NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ.. GRAND NATURE ..

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Little Duck, 25 กุมภาพันธ์ 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    <table id="post4170091" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] 20-12-2010, 05:44 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1764 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Little Duck
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: May 2008
    ข้อความ: 734
    Groans: 0
    Groaned at 2 Times in 2 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 3,551
    ได้รับอนุโมทนา 9,542 ครั้ง ใน 683 โพส
    พลังการให้คะแนน: 189 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4170091" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <table id="post4169466" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] วันนี้, 03:40 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1759 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Little Mermaid
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jun 2008
    ข้อความ: 490
    พลังการให้คะแนน: 154 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4169466" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center>WITH YOU..

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>

    <table id="post4102625" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] 01-12-2010, 04:19 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1525 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Little Duck
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: May 2008
    ข้อความ: 722
    พลังการให้คะแนน: 186 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4102625" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <table id="post4099888" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] เมื่อวานนี้, 11:53 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1516 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> กบสามตัว
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Nov 2010
    ข้อความ: 12
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4099888" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center>กุญแจของเรื่องนี้อยู่ที่ ลิตเติ้ลเมอร์เม

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> วิธีหนึ่งเป็นคู่ต่างของตัวเลขคือญาณหยั่งรู้ตามสัญชาตญาณ
    กือบลืมไปละว่า ชื่อคุณลิตเติ้ลเมอร์เมต
    อยู่ในคำพยากรณ์
    เมื่อหลายเดือนที่แล้ว
    เป็นชื่ออันดับแรกที่ผมเลือกไว้
    เห็นว่าเป็นวิธีที่ตรวจสอบความแน่นอนได้ยากเลยลืมไป
    พอดีวันนี้นึกขึ้นมาได้
    เดี๋ยวคงต้องเล่าว่าวันนั้นเกิดเรื่องตื่นเต้นอะไร
    ในคำพยากรณ์วันนั้น ที่ทำให้ผมต้องมาที่นี่
    โดยวิธีที่ผมไม่ค่อยเชื่อถือมันนัก
    แล้วคุณเงือกน้อยอยู่ไหนล่ะเนี่ย
    __________________
    </td></tr></tbody></table>

    กบสามตัว = THREE FROGS =20+8+18+5+5+6+18+15+7+19 =121
    121 = 12:21 = 33
    1+21 = 22 = V



    THREE = 20+8+18+5+5 = 56 = 11
    FROGS = 6+18+15+7+19 = 65
    = 11


    56 : 65
    11:11 = KK
    11+11 = 22


    Little Mermaid = 12+9+20+20+12+5+13+5+18+13+1+9+4 = 141
    141 = NA = NEW AGE

    141 = 14:41 = 55 = NEW AGE
    141= 1+41 = 42 = DB = Data Base

    จาก ราย ละเอียดทั้งหมด จะเห็นได้ว่ามีความหมายเดียวกัน และต่างสนับสนุนซึ่งกัน ตัวอักษรด้านละ 5 อักษร ผลลัพธ์ 56 : 65 คือผลลัพธ์ที่เท่ากันเมื่อมองในกระจก คือ เลข 6 ด้านขวาจะเท่ากับเลข 6 ด้านซ้าย และเลข 5 ด้านซ้าย เท่ากับเลข 5 ด้า่นขวา ต่างสะท้อนซึ่งกันและกัน คู่ต่างของตัวเลข และ ผลลัพธ์สุดท้ายเท่ากันคือ 11:11 = KK ดังนั้นคุณกบสามตัวคือผู้ถือกุญแจสำคัญอีกท่านหนึ่ง ซึ่งผู้ถือกุญแจดอกนั้น จะเป็นผู้ไขรหัสปริศนาด้วยตัวเอง ดัังที่คุณกบสามตัวได้อธิบายไว้แล้วดังข้อความด้านบน หากเปรียบเทียบกับข้อความของคุณกบสามตัว จึงแปลความได้ว่า กุญแจของเรื่องนี้อยู่ที่ Little Mermaid

    NEW AGE..

    </td></tr></tbody></table>

    WITH YOU = 23+9+29+8+25+15+21 = 121
    121 = 12:21 = 33
    1+21 = 22 = V

    12+1 = 13 = M&M = M


    Little Mermaid = 12+9+20+20+12+5+13+5+18+13+1+9+4 = 141

    141 = NA = NEW AGE

    141 = 14:41 = 55 = NEW AGE
    141= 1+41 = 42 = DB = Data Base


    จะ เห็นได้ว่าข้อความ WITH YOU มีผลลัพธ์เท่ากับ THREE FROGS และ โดยมี Little Mermaid เป็นกุญแจสำคัญ เมื่อดูความหมายของข้อมูลอ้างอิงต่างมีการกล่าวอ้างถึงกันและกัน จึงแปลความหมายได้ว่าข้อมูลทั้งสองต่างสะท้อนซึ่งกันและกัน เปรียบเสมือนการนำ MAGIC & MIRACLE มารวมกันเพื่อความพอดี คือ MIDDLE ซึ่งผู้ถือกุญแจแต่ละดอกนั้นจะเป็นผู้ไขปริศนาด้วยตัวท่านเอง

    LOVE YOU..

    </td></tr></tbody></table>

    WELCOMEHBDs;aa6
     
  2. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    GRAND EX'

    <object width="480" height="385">


    <embed src="http://www.youtube.com/v/iZFAWExNMM4?fs=1&hl=en_US" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="480" height="385"></object>

    LOVE YOU..

    _heart+love_-love mode--Happy Smile_
     
  3. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    บทความดีดี มีมาให้อ่านกัน ..

    พลังการใส่ใจ..

    “ ลอยเหนือโลกขึ้นไปในเวหา ลอยขึ้นไปบนฟ้าที่เทพอยู่ ถึงความว่างห่างจากตัวกู ไม่มีอยู่ไม่มีไปสบายเอย ”

    นี่เป็นประเด็นสำคัญในพุทธศาสนาในเรื่องของการ ปฏิบัติ, เราจะต้องไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเรา มีอัตตาตัวตน และก็อยู่เหนือของคู่ อยู่เหนือปัญญาระดับเหตุผล พุทธศาสนาจะต้องเห็นผลของการปฏิบัติในชีวิตนี้ไม่ใช่ชาติหน้าหรือชาติไหน และอุดมการณ์ที่สำคัญคือ สัจจะขั้นอัลติมะ หรือบรมธรรม

    เป้าหมายของชาวพุทธเราก็อยู่ที่ การบรรลุธรรม หรือ นิพพาน หรือ นิโรธะ หรือสัจจะขั้นอัลติมะ สัจจะขั้นสูงสุดมันมีอยู่แล้วในทุกสรรพสิ่งโดยเฉพาะในคนเรามันมีอยู่แล้วใน ทุกชีวิตทุกคน แต่น้อยคนที่จะเห็นมัน น้อยคนที่จะรู้จักมัน เพราะความคิดปรุงแต่งที่เกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทานมันบัง

    เมื่อใดก็ตามถ้าเรากำจัดขบวนการความคิดเสียได้ด้วยวิธี การเรียนรู้มัน เข้าใจมัน ธรรมชาติที่แท้ มันจะเผยตัวออกมาให้เราเห็น น้อยคนที่จะเห็นก็เพราะว่าขาดความเข้าใจในวิถี หรือวิธีของการปฏิบัติ

    การปฏิบัติที่เรายังรับรู้อย่างแบ่งแยก มีสิ่งถูกรู้- มีผู้รู้ แล้วเราไปพิจารณาสิ่งที่ถูกรู้ ไปพิจารณาผู้รู้ว่ามันไม่เที่ยง มันไม่มีตัวตน นี่มันเป็นปัญญาระดับเหตุผล ในขณะที่เราพิจารณาแล้วบอกว่ามันไม่เที่ยง มันไม่มีตัวตน เราไม่ได้เห็นสภาวะที่มันไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเรา มันเป็นเพียงขบวนการความคิด เมื่อจบแล้วก็จบ,

    ปัญญาระดับความคิด ปัญญาระดับเหตุผลที่เป็นของคู่ มันไม่สามารถที่จะทำลายความยึดถือต่างๆ ได้ และมันไม่สามารถที่จะเห็นภาวะที่ไปพ้นความรู้สึกที่มีตัวเรา หรือไปพ้นความรู้สึกที่ไม่มีตัวเรา

    เราจะต้องเห็นภาวะตรงนี้ ทางสายกลางเป็นจุดเริ่มต้นของการที่เราสัมผัสได้กับภาวะที่เหนือของคู่ เหนือความมีตัวเรา เหนือความไม่มีตัวเรา แต่ถ้าเรายังไปพิจารณาด้วยขบวนการความคิดว่ามันไม่มีตัวเรา เป็นความเห็นที่สุดโต่ง ความเห็นที่สุดโต่ง ทั้งสอง,คือ มี-ไม่มี,สูง-ต่ำ,ดำ-ขาว การปฏิบัติถ้าเรายังอยู่ในทัศนะของความสุดโต่งทั้งสอง เราจะไม่พบ”ทางสายกลาง” เลย อาตมาจึงบอกว่าน้อยคนที่จะรู้จักมัน ถ้าไม่เริ่มต้นด้วยทางสายกลาง ไม่มีทางรู้จักเลย ถ้ายังรับรู้อย่างแบ่งแยก, มีรูป- มีนาม, มีสิ่งที่ถูกรู้มีผู้รู้, ก็ยังอยู่ในมิติของจิตสามัญสำนึก เราไม่มีทางรู้จักทางสายกลางเลย

    ทางสายกลางเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะจิตที่อยู่เหนือจิต สามัญสำนึก เราจึงจะพัฒนาให้เกิดปรีชาญาณได้, ปรีชาญาณเกิดในมิติของจิตเหนือสำนึก, ไม่ใช่มิติของจิตสามัญสำนึก, ในมิติจิตสามัญสำนึก เป็นปัญญาระดับเหตุผลเท่านั้นเอง แต่ปรีชาญาณ หรือญาณทัศนะ หรือปัญญาญาณ หรือภาวนามยปัญญา มันเป็นธรรมชาติรู้ ที่อยู่ระดับจิตเหนือสำนึก ปัญญาระดับนี้แหละ ที่ทำลายความยึดถือต่างๆ ได้ การเรียนรู้ของเรา,

    ต้องใช้ปัญญาระดับจิตเหนือสำนึกไปเรียนรู้ ไม่ใช่เรียนรู้ด้วยปัญญาระดับเหตุผล, เมื่อใดก็ตามถ้าจิตของเราว่างจากขบวนการความคิดแล้วเห็นความว่าง(สูญญตา)

    นั่น แหละคือ จุดเริ่มต้นของปรีชาญาณ ที่มันจะเกิดขึ้น, เมื่อความมั่นคงของความเป็นปกตินั้นเกิดขึ้น, ปรีชาญาณก็จะทำหน้าที่เรียนรู้จนเกิดความ เข้าใจ ความเข้าใจที่สูงสุดก็คือสภาวะจิตที่มันว่างเขาถึงบอกว่า “ ความรู้ที่สูงสุดก็คือไม่รู้อะไรเลย” หลายคนฟังแล้วไม่เข้าใจ, “เสียงที่ดังที่สุดก็คือเสียงของความเงียบ” คนฟังแล้วไม่เข้าใจ ดังกับเงียบเป็นของคู่ รู้กับไม่รู้นี่ก็เป็นของคู่ ความรู้ที่สูงสุด ก็คือไม่รู้อะไรเลย, นี่เป็นของคู่ที่ตรงกันข้ามในมิติจิตสามัญสำนึก แต่มันไม่ต่างกัน เมื่อเราเข้าถึงสัจจะขั้นอัลติมะ


    เมื่อเรามองด้วยปรีชาญาณ มันจะไม่ต่างกัน ก็คือมองด้วยจิตที่อยู่เหนือโลก เราจะเห็นของคู่หรือปัญญาระดับเหตุผลมันไม่ต่างกัน, สูงก็คือต่ำ, ดำก็คือขาว, คนโง่ก็คือคนฉลาด,เข้าใจไหม?

    แต่ถ้าเรามองด้วยปัญญาระดับเหตุผลเราจะเข้าใจไม่ได้เลย เพราะมันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามมันเป็นความสุดโต่งทั้งสอง,มันขัดแย้งกัน,มัน จะไม่ต่างกันได้ยังไง เมื่อเรามองด้วยปรีชาญาณมองด้วยภาวะจิตที่อยู่เหนือของคู่ ของคู่จะไม่ต่างกัน ในโลกหรือในมิติของจิตเหนือสำนึก สรรพสิ่งนี่มันไม่ต่างกัน สิ่งที่เราเห็นทางตา กับสิ่งที่เราได้ยินทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มันไม่ต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่ามันเหมือนกัน เราไม่ได้แบ่งแยกมัน เราไม่ได้ให้ค่าตัดสินมัน มันจึงไม่แตกต่าง และไม่เหมือนกัน ในมิติของจิตสามัญสำนึกเราอยู่ในโลกของความคิด,ให้ค่าตัดสิน,ลงความเห็น, มันจึงแตกต่างกันหรือเหมือนกัน

    เพราะเราไปแบ่งแยกมันด้วยขบวนการของความคิด เมื่อเราสามารถพัฒนาให้ปรีชาญาณมันเกิดขึ้นได้,เราจะเข้าใจชีวิต เข้าใจโลกในทัศนะของความจริงว่าโลกในทัศนะของความจริงหรือจักรวาลในทัศนะของ ความจริงมันดำรงอยู่อย่างไร มันมีความสัมพันธ์ ซึ่งกันและกันอย่างไรเราจะรู้ได้ ก็คือตัวเรานี่แหละที่จะเข้าไปสัมผัสสัมพันธ์,

    ประสบการณ์ของเรา ธรรมชาติขันธ์ 5 ของเราเป็นสิ่งหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งในความเป็นทั้งหมด มันดำรงอยู่อย่างไรถ้าไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวเรา ถ้าไม่มีขบวนการความคิด ที่ไปแบ่งแยกมัน เราก็จะเข้าถึงประสบการณ์ตรงต่อสัจจะเราจะรู้ได้รู้ได้สัมผัสได้ด้วยกันทุก คน

    ถ้าเราเริ่มต้นด้วยทางสายกลาง หรือเห็นทางสายกลาง ได้ดวงตาเห็นธรรม วิธีที่จะสัมผัสได้กับทางสายกลางมันไม่ใช่เรื่องยาก หรือเรื่องง่าย บางคนบอกแหมสูงจัง บางคนบอกยากจัง ยากแน่นอนถ้ายังไม่หมดความคิด ถ้ายังมีความคิดอยู่ มันก็มียาก มีง่าย ลองสังเกตจิตใจดูสิอย่าพึ่งไปตัดสิน ว่ามันสูง ว่ามันต่ำ, มันยาก มันง่าย ลองสังเกตจิตใจของเราดู,เราสามารถสัมผัสได้ไหม, ภาวะที่มันอยู่เหนือยาก เหนือง่าย, อาตมาถึงบอกไม่ยาก ไม่ง่ายคือ ทางสายกลาง,ไม่สูงไม่ต่ำ นี่คือทางสายกลาง ยาก-ง่าย,สูง-ต่ำ นี่มันของคู่ เมื่อเราไปพ้นของคู่ เราก็จะพบสภาวะของคู่นี้ไม่ต่างกัน, ยากก็คือง่าย, สูงก็คือต่ำ นี่เราตระหนักรู้ได้ด้วยปรีชาญาณของเรา

    นี่เป็นประสบการณ์ของเรา จุดเริ่มต้นเราต้องสัมผัสให้มันได้ก่อน ด้วยการหันเข้ามามองจิตใจ สังเกตเรียนรู้ ดูมัน เข้าใจมันแล้วเราก็จะซาบซึ้งกับวิถีของชีวิตเราในการรับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย รับรู้ตรงๆ รับรู้โดยไม่ให้ค่าตัดสินลงความเห็น เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เหมือนกับที่พาหิยะได้บรรลุธรรมคือเห็นเฉยๆ ได้ยินเฉยๆ นี่เราจะต้องฝึกให้มันเกิดความเคยชิน, เคยชินในการที่จะไม่ให้ค่า,ตัดสินลงความเห็น ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มันจะไม่ตัดสินได้เราจะต้องมีสติ มีปัญญาเห็นจิตใจของเราอยู่เสมอๆ เราจะเห็นได้มากได้น้อย ขนาดไหน มันก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของเรา จากการได้สังเกต จากการได้เรียนรู้ทุกครั้งที่เราสังเกต จิตใจมันว่าง เป็นปกติ มันมีพลังที่จะอยู่ในความเป็นปกติได้นานขนาดไหนยิ่งมันอยู่ได้นานเราก็จะ รู้จักสัมมาสมาธิ, นิวรณ์ต่างๆ จะน้อยลง เรารู้จักสัมมาสมาธิ ที่เขาพูดไว้ในตำราว่าคุณสมบัติก็คือ ปริสุทโธ สมาหิโต กัมนีโย บริสุทธิ์ ตั้งมั่นพร้อมที่จะทำงาน พร้อมที่จะไปเกี่ยวข้อง กับสิ่งที่เราต้องเกี่ยวข้องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรืออารมณ์ต่างๆ เราสัมผัสได้ถ้าเราเริ่มต้นด้วยทางสายกลาง

    เมื่อใดที่เราสังเกตจิตใจ แล้วเห็นมันว่าง จนกระทั่งว่ารู้สึกว่าเราไม่ต้องสังเกต เห็นมันว่าง ขณะทำอะไรต่ออะไรอยู่ เห็นมันว่างไปด้วย นี่มันเจริญมากขึ้นแล้ว นั่นแหละคือวิถีของการพัฒนาจิตวิญญาณไปสู่จิตของอริยะชน ตัวตนของเรายิ่งน้อยลงมากเท่าไหร่

    เราก็จะพบความสุขที่พระพุทธองค์ตรัสว่า

    “นัตถิ สันติ ปรม สุข” สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี


    เราจะพบความมหัศจรรย์ในการที่เราแลเห็นสิ่งต่างๆ ในการที่เราได้ยินเสียงสิ่งต่างๆ, ในการที่เรารับรู้ตรงๆ, รับรู้ในความเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่เรารับรู้ในความเป็นเอกภาพเดียวกันกับ สรรพสิ่ง

    นี่เป็นความมหัศจรรย์ของชีวิตที่พระพุทธองค์ ได้ทรงชี้แนะได้หงายของที่คว่ำอยู่ ได้ทรงเปิดเผยสิ่งที่มันถูกปกปิดอยู่ ได้ทรงชี้ทาง “อักขา ตาโร ตถาคตา” เป็นประทีปส่องทาง นั่นคือชี้ทางให้เราเกิดปัญญาญาณหรือปรีชาญาณเป็นประทีปให้เราได้เห็นโลก เห็นจักรวาล เห็นตัวเราในทัศนะของความจริง พระองค์พยายามปลุกเราให้ตื่นขึ้นท่ามกลางโลกมายา การดำเนินชีวิตในมิติของจิตสามัญสำนึก มันเป็นโลกมายา ทุกสิ่งเราไปตั้งชื่อให้มัน มันไม่ใช่ความจริง ชื่อต่างๆ มันไม่ใช่ความจริง การให้ค่าตัดสินลงความเห็นที่เป็นคู่ๆ เป็นทวิภาวะ เป็นความสุดโต่งทั้งสองนี่ก็ไม่ใช่ความจริง แต่เราคิดว่าเป็นความจริง

    สมมุติต่างๆในสังคม ในโลกของมนุษย์ในสังคมของมนุษย์ที่เราดำเนินชีวิตกันอยู่นี่เป็นโลกมายา ในมิติของจิตสามัญสำนึกมันเป็นโลกของมายา มันเป็นโลกของภาพลวงตา ทำอย่างไรเราถึงจะตื่นขึ้นท่ามกลางโลกมายาได้ ประเด็นสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ชาติหน้า หรือว่าอดีตที่เราจะต้องปฏิบัติระลึกชาติได้ ชาติก่อนเราเป็นอะไรต่ออะไรประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่อนาคตว่าเราจะไปเกิดเป็นอะไร แต่ประเด็นสำคัญอยู่ในทุกขณะเรารับรู้โลก,มองโลกด้วยปัญญาระดับไหน ถ้าเรามองโลกในระดับปัญญาจิตสามัญสำนึก หรือปัญญาระดับเหตุผล เราก็จะอยู่ท่ามกลางของภาพลวงตา หรือท่ามกลางภาพมายา แต่ถ้าเรามองโลกมองชีวิตด้วยปรีชาญาณโลกของมายาก็จะกลายเป็นโลกของความจริง กลายเป็นโลกของข้อเท็จจริง

    และสามารถรับรู้ได้ในความเป็นทั้งหมดในแต่ละขณะ ที่มันกำลังเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงเป็นอมตะ ความไม่เปลี่ยนแปลงก็เป็นอมตะ นี่เราสัมผัสได้ด้วยปรีชาญาณ หรือปัญญาญาณของเราเมื่อเราสามารถจะพัฒนาจิตวิญญาณของเราจนกระทั่ง สมาหิโต หรือตั้งมั่น ที่เรียกว่าสัมมาสมาธิ ก็จะเป็นฐานให้เกิดปรีชาญาณ ยิ่งจิตของเราตั้งมั่นมากเท่าใดความคมชัดของปรีชาญาณก็จะแสดงออกมาให้เราได้ ตระหนักรู้ความจริงได้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น

    ดังนั้นแนวทางปฏิบัติ “ทางสายกลาง “ที่อาตมานำมาเสนอญาติโยม มันจึงเป็นกุญแจที่สำคัญ อาตมาบอกว่ามันเป็นกุญแจ ที่สำคัญยิ่งที่จะทำให้เราได้รู้จักกับสัมมาสมาธิ ได้รู้จักกับปรีชาญาณที่เป็นธรรมชาติรู้ ในความเป็นทั้งหมดของชีวิตเรา ในแต่ละขณะได้ และจะนำไปสู่การดำเนินชีวิตพรหมจรรย์ หรือดำเนินชีวิตด้วยอริมรรคมีองค์แปด ที่มีปรีชาญาณ หรือสัมมาทิฏฐิเป็นฐานของจิตใจเรา ปรีชาญาณ หรือสัมมาทิฏฐิ มาแทนตัวไม่รู้คือโมหะ หรืออวิชชา เมื่อโมหะหรืออวิชชามันถูกทำลายไป,ความยึดถือต่างๆ ก็ถูกทำลายไป, ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำ ประกอบอาชีพการงาน สติ สมาธิ สมังคี รวมลงในกระจกเงาหรือ สัมมาทิฏฐิ หรือปรีชาญาณเป็นองค์รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

    การดำเนินชีวิตด้วยอริยมรรคมีองค์แปด ก็คือการทำงานของสัจจะขั้นอัลติมะ นั่นคือธรรมชาติรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด หรือ สัมมาทิฏฐิที่เกิดจากสูญญตา, ที่เกิดจากอสังขตธรรม ทำงานร่วมกันกับขันธ์ 5 ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำ,ประกอบอาชีพ การงาน สติ สมาธินี่เป็นเรื่องของขันธ์ 5 ทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว ปราศจากความรู้สึกว่ามีตัวเรา นี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงปลุกเราให้ตื่นขึ้นท่ามกลางโลกมายา ท่ามกลางมิติจิตสามัญสำนึก,โลกสมมุติต่างๆ เมื่อเราพัฒนาจนเกิดปรีชาญาณจน เป็นฐานของจิตใจ จนเห็นธรรมชาติที่แท้จริงแล้วตัวรู้ทั่วพร้อม ปรีชาญาณจะแสดงออกควบคู่ไปกับกิจการงานในชีวิตประจำวันของเรา,แม้ชั่วขณะ 5 นาที 10 นาทีก็เป็นกุศล มหากุศลยิ่งแล้ว
    สิ่งนี้เราจะสัมผัสได้เมื่อเรา เริ่มต้นด้วยทางสายกลาง ที่ไม่เห็นมันก็เพราะว่าความคิดปรุงแต่ง ที่เราดำเนินชีวิตในมิติของจิตสามัญสำนึก ที่มีตัณหาอุปาทาน โมหะ อวิชชามันบดบัง สิ่งนี้อยู่,บดบังธรรมชาติที่แท้ทำให้เราไม่เห็นมันธรรมชาติที่แท้ที่ไม่ สามารถจะแสดงตัวของมันได้ มันก็ก่อให้เกิดความรู้สึกว่ามีตัวเราขึ้นมา มีอัตตามีตัวตน และทำให้เกิดความยึดถือ เพราะเราสำคัญผิด สิ่งต่างๆ,ที่เรารับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วไปตั้งชื่อให้มัน


    มันคือบัญญัติ หรือสมมุติ เราสำคัญผิดคิดว่ามันคือความจริงจึงเกิดการยึดถือ ทำให้เกิดการแบ่งแยก ตัวเรากับสิ่งต่างๆ ที่มากระทบ หรืออารมณ์ต่างๆ ซึ่งเนื่องมาจากสัญญาวิปลาส หรือความจำที่ไม่ใช่ความจริง เมื่อความคิดถูกขจัดออกไป ตัวตนหรือความยึดติดทั้งหลายมันก็สูญสิ้นไปด้วย การกำจัดความคิดไม่ใช่ไปสะกดจิตตัวเอง หรือไปบังคับให้จิตใจของเราไม่คิด ให้มันกำหนดรู้ที่ใดที่หนึ่ง จนกระทั่งมันไม่คิดอะไรเลย อยู่กับสิ่งที่เรากำหนดรู้อย่างนี้ ไม่ชื่อว่าเป็นการกำจัดความคิด เรากำจัดด้วยการเข้าใจมัน ความคิดต่างๆ นี่,มันคือผลหรือตัวที่ตอบสนองความยืดถือต่างๆของเรา

    สิ่งที่เราทำให้ความคิดมันหายไปได้ มันก็เนื่องมาจาก เราจะต้องกำจัดความยึดถือต่างๆออกไป มันกำจัดได้ด้วยการเข้าใจขบวนการของความคิด, ที่เป็นตัวแสดงออกของความยึดถือ ที่เกิดจากความสำคัญผิด เราจะต้องกำจัดความสำคัญผิด ด้วยการเข้าใจมัน เราจะต้องกำจัด หรือขจัดความยึดถือด้วยการเรียนรู้มัน ศึกษามัน ดูมัน เข้าใจโครงสร้าง เข้าใจขบวนการของมัน เมื่อเข้าใจด้วยปรีชาญาณ หรือด้วยปัญญาญาณ ความยึดถือต่างๆ มันก็จะลดละปล่อยวางไป เมื่อการยึดถือมันลดละปล่อยวางไปความคิดที่บดบังความจริงที่แท้ หรือสัจจะมันก็จะน้อยลงไป เมื่อความคิดน้อยลงไปธรรมชาติที่แท้ หรือสัจจะก็เปิดเผยตัวของมันให้เราได้เห็น

    เมื่อตัวตนที่เกิดจากความสำคัญผิด มันน้อยลงไป ความรู้สึกว่าตัวเรา หรือตัวตนทั้งหลาย มันก็หายไปของคู่ๆ หรือปัญญาระดับเหตุผล มันก็น้อยลงไป ปัญญาระดับเหตุผลที่เราสรุป หรือเราให้ค่าตัดสินลงความเห็นที่เป็นของคู่ๆ นี่มันก็น้อยลงไป จิตของเราก็มั่นคงอะไรกระทบก็ไม่ปรุงแต่งให้เป็นของคู่ อะไรกระทบก็เฉยได้ ความรู้สึกพอใจ ไม่พอใจก็น้อยลงไป เมื่อเราเข้าถึงความว่างเราจะมีความรู้สึกว่าเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง เราจะเข้าถึงความเป็นเองของธรรมชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติที่แท้ คือ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสูญญตา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนิโรธะ, เป็นอันหนี่งอันเดียวกับสัจจะขั้นอัลติมะ

    ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการตื่นขึ้นของจิตใจ ตื่นขึ้นเข้าถึงตัวประสบการณ์ ตรงต่อสัจจะ หรือประสบการณ์ตรงต่อพุทธะ ภาวะนั้นก็คือการประจักษ์แจ้งความจริง,ในการประจักษ์แจ้งความจริงด้วยปรีชา ญาณ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งสำคัญยิ่งอีกสิ่งก็คือสตินั่นเอง เมื่อมีสติ มีการระลึกรู้พร้อมความคิดปรุงแต่งก็หายไป ทุกครั้งที่เราสังเกตจิตใจ เมื่อนึกขึ้นมาได้นี่แหละคือสติ นึกขึ้นมาได้เราก็สังเกตดูจิตใจ เราสังเกตขบวนการความคิด สังเกตขบวนการความรู้สึกในจิตใจของเราความคิดปรุงแต่งมันก็หายไป ตอนที่เรานึกขึ้นมาได้นั่นแหละคือสติ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ความคิดปรุงแต่งมันหายไปเมื่อใดที่เรานึกขึ้นมาแล้ว สังเกตจิตใจนั่นแหละเรามีสติแล้ว

    เมื่อความคิดหายไปธรรมชาติรู้ที่เกิดจากจิตที่มันว่าง มันจะรู้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด มันก็ทำหน้าที่ของมัน ทำให้เรารู้สึกตัวทั่วพร้อมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ การเคลื่อนไหว กระพริบตา ในร่างกายของเรานี่เรารู้สึกได้นี่คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมก็คือสัมปชัญญะเป็นชื่อหนึ่งของปัญญาญาณ เป็นความรู้สึกหรือเป็นตัวรู้ที่เกิดจากใจที่มันว่าง

    สัมปชัญญะเป็นธรรมชาติรู้ที่เกิดจากใจที่มันว่าง,รู้ พร้อมทั่วทั้งร่างกายของเราทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย พร้อมจิตใจที่มันว่าง ใจที่มันสงบนิ่งไม่ใช่ไปรู้อยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เรากำหนดรู้ไม่ว่าจะลม หายใจ หรือที่ใดที่หนึ่ง มือไม้ที่มันกำลังเคลื่อนไหว นั่นไม่ใช่รู้สึกตัวทั่วพร้อม,
    ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเกิดจากการที่เราไม่ได้กำหนดรู้ สิ่งใดๆเลย เราไม่ได้กำหนดที่ลมหายใจ ไม่ได้กำหนดที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เป็นธรรมชาติรู้ที่เกิดมาจากใจที่มันว่าง ใจที่มันสงบ แล้วมันรู้พร้อมเอง

    ธรรมชาติรู้อันนี้ มันไม่ใช่วิญญาณ มันไม่ใช่จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ไม่ใช่การรู้ของประสาทสัมผัสต่างๆ แต่เป็นธรรมชาติรู้ที่เกิดจากใจที่มันว่างเกิดจากจิตที่ประภัสสรของเรา นี่คือสัมปชัญญะ เราสามารถจะตระหนักรู้ได้ถึงความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้ คือการพัฒนาจิตใจ นี่คือการปฏิบัติหรือการพัฒนาจิตใจ หากเราสามารถที่จะเข้าใจแล้วรู้วิธีการที่จะพัฒนาจิตใจของเรามันก็จะเป็นการ ปลุกธรรมชาติรู้ หรือธาตุรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดให้มันตื่นขึ้น เพื่อที่ทำให้ใจของเราเป็นอิสระ หรือหลุดออกมาเสียได้จากวิธีคิดการแบบตรรกะ หรือระบบเหตุผล

    อาจารย์บางองค์เขาให้ข้อคิด หรือปริศนาธรรมแก่ศิษย์ไปขบคิดอย่างเช่น พระพุทธองค์ให้ผ้าขาวแก่จูฬปันถก ไปลูบคลำผ้าขาวจนกระทั่ววันหนึ่ง จูฬปันถกได้บรรลุธรรมมีหลายท่านอธิบายว่าจูฬปันถกลูบผ้าขาวแต่ก่อนมันขาว ลูบไปลูบไปมันก็สกปรกก็เลยพิจารณา เออนี่มันไม่เที่ยง แต่ก่อนมันสะอาด เดี๋ยวนี้มันสกปรกก็เลยได้บรรลุธรรม

    แต่อาตมาเข้าใจว่าขณะที่จูฬปันถก ลูบผ้าไป ลูบผ้าไปแล้วใจของท่านก็ว่าง มีความรู้สึกว่าการลูบผ้ากับตัวของท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน, ขณะที่ลูบผ้าแล้วใจมันว่างจะมีความรู้สึกว่าการกระทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะลูบผ้า ไม่ว่าทำอะไรอยู่ มันไม่มีการแบ่งแยกไม่มีตัวเรากำลังลูบผ้าหรือเรากำลังกวาดบ้าน,เรา กำลังซักผ้า,เราเข้าไปกำหนดรู้ที่มือมันกำลังซัก นี่มีตัวเราแบ่งแยกกับการงาน แต่ถ้าใจเราว่าง การซักผ้า การลูบผ้า การทำอะไรอยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีตัวเรา เมื่อตัวเราหายไปเราก็จะเป็นหนึ่งกับสรรพสิ่ง เป็นหนึ่งกับสิ่งที่เรากระทำ อาตมาเข้าใจอย่างนี้ จูฬปันถกบรรลุธรรมด้วยความรู้สึกที่เป็นหนึ่งเดียวกับผ้าที่กำลังลูบอยู่ ไม่ใช่คิดเอาว่ามันสะอาดมันสกปรก แล้วบอกว่ามันไม่เที่ยงนี่เป็นปัญญาระดับเหตุผล นี่คือปริศนาธรรมที่พระพุทธองค์ให้แก่จูฬปันถก

    หรืออย่างท่านโปถิระได้รับปริศนาธรรมจากสามเณรซึ่งเป็น พระอรหันต์ ลูกศิษย์ของท่านโปถิระให้ปริศนาธรรมมีจอมปลวกที่มีรูอยู่ 6 รู เหี้ยมันวิ่งเข้า-ออก ที่จอมปลวก 6 รูนี้ ทำอย่างไรถึงจะจับเหี้ยได้ ท่านโปถิระเข้าใจ,จอมปลวกที่มีรูอยู่ 6 รูก็คือร่างกายของเรามี 6 ทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อารมณ์ต่างๆ เข้ามากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเกิดความรู้สึกพอใจ-ไม่พอใจ เกิดความโลภ ความโกรธ ท่านโปถิระเฝ้าที่จิตใจ,มีอะไรมากระทบทางตา จมูก ลิ้น กาย เกิดความพอใจ – ไม่พอใจ ก็เลยจับเหี้ยได้ ท่านโปถิระก็ได้บรรลุธรรมด้วยการเฝ้าที่จิตใจของตัวเอง

    หรืออย่างท่านองค์คุลีมารไล่ตามพระพุทธะองค์ ไล่ตามไม่ทัน สมณะหยุดก่อนๆ พระพุทธเจ้าบอกเราหยุดแล้วเธอยังไม่หยุด เราก็ให้ความหมายไปต่างๆ นาๆ บอกว่าหยุดฆ่าคนบ้างอะไรบ้าง แต่สำหรับอาตมาให้ความหมายว่าพระพุทธองค์หยุดแล้ว หมายถึงจิตใจของพระองค์เข้าถึงความว่าง เข้าถึงสัจจะสูงสุด หยุดก็คือขบวนการความคิดต่างๆ หยุด ความรู้สึกว่ามีตัวเรา องค์คุลีมารไล่ตามพระพุทธเจ้าไม่ทันเพราะจิตใจขององค์คุลีมารยังไม่สงบจึง ไม่สามารถพบพุทธะหรือความว่างได้ มันเป็นปริศนาธรรม องค์คุลีมารก็ได้ขอบวชกับพระพุทธองค์

    ปริศนาธรรมที่ไม่สามารถจะคิดและเข้าถึงธรรมได้ คิดเท่าไรก็ไม่สามารถจะหาคำตอบได้ จนมันหยุดคิด หยุดแสวงหาคำตอบ จึงจะได้คำตอบได้เห็นธรรม

    หรือเหมือนอาจารย์องค์หนึ่งให้ศิษย์ไปหาเสียงของการตบมือข้างเดียวเป็นยังไง ลูกศิษย์ก็ไปหา กลับมาบอกอาจารย์เสียงนั้นเสียงนี้

    อาจารย์ก็บอกไม่ใช่ จนเลิกหา จนวันหนึ่งก็ไปกวาดลานวัด ก้อนหินไปกระทบไผ่เสียงดังกริ๊ก ก็เข้าถึงความว่าง เป็นหนึ่งเดียวกับเสียงที่ก้อนหินไปกระทบไม้ไผ่ก็บรรลุธรรม หรือ เสียงที่ดังที่สุดคือเสียงแห่งความเงียบ

    ถ้าเราฟังด้วยปัญญาระดับเหตุผล เราเข้าใจไม่ได้ เสียงดังมันคือเสียงเงียบได้อย่างไร แต่ถ้าเราฟังด้วยปรีชาญาณไม่ได้ฟังด้วยหู ฟังด้วยใจที่สงบ เราจะเข้าใจเสียงที่ดังที่สุดนั่นก็คือความเงียบ หรือเสียงแห่งความเงียบนั่นเอง นี่คือปริศนาธรรมที่ทางพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเราไม่ค่อยได้ใช้ ทางฝ่ายมหายานเขาให้ลูกศิษย์ไปคิด,คิดอย่างไงก็ไม่ได้คำตอบเพราะความคิดได้ เพียงปัญญาระดับเหตุผล ปัญญาระดับเหตุผลไม่สามารถที่จะเข้าถึงสัจจะได้ เมื่อหยุดหาคำตอบก็จะได้คำตอบ นั่นก็คือเข้าถึงสัจจะ

    ในการเจริญสติ, เจริญการระลึกรู้, เมื่อนึกขึ้นมาได้ สังเกตจิตใจ สังเกตขบวนการความคิด ที่เรียกว่า สิกขา เราก็จะเข้าถึงสัจจะ,เราก็จะสามารถสัมผัสได้กับจิตที่ประภัสสรของเรา

    เมื่อเราเข้าถึงจิตที่ประภัสสร จิตมันบริสุทธิ์ เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งรอบๆตัวเรา,ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีตัวเราเป็นศูนย์กลาง ไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเรา ไปพ้นความรู้สึกว่าร่างกายนี้เป็นของเรา
    เราก็สามารถนำใช้ในการปฏิบัติธรรมของเราได้การแนะนำของอาจารย์นี่ก็เพื่อที่จะให้ลูกศิษย์เข้าถึงธรรม

    พระพุทธองค์ต้องการให้จูฬปันถกเข้าถึงสัจจะท่านก็ไม่ได้อธิบายอะไร

    แต่ให้ลูบผ้าขาว เมื่อเราได้รับการชี้แนะ หรือปริศนาจากอาจารย์แล้วสิ่งที่เราจะต้องทำก็คือเราจะต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจ ของเราให้มาจดจ่อ ให้มาใส่ใจอยู่กับปริศนาหรือข้อคิด เราต้องทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจอย่างเต็มสติกำลังของเราเลย เมื่อเราได้ทุ่มเททั้งกายและใจในการใส่ใจเราก็จะสัมผัสกับสิ่งๆ หนึ่ง สิ่งนี้ถ้าเราไปตั้งชื่อมันจะหมดคุณค่า,หมดราคาทันที เพราะเราเอาป้ายเอาบัญญัติไปแปะให้มันแต่ถ้าเราเห็นเฉยๆ, สังเกต ดูมัน รู้มัน เข้าใจมันอย่างซาบซึ้งโดยไม่ต้องใช้ภาษา,

    เข้าใจมันด้วยจิตที่สงบนิ่งปราศจากทั้งภายในและภาย นอก,เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสัจจะนั้น, นี่คือการตื่นขึ้น นี่คือ Enlighten คือการประจักษ์แจ้งความจริง,เราก็จะเข้าใจแจ่มแจ้งในสัจจะธรรมทันที

    เราก็จะเข้าใจถึงสิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราตื่นขึ้น เข้าถึงมิติของจิตที่เป็นธรรมชาติแท้ๆ เข้าใจถึงชีวิตจริงๆ ของเรา, พ้นไปจากความสำคัญผิดต่างๆ, ความยึดถือต่างๆ มันก็จะปล่อยวางไป, ธรรมชาติรู้ที่เกิดขึ้นจากจิตใจที่สงบนิ่ง มันก็จะทำหน้าที่ของมัน รับรู้สิ่งต่างๆ พ้นไปจากของคู่ ถ้าเราเข้าถึงสัจจะมันจะอยู่เหนือของคู่ พ้นไปจากความมีหรือความไม่มี ถ้าเราไม่สามารถเข้าถึงสิ่งนี้ได้ การปฏิบัติของเราก็หลงออกนอกทาง นั่นคือไม่ได้เห็น”ทางสายกลาง” การปฏิบัติ 5 ปี 10 ปี ก็ตาม ถ้ายังไม่สามารถที่จะสัมผัสได้ถึงมัชฌิมาปฏิปทา ถึงทางสายกลางเราก็ยังหลงออกนอกทาง ยังอยู่ในโลกของการแบ่งแยก ยังอยู่ในโลกของการรับรู้ ที่มีสิ่งที่ถูกรู้ มีผู้รู้อยู่ในโลกของปัญญาระดับเหตุผล, เห็นมันเกิด- เห็นมันดับ, เห็นมันมีตัวตน- เห็นมันไม่มีตัวตน,
    นี่เรายังหลงทางยังไปไม่พ้นจิตสามัญสำนึกที่มีตัวเราเป็นศูนย์กลาง รับรู้อย่างแบ่งแยก
    แต่ถ้าเราได้สัมผัสกับทางสายกลางเมื่อใดนั่นแหละคือจุด เริ่มต้นของการเดินทาง ที่อาตมาบอกว่าจุดเริ่มต้นเมื่อเห็นทางสายกลาง เพราะว่า เมื่อเห็นทางสายกลางแล้วนี่เราจะต้องปฏิบัติไปอีกยาวนานเราจะต้องศึกษาเรียน รู้ไปอีกยาวนาน ที่บอกว่ายาวนานก็เพื่อละ เพื่อปล่อย เพื่อวางความยึดถือต่างๆ จากการเรียนรู้มันจะค่อยๆละความยึดถือ ที่แสดงออกมาอย่างหยาบๆ ทางกาย ทางวาจา ทะเลาะเบาะแว้งกัน จนกระทั่งมันสามารถจะปล่อยวางความยึดถือ ที่เรียกว่ากิเลสอย่างกลาง หรือนิวรณ์ 5 กว่าความยึดถือจะละแต่ละระดับขั้นไม่ได้ใช้เวลาเดือน สองเดือน ปีสองปี จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ไม่ต่ำกว่า 5 ปี 10 ปี, 5 ปี สามารถจะรู้จักสัมมาสมาธิได้คนนั้นก็เก่งแล้ว
    นั่นคือมีความใส่ใจมากทุ่มเท มุ่งมั่น มีความเพียรที่อยู่บนฐานของความรู้สึกที่ไม่มีตัวตน หรืออยู่บนฐานของทางสายกลาง มีพลังในการใส่ใจ ผลก็เกิดขึ้นนิวรณ์ต่างๆ ก็ลดน้อยลงไป นั่นคือเราได้ทำลายความยึดถือที่แสดงออกมาเป็นกิเลสอย่างกลาง แล้วเราก็จะรู้จักสัมมาสมาธิ

    ถ้าเราไม่รู้จักสัมมาสมาธิ เราจะไม่รู้จักปรีชาญาณ หรือปัญญาญาณได้เลย ปัญญาญาณจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อจิตของเราตั้งมั่นแล้ว,จิตของเรามั่นคงแล้ว, เราจะสัมผัสได้ชัดว่าธรรมชาติรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดที่มันรู้พร้อมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นอย่างไร, ไม่งั้นเราจะไม่รู้จักเลยว่าการรับรู้ในความเป็นทั้งหมดของชีวิตเราแต่ละขณะ เป็นอย่างไร,

    ถ้าจิตของเรายังไม่ตั้งมั่น แต่เราก็สามารถสัมผัสได้ในขั้นแรกๆ ที่รู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วทั้งตัวเรา กระพริบตาอ้าปาก เคลื่อนไหวมือเท้า เรารู้พร้อม ในการรับรู้อย่างนี้รู้สึกสบายเบาว่างนั่นแหละคือสัมปชัญญะล่ะ

    สัมปชัญญะเป็นธรรมชาติรู้ ที่ยังไม่ได้แผ่ขยายกว้างไกลเหมือนปรีชาญาณที่สามารถรับรู้สิ่งที่มากระทบ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจพร้อมในความเป็นองค์รวมในความเป็นทั้งหมด เมื่อจิตของเราตั้งมั่นจากการเรียนรู้มัน จากการสังเกตมัน ดูมันเข้าใจมัน และทำลายความยึดถือ อย่างหยาบ อย่างกลาง จนกระทั่งจิตตั้งมั่น เป็น อธิศีล อธิจิตก็คือสัมมาสมาธิจิตตั้งมั่นสมาหิโต สมาหิโต ยถาภูตัง ปชานาติ เมื่อจิตตั้งมั่นย่อมเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ที่เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้และ รับรู้ในความเป็นทั้งหมด ก็คือปรีชาญาณ ทำหน้าที่รับรู้พร้อมในความเป็นองค์รวม ในความเป็นทั้งหมด อยู่บนฐานของการรับรู้อย่างไม่แบ่งแยกหรือเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเอกภาพเดียวกัน

    ในการปฏิบัติเราก็จะสามารถจะปฏิบัติได้ในทุกอริยาบถ และในทุกกิจการงาน,เราจะต้องค้นหาความสงบที่แท้จริงให้ได้ แล้วเข้าถึงสัจจะที่มีอยู่แล้วในทุกชีวิตในทุกสรรพสิ่ง เราสามารถสัมผัสได้ หรือค้นพบมันได้ในทุกอริยาบถหรือในทุกกิจการงาน ไม่ใช่หยุดกิจการงานต่างๆ ไม่ทำอะไรเลย แล้วไปนั่งหลับตาสกดจิตตัวเองจนสงบในภวังค์ นั่นไม่ใช่สัมมาสมาธิ ไม่สามารถนำความสงบนั้นมาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่สัมมาสมาธิมันสงบในขณะที่เรารับรู้ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่ใจไม่เอาสิ่งที่รับรู้มาปรุงแต่งเลย ใจสงบนิ่งไม่หวั่นไหว แม้จะมีภาพสวยๆ, เสียงเพราะๆ มากระทบจิตใจก็ไม่หวั่นไหวเลย,แม้คำสรรเสริญหรือคำตำหนิติเตียนก็ตาม จิตก็ไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์นั้นๆ

    จิตใจที่ไม่หวั่นไหวนั่นแหละคือสัมมาสมาธิ ถ้าเราสัมผัสได้กับสภาพจิตที่มันเบาบางลงของขบวนการความคิด, ไม่ว่าความฟุ้งซ่าน, ความลังเลสงสัย,หรือ จิตที่มันไหลไปตามอารมณ์ มันลดน้อยลงไป เราก็จะเริ่มสัมผัสกับจิตที่ตั้งมั่นหรือสัมมาสมาธิได้ จิตที่ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ที่มากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จนเกิดปรีชาญาณ ปรีชาญาณก็จะทำหน้าที่ เรารู้จักปรีชาญาณก็ต่อเมื่อเราสามารถจะพัฒนาจิตของเราให้ตั้งมั่นแล้วเป็น สัมมาสมาธิแล้ว
    จึงไม่ใช่การใช้เวลาตามเข็มนาฬิกา หรือเวลาที่เราแบ่งเป็นวัน เป็นเดือน เป็นชั่วโมง นี่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ, อย่างน้อยๆ, จะต้องไม่ต่ำกว่า 5 ปี 7 ปี 10 ปี เราถึงจะสัมผัสได้กับจิตที่ตั้งมั่น เราก็จะรู้ตัวเองว่าจิตของเราตั้งมั่นต่ออารมณ์ชนิดใดที่มากระทบแล้ว จิตเราไม่หวั่นไหวเราจะสัมผัสได้ หรืออารมณ์ใดมากระทบแล้วจิตของเราหวั่นไหว เราก็จะรู้ได้ การปฏิบัติก็คือการดำเนินชีวิตจริงๆ ของเรานี่เอง เราจะพบตัวตนที่แท้จริงของเรา มันจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ
    ปัญญาญาณนี่มันก็เป็นธรรมชาติที่แสดงออกตามความเป็นจริง เราจะเข้าใจมันลึกซึ้งขึ้น เข้าใจมันมากขึ้นด้วยการตระหนักรู้ความจริงอันสูงสุดที่เป็นพื้นฐานของจิตใจ การรู้อย่างนี้เราไม่สามารถจะอธิบายด้วยภาษา หรือคำพูดหรือด้วยตัวหนังสือได้ สัจจะอันสูงสุดมันคือธรรมชาติที่แท้จริงที่มีอยู่แล้วในสรรพสิ่ง และในตัวเราทุกคนมีอยู่แล้ว,มันจะเผยตัวออกมาต่อเมื่อ ขบวนการความคิดหยุดลง ธรรมชาติที่แท้ก็จะปรากฎขึ้น
    เราจะเห็นมันเป็นพื้นฐานของจิตใจเราเลยไม่ว่าเราจะคิด เราจะพูด เราจะทำอะไรก็เห็นมันอยู่ แต่ก่อนนี้มันเห็นตอนที่เราไม่คิด ตอนที่ความคิดมันหยุด จากการสังเกตความคิดแล้วมันหยุดเราจะเห็นสัจจะขั้นอัลติมะ เมื่อเราปฏิบัติจนมั่นคงจนเป็นพื้นฐานของจิตใจ,เราจะเห็นมันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะคิด จะพูด จะทำกิจการงาน,ต่างๆ เราก็จะเห็นสัจจะอันนี้เป็นพื้นฐานด้วย

    มันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องพัฒนาให้มัน เป็นฐาน หรือเห็นมันได้ ไม่ว่าเราจะทำกิจการงานใดๆ ถ้าเราเห็นมัน,ความรู้สึกว่าตัวเรามันไม่มี ไปพ้นมิติของจิตสามัญสำนึก ถ้าเราไม่เห็นสัจจะเราก็จะอยู่ในมิติที่เราเคยชิน คือจิตสามัญสำนึก มีตัวเราแบ่งแยกกับสิ่งต่างๆ รับรู้ด้วยปัญญาระดับเหตุผล นี่คือความเคยชินที่เราดำเนินชีวิตมา, เราจะออกจากความเคยชินนั้น เราจะไปพ้นความรู้สึกที่มีตัวเรา เราจะไปพ้นปัญญาระดับเหตุผล, ไปพ้นกาลเวลา, ไม่มีอดีต, ไม่มีปัจจุบัน, ไม่มีอนาคต, จุดเริ่มต้นคือ ทางสายกลาง มันคือภาวะจิตที่ไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเรา เมื่อความรู้สึกว่าตัวเราไม่มี, อัตตาตัวตนไม่มี, เราจะเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะขั้นอัลติมะ, เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่แท้, นั่นแหละคือมิติของความจริง

    ในมิติของความจริง, มิติของจิตเหนือสำนึก, มันจะมีธรรมชาติรู้ที่แตกต่างไปจากธรรมชาติรู้ของจิตสามัญสำนึกซึ่งมีจิตใจ ที่คับแคบ จิตใจที่ขาดความเมตตา ปรานี ขาดความกรุณา จิตใจที่ขาดพรหมวิหารสี่, แต่ถ้าเราเข้าถึงจิตเหนือสำนึก พรหมวิหารสี่จะไม่มีขอบเขตจำกัด เป็นอัปมัญญา เราจะมีความเอื้ออาทร เกื้อกูล มีความรัก ความเมตตา ที่ไม่มีตัวเรา, ไม่ใช่ความรักที่เป็นไปเพื่อตัวตน, หรือเพื่อความเห็นแก่ตน, เป็นความเห็นแก่ตัว แต่เป็นความรักของพระเจ้า เป็นความรักของสัจจะ เป็นความรักของพุทธะ เป็นความรักที่แท้จริง

    หากเราดำเนินชีวิตอยู่บน”ทางสายกลาง” หรือบนมิติของจิตเหนือสำนึก เราก็จะพบการดำเนินชีวิตที่แท้จริง ที่พระพุทธเจ้าพยายามปลุกเราให้ตื่นขึ้น ดำเนินชีวิตด้วยความรู้สึกที่ไม่มีตัวเราเป็นศูนย์กลาง การกระทำต่างๆ ก็ไม่เป็นกรรมเพราะไม่มีกิเลส (ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง) ไม่มีวิบาก ไปพ้นสังสารวัฏ ผู้ปฏิบัติที่ได้ผลทำให้มันเกิดผล จะต้องมีพลังของการใส่ใจ หรือมีอิทธิบาทสี่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ใส่ใจก็คือจิตตะ มีพลังในการใส่ใจ ที่จะระลึกรู้เรียนรู้มัน สิกขามัน แล้วเกิดความเข้าใจมัน, การที่เราจะมีพลังของการใส่ใจได้เราจะต้องมีแรงจูงใจ อะไรคือแรงจูงใจ แรงจูงใจก็คือเราจะต้องรู้คุณค่า, เห็นโทษ เห็นภัย ของการดำเนินชีวิตในมิติขิงจิตสามัญสำนึก ต้องการที่จะออกมาให้ได้จากมัน มีแรงจูงใจที่จะดำเนินชีวิตในอีกมิติหนึ่ง เห็นคุณค่าของมัน เห็นคุณค่าของการดำเนินชีวิตพรหมจรรย์ เห็นความสำคัญ เห็นสาระของชีวิตว่าการดำเนินชีวิตพรหมจรรย์ หรือการดำเนินชีวิตด้วยอริยะมรรคมีองค์แปด คือสาระของชีวิต ก็จะทำให้เกิดแรงจูงใจ และทำให้เกิดพลังของการใส่ใจ

    คำสั่งสอนของพระพุทธองค์มุ่งให้เราเข้าถึงตัวประสบการณ์ ของการตื่นของจิตใจ จิตใจที่ตื่นหรือไปพ้นมิติของจิตสามัญสำนึก, จิตที่ไปพ้นจิตสามัญสำนึกนั่นแหละคือจิตที่ตื่นขึ้น จิตสามัญสำนึกเป็นโลกของมายา ตื่นขึ้นท่ามกลางภาพลวงตา หรือภาพมายาต่างๆ ที่จิตใจของเราสร้างมันขึ้น มาเราอาจจะเรียกสัจจะว่า ธรรมชาติที่แท้ หรืออสังขตธรรม หรือจิตประภัสสร จิตเดิมแท้เป็นเพียงภาษาที่เราไปตั้งชื่อให้มัน มันเป็นเพียงนิ้วที่ชี้ไปยังดวงจันทร์มันยังไม่ใช่ความจริง ชื่อต่างๆ นี้ยังไม่ใช่ความจริง แต่ความจริงของมันก็คือสภาพของการรู้พร้อมอย่างปราศจากชื่อที่เราไปตั้งให้ มัน นั่นแหละคือความจริงซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ

    ประสบการณ์ของการตื่นมันเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ส่วนมากเราจะไปติดที่นิ้วมือที่ชี้ไปยังดวงจันทร์ไปติดคำพูดของอาจาย์ ไปติดคำสอนต่างๆ ไปติดรูปแบบต่างๆ, แนวทางต่างๆเลย เข้าไม่ถึงดวงจันทร์ ความยึดถือต่างๆ,และปัญหาต่างๆ มันก็น้อยลงไป แต่ถ้าเรายังเข้าไม่ถึงเราก็ยังยึดถืออยู่,อันนี้ถูก อันนี้ผิด, ดี-ไม่ดี, ใช่-ไม่ใช่, นี่ยังเข้าไม่ถึงสัจจะจึงยังมีความยึดถืออยู่

    ผู้ที่เข้าถึงสัจจะแล้วนี่ ความยึดถือของเขาจะลดน้อยลง แล้วเห็นสิ่งต่างๆเป็นเช่นนั้นเอง การเข้าถึงประสบการณ์ของความตื่น ด้วยตัวของเราเองเท่านั้นที่จะประจักษ์แจ้งความจริงเหมือนคนที่กำลังดื่มน้ำ เขาจะรู้สึกถึงรสของน้ำ เราไม่สามารถจะรู้รสของน้ำได้ ถ้าเราไม่ได้ดื่มน้ำ หรือเมื่อเราได้ยินได้ฟังเขาพูดเขาอธิบายว่าสัจจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้, ไม่มีเวลา ไม่มีตัวตนเราจะเข้าใจไม่ได้เลย แต่ถ้าเราได้สัมผัสด้วยการสังเกตมัน ดูมัน เข้าใจมันด้วยจิตของเราเอง ด้วยปัญญาของเราเอง ก็เหมือนกับเราดื่มน้ำเราจะซาบซึ้งกับรสของน้ำเราจะซาบซึ้งกับรสของพระธรรม รสของสัจจะ
    ในการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่เราฝึกฝนไม่ได้ ด้วยความรู้สึกที่มีตัวตนที่เราเข้าไปทำ มีตัวตนเข้าไปเรียนรู้ มีตัวตนเข้าไปปฏิบัติ ในการภาวนาหรือการปฏิบัติการฝึกฝนนี่เราจะต้องฝึกฝนแบบที่ไม่มีตัวเรา ไม่มีความคิดปรุงแต่ง ที่มีตัวเราแบ่งแยกกับการปฏิบัติ เช่นเราจะไปปฏิบัติธรรมที่สำนักโน้นสำนักนี้ไปถึงก็หามุม หาที่เดินจงกลม กำหนดจดจ้องที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นคือการปฏิบัติที่มีตัวเรา, แบ่งแยกจากสิ่งที่ปฏิบัติหรือรูปแบบต่างๆ, กำหนดรู้ลมหายใจ, ลมหายใจเป็นสิ่งที่ถูกรู้- มีผู้รู้, อย่างนี้ไม่เรียกว่า “ทางสายกลาง” อย่างนี้เรียกว่าอุบาย, อุบายที่จะเข้าถึงทางสายกลาง แต่ส่วนมากก็ไม่เข้าใจ,ก็เลยไปติดอยู่ที่อุบาย,ไปติดอาจารย์ ไปติดรูปแบบต่างๆ เลยเข้าไม่ถึงทางสายกลาง

    “ทางสายกลาง” อยู่ที่ไหนก็ทำได้ อยู่ในห้องน้ำ, อยู่ในบ้าน, อยู่ในสวน, ทำไร่ ทำนา หุงข้าว หุงปลา นึกขึ้นมาได้สังเกตจิตใจตัวเอง เราก็จะพบ”ทางสายกลาง” พบภาวะจิตที่ว่างจากความรู้สึกว่ามีตัวเราว่างจากของเรา ว่างจากของคู่ ว่างจากกาลเวลา นั่นแหละคือทางสายกลาง อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ตัวเราสามารถเห็นสิ่งนี้ได้ทุกขณะ ทุกกิจการงานก็เป็นการปฏิบัติธรรม, เราไม่สามารถปฏิบัติหรือทำให้มันเกิดผลได้ด้วยความรู้สึกว่ามีตัวตน หรือมีตัวเราเข้าไปปฏิบัติ,ในขบวนการความคิดแต่ละความคิดส่วนมาก 95 % มีความรู้สึกว่ามีตัวเรา,มีตัวตน,
    เมื่อมีตัวตนก็ว่าเกิดการรับรู้อย่างแบ่งแยกมีผู้รู้-มี สิ่งที่ถูกรู้ เมื่อรับรู้อย่างแบ่งแยกก็จะนำไปสู่ความขัดแย้ง นำไปสู่ของคู่ เห็นมันเกิด-เห็นมันดับ นี่คือการรับรู้อย่างแบ่งแยกมีตัวตนเข้าไปทำ ทำให้เกิดความยึดถือ อารมณ์ต่างๆ แม้คำสั่งสอน เราก็ยึดถือ

    ยึดถือในคำสอน, ถ้าเราไปพ้นตัวเราไม่ได้, ไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเราไม่ได้,เราก็จะยึดถือ
    ผู้เริ่มต้นปฏิบัติเราจะต้องปลดปล่อย,ลดละวางความรู้ ที่เราจดจำไว้เข้าถึงความเป็นอิสระของจิตให้ได้ก่อน นี่สำคัญสำหรับผู้เริ่มต้นปฏิบัติไม่งั้นเราไปพ้นปัญญาระดับเหตุผลไม่ได้, ถ้าเราไม่ปลดปล่อยไม่ละวางความรู้ที่เราสะสมมา เราไปพ้นปัญญาระดับเหตุผลไม่ได้, จุดเริ่มต้นจิตใจต้องเป็นอิสระถึงจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี,

    หากจิตใจของเรายังเต็มไปด้วยความรู้ต่างๆ แม้เราจะฟังใครพูด เราก็ไม่สามารถจะได้ยิน สิ่งที่เราได้ยินคือใจของเรามันพูดอยู่ มันเปรียบเทียบ, มันให้ค่า ถ้าไม่ตรงกับที่เรายึดถือไว้ ไม่ตรงกับความรู้ของเรา เราก็ตัดสินว่ามันผิด, มันไม่ใช่

    นักปฏิบัติจุดเริ่มต้นจะต้องวางความรู้ไม่ว่าจะมีความรู้ อะไรมากมายขนาดไหนก็ตามต้องวางความรู้ เมื่อวางความรู้จิตก็เป็นอิสระ, เมื่อจิตเป็นอิสระปัญญาญาณเกิดขึ้น ปัญญาญาณนี่แหละจะทำให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริงไม่ว่าเรียนอะไร ปัญญาที่สูงสุดคือปัญญาญาณหรือปรีชาญาณจะทำให้เราเข้าใจและเกิดการปล่อยวาง ลดละในสิ่งที่เราเคยสำคัญผิดมา นี่คือการทำลายความยึดถือ ยิ่งเราทำลายความยึดถือได้มากเท่าใด ขบวนการความคิดมันก็น้อยลง ใจของเราก็ว่างมากขึ้น ปรีชาญาณก็จะทำหน้าที่ของมัน มันก็จะเปิดเผยตัวมันเอง, ด้วยการเฝ้าสังเกต หรือที่เรียกว่าสิกขา หรือเรียนรู้ขบวนการต่างๆ ของความคิดปรุงแต่ง นี่แหละจะทำให้เราเกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง ความคิดปรุงแต่งมันก็จะถูกขจัดไปโดยธรรมชาติ โดยไม่ได้บังคับให้มันหยุดคิด แต่มันจะหายไปด้วยความเข้าใจของเรา

    นั่นคือความคิดมันถูกขจัดไป, อุปาทานต่างๆ ถูกขจัดไป ด้วยความเข้าใจเราก็จะเข้าถึงความเป็นเองของธรรมชาติ เราก็คือธรรมชาติ แต่ก่อนนี้มันไม่เป็นเอง เราไม่รู้จักความเป็นเองของธรรมชาติ, มันมีตัวเรา,มันมีเจตนา มีความรู้สึกว่ามีตัวเรา และมีความตั้งใจมีเจตนาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะพูดจะคิด นั่นมันไม่เป็นไปตามธรรมชาติแต่เมื่อมันปราศจากความรู้สึกว่ามีตัวเรา เรากับสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นคือการเข้าถึงความเป็นวิถีของธรรมชาติ ปรีชาญาณก็เป็นธรรมชาติ ปรีชาญาณมันทำงานด้วยความรู้สึกที่ไม่มีตัวเรา เข้าถึงความเป็นเองของธรรมชาติอย่างประสานกลมกลืนของความเป็นองค์รวมที่ เรียกว่าชีวิตบูรณาการ

    การกระทำต่างๆ ก็ไม่เป็นกรรม เพราะไม่มีตัวเราเป็นผู้กระทำ เมื่อมันไม่เป็นกรรม วิบากก็ไม่มีเพราะ เจตนามันไม่มี เราก็จะไปพ้นสังสารวัฏ ไปพ้นการกระทำที่มีตัวเราเป็นผู้กระทำ ไม่มีกรรม ไม่มีกิเลส ไม่มีวิบาก นี่คือการดำเนินชีวิตพรหมจรรย์ หรือดำเนินชีวิตด้วยอริยมรรคมีองค์แปด เป็นไปตามธรรมชาติ หรือความเป็นเองของ

    ธรรมชาติที่มีสัมมาทิฏฐิ หรือมีปรีชาญาณและเป็นพื้นฐานของจิตใจไม่ว่าเราจะคิด จะพูด จะทำ กิจการงานต่างๆ มันก็อยู่บนฐานของปรีชาญาณ อยู่บนฐานของสัมมาทิฏฐิ


    ******************************************
     
  4. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    แวะมาสวัสดีปีใหม่ 2011 ทุกท่านในกระทู้ LITTLE DUCK JINTAWADEE LITTLE MERMAID กบสามตัว วสุธรรม และทุกๆคน = ผู้ถือกุญแจไขรหัสปริศนา รหัสจักรวาล

    ข้าพเจ้าเดินทางไปลำพูน เมื่อ 20 ถึง 25 ธันวาคม 2010 สิ่งที่นำติดตัวไป คือ กุญแจ ข้าพเจ้ากำแน่นอยู่ในกระเป๋า เพราะ แผ่นดินนี้ คือ แห่งแรกที่ กุญแจของข้าพเจ้า จะถูกใช้เป็นครั้งแรก สิ่งที่ หนุมาน ย้ำเตือนผ่านกระทู้นี้บ่อยๆ คือป้ายสีขาวที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า [

    สัจจะ สัจจะ และสัจจะ

    เพราะนั่นคือ พลังประดุจ น้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าไปขับเครื่องยนต์แห่งกรรม หมุนกงล้อแห่งธรรม

    พุทธสถานอุทยานธรรมะพระนางเจ้าจามเทวี

    สถานธรรม ของผู้แสวงหา ที่กำลังจะเเป็นรูปธรรม ภายในปี 2011 สำหรับ การเจริญวิปัสสนากัมฐาน (BUDDHA DATA)

    LITTLE DUCK บอกข้าพเจ้าแล้ว

    พรวันนี้จากใจ ข้าพเจ้าขอให้ ทุกคน พ้นภัยจากวัฏฏะสงสารเสียที พอเถิด หยุด และอำลาน้ำตาไว้เพียงชาตินี้ ร้องไห้มามากพอแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2011
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** จะกี่ครั้งเขาก็ไม่สนใจ ****

    ไม่มีประโยชน์อะไร
    ที่จะบอกเตือน...ผู้ทรงมานะทิฐิ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. phonsiri

    phonsiri Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +70
    เรียนคุณ LITTLE DUCK ขอรบกวนแปลรหัสให้สูลสาว (อายุ 17ปี ) ด้วยนะค่ะ เมื่อหลายวันมานี้เขาเล่าว่า ตึกของห้างแกรนพลาซ่าถล่มแต่เขาวิ่งหนีไปเดอะมอลล์งามวงค์วานซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะค่ะ
     
  7. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    GRAND EXTRA


    ด้วยรักและนับถือยิ่ง
     
  8. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    โลกของเรา..

    :: โลกเราไม่เท่ากัน :: (k)

    หากโลกนี้มีเราเพียงสองคน

    รักคงหลุดพ้นความวุ่นวาย
    ไม่มีกฎหมายมาตราใด
    ลงโทษลงทัณฑ์รักสองเรา
    หากโลกนี้มีเราเพียงสองคน
    เริ่มต้นลงท้าย คงด้วยดี
    แผ่นดินทุกที่ ย่อมมีเสรี
    เาะปลูกวิญญาณ รักสองเรา
    แต่โลกใช่มีเพียง รักสองเรา
    ผู้คน ยังมัวเมา และงมงาย
    ถือเผ่าถือพันธุ์ กันต่อไป
    กีดกั้นทำลาย คนด้วยกัน

    (*) หากโลกนี้มีเรา เพียงสองคน

    คงไม่ถูกโค่น ต้นไม้รักของเรา
    ชีวิตเธอและฉัน ไม่ยืนยาว
    โลกเป็นของเรา แต่ไม่เท่ากัน (*)

    ชีวิตเธอและฉัน ไม่ยืนยาว

    โลกเป็นของเรา แต่ไม่เท่ากัน (ซ้ำ)

    ************
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ใครทำใครได้ ****

    ใครอยากทำชั่วก็ทำ
    ใครอยากทำดีก็เลือกทำ
    ใครอยากหลุดพ้นต้องทำด้วยสัจจะ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    สัจจะพาสัญญามาพบ
    นักรบพบรักหรือไฉน
    ลงดาบฟาดฟันอย่างไร
    เหตุใดใยลับไม่กลับคืน..

    ..............................({)
     
  11. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    สัจจะปรากฎแล้ว
    ดวงแก้วขาวใส
    นำทางสว่างไป
    สายใยหนึ่งเดียว..
    ....................(f)
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** โลกุตตระธรรม ธรรมเหนือโลก เป็นธรรมหลุดพ้น ****

    *** ศาสนาของโลกุตตระ ****

    โลกุตตระธรรม....นำพาสัตว์โลกหลุดพ้นทุกข์
    หลักสัจจะธรรม...หลักเดียวที่มั่นคง
    สัจจะปฏิบัติ....การตัดลดกิเลสนิสัยความเชื่อตนเอง
    คำสอนของพระพุทธเจ้า...คือ สัจจะ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ผู้ทำได้ รู้ความจริง ด้วยสัจจะที่ทำ ****

    ระวัง สิ่งที่เราเคยเชื่อ...มันอาจไม่ใช่ความจริง
    ต้องพิจารณาด้วยตนเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  14. สกั๊ง

    สกั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +131
    ขอแจมด้วยคนนะครับ

    (อยากอ่านจบก่อนแล้วค่อยโพส แต่ไม่ไหวอ่ะT^T)
    ไม่นานมานี้ยังอคติ กับตัวเลขทุกรูปแบบอยู่เลย(ตอนเด็กเกลียดเงินเลยพาล)
    ทำเอาแทบมองไม่เห็นตัวเลขเลยฮะ
    คือแต่ก่อน บ้านเลขที่ 771 หมู่ 13
    แล้วรู้ตัวอีกที ก็เปลี่ยนเป็น 771 หมู่ 7
    คือ ผมก็มองทุกที่เป็นบ้านเหมือน กัน
    แต่คราวนี้ รู้ สึก ว่า น่ารักดี เออ น่าอยู่ (เพราะตัวเลข^^")แปลกใจตัวเอง
    เลยขอรบกวนด้วยนะครับ
    ฮ่าๆๆ สบายยใจและ ได้ร่วม แจม ก่อนงานเลี้ยงเลิก (อิอิ อิ่มจัง)
     
  15. ศิลปินชนบท

    ศิลปินชนบท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    773
    ค่าพลัง:
    +1,678
    อรุณสวัสดิ์ค่ะ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=bmYjLnx3RYE]YouTube - Pisut - อรุณสวัสดิ์[/ame]​
     
  16. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    ยามรักน้ำต้มผักยังหวาน
    ยามขานยามชังกันไฉน
    นักรบ ฤา เลือนอย่างไร
    จากไปไกลลับไม่กลับคืน
    ข้อความข้อคิดคติสอน
    ทุกถ้อยอาวรณ์ให้หวล
    หากแม้นให้พบ ใยเบืิอน
    ตักเตืิอนบ่งบอกถ้อยคำ ..

    ........................:cool:
     
  17. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    บทความดีดีมีให้อ่านกัน..


    ธรรมเทศนาดุจกระแสเลือด (โลหิตสูตร) BLOOD STREAM SERMON


    ทุกสิ่งที่ปรากฏในภพทั้งสามล้วนเกิดจากจิต1*

    ดังนั้น พระพุทธเจ้า2* ทั้งในอดีตและอนาคต
    ย่อมสอนด้วยวิธีจิตสู่จิต โดยไม่ยึดรูปแบบตายตัวใด ๆ3*
    แต่ถ้าไม่ใช่รูปแบบตายตัว พระพุทธเจ้าเหล่านั้นจะใช้จิตโดยวิธีใด ? ”

    “ สิ่งที่ท่านถามนั้นแหละคือจิตของท่าน ”
    “ สิ่งที่ฉันตอบนั้นแหละคือจิตของฉัน ”
    “ ถ้าฉันไม่คิดฉันจะตอบได้อย่างไร ”
    “ ถ้าท่านไม่คิดท่านจะถามได้อย่างไร ”
    “ สิ่งที่ท่านถามก็คือความคิด ( จิต ) ของท่าน ”

    ตลอดกัปกัลป์4* อันหาเบื้องต้นและที่สุดไม่ได้

    ท่านทำสิ่งใดก็ตามอยู่ที่ไหนก็ตาม
    สิ่งนั้นคือจิตที่แท้จริงของท่าน สภาวะนั้นคือพระพุทธเจ้าที่แท้จริงของท่าน
    จิตนี้คือพุทธะ5*
    ท่านกล่าวว่าเป็นสิ่งเดียวกัน นอกเหนือจากจิตนี้แล้วท่านจะพบพระพุทธเจ้าที่อื่นไม่ได้เลย
    การแสวงหาโพธิ6*
    ( การบรรลุธรรม ) หรือนิพพาน7*

    นอกจากจิตนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้

    ความเป็นจริงของธรรมชาติของท่านเอง8*
    ที่เป็นสภาพที่เหตุปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ก็เกิดมาจากจิตด้วย
    เพราะภาวะแห่งนิพพานมีอยู่แล้วในจิตของท่าน
    ท่านอาจคิดเอาเองก็ได้ว่าท่านสามารถค้นพบพระพุทธเจ้าหรือโพธิอยู่นอกจิตนี้
    แต่สถานที่เช่นนั้นจะไม่มีอยู่จริงได้เลย ความพยายามค้นหาพระพุทธเจ้า หรือค้นหาการบรรลุธรรม

    ก็เหมือนการจับฉวยเอาอากาศ ซึ่งมีแต่ชื่อแต่ไร้ตัวตน
    มันไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะสามารถหยิบขึ้นหรือวางลงได้ และท่านไม่สามารถจะจับฉวยมันได้
    พระพุทธเจ้าเกิดจากจิตของท่าน
    แล้วจะค้นหาพระพุทธเจ้านอกจิตนี้ไปทำไม ?
    พระพุทธเจ้าทั้งในอดีตและอนาคตล้วนแต่กล่าวถึงจิตนี้เท่านั้น

    ดังนั้น จิตนี้จึงคือพุทธะ และพุทธะก็คือจิตนั่นเอง

    นอกเหนือจากจิตไม่มีพุทธะ และนอกเหนือพุทธะก็ไม่มีจิต
    ถ้าท่านคิดว่ามีพุทธะที่เหนือจิตนี้แล้ว พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนกันล่ะ
    ดังนั้น จึงไม่มีพระพุทธเจ้านอกเหนือจากจิต
    ทำไมเราไม่เผชิญหน้ากับพระองค์
    ตราบใดที่คุณหลอกตัวเองอยู่ คุณก็ไม่สามารถรู้จักจิตที่แท้จริงของตัวเอง
    ตราบใดที่คุณยังหลงติดอยู่ในรูปที่ไร้ชีวิต
    ( หมายถึงรูปกับนามไม่ได้อยู่ด้วยกัน กายอยู่ที่หนึ่งแต่จิตคิดไปอีกที่หนึ่ง )
    คุณก็ยังไม่มีอิสระ ถ้าไม่เชื่อคำกล่าวนี้
    คุณก็หลอกตัวเองอย่างช่วยไม่ได้

    มันไม่ใช่ความผิดของพระพุทธเจ้า
    แม้ประชาชนเองก็ถูกหลอก พวกเขาไม่เคยรู้จักว่า
    จิตของตนเองนั้นแหละคือพระพุทธเจ้า
    เพราะฉะนั้นไม่ต้องแสวงหาพระพุทธเจ้านอกจิตของตนเอง
    พระพุทธเจ้าย่อมไม่ดูแลรักษาพระพุทธเจ้าด้วยกันเอง
    หมายความว่า ถ้าท่านใช้จิตของท่านหาพุทธะ
    ท่านก็จะไม่เห็นพุทธะ

    (การใช้ความคิดดูจิตย่อมไม่เห็นจิต ใช้สติดูจิตจึงจะเห็นจิต )
    ตราบใดที่ท่านหาพระพุทธเจ้าภายนอกตนเอง
    ท่านก็ยังไม่เห็นพระพุทธเจ้าอยู่ภายในจิตของท่านเอง
    อย่าใช้พระพุทธเจ้าบูชาพระพุทธเจ้า
    ( ผู้ที่รู้จักตนเองย่อมไม่หลงบูชา สิ่งอื่น )
    อย่าใช้จิตปลุกพระพุทธเจ้า9*
    พระพุทธเจ้าย่อมไม่สวดมนต์10*
    พระพุทธเจ้าไม่ต้องรักษาศีล11*

    พระพุทธเจ้าไม่ต้องรักษาวินัย และไม่ต้องละเมิดวินัยใด ๆ
    พระพุทธเจ้าไม่ต้องทำดีหรือชั่ว
    ( จิตเข้าถึงพุทธะย่อมอยู่เหนือสมมติ และโลกธรรมทั้งปวง )
    การค้นหาพุทธะท่านต้องค้นหาตนเองให้พบก่อน
    ใครก็ตามที่เห็นตนเอง ชื่อว่าเห็นพุทธะ12*
    ถ้ายังไม่เห็นตนเอง
    ,การทำพุทธาภิเษก ,การท่องบ่นพระสูตร,การบำเพ็ญทาน
    และการรักษาศีล

    ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ การปลุกเสก
    การสวดมนต์อ้อนวอนพระพุทธเจ้า

    อาจส่งเสริมให้สร้างกุศลกรรม
    การท่องจำพระสูตรอาจเป็นผลให้มีความทรงจำดี,

    การสมาทานรักษาศีลอาจเป็นผลให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี
    และการบำเพ็ญทานเป็นผลให้ได้รับความสุข
    แต่ไม่ส่งผลให้เป็นพุทธะได้
    ถ้าท่านไม่เข้าใจคำสอนด้วยตัวของท่านเอง
    ท่านก็ต้องไปพบกับครูผู้มีความเข้าใจลุ่มลึก
    และลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิตและความตาย13*
    ผู้ไม่เห็นธรรมชาติของตนเองนั้นยังเป็นครูไม่ได้
    ถึงแม้เขาจะสามารถ
    ท่องพระไตรปิฎกได้จบถึงสิบสองรอบก็ตาม14*
    เขาก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยง
    การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารได้15*

    เขาย่อมเป็นทุกข์อยู่ในภพทั้งสาม ( กามภพ , รูปภพ , อรูปภพ )
    โดยไม่มีหวังที่จะปลดเปลื้องทุกข์ได้เลย นานมาแล้ว
    มีพระรูปหนึ่งเป็นที่รู้จักกันดีโดยทั่วไป16*

    เป็นผู้สามารถท่องพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด
    แต่ท่านก็ไปไม่พ้นจากวัฏฏสงสาร
    เพราะท่านไม่เห็นธรรมชาติของตนเอง*
    ( *ผู้เห็นธรรมชาติของตน เข้าใจว่าเป็นผู้ได้ดวงตาเห็นธรรม
    หรือได้ธรรมจักษุ นับตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป … ผู้แปลไทย)
    เพราะเข้าใจกันว่าการท่องพระสูตรเป็นเหตุให้มีชื่อเสียง17*
    ดังนั้นศาสนิกทุกวันนี้จึงชอบท่องพระสูตรหรือคาถาไว้มากบ้างน้อยบ้าง
    และคิดว่าการได้ท่องพระสูตรได้เป็นการรู้ธรรมะ
    ความเข้าใจเช่นนั้นเป็นเรื่องที่โง่เขลา
    เว้นไว้แต่คนที่รู้จักจิตของตนเอง
    การสาธยายพระสูตรหรือท่องคาถาภาษิตได้นั้น
    นับได้ว่าเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์
    การจะค้นพบพระพุทธเจ้า
    สิ่งที่ท่านต้องทำก่อนคือการค้นตนเองให้พบเพราะ
    ธรรมชาติของตนเองนั่นแหละคือพุทธะ

    พบพุทธะภาวะซึ่งเป็นภาวะที่อิสระ

    คืออิสระจากพิธีกรรม อิสระจากอุบายต่าง ๆ
    และอิสระจากการปรุงแต่งวิตกกังวล
    ถ้าท่านยังไม่เห็นตนเอง ย่อมวนเวียนแส่ส่ายหาแต่สิ่งภายนอกตัวเรื่อยไป
    เพราะสัจจธรรมมีอยู่แล้วในคนทุกคนไม่มีความจำเป็นต้องค้นหาอีก
    แต่การเข้าถึงปัญญาเช่นนั้นได้ ท่านจำเป็นต้องใช้ความเพียรพยายาม
    เพื่อทำให้ตนเองเข้าใจตนเอง ( ทำความเข้าใจในตนเองได้ )
    ชีวิตและความตายเป็นสิ่งสำคัญ
    อย่าทำตนเองให้เป็นทุกข์กับสิ่งที่ไร้สาระ
    การหลอกลวงตนเอง
    ไม่ได้ทำให้ท่านก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้เลย
    แม้ท่านจะมีเพชรเม็ดโตเท่าภูเขา
    และมีบริวารมากเท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาก็ตาม
    เมื่อท่านเห็นความจริงเหล่านี้ ดวงตาของท่านก็สว่างไสว
    แต่ดวงตาของท่านปิดเพราะอะไร และปิดตั้งแต่เมื่อไหร่
    ท่านต้องรู้และเข้าใจให้แจ่มแจ้ง
    เพราะทุกสิ่งที่ท่านเห็นมันเป็นเสมือนความฝัน หรือภาพลวงตา
    ถ้าท่านไม่รีบพบครูโดยเร็ว ท่านก็จะมีชีวิตอยู่อย่างไร้สาระประโยชน์

    ความจริงก็คือว่า ท่านมีพุทธภาวะอยู่แล้ว
    แต่เพราะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากครู ( กัลยาณมิตร )
    ท่านจึงไม่รู้จักพุทธภาวะนั้น
    แต่ก็มีเพียงหนึ่งในล้านคนที่จะบรรลุธรรมได้โดยไม่ต้องอาศัยครู
    ถ้าเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าหมายถึงอะไร
    เข้าใจความปรุงแต่งของสังขารทั้งหลาย ( ขันธ์ห้า )
    บุคคลนั้นไม่จำเป็นต้องมีครู
    เพราะคนเช่นนั้นมีสติสัมปชัญญะสูงมาแต่กำเนิด
    ใครจะสอนสิ่งใดเขาก็เข้าใจได้ทันที
    สำหรับท่านที่สร้างสมบารมีมามาก
    ศึกษาปฏิบัติมาด้วยความยากลำบาก
    ท่านเหล่านี้เพียงอาศัยการสอนเท่านั้นก็เข้าใจได้
    คนที่ไม่เข้าใจธรรมะถ่องแท้ และคิดว่าตนเองเข้าใจ
    โดยปราศจากการศึกษาและปฏิบัติ (อย่างถูกต้อง)
    คนเช่นนั้นก็ไม่แตกต่างไปจากคนหลงทาง
    หลงตนเองไม่สามารถจะแยกขาวต่างจากดำได้18*
    ย่อมประกาศพุทธธรรมอย่างผิด ๆ เช่นนั้นย่อมชื่อว่า
    กล่าวตู่หรือดูหมิ่นพระพุทธเจ้า และชื่อว่าเป็นผู้ลบล้างพระธรรม
    เขาแสดงธรรมเสมือนว่าเขากำลังทำฝนให้ตก
    แต่ที่จริงคนเช่นนั้นกำลังแสดงธรรมของมาร
    ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    ครูของพวกเขาก็คือพญามาร19*
    และสาวกของเขาก็คือบริวารของพญามาร
    คนที่หลงงมงายทำตามคำสอนเช่นนั้น
    ย่อมจมลงในทะเลแห่งการเวียนว่ายตายเกิดลึกลงไปเรื่อย ๆ
    ศาสนิกจะสามารถเรียกตนเองว่าเป็นพุทธศาสนิกได้อย่างไร
    หากพวกเขาเป็นคนโกหกหรือมุสา
    ซึ่งหลอกลวงผู้อื่นให้ก้าวไปสู่ภพภูมิแห่งมาร ( อบายภูมิ )
    นอกจากคนที่เห็นตนเองแล้ว
    การแสดงธรรมของคนผู้ที่เรียนแต่พระไตรปิฎกได้ถึง 12 หมวด
    ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรนอกจากเป็นการแสดงธรรมของมาร
    ความเลื่อมใสก็เป็นความเลื่อมใสต่อมาร
    ไม่ใช่เลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้าไม่อาจแยกขาวออกจากดำได้
    เขาจะหลีกเลี่ยงการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไร
    ผู้ใดเห็นธรรมในตนผู้นั้นชื่อว่าเป็นพุทธะ (เห็นพุทธะ)
    ผู้ใดยังไม่เห็นธรรมในตน ผู้นั้นชื่อว่ายังเป็นปุถุชน*
    ( *คือผู้ที่ต้องตายด้วยความประมาท เพราะความประมาทคือความตาย… ผู้แปลไทย)
    ถ้าท่านค้นพบพุทธภาวะของตนเอง
    อันต่างไปจากความเป็นปุถุชน
    สภาพเช่นนั้นจะเกิดขึ้นได้ตรงไหน
    ปุถุชนภาวะของเราก็คือพุทธภาวะของเราเช่นกัน
    นอกจากปุถุชนภาวะก็ไม่มีพุทธภาวะเช่นกัน
    พุทธภาวะก็คือธรรมชาติของเรา
    ไม่มีพุทธะนอกเหนือไปจากธรรมชาติ
    และไม่มีธรรมชาตินอกเหนือไปจากพุทธภาวะ
    “ สมมติว่าฉันยังไม่เห็นธรรมชาติของฉัน
    ฉันไม่สามารถบรรลุธรรมได้ด้วยการปลุกพุทธะ ,
    สาธยายพระสูตร , ให้ทาน , รักษาศีล ,
    อุทิศส่วนบุญหรือทำกรรมดีใด ๆ ได้เลยหรือ ? ”
    “ ไม่ ท่านยังบรรลุธรรมไม่ได้ ”
    “ ทำไม จึงไม่ได้ ”
    “ ถ้าท่านเข้าถึงได้ในสิ่งหนึ่ง
    มันก็เป็นเพียงสังขาร ( เป็นการคิดเอา )
    ซึ่งทำให้ต้องทำกรรมต่อไป
    ทำกรรมนั้นก็ให้ผลสนองตอบต่อไป
    ผลกรรมนั้นก็ทำให้ต้องเวียนว่ายในวัฏฏสงสารอยู่เรื่อยไป
    ตราบใดที่ท่านยังต้องทำกรรมที่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย
    ท่านก็ยังจะบรรลุธรรมไม่ได้ เพราะการบรรลุธรรมได้
    ท่านต้องเห็นธรรมชาติของตนเองก่อน
    เมื่อเห็นธรรมชาติในตนเองแล้ว
    การพูดถึงเหตุปัจจัยทุกอย่างเป็นเรื่องไร้ประโยชน์
    พระพุทธเจ้าจะไม่ทำในสิ่งเหลวไหลไร้สาระ
    เพราะพระองค์เป็นอิสรภาพจากกรรม20*
    และเป็นอิสรภาพจากเหตุปัจจัย ”
    การกล่าวว่า
    ตนได้บรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่ง ( ถ้าไม่เป็นจริง )
    ถือว่าเป็นการกล่าวตู่ดูหมิ่นพระพุทธเจ้า
    คนเช่นนั้นจะบรรลุธรรมอะไรได้ ?
    แม้แต่การสำรวมจิต การมีพลังสำนึก ,
    ความเข้าใจและความเห็นที่ถูกต้องต่อพระพุทธองค์ยังไม่มีเลย
    พระพุทธเจ้าไม่มีเพียงด้านใดด้านหนึ่ง
    ธรรมชาติแห่งจิตของพระองค์
    มีความว่างเป็นพื้นฐาน
    ไม่ใช่ความสะอาดหรือสกปรก
    พระองค์เป็นอิสระจากการปฏิบัติและการรู้แจ้ง
    เป็นอิสระจากเหตุปัจจัย
    พระพุทธเจ้าไม่ได้สมาทานศีล ,
    ไม่ได้ทำความชั่วอีก ไม่ได้เป็นคนขยันหรือขี้เกียจ
    พระองค์ไม่ได้ทำอะไรต่อไปอีก
    ไม่ได้ระวังจิตเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
    และพระองค์ก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า
    ถ้าท่านไม่เห็นสิ่งที่ท่านกำลังพูด
    ท่านก็ยังไม่รู้จักใจของตนเองคนที่ยังไม่เห็นตนเอง
    แต่คิดเอาว่าเห็นตนเองและปฏิบัติด้วยจิตว่างตลอดเวลานั้นเป็นเรื่องโกหกและโง่เขลาด้วย
    เขาย่อมตกไปสู่ห้วงเหวอเวจีได้
    เหมือนคนเมาไม่อาจแยกดีออกจากชั่วได้
    ถ้าท่านใส่ใจที่จะฝึกฝนอบรมการปฏิบัติให้เข้าใจตนเอง
    ท่านต้องเห็นตนเองเสียก่อน
    แล้วท่านจึงจะทำลายความคิดปรุงแต่งให้สิ้นสุดได้

    การบรรลุธรรมโดยไม่เห็นธรรมชาติของตนเองก่อนย่อมเป็นไปไม่ได้
    ถ้ายังประกอบกรรมทำชั่วชนิดต่าง ๆ อยู่

    แล้วอ้างว่ากรรมที่ทำไม่มีผล
    เมื่อทุกสิ่งเป็นความว่าง
    ทำกรรมชั่วแล้วคิดว่าไม่ผิด
    ความเข้าใจเช่นนั้นยังมีอันตรายอยู่มาก
    คนเช่นนั้นย่อมตกนรกในอเวจี
    โดยไม่มีหวังจะปลดเปลื้องได้เลย
    แต่ท่านผู้ฉลาดย่อมไม่เข้าใจเช่นนั้น “ แต่ถ้าทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมาจากจิตทั้งหมด
    ทำไมเมื่อกายและจิตนี้แตกดับเราจึงไม่รู้ ? ”
    “ จิตนี้เป็นปัจจุบันตลอดเวลา ท่านไม่ดูจิตต่างหากเล่า ! ”
    “ แต่ถ้าจิตเป็นปัจจุบันเสมอ ทำไมฉันจึงไม่เห็นจิต ? ”
    “ ท่านเคยฝันบ้างไหม ? ”
    “ เคยแน่นอน ”
    “ เมื่อท่านฝัน ความฝันนั้นเป็นท่านใช่ไหม ? ”
    “ ใช่ เป็นข้าพเจ้า ”
    “ และในฝันนั้น ท่านกำลังทำ กำลังพูดอะไร มันต่างไปจากตัวท่านหรือไม่ ? ”
    “ ไม่ ไม่แตกต่างอะไรเลย ”
    “ แต่ ถ้าไม่แตกต่าง กายนี้เป็นธรรมกายของท่าน
    และกายของท่านก็เป็นใจของท่านด้วย ”
    จิตนี้ได้ผ่านกาลเวลามาหลายกัปหลายกัลป์
    ไม่มีที่สิ้นสุดโดยไม่มีการเริ่มต้น และไม่เคยแปรเปลี่ยน ,
    มันไม่เคยอยู่และไม่เคยตาย ,

    ไม่ปรากฏขึ้นและไม่หายไป , ไม่ได้สะอาดหรือสกปรก ,
    ไม่ดีหรือไม่ชั่ว , ไม่ได้เป็นอดีตหรืออนาคต , ไม่ถูกหรือผิด , จริงหรือเท็จ ,
    ไม่ใช่ผู้หญิงหรือผู้ชาย , ไม่ใช่เป็นพระหรือฆราวาส , ไม่ใช่สามเณรหรือพระเถระ ,
    ไม่ใช่นักปราชญ์หรือคนพาล , ไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรือปุถุชน
    เป็นความเพียรที่ไม่ต้องการรู้แจ้ง เป็นทุกข์โดยไม่ต้องการสร้างกรรม
    ไม่มีภาวะแข็งหรืออ่อน
    มันเป็นเสมือนอากาศ ท่านไม่สามารถจะเป็นเจ้าของหรือทำลายมันได้
    ไม่อาจหยุดการเคลื่อนไหวของสภาวะนี้ด้วยแรงแห่งภูเขา , แม่น้ำ , หรือกำแพงหิน
    พลังอำนาจของสิ่งนี้ ( พุทธภาวะ ) มีอำนาจเจาะทะลุภูเขาแห่งขันธ์ห้า21*
    อย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ และสามารถข้ามโอฆะสงสารได้22*
    ไม่มีกรรมใด ๆ สามารถควบคุม ธรรมกาย ( กายแท้หรือนามรูปล้วน ๆ ) นี้ได้
    แต่จิตเป็นภาวะละเอียดอ่อนยากที่จะมองเห็น
    มันไม่เหมือนจิตที่รู้สึกนึกคิดได้ ( จิตตสังขาร ) ทุกคนต้องการเห็นจิตนี้
    คนที่เคลื่อนไหวมือและเท้า
    โดยอาศัยความชัดเจนของความรู้สึกชนิดนี้ให้ได้มากเท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา
    แต่เมื่อถามถึงลักษณะของความสว่างไสวของจิตชนิดนี้
    ก็ไม่สามารถอธิบายได้ มันเป็นเหมือนหุ่นกระบอก
    คนที่ใช้เท่านั้นย่อมรู้ ทำไมคนดูจึงไม่เห็นล่ะ ?
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า สรรพสัตว์ถูกอวิชชาครอบงำ
    นี้คือเหตุผลที่ว่า
    เมื่อใดทำกรรมเมื่อนั้นย่อมเข้าไปสู่กระแสแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
    และเมื่อใดเขาพยายามออกจากกระแส
    ก็ดูเหมือนดิ่งจมลึกลงไปอีก เพราะคนเหล่านั้นไม่เห็นตนเอง
    ถ้าสรรพสัตว์ไม่ถูกครอบงำ ทำไมเขาจึงถามเรื่องธรรมะ
    ทั้ง ๆ ที่ธรรมะก็ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเขานั้นเอง
    ไม่มีใครเข้าใจความเคลื่อนไหวของมือ
    และเท้าของตนเองเลยพระพุทธเจ้าไม่ได้ผิด
    แต่เพราะมนุษย์ถูกความหลงครอบงำ จึงทำให้ไม่รู้จักว่าตนเองเป็นใคร
    เป็นสิ่งที่ยากแก่การหยั่งรู้
    แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงรู้สิ่งที่คนอื่นรู้ได้ยาก
    นอกจากผู้มีปัญญาเท่านั้นจะรู้จักจิตนี้ จิตนี้จึงถูกเรียกว่าธรรมชาติบ้าง อิสรภาพบ้าง
    ไม่ว่าชีวิตหรือความตายไม่อาจควบคุมหรือหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของจิตนี้ได้
    ไม่มีอะไรยั้งจิตได้เลยจริง ๆ
    แม้พระตถาคต23* ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้เช่นกัน คือเป็นภาวะที่เข้าใจยาก ,
    เป็นอัตตาที่ศักดิ์สิทธิ์ , ไม่รู้จักตาย ( ตายไม่เป็น ) , เป็นผู้รู้ที่ยิ่งใหญ่ จิตนี้จึงมีชื่อต่าง ๆ กันไป
    ไม่มีสาระที่แน่นอน พุทธภาวะก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน แต่ไม่ทอดทิ้งจิตของตนเอง
    ศักยภาพของจิตนี้ไร้ขอบเขต
    การปรากฏตัวของจิต
    เป็นภาวะที่ไม่รู้จักจบสิ้นเมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัส
    บทบาททุกอย่างล้วนออกมาจากจิตของตนทั้งสิ้น
    ในทุก ๆ ขณะจิตของเราสามารถไปได้ทุกหนทุกแห่ง
    ที่มีสื่อภาษาให้ไปถึงได้ ( สมมติ ) และไปเหนือภาวะที่ไร้ภาษา ( ปรมัตถ์ )


    *******************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2011
  18. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    <table id="post4229513" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] 06-01-2011, 08:54 AM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1854 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> phonsiri
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Sep 2008
    ข้อความ: 31
    Groans: 1
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 505
    ได้รับอนุโมทนา 245 ครั้ง ใน 29 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4229513" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> เรียน คุณ LITTLE DUCK ขอรบกวนแปลรหัสให้สูลสาว (อายุ 17ปี ) ด้วยนะค่ะ เมื่อหลายวันมานี้เขาเล่าว่า ตึกของห้างแกรนพลาซ่าถล่มแต่เขาวิ่งหนีไปเดอะมอลล์งามวงค์วานซึ่งอยู่ฝั่ง ตรงข้ามเขาไม่เป็นไรค่ขอบคุณล่วงหน้านะค่ะ
    </td></tr></tbody></table><table id="post4220207" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] 03-01-2011, 06:46 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1842 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Little Duck
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: May 2008
    ข้อความ: 736
    Groans: 0
    Groaned at 2 Times in 2 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 3,554
    ได้รับอนุโมทนา 9,552 ครั้ง ใน 685 โพส
    พลังการให้คะแนน: 190 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4220207" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <table id="post4204900" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] 29-12-2010, 10:42 AM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1821 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> phonsiri
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Sep 2008
    ข้อความ: 28
    Groans: 1
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 501
    ได้รับอนุโมทนา 234 ครั้ง ใน 26 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4204900" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> [​IMG] <noscript> <iframe src="http://ads.palungjit.org/show.php?z=16" width="350" height="250" marginwidth="0" marginheight="0" hspace="0" vspace="0" frameborder="0" scrolling="no"></iframe> </noscript>
    เรียน ถามท่านผู้รู้ทั้งหลาย คือข้าพเจ้าฝันคืนวันอาทิตย์ หรือวันจันทร์จำไม่ได้ ว่าเห็นลูกช้างหน้ารักกกกมากกกกเลย นอนหงายท้องอย่างมีความสุข ซึ่งในฝันข้าพเจ้ายืนมองอยู่ แล้วสักพักลูกช้างตัวนั้นก็เดินอารมณ์ดีผ่านข้าพเจ้าไป ไม่ทราบพอจะถอดรหัสได้ไหมค่ะ (มาถูกกระทู้หรือเปล่าก็ไม่ทราบถ้าผิดก็ขออภัยด้วยนะค่ะ) ขอบคุณมากค่ะ


    </td></tr></tbody></table>

    phonsiri = 16+8+15+14+19+9+18+9 = 108= JH = JUSTIFY HUMANITY
    108 = 18 = ROTARY

    HAPPY ELEPHANT =
    8+1+16+16+25+5+12+5+16+8+1+14+20 = 147 = 1+47 = 48
    48 =12 = DHL = ด่วนพิเศษ

    147 = 14+7 = 21 = UNIVERSE

    โปรดสังเกตุหมายเลขกระทู้ #1821

    108+147 = 255 = YE = YEAR END
    255 = BUDDHA NEW AGE
    18+12 = 30 = C=CONECTION

    หากดูผลลัพธ์ตาม ลำดับจะเห็นได้ว่าคุณได้รับ DHL ด่วนพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนกงล้อแห่งพระธรรมนำทางสู่ ศิวิไลซ์โดยมี 255 =BUDDHA NEW AGE เป็นกุญแจสำคัญตั้งแต่สิ้นปี YEAR END ที่ผ่านมาหากดูจากวันที่โพสต์ และได้รับการยืนยัน คือวันที่ 3 = CONNECTING หมายถึงการเชื่อมต่อพลังงานใหม่

    LOVE YOU ..

    </td></tr></tbody></table>


    DAUGHTER = 4+1+21+7+8+20+5+18 = 84 = HD = HUMANITY DIRECTION

    GRAND PLAZA = 7+18+1+14+4+16+12+1+26+1 = 100 = A = AGE

    THE MALL = 20+8+5+13+1+12+12 = 71 = GA = GRAND AVAILABLE


    84+100+71 = 255 = BUDDHA NEW AGE


    06-01-2011 = 6+1+20+11 = 38 = 11 = K=KEY
    08:54
    = 8+5+4 = 17= โปรดสังเกตุอายุลูกสาว

    หากดูผลลัพธ์ตามลำดับจะเห็นได้ว่า มีความสอดคล้องกับผลลัพธ์ ทั้งหมด HD =HUMANITY DIRECTION หมายถึงเข็มทิศของมนุษยชาติในการที่จะเลือกเดิน และ A = AGE หมายถึง ยุค และ GA = GRAND AVAILABLE หมายถึงความสำคัญที่สุดและเมืื่อดูผลลัพธ์สุดท้ายที่นำมารวมกันคือ 255 = BUDDHA NEW AGE ซึ่งเท่ากับผลลัพธ์ของข้อความอ้างอิง จึงเป็นการยืนยันภารกิจ หรือ เข็มทิศของของคุณอีกครั้ง..ขออนุโมทนา

    LOVE YOU ..
     
  19. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    <table id="post4236407" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] 08-01-2011, 01:47 AM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1862 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> สกั๊ง
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2010
    สถานที่: ชอบบ้านร้าง
    ข้อความ: 30
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 98
    ได้รับอนุโมทนา 39 ครั้ง ใน 20 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4236407" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center>ขอแจมด้วยคนนะครับ

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> (อยากอ่านจบก่อนแล้วค่อยโพส แต่ไม่ไหวอ่ะT^T)
    ไม่นานมานี้ยังอคติ กับตัวเลขทุกรูปแบบอยู่เลย(ตอนเด็กเกลียดเงินเลยพาล)
    ทำเอาแทบมองไม่เห็นตัวเลขเลยฮะ
    คือแต่ก่อน บ้านเลขที่ 771 หมู่ 13
    แล้วรู้ตัวอีกที ก็เปลี่ยนเป็น 771 หมู่ 7
    คือ ผมก็มองทุกที่เป็นบ้านเหมือน กัน
    แต่คราวนี้ รู้ สึก ว่า น่ารักดี เออ น่าอยู่ (เพราะตัวเลข^^")แปลกใจตัวเอง
    เลยขอรบกวนด้วยนะครับ
    ฮ่าๆๆ สบายยใจและ ได้ร่วม แจม ก่อนงานเลี้ยงเลิก (อิอิ อิ่มจัง)
    </td></tr></tbody></table>

    771 หมู่ 13
    = 7+7+1+13 = 28 = BH = BUDDHA HUMANITY
    771 หมู่ 7 = 7+7+1=7 = 22 = V = VICTORY

    771+771 = 1542 = ODB= OMEN DATA BASE

    7+7+1 = 15
    7+7+1 = 15
    15+15 = 30 = C = CONNECTION


    13+7 = 20 = T = TIME

    08-01-2011 = 8+1+20+11 = 40 = 4=DATA
    01:47 = 1+47 = 48 = 12 = DHL ด่วนพิเศษ


    หากดูผลลัพธ์ของข้อมูลทั้งหมด จะเห็นว่ามีความเกี่ยวข้องกับพระ ซึ่งหมายถึงตัวแทนของทุกศาสนาที่คุณปฏิบัติอยู่ อันเป็นพื้นฐานของมนุษยชาติ ดังนั้น หากดูผลลัพธ์ตามลำดับจะเห็นว่าคุณได้ีรับ DHL ด่วนพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนกงล้อแห่งธรรม นำทางสู่ VICTORY ดังนั้น การที่คุณนำข้อความมาโพสต์ที่ห้องนี้ หรือ ขอแจมด้วยคนนะครับ จึงหมายถึง CONNECTION ดูตัวเลขประกอบ จึงไม่ใช่เรื่องบังเิอิญอย่างแน่นอน ขออนุโมทนา..

    LOVE YOU..
     
  20. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    หลากหลายข้อมูลล้วนอุบัติขึ้นมาจากการถ่ายทอดตรงจากธรรมชาติ

    ความเป็นจริงของธรรมชาติ หรือ สัจธรรม ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน และไม่มีความแตกต่างกันแม้แต่น้อย

    สาเหตุที่ทำให้ข้อมูลความเป็นจริงตามธรรมชาติที่มนุษย์ค้นพบ แตกต่างกันไป นั่นเป็นเพราะเหตุที่เกิดจากการปรุงแต่งตามความเชื่อของมนุษย์เอง และนี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ข้อมูลความเป็นจริงทั้งหลายบิดเบือน เกิดการกลายพันธ์ และทำให้เกิดความแตกต่าง

    ธรรมชาติของข้อมูล ความรู้ตามความเป็นจริงของธรรมชาตินั้น สถิตอยู่ และ ดำรงอยู่แล้วภายในจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน (ตัวรู้) ข้อมูลความรู้นั้นถูกถ่ายทอดออกมาสู่มนุษย์ในรูปแบบแตกต่างกันไป ซึ่งมนุษย์ทั้งหลายต่างตีความข้อมูลทีผ่านเข้ามาไม่ว่าจะเป็นข้อความ หรือภาพ ฯลฯ โดยอาศัยการตีความผ่านระบบจิตสำนึกตามความเชื่อส่วนบุคคล และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่างข้อมูล ที่แท้จริงแล้วมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน

    นิวเอจไม่ใช่ลัทธิ หรือ ความเชื่อ นิวเอจที่แท้จริงแล้ว หมายถึง ยุคแห่งการกระทำจุดตัดอันหมายถึงจุดเปลี่ยนการกระทำใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เข้าถึงแก่นแท้ของธรรมชาติของสรรพสิ่งโดยอาศัยหลักจากความเข้าใจถึงธรรมชาติความเป็นจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย

    ผู้ใดเข้าถึงธรรมชาติของสรรพสิ่ง ผู้นั้นเข้าถึงธรรม

    มนุษย์เป็นผู้ประกอบด้วยสติปัญญา มนุษย์ต่างก็ได้ข้อมูลในความเป็นจริงของธรรมชาติผ่านทางวิถีทางการเรียนรู้ตามจริตของตน แต่ไม่มากก็น้อยที่ข้อมูลเหล่านั้น ย่อมถูกปนเปื้อนไปด้วยการปรุงแต่งตามความเชื่อของผู้ที่ถ่ายทอดข้อมูลนั้น แม้การปรุงแต่งทั้งหลายจะเป็นสิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้าม หรือ เป็น MAGIC ที่หลายท่านหลีกหนี แต่อย่างน้อย เราก็ยังได้เห็นคุณค่าของการปรุงแต่งเหล่านี้ ในตัวอักษรของทุกข้อความในหนังสือ (การมองเห็นคุณค่าของทุกสรรพสิ่ง)

    มันจะต่างอะไรระหว่างคำอธิษฐานที่มีพระเจ้า
    กับการแผ่เมตตาด้วยความรัก
    ในเมื่อผมรู้สึกดีพอๆกัน

    ศาสนาไม่เคยแบ่งแยก เพราะแก่นแท้ของทุกศาสนา ล้วนเกิดจากการค้นพบความเป็นจริงของธรรมชาติผ่านทางนักพูดผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย

    นักพูดเหล่านั้นเปรียบประดุจ กับผู้ที่ทำหน้าที่ประกาศ หรือ ถ่ายทอดความเป็นจริงของธรรมชาติ สู่มวลมนุษยชาติ


    หนุมานผู้นำสาร ทำหน้าที่ประดุจกับนักพูด และข้าพเจ้ายังคงยืนยัน สัจจะของ หนุมานผู้นำสารอีกครั้ง สัจจะที่แท้จริง คือ ความเป็นจริงตามธรรมชาติที่ไม่มีการแบ่งแยก (ส่วนของปรมัตถ์) หากแต่มนุษย์เมื่อตกอยู่ในโลกของสมมติ อันเป็นโลกของปรากฏการณ์ในการแบ่งแยก MAGIC & MIRACLE นั่นหมายความว่า การที่เรายังคงมีตัณหา หรือ ความอยาก หรือ กระบวนการเปลี่ยนความเชื่อให้เป็นความรู้ หรือกระบวนการเรียนรู้ของเรายังคงไม่สิ้นสุด (เรียนรู้สัจธรรม หรือ เข้าถึงแก่นแท้ของธรรมชาติ) เพราะเมื่อเข้าใจ และ เข้าถึง การเรียนรู้ในโลกของปรากฏการณ์ MAGIC & MIRACLE จึงไม่จำเป็นต่อไป


    ความเชื่อ คือ ความจริงในโลกปรากฏการณ์ที่ทุกอย่างถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว MAGIC & MIRACLE (สมมติ) การแบ่งแยกถูก ผิด ชอบใจ ไม่ชอบใจ ขาว ดำ

    ความรู้ คือ ความจริงแท้แน่นอนตามธรรมชาติ ที่สรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียว (ปรมัตถ์)

    การแบ่งแยก ล้วนก่อให้เกิดอัตตาความเป็นตัวตนของมนุษย์มากขึ้น คือ มาจากการมองเห็นถูก และ ผิดตามความชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจอันเป็นการสร้างความรู้สึกทางด้านลบมากขึ้น

    ความรู้สึกทั้งหลายเป็นพลังงานทางความคิด และไม่สูญสลาย สามารถแปรเปลี่ยนรูปได้ตามเหตุปัจจัย คำพยากรณ์ทั้งหลายจะเป็นเช่นไร จึงอยู่ภายใต้การกระทำของมนุษย์ โดยการกำหนดทิศทางการกระทำให้กับตนเอง (HUMAN DIRECTION) หรือ ตนเป็นที่พึ่งของตน

    <TABLE class=tborder style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px" cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR title="โพส 4231592" vAlign=top><TD class=alt2 align=middle width=125>หนุมาน ผู้นำสาร</TD><TD class=alt1>*** ใครทำใครได้ ****

    ใครอยากทำชั่วก็ทำ
    ใครอยากทำดีก็เลือกทำ
    ใครอยากหลุดพ้นต้องทำด้วยสัจจะ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร " </TD></TR></TBODY></TABLE>

    "ในโลกแห่งปรากฏการณ์ ทุกอย่างย่อมเป็นเช่นนี้เอง ทุกอย่างย่อมมาเป็นคู่ ความเป็นคู่เปรียบได้กับการแบ่งแยกตามสัญชาติญาณตามแบบอย่างของมนุษย์ในโลกของสมมติ"

    "ใครอยากหลุดพ้นต้องทำด้วยสัจจะ"


    ด้วยรักและเคารพ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...