ก็คือบัญญัติต่างๆ หรือชื่อต่างๆ ที่เราไปตั้งให้มัน ทุกสิ่งที่เราเห็นทางตา เราตั้งชื่อให้มันหมด ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เราไปตั้งชื่อให้มันหมด และเราก็สรุปเป็นปัญญาระดับเหตุผลที่ขัดแย้งกันเป็นคู่ๆ เราคิดว่าสิ่งที่เราลงความเห็นนี่มันคือความจริง นี่คือความสำคัญผิดของปุถุชนเรา เราก็เลยยึดถือ ยึดถือไปตามความสำคัญผิด ปัญหาต่างๆ ก็เกิดขึ้นมากมาย

    ในการปฏิบัติที่เราจะต้องไปพ้นการรับรู้ ที่มีตัวเราเป็นผู้รู้ ไปพ้นการรับรู้อย่างแบ่งแยก ทางสายกลางเป็นจุดเริ่มต้นของการรับรู้อย่างไม่แบ่งแยก รับรู้ในความเป็นหนึ่ง รับรู้ในความเป็นเอกภาพ ถ้าเราสัมผัสได้กับจิตใจที่ประภัสสร หรือสัมผัสได้กับสัจจะขั้นอัลติมะ ที่ประสานกลมกลืนกับจิตที่ประภัสสร เราจะมีความรู้สึกว่า เรากับสรรพสิ่งรอบๆ ตัวเราเป็นหนึ่งเดียวกันคือมันไม่แบ่งแยกไปพ้นชื่อต่างๆ ,
    การแบ่งแยกก็ไม่มีจิตสามัญสำนึกที่เรา ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกของการแบ่งแยก อยู่ในโลกของความแตกต่าง อยู่ในโลกของความรู้ที่มีขอบเขตจำกัด อยู่ในโลกของการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส แล้วเราก็ใช้ปัญญาระดับความคิด หรือระดับเหตุผล ปัญหาต่างๆ ก็เลยเกิดขึ้นซับซ้อน

    การปฏิบัติเริ่มต้นของทางสายกลางมันไปพ้น มิติของการรับรู้อย่างแบ่งแยก ไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเรา ไปพ้นกาลเวลา ไปพ้นของคู่ ไปพ้นปัญญาระดับเหตุผล ทางสายกลาง จึงเป็นกุญแจที่สำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาจิตใจจากระดับจิตสามัญ สำนึกไปสู่จิตเหนือสำนึก ไปสู่โลกุตระจิต การเรียนรู้หรือการสังเกต หรือการดูมันนี่แหละเป็นแนวทางของการปฏิบัติ ในทัศนะของพระพุทธองค์ ที่ทรงวางหลักการไว้ในอริยสัจข้อที่ 4 ก็คือทางสายกลาง หรือไตรสิกขา หรืออริยะมรรคมีองค์แปด ที่พระพุทธองค์ทรงอุปมา อุปมัยการปฏิบัติในหลักของไตรสิกขาเปรียบเหมือนโคแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้าแล้ว ชำเลืองดูลูกน้อยไปด้วย
    เป็นตัวปฏิบัติได้ในทุกขณะ ในทุกกิจการงาน ในชีวิตประจำวันของเรา ทำงานไปด้วย สังเกตจิตใจไปด้วย สังเกตแล้วเกิดอะไรขึ้นเราเท่านั้นที่รู้ เราเท่านั้นที่สัมผัสได้ นั่นก็คือเรารู้ด้วยปัญญาของเราเอง คนมีสติมีปัญญาก็จะมีประสบการณ์จากการเรียนรู้ ที่เรียกว่าสิกขา เป็นหลักการปฏิบัติของพุทธศาสนาที่เรียกว่าสิกขา เป็นการทำลายความยึดถือ อย่างหยาบ ที่แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา ที่เรียกว่าศีลทำลายความยึดถือที่แสดงออกมาในรูปของกิเลสอย่างกลางคือนิวรณ์ 5 ที่เรียกว่าสมาธิทำลายกิเลสอย่างละเอียดขั้นอนุสัย หรือความเคยชินที่เรียกว่าปัญญา

    การทำลายกิเลสต่างๆ ที่พูดไว้ในพระไตรปิฎกคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ตามขั้นของกิเลสนี่ คือแนวทางของการปฏิบัติ ที่เรียกว่าไตรสิกขา สิกขาก็คือการสังเกต ดูมัน เรียนรู้มัน และเกิดความเข้าใจมัน เมื่อเข้าใจ,ความยึดถือ ความยึดมั่นต่างๆ ที่มันแสดงออกมามันก็น้อยลงไป ละไป วางไป ปล่อยไป เมื่อใดก็ตามถ้าเราได้หันเข้ามามองที่ใจ เราก็จะพบว่า ขบวนการความคิดมันหยุดไปชั่วขณะ จนเข้าถึงความเป็นเอง แล้วเราจะรู้สึกว่าไม่ได้จ้องไม่ได้มอง ไม่ต้องตั้งใจ ก็สามารถสัมผัสได้ จิตใจที่มันว่าง จิตใจที่มันเป็นปกติ นั่นแสดงว่ามันเจริญขึ้นแล้ว เข้าถึงความเป็นเองแล้ว

    เรากำลังจะนำสิ่งหนึ่งที่มีอยู่แล้วในคน เราทุกคน หรือในทุกสรรพสิ่ง มาทำงานร่วมกับธรรมชาติ ที่เกิดจากการปรุงแต่ง หรือที่เรียกว่าขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือธรรมชาติที่เกิดจากการปรุงแต่ง หรือปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นจากเหตุ จากปัจจัยที่ มันกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ เราขาดสิ่งๆ หนึ่งที่จะทำงานร่วมกับมันชีวิตจึงมีแต่ปัญหา

    จริงๆ เราไม่ได้ขาดมันทำงานร่วมกันอยู่แต่เราไม่เห็นมันเท่านั้นเอง เราไม่รู้มันเท่านั้นเอง นี่คือโมหะเมื่อความยึดถือ ความผูกพันต่างๆ มันปล่อย มันละ มันวาง ไปแล้ว เราก็สามารถเห็นธรรมชาติที่แท้ หรือสัจจะขั้นอัลติมะ ทำงานร่วมกับปรากฏการณ์ต่างๆ ร่วมกับขันธ์ 5 เป็นเนื้อหาเดียวกัน หนึ่งเดียวกัน นั่นก็คือความว่าง นั่นก็คือสูญญตา มันทำงานร่วมกับปรากฏการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลง ธรรมชาติรู้ที่เกิดจากธรรมชาติที่แท้ หรือสัจจะขั้นอัลติมะ ทำหน้าที่รู้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด รู้ความเปลี่ยนแปลง,ในความไม่เปลี่ยนแปลง รู้การเคลื่อนไหว,ในความไม่เคลื่อนไหว นั่นก็คือรู้ธรรมชาติสองอย่าง รู้สังขตธรรม ใน อสังขตธรรม อสังขตธรรมก็คือ ธรรมชาติที่แท้หรือสัจจะขั้นอัลติมะ,สังขตธรรมก็คือขันธ์ 5 หรือปรากฏการณ์

    สัจจะจะครอบคลุมทุกสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ มันเปรียบเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนทุกสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ที่อยู่ต่อหน้า มัน เมื่อจิตของเราว่าง เป็นปกติ ตั้งมั่น บริสุทธิ์ ปรีชาญาณก็จะทำหน้าที่รู้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด เราจะตระหนักรู้ในความเป็นองค์รวม รู้ทุกสิ่ง ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในความเป็นทั้งหมด ในความเป็นองค์รวมของชีวิตเราในแต่ละขณะ จากขณะหนึ่ง ไปสู่ขณะหนึ่ง นี่คือการดำเนินชีวิตที่แท้จริง,ในมิติของจิตสามัญสำนึก เราไม่สามารถรู้อย่างนี้ได้เพราะว่าปัญญาที่เราใช้ในมิติจิตสามัญสำนึกปัญญา ระดับเหตุผล

    มันคือขบวนการความคิด มันคือปัญญาที่ยังมีขอบเขตจำกัด รู้ได้เฉพาะทีละทาง รู้ได้เฉพาะทีละเรื่อง มันมีขอบเขตจำกัด มันจึงไม่สามารถที่จะรู้สัจจะขั้นอัลติมะ มันจึงไม่สามารถที่จะรู้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัดได้ เมื่อใดที่จิตใจของเราว่าง มั่นคง ตั้งมั่น สมาหิโตแล้ว ธรรมชาติรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา หรือปรีชาญาณ หรือปัญญาญาณ ก็จะทำหน้าที่แผ่ขยายธรรมชาติรู้ในความเป็นทั้งหมดของชีวิตเรา
    ที่เป็นความมหัศจรรย์


    ที่อาจารย์องค์หนึ่งตอบลูกศิษย์
    ลูกศิษย์คนหนึ่งถามอาจารย์ว่า ในโลกหรือในจักรวาลนี้ อะไรคือสิ่งมหัศจรรย์ที่สุด

    อาจารย์ตอบว่า”สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในโลกก็คือ ขณะที่ฉันรู้ความเป็นทั้งหมดในทุกขณะ”

    ถ้าเราสามารถที่จะรู้ความเป็นทั้งหมดของ ชีวิตเราในแต่ละขณะ ได้เราก็จะได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของโลก ความมหัศจรรย์ของจักรวาล ความมหัศจรรย์ของชีวิตเรา การปฏิบัติทางพุทธศาสนานี่จึงเป็นศิลปะอันยิ่งใหญ่ เป็นศิลปะอย่างยิ่ง ไม่มีศิลปะของการปฏิบัติ หรือการกระทำชนิดใดที่จะเสมอเหมือนหากเราได้สัมผัสกับภาวะจิตที่เป็นกลางๆ ที่มันอยู่เหนือโลก เหนือของคู่ เหนือความรู้สึกว่ามีตัวเราได้

    นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง จุดเริ่มต้นของการภาวนา จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติ เมื่อเราได้เห็น “ทาง” นี้แล้วเราก็เริ่มเดินทาง ซึ่งเราต้องใช้เวลาอีกยาวไกล กว่าเราจะทำลายความยึดถือต่างๆ ที่เราสะสมมาที่มันแสดงออกอย่างหยาบ ทางกาย ทางวาจา กิเลสอย่างกลาง มันจะทำลายได้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น หรือสัมมาสมาธิ อนุสัยความเคยชินต่างๆ มันจะถูกทำลายไป ด้วยปรีชาญาณ นี่คือวิถีของการปฏิบัติ ในทัศนะของพระพุทธองค์ที่วางหลักการไว้ในอริยสัจข้อที่ 4

    จนเรามีความรู้สึกว่าไม่ใช่การปฏิบัติ หรอก มันเป็นศิลปะของการดำเนินชีวิตในวิถีของพุทธธรรม, มันเป็นตัวชีวิตจริงๆ ของเรา, มันเป็นการดำเนินชีวิตที่แท้จริง จริงๆ ของเรา เราจะเห็นตัวตนที่แท้ของเราก็คือธรรมชาติที่แท้หรือสัจจะขั้นอัลติมะ, ในมิติของจิตสามัญสำนึก ที่เรามีความรู้สึกว่ามีตัวเรา มันเกิดจากความคิด,มันคือตัวตนเทียมๆ ตัวตนที่มันหลอกตัวเอง, เป็นโลกของมายา เกิดจากความคิดของคู่ต่างๆ ก็เกิดจากความคิด

    อาตมาไปอบรมเด็กๆ ได้ชี้ให้เด็กดูจอที่ฉายสไลท์ ก่อนฉายสไสท์จอมันจะขาวสะอาด บริสุทธิ์ ก็เหมือนจิตใจของเรา ก่อนที่มันจะคิด มันประภัสสร มันบริสุทธิ์ มันสะอาดอยู่, พอเริ่มคิดก็เหมือนกับเราฉายภาพยนต์ ไปบนจอ เราไม่แลเห็นจอสีขาวเลย เราเห็นแต่ภาพเคลื่อนไหว ที่เป็นเรื่องราว แล้วเราก็มีความสุข สนุก สนาน ไปกับเรื่องราว พอใจ-ไม่พอใจ ตัวละครต่างๆ ไปกับเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่บนจอภาพ คนทั่วไปก็ไม่เห็นจอสีขาว เราเป็นนักปฏิบัติต้องเห็นจอสีขาวซึ่งเป็นพื้นฐานของจิต พื้นฐานของขันธ์ 5 ด้วย จอสีขาว หรือจิตที่บริสุทธิ์ กับจิตขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ที่มันกำลังทำงานอยู่


    ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติ เราจะต้องเห็นภาพที่เคลื่อนไหว กับจอสีขาวเป็นพื้นฐานด้วย นี่คือวิปัสสนาญาณ ก็คือเห็นการเคลื่อนไหว ในความไม่เคลื่อนไหว, เห็นความเปลี่ยนแปลงในความไม่เปลี่ยนแปลง, ของจอสีขาวนั่นเอง มันจึงเป็นศิลปะอย่างยิ่งของการปฏิบัติในทัศนะที่เรียกว่า สิกขา คือการเรียนรู้ การสังเกตมัน ดูมัน เข้าใจมัน ความผูกพันต่างๆ ความยึดถือต่างๆ ก็จะละจะคลายไป
    อาตมาพบความมหัศจรรย์จาก การปฏิบัติในทัศนะนี้ หลังจากที่อาตมาปฏิบัติประมาณ 15 ปี อาตมาพบว่าสิ่งหนึ่งที่เราไม่เห็น มันเผยตัวของมัน ทำหน้าที่จากการสังเกต เรียนรู้ หรือดูมัน

    เราจะพบมันว่างทำให้ เราเห็นสัจจะขั้นอัลติมะชั่วขณะหนึ่ง เมื่อเราปฏิบัติไปแล้วจนจิตของเราตั้งมั่นในความบริสุทธิ์ ในความว่าง สิ่งนี้ล่ะมันจะเป็นพื้นฐานของจิตใจเรา เห็นความว่างที่ก้นบึ้งของจิตใจ ใจมันทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ต่างๆ วิญญาณเกิด สัญญาเกิด สังขารเกิด, รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขบวนการความคิดต่างๆ เกิดขึ้น แต่เราก็ยังเห็นความว่างควบคู่กับการทำงานของความเปลี่ยนแปลงของขันธ์ 5 ไปด้วย แต่ก่อนนี้เรารู้แต่ขันธ์ 5 เราไม่เห็นสิ่งหนึ่งที่มันเป็นพื้นฐาน

    นั่นก็คือความจริงที่แท้ หรือความว่าง หรือสูญญตาหรือสัจจะขั้นอัลติมะ เราไม่เห็นสิ่งนี้ จากการปฏิบัติในทัศนะของไตรสิกขา และการเรียนรู้ดูมันนี่เมื่อเราพบความว่าง,เมื่อเราพบภาวะที่อยู่เหนือโลก หรือเรียกว่า มัชฌิมา เมื่อมั่นคงแล้ว มันจะแสดงตัวของมันออกมาทำงานควบคู่ไปกับปรากฏการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำ สิ่งต่างๆ ที่เป็นขบวนการของการเปลี่ยนแปลงในขบวนการของความคิด หรือการกระทำต่างๆ เราจะสัมผัสได้กับสิ่งหนึ่งที่มันแสดงออกร่วมด้วย นั่นก็คือความว่าง, เราจะตระหนักรู้ความสงบนิ่งที่ก้นบึ้งของจิตใจเรา

    ประสาทสัมผัสรับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย รับรู้ปรากฏการณ์เราก็จะเห็นความว่างด้วย นั่นแหละมันเป็นธรรมชาติรู้ที่ซ้อนธรรมชาติรู้ ธรรมชาติรู้ของขันธ์ 5 ก็คือ จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ พวกนี้เกิดแล้วดับรวมลงในธรรมชาติรู้อีกชนิดหนึ่ง ที่ไม่เกิดไม่ดับ ที่มันเกิดจากสัจจะขั้นอัลติมะที่รู้ที่ใจ ธรรมชาติรู้ทั้งสองทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวก็คือตัวรู้ที่เกิดจากประสาท สัมผัส ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย รวมลงในธรรมชาติรู้ของจิตใจที่สงบนิ่ง หรือที่เกิดจากจิตที่ประภัสสรของเรา
    เราจึงสามารถสัมผัสได้กับสิ่งนี้ หรือธรรมชาติที่แท้นี้ในทุกกิจการงานในชีวิตประจำวันของเรา

    เป้าหมายของการปฏิบัติก็คือ ทำลายความยึดถือด้วยการเรียนรู้มัน และธรรมชาติที่แท้ก็จะเผยตัวออกมาทำหน้าที่ให้เราได้สัมผัสควบคู่กับ ปรากฏการณ์ต่างๆ

    เขาจึงเปรียบไว้ว่าปรากฏการณ์ต่างๆ มันเหมือนคลื่น ซึ่งเป็นอาการของน้ำ คลื่นก็คือน้ำ ธรรมชาติของคลื่นที่แท้จริงก็คือน้ำ ถ้าไม่มีน้ำก็ไม่มีคลื่น คลื่นก็คืออาการของน้ำ คลื่นก็คือน้ำ ปรากฏการณ์ต่างก็คืออาการของความว่าง ถ้าไม่มีความว่าง ปรากฏการณ์ต่างๆ ก็มีไม่ได้ เมื่อคลื่นสงบลง มันหายไปไหน เราก็เห็นน้ำที่สงบราบเรียบ

    เมื่อขบวนการความคิดสงบลง หยุดลง สิ้นสุดลง เราก็เห็นสัจจะที่แท้แสดงตัวของมันออกมา ในอริยสัจข้อที่ 3 กิจที่เราจะต้องกระทำต่อนิโรธะคือ เราต้องทำให้แจ้ง เห็นมันให้ชัดเลยว่าสภาวะของจิตที่มันว่างไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเรา ไปพ้นความรู้สึกที่เป็นของคู่ มันไปพ้นเวลา มันเป็นอย่างไง เราต้องสัมผัสมันให้ได้ด้วยปัญญาของเรา, ด้วยปรีชาญาณของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในพุทธศาสนาเรา


    ***********************************
     
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    JINTAWADEE
    วันที่สมัคร: 30-09-2007
    1260 วัน
    ประมาณ 14-03-2011
     
  3. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    นิทานเซน : อิทธิพลของลิ้น‏

    <table style="font-size: 10pt;" align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="300"><tbody><tr><td align="center" valign="Top" width="300">[​IMG] </td> </tr> <tr><td align="left" valign="baseline"><center>
    </center>
    </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" valign="top" height="5">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    ลิ้นเป็น อวัยวะเล็กๆ ในร่างกายของคนเราที่สำคัญยิ่ง ลิ้น(การพูด)สามารถนำความสุขมาให้ผู้พูด ในทางกลับกัน ลิ้น(การพูด)ก็สามารถทำเรื่องเดือดร้อนให้ผู้พูดได้เช่นกัน

    ในอดีตมีพระเซนรูปหนึ่ง เขามีศิษย์เกียจคร้านเอาแต่นอนหลับทั้งวัน วันหนึ่งศิษย์ผู้นี้นอนจนสายก็ยังไม่ตื่น ทำให้พระเซนไม่พอใจ จึงต่อว่าลูกศิษย์ว่า "เวลาสายขนาดนี้ ตะวันส่องจนแม้แต่ฝูงเต่ายังพากันคลานออกนอกบึงบัวมารับแสงแดดกันหมดแล้ว เหตุใดตัวเจ้ากลับมัวแต่นอนอยู่ได้"

    เวลาเดียวกันนั้นเอง บริเวณใกล้เคียงมีคนผู้หนึ่งที่กำลังต้องการจับเต่าไปแกงเป็นยาให้มารดาซึ่ง กำลังป่วยรับประทาน เมื่อได้ฟังพระเซนบอกว่ามีเต่าออกมาจากบึง จึงได้รีบไปจับเต่ามาเชือดจากนั้นนำเนื้อมาปรุงเป็นแกงเต่า ทั้งยังแบ่งแกงเต่ามาให้พระเซนเพื่อแสดงความขอบคุณที่ชี้ทางให้อีกด้วย

    ฝ่ายพระเซน เมื่อทราบว่าการพูดจาโดยไม่ได้ตั้งใจของตนเอง เป็นต้นเหตุแห่งการตายของบรรดาเต่าก็เกิดความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง เพราะหากตนไม่เอ่ยปากพูดไปเช่นนั้นเต่าก็คงไม่โดนพบเห็น พระเซนจึงได้ให้คำมั่นกับตัวเองว่าต่อไปจะไม่เอ่ยปากพูดจาอีกเลยตลอดชีวิต เพื่อเป็นการชดใช้บาปที่ทำไว้ ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้ขึ้นอีกในภายภาคหน้า

    เวลาผ่านไปไม่นาน ขณะที่พระเซนนั่งอยู่บริเวณหน้าวัด เขาพลันพบว่ามีชายตาบอดผู้หนึ่งกำลังเดินหลงทิศ มุ่งหน้าลงไปยังบึงบัวนั้น แต่จนใจที่พระเซนให้สัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่เปิดปากพูด จึงไม่สามารถร้องเตือนชายตาบอดได้ แต่หากไม่เอ่ยปากตักเตือน ชายตาบอดคงต้องตกลงไปในบึงบัวเป็นแน่

    พระเซนเอาแต่ลังเลว่าจะทำเช่นไรดี ปล่อยเวลาผ่านไป ในที่สุดชายตาบอดก็เดินตกลงไปในบึงบัว จมน้ำหายไปต่อหน้าต่อตา

    เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พระเซนโศกเศร้าเสียใจหาที่เปรียบมิได้ และตระหนักได้ว่าการไม่ยอมพูดจาของตนในครั้งนี้ กลับกลายเป็นการทำร้ายทำลายชีวิตผู้คนเพิ่มขึ้นอย่างน่าเสียดาย ความผิดสองครั้งที่ผ่านมาของตนคือการพูดในเวลาที่ไม่ควรพูด แต่กลับไม่พูดในเวลาที่ควรพูด

    ปัญญาเซน : มนุษย์จำ เป็นที่จะต้องใช้สติปัญญาในการดำรงชีวิตอยู่บนโลก แม้แต่การพูดจาก็ต้องใช้ปัญญา นั่นคือพูดสิ่งที่ควรในเวลาที่เหมาะ นอกจากนี้ต้องพึงระลึกว่า ในการดำรงชีวิตของคนเรา ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่การให้อภัยต่างหากที่เป็นสิ่งเหนือธรรมดา คนเราไม่เพียงต้องรู้จักให้อภัยผู้อื่น ทั้งยังต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเอง



    *************************
     
  4. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    <table id="post4273084" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] เมื่อวานนี้, 11:47 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #[​IMG]
    ผู้หญิงและมาร

    มีการมหัศจรรย์ใหญ่ยิ่งปรากฏในโลก คือผู้หญิงคนหนึ่งมีสัญญาใจกับสัจจะที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง และมีดวงจันทร์เป็นฐานของโลกกุตตระ และบนศีรษะมีปรัชญาทั้งหลายอยู่


    และหญิงนั้นก็หนีเข้าไปในโลกอินเตอร์เนต ที่นางมีสถานที่ซึ่งสัจจะแห่งโลกุตตระได้จัดเตรียมไว้ให้ เพื่อนางจะได้รับการเลี้ยงดูอยู่ที่นั่นตลอดพันสองร้อยหกสิบวัน



    และมีสงครามเกิดขึ้นในโลก แดนและทิมได้ต่อสู้กับมาร และมารกับพวกของมันก็หาทั้งสองคนนั้นไม่เจอ
    แต่ฝ่ายมารนั้นอับจน และพวกมารไม่มีที่อยู่ในโลกอีกเลย

    พญามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก มารตนนั้นและพวกของมันก็ถูกผลักทิ้งลงมาในโลกอินเตอร์เนต

    และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังขึ้นในโลกว่า "บัดนี้ความหลุดพ้น และฤทธิ์เดช และโลกุตตระ และอำนาจวิมุตติได้มาถึงแล้ว เพราะว่าผู้ที่กล่าวโทษพวกพี่น้องของเราไม่ให้เข้าถึงโลกุตตระ ทั้งกลางวันและกลางคืนนั้น ก็ได้ถูกผลักทิ้งลงมาแล้ว

    เขาเหล่านั้นชนะพญามารด้วยสัจจะ และโดยสัญญาใจของพวกเขาเอง และเขาไม่ได้เสียดายที่จะพลีชีพของตน

    ฉะนั้นโลกและบรรดาผู้ที่อยู่ในโลกจงรื่นเริงยินดีเถิด แต่วิบัติจะมีแก่ผู้ที่อยู่ในระบบอินเตอร์เนต เพราะว่าพญามารได้ลงมาหาเจ้าด้วยความโกรธยิ่งนัก เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย"


    เมื่อมารตนนั้นเห็นว่ามันถูกผลักทิ้งลงมาในอินเตอร์เน็ตแล้ว มันก็ข่มเหงหญิงที่ค้นหากุญแจดอกสุดท้ายนั้น

    แต่ทรงประทานปีกนกอินทรีใหญ่สองปีกแก่หญิงนั้น เพื่อให้นางบินหนีหน้ามารเข้าไปในกระทู้ 22.22 New age ในสถานที่ของนาง จนถึงที่ซึ่งนางจะได้รับการเลี้ยงดู ตลอดวาระหนึ่งและสองวาระและครึ่งวาระ

    งูนั้นก็กล่าววิจารณ์ใส่ร้ายออกจากปากเหมือนน้ำท่วมไหลตามหญิงนั้น เพื่อจะให้คำลมปากพัดหญิงนั้นให้หมดกำลังใจ

    แต่สัจจะก็ได้ช่วยหญิงนั้นไว้ได้ โดยแยกออกเป็นช่องแล้ววางอุเบกขาและความรักต่อลมปากมารตนนั้น

    มารโกรธแค้นหญิงนั้น มันจึงออกไปทำสงครามกับผู้ทำได้ที่เหลืออยู่นั้น คือผู้ที่รักษาสัจจะ และยึดถือสัญญาใจที่ให้ไว้กับตนเอง
    และมันก็ได้ยืนรออยู่ที่หาดทรายชายทะเล(ใกล้กับกระทู้นั้น)
    เพื่อที่จะรอทำลายผู้ทำได้ ที่ได้เคยตั้งสัจจะไว้


    หาดทรายที่ชายฝั่ง
    ณ ที่ตั้งขนานมา
    ชื่อ นำวคาถา
    วรที่บาทชบง
    รอยนี้ใครผู้ทรง
    ได้เป็นองค์สงฆ์ขึ้นมา
    ซื่อสัตย์อันตัดขาด
    มีอำนาจซึ่งปัญญา
    คำสอนที่ย้อนมา
    คือสัจจาผู้ทำได้
    รอยนี้เป็นของใคร
    ผู้ทำได้ คงต้องมา
    </td> </tr> </tbody></table>

    บทความนี้ดัดแปลงมาจากวิวรณ์ ผมใช้ใจสัมผัสเอา ไม่แน่นะ
    คุณกบสามตัวอาจจะแปลความหมายถูกก็ได้นะครับ

    และคุณหนุมานเขาก็เป็นสมาชิกที่นี่มาราวๆ 4 ปีแล้วด้วยอ่ะ
    หาผู้ทำได้เจอยังครับ (4 ปี ก็ราวๆ 1200 วัน ใกล้เคียงเลย หุหุ)
    </td></tr></tbody></table>



    ด้วยรัก ศุภักษร ..(f)
     
  5. Crystal DNA

    Crystal DNA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +530
    ช่วงนี้มีแต่กระทู้แปลกๆ

    ช่วงนี้มีแต่กระทู้แปลกๆ แหะ อย่างเช่น

    1. ได้เวลากู้โลก
    2. ฆาตกรโลกจิต
    3. ภัยพิบัติในวันที่ 22 พฤษภาคม 2554

    ผมว่ามันยังไง ๆ อยู่

    1260 ก็คือวันที่ปรากฏตัวของ พยานสองปาก ไง

    ผมว่าทุกคนต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง
    แต่ ไม่มึใครตีความออก ก็เลย งงกันหมด

    แล้วมันจะมีผลอย่างไร ล่ะ

    พูดไปก็ งง ไปนอนดีก่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2011
  6. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ...สองสี สองด้าน สองมุม
    ขุดหลุม จุ่มลึก ศึกษา
    โยนเอง โยนข้า ท้ามา
    สายตา เพ่งมอง แยกทาง
    ...สองคิด สองนึก สองเด่น
    มองเห็น ได้ยิน ขัดขวาง
    สุดโต่ง โด่งเด้ง สองข้าง
    สุดทาง กางปีก ตีชน
    ...หนึ่งเลว หนึ่งเลิศ ขีดเส้น
    หนึ่งเป็น หนึ่งตาย สับสน
    หนึ่งถูก หนึ่งผิด วกวน
    หนึ่งกล หนึ่งเกมส์ เล่นไป
    ...ละคร สอนจิต คิดจำ
    ขาวดำ ดีชั่ว ขั้วไหน
    ฟากฝั่ง ริมขอบ กายใจ
    แบ่งแยก แตกพ่าย หลงกล
    ...กลกรรม กลโลก กลธรรม
    เข้าซ้ำ ย้ำชัด จิตคน
    เบี่ยงซ้าย บ่ายขวา วกวน
    ถนน หนใด ยังเวียน
    ...ข้าดี เองชั่ว มั่วชัด
    ฟึดฟัด ขัดใจ มึนเศียร
    ทางข้า ทางเอง ยังเพียร
    ยังเรียน ยังรู้ อีกนาน...
     
  7. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    <table id="post4273084" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] เมื่อวานนี้, 11:47 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1890 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> หนุมาน ผู้นำสาร
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 11,015
    Groans: 1
    Groaned at 473 Times in 325 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 212
    ได้รับอนุโมทนา 70,654 ครั้ง ใน 10,117 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5037 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4273084" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> JINTAWADEE
    วันที่สมัคร: 30-09-2007
    1260 วัน
    ประมาณ 14-03-2011
    </td></tr></tbody></table>
    เมื่อวานนี้ = 17-01-2011
    11:47 = KEY DATA GRAND


    JINTAWADEE = 10+9+14+20+1+23+1+4+5+5 = 92 =INTELLEGENCE BRAIN
    92 = 11=KEY


    วันที่สมัคร: 30-09-2007 =30+9+2+0+0+7 = 21=UNIVERSE

    1260 วัน = 12+6 = 18 = ROTARY
    ประมาณ 14-03-2011 = 14+3+20+11 = 48=12 = DHL ด่วนพิเศษ
    DHL = DIRECTION OF HUMANITY OF LIVE


    92+21+18+12 = 143 = ADC = AVAILABLE DATA CONFIRM

    143 = 14+3= 17 ** โปรดสังเกตูวันที่

    หากดูความหมายตามลำดับจะเห็นได้ว่า JINTAWADEE คือกุญแจสำคัญในการใช้สติปัญญาในทางสร้างสรรค์ วันที่สมัคร หมายถึง UNIVERSE และ จำนวนวันหมายถึง ROTARY คือการขับเคลื่อน และ DHL หมายถึงด่วนพิเศษ ผลรวมสุดท้ายของคือ AVAILABLE DATA CONFIRM และเมื่อนำผลรวมของวันที่มารวมกัน 21+12 =33 = CC = ผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น เมื่อนำความหมายมารวมกัน จึงหมายถึง ด่วนพิเศษ ถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน และ เป็นการยืนยันข้อมูลจากจักรวาลในการขับเคลื่อนโดยใช้สติปัญญาในทางสร้างสรรค์ ในการใช้เข็มทิศ หรือ ทิศทางในการดำรงอยู่ในยุคพลังงานใหม่ หรืออีกในความหนึ่งคือ การยืนยันข้อมูลของคุณหนุมาน ผู้นำสาร ตามรายละเอียดที่โพสต์ โปรดสังเกตุเวลาที่คุณหนุมานโพสต์ .. ขออนุโมทนา



    LOVE YOU..
     
  8. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-padding-alt: 4.5pt 4.5pt 4.5pt 4.5pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: white 1pt solid; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: white 1pt solid; PADDING-LEFT: 4.5pt; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: white 1pt solid; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: white 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-alt: solid white .75pt; mso-border-right-alt: solid white .25pt">วันนี้,06:06 PM


    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: white 1pt solid; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: white 1pt solid; PADDING-LEFT: 4.5pt; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: white 1pt solid; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: white 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-alt: solid white .75pt; mso-border-left-alt: solid white .25pt">#1889 <O:p</O:p






    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 1; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: white 1pt solid; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: white 1pt solid; PADDING-LEFT: 4.5pt; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: white 1pt solid; WIDTH: 131.25pt; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: white 1pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: .75pt; mso-border-left-alt: .75pt; mso-border-top-alt: .25pt; mso-border-bottom-alt: .25pt; mso-border-color-alt: white; mso-border-style-alt: solid" vAlign=top width=175>Little Mermaid<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4272183", true); </SCRIPT> <O:p
    สมาชิก
    <?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:shape id=_x0000_i1028 style="WIDTH: 150pt; HEIGHT: 112.5pt" alt="Little Mermaid's Avatar" type="#_x0000_t75" o:button="t"><v:imagedata o:href="http://palungjit.org/customavatars/avatar220717_11.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.jpg"></v:imagedata></v:shape><O:p
    วันที่สมัคร: Jun 2008<O:p
    ข้อความ: 529 <O:p
    Groans: 0<O:pGroaned at 9 Times in 4 Posts <O:p
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,578<O:pได้รับอนุโมทนา 3,254 ครั้ง ใน 491 โพส <O:pพลังการให้คะแนน: 163 <O:p

    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: white 1pt solid; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 4.5pt; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid white .75pt" vAlign=top>สัมพันธภาพแห่งจิต ..<O:p</O:p




    <HR align=center width="100%" color=white noShade SIZE=1>







    สัมพันธ์ภาพแห่งจิต<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    *****GRAND*****<O:p
    <O:p
    เน้น สำคัญกุญแจสำคัญ<O:p







    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <O:p

    06.06 = FF = FULFILL FUNCTION = การเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย<O:p<O:pคำอธิบายของคำว่า"สัจจะ"หรือ GRANDอันหมายถึงความเป็นจริงตามธรรมชาติที่ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันและไม่มีการแบ่งแยก<O:pการมาเป็นคู่ หรือ คู่ของ..(MAGIC & MIRACLE)เป็นสิ่งที่ปรากฏตามสัญชาตญาณของมนุษย์ในโลกของปรากฏการณ์ (สมมติ)แต่ในโลกของปรมัตถ์ หรือในความเป็นจริงตามธรรมชาติแล้วทั้งMAGIC & MIRACLE ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันและมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน<O:p
    <O:p

    THE SUNหมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งอันปราศจากการแบ่งแยกหรือ สัจจะ หรือ สัจจะอัลติมะ หรือ สรรพสิ่งทั้งปวง หรือธรรมชาติ หรือจักรวาล <O:p</O:p


    <O:p




    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-padding-alt: 4.5pt 4.5pt 4.5pt 4.5pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: windowtext 1pt solid; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 4.5pt; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: windowtext 1pt solid; WIDTH: 131.25pt; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid windowtext .75pt; mso-border-left-alt: solid windowtext .75pt" vAlign=top width=175>

    สมาชิก



    วันที่สมัคร: Jul 2006

    ข้อความ: 11,003
    Groans: 1
    Groaned at 473 Times in 325 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 212
    ได้รับอนุโมทนา 70,614 ครั้ง ใน 10,112 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5034 <v:shape id=_x0000_i1040 style="WIDTH: 6pt; HEIGHT: 7.5pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://palungjit.org/images/reputation/reputation_pos.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image003.gif"></v:imagedata></v:shape><v:shape id=_x0000_i1041 style="WIDTH: 6pt; HEIGHT: 7.5pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://palungjit.org/images/reputation/reputation_pos.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image003.gif"></v:imagedata></v:shape><v:shape id=_x0000_i1042 style="WIDTH: 6pt; HEIGHT: 7.5pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://palungjit.org/images/reputation/reputation_pos.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image003.gif"></v:imagedata></v:shape><v:shape id=_x0000_i1043 style="WIDTH: 6pt; HEIGHT: 7.5pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://palungjit.org/images/reputation/reputation_pos.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image003.gif"></v:imagedata></v:shape><v:shape id=_x0000_i1044 style="WIDTH: 6pt; HEIGHT: 7.5pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://palungjit.org/images/reputation/reputation_pos.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image003.gif"></v:imagedata></v:shape><v:shape id=_x0000_i1045 style="WIDTH: 6pt; HEIGHT: 7.5pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://palungjit.org/images/reputation/reputation_highpos.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image004.gif"></v:imagedata></v:shape><v:shape id=_x0000_i1046 style="WIDTH: 6pt; HEIGHT: 7.5pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://palungjit.org/images/reputation/reputation_highpos.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image004.gif"></v:imagedata></v:shape><v:shape id=_x0000_i1047 style="WIDTH: 6pt; HEIGHT: 7.5pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://palungjit.org/images/reputation/reputation_highpos.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image004.gif"></v:imagedata></v:shape><v:shape id=_x0000_i1048 style="WIDTH: 6pt; HEIGHT: 7.5pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://palungjit.org/images/reputation/reputation_highpos.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image004.gif"></v:imagedata></v:shape><v:shape id=_x0000_i1049 style="WIDTH: 6pt; HEIGHT: 7.5pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://palungjit.org/images/reputation/reputation_highpos.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image004.gif"></v:imagedata></v:shape><v:shape id=_x0000_i1050 style="WIDTH: 6pt; HEIGHT: 7.5pt" alt="" type="#_x0000_t75"><v:imagedata o:href="http://palungjit.org/images/reputation/reputation_highpos.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\ADMINI~1\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image004.gif"></v:imagedata></v:shape>







    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: white 1pt solid; PADDING-RIGHT: 4.5pt; BORDER-TOP: #ece9d8; PADDING-LEFT: 4.5pt; PADDING-BOTTOM: 4.5pt; BORDER-LEFT: #ece9d8; PADDING-TOP: 4.5pt; BORDER-BOTTOM: #ece9d8; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-border-right-alt: solid white .75pt" vAlign=top>*** ถึง ทุกผู้ทุกนาม ****


    สัจจะ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

    ต้องทำ ให้เป็นประจำ
    ทำไป ทุกๆวัน
    ทำไป ตลอดชีวิต




    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<O:p






    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ในยุคพลังงานใหม่มนุษย์ทุกท่านจำเป็นต้องปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความดีงามขั้นพื้นฐานของมนุษย์(JD หรือ JOB DESCRIBTION หรือ หน้าที่ของมนุษย์)ซึ่งเป็นหน้าที่ที่มนุษย์ต้องประพฤติ ปฏิบัติ ทุก ๆ วันตลอดชีวิตของการดำรงอยู่ภายใต้ภาวะทางกายภาพ<O:p
    <O:p
    การปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความดีงามขั้นพื้นฐานของมนุษย์ คือการเข้าถึงสัจจะ หรือ THE SUNซึ่งคือการเข้าถึงความรักอันปราศจากเงื่อนไขหรือเมตตาไม่มีขอบเขต หรือ ไม่แบ่งแยกเพราะทุกอย่างล้วนเป็นหนึ่งเดียว (หนึ่งเดียว = THE SUN)<O:p</O:p

    ความรักอันปราศจากเงื่อนไข หรือเมตตาไม่มีขอบเขเป็นสิ่งที่สามารถเข้าถึงได้ทุกคน หากมนุษย์ผู้นั้นไม่มีความรู้สึกแบ่งแยก หรือสามารถขึ้นเหนือสัญชาติญาณของการแบ่งแยกในความเป็นคู่ได้ (69)เช่น ไม่เอาดี ไม่เอาชั่ว (หนุมาน ผู้นำสาร) สัจจะในการไม่เห็นผู้อื่นผิด (หนุมาน ผู้นำสาร)<O:pการจะเข้าใจหรือจะผ่านพ้นการแบ่งแยกในความเป็นคู่ได้จำต้องเริ่มต้นจาก ทางสายกลาง (ดั่งที่คุณ LITTLE MERMAID ได้อธิบายไว้ดีแล้ว)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สัจจะของหนุมาน ผู้นำสารในการไม่มองตนเองว่าถูก และเห็นผู้อื่นผิด ไม่เอาดี ไม่เอาชั่ว จึงเป็นหลักการที่สำคัญและเป็นแนวทางอันสามารถประพฤติปฏิบัติได้จริงที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานาของทางสายกลาง หรือเหนือความเป็นคู่ (69)<O:p<O:p</O:p


    281062 = 2+8+1+0+6+2 = 19 = S=SUN พระอาทิตย์ ความเป็นหนึ่งเดียว

    281 = 2+8+1 = 11 = KEY
    062 = 0+6+2 = 8 = HUMANITY

    28 = BH = BUDDHA HUMANITY
    10 = J = JUSTTIFY AGE = ยุคใหม่ พลังงานใหม่
    62 = FB = FUNCTION BASIC

    เลขท้ายสองตัว 23
    23 = W = WORLD = สรรพสิ่ง
    23 = 5 = E = ENERGY


    <O:pพระของทุกศาสนา (BUDDHA KEY)<O:p</O:p
    <O:p
    กุญแจสำคัญของมนุษย์โลกในยุคพลังงานใหม่ที่มนุษย์ทุกท่านจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจ และ เข้าถึง คือ ความเป็นอริยะ หรือ สัจจะ (จิตประภัสสร) ภายในตัวมนุษย์<O:p
    <O:p

    ในทางศาสนาพุทธอาจกล่าวได้ว่าเราต้องประพฤติตนเพื่อให้เข้าถึงความเป็นอริยะ หรือจิตประภัสสรอันหมายถึงเมตตาไม่มีของเขตที่มีต่อสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วม เกิด แก่ เจ็บ ตาย (THE WORLD)
    <O:p
    ในทางศาสนาอื่น ๆอาจกล่าวได้ว่า เราต้องประพฤติตนเพื่อให้เข้าถึงความเป็นพระเจ้าในศาสนานั้น ๆ เพราะพระเจ้าของแต่ละศาสนา ล้วนคือความรักอันปราศจากเงื่อนไขที่มีต่อสรรพสิ่งในโลก (THE WORLD)

    <O:pพระของทุกศาสนาจึงมีความสำคัญเท่าเทียมกันเพราะล้วนมีเป้าหมายเหมือนกัน นั่นคือการเมตตาต่อสรรพชีวิตอย่างไม่มีแบ่งแยก ไม่มีขอบเขต หรือ ไม่มีเงื่อนไข<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    มนุษย์ทุกคนมีความสามารถเข้าถึงความเมตตาอันไม่มีขอบเขตหรือไม่มีประมาณหรือสามารถเข้าถึงความรักอันปราศจากเงื่อนไขหรือสามารถขึ้นเหนือความเป็นคู่อันเป็นพลังงานในยุคศิวิไลซ์ได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ยุคที่ท่านทั้งหลายกำลังรอคอยย่อมเป็นจริงทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับสัจจะ หรือ ตัวกระทำ หรือการสร้างจุดตัดให้กับอนาคตของมนุษยชาติ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p


    ในยุคศิวิไลซ์<O:p
    ไม่มีมิตร ไม่มีศัตรู (เหนือความเป็นคู่)<O:p
    ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย<O:p


    ด้วยรักและนับถือยิ่ง<O:p
    <O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2011
  9. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ตราบใดที่เรายังคงติดอยู่กับความเป็นคู่ ซึ่งหมายถึงทางสุดโต่งสองทางที่เราควรหลีกเลี่ยง ตราบนั้นเราก็ยังคงไปไม่พ้นจากวังวนวัฏฏสังสาร (เงื่อนไขภายใต้กาลเวลา อันประกอบด้วย การเกิด แก่ เจ็บ ตาย)

    ตราบใดที่เรายังคงติดอยู่กับการตัดสินถูกผิดให้กับตนเอง และผู้อื่น เมื่อนั้นเรายังไม่สามารถก้าวพ้นความเป็นคู่ และยังคงต้องการ การเรียนรู้ ในการที่จะเปลี่ยนความเชื่อให้เป็นความรู้ต่อไป (ยังอยู่ภายใต้กระบวนการเรียนรู้ในโลกปรากฏการณ์เพื่อให้บรรลุถึงความรู้ที่แท้จริงอันเป็นเป้าหมายสำคัญในการมาเกิดภายในภาวะทางกายภาพ)

    จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งทั้งหลาย หรือ สงครามมักเกิดจากการแบ่งแยกเรา เขา หรือการเข้าไปตัดสินความถูกผิดโดยการวัดจากความถูกใจ หรือ ไม่ถูกใจของตน เราทั้งหลายต่างก็ผลัดกันเรียนรู้ ความถูก ผิดเช่นนี้ เหมือนดังเลข 69 เราต่างก็หมุนเวียนเรียนรู้เช่นนี้ เหมือนดังเครื่องหมาย INFINITY

    69 ยังเปรียบเสมือนตาชั่งแห่งความยุติธรรม ซึ่งสถิตอยู่ภายในตัวมนุษย์เอง

    เป้าหมายที่จิตวิญญาณมาเรียนรู้ภายใต้ภาวะทางกายภาพของมนุษย์เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ ช่องว่างที่เราทั้งหลายได้สร้างไว้ด้วยตนเอง

    เมื่อท่านเรียนรู้ในแง่การมองตนเองว่าถูก และอีกฝ่ายหนึ่งผิด ท่านทำให้เกิดช่องว่างแห่งประสบการณ์ ที่ทำให้ท่านต้องไปเติมเต็มในแง่มุมตรงกันข้าม นั่นคือ การถูกมองว่าผิด และ อีกฝ่ายหนึ่งถูก และเราทั้งหลายก็เรียนรู้สับไปสับมาอย่างนี้อย่างไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าเราจะหาทางสายกลางที่แท้จริงเจอ

    การจะหาทางสายกลางที่แท้จริงเจอ จำเป็นจะต้องทำด้วยตนเอง คือเรียนรู้ ศึกษา สร้างความเข้าใจ และ ประพฤติปฏิบัติด้วยตนเองเท่านั้น หรือ สร้างจุดตัดในการกระทำใหม่ด้วยตนเอง และนีคือความหมายของ "ผู้ที่ทำได้"

    ผู้ทำได้ มิได้เฉพาะเจาะจงเฉพาะใครคนใดคนหนึ่ง แต่ผู้ทำได้หมายถึงทุกผู้ทุกนาม ที่สามารถทำสัจจะ หรือ สามารถสร้างตัวกระทำเที่ยงให้กับตนเองได้จริง

    ผู้ที่สามารถสร้างตัวกระทำเที่ยงที่ตรงทั้งใจ ความคิด และ การกระทำ ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่ทำได้ อันเป็นผลมาจากการใช้ปัญญาในการพิจารณาจนเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ และสามารถนำความเข้าใจนั้นมาปรับปรุง และสร้างการกระทำใหม่จนสามารถหลุดพ้นจากเครื่องพรางของกาลเวลา (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) ได้ในที่สุด

    มงกุฏ คือ ปัญญา

    ปัญญาในทางสมมติ หรือ ในโลกแห่งปรากฏการณ์สามารถใช้ได้ทั้งทางบวก และ ลบ

    ปัญญาในทางปรมัตถ์ ใช้เพื่อการหลุดพ้น

    ในขณะที่เราทุกคนล้วนเป็นผู้ที่กำลังเรียนรู้ ในการเป็นผู้ทำได้ เราทุกคนคือ มนุษย์ผู้มีปัญญา ขอให้เราทุกคนเลือกใช้ปัญญาของเราในทางสร้างสรรค์ให้บังเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง และ ผู้อื่น เพราะเราและผู้อื่น รวมทั้งสรรพชีวิตทั้งหลายในโลกล้วนมีความข้องเกี่ยวกัน และมีความสำคัญอย่างทัดเทียมกัน ถ้าเราเลือกที่จะใช้ปัญญาในด้านบวก ในการคิดบวก ประพฤติปฏิบัติในแนวทางบวก ผลที่เกิดขึ้น คือ ใจเราเป็นบวก เป็นสุข ผู้ที่อยู่ใกล้เรา หรือ รายล้อมตัวเราก็ได้รับการกระทำ ประพฤติจากเราในแนวทางบวก จนเกิดอารมณ์บวก เป็นสุขตาม ๆกัน ไป บรรยากาศรอบ ๆ ก็พลอยบวก หรือ เป็นไปในแนวทางดีตามไปด้วย เพราะความคิด ความรู้สึกเป็นพลังงานที่ไม่สูญสลาย และพลังงานนั้น ๆ ย่อมสามารถแปรสภาพเป็นปรากฏการณ์อันเป็นบวก หรือ miracle ได้เช่นเดียวกัน

    เราทุกคนล้วนเชื่อมต่อกันเช่นนี้ดังกับการหมุนกงล้อหนึ่ง (คนหนึ่ง) ไปกระทบกงล้อหนึ่ง (คนหนึ่ง) และกระทบตามกันไปในทิศทางเดียวกัน หากเราเริ่มหมุนกงล้อแห่งปัญญา (ROTARY)อันมีจุดมุ่งหมายสู่ ศิวิไลซ์ ของเราในวันนี้ กงล้อหนึ่งย่อมก่อให้เกิดปัญญาแก่กงล้ออื่น ต่อ ๆ ไป ในภายภาคหน้า และเมื่อถึงเวลา ที่ทุกกงล้อหมุนไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อนั้น ศิวิไลซ์ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม ศิวิไลซ์จึงเป็นยุคแห่งการหลุดพ้นอย่างแท้จริง

    ด้วยรักและ นับถือยิ่ง
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะ...สันติธรรม ****

    สูงสุด...ก็สัจจะแล้ว
    ทั่วทั้งจักรวาล ก็ต้องสยบต่อสัจจะ
    ไม่ต้องไปหาอะไรให้เสียเวลาอีกแล้ว

    ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
    ไม่เอาดีไม่เอาชั่ว
    ไม่เห็นผู้อื่นผิด
    ไม่เห็นว่าตนดีแล้ว

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    <TABLE id=post533995 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>27-03-2007, 03:13 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#5 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->หนุมาน ผู้นำสาร<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_533995", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 11,021
    Groans: 1
    Groaned at 473 Times in 325 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 212
    ได้รับอนุโมทนา 70,657 ครั้ง ใน 10,119 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5038 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_533995 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->*** หาก จะเปลี่ยนแปลงชะตาลิขิต ****

    ชะตาลิขิต...เป็นผลมาจาก การกระทำในอดีต
    นิสัยสันดาน...ส่งผลให้เกิดการกระทำ เดิมๆ ซ้ำๆ
    คนๆ นั้น...จึงต้องรับ กรรมในรูปแบบเดิมๆ ...เพราะ เป็นผลจากการกระทำเดิมๆ จากนิสัยสันดานตัวเดิม
    การที่เราจะเปลี่ยนแปลง...ชะตาลิขิตได้
    จะต้องเปลี่ยนแปลง....นิสัยสันดานเดิมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด....ต้องทำให้มันค่อยๆลดลง ...และดีที่สุด คือ นิสัยสันดานตัวนั้นหมดไปจากจิตใจในที่สุด

    ทางตรงที่สุด ที่จะลดนิสัยสันดานลงได้....คือ "สัจจะ"
    เพราะ สัจจะ คือ การกำหนดสิ่งที่ดีให้ตัวเองได้ปฏิบัติ....กำหนดไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี ที่ตัวเองชอบทำ...เป็นการให้ความชัดเจนกับตนเอง...ว่าจะมีกำหนดทำถึงเมื่อไหร่
    เมื่อ เราทำได้จริงตาม "สัจจะ" ....ย่อมมีผลตอบแทนแน่นอน
    เมื่อ ปฏิบัติบ่อยๆ สุดท้ายนิสัยไม่ดีจะหมดไปในที่สุด

    ผลของการกระทำ...ไม่ตาย ไม่สูญสลาย ติดตัวเราไปตลอดกาล ...เรียกว่า "ตัวกระทำ"
    ตัวกระทำ...จะส่งผลให้ กรรม เบี่ยงเบนไปได้
    จึงเกิดเป็นเหตุการณ์โชคดี....แคล้วคลาด ปฏิหาริย์.......

    "สัจจะ" ...จึงเปลี่ยนแปลง ชะตาลิขิต ได้จริง !!!!!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    <TABLE id=post598571 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>15-06-2007, 10:24 AM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#8 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->หนุมาน ผู้นำสาร<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_598571", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 11,021
    Groans: 1
    Groaned at 473 Times in 325 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 212
    ได้รับอนุโมทนา 70,657 ครั้ง ใน 10,119 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5038 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_598571 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->*** มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ ...ตัวกระทำจัดสรรการเกิด ****

    อยู่ในโลกเดียวกัน
    มีชีวิต...มีวิญญาณ เหมือนกัน
    ต้องอาศัย พึ่งพากัน
    โลก จะเหมือนสวรรค์...
    เมื่อ มนุษย์เบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก คือ มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้น้อยที่สุด
    เท่าที่จำเป็น<!-- google_ad_section_end -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ลืมสัจจะ

    <TABLE id=post730677 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>29-09-2007, 11:53 AM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#11 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->หนุมาน ผู้นำสาร<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_730677", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 11,021
    Groans: 1
    Groaned at 473 Times in 325 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 212
    ได้รับอนุโมทนา 70,657 ครั้ง ใน 10,119 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5038 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_730677 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->*** สัญญาใจ ****

    สัจจะ...คือ สัญญาใจตนเอง

    ผิดสัจจะ .... คือ การผิดสัญญาของตัวเอง

    ผิดคำสัญญา ... คือ การผิดสัญญากับใจตัวเอง....คือ ผิดสัจจะ

    ผิดคำสาบาน .... คือ การผิดสัญญากับใจตัวเอง...คือ ผิดสัจจะ

    ผิดคำบนบานศาลกล่าว ... คือ การผิดสัญญากับใจตัวเอง....คือ ผิดสัจจะ

    ผิดคำอธิษฐาน .... คือ การผิดสัญญากับใจตัวเอง...คือ ผิดสัจจะ

    ผิดคำสัตย์ปฏิญาณ ...คือ การผิดสัญญากับใจตัวเอง....คือ ผิดสัจจะ



    *** เคยบ้างไหม ****

    ผมสัญญาว่า.......
    ฉันสัญญาว่า.......

    ผมสาบานว่า.......
    ฉันสาบานว่า.......

    ข้าพเจ้าขอบนต่อ.......ว่า.......
    ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า จะ.......
    ข้าพเจ้าขอถวายสัตย์ปฏิญาณตนว่า.......


    " ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน "
    ประโยคนี้ คือ......."หลักสัจจะธรรม"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    <TABLE id=post738993 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>04-10-2007, 10:06 AM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#12 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->หนุมาน ผู้นำสาร<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_738993", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 11,021
    Groans: 1
    Groaned at 473 Times in 325 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 212
    ได้รับอนุโมทนา 70,657 ครั้ง ใน 10,119 โพส
    พลังการให้คะแนน: 5038 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_738993 class=alt1><!-- google_ad_section_start -->*** ลองพิจารณา...ความจริงในธรรมชาติ ****

    จิตวิญญาณของเรา...มีตัวตน ไม่ตาย ไม่สูญสลาย
    สิ่งที่เราทำได้จริง....ก็มีตัวตน ไม่ตาย ไม่สูญสลาย...ส่งผลย้อนกลับมาเป็นกรรม
    การกระทำดีที่ทำได้....ก็ไม่ตาย ไม่สูญสลาย มีตัวตน...เป็นบารมี ติดตัวเราไปตลอดกาล
    ผลการกระทำ... ก็ไม่ตาย ไม่สูญสลาย....พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เรียกว่า "ตัวกระทำ"

    รูปสังขาร บนโลก...มีก่อเกิด มีผุผัง มีเปลี่ยนแปลง
    แต่....ก็ไม่สลายไปจากโลก...เป็นละอองธาตุต่างๆ

    การกำเนิดทุกสิ่ง
    เป็นผลมาจาก "ตัวกระทำ" จัดสรร
    การเกิดของเราในชาตินี้...เป็นใคร เป็นอะไร เพศอะไร สมบูรณ์หรือไม่ อยู่ในครอบครัวใด มีพ่อแม่เป็นอย่างไร อยู่ในถิ่นฐานแห่งใด ความเป็นอยู่เรื่องปากท้องเป็นอย่างไร
    ทั้งหมด...ล้วนเป็นการจัดสรรจาก "ตัวกระทำ" ของตัวเราเอง

    การเกิดใหม่...ในแต่ละครั้ง แต่ละชาติ
    จึงเหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่
    .......หาก... " เกิดเป็นสัตว์ หรือ ต้นไม้ " ....ก็คือ การชดใช้กรรม
    ต้องยอมรับ...ผลการกระทำที่เคยทำมาในอดีต
    .......หาก.... "เกิดเป็นมนุษย์"...คือ โชคดีที่สุด
    สามารถเลือกทางเดินตัวเองได้...ว่าจะทำดี ทำในสิ่งไม่ดี....ทำบุญทำกุศลได้
    แต่ สิ่งสำคัญ....ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ....คือ " นิสัยสันดาน "

    "นิสัยสันดาน" ...ส่งผลให้เกิด.... การกระทำแบบเดิมๆ
    ผลการกระทำ...จึงซ้ำๆ เหมือนเดิม เหมือนในชาติก่อน ๆ
    กรรม...จึงเป็นเป็นแบบเดิมๆ....วนเวียนซ้ำๆ อยู่บนโลกแห่งนี้

    หาก...ปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
    คือ...การไม่กลับมาเกิดใหม่
    คือ....การหลุดพ้น
    หลุดพ้นไปจากโลก
    หลุดพ้นสู่นิพพาน...ที่มีอยู่จริงในธรรมชาติ

    การจะหลุดพ้นได้...เราจึงต้อง.... "ขจัดกิเลศนิสัย" ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ
    การจะทำให้หมดไปได้...ต้องฝึกตนเอง
    "นิสัยขี้โมโห"...จะหมดไปได้จริง
    เราจะต้อง.... "ฝึก ไม่โกรธ ไม่โมโห" ...ทุกๆ วัน
    เราฝึกตนเองทุกวัน...นิสัย อารมณ์โกรธโมโห จะลดลง เหลือน้อยลง
    พอรู้ตัว ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
    จนในที่สุด...นิสัย อารมณ์โกรธโมโห....จะหมดไปจากจิตใจเราเอง
    ในช่วงเวลาที่...ตัวเรา ไม่มีอารมณ์โกรธโมโห...การกระทำของเราก็จะดีขึ้น

    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์....จึงสอนให้ ตั้งใจทำความดี
    ตั้งใจละเว้นความชั่ว...ตั้งใจทำจิตใจอารมณ์ไม่ขุ่นมัว
    ด้วย "สัจจะ"
    โดยกำหนด ..."สัจจะเป็นหัวข้อปฏิบัติ" ให้กับตนเองทุกวัน

    เมื่อ...เราอยู่ในความสงบ ทำ "สติว่าง"
    เราพิจารณาตนเอง...เราจะรู้ว่านิสัยไม่ดีของตัวเรา คืออะไร
    แล้วเราจึงนำมากำหนดเป็น "สัจจะหัวข้อปฏิบัติของตนเอง"

    ฝึกทุกวัน...กิเลส นิสัย จะหมดไปได้จริง
    เราต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง
    เราจึงจะพบว่า...สิ่งที่กล่าวมา คือ ความจริง
    คือ "สัจจะธรรม"
    ผลการกระทำที่ทำได้ จะเป็นบารมีติดตัวเราไป
    ....... ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน .......
    สิ่งนี้คือ................หลักสัจจะธรรม................

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    สวัสดีครับ ขอรบกวน ช่วยเช็ค 2 คำ นี้หน่อยนะครับ

    1.Buddha Bless กับ

    2.Illuminator

    ขอบคุณครับ ^ ^
     
  16. โอมธนกฤต

    โอมธนกฤต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2009
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ชอบกระทู้นี้ครับ อ่านเงียบๆตลอด ส่วนตัวเพิ่งจะสังเกตุเหมือนกันว่า
    ชีวิตเจอะเจอแต่ตัวเลข 1 กับ 7 ตลอดๆ
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ทำให้ถึงที่สุด ****

    ไม่มีใครทำอะไรเราได้
    ตราบใดที่ยังพิจารณาอยู่ในเรื่องของสัจจะ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2011
  18. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    <table id="post4278030" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] วันนี้, 02:03 AM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1904 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> กบสามตัว
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Nov 2010
    ข้อความ: 54
    Groans: 0
    Groaned at 3 Times in 3 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 4
    ได้รับอนุโมทนา 130 ครั้ง ใน 55 โพส
    พลังการให้คะแนน: 15 [​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4278030" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> JINTAWADEE
    วันที่สมัคร
    30-09-2007
    Total Posts
    1,134
    1260วัน

    วันที่30=3+0=3
    เดือน9=3+3+3=333
    ปี2007=2+7=9=333
    โพสต์1134=1+1+3+4=9=333
    จำนวนวัน1260=1+2+6=9=333
    __________________
    </td></tr></tbody></table>

    [​IMG]
    ด้วยรัก..ศุภักษร..(f)
     
  19. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    <table id="post4159021" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] 17-12-2010, 02:52 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1695 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Little Duck
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: May 2008
    ข้อความ: 740
    Groans: 0
    Groaned at 2 Times in 2 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 3,562
    ได้รับอนุโมทนา 9,578 ครั้ง ใน 693 โพส
    พลังการให้คะแนน: 192 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4159021" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> ผลการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 16 ธันวาคม 2553

    รางวัลที่หนึ่ง 334380 เลขท้ายสองตัว 24


    16/12/2553 = 16+12+2+5+5+3 = 43 =DC = DATA CONFIRM

    334380 = 3+3+4+3+8+0 = 21 = U = UNIVERSE

    33= 6 = F = FUNCTION
    43 = 7 = G = GRAND
    80 = 8 = H = HUMANITY


    FGH = FUNCTION GRAND HUMANTY

    33 = CC = CONCERN
    43 = DC = DATA CONFIRM
    80 = HO = HUMANITY OMEN


    334 = 10 = J = JUSTIFY
    380 = 11 = K = KEY


    เลขท้ายสองตัว 24
    24 = BD =DATA BASE พื้นฐานของข้อมูล
    24 = X = X-ray โปร่งใส ทะลุปรุโปร่ง
    24 = 6 = FULL สมบูรณ์แบบ


    หากดูผลลัพธ์ของวันที่ 16/12/2553 = 43 หมายถึงยืนยันข้อมูล โปรดสังเกตุ รางวัลที่หนึ่งมี 43 อยู่ตรงกลาง ระหว่าง 33 และ HO จึงหมายถึง การยืนยันข้อมูลจากจักรวาลมาัยังผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ทำหน้าที่ชี้แนะแนวทางให้แก่้มนุษยชาติ ดังนั้น กุญแจหลักของผลการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลในครั้งนี้ คือ FGH = FUNCTION GRAND HUMANITY จึงแปลความได้ว่า GRAND ซึ่งมาจากคำว่า Sujja ของคุณหนุมาน จึงเป็นการ JUSTIFY KEY ของคุณหนุมาน ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานที่มีความชัดเจนและสมบูรณ์แบบ เพื่อให้มนุษยชาติใช้เป็นแนวทางพื้นฐานในการยุคพลังงานใหม่สู่ ศิวิำไลซ์

    </td></tr></tbody></table>


    ด้วยรัก ..ศุภักษร (f)
     
  20. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    ยินดีต้อนรับ คุณ Little Mermaid.
    คุณมาครั้งล่าสุดเมื่อ วันนี้ เวลา 04:15 PM

    เฉพาะที่เป็นสมาชิกที่ได้อ่านกระทู้นี้ ตั้งแต่ 19-01-2011, 04:15 PM

    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> Little Mermaid</td></tr></tbody></table>


    [​IMG]


    ด้วยรัก ศุภักษร..(f)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2011
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...