NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ.. GRAND NATURE ..

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Little Duck, 25 กุมภาพันธ์ 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    ดอกบัวกับแรงปรารถนา

    ดอกบัวกับแรงปรารถนา

    [​IMG]


    [FONT=MS sans serif, Tahoma, Microsoft Sans Serif][FONT=Tahoma, Microsoft Sans Serif]มี คำสั้น ๆ ที่จะบอกกล่าวไว้ให้ไปพิจารณาดูกันเอง ปัญญาของมนุษย์นั้นเปรียบเสมือนดอกบัว คราเมื่อจะบานต้องได้รับส่วนผสมของน้ำของดินของแสงอาทิตย์ ตามกำลังอันสมควร เมื่อส่วนผสมเหล่านี้ เป็นปัจจัยที่เอื้อในความเจริญงอกงามได้ส่วนสมดุลกันดีแล้ว ความปรารถนาของบัวนั้นที่จะพุ่งขึ้นโผล่พ้นน้ำ บัวเหล่าใดกอใดก็ตามขาดแรงปรารถนาที่จะพ้นจากน้ำขึ้นสู่เบื้องบน บัวเหล่านั้นกอนั้นก็ไม่สามารถโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ ด้วยความคิดที่มีอยู่เพียงสิ่งที่มองเห็น คือผิวน้ำพื้นน้ำที่ตนอาศัยอยู่ คิดว่ากว้างใหญ่แล้ว ดีแล้ว เหมาะสมแล้ว สะอาดแล้ว ไม่มีแรงที่จะพุ่งตัวเองขึ้นให้พ้นจากนี้ บัวเหล่านั้นกอนั้น แม้จะได้ส่วนผสมของธรรมชาติที่สมดุลแล้ว ก็ไม่สามารถขึ้นพ้นน้ำได้ ด้วยเหตุฉะนี้นั่นเอง เปรียบเสมือนมนุษย์ เมื่อใดที่มนุษย์ปรารถนาที่จะพบเห็นความจริงที่ตนไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ปรารถนาที่จะพิสูจน์ธรรมชาติที่แท้จริง มนุษย์ก็มีแรงผลักดันให้กระทำในสิ่งที่ถูกที่สมควร ปฏิบัติธรรมในทางอันเป็นเส้นทางของการหลุดพ้น เสมือนดอกบัวที่มีแรงพุ่งตัวเองขึ้นพ้นผิวน้ำ มนุษย์อีกบางพวกก็เหมือนบัวที่จมอยู่ใต้น้ำ มองเห็นสภาพปัจจุบันคือ สิ่งที่ถูกแล้วเพียงพอแล้ว ก็รังแต่จะตกตมอยู่ในโลกของมนุษย์ต่อไป หากเผลอพลั้งพลาดคราใด ประมาทในการใช้ชีวิตเมื่อใดก็หลุดล่วงไปจากภพภูมิของมนุษย์เมื่อนั้น ความสุขที่แท้จริงไม่มีที่ไหนหรอก นอกจากดินแดนแห่งความสงบสุขสูงสุด นั่นคือ ภาวะโมกษะ การกลับคืนสู่แหล่งกำเนิดของพลังอันบริสุทธิ์ หรือพระเป็นเจ้าเป็นผู้ก่อเกิดธรรมชาติ ณ พลังสูงสุดย่อมพ้นจากการเกิด - ดับหรืออย่างเช่น ในศาสนาของพุทธเรียกว่า นิพพานนั่นเอง ก่อนอื่นใดมนุษย์ผู้ก้าวเดินสู่เส้นทางอันประเสริฐ จะต้องมีความรู้ความคิดที่ถูกต้องเรียกว่า ระลึกชอบ มีสายตาที่รู้จักมองในความเป็นจริงตามสมควร แม้จะได้ดวงตาเห็นธรรม หรือยังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรมก็ตาม หากผู้ใดปราศจากความระลึกชอบแล้ว ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากบ่วงนี้ได้ข้อคิดเล็กน้อยเพียงเท่านี้ขอประทานให้ มนุษย์ หรือผู้ที่สูงกว่ามนุษย์กลับไปพิจารณามองดูตนกันต่อไป ก่อนที่จะมองผู้อื่นก็มองตนเองก่อน ผู้ที่มองตนเองเห็น ระลึกรู้ดีของตน ระลึกรู้ชั่วของตน ระลึกรู้ความแข็งของตน ระลึกความรู้อ่อนของตน ผู้นั้นเรียกว่า ได้สติ ผู้ใดมองเห็นทางถูกต้องในการปฏิบัติ ผู้นั้นเรียกว่า มีความระลึกชอบ ใช้สองอย่างนี้เป็นเสมือนพาหนะที่จะนำไปสู่มรรคาที่ประเสริฐ ขอฝากเอาไว้เพียงเท่านี้...โอม

    [/FONT][/FONT]
    [FONT=MS sans serif, Tahoma, Microsoft Sans Serif][FONT=Tahoma, Microsoft Sans Serif]***************************[/FONT][/FONT]
    [FONT=MS sans serif, Tahoma, Microsoft Sans Serif][FONT=Tahoma, Microsoft Sans Serif]
    [/FONT][/FONT]
     
  2. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    ความหมายของ ดอกบัว

    เป็นเวลายาวนานกว่า ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว
    ในแง่มุมของพระพุทธศาสนา ดอกบัวหลวงมีความสำคัญเกี่ยวข้องอยู่หลายประการ
    พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบเปรียบเปรยดอกบัว ๔ เหล่ากับ
    ปัญญาแห่งบุคคลที่สามารถรู้และเข้าใจธรรมะเพื่อความหลุดพ้น


    [​IMG]

    บุคคลชนิดแรกสามารถเปรียบเทียบได้กับ
    ดอกบัวที่ตั้งพ้นน้ำ รอสัมผัสแสงอาทิตย์ก็จะบานในวันนี้
    คือผู้รู้เข้าใจธรรมะได้ฉับพลันตั้งแต่ท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง


    [​IMG]

    และบุคคลที่เปรียบเป็นดั่งดอกบัวประเภทที่ ๒ คือดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ
    จักบานในวันรุ่งขึ้น เฉกผู้รู้เข้าใจต่อเมื่อท่านได้ขยายความแห่งธรรมะนั้น


    [​IMG]

    บุคคลประเภทต่อมาเปรียบได้กับ
    ดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำยังไม่โผล่พ้นน้ำ จักบานในวันด่อ ๆ ไป
    คือผู้ที่พอจะแนะนำต่อไปได้เพื่อเข้าใจในธรรมะ


    [​IMG] [​IMG]

    บุคคลประเภทสุดท้ายเปรียบได้กับ ดอกบัวที่จมอยู่ในน้ำ
    ไม่มีโอกาสได้โผล่พ้นผิวน้ำจึงเป็นเพียงอาหารของปลาและเต่า
    คือผู้ที่ได้แค่ตัวบทหรีอถ้อยคำเท่านั้น
    ไม่อาจจะเข้าใจความหมายรู้ในธรรมะได้


    [​IMG]

    ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงประสูตินั้น กล่าวกันว่า
    ตลอดเจ็ดก้าวที่ทรงเดินนั้นมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาทไว้


    [​IMG]

    และตามภาพพุทธประวัติโดยมากก็จะมีภาพดอกบัวเข้าเกี่ยวข้อง
    ดอกบัวจึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในสัญญลักษณ์ทางพุทธศาสนา


    [​IMG] [​IMG]
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ยุคนี้หลังกึ่งพุทธกาล ****

    คนเก่งมีเยอะ พูดด้วยก็ยาก
    เพราะ พอเรียนมากก็รู้มาก ก็ยึดติดเรื่องถูกผิด ไม่ค่อยฟังใคร
    กว่าจะมีคนหนึ่งมาพูดให้ เลิกทำบาปโดยสิ้นเชิงทั้งกายวาจาใจโดยทันทีทันใด
    ก็ต้องรอให้กรรมมาก่อน มาเป็นภัยวิบัติต่างๆ คนเหลือหน่อยเดียว
    ถึงตอนนั้น เขาก็จะเชื่อด้วยตัวเขาเองแล้ว เพราะเขาจะเห็นคนทำบาปมากมายไปไม่รอด
    เหมือนเรื่องบัวสี่เหล่า เรื่องน้ำท่วมโลกกับเรือโนอาร์ คนฟังคนเชื่อมีน้อย
    ส่วนใหญ่เขาไม่เชื่อกัน เพราะผู้คนขาดการพิจารณาตนเอง
    ขาดการพิจารณานิสัยตนเอง ว่ามันสร้างความเดือดร้อนให้ตนเองอย่างไร

    - ” หนุมาน ผู้นำสาร ”
     
  4. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ข้าพเจ้าจินตวดี รู้สึกขอบคุณคุณกบสามตัวเป็นอย่างมาก สำหรับข้อธรรมะที่ท่านได้นำมาแบ่งปันให้กับผู้ที่กำลังเรียนรู้เช่นข้าพเจ้า รวมทั้งขอขอบคุณ คุณ LITTLE MERMAID และ คุณ หนุมานผู้นำสาร เป็นอย่างมากเช่นเดียวกันสำหรับทุก ๆคำตอบ และทุก ๆ ข้อมูล เพราะทุกท่านล้วนกำลังส่งเสริม และ สนับสนุน ให้เกิดความรู้ อันเปรียบเสมือนการนำแสงสว่างแห่งปัญญามาสู่ 22.22 ยุคพลังงานใหม่แห่งดุลยภาพ

    ศีล (ปรกติ)
    ศีล คือ ความเป็นปรกติ อันเทียบได้กับคุณลักษณะอันปรกติของจิตอันประกอบด้วยความเที่ยงตรง ความรู้ และปราศจากการปรุงแต่ง

    ความปรกติ แบ่งได้ เป็นปรกติทางโลก และ ปรกติทางธรรม


    ความปรกติทางโลก (สมมติ)นั้น หมายถึงทุกอย่างย่อมเป็นไปตามธรรมชาติหรือ สัญชาติญาณ คือ เป็นเสือ ย่อมกินเนื้อ เป็นกวางก็ย่อมต้องกินพืช ส่วนเป็นคนก็มักจะกระทำตอบสนองต่อแรงกระตุ้น สิ่งเร้าหรือ ตอบสนองตามสัญชาติญาณภายนอก ซึ่งเปรียบเสมือนกิเลสนั้น คือ อวิชชา (ความไม่รู้) ตัณหา (ความอยาก) อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) ต่าง ๆอันเป็นสาเหตุแห่งการเพิ่มอัตตา หรือ ก่อให้เกิดตัวตนชาติภพต่าง ๆตามแรงกรรมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นในทางโลก มนุษย์ที่เจริญทางจิตแล้วจึงต้องอาศัยศีลห้า เพื่อเป็นเครื่องช่วยในการควบคุมความประพฤติ หรือ การกระทำเพื่อไม่ให้จิตออกนอกทางโดยการศัยหลักของ สมมติศีล หรือ ความเชื่อ เข้ามาช่วย


    ความปรกติทางธรรมนั้น (บริสุทธิ)คือ ความปรกติของจิตอันเต็มไปด้วยความรู้อันบริสุทธิ ปราศจากการปรุงแต่งซึ่งเป็นคุณลักษณะที่แท้จริงของจิตวิญญาณตามความเป็นจริง ซึ่งเปรียบได้กับตาชั่งอันเที่ยงตรง


    มนุษย์หรือผู้ที่มีสัมมาทิษฐิเที่ยง หรือ มีความเห็นตรง คือ เห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติแล้วนั้น ย่อมเข้าใจได้ว่า ผลแห่งการปรุงแต่งของจิตด้วยกิเลสนั้น (เปรียบได้กับเข็มตาชั่งอันไม่เที่ยง หรือโอนในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างความเที่ยงตรงกับเข็มที่เอียงนั้น) ย่อมก่อให้เกิดผลที่ทำให้เราจำเป็นต้องไปเติมเต็มในช่องว่างแห่งประสบการณ์ หรือ ไปเรียนรู้ในแง่มุมของสิ่งปรุงแต่ง (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) นั้นเสมอ สิ่งเหล่านี้เป็นการก่อให้เกิดตัวตน (อัตตา) หรือ เป็นการเพิ่มตัวตน หรือ เพิ่มชาติภพในการเรียนรู้ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


    การที่จะทำให้จิตของมนุษย์กลับสู่ความปรกติ หรือ ความเที่ยงตรงอันเป็นคุณลักษณะดั้งเดิมของจิตวิญญาณอันปราศจากการปรุงแต่งได้นั้น จำเป็นต้องอาศัย ขั้นตอนของ การทำสมาธิ


    สมาธิ คือ การดำรงสติมั่น คือการไม่ส่งจิตออกนอก เมื่อจิตมีสมาธิ หรือ มีสติมั่น จิตย่อมเกิดตัวรู้ หรือ ปัญญา

    สติ คือ ตัวรู้แห่งจิต ทำให้เกิดปัญญาแห่งการหลุดพ้น

    ปัญญา คือ ตัวรู้ซึ่งใช้คอยพิจารณาแยกแยะ เมื่อสามารถดำรงสมาธิ หรือดำรงสติมั่นอยู่กับทุกอริยาบท (สติปัฐฐาน) คือเมื่อมีสิ่งใดมากระทบก็รู้ รู้เห็นตามจริงของสิ่งที่มากระทบนั้น จนมองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของทุกสรรพสิ่ง ว่าไม่มีสิ่งใดจริงแท้แน่นอน ทุกอย่างล้วนแต่มีการกระพริบ เกิด ดับ อยู่ตลอดเวลา

    [FONT=MS sans serif, Tahoma, Microsoft Sans Serif][FONT=Tahoma, Microsoft Sans Serif]ญาณ คือ ปัญญาที่เกิดจากการเพ่งดูความจริงโดยตัวรู้แห่งจิต เป็นสิ่งที่ใช้ระงับอวิชชา ตัณหา และอุปาทาน ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดกิเลส ดังนั้นญาณจึงเป็นตัวตัดกิเลสนั่นเอง [/FONT][/FONT]

    การเกิด ดับ หรือ 69 อันเกี่ยวกับปรีชาญาณแห่ง "เต๋า"

    ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า เต๋า คือ ศีล หรือ ความเป็นปรกติแห่งธรรมชาติ อันประกอบด้วยการกระพริบแห่งการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่เข้าใจในธรรมชาติของสรรพสิ่งแห่งการเกิดดับ (ธรรมชาติของจิตวิญญาณ) ย่อมต้องผ่านขั้นตอนของ สมาธิ และ ปัญญา คือ เห็นตามความเป็นจริงของสรรพสิ่ง


    ทั้งสามขั้นตอนนั้นเปรียบเสมือนกับการหมุนกงล้อแห่งธรรม ซึ่งเปรียบได้กับการสนับสนุนซึ่งกันและกัน อันจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ เพราะคนเราจะมีวิสุทธิศีล หรือ จะกลับคืนสู่ความปรกติของจิตอันบริสุทธิได้ (ปราศจากการปรุงแต่ง)จำเป็นจะต้องอาศัยขั้นตอนของการทำสมาธิ และในขั้นตอนของการทำสมาธิ ย่อมก่อให้เกิดปัญญา คือรู้เห็นตามความเป็นจริงตามธรรมชาติ



    การปฏิบัติจาก ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ถึง วิสุทธิศีล วิสุทธิสมาธิ วิสุทธิปัญญา
    จำเป็นจะต้องอาศัยหลักการแห่ง "สัจจะ"

    นั่นคือ ต้องอาศัยการกระทำจริง การกระทำเที่ยง เพราะสัจจะ แปลว่า ความจริง หรือ ความเที่ยงตรง
    คือต้องทำบ่อย ๆ ทำให้เคยชิน ทำให้เป็นนิสัย จนกลายเป็นเรื่องธรรมชาติได้ในที่สุด

    สัจจะ คือ ความจริงตามธรรมชาติ

    ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อทำบ่อย ๆ จนกลายเป็นธรรมชาติ ก็จะกลายเป็น วิสุทธิศีล วิสุทธิสมาธิ วิสุทธิปัญญาในที่สุด คือ ไม่ต้องมีกรอบมากำหนด เพราะทุกอย่างเป็นธรรมชาติไปหมดแล้ว เป็นธรรมชาติอย่างที่เรียกว่า ฟ้าและดิน โลกและธรรม วัตถุกับจิตใจรวมเป็นน้ำหนึ่งเดียวกันอย่างไม่แบ่งแยก


    และนี่คือจุดมุ่งหมายของ การหมุนกงล้อธรรม คือ หมุนซ้ำ ๆ อย่าหยุดหมุน หรือ การกระทำ การประพฤติธรรมซ้ำ ๆ จนเคยชิน หรือ เป็นนิสัย จนกระทั่งหาทางออกจากวัฏฏะสังสาร หรือ 69 ได้ในที่สุด

    จงกระทำหนทางแห่งโลกุตตระให้ตรงไป
    โลกุตตระ คือ สัจจะ คือ ความจริงแท้แน่นอน คือ ความเที่ยงตรง หรือ คือ THE JUSTICE หรือ ผู้ที่มีเมตตาอันหาประมาณมิได้ หรือ ผู้ที่มอบความรักอันปราศจากเงื่อนไขให้แก่สรรพชีวิตทั้งปวง

    ด้วยรักและเคารพคุณครู

    จินตวดี (เด็กน้อยจ้า)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2010
  5. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    พรแห่งอหิงสธรรมอนิสงค์

    [FONT=MS sans serif, Tahoma, Microsoft Sans Serif][FONT=Tahoma, Microsoft Sans Serif]อานิสงค์ในการปวารณาตนไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ที่ได้สร้างมาจนครบวาระวันนี้ ขออนุโมทนาอานิสงค์นี้ ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ในอหิงสธรรม ขออวยพรให้มนุษย์ทุกคนในที่นี้ จงเป็นผู้ล่วงพ้นกระแสโลก จงเป็นผู้ปราศจากความอาฆาตพยาบาทจากเจ้ากรรมนายเวร เจริญในสิ่งอันพึงเจริญของมนุษย์ ล่วงพ้นจากสิ่งอันเป็นภัยพิบัติของมนุษย์ ตลอดชั่วอายุขัยในพิภพโลกแห่งนี้ ธรรมทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาสู่สัมผัสแห่งมนุษย์ จงเกิดเป็นแสงสว่างกระจ่างแจ้งทางปัญญา ให้ล่วงพ้นอวิชชา หลุดพ้นกิเลส ตัณหา อุปาทาน ดำเนินตามรอยมรรคาแห่งพระศาสดา ประธาน นามอวโลกิเตศวรคือผู้พิทักษ์พุทธะที่ใดที่มีพุทธะที่นั้นนามอวโลกิเตศวร จะปกป้องพิทักษ์และจรรโลงเอาไว้ให้อยู่ถาวรให้แผ่กระจายไปทั่ว มนุษย์ที่นั่งอยู่ตรงนี้ทุกคนเคยได้รับโอวาทมาก่อน คงจะพอจำได้ว่า หลักธรรมที่ให้ไว้ประจำชีวิตเป็นอย่างไร ทุกคนปฏิบัติกันหรือเปล่า ด้วยใจเป็นธรรมลองมองดูตนหรือเปล่าว่าเราได้บกพร่องคุณธรรมของความเป็น มนุษย์ หรือสมบูรณ์ดีแล้วในคุณธรรมของความเป็นมนุษย์ ทิพย์ล้ำค่าที่มนุษย์ทุกคนพึงมีก็คือ กระจกส่องตนเอง ใครไม่มีกระจก คนนั้นไม่อาจล่วงพ้นอวิชชาไปได้เลย ทุกวันเฝ้ามองตนเอง หมั่นขัดถูกระจกของตนเองให้สะท้อนเห็นภาพที่แท้จริง แล้วแก้ไขให้งามขึ้นทั้งภายนอกและภายใน งามภายนอกก็คือ สำรวมกิริยาวาจา งามภายในก็คือ สำรวมใจ พลังทิพย์ทั้งหลายรวมทั้งธรรมะที่เป็นสัจธรรมของโลก ล่องลอยอยู่รอบตัวมนุษย์ทุกคน จิตบริสุทธิ์ดีหรือยัง ผู้ใดมีจิตบริสุทธิ์ดีแล้วสะอาดดีแล้วเมื่อปฏิบัติธรรมในเวลาอันเหมาะสม ปัญญาญาณก็จะเกิด เพราะจิตที่บริสุทธิ์สัมผัสกับพลังความเป็นจริง ปัญญานี้ก็จะย้อนกลับเข้าไปรักษาโรคภายใน โรคภายในของมนุษย์ก็คือ โรคหลงกิเลส โรคหลงตัณหา โรคหลงอุปาทาน โรคทั้งหลายมีเชื้อมาจากความไม่รู้ ความหลง ความโง่ แต่เมื่อใดมนุษย์มีกระจกหมั่นส่องตนเองอยู่ประจำ ความโง่ก็หายไป ปัญญาที่เกิดก็จะสามารถเข้าไปรักษาโรคภายในได้ บริสุทธิ์ที่กายไม่อาจสู้บริสุทธิ์ที่ใจ เมื่อรักจะเป็นชาวพุทธ ต้องเดินตามหลักแห่งพุทธะ ขอพลังแห่งโพธิสัตว์จงสถิตอยู่ ณ พวกเจ้าทั้งหลาย จงเจริญในธรรมต่อไป..

    [/FONT][/FONT]
    [FONT=MS sans serif, Tahoma, Microsoft Sans Serif][FONT=Tahoma, Microsoft Sans Serif]**************************[/FONT][/FONT]
     
  6. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    "ปัญญาบารมีหฤทัยสูตร" หัวใจของพุทธธรรม



    [​IMG]

    "ปัญญาบารมีหฤทัยสูตร"

    หัวใจของพุทธธรรม


    ในบรรดาคำสอนของพุทธธรรมที่ว่ากันว่าไม่ต่ำกว่า 84,000 ข้อนั้น ถ้า ให้เลือกเรียนและฝึกฝนได้เพียงข้อเดียวหรือพระสูตรเพียงเล่มเดียว จึงไม่ลังเลใจเลยที่จะเลือกหฤทัยสูตร หรือชื่อเต็มที่เรียกว่า ปรัชญาปารมิตา (ปัญญาบารมี) หฤทัยสูตร หรือ คัมภีร์แห่งจิตเพื่อบรรลุปัญญาบารมีอันลือชื่อของมหายานนี้มาเป็นหลักยึดในการปฏิบัติธรรมของตัวเอง


    คัมภีร์ หฤทัยสูตรที่แพร่หลายไปทั่วนี้คือฉบับที่เป็นภาษาจีนที่แปลโดยพระถังซำจั๋ง จากภาษาสันสกฤตอีกต่อหนึ่งในราว ค.ศ.649 สำหรับตัวต้นฉบับภาษาสันสกฤตนั้นไม่มีแล้วทั้งในประเทศอินเดียและเนปาล จะมีเหลือฉบับคัดลอกสมัยโบราณอยู่ฉบับหนึ่งเท่านั้นที่เก็บรักษาเอาไว้ในวัด โฮริวยิแห่งประเทศญี่ปุ่น

    สถานภาพของคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรในพุทธศาสนาสายมหายายนั้นเทียบได้กับคัมภีร์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์เลยทีเดียวแหละ ทั้งๆที่คัมภีร์นี้มีเนื้อหาสั้นมากแค่อักษรจีน 262 คำเท่านั้นซึ่งสั้นกว่า พระคาถาชินบัญชรอัน ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธไทยเสียอีก แต่คัมภีร์เล่มนี้กลับมีพลังในตัวเองอย่างมหาศาลจนเหลือเชื่อเลยทีเดียว หากใครได้ศึกษา ฝึกฝนปฏิบัติตามแล้วอย่างจริงจังย่อมเข้าใจได้เอง เพราะแก่นแท้ของความจริงของจักรวาลและหลักสัจธรรมของชีวิตล้วนตกผลึกและอัด แน่นอยู่ในคัมภีร์ฉบับนี้ทั้งสิ้น อย่างที่ยากจะเชื่อได้ว่าสัจธรรมทั้งหลายทั้งปวงของพุทธธรรมสามารถบรรจุอยู่ในคัมภีร์สั้นๆ เล่มนี้ได้อย่างไรกัน


    จะว่าไปแล้ว คัมภีร์เล่มนี้จึงไม่ต่างไปจาก "ไวยากรณ์พระโพธิสัตว์" เลย ด้วยเหตุนี้แหละ จึงต้องยกเอาแก่นความคิดของคัมภีร์ฉบับนี้มาขึ้นต้นเป็น อันดับแรกสำหรับการจะทำให้ผู้คนเข้าใจหัวใจ (หฤทัย) ของมังกร (จอมยุทธ์และอภิมนุษย์) ในศตวรรษที่ 21





    คัมภีร์ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร

    (คำถอดความ)

    (1) พระโพธิสัตว์กวนอิมผู้ศักดิ์สิทธิ์(คันยิโซโบสัทสุ-ออกเสียงเป็นภาษาญี่ปุ่น สำหรับผู้ถนัดออกเสียงเป็นภาษาแต้จิ๋วย่อมทดแทนกันได้)
    เมื่อท่านได้เข้าสู่การบำเพ็ญปัญญาบารมีอันลึกซึ้งเพื่อแสวงหาสัจธรรมที่จะ ช่วยมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ให้พ้นทุกข์ได้นั้น (เกียวยินฮันเนียะฮารามิตตะยะ)
    ท่านได้รู้แจ้งขันธ์ทั้ง 5 ทั้งปวง ซึ่งประกอบขึ้นเป็นสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนเป็น สุญตา หรือ ความว่าง ทั้งสิ้น (โชเก็นโกะอุนไคคู)
    ท่านจึงถือสัจธรรมอันนี้เป็นมรรคที่แท้จริงที่จะช่วยให้มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้สามารถพ้นทุกข์ได้ (โดะอิสไซคุยากุ)


    ขยายความ
    ผู้ที่เข้าถึงหัวใจและจิตวิญญาณของคัมภีร์วิเศษเล่มนี้จักต้องมีคุณสมบัติ ที่โดดเด่น 2 ประการอยู่ในตัว คือ หนึ่ง มีหลักวิชาหรือทฤษฎีที่ถูกต้องในการหลุดพ้นและมุ่งบรรลุความรู้แจ้งด้วยการ บำเพ็ญสมาธิ-วิปัสสนา กับ สอง มีปณิธานของพระโพธิสัตว์ที่มุ่งจะช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ มุ่งช่วยผู้อื่นให้หลุดพ้นด้วย


    จะว่าไปแล้วนี่คือเอกภาพของทฤษฎีกับปฏิบัติ นั่นเองและน่าจะเป็นอุดมคติของการพัฒนาตนเองในเชิงจิตวิญญาณด้วย เพราะหากผู้ใดเอาแต่ฝึกฝนสมาธิ-วิปัสสนาจนตระหนักถึง ความว่าง หรือความเป็นสุญตาของสรรพสิ่งแล้วหยุดตัวเองอยู่แค่นั้น เขาผู้นั้นก็จะกลายเป็นคนเบื่อโลก ไม่อยากทำสิ่งใดทั้งสิ้น ดีไม่ดีอาจถึงขั้นหดหู่หมดอาลัยตายอยากในชีวิตด้วยซ้ำ


    เพราะฉะนั้นในทัศนะของผู้ที่ศึกษาธรรมะ ฝึกฝนสมาธิ-วิปัสสนาจนเข้าถึง สุญตา ได้แล้ว เขาจะต้องไม่หยุดอยู่แค่นั้น แต่จะต้องรุดหน้าต่อไป โดยก้าวเข้าสู่ปฏิบัติการแห่งความรัก (ความเมตตา) เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ด้วยถึงจะเป็น ทาง ที่ถูกต้องจริง


    เพราะฉะนั้น เคล็ดลับของการฝึกฝนตนเองด้วยคัมภีร์วิเศษเล่มนี้ก็คือตัวผู้ฝึกจะต้องตั้ง จิตมุ่งมั่นที่จะเป็นโพธิสัตว์ (กวนอิม) เสียก่อน จากนั้นจึงบำเพ็ญ ปัญญาบารมี เพื่อให้ได้ปัญญาดุจพระโพธิสัตว์ เพราะคนธรรมดาสามัญยากนักที่จะได้ ปํญญาบารมี จากคัมภีร์เล่มนี้โดยแค่ท่องบ่นคัมภีร์ฉบับนี้ ต่อให้ท่องบ่นเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านเที่ยวก็ตาม


    ยกเว้นเสียแต่ว่า ตัวผู้นั้นมีความมุ่งมั่นที่จะแปรเปลี่ยนตนเองหรือเปลี่ยนแปลงตนเองไปเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาและประกอบไปด้วยปัญญาบารมีก่อนแล้วเท่านั้น


    จึงมีความเห็นว่า ถ้าหากเราไม่ศึกษาคัมภีร์วิเศษฉบับนี้จากจุดยืนที่กล่าวมานี้ ผู้ฝึกคนนั้นจะไม่มีวันเข้าถึงความล้ำลึกของคัมภีร์ซึ่งทรงพลานุภาพเล่มนี้ ได้เลย สิ่งที่เขาจะได้คือความรู้ที่เป็นแค่เปลือกนอกจากคัมภีร์เล่มนี้เท่านั้น


    สิ่งนี้เป็นความจริงไม่แค่เฉพาะคัมภีร์เท่านั้น ยังเป็นจริงสำหรับผู้ฝึกพระคาถาชินบัญชรอันศักดิ์สิทธิ์ด้วย เพราะผู้ที่ท่องพระคาถาชินบัญชรโดยหวังอัญเชิญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงฆ์คุณ แค่มาคุ้มครองกายให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงและมีสิริมงคล โดยไม่คิดจะทำตัวเองให้เป็นพระพุทธะด้วย พวกเขาย่อมได้อานิสงส์จากพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์แค่เปลือกผิวเท่านั้น



    (2) สารีบุตรเอ๋ย (ศิษย์เอ๋ย) สิ่งที่เราจะบอกเธอในที่นี้ก็คือว่า (ฉะริชิ)
    รูป นั้นไม่ใช่รูป แต่มันเกิดรูปเกิดร่างขึ้นมาได้ก็เพราะมันอาศัยร่วมกันกับสิ่งอื่น รูปจึงไม่ต่างไปจาก ความว่าง (ชิกิฟุอิคู)
    และสิ่งที่ไม่มีรูปร่างหรือความว่างนั้นก็มิได้หมายความว่ามันไม่มีอะไร เพราะจากความว่างก็สามารถอาศัยการร่วมกันกับสิ่งอื่นทำให้เกิดรูปขึ้นมาได้ เช่นกัน ดังนั้น ความว่าง จึงไม่ต่างไปจาก รูป (คูฟุอิชิกิ)
    สรรพสิ่งหรือ รูป ทั้งหลายในโลกนี้ล้วนตั้งอยู่ได้ด้วยการอาศัยร่วมกันกับสิ่งอื่นดังนั้นเรา จึงบอกเธอว่ารูปก็คือความว่าง (ชิกิโซกุเซะคู) และความว่างก็คือรูป (คูโซกุเซะชิกิ) เพราะฉะนั้นขันธ์อื่นๆ ไม่ว่าเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ (จุโซเกียวชิกิ) ต่างก็เป็นความว่างเช่นกัน และความว่างก็เป็นขันธ์ต่างๆ เหล่านี้ด้วย (ยากุบุเนียวเซะ)

    ขยายความ เนื่องจากธาตุแท้ของ รูป ก็คือ ความว่าง รูปจึงดำรงอยู่ได้หรือสามารถคงรูปเอาไว้ได้ตามหลักปฎิจจสมุปบาท คัมภีร์นี้จึงกล่าวได้ว่า "รูปคือความว่าง" และในขณะที่เมื่อคัมภีร์นี้กล่าวว่า "ความว่างก็คือรูป" มันหมายความว่า "ความว่าง" มีคุณสมบัติและมีพลังที่จะทำให้เกิด "รูป" ขึ้นมาได้ ความว่างจึงไม่ใช่ ความไม่มีอะไร อย่าง ที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดสับสนกัน จึงเห็นได้ว่าตรรกะของ "รูปก็คือความว่าง" (A เท่ากับ B)กับตรรกะของ "ความว่างก็คือรูป" (B เท่ากับ A) นั้นมีความหมายที่แตกต่างกันมากในคัมภีร์เล่มนี้อย่างที่พวกที่คิดแบบ "นักวิทยาศาสตร์" เถรตรงยากจะทำความเข้าใจได้


    เพราะ การทำความเข้าใจว่า "รูปก็คือความว่าง" นั้น ความจริงก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้วสำหรับปุถุชนคนธรรมดา แต่การที่จะเข้าใจความหมายของ "ความว่างก็คือรูป" นั้นมันยิ่งยากเข้าไปอีก หัวใจของคัมภีร์วิเศษเล่มนี้มิได้อยู่ที่ "รูปก็คือความว่าง" อย่างที่คนส่วนใหญ่ตีความหรือเข้าใจเช่นนั้นหรอก แต่อยู่ที่ "ความว่างก็คือรูป" ต่างหาก


    เนื่อง เพราะคนเราทุกคนควรจะตระหนักถึงความจริงในข้อนี้ให้ได้ว่าพวกเราทุกคนนั้น ล้วนเป็น"รูป" ที่เกิดมาจาก "ความว่าง" ทั้งสิ้น และพวกเราทุกคนต่างก็มี "ความว่าง" เป็นธาตุแท้อยู่ในตัวทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วพวกเราทุกคนย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้ เพราะ "ความว่างก็คือรูป" ความว่างย่อมสามารถก่อให้เกิดรูปอะไรขึ้นมาก็ได้ ด้วยเหตุนี้แหละถ้าหากคนเรามีความมานะบากบั่น อุตสาหะวิริยะพยายาม ผู้นั้นก็ย่อมสามารถก้าวหน้าได้ รุดหน้าได้ เติบโตได้อย่าง ไม่มีที่สิ้นสุด และในทางกลับกันหากคนเราละเลยการฝึกฝนตนเอง เกียจคร้าน ไม่กระตือรือร้นผู้นั้นก็จะถดถอยเสื่อมโทรม ต่ำทรามลงไปเรื่อยๆ


    คน เราแม้เกิดมาในโลกโดยแบก "ชะตาชีวิต" อันหนึ่งมาด้วยก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าจะถูกชะตาชีวิตลิขิตอย่างสิ้นเชิงก็หาไม่ ทุกอย่างย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้นได้เสมอ เพราะ "ความว่างก็คือรูป" ฉะนั้นการที่เราเกิดมาจนก็ไม่มีเหตุใดที่เราจะต้องจนไปตลอดชีวิตใช่หรือไม่


    จึง เห็นได้ว่าคำสอนเรื่อง "รูปคือความว่าง" เป็นโลกทัศน์ของพระโพธิสัตว์ผู้มีปัญญาบารมี ขณะที่คำสอนเรื่อง "ความว่างก็คือรูป" นั้นเป็นชีวทัศน์ของพระโพธิสัตว์ผู้มีเมตตาบารมีและวิริยะบารมี หากเราเข้าใจใน 2 ประเด็นนี้ได้อย่างถ่องแท้แล้ว ข้อความคำสอนอื่นๆ หลังจากนั้นของคัมภีร์วิเศษเล่มนี้ถือว่าเป็น ของแถม เท่านั้นเอง




    (3) สารีบุตรเอ๋ย (ศิษย์เอ๋ย) (ฉะริชิ) แก่นแท้ของสรรพสิ่งนั้นเป็นความว่าง แม้ในทางปรากฏการณ์จะดูเหมือนว่ามีการเปลี่ยนแปลงต่างๆนานาอันเนื่องมาจาก การอาศัยร่วมกันกับสิ่งอื่นก็ตาม แต่ตัวแก่นแท้ของสรรพสิ่งนั้นหาได้เปลี่ยนแปลงด้วยไม่ (เซะโฉะโฮคูโซ) ไม่มีทั้งเกิด ไม่มีทั้งดับ (ฟุโชฟุเม็ทสุ) ไม่มีสกปรก ไม่มีสะอาด (ฟุคุฟุโย) ไม่มีเพิ่ม ไม่มีลด (ฟุโซฟุเง็น)
    ขยายความ ลักษณะต่างๆของ ความว่าง ได้ถูกบรรยายในคัมภีร์ส่วนนี้คือไม่มีทั้งเกิด ไม่มีทั้งดับ ไม่มีสกปรก ไม่มีสะอาด ไม่มีเพิ่ม ไม่มีลด ในที่นี้ผมจะขอยกตัวอย่างของ เงิน ซึ่งเป็นที่สุดของสิ่งสมมุติมาให้พิจารณากันด

    เงิน ไม่มีตัวตนจริงหรือไม่? สำหรับพวกนักเล่นหุ้น วันนี้มีหลายล้านบาท แต่ในวันข้างหน้าอาจเหลือไม่กี่หมื่นบาท หรืออาจเพิ่มมากกว่าเดิมอีกหลายสิบเท่าก็เป็นได้ แต่ที่เพิ่มหรือลดลงนั้นคือปริมาณของเงินหาใช่ตัวตนของเงินไม่ เพราะตัวตนของเงินไม่เคยดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงให้ตัวเราครอบครองเลยแม้แต่ชั่วขณะเดียว เมื่อมีเหตุอาศัยร่วมกันกับสิ่งอื่น เงินถึงอยู่กับเรา แต่เมื่อหมดเหตุอาศัยอันนั้นเงินก็ไปจากเรา ตอนที่เราใช้เงินความจริงเราใช้อำนาจซื้อที่เงินมีอยู่ในขณะที่มันอยู่กับเราเท่านั้น แต่ตัวตนของมันไม่เคยดำรงอยู่เลย เงินไม่มีตัวตนมีแต่ปริมาณของเงินที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น


    เพราะ ถ้าเงินมีตัวตนจริง มันจะต้องดำรงอยู่ได้โดยไม่เปลี่ยนแปลงด้วยเงื่อนไขหรือสาเหตุใดๆ ก็ตามอย่างไรก็ดีเงินก็เป็นสิ่งที่จำเป็นในโลกสมมุติหรือในโลกที่เป็น ปรากฏการณ์ แต่เงินจะกลายเป็น มายา ที่ไร้ตัวตนในทันทีในโลกของสัจธรรมหรือในโลกของปรมัตถ์


    ในโลกของปรมัตถ์จึงเป็นโลกของพระโพธิสัตว์ปัญญาบารมี
    ส่วนโลกของปรากฏการณ์เป็นโลกของพระโพธิสัตว์กวนอิม
    และโลกของผู้ที่ศึกษาคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรเล่มนี้จึงควรเป็นโลกของผู้ที่รู้จักสมมุติ เข้าใจสมมุติ ยอมรับสมมุติ ใช้สมมุติเป็น แต่ไม่ยึดติดในสมมุตินั้น


    "ยอดคน" คือ ผู้ที่รู้ทันและไม่ยึดติดในสมมุติทั้งปวงที่สังคมยัดเยียดให้ แต่ พระพุทธะ คือผู้ที่รู้ทันและไม่ยึดติดในสมมุติทั้งหลายทั้งปวงกันเกิดจากธรรมชาติ จักรวาล และธาตุทั้ง 4 ท่านจึงมีอำนาจเหนือจักรวาลและธาตุทั้ง 4 ได้



    4) ด้วยเหตุนี้ใน ความว่าง จึงไม่มีทั้งรูป (เซะโคะคูจูมุชิกิ) ไม่มีทั้งเวทนา ทั้งสัญญา ทั้งสังขาร ทั้งวิญญาณ (มุจุโซเกียวชิกิ) และก็ไม่มีสิ่งที่ถูกรับรู้ซึ่งได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิด (มุชิกิโชโคมิโซกุโฮ) จึงไม่มีทั้งโลกที่ตามองเห็น (มุเง็นไค) และไม่มีโลกทางความคิด (ไนชิมุอิชิกิไค)
    ขยายความ ถ้าหาก ความว่าง ในที่นี้คือหลักอันเดียวกับหลักปฎิจจสมุปบาทแล้ว เราก็ย่อมกล่าวได้ว่าในหลักปฎิจจสมุปบาทจึงไม่ มีทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเช่นกัน และก็ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเช่นกัน รวมทั้งไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความคิดเช่นกันด้วยเพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา คือไม่มีตัวตน


    จึงเห็นได้ว่า "ความว่าง" "หลักปฎิจจสมุปบาท" และ "อนัตตา" เป็นสิ่งเดียวกันและแยกจากกันไม่ได้เลยในปัญญาแบบพระพุทธะ




    (5) ด้วยเหตุนี้ใน ความว่าง จึงไม่มีทั้งอวิชชา (มุมุเมียว)
    และก็ไม่มีการสิ้นสุดของอวิชชา (ยาคุมุมุเมียยิน)
    ไม่มีทั้งชรามรณะ (ไนชิมุโรชิ) และก็ไม่มีการสิ้นสุดของชรามรณะ (ยาคุมุโรชิยิน)
    ไม่มีอริยสัจ 4 คือ ไม่มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (มุคุจูเม็ทสุโด)
    ไม่มีทั้งโพธิปัญญาและก็ไม่มีการตรัสรู้ใดๆ (มุจิยาคุมุโทคุ)
    เพราะโพธิปัญญาและการตรัสรู้แบบพระพุทธเจ้าอยู่เหนือ ความว่าง เหล่านี้ไปอีก(อิมุโฉะโทคุโคะ)

    ขยายความ ในการบรรลุถึง ความว่าง จำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ถึงเรื่องขันธ์ 5 และเรื่องหลักปฎิจจสมุปบาทที่อธิบายถึงธรรม 12 ประการ คือ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ปรามรณะ ซึ่งเกิดขึ้นร่วมกันโดยอาศัยกันละกันเกิด รวมทั้งยังต้องเรียนรู้เรื่องอริยสัจ 4 ด้วยก็จริง


    แต่ครั้นเมื่อเข้าถึง "ความว่าง" ได้จริงๆแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็น "ไม่มี" ไป และตัว "ความว่าง" เองก็จะต้องถูกข้ามพันหรือถูกก้าวข้ามอีกทีด้วย เพราะมีแต่ปัญญาในระดับมิติที่ข้ามพ้นจาก ความมีอะไร-ความไม่มีอะไร และ ความว่าง ทั้งปวงได้แล้วเท่านั้น จึงจะเป็นปัญญาชั้นสุดยอดที่แท้จริง


    หรือกล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่า ตราบใดที่ยังยึดติดกับ ความว่าง อยู่ ตราบนั้นก็ยังไม่มีปัญญาขั้นสุดยอด คัมภีร์ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรเล่มนี้จึงเป็นคัมภีร์ที่อธิบายความสูงส่งของ "ความว่าง" แต่ขณะเดียวกันก็เสนอให้เข้าถึง "ความว่าง" ที่ก้าวข้าม "ความว่าง" อีกทีหนึ่งและนี่แหละคือความล้ำลึกสุดหยั่งคาดของคัมภีร์เล่มนี้ที่ยากจะหา คัมภีร์เล่มอื่นที่จะอธิบายเรื่องความว่างเหมือนกันมาทัดเทียมได้




    (6) พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย (ผู้แสวงธรรมทั้งหลาย) (โบะไดสัทสุตะ)
    ถ้าหากได้ปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุปัญญาบารมีแล้ว (เอะฮันเนียะฮะระมิตตะโคะ)
    ใจของเขาก็จะไม่มีสิ่งยึดติด (ชินมุเคเงะ) เมื่อไม่มีสิ่งยึดติด (มุเคเงะโคะ) ก็จะไม่มีความ กลัว (มุอุคุฟุ)
    สามารถหลีกพ้นมายาที่กลับตาลปัตรทั้งปวง (อ็อนริอิสไซเต็นโตมุโซ) เข้าถึงสภาวะแห่งนิพพานได้ (คุเคียวเนะฮัน)
    เหล่าพระพุทธะในสามโลก (อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต) ก็เช่นกัน (ซานเซะโฉะบุทสุ) ต่างก็ฝึกฝนปัญญาบารมี (เอะฮันเนียะฮะระมิตตะโคะ) จนกระทั่งสามารถบรรลุ อนุตรสัมมาโพธิญาณ อันเป็นปัญญาสูงสุดได้ (โทคุอะโนคุตะระซันเมียะคุซันโบะได)

    ขยาย ความ สิ่งที่ทำให้ใจยึดติด คือสิ่งที่ครอบงำจิตใจจนเป็นอุปสรรคต่อการทำงานที่แท้จริงของปัญญาในตัวเรา แต่เมื่อปัญญาบารมีเกิดขึ้นสิ่งเหล่านี้ก็จะหายไปเอง ดุจเมื่อมีแสงสว่างเกิดขึ้น ความมืดย่อมเลือนหายไปในบัดดล


    เมื่อ ใจไม่มีสิ่งยึดติด ใจย่อมไม่มีความกลัว เพราะความกลัวเกิดจากการไปยึดติดอยู่กับ อัตตา ของใจ ฉะนั้นเมื่อใจเราก็ไม่มีอะไรยึดติดมิหนำซ้ำใจเรายังมีความวิริยะพากเพียรใน การฝึกฝนตนเองตามวิถีแห่งพุทธะอยู่ด้วยแล้วในใต้ฟ้านี้จะมีสิ่งใดมาทำให้เรา หวาดหวั่นได้ ? ดังนั้น มายา ที่ทำให้เรามองโลกกลับตาลปัตรจึงไม่อาจรังควานเราต่อไปอีกได้


    แต่แปลกเหลือเกินที่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ก็ยังชมชอบอยู่ในโลกที่กลับตาลปัตรอยู่ดี เพราะยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบในสิ่งที่นำความทุกข์มาให้แก่ตนและรังเกียจสิ่งที่นำความสงบสุขมาให้แก่ตน

    การพนัน สุรา บุหรี่ ยาเสพติด
    ความจริงเป็นสิ่งที่นำความหายนะมาให้แก่ตนเองและสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนรอบข้าง แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่แลเห็นว่า สิ่งเหล่านี้คือความสุขสุดยอดในชีวิต อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่ากลับตาลปัตรแล้วสมควรจะให้เรียกว่าอะไร ?


    ความขยันหมั่นเพียรในการทำงานและการศึกษาเล่าเรียนเป็นสิ่งที่นำความสำเร็จมาให้แก่ชีวิตในอนาคต แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่รังเกียจการทำงานหนักและการขยันเรียนนี่ก็เป็นสิ่งที่กลับตาลปัตรมิใช่หรือ? โอ ทำไมโลกนี้จึงมีสิ่งกลับตาลปัตรมากมายเหลือเกิน


    นี่เพราะไม่มี ปัญญาที่แท้จริง จึงทำให้มนุษย์จำนวนมากยังต้องจมปลักอยู่กับความทุกข์ต่างๆ นานาท่ามกลางสิ่งกลับตาลปัตรเหล่านี้



    (7) เพราะฉะนั้นจึงควรรู้ไว้ว่า ปัญญาบารมี (โคะจิฮันเนียะฮะระมิตตะ) เป็นมนตราอันยิ่งใหญ่ (เซะไดยินชุ) เป็นมนตราแห่งปัญญาอันยิ่งใหญ่ (เซะไดเมียวชุ) เป็นมนตราสูงสุด (เซะมุโยชุ) และเป็นมนตราที่ไร้เทียมทาน (เซะมุโตโดชุ) ซึ่งสามารถช่วยให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง (โนโยะอิสไซคุ) มนตรานี้เป็นของจริงแท้ไม่ปลอม (ชินยิทสุฟุโคะ)
    ขยายความ คัมภีร์เล่มเล็กนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงพระสูตรธรรมดาเท่านั้นแต่ยังเป็น มหามนตรา ที่มีความขลังและมีพลังศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ตรงนี้แหละที่เป็นความล้ำลึกอีกประการหนึ่งของคัมภีร์วิเศษเล่มนี้


    พลัง ของมนตราหรือธารณีหรือคาถาอาคมนั้นมิได้อยู่ที่ความหมายของมันเท่ากับอยู่ ที่เสียงของมัน ตามหลักวิชา Cymatics อันเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบที่คลื่นเสียงมีต่อมวลวัตถุ ได้ ค้นพบว่าคลื่นสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการจัดระเบียบของมวลสารวัตถุ ได้ การทดลองที่พิสูจน์ถึงความจริงในข้อนี้ก็คือ การเอาแผ่นโลหะบางๆมาติดบนไวโอลินแล้วโรยทรายบนแผ่นโลหะบางๆนั้น ครั้นเมื่อทำการดีดสายไวโอลิน ทรายที่อยู่บนแผ่นโลหะก็จะเรียงตัวใหม่เป็นรูปลักษณ์ต่างๆนานาตามขนาดของ ความสั่นของคลื่นเสียงที่ดีดไป


    ถ้าประยุกต์หลักวิชาอันนี้มาใช้กับการฝึกท่องมนตราก็จะ อธิบายได้ว่าการฝึกท่องมนตราบทใดบทหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้เกิดความสั่นไปยัง ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในสมองอันเป็นที่ตั้งของจักร 6 กับ จักร 7 ตามหลักวิชาโยคะ ก็น่าที่จะสามารถกระตุ้นจักรทั้ง 2 นี้ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้



    (8) จึงขอถ่ายทอดมนตราแห่งปัญญาบารมี (โคะเซ็ทสุดฮันเนียะฮะรธมิตตะชุ) ไว้ที่นี่ดังต่อไปนี้
    (โซคุเซ็ทสุชุวะสุ)
    "กะเต กะเต พารากะเต"
    พาราสังกะเต โพธิสวาหะ"
    (เกียะเท เกียะเท ฮะระเกียะเท ฮะระโซเกียะเทโบยิโสะวะคะ)
    จบคัมภีร์ ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร (ฮันเนียะชินเกียว)

    ขยายความ มนตราท้ายคัมภีร์เล่มนี้ เป็นภาษาสันสกฤตที่มีใจความดังต่อไปนี้
    "ผู้ไปแล้ว (กะเต) ผู้ไปแล้ว (กะเต)
    ผู้ไปฝั่งนั้นแล้ว (พารากะเต)
    ผู้ไปฝั่งนั้นหมดแล้ว (พาราสังกะเต)
    ผู้ตรัสรู้แล้ว (โพธิ)
    จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด (สวาหะ)"


    ผู้แสวงหาความหลุดพ้นทั้งหลาย พวกท่านจะต้องรู้ถึงสัจธรรมแห่ง ปัญญาบารมี ในคัมภีร์วิเศษเล่มนี้ให้จงได้ เพราะสัจธรรมอันนี้เป็นยอดของยอดแห่งปัญญาที่จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง พลังของมันนั้นมีมากเกินหยั่งคาด มันเป็นสัจธรรมท่ามกลางสัจธรรมทั้งหลาย และเพราะมันเป็นสัจธรรมมันจึงคงทนไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยู่ในโลกใดยุคใด


    ผู้แสวงธรรมทั้งหลายเอ๋ย ขอพวกท่านจงจำคำพูดต่อไปนี้ให้ดีและจงท่องให้ขึ้นใจว่า "ข้าฯ จะนำสัจธรรมแห่ง สุญตา ติดตัวข้าฯ ไปตลอดการเดินบนทางของข้าฯ ข้าฯจะมุ่งเดินต่อไป เดินต่อไป ภายใต้การดูแลของพระมหาโพธิสัตว์เจ้า (พระอวโลกิเตศวร) จนกว่าข้าฯ จะไปถึงฝั่งฟากโน้นในวันใดวันหนึ่ง"



    *************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2010
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สิ่งที่ไม่ตาย ไม่สูญสลาย คงอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ ****

    พระพุทธองค์...กล่าวว่า
    " ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน "

    ประโยคนี้...เพียงประโยคเดียว....ครอบคลุมทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ทั่วทั้งจักรวาล
    เพราะ....ประโยคนี้ คือ "หลักเดียวที่สูงสุด" ... ปักไว้มั่นคง นิ่ง ไม่กระดุกกระดิก
    นั่นคือ... "หลักสัจจะธรรม"
    สิ่งที่มนุษย์มุ่งค้นหากัน
    ซึ่ง พระพุทธเจ้าค้นพบมานานแล้ว ... แต่เมื่อถึงยุคปัจจุบัน กลับสูญหายไป
    ไม่มีผู้ใดอธิบายได้ว่า "หลักสัจจะธรรม" คือ อะไร หมายถึงอะไร

    ดังนั้น...ผลจากการกระทำ ที่เกิดขึ้นจาก "สัจจะ"...จึงเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ประมาณค่ามิได้ !!!
    ผลที่เกิดขึ้น คือ "ตัวกระทำ"....ที่จะติดตัวไปกับจิตวิญญาณของเรา ตลอดไป
    และ นี้คือ หนทางเดียวเท่านั้น...ที่จะช่วยให้ มนุษย์สามารถเดินทางหลุดพ้นจากความทุกข์ ...เพื่อไปพบกับพระผู้เป็นเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในจักรวาลได้

    อย่า...มัวหลงการปฏิบัติที่ขัดกับ "หลักสัจจะธรรม" อยู่อีกเลย
    เวลา...ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดได้
    วันนี้...และวันต่อๆ ไป...ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท
    ดำเนินชีวิตด้วย "สัจจะ"....กำหนดสิ่งที่ดี ตั้งใจทำ วันละข้อ วันละหนึ่งชั่วโมง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** มนุษย์ ที่ ต่างดาว ****

    สมมุติ...
    น้ำกำลังจะท่วมโลก หรือ โลกกำลังวิบัติ
    เพราะ ผลการกระทำของมนุษย์ด้วยกัน
    แล้วพวกท่านมีกำลัง พอจะหนีอพยพผู้คนไปอยู่ดาวดวงอื่น
    พอนานไๆป เมื่อลูกหลานท่านกลับมาที่โลกใบนี้
    มนุษย์บนโลกนี้ ก็มีเทคโนโลยีน้อยกว่าพวกท่าน
    ก็จะเห็นพวกท่าน มีหน้าต่างรูปร่างแปลกประหลาด
    เรียกว่า เป็นพวกต่างดาว มนุษย์ต่างดาว

    ถามว่า...ที่สมมตินี้ เป็นไปได้ไหม !!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. วิถีคนจร

    วิถีคนจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +226
    "ตัวกระทำ"....ที่จะติดตัวไปกับจิตวิญญาณของเรา ตลอดไป
    และ นี้คือ หนทางเดียวเท่านั้น...ที่จะช่วยให้ มนุษย์สามารถเดินทางหลุดพ้นจากความทุกข์ ...เพื่อไปพบกับพระผู้เป็นเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในจักรวาลได้



    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->[/QUOTE]

    -เหตุใดพ้นทุกข์ จึงไปเจอผู้เป็นเจ้า ขอคำชี้แนะด้วยครับ
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สูงสุดในจักรวาล ****

    ก็คือ โลกุตตระ
    เรื่องภาษา...โลกหลายยุค หลายสมัย ก็มีคำเรียกมากมาย
    อย่างในอังกฤษโบราณ เขาเรียก Highman

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ท่านกบสามตัว
    ท่านเอามาจากไหน อจิณไตยวิมุตติ ผมว่าไม่น่าจะใช่ ผมขอความหมายหน่อยครับ อย่าชีเรีสครับ เห็นคำแปลกดี ขอความหมายด้วย
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ตัวกระทำ กับคำว่า...พระเจ้า ****

    พระเจ้าทำ(ตัวกระทำ)... คือ เจ้าทำ เจ้าทำมาแล้ว
    พระเจ้า(ตัวกระทำ).... คือ ความจริงที่เจ้าทำมาแล้ว
    ถ้าเจ้าโกหก ... พระเจ้า(ตัวกระทำ)ของเจ้าก็โกหก เพราะความจริงคือเจ้าโกหก
    ถ้าเจ้าฆ่าคน ....พระเจ้า(ตัวกระทำ)ของเจ้าก็ฆ่าคน เพราะความจริงคือเจ้าฆ่าคน แล้วพระเจ้า(ตัวกระทำ)ก็มาลงโทษฆ่าเจ้า

    ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน
    เป็นสัจจะธรรม ความจริงที่ไม่ตาย

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    หัวใจพระยูไล

    ตถาคตอจินไตยวิมุตติธรรมธารณีสูตร (หัวใจพระยูไล)


    พระยูไล นั้นเราคนไทย มักจะเจอบ่อยๆในหนังจีนเช่น ฝ่ามือยูไล ในไซอิ๋ว ตอนที่ เห้งเจีย (หงอคง)ถูกฝ่ามือยูไลทำให้ต้องถูกขังเป็นเวลาหลายร้อยปีแต่บางคนยังไม่เข้า ใจว่า พระยูไลคือใคร มีความสัมพันธ์อย่างไรกับชาวพุทธภาษาจีนแปลคำว่า ตถาคต ว่า ยูหลายตามรูปศัพท์ แปลว่า ผู้มาแล้วอย่างนั้นคนไทยรู้จักในสำเนียงว่า ยูไลพระยูไล เป็นชื่อเรียกพระพุทธเจ้าองค์ ในศาสนาพุทธนิกายมหายานคำว่า"ยูไล" หรือบางทีในหนังสือมนต์พิมพ์คำอ่านว่า"ยีไล"จะใช้ต่อท้ายพระนามของพระ พุทธเจ้าโดยทั่วๆไปไม่ได้หมายความเจาะจงว่า พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งที่มีพระนามเฉพาะว่า ยูหลาย หรือ ยูไล และ ยีไล...ตัวอย่างเช่น...นำมอตอเปายีไลนำมอเปาเซงยีไลนำมอเมียวเสกเซงยีไลนำมอ กวงผักเซงยีไลนำมอลีปูไวยีไลนำมอกำโลววังยีไลนำมอออมีทอยีไล(นำมอ = นโม)สรุป พระยูไล คือ พระพุทธเจ้าแต่เป็นพระองค์ไหนนั้น ต้องมีชื่อตาม หรือนำแต่ถ้าไม่มี ก็จะเหมาว่าเป็น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือ พระมหาสมณะโคดม หรือ พระศรีศากยมุนีโคตมะ

    ภาษาจีนแปลคำว่า ตถาคต ว่า ยูหลาย
    ตามรูปศัพท์ แปลว่า ผู้มาแล้วอย่างนั้น
    คนไทยรู้จักในสำเนียงว่า ยูไล

    พระยูไล เป็นชื่อเรียกพระพุทธเจ้าองค์ ในศาสนาพุทธนิกายมหายาน
    คำว่า"ยูไล" หรือบางทีในหนังสือมนต์พิมพ์คำอ่านว่า"ยีไล"
    จะใช้ต่อท้ายพระนามของพระพุทธเจ้าโดยทั่วๆไป
    ไม่ได้หมายความเจาะจงว่า พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งที่มีพระนามเฉพาะว่า ยูหลาย หรือ ยูไล และ ยีไล...
    ตัวอย่างเช่น...

    นำมอตอเปายีไล
    นำมอเปาเซงยีไล
    นำมอเมียวเสกเซงยีไล
    นำมอกวงผักเซงยีไล
    นำมอลีปูไวยีไล
    นำมอกำโลววังยีไล
    นำมอออมีทอยีไล
    (นำมอ = นโม)


    ตถาคต พระนามอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกหรือตรัสถึงพระองค์เอง แปลได้ความหมาย ๘ อย่าง คือ
    ๑. พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น คือ เสด็จมาทรงบำเพ็ญพุทธจริยา เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เป็นต้น เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ อย่างไรก็อย่างนั้น
    ๒. พระผู้เสด็จไปแล้วอย่างนั้น คือทรงทำลายอวิชชา สละปวงกิเลส เสด็จไป เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ อย่างไรก็อย่างนั้น
    ๓. พระผู้เสด็จมาถึงตถลักษณะ คือ ทรงมีพระญาณหยั่งรู้เข้าถึงลักษณะที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายหรือของธรรมทุกอย่าง
    ๔. พระผู้ตรัสรู้ตถธรรมตามที่มันเป็น คือ ตรัสรู้อริยสัจ ๔ หรือปฏิจจสมุปบาทอันเป็นธรรมที่จริงแท้แน่นอน
    ๕. พระผู้ทรงเห็นอย่างนั้น คือ ทรงรู้เท่าทันสรรพอารมณ์ที่ปรากฏแก่หมู่สัตว์ทั้งเทพและมนุษย์ ซึ่งสัตวโลกตลอดถึงเทพถึงพรหมได้ประสบและพากันแสวงหา ทรงเข้าใจสภาพที่แท้จริง
    ๖. พระผู้ตรัสอย่างนั้น (หรือมีพระวาจาที่แท้จริง) คือ พระดำรัสทั้งปวงนับแต่ตรัสรู้จนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ล้วนเป็นสิ่งแท้จริงถูกต้อง ไม่เป็นอย่างอื่น
    ๗. พระผู้ทำอย่างนั้น คือ ตรัสอย่างใดทำอย่างนั้น ทำอย่างใด ตรัสอย่างนั้น
    ๘. พระผู้เป็นเจ้า (อภิภู) คือ ทรงเป็นผู้ใหญ่ยิ่งเหนือกว่าสรรพสัตว์ตลอดถึงพระพรหมที่สูงสุด เป็นผู้เห็นถ่องแท้ ทรงอำนาจ เป็นราชาที่พระราชาทรงบูชา เป็นเทพแห่งเทพ เป็นอินทร์เหนือพระอินทร์ เป็นพรหมเหนือประดาพรหม ไม่มีใครจะอาจวัดหรือจะทัดเทียมพระองค์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ

    ************​
     
  14. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    บทขยายความนำมาให้อ่าน..

    ตถาคตอจินไตยวิมุตติธรรมธารณีสูตร (หัวใจพระยูไล)


    ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.............

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ บริเวณสระรัตนประภา ในสวนนิรมลแคว้นมคธชนบท พร้อมกับปวงมหาโพธิสัตว์ มหาชนผู้ได้รับจักษุจากการสดับพระธรรม เหล่าเทพธรรมบาล มังกร ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรค มนุษย์ อมนุษย์ ทั้งหลายเป็นต้น มากมายไม่สามารถประมาณได้ ซึ่งห้อมล้อมล้อมอยู่ทั้งหน้าหลัง

    ณ เวลานั้น ท่ามกลางฝูงชน มีมหาพราหมณ์นามว่า วิมลวรประภาส ซึ่งเป็นพหสูตร มีสติปัญญาหลักแหลม และมีสุนทรียภาพ โดยปกติจะถือปฏิบัติซึ่งบุญกุศล 10 ประการ และได้หันมานับถือพระรัตนตรัย เป็นผู้มีจิตใจดีงามหนักแน่นสมบูรณ์ มีสติปัญญาละเอียดรอบคอบ มีความปรารถนาอยู่เสมอ ที่จะให้สรรสัตว์ได้รับอานิสงส์แห่งความดีอันครบถ้วนเต็มสมบูรณ์ ได้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี

    ในเวลานั้นท่านพรามหณ์ได้ลุกจากที่นั่งเดินไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ 7 รอบ ถวายเครื่องหอมนา ๆ ชนิด อาภรณ์อันสวยงามหาค่ามิได้ พร้อมสร้อยสังวาล มุก อันมีค่าเพื่อทรงสวมใส่ แล้วถวายนมัสการ เท้าทั้ง 2 ขยับถอยหลังหยุดนิ่งรออยู่ ณ ด้านหนึ่ง เอ่ยวาจานิมนต์ พระผู้มีพระภาค และคณะสงฆ์ในวันพรุ่ง เวลาเช้า ขอเชิญเสด็จมารับบิณฑบาตที่บ้าน ณ เวลานั้นพระผู้มีพระภาคได้รับนิมนต์ด้วยอาการสงบ

    เมื่อท่านพราหมณ์รู้ว่าพระผู้มีพระภาครับนิมนต์แล้วได้รีบเดินทางกลับบ้าน ในคืนนั้นท่านได้จัดเตรียมอาหารเลิศรสมากมาย ทำความสะอาดบ้านช่องศาลา ประดับประดาธงทิวและร่มฉัตร ถึงพรุ่งนี้เช้า ท่านพราหมณ์พร้อมข้าทาสบริวาร ก็ได้จัดเตรียมเครื่องหอมนาๆชนิด และคณะดนตรีมโหรี เดินทางไปยังที่พำนักของพระผู้มีพระภาค กล่าวอาราธนาว่า....... “ถึงเวลาแล้ว ขอนิมนต์เสด็จพระเจ้าข้า” ในเวลานั้นพระผู้มีพระภาคได้ตรัสด้วยพระสุรเสียงอันอ่อนโยน ปลอบโยนให้กำลังใจแด่พราหมณ์ แล้วประกาศแด่เหล่า ภิกษุทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายสมควรที่จะไปรับบิณฑบาตยังเคหะสถานท่านพราหมณ์ เพื่อให้ชนทั้งหลายได้รับมหาอานิสงส์” เมื่อนั้นพระผู้มีพระภาคได้ลุกจากที่ประทับ ขณะที่พระองค์ได้ลุกขึ้นจากที่ประทับแล้ว ได้ปรากฎแสงโอภาสนา ๆชนิดออกจากพระวรกาย แสงสว่างวิจิตรเจิดจ้าไปทั่วทั้ง10 ทิศ นิมิตหมายนี้เหมือนจะนำมาซึ่งการแสดงธรรมบางประการ
    ในขณะนั้นพราหมณ์ก็ได้ถวายเครื่องหอม อันวิเศษด้วยใจศรัทธา ท่านพราหมณ์พร้อมด้วยข้าทาสบริวาร เทพธรรมบาล มังกร และอื่น ๆ รวม 8 เหล่า พระอินทร์ พระพรหม ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ได้เดินนำทางดูแลปัดกวาดเส้นทางเสด็จ เวลานั้นพระผู้มีพระภาคได้เสด็จดำเนินไปยังสถูปนั้น

    <center>
    ทันใดนั้นได้ปรากฏแสงมีรัศมีอันเจิดจ้าออกมาจากองค์สถูป ปรากฏเสียงสรรเสริญยกย่อง พระผู้มีพระภาคอกมาจากกองดินนั้นว่า “ สาธุ สาธุ ท่านศากยมุนี ............ในวันนี้พระพุทธองค์จักได้แสดงถึง ขอบเขตของบุญกุศลอันสูงสุด และท่านพราหมณ์ ในวันนี้พระพุทธองค์จักได้รับซึ่งมหาอานิสงส์”
    </center>
    ในเวลานั้นพระผู้มีพระภาคได้แสดงคาราวะแด่ซากเจดีย์สถูปนั้นโดยกระทำประทักษิณ 3 รอบ พระองค์ได้เปลื้องจีวรจากพระวรกายเพื่อห่มบนองค์สถูปนั้นแล้วพระองค์ทรงพระกันแสงน้ำมูกน้ำตาไหลร้องไห้ฟูมฟาย เมื่อหยุดกันแสงแล้วพระองค์ทรงพระกำสรวล ในขณะนั้นพระพุทธเจ้าทั้ง 10 ทิศ ที่ทอดพระเนตรอยู่ล้วนหลั่งพระสุชน และทรงฉายแสงมายังพระสถูป ทำให้มหาชนทั้งหลาย ต้องตกใจ ใบหน้าเปลี่ยนสี ต่างอยากรู้ถึงปริศนานี้

    ในขณะนั้นท่านวัชรหัตถ์โพธิสัตว์ (สมันตภัทรโพธิสัตว์) เป็นต้น ล้วนหลั่งพระสุชน ท่านมีรัศมีแสงอันแรงกล้า พระหัตถ์ถือพระคฑาหมุนอยู่ ท่านได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลเรียนถามถึงเหตุและผลที่ปรากฏรัศมีแสงเช่นนี้
    <center>
    “เหตุไฉนพระผู้มีพระภาคจึงกันแสงเช่นนี้
    และเหตุไฉนเหล่าพุทธทั้ง 10 ทิศ
    จึงทรงฉายพระแสงอันยิ่งใหญ่มาปรากฏเบื้องหน้าเช่นนี้
    ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้โปรด
    ไขข้อสงสัยของข้าพระพุทธเจ้า
    ต่อเบื้องหน้ามหาชน ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เทอญ”
    </center>
    ในเวลานั้นท่านสมเด็จพระภาคเจ้าได้ตรัสแด่ท่านวัชรหัตถ์ว่า

    “อันรัตนสถูปนี้ทุกส่วนล้วนสำเร็จขึ้นมาจาก
    พระบรมสารีริกธาตุขององค์พระพุทธเจ้า
    อันพระหฤทัยธารณี ลัญจกรลับ
    พระธรรมที่สำคัญต่าง ๆของพระพุทธเจ้า
    นับอสงไขยกัลป์ไม่ถ้วน ล้วนอยู่ในรัตนสถูปนี้

    ท่านวัชรหัตถ์....... ในเมื่อสิ่งสำคัญต่างๆนี้ล้วนอยู่ภายในสถูป แต่สถูปกลับกลายสภาพผุพังทับถมกันเป็นชั้นๆ รกปกคลุม ไม่มีใครเหลียวแล ดั่งเมล็ดงาเรี่ยราดกระจักระจาย พระวรกายของพระพุทธเจ้าร้อยนับอสงไขยกัลป์ก็มีสภาพดุจเมล็ดงานั้น พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าร้อยนับอสงไขยกัลป์ ล้วนมาประชุมกันที่นี่ แล้วยังมีแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ก็อยู่ภายในสถูป

    พระจุกเนื้อของพระพุทธเจ้าเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นอสงไขยกัลป์ก็อยู่ภายใน เป็นเรื่องมงคลอย่างยิ่งที่ทุกสถานที่ที่มีสถูปอยู่ล้วนมีมหาเทพทรงฤทธิ์เดชดูแลรักษา สามารถดลบันดาลให้มงคลพิธีต่าง ๆ ในโลกนี้ สำเร็จสมบูรณ์”

    ในขณะนั้นมหาชนทั้งหลายเมื่อได้สดับพระพุทธวจนะแล้ว บังเกิดดวงตาเห็นธรรม ใจห่างไกลจากกิเลส สิ่งแปดเปื้อน หมดสิ้นความทุกข์กังวล มหาชนในขณะนั้น ได้รับอานิสงส์แตกต่างกันตามบุญบารมี แยกเป็นผู้ที่ได้โสดาปัตติผลสกิทาคามีผล อนาคามีผล อรหันต์ผล ตรัสรู้ได้สำเร็จพุทธธรรม และโพธิสัตว์ธรรม มีมหาปัญญาอันสมบูรณ์ไพศาล โดยไม่มีถอยกลับ ซึ่งแต่ละท่านก็จะได้คุณธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง บ้างได้ประจักษ์แจ้งแล้วถึงภูมิจิต ภูมิธรรมบ้างก็ได้ถึงความสมบูรณ์เต็มเปี่ยมด้วยปรมัตถ์ธรรมทั้ง 6 ส่วนท่านพราหมณ์ได้ ซึ่งจิตอันบริสุทธิ์ห่างไกลสิ่งแปดเปื้อน ถึงความเป็นทิพย์ 5 ประการ

    ในเวลานั้น ท่านวัชรหัตถ์ ได้เห็นถึงเรื่องราวอันแปลกประหลาด มหัศจรรย์อันปรากฏได้ยากเช่นนี้ จึงทูลกับพระผู้มีพระภาคว่า

    " เรื่องนี้ช่างวิเศษมหัศจรรย์เหลือหลาย เพียงแต่การ
    ได้สดับเรื่องราวนี้ ยังได้รับอานิสงส์อันเลิศเช่นนี้ ถ้าได้สดับ
    แล้วจิตใจบังเกิดความซาบซึ้งศรัทธาเล่าจักพึงได้อานิสงส์
    เช่นไร "

    พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า

    “ท่านวัชรหัตถ์เอ๋ย จงตั้งใจฟังให้ดี ถ้าหากในอนาคตกาลมีกุลบุตร กุลธิดา และพุทธบริษัท 4 เป็นต้น แสดงความศรัทธาจารึกคัมภีร์นี้เป็นหนังสือ ซึ่งได้พิจารนาถึงคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นอสงไขยกัลป์ ก็จะเหมือนดั่งว่าท่านได้ปลูกรากแก้วแห่งบุญกุศลอันยาวนาน

    ต่อเบื้องพระพักต์ของพระพุทธเจ้าเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นอสงไขยกัลป์ก็เป็นนัยว่า ปวงพระพุทธเจ้าทั้งหมดจะทรงทอดพระเนตรแห่งความรักและเมตตา มาคุ้มครอง ปกป้องรักษาท่านเหมือนดั่งมารดาผู้มากเมตตารักใคร่ดูแลปกป้องลูกน้อย ฉะนั้น หากบุคคลใดได้ท่องอ่านพระคัมภีร์นี้ ก็เหมือนดั่งได้ท่องอ่านคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้ง 3กาล”

    ถ้าเป็นดังนี้ปวงพระพุทธเจ้าทั้งเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นอสงไขยกัลป์ ก็จะทรงประทานความรู้แจ้งให้โดยทั่วถึงและเสมอภาค อันซากสถูปนี้ตั้งอยู่ริมทางรกทึบ ปรักหักพังดุจดั่ง เมล็ดงาซ้อนทับกันไปมาเป็นชั้น ๆ ทุกวันคืนจะปรากฏพระวรกายมาส่งเสริมค้ำจุนช่วยเหลือบุคคลนั้น

    ดังนี้แล ปวงพระพุทธเจ้าอันมากมายไม่มีประมาณ จักมาชุมนุมอยู่เบื้องหน้าสถูปนี้ และตามมาอีกเป็นระลอก ๆ ในบัดเดี๋ยวก็ต้องค่อย ๆ เคลื่อนขบวนหมุนเวียนไปและยิ่งมากันอีกมากมาย ดุจดั่งเม็ดทรายอันละเอียดอยู่ในน้ำวนอันเชี่ยวกราด ไม่สามารถที่จะหยุดนิ่งได้ จำต้องหมุนเวียนเคลื่อนที่ไปมา

    หากมีบุคคลใดถวายบูชาด้วยน้ำหอม ดอกมะลิหอม สิ่งของอันวิจิตรสวยงามบูชาคัมภีร์นี้ ก็จะได้สำเร็จเสมือนหนึ่งได้บูชาเบื้องพระพักต์พระพุทธเจ้าทั้งสิบทิศ เก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นอสงไขยกัลป์ ถ้าจะถวายบูชาสิ้นซึ่งเครื่องหอม อาภรณ์วิจิตร สิ่งของอันสวยงามล้ำค่า ประกอบสำเร็จจากรัตนะชาติ 7 ประการ ซึ่งเป็นของทิพย์จากสวรรค์ มีปริมาณมากมายสูงเทียมเขาพระสุเมร เพื่อปลูกเพาะรากแก้วแห่งบุญกุศลแล้ว ก็จักได้อานิสงส์ดีวิเศษมากมายกลับมาเช่นกัน

    ในขณะนั้นเหล่าเทพธรรมบาล มังกร และอื่น ๆ รวม 8 เหล่า มนุษย์ อมนุษย์ ทั้งหลายเป็นต้นได้สดับพระวาจาจบ ต่างรู้สึกแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า........
    <center>
    “แปลกประหลาดจริงหนอ กองดินที่ผุพังทับถมกันนั้น
    ช่างมีเดชานุภาพและคุณธรรมยิ่งใหญ่เช่นนี้
    ด้วยพุทธานุภาพส่งเสริมคุ้มครองรักษา จึงปรากฏอภินิหาร”

    ท่านวัชรหัตถ์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยเหตุผลอันใดฤา
    สถูปอันประกอบด้วยรัตนะชาติทั้ง 7 ประการ
    บัดนี้กลับกลายเป็นกองดิน”
    </center>

    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเอ่ยกับท่านวัชรหัตถ์ว่า

    “สถานที่นี้มิได้เป็นกองดินแต่เป็นมหารัตนสถูปอัน

    วิไลเลิศแท้ เนื่องด้วยสรรพสัตว์มีผลกรรมอันชั่วช้า
    ดังนั้นสถูปจึงซ่อนเร้นไม่ปรากฏ ถึงแม้สถูปจะซ่อนเร้นไม่
    ปรากฏ ก็มิใช่ว่าพระวรกายของปวงพระพุทธเจ้าจะเสื่อมลงได้

    เคยมีไหมสถานที่ซึ่งมีกายของวัชรพุทธะอยู่จะสามารถทำลายลงได้ ในกาลหลังจากที่พระตถาคตปรินิพพานแล้วเมื่อถึงกาลคับขันกลียุค ถ้าสรรพสัตว์ใดศึกษาปฏิบัติซึ่งอธรรมแล้วจะตกนรก ผู้คนจะไม่เชื่อพระรัตนตรัย ไม่บำเพ็ญบุญกุศลด้วยเหตุนี้พุทธธรรมจักไม่ถูกเผยแพร่ ถึงกระนั้นสถูปก็ยังแข็งแรงมั่นคง ไม่สูญสลายไปด้วยพุทธานุภาพของปวงพระพุทธเจ้า สรรพสัตว์ที่ไร้ปัญญา สงสัยในคำสอน ปกปิดซ่อนเร้น คำสอน ละเลย ทำลาย รัตนะอันมีค่ายิ่งไม่รู้จักนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์”

    ด้วยเหตุนี้ ตถาคตจึงได้หลั่งน้ำพระสุชนด้วยทั้งสิ้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้กลับมาตรัสแด่ทางวัชรหัตถ์อีกว่า

    “หากมีสรรพสัตว์ใด จารึกคัมภีร์นี้ไว้ภายใน
    สถูปแล้วไซร้ อันสถูปนั้นก็จะกลายเป็นที่ซ้อนอาศัยของปวง
    วัชระพุทธะ และก็คือ พระธรรมคำสอนของปวงพระพุทธเจ้า
    พระหฤทัยอันมหัศจรรย์ล้ำลึกของปวงพระพุทธเจ้า สถูปหรือก็
    คือเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นอสงไขยกัลป์พระพุทธเจ้า สถูปหรือ
    ก็คือที่บรรจุพระจุกเนื้อ พระเนตรของปวงพระพุทธเจ้าและสถูป
    นี้จะถูกปกป้องดูแลรักษาด้วยพุทธานุภาพของ
    ปวงพระพุทธเจ้า

    หากเก็บรักษาคัมภีร์นี้ไว้ในพระฉายหรือสถูปแล้วไซร้ พระฉายนั้นจักสำเร็จด้วยรัตนะชาติ 7 ประการ จักรู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ อันความปรารถนาต่าง ๆ ได้สำเร็จทุกประการ อันสถูปนี้จักมีร่มฉัตร ชาลมาลา เสาค้ำกางกั้นน้ำค้าง จะมีระฆังใหญ่น้อย เสาหลัก หินฐานราก สร้างเป็นขั้น ๆทำได้ทั้งนั้นตามกำลังความสามารถ หรือจะสร้างด้วยดิน ด้วยไม้ ด้วยหิน ด้วยอิฐ ด้วยอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์ย่อมสำเร็จเป็นรัตนะ 7 สถูปด้วยคัมภีร์นี้ปวงพระพุทธเจ้าจะเพิ่มเติมความศักดิ์สิทธิ์ แด่สถูปนี้ด้วยความศรัทธา ด้วยสัจจะวาจานี้จะดูแลช่วยเหลือตลอดไป

    หากมีบุคคลใดมีจิตศรัทธาถวายเครื่องหอมนอบน้อมบูชาองค์สถูปนี้ อันบาปกุศลหนักซึ่งได้เคยทำมาในอดีต แปดพันล้านอสงไขยกัลป์จะสิ้นสุดในทันที เมื่อได้เกิดก็จะพ้นจากภัยพิบัติอันตรายทั้งปวง เมื่อตายลงไปก็จะได้ไปอยู่กับพระพุทธองค์ ถ้ามีเหตุอันต้องตกไปในนรกอเวจีมหานรกให้กราบไหว้บูชา หรือทำการประทักษิณสถูปนี้ ประตูนรกในด้านต่าง ๆ ก็จะเปิดให้ไปสู่เส้นทางแห่งพุทธะ

    สถานที่ใดที่ยังมีสถูปหรือโครงร่างสถูปอยู่ ปวงพระพุทธเจ้า จะแสดงพุทธานุภาพปกปักรักษา สถานที่นั้นจักไม่มีอันตรายด้วยลมพายุและฟ้าผ่าเปรี้ยงป้าง บุคคลจักไม่ถูกทำร้ายจากงูพิษ แมลง หนอนพิษ และสัตว์มีพิษต่าง ๆ ไม่ถูกทำร้ายจากสิงโต ช้างเกเร เสือ สุนัขป่า ผึ้ง และแมลงป่อง แมลงมีพิษต่าง ๆ ทั้งยังไม่เป็นที่พักอาศัยของยักษ์ ภูตต่าง ๆ ทั้งยังสามารถกำบังปิดกั้น ความหวาดกลัวจน เสียสติจากภูตผีปีศาจต่าง ๆ ทั้งยังป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บไข้ อันเนื่องจากความร้อนและความหนาวเย็น ไม่เป็นโรคเรื้อนมีแผลเปื่อยเน่า หลังโกง ฝีฝักบัว ฝีหนอง หูด หิด ขี้ทูตกุดถัง และโรคติดต่อต่างๆ


    หากบุคคลใดได้พบเห็นสถูปเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็สามารถกำจัดภัยพิบัติทุกข์ร้อนได้ ไม่ว่าบุคคล สัตว์เลี้ยง บุตร ธิดา จักไม่เป็นซึ่งกาฬโรค จักไม่ตายโหงตายห่า อายุสั้น ไม่เป็นอันตรายจากศัตราวุธ น้ำ ไฟ ไม่ถูกประทุษร้ายจากโจรภัย ผู้มาดร้ายพยาบาท ไม่ต้องวิตกกังวลถึงความข้นแค้นอดอยาก ความเกลียดชังคำสาปแช่งต่าง ๆ จักไม่เป็นผล

    ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 และบริวารของท่านจักช่วยรักษาดูแลทั้งวันคืน แม่ทัพยักษาทั้ง 28 เหล่า ดวงสุริยัน ดวงจันทรา ดาวเคราะห์ทั้ง 5 หมู่เมฆมงคล ดาวหางจะคอยช่วยเหลือ ปวงมังกร ราชา จะเพิ่มความเอาใจใส่ให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ปวงเทพธรรมบาลและปวงเทพในชั้นยามา จะลงมาเพื่อถวายสักการะบูชาวันละ 3 เวลา เทวดาทุกหมู่เหล่าจะมาชุมนุมกันวันละ 3 เวลา เพื่อสรรเสริญเดินเวียนรอบคาระวะกราบไหว้ ชื่นชมและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ท่าน ท้าวสักกะเทวราช พร้อมทั้งนางฟ้าทั้งหลายจักเสด็จมาถวาย เครื่องสักการะบูชาทั้งวันทั้งคืน วันละ 3 เวลา ณ สถานที่นี้ก็ คือสถานที่ซึ่งปวงพระพุทธเจ้า ได้ประทานความเมตตาระลึกถึง และดูแลปกป้องส่งเสริม ด้วยเหตุได้รับพระธรรมคัมภีร์ไว้ในสถูปจึงได้เป็นเช่นนี้

    หากบุคคลใดทำการก่อสร้างสถูปด้วยดิน หิน ไม้ ทอง เงิน ทองเหลือง ตะกั่วแล้วบรรจุคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ภายใน ขอเพียงพึ่งบรรจุเสร็จเรียบร้อย สถูปนั้นย่อมเสมือนสำเร็จด้วยสัตตะรัตนะ ไม่ว่าจะเป็นส่วนบน ส่วนล่าง ขั้นบันได ร่มฉัตรที่กางกั้นน้ำค้าง ระฆังน้อยใหญ่ เสาใหญ่ ล้วนสำเร็จด้วยสัตตรัตนะที่แท้จริง รอบสถูปทั้ง 4 ทิศจะปรากฏพระฉาย เนื่องด้วยความสำคัญยิ่งใหญ่ ของพระธรรมปวงพระพุทธเจ้าจะทรงประทับมั่นคง ดูแลปกป้องทั้งวันคืนไม่หลีกลี้ อันสัตตะรัตนะ สถูปนี้ ทั้งองค์ประกอบขึ้นด้วยพระบรมสารีริกธาตุ บรรจุด้วยรัตนะอันวิเศษ เสริมด้วยอิทธิพลังจากคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ จึงได้สูงส่งเชิดชูสูงเทียมสวรรค์ชั้น อกนิษฐา สถานที่ ๆ สถูป ตั้งตระหง่านอยู่ ปวงเทพธรรมบาล จะมาชื่นชมดูแลปกป้อง และถวายสักการะบูชาทุกเช้าค่ำ”

    ท่านวัชรหัตถ์ทูลถามว่า
    <center>
    “เนื่องด้วยเหตุผลใดฤา
    พระธรรมนี้จึงมีอานิสงส์วิเศษเป็นเลิศเช่นนี้”
    </center>

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
    <center>
    ก็ดั่งที่รู้แล้วว่ารัตนะสถูปนี้
    มีจารึกพระธารณีที่ทรง พลานุภาพอันยิ่งใหญ่”

    </center>
    ท่านวัชรหัตถ์ทูลว่า

    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอโปรดเมตตาสงสารเหล่าข้าพระ
    พุทธเจ้า โปรดได้สาธยายพระธารณีด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงตั้งใจสดับฟังตามระลึกและจดจำไว้ไม่ให้เลือนหาย บัดนี้ ปวงพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ได้ทำการแผ่พุทธรังสีส่วนหนึ่งมาแล้ว พระบรมสารีริกธาตุของปวงพระพุทธเจ้าในอดีต ก็ได้อยู่ในรัตน
    สถูปพร้อมคัมภีร์ธารณีแล้ว พระไตรวรกายของปวงพระพุทธเจ้าก็อยู่ในสถูปนี้แล้ว

    เวลานั้นพระผู้มีพระภาคจึงได้เอ่ยพระธารณีว่า……..

    อีเฉี่ยยูไลชินมีมี่ฉวนเซินเซ้อ
    ลี้เป่าเจี๋ย อิ้งท๋อหลอหนีจิงโว

    นำมอเสิดตูลีแย ตีฟู เจียนำ สัดพอตันทอแยตอนำ
    โอม ปูฟูพอวา นาวา ลีวา แจลีวา แจจู จูลู จูลู
    ทอลา ทอลา สัดวาตัน ทอแยตอ ทอตู ทอลี ปอนาหัก
    พอวาตี จิวยาวาลี มูตันลี สัดมอลา ตันทอแยตอ
    ตะมอจัวเจียลา ปอลา มอลีตอ นาวาแยลา พันตีมันนา
    เลงเจียลา เลงคีลีตี สัดวาตัน ทอแย ตอตีเส้อซีตี
    พันทอแย พันทอแย พันตี พันตี มูแต มูแต ซันพันทอ
    นีซัน พันทอแย แจลา แจลา แจลันตู สัดวาวาลานานี
    สัดวาพันปอฟูแยตี ฮูลู ฮูลู สัดวาซีเจียมีแตยี สัดวาตัน
    ทอแยตอ เคอลีนาเยียววาลียานี ซันพอลา ซันพอลา
    สัดวาตันทอแยตอ อีฮัวแย ทอลานี มูเนียหลี ลามูตี
    ซู มู ตี สัดวาตันทอแยตอ ตีเส้อซีตอ ทอตูแย ปีซอวาฮอ
    ซันมอเยตี เส้อซีตี ซอวาฮอ สัดวาตันทอแยตอ
    เคอลีนาเยียทอตู มูไนหลี ซอวาฮอ ซูปอลา ตีเส้อซีตอ
    สัดตูปี่ตันทอแยตอ ตีเส้อซีตี ฮูลู ฮูลู ฮง ฮง ซอวาฮอ
    โอม สัดวาตันทอแยตอ อูเส้อนีซา ทอตู มูไนลานี
    สัดวาตันทอแย ตันซอทอตู ฟู ปู ซี ตอตีเส้อซีตี
    ฮงฮง ซอวาฮอ

    那莫悉怛哩野 地尾 伽南 薩婆但他蘗多喃

    唵 部尾婆縛 娜縛 唎縛 者梨縛 者齒 祖嚕 祖嚕

    馱囉 馱囉 薩縛怛 他孽多 馱睹 馱梨 缽娜含

    婆縛底 惹也縛梨o 畝怛梨 薩磨囉 怛他蘗多

    達磨斫迦囉 本囉 靺栗多 娜縛日羅o 冒地滿拏

    楞迦囉 楞訖哩諦 薩縛怛 他孽 多地瑟恥諦

    冒馱野 冒馱野 冒地 冒地 沒亭 沒亭 參冒馱

    尼參 冒馱野 者儸 者儸 者懶都 薩縛縛囉拏尼

    薩縛播波尾孽諦 戶嚕 戶嚕 薩縛戌迦弭孽帝

    薩縛怛 他孽多 訖哩娜野縛日囉抳 三婆囉 三婆囉

    薩縛怛他蘗多 虞豁野 馱囉抳 畝涅梨 囉沒悌

    蘇 沒 悌 薩縛怛他孽多 地瑟恥多 馱睹孽

    陛娑縛賀 三摩耶地 瑟恥帝 娑縛詞 薩縛怛他孽多

    訖哩娜野馱睹 畝捺梨 娑縛詞 蘇本羅 底瑟恥多

    薩睹閉怛他孽多 地瑟恥帝 戶嚕 戶嚕 吽 吽

    娑縛訶 唵 薩縛怛他孽多 塢瑟抳沙 馱睹 畝捺囉尼

    薩縛怛他孽 單娑馱睹 尾 部 使 多地瑟恥帝

    吽 吽 娑縛詞o


    เวลานั้น หลังจากที่พระผู้มีพระภาคได้เอ่ยพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์นี้จบแล้ว ปวงพระพุทธเจ้าก็ได้เอ่ยคำสรรเสริญสดุดีขึ้นมาจากกองดินนั้นว่า “ สาธุ สาธุ พระศากยมุนีพุทธเจ้า ท่านได้แสดงแล้วซึ่งธรรมะอันลึกซึ้ง ฉุดช่วยสรรพสัตว์ในกุลียุค ซึ่งเห็นแก่ประโยชน์และไม่มีที่พึ่งทางใจ ธรรมะนี้สมควรรักษาไว้ในโลกให้ยาวนาน เพื่อยังประโยชน์อันมากมายไพศาลร่มเย็นเป็นเป็นสุข”

    เวลานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับทางวัชรหัตถ์ว่า

    “ จงตั้งใจฟัง ตั้งใจฟัง พระธรรมอันสำคัญเช่นนี้มีอิทธิฤทธิ์ไม่มีประมาณ ให้ประโยชน์เกื้อกูลไม่มีหมดสิ้น เปรียบเสมือนมีแก้วสารพัดนึกอยู่บนยอดธง ดลบันดาลให้เพชรนิลจินดาตกลงมาดั่งหาฝนมิได้ขาด อันความตั้งใจปรารถนาใดๆ ก็เต็มล้นทุกประการ เรื่องต่าง ๆ ที่ตถาคตได้กล่าวแล้วในวันนี้ เป็นเพียงหนึ่งในหมื่นส่วนเท่านั้น ท่านสมควรที่จะระลึก จดจำซึ่งคุณประโยชน์ทั้งปวง

    หากมีบุคคลซึ่งชั่วช้าตายแล้วตกนรกได้รับความทุกข์ไม่ว่างเว้น พ้นโทษยังไม่มีกำหนด หากมีบุตรหลานเอ่ยถึงนามผู้นั้น ท่องบ่นคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ครบ 7 รอบ กะทะทองแดงที่ถูกแผดเผาและเหล็กร้อนต่าง ๆ บัดเดี๋ยวกลับกลายเป็นสระน้ำอมฤตบนสวรรค์ ดอกบัวจะผุดขึ้นรองรับที่ขา รัตนฉัตรจะกางกั้นอยู่เบื้องบนประตูนรกแตก หนทางแห่งพุทธะเปิดขึ้น ดอกบัวจะนำพาขึ้นสู่พุทธเกษตร อันปัญญาทั้งปวงก็รู้แจ้งขึ้นเองสามารถเทศนาเข้าใจได้ลึกซึ้งกว้างไกลไม่มีประมาณ จักได้ถึงซึ่งพุทธสถานะ

    สามารถป้องป้องสรรพสัตว์ที่ได้รับผลกรรมอันใหญ่ ร้อยโรครุมเร้าทุกทั้งกายใจให้สวดพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์นี้ 21 รอบ ความทุกข์กายทุกข์ใจจะหมดไปในบัดดล จะมีอายุยืนยาวบุญวาสนาไม่มีหมดสิ้น หรือหากมีบุคคลใด มีการกระทำ
    ที่ตระหนี่ถี่เหนียวและโลภมาก เป็นเหตุให้เกิดมายากจนข้นแค้น อาภรณ์ไม่มีจะปิดกาย อาหารไม่พอประทังชีวิต ร่างกายทั้งอ่อนแอและผอมโซ อยู่ในที่ ๆ ต่ำทรามหลีกลี้จากผู้คน เมื่อเกิดความละอายจึงได้เข้าป่าหาฟืนเก็บของป่า เด็ดดอกไม้อย่างอิสระเสรี หากได้บดเศษไม้แห้งทูลไว้ต่างไม้หอม แล้วนำไปถวายบูชาองค์สถูป เดินวนรอบสถูป 7 รอบ น้ำตาไหลหลั่งด้วยสำนึกความผิดหนหลัง ด้วยอานุภาพแห่งพระคาถาอันวิเศษ อีกทั้งคุณธรรมอันยิ่งใหญ่แห่งองค์สถูป ผลของกรรมซึ่งนำมาซึ่งความยากจนข้นแค้นจะหมดสิ้นไป ความร่ำรวยสูงศักดิ์จะมาถึงทันใด สัตตะรัตนอันวิเศษจะตกลงมาดังห่าฝน ความขาดแคลนข้นแค้นจักไม่มีอีกต่อไป

    ขอให้ได้อาศัยเวลานี้ทำบุญบริจาคทานทดแทนแด่พระพุทธ พระธรรม ให้ทานแด่คนยากจน แต่แม้นเพียงใจเกิดความตระหนี่เสียดายหวงแหนแล้วไซร้ อันบรรดาทรัพย์สมบัติทั้งปวงก็จักหมดสิ้นไป หากบุคคลใด ปรารถนาจะสร้างบุญกุศลโดยช่วยกันสร้างสถูป จะด้วยดินก็ดี จะด้วยอิฐก็ดี แล้วแต่ความสามารถแม้นจะมีขนาดใหญ่เพียงมีขนาดสูงเพียง 4 นิ้วก็เพียงพอ ให้เขียนคาถาอันศักดิ์สิทธิ์นี้บรรจุไว้ภายในแล้วทูลดอกไม้หอมสักการะบูชา ด้วยพลานุภาพแห่งคาถาและความเชื่อมั่น จะบังเกิดกลิ่นหอมพร้อมหมอกควันมากมายออกจากองค์สถูปเล็กๆนี้ กลิ่นหอมและความสว่างเรืองรองจะปกคลุมไปทั่วทั้งธรรมสถานนั้น ความหอมอบอวลความสว่างอันระยิบระยับจะบังเกิด ให้เร่งสวดมนต์ขอขมากรรมประกอบพุทธพิธีต่าง ๆ อย่างกว้างขวางครอบคลุมก็จักได้รับบุญกุศลดังกล่าวแล้วข้างต้น ให้เลือกอธิษฐานแต่สิ่งมีสาระย่อมได้ผลแน่นอน

    ในยุคปลายนั้นหากมีพุทธบริษัท 4 กุลบุตร กุลธิดาเพื่อปรารถนาให้ได้ถึงปรมัตธรรมแล้ว ได้ก่อสร้างองค์สถูปไว้ซึ่งคาถาอันศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มความสามารถแล้วไซร้ ก็จักได้ซึ่งบุญกุศลอันมากมายสุดที่จะกล่าวได้

    หากบุคคลใดต้องการขอความร่ำรวยมีสุข ให้ไปยังสถูป ถวายเครื่องหอมสักการะบูชา กระทำประทักษิณ ด้วยบุญกุศลนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญจะบังเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องขอ อายุจะยืนยาวขึ้นมาเอง ศัตรูคู่อาฆาต โจรผู้ร้ายย่อมจะแพ้พ่ายไปเอง ความอาฆาตพยาบาท คำสาปแช่งต่าง ๆ ย่อมจะย้อนกลับคืนไปเอง กาฬโรค บรรยากาศที่ไม่ดีย่อมจะหลีกลี้สลายไปเอง ย่อมจะได้คู่สามีภรรยาที่ดีเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปราถนาย่อมจะมั่นใจได้ว่าจะพึงพอใจ

    หากมีนกกาดำ นกกระจอก นกเขา นกพิราบ นกเค้าแม้ว สุนัข หมาใน ยุง มด แมลงสัตว์พืชต่าง ๆในป่ามา รบกวน ทำลายองค์สถูป ถ้าได้หลบมายังบริเวณสถูปเหยียบย่ำสนามหญ้าในบริเวณนั้นเพื่อขับไล่สิ่งที่จะมารบกวนทำลายองค์สถูปนั้น ก็จะมีอานิสงส์ให้ได้หลุดพ้น เหตุแห่งการสงสัยสับสน ได้ถึงซึ่งปัญญาตระหนักรู้แจ่มแจ้งถึงทุกสิ่ง หรือบุคคลใดได้เข้าไปยังพุทธสถานด้วยเหตุกิเลสกำเริบหรือเผลอเลอ ได้ขโมยซึ่งศาสนสมบัติไป หากบุคคลนั้นได้เห็นเพียงรูปร่างแห่งสถูป หรือได้ยินเพียงเสียงแห่งระฆัง หรือได้รู้เพียงนามแห่งสถูป หรือเพียงอยู่ใต้ร่มเงาแห่งสถูป โทษทัณฑ์ต่าง ๆนั้นย่อมจะได้ระงับไปสมใปรารถนา ในชาติปัจจุบันนั้นย่อมจักอยู่อย่างสงบสุข ในอนาคตกาลนั้นย่อมจักได้กำเนิดในแดนพุทธเกษตร

    หากบุคคลใดมีกำลังความสามรถเพียงแค่ เอาก้อนหินกลมๆ หนึ่งก้อนมารวมกันก่อองค์สถูปสร้างกำแพงเพียงแค่ขนก้อนหินขนาดหนึ่งกำปั้นมือ เพียงแค่พยุงค้ำชูยอดองค์สถูปไม่ให้ล้มคว่ำลงมา ด้วยบุญกุศลนี้จะช่วยเพิ่มพูนความร่ำรวยความมีสุขและอายุยืนยาว ภายหลังจากสิ้นอายุขัยไปแล้วย่อมได้กำเนิดเป็นองค์จักรพรรดิ์

    หลังจากที่ตถาคตได้ปรินิพพานไปแล้วให้พุทธบริษัททั้ง4 ประกอบพิธีช่วยเหลือสรรพสัตว์ ให้พ้นจากโลกแห่งความทุกข์ ณ บริเวณหน้าสถูปนี้ โดยถวาสักการะบูชาด้วยดอกไม้หอม แล้วรวมใจมั่นตั้งจิตอธิษฐาน และท่องบทคาถาอันศักดิ์สิทธิ์นี้ทุก ๆ คำ ทุก ๆ ตัวอักษร จะเปล่งแสงออกมาสว่างไสวส่องสว่างไปทั่วถึงความทุกข์ทั้งหมด ซึ่งมีเหตุจากความโลภ ความโกรธ ความหลงให้มลายสูญสิ้นไป สรรพสัตว์ล้วนถูกปลดเปลื้องจากความทุกข์ เมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะกลับเจริญงอกงาม จักได้บังเกิดในแดนวิสุทธิ์ทั้ง 10 ทิศตามแต่ใจปรารถนา

    หากบุคคลใดได้ดั้นด้นถึงบนยอดเขาสูง ตั้งจิตตั้งใจสวดท่องพระคาถานี้ เริ่มจากใก้ลสุดถึงไกลสุดขอบจักรวาลที่สายตาสามารถมองไปถึง อันมีป่าเขาลำเนาไพร ทะเล มหาสมุทร แม่น้ำลำคลองหนองน้ำใหญ่ อันมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ทั้งมีขน มีปีก มีเกล็ด มีกระดอง ต่างๆ เป็นต้น จักบังเกิดความตระหนักรู้อันแจ่มแจ้งละเอียดครอบคลุมไปทั่ว ความสงสัย ความไม่รู้ต่างๆจักถูกทำลายแตกยับไปสิ้น

    และจักได้ซึ่งดวงโพธิญาณ3ประการ

    1 ดวงจิตเดิมกายมนุษย์
    2 ดวงจิตที่ผุดขึ้นมาหลังได้ธรรมะแล้ว
    3 ดวงจิตที่ยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณของพระพุทธเจ้า


    หลังจากสิ้นอายุขัยแล้วจักได้เข้าสู่แดนนิพพานอันสงบสุข หากบุคคลใดได้มีปฎิสัมพันธ์ทางธรรมกับบุคคลดังกล่าวนี้ หรือได้สัมผัสถูกอาภรณ์ หรือได้เหยียบย่ำลงบนรอยเท้าหรือได้เพียงเห็นหน้าหรือได้เพียงสนทนาชั่วครู่อันบาปกรรมอันหนักของบุคคลผู้นั้นจะสูญสิ้น สติสัมปะชัญญะ จะเต็มรอบสมบูรณ์

    ในขณะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับทางวัชรหัตถ์
    ว่า...

    “ณ วันนี้บัดนี้เป็นต้นไป จะขอมอบคัมภีร์คาถาอัน
    ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นความลับนี้แด่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านทั้งหลาย
    ได้เทอดทูนเคารพรักษาปกป้องและเผยแพร่สู่มวลมนุษย์โลก
    อย่าได้ยอมให้มนุษย์สูญสิ้นการสืบทอด”

    ท่านวัชรหัตถ์ได้ทูลตอบว่า

    “วันนี้ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกปิติที่พระพุทธองค์ได้ทรงพระราชทานให้เช่นนี้ สิ่งนี้เป็นความตั้งใจปรารถนาของปวงข้าพระพุทธเจ้าอยู่แล้วที่จะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณอันไพศาลของพระพุทธองค์ปวงข้าพระพุทธเจ้าจะช่วยกันเทิดทูน ดูแลรักษาทุกค่ำเช้ าจักช่วยกันสาธยายเผยแผ่ออกไปทุกกาลเวลามิให้ขาด หากมีบุคคลใดรจนาหนังสือส่วนนี้ และดูแลสืบทอดระลึกมันอยู่ในใจมิได้ขาดแล้ว ปวงข้าพระพุทธเจ้าจักขอเป็นผู้นำเร่งรัดให้องค์พรหม พระอินทร์ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 เหล่าเทพธรรมบาล เทพมังกรรวมทั้ง8เหล่าเฝ้าดูแลปกป้องทุก
    ค่ำเช้ามิยอมห่าง"

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า

    “ดีแล้วท่านวัชรหัตถ์...................
    ท่านได้กระทำซึ่งคุณอันใหญ่หลวงต่อสรรพสัตว์ทั้งมวลใน
    อนาคตกาล โดยเฝ้าดูแลปกป้องพระธรรมนี้ ไม่ยอมให้สูญสิ้น
    การสืบทอด”

    ในขณะนั้นหลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสเรื่องรัตนสถูปซึ่งจารึกพระธารณีสูตรต่าง ๆ รวมทั้งให้ประกอบพุทธพิธีอันกว้างยาวครอบคลุม(หน้าองค์พระสถูปนี้)จบแล้ว จึงได้ทรงเสด็จไปยังเคหะสถานของท่านพราหมณ์เพื่อรับถวายซึ่งภัตตาหารและสิ่งต่างๆ ในเวลาที่เป็นมงคลนี้ ทั้งมนุษย์และเทวดาต่างได้รับซึ่งความสุขและคุณประโยชน์อันใหญ่หลวง แล้วกลับคืนสู่ยังถิ่นของตน

    ในขณะนั้นมหาชนทั้งหลายซึ่งประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทพธรรมบาล เทพมังกร ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร เทพหัวงู มโหรค มนุษย์ อมนุษย์ทั้งหลายเป็นต้น ล้วนบังเกิดความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งมีความศรัทธาน้อมรับไปปฎิบัติ ด้วยประการฉะนี้แล

    ****************
     
  15. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    ยินดีต้อนรับ คุณ Little Mermaid.
    คุณมาครั้งล่าสุดเมื่อ วันนี้ เวลา 11:44 AM

    เฉพาะที่เป็นสมาชิกที่ได้อ่านกระทู้นี้ ตั้งแต่ 10-12-2010, 10:44 AM

    (f) (f) (f)
     
  16. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    <table id="post4129741" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] 09-12-2010, 03:09 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1613 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Little Duck
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: May 2008
    ข้อความ: 709
    พลังการให้คะแนน: 184 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4129741" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <table id="post4118612" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] 06-12-2010, 03:32 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1603 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Little Mermaid
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jun 2008
    ข้อความ: 466
    พลังการให้คะแนน: 151 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4118612" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center>Hold your Hand

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1">
    ยินดีต้อนรับ คุณ Little Mermaid.
    คุณมาครั้งล่าสุดเมื่อ วันนี้ เวลา 02:22 PM
    [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>


    Little Mermaid = 12+9+20+20+12+5+13+5+18+13+1+9+4 = 141
    141 = NA = NEW AGE
    1+41 = 42 = DB = DATA BASE
    Hold your Hand =
    8+15+12+4+25+15+21+18+8+1+14+4
    = 145
    145 = NE = NEW ENERGY


    141+145 = 286**
    NEW AGE + NEW ENERGY =286

    02:22 = B:V = BUDDHA : VICTORY


    จะเห็นได้ว่าข้อมูลของคุณ Little Mermaid เมื่อนำมาแปลรหัสแล้ว =141 หมายถึง NEW AGE และเมื่อนำข้อความ Hold your Hand =145
    แปลความหมายได้ว่า พลังงานใหม่ จะเห็นได้ว่า มีความเกี่ยวข้องกับการ RE=CONNECT ของกระทู้เป็นอย่างมาก และเมื่อนำผลลัพธ์ทั้งสอง มารวมกัน เท่ากับ 141+145 = 286

    หากนับวันที่เปิดกระทู้ คือวันที่
    25/2/2010 ถึงวัน RE-CONNECT กระทู้ คือ 9/12/2010 เท่ากับ 286 วัน
    ดังนั้น เมื่อนำ NEW AGE + NEW ENERGY = 286 จึงเป็นการยืนยันข้อมูลทั้งหมดของNEW AGE กับพลังงงานใหม่ และ 22.22 รหัสจักรวาลในยุค NEW AGE พลังงานใหม่สู่ศิวิำไลซ์

    LOVE U.

    </td></tr></tbody></table>
    13/12/2553 = 13+12+2+5+5+3 = 40 =4 = DATA
    13/12/2010 = 13+12+20+10 = 55 = NEW AGE


    02:22 = B:V = BUDDHA : VICTORY

    02:22 = 0+2+2+2 = 6 = F = FULL
    BUDDHA =2+21+4+4+8+1 = 40 =4
    VICTORY = 22+9+3+20+15+18+25 = 112 =1+1+2 = 4
    112 = 1+12 = 13 = M= MAGIC & MIRACLE
    M&M = MIDDLE

    จากข้อมูลอ้างอิงด้านบนจะเห็นว่า
    BUDDHA : VICTORY ในยุคพลังงานใหม่สู่ศิวิไลซ์นั้น BUDDHA หมายถึงพระ คือตัวแทนของพระทุกศาสนา และ VICTORY หมายถึง ชัยชนะ , การผ่านพ้น หรือ หมายถึงการหลุดพ้น หากดูผลลัพธ์ของทั้งสองด้าน จะได้ผลลัพธ์ฺเื่้ท่ากัน คือ 4:4 = 44 และเมื่อดูผลลัพธ์ของ BUDDHA จะเห็นว่ามีผลลัพธ์เดียว คือ 4 นั่นหมายถึงข้อมูลหลัก และ VICTORY ยังมีความหมายถึง MAGIC & MIRACLE และเมื่อผลลัพธ์สุดท้ายของทั้งสองมีความเท่ากันคือ 44 คือสมดุลยฺ์ทั้งสองด้าน จึงแปลความหมายได้ว่า การผ่านพ้นไปถึงศิวิไลซ์นั้น คือการนำความรู้ หลักธรรม ของพระทุกศาสนามรวมกัน NEW AGE คือ ดุลยภาพที่มีความเท่ากัน MAGIC & MIRACLE ย่อมต้องมาคู่กันเสมอ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมกันในทางสร้างสรรค์ โดยมีจุดตัดที่ M=MIDDLE คือ สายกลาง ความพอดี

    ดังนั้น แนวทางของแต่ละศาสนาทุกท่านสามารถที่จะเลือกปฏิบัติไำด้ เพราะสุดท้ายแล้ว เพราะผลลัพธ์สุดท้ายคือ การผ่านพ้นไปได้เช่นกัน ขอให้ทุกท่านโชคดี ..

    LOVE U
     
  17. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณ DD หรือ KK ทุกท่าน ในการสนับสนุนข้อความ หรือ ความรู้อันเปรียบเสมือน กับ JD (JOB DESCRIBTION

    JOB DESCRIBTION (JD) คือ หน้าที่แท้จริงที่มนุษย์พึงปฏิบัติ หรือ ภารกิจอันพึงกระทำของมนุษย์ในขณะดำรงอยู่ภายใต้ภาวะทางกายภาพเพื่อหนทางแห่งการหลุดพ้น (การก้าวผ่านวงจรชาติภพ หรือ ความหมายที่แท้จริงของ VICTORY หรือ นิพพาน นั่นเอง)

    ปรากฏการณ์ทั้งหลายที่อุบัติขึ้นภายใต้ภาวะทางกายภาพ ล้วนมีไว้เพื่อให้เราได้ศึกษา และเรียนรู้ในการขัดเกลาตนเองไปในทิศทางแห่งการหลุดพ้น (วิมุตติ) หรือ VICTORY จนกระทั่งสามารถหาทางออกจาก การเกิด ดับ อันไม่สิ้นสุด (INFINITY)

    สาระธรรม นำทาง NEW AGE ยุคแห่งดุลยภาพที่แท้จริง

    ขอกราบอนุโมทนา
    จินตวดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2010
  18. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    โลกุตระ VS อจิณไตยวิมุตติ

    GREAT & GRAND
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะ ****

    เป็นแก่นสารการปฏิบัติทั้งปวง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  20. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931

    *** นโม ****

    คือ สัญญาใจของตนเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...