NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ.. GRAND NATURE ..

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Little Duck, 25 กุมภาพันธ์ 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    <TABLE class=tborder id=post4078993 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> วันนี้, 01:10 AM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1397 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Crystal DNA<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4078993", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2010
    ข้อความ: 46
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_4078993 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->สัจจะหรือพันธสัญญา ที่ให้ไว้ก่อนลงมาเป็นมนุษย์ จำได้ไหมเอ่ยพวกเรา<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->การที่มนุษย์ชาติทั้งปวงได้ลงมาเกิดบนโลกใบนี้ก็เพราะได้อาสาจิตวิญญาณดวงใหญ่ แบ่งภาคจิตจักรวาลดวงเล็กลงมาเกิดในสัดส่วน ที่ลงมาเป็นมนุษย์ถึงร้อยละ 70 คงไว้บนแดนสุญญตาเพียง ร้อยละ 30 และในการแบ่งภาคลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ จิตจักรวาลดวงหนึ่งสามารถแบ่งภาคลงมาได้ถึง 36 ดวงจิตวิญญาณ กล่าวคือ เกิดเป็นมนุษย์ได้ถึง 36 คน เพื่อจะได้ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นพันธะสัญญา ที่ให้ไว้กับจิตจักรวาลดวงใหญ่

    [​IMG]พันธะสัญญาดังกล่าว มี 6 ประการ ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานของความรักที่บริสุทธิ์ - รักเพื่อให้ - รักชั่วนิรันดร์ - รักที่มั่นคงในสรรพสิ่งต่าง ๆ กล่าวคือ

    [​IMG]1. จะเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก

    [​IMG]โลกใบนี้ มีแรงเหวี่ยง หมุนรอบตัวเองได้ตลอดเวลามาช้านาน อย่างไม่เสียสมดุลย์ เพราะการระเบิดของออกซิเจนจากใจกลางโลก ซึ่งเป็นแท่งออกซิเจนขนาดมหึมา สิ่งที่จะทำให้เกิดการระเบิดในใจกลางโลกใบนี้ ก็คือ คลื่นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกด้านบวก ไม่ใช่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกด้านลบ อันเกิดจากกิเลส อุบัติเลส ตัณหาราคะ คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง ความงมงาย

    [​IMG]แต่มนุษย์ไม่รักษาอารมณ์ ไม่รักษาจิตใจ รักให้ได้ ให้ให้เป็นต่อทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ว่า จะเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง สัตว์ พืช ภูเขา แม่น้ำ แร่ธาตุ โดยไม่ทำลาย ไม่เปลี่ยนสภาพ ตามความอยากได้ใคร่มีทางเศรษฐกิจ ทางสังคม เช่นที่มนุษย์ประพฤติ ปฏิบัติกันอยู่ เท่านั้น โดยสัจจะความจริง แรงรัก แรงเมตตาจากอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ เพียง 1% จะซึมลงไปใจกลางโลก ไปเป็นชนวนระเบิดแท่งออกซิเจน ให้แกนโลกหมุนตัว บิดตัวได้อย่างสมดุลย์ ทุกวันนี้แกนโลกบิดตัวน้อยลง โลกหมุนช้าลง แกนโลกเอียงมากขึ้น จนเกิดภาวะโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ก็เพราะแรงความรัก ความเมตตาจากจิตมนุษย์ลดลง ทั้งโลกเต็มไปด้วยแรงแห่งความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยา การฆ่าฟันล้างเผ่าพันธุ์กันเอง รวมทั้งการทำลายทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนผิวโลก ในอากาศที่ห่อหุ้ม และใต้โลก ใต้บาดาลด้วยการขุดเจาะน้ำมัน

    [​IMG]มนุษย์ทุกวันนี้ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามพันธะสัญญาข้อ 1. นี้ แถมยังลืมหน้าที่นี้ไปหลงมัวเมากับกิเลสตัณหามากขึ้น ๆ

    [​IMG]2. จะไม่เบียดเบียนกันเองและสรรพสิ่ง

    [​IMG]การเบียดเบียน คือ การทำร้าย ทำลาย การสร้างความเดือดร้อนด้วยกาย - ใจแก่บุคคลอื่นรวมถึง สัตว์ พืช ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ อากาศ อันเป็นสิ่งที่เราได้พบเห็นมากขึ้น ๆ บนโลกใบนี้

    [​IMG]3.จะยกระดับจิตสำนึกให้เป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้

    [​IMG]มนุษย์ทุกวันนี้ไม่ทราบว่า แก่นแท้ของตนคืออะไร คำตอบก็คือ ดวงจิตวิญญาณ ดั้งเดิมที่แยกแบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกได้ ความจำได้ ความหมายรู้ และความสามารถในการแสดงออกด้วยการกระทำหรือความพฤติใดๆ จิตวิญญาณของมนุษย์ในขณะที่อยู่ในแดนสูญญตา กับจิตจักรวาลดวงใหญ่จะเป็นดวงจิตธรรมญาณที่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยรักเพื่อให้ - รักนิรันดร์ - รักที่มั่นคงในทุกสรรพสิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อแบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จิตสำนึกนี้หายไป ปล่อยให้จิตหยาบ(คือจิตที่ไม่รู้คิด รู้นึก รู้พิจารณา) อันเป็นจิตภายนอก(จิตวิญญาณ คือ จิตภายในที่อยู่ลึกเข้าไป) นำพาไปตามอารมณ์ ตามความอยาก ความไม่อยาก ชอบ - ไม่ชอบ ถูกใจ - ไม่ถูกใจ โลภ - โกรธหลง - งมงาย มนษย์เราเข้าใจผิดมาตลอดว่า สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้สัมผัส ได้ลิ้มรสมานั้น จิตใจหรือดวงจิตที่อยู่ภายนอกคือจิตหยาบ จะเป็นผู้รับรู้ สั่งการ แทนดวงจิตภายใน (จิตวิญญาณ) จิตภายในไม่เคยได้รับรู้และสั่งการใด ๆ เลย การปฏิบัติตามพันธะสัญญาข้อนี้ ก็เพียงแต่ เมื่อมนุษย์สัมผัสใด ๆ แล้วต้องมีสตินำสิ่งที่สัมผัส ความรู้สึกต่าง ๆ สั่งต่อเข้าไปให้ถึงจิตภายใน หรือ จิตวิญญาณ ดั้งเดิม ซึ่งมีแต่ความรักอันบริสุทธิ์

    [​IMG]ผลกรรมที่มนุษย์ทำขึ้น เป็นการสั่งการของจิตหยาบที่เจ้าของปล่อยปละละเลยให้ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณที่แท้จริงมาเสียนาน มนุษย์จึงต้องฝึกฝนให้จิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ คือ ใช้สติ - มหาสติเพื่อผ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆที่ได้รู้ ได้ดู ได้เห็น ได้ยิน ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสเข้าไปให้ถึงจิตภายในหรือจิตวิญญาณๆ ก็จะเป็นผู้ทำหน้าที่แทนจิตหยาบ หรือจิตหยาบก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ หากมนุษย์ปฏิบัติเช่นนี้ได้ มนุษย์จะไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติเหลวไหล ต่ำทรามเหมือนทุกวันนี้

    [​IMG]4. จะสืบทอดเผ่าพันธ์ "มนุษย์" ไว้

    [​IMG]มนุษย์คือ ผู้มีจิตใจสูงส่ง การสืบทอดเผ่าพันธุ์ไม่จำกัดเฉพาะการสืบพันธ์ แต่หมายถึงการบ่มเพาะให้เกิดอารมณ์รู้สึกด้านบวก ด้วยความรักอันบริสุทธิ์ตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้อารมณ์ร้ายของกิเลสตัณหาได้ครอบงำจิตใจของตนเลย

    [​IMG]5.จะเป็นเงื่อนไขด้านบวกต่อผู้อื่น

    [​IMG]ความหมายก็คือ จะไม่ทำให้ผู้อื่น โกรธ เกลียด ด้วยการรู้จัก อดทน อดกลั้น ให้อภัยแก่ผู้อื่นเสมอ เพื่อให้ผู้อื่นมีอารมณ์รู้สึกด้านบวกและกระทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม

    [​IMG]6.จะย้อนคืนสู่แดนสุญญตาที่ตนจากมา

    [​IMG]พันธะสัญญาทั้ง 6 ประการนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดประสบความล้มเหลว มาหลงระเริงยึดมั่นอยู่กับกิเลสตัณหาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น นอกจากไม่ทำงานร่วมกับโลกแล้ว ยังทำลายโลกอีก ไม่ยอมกลับคืนสู่แดนสูญญตาที่ตนจากมา แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแสนนาน 8 หมื่น 8 ร้อยกว่าปีมาแล้ว นั่นจึงเป็นที่มาของการชำระล้างครั้งใหญ่เพื่อกลับคืนสู่ความสมดุล<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post4078993 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> วันนี้, 01:10 AM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1397 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Crystal DNA<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4078993", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2010
    ข้อความ: 46
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_4078993 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->สัจจะหรือพันธสัญญา ที่ให้ไว้ก่อนลงมาเป็นมนุษย์ จำได้ไหมเอ่ยพวกเรา<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->การที่มนุษย์ชาติทั้งปวงได้ลงมาเกิดบนโลกใบนี้ก็เพราะได้อาสาจิตวิญญาณดวงใหญ่ แบ่งภาคจิตจักรวาลดวงเล็กลงมาเกิดในสัดส่วน ที่ลงมาเป็นมนุษย์ถึงร้อยละ 70 คงไว้บนแดนสุญญตาเพียง ร้อยละ 30 และในการแบ่งภาคลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ จิตจักรวาลดวงหนึ่งสามารถแบ่งภาคลงมาได้ถึง 36 ดวงจิตวิญญาณ กล่าวคือ เกิดเป็นมนุษย์ได้ถึง 36 คน เพื่อจะได้ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นพันธะสัญญา ที่ให้ไว้กับจิตจักรวาลดวงใหญ่

    [​IMG]พันธะสัญญาดังกล่าว มี 6 ประการ ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานของความรักที่บริสุทธิ์ - รักเพื่อให้ - รักชั่วนิรันดร์ - รักที่มั่นคงในสรรพสิ่งต่าง ๆ กล่าวคือ

    [​IMG]1. จะเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก

    [​IMG]โลกใบนี้ มีแรงเหวี่ยง หมุนรอบตัวเองได้ตลอดเวลามาช้านาน อย่างไม่เสียสมดุลย์ เพราะการระเบิดของออกซิเจนจากใจกลางโลก ซึ่งเป็นแท่งออกซิเจนขนาดมหึมา สิ่งที่จะทำให้เกิดการระเบิดในใจกลางโลกใบนี้ ก็คือ คลื่นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกด้านบวก ไม่ใช่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกด้านลบ อันเกิดจากกิเลส อุบัติเลส ตัณหาราคะ คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง ความงมงาย

    [​IMG]แต่มนุษย์ไม่รักษาอารมณ์ ไม่รักษาจิตใจ รักให้ได้ ให้ให้เป็นต่อทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ว่า จะเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง สัตว์ พืช ภูเขา แม่น้ำ แร่ธาตุ โดยไม่ทำลาย ไม่เปลี่ยนสภาพ ตามความอยากได้ใคร่มีทางเศรษฐกิจ ทางสังคม เช่นที่มนุษย์ประพฤติ ปฏิบัติกันอยู่ เท่านั้น โดยสัจจะความจริง แรงรัก แรงเมตตาจากอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ เพียง 1% จะซึมลงไปใจกลางโลก ไปเป็นชนวนระเบิดแท่งออกซิเจน ให้แกนโลกหมุนตัว บิดตัวได้อย่างสมดุลย์ ทุกวันนี้แกนโลกบิดตัวน้อยลง โลกหมุนช้าลง แกนโลกเอียงมากขึ้น จนเกิดภาวะโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ก็เพราะแรงความรัก ความเมตตาจากจิตมนุษย์ลดลง ทั้งโลกเต็มไปด้วยแรงแห่งความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยา การฆ่าฟันล้างเผ่าพันธุ์กันเอง รวมทั้งการทำลายทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนผิวโลก ในอากาศที่ห่อหุ้ม และใต้โลก ใต้บาดาลด้วยการขุดเจาะน้ำมัน

    [​IMG]มนุษย์ทุกวันนี้ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามพันธะสัญญาข้อ 1. นี้ แถมยังลืมหน้าที่นี้ไปหลงมัวเมากับกิเลสตัณหามากขึ้น ๆ

    [​IMG]2. จะไม่เบียดเบียนกันเองและสรรพสิ่ง

    [​IMG]การเบียดเบียน คือ การทำร้าย ทำลาย การสร้างความเดือดร้อนด้วยกาย - ใจแก่บุคคลอื่นรวมถึง สัตว์ พืช ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ อากาศ อันเป็นสิ่งที่เราได้พบเห็นมากขึ้น ๆ บนโลกใบนี้

    [​IMG]3.จะยกระดับจิตสำนึกให้เป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้

    [​IMG]มนุษย์ทุกวันนี้ไม่ทราบว่า แก่นแท้ของตนคืออะไร คำตอบก็คือ ดวงจิตวิญญาณ ดั้งเดิมที่แยกแบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกได้ ความจำได้ ความหมายรู้ และความสามารถในการแสดงออกด้วยการกระทำหรือความพฤติใดๆ จิตวิญญาณของมนุษย์ในขณะที่อยู่ในแดนสูญญตา กับจิตจักรวาลดวงใหญ่จะเป็นดวงจิตธรรมญาณที่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยรักเพื่อให้ - รักนิรันดร์ - รักที่มั่นคงในทุกสรรพสิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อแบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จิตสำนึกนี้หายไป ปล่อยให้จิตหยาบ(คือจิตที่ไม่รู้คิด รู้นึก รู้พิจารณา) อันเป็นจิตภายนอก(จิตวิญญาณ คือ จิตภายในที่อยู่ลึกเข้าไป) นำพาไปตามอารมณ์ ตามความอยาก ความไม่อยาก ชอบ - ไม่ชอบ ถูกใจ - ไม่ถูกใจ โลภ - โกรธหลง - งมงาย มนษย์เราเข้าใจผิดมาตลอดว่า สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้สัมผัส ได้ลิ้มรสมานั้น จิตใจหรือดวงจิตที่อยู่ภายนอกคือจิตหยาบ จะเป็นผู้รับรู้ สั่งการ แทนดวงจิตภายใน (จิตวิญญาณ) จิตภายในไม่เคยได้รับรู้และสั่งการใด ๆ เลย การปฏิบัติตามพันธะสัญญาข้อนี้ ก็เพียงแต่ เมื่อมนุษย์สัมผัสใด ๆ แล้วต้องมีสตินำสิ่งที่สัมผัส ความรู้สึกต่าง ๆ สั่งต่อเข้าไปให้ถึงจิตภายใน หรือ จิตวิญญาณ ดั้งเดิม ซึ่งมีแต่ความรักอันบริสุทธิ์

    [​IMG]ผลกรรมที่มนุษย์ทำขึ้น เป็นการสั่งการของจิตหยาบที่เจ้าของปล่อยปละละเลยให้ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณที่แท้จริงมาเสียนาน มนุษย์จึงต้องฝึกฝนให้จิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ คือ ใช้สติ - มหาสติเพื่อผ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆที่ได้รู้ ได้ดู ได้เห็น ได้ยิน ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสเข้าไปให้ถึงจิตภายในหรือจิตวิญญาณๆ ก็จะเป็นผู้ทำหน้าที่แทนจิตหยาบ หรือจิตหยาบก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ หากมนุษย์ปฏิบัติเช่นนี้ได้ มนุษย์จะไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติเหลวไหล ต่ำทรามเหมือนทุกวันนี้

    [​IMG]4. จะสืบทอดเผ่าพันธ์ "มนุษย์" ไว้

    [​IMG]มนุษย์คือ ผู้มีจิตใจสูงส่ง การสืบทอดเผ่าพันธุ์ไม่จำกัดเฉพาะการสืบพันธ์ แต่หมายถึงการบ่มเพาะให้เกิดอารมณ์รู้สึกด้านบวก ด้วยความรักอันบริสุทธิ์ตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้อารมณ์ร้ายของกิเลสตัณหาได้ครอบงำจิตใจของตนเลย

    [​IMG]5.จะเป็นเงื่อนไขด้านบวกต่อผู้อื่น

    [​IMG]ความหมายก็คือ จะไม่ทำให้ผู้อื่น โกรธ เกลียด ด้วยการรู้จัก อดทน อดกลั้น ให้อภัยแก่ผู้อื่นเสมอ เพื่อให้ผู้อื่นมีอารมณ์รู้สึกด้านบวกและกระทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม

    [​IMG]6.จะย้อนคืนสู่แดนสุญญตาที่ตนจากมา

    [​IMG]พันธะสัญญาทั้ง 6 ประการนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดประสบความล้มเหลว มาหลงระเริงยึดมั่นอยู่กับกิเลสตัณหาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น นอกจากไม่ทำงานร่วมกับโลกแล้ว ยังทำลายโลกอีก ไม่ยอมกลับคืนสู่แดนสูญญตาที่ตนจากมา แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแสนนาน 8 หมื่น 8 ร้อยกว่าปีมาแล้ว นั่นจึงเป็นที่มาของการชำระล้างครั้งใหญ่เพื่อกลับคืนสู่ความสมดุล<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=tborder id=post4078993 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> วันนี้, 01:10 AM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1397 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Crystal DNA<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4078993", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2010
    ข้อความ: 46
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_4078993 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->สัจจะหรือพันธสัญญา ที่ให้ไว้ก่อนลงมาเป็นมนุษย์ จำได้ไหมเอ่ยพวกเรา<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->การที่มนุษย์ชาติทั้งปวงได้ลงมาเกิดบนโลกใบนี้ก็เพราะได้อาสาจิตวิญญาณดวงใหญ่ แบ่งภาคจิตจักรวาลดวงเล็กลงมาเกิดในสัดส่วน ที่ลงมาเป็นมนุษย์ถึงร้อยละ 70 คงไว้บนแดนสุญญตาเพียง ร้อยละ 30 และในการแบ่งภาคลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ จิตจักรวาลดวงหนึ่งสามารถแบ่งภาคลงมาได้ถึง 36 ดวงจิตวิญญาณ กล่าวคือ เกิดเป็นมนุษย์ได้ถึง 36 คน เพื่อจะได้ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นพันธะสัญญา ที่ให้ไว้กับจิตจักรวาลดวงใหญ่

    [​IMG]พันธะสัญญาดังกล่าว มี 6 ประการ ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานของความรักที่บริสุทธิ์ - รักเพื่อให้ - รักชั่วนิรันดร์ - รักที่มั่นคงในสรรพสิ่งต่าง ๆ กล่าวคือ

    [​IMG]1. จะเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก

    [​IMG]โลกใบนี้ มีแรงเหวี่ยง หมุนรอบตัวเองได้ตลอดเวลามาช้านาน อย่างไม่เสียสมดุลย์ เพราะการระเบิดของออกซิเจนจากใจกลางโลก ซึ่งเป็นแท่งออกซิเจนขนาดมหึมา สิ่งที่จะทำให้เกิดการระเบิดในใจกลางโลกใบนี้ ก็คือ คลื่นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกด้านบวก ไม่ใช่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกด้านลบ อันเกิดจากกิเลส อุบัติเลส ตัณหาราคะ คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง ความงมงาย

    [​IMG]แต่มนุษย์ไม่รักษาอารมณ์ ไม่รักษาจิตใจ รักให้ได้ ให้ให้เป็นต่อทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ว่า จะเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง สัตว์ พืช ภูเขา แม่น้ำ แร่ธาตุ โดยไม่ทำลาย ไม่เปลี่ยนสภาพ ตามความอยากได้ใคร่มีทางเศรษฐกิจ ทางสังคม เช่นที่มนุษย์ประพฤติ ปฏิบัติกันอยู่ เท่านั้น โดยสัจจะความจริง แรงรัก แรงเมตตาจากอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ เพียง 1% จะซึมลงไปใจกลางโลก ไปเป็นชนวนระเบิดแท่งออกซิเจน ให้แกนโลกหมุนตัว บิดตัวได้อย่างสมดุลย์ ทุกวันนี้แกนโลกบิดตัวน้อยลง โลกหมุนช้าลง แกนโลกเอียงมากขึ้น จนเกิดภาวะโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ก็เพราะแรงความรัก ความเมตตาจากจิตมนุษย์ลดลง ทั้งโลกเต็มไปด้วยแรงแห่งความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยา การฆ่าฟันล้างเผ่าพันธุ์กันเอง รวมทั้งการทำลายทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนผิวโลก ในอากาศที่ห่อหุ้ม และใต้โลก ใต้บาดาลด้วยการขุดเจาะน้ำมัน

    [​IMG]มนุษย์ทุกวันนี้ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามพันธะสัญญาข้อ 1. นี้ แถมยังลืมหน้าที่นี้ไปหลงมัวเมากับกิเลสตัณหามากขึ้น ๆ

    [​IMG]2. จะไม่เบียดเบียนกันเองและสรรพสิ่ง

    [​IMG]การเบียดเบียน คือ การทำร้าย ทำลาย การสร้างความเดือดร้อนด้วยกาย - ใจแก่บุคคลอื่นรวมถึง สัตว์ พืช ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ อากาศ อันเป็นสิ่งที่เราได้พบเห็นมากขึ้น ๆ บนโลกใบนี้

    [​IMG]3.จะยกระดับจิตสำนึกให้เป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้

    [​IMG]มนุษย์ทุกวันนี้ไม่ทราบว่า แก่นแท้ของตนคืออะไร คำตอบก็คือ ดวงจิตวิญญาณ ดั้งเดิมที่แยกแบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกได้ ความจำได้ ความหมายรู้ และความสามารถในการแสดงออกด้วยการกระทำหรือความพฤติใดๆ จิตวิญญาณของมนุษย์ในขณะที่อยู่ในแดนสูญญตา กับจิตจักรวาลดวงใหญ่จะเป็นดวงจิตธรรมญาณที่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยรักเพื่อให้ - รักนิรันดร์ - รักที่มั่นคงในทุกสรรพสิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อแบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จิตสำนึกนี้หายไป ปล่อยให้จิตหยาบ(คือจิตที่ไม่รู้คิด รู้นึก รู้พิจารณา) อันเป็นจิตภายนอก(จิตวิญญาณ คือ จิตภายในที่อยู่ลึกเข้าไป) นำพาไปตามอารมณ์ ตามความอยาก ความไม่อยาก ชอบ - ไม่ชอบ ถูกใจ - ไม่ถูกใจ โลภ - โกรธหลง - งมงาย มนษย์เราเข้าใจผิดมาตลอดว่า สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้สัมผัส ได้ลิ้มรสมานั้น จิตใจหรือดวงจิตที่อยู่ภายนอกคือจิตหยาบ จะเป็นผู้รับรู้ สั่งการ แทนดวงจิตภายใน (จิตวิญญาณ) จิตภายในไม่เคยได้รับรู้และสั่งการใด ๆ เลย การปฏิบัติตามพันธะสัญญาข้อนี้ ก็เพียงแต่ เมื่อมนุษย์สัมผัสใด ๆ แล้วต้องมีสตินำสิ่งที่สัมผัส ความรู้สึกต่าง ๆ สั่งต่อเข้าไปให้ถึงจิตภายใน หรือ จิตวิญญาณ ดั้งเดิม ซึ่งมีแต่ความรักอันบริสุทธิ์

    [​IMG]ผลกรรมที่มนุษย์ทำขึ้น เป็นการสั่งการของจิตหยาบที่เจ้าของปล่อยปละละเลยให้ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณที่แท้จริงมาเสียนาน มนุษย์จึงต้องฝึกฝนให้จิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ คือ ใช้สติ - มหาสติเพื่อผ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆที่ได้รู้ ได้ดู ได้เห็น ได้ยิน ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสเข้าไปให้ถึงจิตภายในหรือจิตวิญญาณๆ ก็จะเป็นผู้ทำหน้าที่แทนจิตหยาบ หรือจิตหยาบก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ หากมนุษย์ปฏิบัติเช่นนี้ได้ มนุษย์จะไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติเหลวไหล ต่ำทรามเหมือนทุกวันนี้

    [​IMG]4. จะสืบทอดเผ่าพันธ์ "มนุษย์" ไว้

    [​IMG]มนุษย์คือ ผู้มีจิตใจสูงส่ง การสืบทอดเผ่าพันธุ์ไม่จำกัดเฉพาะการสืบพันธ์ แต่หมายถึงการบ่มเพาะให้เกิดอารมณ์รู้สึกด้านบวก ด้วยความรักอันบริสุทธิ์ตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้อารมณ์ร้ายของกิเลสตัณหาได้ครอบงำจิตใจของตนเลย

    [​IMG]5.จะเป็นเงื่อนไขด้านบวกต่อผู้อื่น

    [​IMG]ความหมายก็คือ จะไม่ทำให้ผู้อื่น โกรธ เกลียด ด้วยการรู้จัก อดทน อดกลั้น ให้อภัยแก่ผู้อื่นเสมอ เพื่อให้ผู้อื่นมีอารมณ์รู้สึกด้านบวกและกระทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม

    [​IMG]6.จะย้อนคืนสู่แดนสุญญตาที่ตนจากมา

    [​IMG]พันธะสัญญาทั้ง 6 ประการนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดประสบความล้มเหลว มาหลงระเริงยึดมั่นอยู่กับกิเลสตัณหาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น นอกจากไม่ทำงานร่วมกับโลกแล้ว ยังทำลายโลกอีก ไม่ยอมกลับคืนสู่แดนสูญญตาที่ตนจากมา แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแสนนาน 8 หมื่น 8 ร้อยกว่าปีมาแล้ว นั่นจึงเป็นที่มาของการชำระล้างครั้งใหญ่เพื่อกลับคืนสู่ความสมดุล<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=tborder id=post4078993 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> วันนี้, 01:10 AM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1397 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Crystal DNA<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4078993", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2010
    ข้อความ: 46
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_4078993 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->สัจจะหรือพันธสัญญา ที่ให้ไว้ก่อนลงมาเป็นมนุษย์ จำได้ไหมเอ่ยพวกเรา<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->การที่มนุษย์ชาติทั้งปวงได้ลงมาเกิดบนโลกใบนี้ก็เพราะได้อาสาจิตวิญญาณดวงใหญ่ แบ่งภาคจิตจักรวาลดวงเล็กลงมาเกิดในสัดส่วน ที่ลงมาเป็นมนุษย์ถึงร้อยละ 70 คงไว้บนแดนสุญญตาเพียง ร้อยละ 30 และในการแบ่งภาคลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ จิตจักรวาลดวงหนึ่งสามารถแบ่งภาคลงมาได้ถึง 36 ดวงจิตวิญญาณ กล่าวคือ เกิดเป็นมนุษย์ได้ถึง 36 คน เพื่อจะได้ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นพันธะสัญญา ที่ให้ไว้กับจิตจักรวาลดวงใหญ่

    [​IMG]พันธะสัญญาดังกล่าว มี 6 ประการ ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานของความรักที่บริสุทธิ์ - รักเพื่อให้ - รักชั่วนิรันดร์ - รักที่มั่นคงในสรรพสิ่งต่าง ๆ กล่าวคือ

    [​IMG]1. จะเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก

    [​IMG]โลกใบนี้ มีแรงเหวี่ยง หมุนรอบตัวเองได้ตลอดเวลามาช้านาน อย่างไม่เสียสมดุลย์ เพราะการระเบิดของออกซิเจนจากใจกลางโลก ซึ่งเป็นแท่งออกซิเจนขนาดมหึมา สิ่งที่จะทำให้เกิดการระเบิดในใจกลางโลกใบนี้ ก็คือ คลื่นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกด้านบวก ไม่ใช่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกด้านลบ อันเกิดจากกิเลส อุบัติเลส ตัณหาราคะ คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง ความงมงาย

    [​IMG]แต่มนุษย์ไม่รักษาอารมณ์ ไม่รักษาจิตใจ รักให้ได้ ให้ให้เป็นต่อทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ว่า จะเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง สัตว์ พืช ภูเขา แม่น้ำ แร่ธาตุ โดยไม่ทำลาย ไม่เปลี่ยนสภาพ ตามความอยากได้ใคร่มีทางเศรษฐกิจ ทางสังคม เช่นที่มนุษย์ประพฤติ ปฏิบัติกันอยู่ เท่านั้น โดยสัจจะความจริง แรงรัก แรงเมตตาจากอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ เพียง 1% จะซึมลงไปใจกลางโลก ไปเป็นชนวนระเบิดแท่งออกซิเจน ให้แกนโลกหมุนตัว บิดตัวได้อย่างสมดุลย์ ทุกวันนี้แกนโลกบิดตัวน้อยลง โลกหมุนช้าลง แกนโลกเอียงมากขึ้น จนเกิดภาวะโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ก็เพราะแรงความรัก ความเมตตาจากจิตมนุษย์ลดลง ทั้งโลกเต็มไปด้วยแรงแห่งความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยา การฆ่าฟันล้างเผ่าพันธุ์กันเอง รวมทั้งการทำลายทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนผิวโลก ในอากาศที่ห่อหุ้ม และใต้โลก ใต้บาดาลด้วยการขุดเจาะน้ำมัน

    [​IMG]มนุษย์ทุกวันนี้ ไม่ได้ทำหน้าที่ตามพันธะสัญญาข้อ 1. นี้ แถมยังลืมหน้าที่นี้ไปหลงมัวเมากับกิเลสตัณหามากขึ้น ๆ

    [​IMG]2. จะไม่เบียดเบียนกันเองและสรรพสิ่ง

    [​IMG]การเบียดเบียน คือ การทำร้าย ทำลาย การสร้างความเดือดร้อนด้วยกาย - ใจแก่บุคคลอื่นรวมถึง สัตว์ พืช ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ อากาศ อันเป็นสิ่งที่เราได้พบเห็นมากขึ้น ๆ บนโลกใบนี้

    [​IMG]3.จะยกระดับจิตสำนึกให้เป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้

    [​IMG]มนุษย์ทุกวันนี้ไม่ทราบว่า แก่นแท้ของตนคืออะไร คำตอบก็คือ ดวงจิตวิญญาณ ดั้งเดิมที่แยกแบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกได้ ความจำได้ ความหมายรู้ และความสามารถในการแสดงออกด้วยการกระทำหรือความพฤติใดๆ จิตวิญญาณของมนุษย์ในขณะที่อยู่ในแดนสูญญตา กับจิตจักรวาลดวงใหญ่จะเป็นดวงจิตธรรมญาณที่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยรักเพื่อให้ - รักนิรันดร์ - รักที่มั่นคงในทุกสรรพสิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อแบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จิตสำนึกนี้หายไป ปล่อยให้จิตหยาบ(คือจิตที่ไม่รู้คิด รู้นึก รู้พิจารณา) อันเป็นจิตภายนอก(จิตวิญญาณ คือ จิตภายในที่อยู่ลึกเข้าไป) นำพาไปตามอารมณ์ ตามความอยาก ความไม่อยาก ชอบ - ไม่ชอบ ถูกใจ - ไม่ถูกใจ โลภ - โกรธหลง - งมงาย มนษย์เราเข้าใจผิดมาตลอดว่า สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้สัมผัส ได้ลิ้มรสมานั้น จิตใจหรือดวงจิตที่อยู่ภายนอกคือจิตหยาบ จะเป็นผู้รับรู้ สั่งการ แทนดวงจิตภายใน (จิตวิญญาณ) จิตภายในไม่เคยได้รับรู้และสั่งการใด ๆ เลย การปฏิบัติตามพันธะสัญญาข้อนี้ ก็เพียงแต่ เมื่อมนุษย์สัมผัสใด ๆ แล้วต้องมีสตินำสิ่งที่สัมผัส ความรู้สึกต่าง ๆ สั่งต่อเข้าไปให้ถึงจิตภายใน หรือ จิตวิญญาณ ดั้งเดิม ซึ่งมีแต่ความรักอันบริสุทธิ์

    [​IMG]ผลกรรมที่มนุษย์ทำขึ้น เป็นการสั่งการของจิตหยาบที่เจ้าของปล่อยปละละเลยให้ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณที่แท้จริงมาเสียนาน มนุษย์จึงต้องฝึกฝนให้จิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ คือ ใช้สติ - มหาสติเพื่อผ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆที่ได้รู้ ได้ดู ได้เห็น ได้ยิน ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสเข้าไปให้ถึงจิตภายในหรือจิตวิญญาณๆ ก็จะเป็นผู้ทำหน้าที่แทนจิตหยาบ หรือจิตหยาบก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ หากมนุษย์ปฏิบัติเช่นนี้ได้ มนุษย์จะไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติเหลวไหล ต่ำทรามเหมือนทุกวันนี้

    [​IMG]4. จะสืบทอดเผ่าพันธ์ "มนุษย์" ไว้

    [​IMG]มนุษย์คือ ผู้มีจิตใจสูงส่ง การสืบทอดเผ่าพันธุ์ไม่จำกัดเฉพาะการสืบพันธ์ แต่หมายถึงการบ่มเพาะให้เกิดอารมณ์รู้สึกด้านบวก ด้วยความรักอันบริสุทธิ์ตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้อารมณ์ร้ายของกิเลสตัณหาได้ครอบงำจิตใจของตนเลย

    [​IMG]5.จะเป็นเงื่อนไขด้านบวกต่อผู้อื่น

    [​IMG]ความหมายก็คือ จะไม่ทำให้ผู้อื่น โกรธ เกลียด ด้วยการรู้จัก อดทน อดกลั้น ให้อภัยแก่ผู้อื่นเสมอ เพื่อให้ผู้อื่นมีอารมณ์รู้สึกด้านบวกและกระทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม

    [​IMG]6.จะย้อนคืนสู่แดนสุญญตาที่ตนจากมา

    [​IMG]พันธะสัญญาทั้ง 6 ประการนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดประสบความล้มเหลว มาหลงระเริงยึดมั่นอยู่กับกิเลสตัณหาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น นอกจากไม่ทำงานร่วมกับโลกแล้ว ยังทำลายโลกอีก ไม่ยอมกลับคืนสู่แดนสูญญตาที่ตนจากมา แม้เวลาจะล่วงเลยมานานแสนนาน 8 หมื่น 8 ร้อยกว่าปีมาแล้ว นั่นจึงเป็นที่มาของการชำระล้างครั้งใหญ่เพื่อกลับคืนสู่ความสมดุล<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอ เข้า คำถาม :-
    กุญแจ มันเป็น กุญแจเลย
    หรือ เราต้องสร้างกุญแจก่อน เพื่อเป็นกุญแจ
    หรือ เราต้องหากุญแจให้เจอ
    แล้ว ตัวกุญแจเอง ต้องสร้างตัวเอง หรือให้คนอื่นมาสร้าง หรือมาเป็นกุญแจแล้วเลย และก็ไม่ต้องหา มันจะมาเอง

    หรือไง ??




    KEY = 447 = DD จาก G (GREAT & GRAND) = ผู้ที่มีหน้าที่ในการทำความเป็นจริง ของธรรม และ ธรรมชาติ ให้ปรากฏ หรือ ผู้ที่มีหน้าที่ในการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปตามกาลเวลา กลับอยู่ในสภาพสมบูรณ์

    ทุก ๆ KEY มีคุณค่าเสมอเหมือนกัน มีหน้าที่ในการสนับสนุน และเติมเต็มซึ่งกันและกันในแนวทางแห่งส่วนรวม เพื่อดุลยภาพของจักรวาล หรือ ธรรมชาติ


    จินตวดี
     
  2. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    KEY สารพัด + สารพัด KEY

    3 IN 1 (JINTAWADEE)
    ความรู้สึกพื้นฐาน (สมสฤษดิ์)
    ไม่เอาดี ไม่เอาชั่ว (หนุมาน ผู้นำสาร)
    มาเป็นระยะ ระยะ (PANNATEE)
    อย่าได้ก้มหัวให้กับผู้ใด (MAWMEE)
    เราต้องช่วยผู้อื่น (ทิวลิป สีขาว)
    บางครั้งที่สับสน ต้องขอบคุณความสับสนอย่างที่สุด (PANNATEE)
    สันติสุขสันต์ (PANNATEE)
    คุณจะไม่ลืมวันพระอีกต่อไป (HEREUS)

    ข้าพเจ้ามาเพื่อสนับสนุนข้อความของคุณ CRYSTAL DNA เกี่ยวกับเรื่องยุคดุลยภาพ ยุคแห่งพลังงานใหม่ที่โลกกำลังเดินทางสู่

    ผู้ที่สามารถปรับพื้นฐานธาตุขันธ์ของร่างกายอันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ให้เข้ากับ ยุคพลังงานใหม่ได้ จำเป็นจะต้องอาศัยพื้นฐานทางด้านจิตใจด้วย

    เพราะ กาย ย่อม ดุลยภาพ จิต
    จิตเป็นเช่นไร กายย่อมเป็นเช่นนั้น
    โลกภายในเป็นพิมพ์เขียวของโลกภายนอกเสมอ

    การปรับธาตุขันธ์ร่างกายของมนุษย์ให้เข้ากับยุคพลังงานใหม่ ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนแรงสั่นสะเทือน หรือ ความรู้สึกนึกคิดภายใน โดยอาศัยการสนับสนุนของ 3 หลักใหญ่


    1.อาศัยหลักความรัก ความเมตตา ความอดทนอดกลั้น เสียสละให้อภัย (ความรัก ความเมตตา อันไม่ประมาณ) ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ทั้งจาก ภายใและ ภายนอก

    ภายใน = การกลับเข้าสู่ภายใน โดยอาศัยหลักการเจริญสมาธิ หรือ เจริญวิปัสสนา สติปัฐฐาน

    ภายนอก = โดยอาศัยสิ่งเร้า และแรงกระตุ้นภายนอก ซึ่งมาเป็นระยะระยะ

    ข้อมูลสนับสนุน CRYSTAL DNA
    เงื่อนไขที่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกสูงสุดได้ ประกอบด้วยเงื่อนไขภายนอก ซึ่งมีเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆเป็นผู้ช่วยเหลือ สร้างเรื่อง เหตุการณ์หรือสร้างสถาณการณ์ในชีวิตจริงหลากหลายลีลาให้ได้เผชิญ เช่น การทำตนเป็นคนน่าสงสาร การทำตนเป็นคนเลวเพื่อให้เราอดทน อดกลั้นหรือให้อภัยต่อเขา การทำตนให้น่ารักน่าเอ็นดูเพื่อให้เรามีเมตตารักใคร่เอ็นดู

    มนุษย์จึงต้องฝึกฝนให้จิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ คือ ใช้สติ - มหาสติ (มหาสติปัฐฐาน) เพื่อผ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆที่ได้รู้ ได้ดู ได้เห็น ได้ยิน ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสเข้าไปให้ถึงจิตภายในหรือจิตวิญญาณๆ ก็จะเป็นผู้ทำหน้าที่แทนจิตหยาบ หรือจิตหยาบก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ

    2. ปัญญา คือมีปัญญาในการพิจารณา ทำความเข้าใจ และมองเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ และ จักรวาล และเปลี่ยนความเชื่อ (ความเข้าใจผิด, ความไม่รู้, อจินไตย) ให้เป็น ความรู้ (ความรู้, จินไตย, ความรู้ความทรงจำข้ามชาติภพ, จิตวิญญาณ) เมื่อใดที่เรามีปัญญา เมื่อนั้นเราไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้กับความเชื่อใด ๆ อีกต่อไป

    ข้อมูลสนับสนุน (CRYSTAL DNA)
    มนษย์เราเข้าใจผิดมาตลอดว่า สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้สัมผัส ได้ลิ้มรสมานั้น จิตใจหรือดวงจิตที่อยู่ภายนอกคือจิตหยาบ จะเป็นผู้รับรู้ สั่งการ แทนดวงจิตภายใน (จิตวิญญาณ) จิตภายในไม่เคยได้รับรู้และสั่งการใด ๆ เลย การปฏิบัติตามพันธะสัญญาข้อนี้ ก็เพียงแต่ เมื่อมนุษย์สัมผัสใด ๆ แล้วต้องมีสตินำสิ่งที่สัมผัส ความรู้สึกต่าง ๆ สั่งต่อเข้าไปให้ถึงจิตภายใน หรือ จิตวิญญาณ ดั้งเดิม ซึ่งมีแต่ความรักอันบริสุทธิ์


    3. ความบริสุทธิของจิต คือ การมองข้าม ถูก ผิด ดีชั่ว ที่เป็นเพียงแค่การปรุงแต่งของจิตขั้นหยาบ เพื่อการกลับสู่แก่นแท้ของจิตวิญญาณ

    สนับสนุนข้อความ CRYSTAL DNA
    แก่นแท้ของตนคืออะไร คำตอบก็คือ ดวงจิตวิญญาณ ดั้งเดิมที่แยกแบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกได้ ความจำได้ ความหมายรู้ และความสามารถในการแสดงออกด้วยการกระทำหรือความพฤติใดๆ จิตวิญญาณของมนุษย์ในขณะที่อยู่ในแดนสูญญตา กับจิตจักรวาลดวงใหญ่จะเป็นดวงจิตธรรมญาณที่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยรักเพื่อให้ - รักนิรันดร์ - รักที่มั่นคงในทุกสรรพสิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อแบ่งภาคลงมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จิตสำนึกนี้หายไป ปล่อยให้จิตหยาบ(คือจิตที่ไม่รู้คิด รู้นึก รู้พิจารณา) อันเป็นจิตภายนอก(จิตวิญญาณ คือ จิตภายในที่อยู่ลึกเข้าไป) นำพาไปตามอารมณ์ ตามความอยาก ความไม่อยาก ชอบ - ไม่ชอบ ถูกใจ - ไม่ถูกใจ โลภ - โกรธหลง - งมงาย

    ทั้ง 3 ประการข้างบนนี้ เปรียบได้กับความรู้สึกพื้นฐานที่มนุษย์พึงมี และ พึงปฏิบัติในขณะดำรงอยู่กับโลก

    ทั้ง 3 ประการทำหน้าที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน จะขาดข้อใดข้อหนึ่งก็มิได้ เปรียบเสมือนกับที่เราทั้งหลายที่เปรียบเสมือน คีย์ หรือ กุญแจที่ทำหน้าที่ส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน หรือ การที่คีย์ของเราทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่นให้เกิดปัญญา อุปมาอุปมัยดั่งการหมุนกงล้อหนึ่งไปกระทบกงล้อหนึ่งให้หมุนตามกันไปเรื่อย ๆ จนเกิดปัญญาในการทำให้หลุดพ้นได้ทั้งหมดในที่สุด

    อีกทั้งยังเป็นพื้นฐาน ของ ความสันติสุขให้เกิดแก่โลกและจักรวาลอย่างยั่งยืน

    ทั้งสามประการข้างบนนี้ จึงมิได้มีความแตกต่างไปจากแก้ว 3 ประการของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสถึง ศีล (เย็น, บริสุทธิ) สมาธิ และปัญญา อันเป็นแนวทางแห่งการหลุดพ้นไปจากวัฏฏสังสาร แม้แต่น้อย


    สันติสุข

    จินตวดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2010
  3. nunnapath

    nunnapath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    280
    ค่าพลัง:
    +256
    เราต้องหากุญแจให้เจอ เพราะนั่นคือคำตอบ และกุญแจก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลนอกจากอยู่ในตัวเรา และตัวเราก็ต้องเป็นผู้ไขกุญแจนั้นเอง...สรรพสิ่งในโลกนี้ จักรวาลนี้ ล้วนมีที่มาเราลงมาเพื่อศึกษาค้นหาความจริงของการเป็นมนุษย์เกิดมาเพื่อเรียนรู้สิ่งที่ทำผิดพลาดแล้วต้องแก้ไขเพื่อที่จะได้เดินต่อไปหากเราสามารถแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดและเรียนรู้ที่จะไม่ทำอีก ต้องเป็นหนทางเดินต่อไปจนถึงจุดหมายปลายทาง...สิ่งที่เขียนเป็นเพียงความคิดของเราเอง ไม่ได้ปรุงแต่งก็ไม่เชิง แต่เป็นเพียงความนึกคิดภายใต้จิตสำนึกของเราเอง
     
  4. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
     
  5. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,437
    ค่าพลัง:
    +1,770
    ในที่สุดก็รู้แล้ว.....







     
  6. Sopasiri

    Sopasiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    449
    ค่าพลัง:
    +912
    May open ... and will found , when stop finding ... no need to find anymore ... answer is there ... leave every thing ... not care to die and leave the world ... that's over the world...
    [COLOR=#000000 ! important][FONT=Arial ! important][COLOR=#000000 ! important][FONT=Arial ! important][COLOR=#000000 ! important][FONT=Arial ! important]Languages[/FONT][/COLOR][COLOR=#000000 ! important][FONT=Arial ! important][/FONT][/COLOR][COLOR=#000000 ! important][FONT=Arial ! important]ja>th [/FONT][/COLOR][COLOR=#000000 ! important][FONT=Arial ! important]Google[/FONT][/COLOR][COLOR=#000000 ! important][FONT=Arial ! important]C[/FONT][/COLOR][COLOR=#000000 ! important][FONT=Arial ! important]E[/FONT][/COLOR][COLOR=#000000 ! important][FONT=Arial ! important][/FONT][/COLOR][​IMG][/FONT][/COLOR]
    <input id="bfeditField" style="background: none repeat scroll 0% 0% rgb(255, 204, 204) ! important; font-family: Arial ! important; font-size: 12px ! important; color: rgb(0, 0, 0) ! important; line-height: normal ! important; font-weight: normal ! important; vertical-align: middle ! important; border: 0pt none ! important; margin: 1px ! important;">
    [COLOR=#000000 ! important][FONT=Arial ! important] ไม่เป็น[/FONT][/COLOR]
    [/FONT][/COLOR]​
     
  7. Sopasiri

    Sopasiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    449
    ค่าพลัง:
    +912
    I stopped , Why you're not stop? Do Nothing... . . . ?
     
  8. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    ถิ่นกำเนิดชาติภพใด
    เดินทางไกลนานแสนนาน
    ฤดูกาลแปรเปลี่ยนไป
    ผูกใจรักสมัครสมาน
    พันธะสัญญาผูกพัน
    รอวันแก้ไข ให้รักษา
    สัจจะ คำมั่นสัญญา
    เวลาอำพรางลืมเลื่อน

    .........................
     
  9. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    ภารหน้าที่มีคำถาม
    ติดตามอย่างไรเห็นผล
    เนิ่นนานผ่านไปให้เตือน
    ฤา ลืมเลือนแล้ว สัญญา..

    .............................
     
  10. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    พระพุทธเจ้ากับจักรวาล

    พระพุทธเจ้ากับจักรวาล



    [​IMG]


    นพระไตรปิฏก พระพุทธเจ้าได้เขียนไว้ และได้พิสูจน์ได้โดยไอน์สไตน์ว่าศาสนาพูทธเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดค่ะ

    อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธ์อันยิ่งใหญ่ หลังจากที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแล้วก็ออกมายอมรับว่า การสัมผัสรับรู้ความจริงแท้ของจักรวาลทางศาสนา เป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์

    เรื่อง จักรวาล และเรื่อง ปรมาณู ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบอธิบายมาก่อน ถ้านักวิทยาศาสตร์นำบทสรุปของพระองค์ไปค้นคว้าต่อยอด วันนี้ความใฝ่ฝันเรื่อง การเดินทางข้ามเวลา ข้ามดาราจักร ข้ามจักรวาล การหายตัวได้ แทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ไปเลย

    มื่อกาลิเลโอค้นพบ ทางช้างเผือก เมื่อ 395 ปีก่อน หลังจากที่มีการสร้างกล้องโทรทรรศน์ขึ้นมาแล้ว เห็นดาวนับล้านๆดวงในทางช้างเผือก นักวิทยาศาสตร์ก็ตื่นเต้นกันใหญ่ เมื่อส่องกล้องออกไปนอกจักรวาล ก็พบแต่ความว่างเปล่า กาลิเลโอจึงสรุปว่า ขอบจักรวาลก็คือขอบของทางช้างเผือกนั่นเอง

    ทางช้างเผือกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 100,000 ปีแสง หมายความว่า ยานที่แล่นด้วยความเร็วเท่าแสง คือ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ต้องใช้เวลาวิ่งถึง 100,000 ปี ทางช้างเผือกใหญ่แค่ไหนไปหลับตานึกดูเอาเอง

    แต่วันนี้นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบจักรวาลใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกมากมาย นอกเหนือจากจักรวาลของเรา มีการคำนวณกันว่า จักรวาลเหล่านี้อาจมีมากถึง 10 ยกกำลัง 500 แห่ง คือ 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 500 ตัว ไปลองเขียนนับกันดูเป็นเท่าไร แต่ละจักรวาลก็มีกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ แตกต่างกันไป จักรวาลของเราเป็นเพียงอณูเล็กๆในหมู่จักรวาลทั้งหมดเท่านั้น

    สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีก่อนแล้ว ทรงตรัสไว้ในจูฬนีสูตร พระไตรปิฎก หน้า 215 เล่ม 20 ว่า

    ระบบสุริยะประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลาย โคจรไปร่วมกัน ดาราจักรมี 3 ขนาด คือ ดาราจักรอย่างเล็ก มีจำนวนนับพัน ดาราจักรอย่างกลาง มีจำนวนนับล้าน ดาราจักรอย่างใหญ่ มีจำนวนแสนโกฏิ และดาราจักรเหล่านี้ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับในที่สุด

    ฟริตจอฟ คาปรา ผู้เขียนหนังสือ เต๋าแห่งฟิสิกส์ บอกว่า ทฤษฎีควอนตัม และทฤษฎีสัมพันธภาพ ทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของเราคล้ายคลึงกับความเข้าใจของชาวพุทธและเต๋า เมื่อเอาสองทฤษฎีนี้มาใช้อธิบายปรากฏการณ์ของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม เราพบว่าอนุภาคเหล่านี้มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลาและไม่มีตัวตนที่แท้ คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับหลักแห่ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธ์อันยิ่งใหญ่ หลังจากที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแล้วก็ออกมายอมรับว่า การสัมผัสรับรู้ความจริงแท้ของจักรวาลทางศาสนา เป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์

    ถามว่า แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจึงไม่ให้ความสำคัญกับการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ คำตอบก็คือ ทรงเห็นว่าสิ่งที่ค้นพบนั้นเป็นความจริงทางธรรมชาติ แต่ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น ทางเดียวที่จะหลุดพ้นได้ก็คือ มรรค ที่นำไปสู่การนิพพานนั่นเอง


    จากหลักฐาน

    จูฬนีสูตร

    ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ให้พันแห่งโลกธาตุ รู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

    ดูกรอานนท์
    นั้นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน ฯ

    ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งที่ ๒ ว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่าดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขี สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ทำให้พ้นแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า

    ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ

    ดูกรอานนท์ นั้นเป็นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน

    ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่าดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขี สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู สถิตอยู่ในพรหมโลก ทำให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า

    ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำ
    โลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ


    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ดูกรอานนท์ เธอได้ฟังเรื่องพันโลกธาตุ เพียงเล็กน้อย ฯ

    ท่านพระอานนท์
    ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลเวลาแห่งเทศนาที่พระองค์จะพึงตรัส ภิกษุทั้งหลายได้สดับธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ


    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวท่านพระอานนท์


    พระอานนท์ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่ง มีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุ มหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้น ดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง

    ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่งพระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ

    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้

    เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว
    ท่านพระอุทายีได้กล่าวกับท่านพระอานนท์ว่า

    ดูกรอานนท์
    ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าว อย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา ๗ ครั้งพึงเป็นเจ้าจักพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ


    จบอานันทวรรคที่ ๓



    *****************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010
  11. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    รูปทรงต่างๆของดาราจักร

    ดาราจักรกังหัน
    ดาราจักรกังหัน หรือ Spiral Galaxy เป็นดาราจักรที่พบได้เป็นส่วนใหญ่ โดยพบประมาณ 75-80% ดาราจักรกังหันมีลักหณะสำคัญ คือ มีรูปทรงเป็นจานแบนตรงกลางมีส่วนโป่ง (Bulge) ซึ่งมีดาวอยู่เป็นจำนวนมาก และโดยรอบจะประกอบด้วยแขนกังหัน (Spiral Arms) กระจายออกในแนวระนาบ รอบจานในด้านบนและล่างของระนาบ คือ บริเวณเฮโล (Halo) ซึ่งมีดาวอยู่น้อยมาก
    โดยรวมแล้วดาราจักรกังหันจะประกอบด้วยดาวที่มี อายุค่อนข้างน้อย สังเกตจากสีของดาวที่มีสีออกไปทางฟ้าอ่อนนอกจากนี้สสารระหว่างดวงดาวภายใน ดาราจักรยังประกอบด้วยก๊าซที่เย็นและแผ่รังสีอินฟาเรดเป็นส่วนใหญ่ แสดงให้เห็นถึงการรวมตัวของดาวอย่างต่อเนื่อง
    ดาราจักรกังหันแบ่งเป็นสองชนิดย่อย คือ แบบธรรมดาและแบบดาราจักรกังหันบาร[SIZE=-2][/SIZE]

    ดาราจักรทรงรี
    ดาราจักรทรงรี หรือ Elliptical Galaxy (E) มีลักษณะ คือ จะไม่มีลักษณะของจานหรือกังหันปรากฏให้เห็นโดยรอบส่วนโป่งเลย
    ดาราจักรทรงรีมีสีออกแดง เป็นดาวที่มีอายุมากและนักดาราศาสตร์
    ยังพบการแผ่รังสีเอกซแสดงให้เห็่นว่ามีสสารระหว่างดวงดาวที่ร้อน
    และเบาบางกว่าดาราจักรกังหัน


    ดาราจักรไร้รูปทรง
    มักมีขนาดเล็ก จึงไม่สว่างนักจึงไม่สามารถจัดเข้ากับสองลักษณะนั้นได้
    [​IMG]
     
  12. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    เนบิวลา:จุดสิ้นสุดคือการเริ่มต้น

    เนบิวลา:จุดสิ้นสุดคือการเริ่มต้น

    เมื่อดาวฤกษ์จบชีวิตลง ดาวจะคืนสสารส่วนใหญ่กลับสู่อวกาศในรูปของเนบิวลา เมื่อเวลาผ่านไป เนบิวลา จะกระจายเป็นสสารระหว่าดวงดวฃาว ( Interstellar Medium) ซึ่งมักเป็ยฝุ่นอนุภาคหรือก๊าซที่เบาบางล่องลอยอยู่ระหว่างดวงดาว สสารระหว่าดวงดาวที่ถูกปล่อยออกมาจากดาวฤกษ์จึงมักมีะาตุหนักอยู่มากกว่า เนบิวลาที่ยังไม่เตฃคยมีดาวฤกษ์กำเนิดขึ้นมาก่อน ทั้งธาตุที่เกิดจากดาวมวลน้อยหรือปานกลาง คือ คาร์บอนและออกซิเจน และธาตุที่เกิดจากกาวมวลมากคือ ธาตุตั้งแต่ออกซิเจนขึ้นไปจนถึงนิกเกิล (ธาตุที่หนักกว่าและนิ้กิลเกิดขึ้นได้ในซูปเปอร์โนวาเท่านั้น)

    ก๊าซที่กระจายออกจากก๊าซของดาวฤกษ์มวลน้อย และมวลปานกลางในรูปของเนบิวลาดาวเคราะห์จะกระจายอยู่ในบริเวณแคบ ๆ ในดาราจักรเป็นส่วนใหญ่ ต่างจากก๊าซที่ระเบิดออกจากซูปเปอร์โนวาของดาวมวลมากที่มักจะระเบิดออกด้วยความเร็วกว่า 10,000 กิโลเมตร/วินาที ซึ่งสูงกว่าความเร็วหลุดพ้นของดาราจักรมาก ทำให้ก๊าซจากการระเบิดส่วนหนึ่งหลุดออกจากดาราจักรไปอย่าถาวร

    นอกจากก๊าซที่กระจายออกในช่วงการสิ้นอายุขัยแล้ว ดาราวาด (Stellar Wind) หรือกระแสอนุภาคพลังงานสุงที่พัฒนาออกมาตลอดช่วงชีวิตดาวก็พัดเป่าเอาธาตุต่าง ๆ ออกมาเป็นสสารระหว่าดวงดาวจำนวนมาก ดาราวาตจะรุนแรงเป็้นพิเศษในดาวมวลมากละช่วงท้าย ๆ ของชีวิตดาวมวลน้อย ก็าซที่เป่าออกในรูปของดาราวาตคล้อยฟองสบู่เรียกว่า ฟองก๊าซ (Hot Bubble) บริเวณขอบฟองห๊าซร้อนมีอุณหภูมิสุงประมาณ 1,000,000 เคลวิน และประกอบด้วยก๊าซไฮโดรเจนมีประจุเป็นส่วนใหญื ฟองเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในห้วงอวกาศ (ในดาราจักร) แต่มักจะสังเกตได้ยากเพราะบางมาก

    ทั้งก๊าซที่ปล่อยออกมาในรูปของดาราวาต หรือการสิ้นสุดอายุขัยของดางดาวต่างก็มีอุณหภูมิสูงมากแต่เมื่อล่องลอยออกไป ปะทะกับฝุ่นอนุภาคของสสารระหว่างดวงดาวจะค่อย ๆ เสียพลังงานและเย็นตัวลงจากฟองก๊าซร้อนก็จะกลายเป็นก๊าซอะตอมคุกกรุ่น (Warm Atomic Gas) ซึ่งสสารที่พบกระจายอยู่มากที่สุดในดาราจักร (อุณหภูมิประมาณ 100 เคลวิน ) จากนั้นจะเย็นตัวลงเป็นก๊าซอะตอมเย็น (Cool Atomic Clouds) ซึ่งมีอุณหถูมิประมาณ 100 เคลวิน เมื่อก๊าซมรฃีอุณหภูมิตำ่ลงความหนาแน่นของก๊าซก็เพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะความเร็วเฉลี่ยของอนุภาคก๊าซจะตำ่ลงทำให้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนได้ ง่ายและในที่สุดกลุ่มก๊าซจะมีอุณหภูมิตำ่ลงถึงระดับใกล้ 0 เคลวิน อีกครั้งในหมู่เมฆโมเลกุล (Molecutar Cloud) ซึ่งก๊าซเย็นตัวลงมากจนสามารถจับตัวอยู่ในรูปของโมเลกุลได้


    [​IMG]
     
  13. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    การแตกทำลายของจักรวาล

    การแตกทำลายของจักรวาล

    [​IMG]


    สาเหตุแห่งการแตกทำลายของจักรวาล

    สิ่งที่จะทำลายโลกมีอยู่ 3 สิ่งด้วยกัน คือ ไฟ น้ำ และลม

    ไฟอะไรกันจะเผาไหม้ได้ทั้งโลก ขนาดมีผู้ลักลอบเผาบ่อน้ำมันตั้งหลายบ่อ ซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุด ก็ไม่เห็นว่าจะเกิดความเสียหายมากมายอะไรนัก และอะไรหลายๆ อย่างในโลกก็ไม่ใช่ว่าจะไหม้ไฟไปเสียทั้งหมด และเช่นเดียวกัน

    อย่าเพิ่งเข้าใจว่า น้ำและลมจะทำลายโลกไม่ได้ เพราะคุ้นเคยกับภาพ หรือข่าวน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ต่างๆ พายุ ถล่มในหลายภูมิภาค ซึ่งก็ไม่เห็นจะสร้างความเสียหายมากมายแต่อย่างใด

    ไฟ น้ำ และลม ที่สามารถทำลายโลกได้นี้ ไม่ใช่ ไฟ น้ำ และลมอย่างที่เราเห็นหรือรู้จักกัน

    แต่เป็นไฟ น้ำ และลมประลัยกัลป์ที่มีอานุภาพในการทำลายมหาศาล เพราะเกิดด้วย แรงกรรมของสัตวโลก

    ซึ่งถ้าจะกล่าวตรงๆ แล้ว สัตวโลกที่ว่านี้ก็คือมนุษย์นั่นเอง เพราะว่าสัตว์อื่น ไม่สามารถจะทำกรรมอะไรได้มากมายเท่ามนุษย์ ส่วนมากล้วนกำลังเสวยวิบาก คือผลกรรมที่ตนเคยทำเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ พวกเทวดา และพรหมในชั้นต่างๆ ก็เสวยผลบุญอยู่ และปกติก็มีจิตใจที่ดีงามอยู่แล้ว ถึงได้ไปเกิดตรงนั้นได้

    ส่วนพวกที่เสวยทุกข์อยู่ในอบาย ไม่ว่าจะเป็นในมหานรกขุมต่างๆ ในยมโลก ที่เป็นเปรต อสุรกาย หรือแม้แต่สัตว์ดิรัจฉาน เพราะว่าสัตว์ที่เกิดในอบายนี้ ก็ย่อมต้องรับผลของบาปที่ตนกระทำ ด้วยวิธีการ และลักษณะต่างๆ กันไปตามแต่ละภพภูมิ จึงไม่มีโอกาสที่จะทำสิ่งไม่ดี ก็เหลือเพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่มี โอกาสอย่างเสรี ในการคิด พูด และทำสิ่งต่างๆ และเพราะเหตุที่มีเสรีภาพ ในการคิด พูด และทำได้ไม่มีที่ สิ้นสุดนี้เอง จึงทำให้มนุษย์ทำสิ่งไม่ดี ทำกรรมชั่ว เมื่อทำมากเข้า หนาแน่นเข้า ผลกรรมจึงทำให้โลกถูกทำลายลงในที่สุด


    *************************************************************************



    สิ่งที่ทำลายโลกขึ้นอยู่กับจิตใจมนุษย์


    [​IMG]




    ถึงแม้ว่าทั้ง ไฟ น้ำ และ ลม จะเป็นสิ่งทำลายโลกและสรรพสิ่งทั้งปวง (ซึ่งไม่มีสิ่งใดๆ ที่จะมีอานุภาพ การทำลายมากไปกว่านี้) แต่ใช่ว่าทั้ง 3 สิ่ง จะสามัคคีชุมนุมมะรุมมะตุ้มตะลุมบอนออกฤทธิ์ถล่มโลกจน แตกสลายก็หาไม่ เพราะการทำลายจะเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง คือถ้าเป็นไฟ ก็ไฟอย่างเดียว ถ้าเป็นน้ำก็น้ำอย่างเดียว และถ้าเป็นลมก็ลมอย่างเดียว

    การที่สิ่งใดจะทำลายโลกนั้น ขึ้นอยู่กับจิตใจของมนุษย์ว่า หนาแน่นไปด้วยกิเลสตระกูลใดมากที่สุด

    ซึ่งถ้าจิตใจมนุษย์หนาแน่นด้วยกิเลส ตระกูลโทสะ โลกจะถูกทำลายด้วยไฟ
    ถ้ามนุษย์มีจิตใจที่หนาแน่นไปด้วย ราคะ โลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ
    และถ้าจิตใจของมนุษย์หนาแน่นด้วยกิเลส ตระกูลโมหะ โลกก็จะถูกทำลาย ด้วยลม

    เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราก็สามารถเลือกได้ว่า เราจะให้โลกถูกทำลายด้วยอะไรดี ถ้าอยากให้โลกถูก ทำลายด้วยไฟ ก็เกลียดกันเข้าไป โกรธกันเข้าไป ถ้าอยากจะให้โลกถูกทำลายด้วยน้ำก็โลภกันให้มากๆ เห็นแก่ตัวกันเข้าไป หมกมุ่นกามกันให้มาก และถ้าอยากจะให้โลกถูกทำลายด้วยลมก็ไม่ต้องสนใจกฎแห่งกรรม ไม่ต้องเชื่อบุญเชื่อบาป จะทำอะไรก็จงทำด้วยความพอใจไปเถิด แต่ถ้าอยากให้โลกอยู่รอดปลอดภัย ไม่ถูกสิ่งใดทำลายเลย ก็ต้องช่วยกันให้มนุษย์ทั่วทั้งโลกไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสทั้ง 3 ตระกูล

    นอกจากโลกจะไม่ถูกทำลายด้วย ไฟ น้ำ หรือลมพร้อมกัน แต่จะถูกทำลายด้วยอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังกล่าวแล้ว
    ในการทำลายของทั้ง 3 สิ่งนี้ ยังมีระยะเวลาและลำดับในการทำลายด้วย

    โลกจะถูกทำลายด้วยไฟเป็นสิ่งแรก และจะถูกทำลายเป็นครั้งๆ ไป ถึง 7 ครั้ง ในครั้งที่ 8 โลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ
    หลังจากนั้นถูกทำลายด้วยไฟอีก 7 ครั้ง แล้วถูกทำลายด้วยน้ำอีก
    จะเป็นเช่นนี้จนกระทั่งครั้งที่ 64
    โลกจึงจะถูกทำลายด้วยลม 1 ครั้ง

    หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการเกิดขึ้นของโลกและจักรวาลขึ้นใหม่ และโลกก็จะถูกทำลายอีกจะเป็นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

    เมื่อรวมจำนวนที่โลกถูกทำลายด้วยสิ่งต่างๆ ใน 64 ครั้ง
    จะถูกทำลายด้วยไฟ 56 ครั้ง ถูกทำลาย ด้วยน้ำ 7 ครั้ง และถูกทำลายด้วยลม 1 ครั้ง




    ลักษณะที่จักรวาลถูกทำลาย



    1 เมื่อจักรวาลถูกทำลายด้วยไฟ

    การที่โลกถูกทำลายด้วยไฟนั้น เริ่มจากจะไม่มีฝนตกเป็นเวลายาวนาน ความแห้งแล้งเริ่มปรากฏขึ้น ต้นไม้ทั้งหลายต่างเหี่ยวแห้งและตายจนหมดสิ้น ในกาลต่อมา ดวงอาทิตย์ดวงที่ 2 ปรากฏขึ้น ทำให้ ขณะนั้นโลกและจักรวาลมีดวงอาทิตย์ถึง 2 ดวง ทำให้ไม่มีกลางวันและกลางคืน เนื่องเพราะว่าโลกถูก แสงสว่างเจิดจ้าจากดวงอาทิตย์ทั้ง 2 ด้าน
    ดวงอาทิตย์ดวงที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ จะมีความร้อนรุนแรงกว่าดวงอาทิตย์ที่มีมาแต่เดิม ทั้งนี้เป็นเพราะดวงอาทิตย์ดวงที่เกิดขึ้นใหม่นี้เกิดด้วยอานุภาพกรรมของ มนุษย์ จึงไม่มีสุริยเทพบุตรอยู่เหมือน ดวงอาทิตย์ดวงแรกซึ่งไม่ได้เกิดจากแรงกรรม และด้วยความร้อนแรงที่มากขึ้นอย่างมหาศาล สุริยเทพบุตรที่ อาศัยอยู่ในดวงอาทิตย์ดวงเดิมนั้น ก็ไม่อาจจะอยู่ต่อไปได้ จึงเร่งทำความเพียรเจริญภาวนา เพื่อให้ได้ฌาน และหนีไปบังเกิดยังพรหมโลกชั้นสูง ซึ่งเป็นภพที่อานุภาพการทำลายไปไม่ถึง
    และเพราะเหตุที่มีดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นถึง 2 ดวง อุณหภูมิความร้อนในโลกจึงทวีขึ้นอย่างมากมาย ส่งผลให้บนท้องฟ้าปราศจากเมฆและหมอก น้ำตามแหล่งน้ำต่างๆ เหือดแห้ง น้ำที่ยังเหลืออยู่ในโลก มีเพียงน้ำในแม่น้ำ 5 สาย คือแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี มหิ และสรภู เท่านั้น มนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ต่างล้มตายและไปบังเกิดในพรหมโลกทั้งหมด เพราะพากันเร่งรีบเจริญภาวนาเพื่อให้ได้ฌานกัน ทั้งนี้เพราะทราบล่วงหน้าว่าภัยร้ายแรงจะมาเยือน

    สาเหตุที่มนุษย์ทราบว่าโลกจะถูกทำลายนั้น เนื่องจากก่อนที่โลกจะถูกทำลายแสนปี จะมีเทวดาประเภทหนึ่ง เรียกว่า โลกพยุหเทวดา นุ่งห่มด้วยผ้าสีแดง มาป่าวประกาศให้มนุษย์ทราบว่า อีกแสนปี ข้างหน้าโลกจะพินาศ รวมทั้งจักรวาล ตลอดจนสรรพสิ่งทั้งปวง แม้กระทั่งภูมิของสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น จนถึงพรหมโลกชั้นที่ได้ปฐมฌาน และยังแนะนำต่อไปอีกว่า อย่าประมาทให้เร่งสร้างบุญกุศล เพื่อจะได้ไปเกิดในภูมิที่พ้นจากความพินาศนี้

    หลังจากที่เทวดานั้นมาประกาศให้มนุษย์ทราบแล้ว มนุษย์ต่างบังเกิดความสลดสังเวชใจ จึงเร่งสร้างบุญกุศล และบำเพ็ญภาวนากันจนได้ฌานสมาบัติ ตายแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก เหล่าเทวดา และพรหมก็เช่นกัน ต่างเร่งเจริญภาวนาเพื่อจะได้ไปบังเกิดในภพภูมิที่ปลอดภัย ส่วนสัตว์ในอบายภูมิทั้งหลายเมื่อพ้นจากวิบากกรรมมาเกิดเป็นมนุษย์ และทราบเรื่องที่เทวดามาประกาศ ก็เร่งสร้างบุญกุศลและเจริญภาวนาเช่นกัน คงเหลือเพียงผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิที่ไม่เร่งสร้างบุญกุศล เมื่อโลกถูกทำลายจึงไปบังเกิดใน ภพภูมิเดิมของจักรวาลอื่นที่ยังไม่ถูกทำลาย

    หลังจากนั้นมาอีกยาวนาน ดวงอาทิตย์ดวงที่ 3 ปรากฏขึ้น และด้วยอานุภาพความร้อนแรงที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้น้ำที่เคยเหลืออยู่ในแม่น้ำทั้ง 5 นั้น เหือดแห้งไปจนหมดสิ้น ต่อมาปรากฏมีดวงอาทิตย์ดวงที่ 4 ความร้อนแรงยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทับทวี จนกระทั่งทำให้น้ำในสระใหญ่บริเวณป่าหิมพานต์ซึ่งละลายมาจากหิมะ แห้งหายจนหมดสิ้น น้ำในมหาสมุทรของจักรวาลเริ่มแห้งขอดลง

    หลังจากนั้น ดวงอาทิตย์ดวงที่ 5 ก็บังเกิดขึ้น ถึงตรงนี้ น้ำในมหาสมุทรต่างๆ เหือดแห้งจนหมดสิ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ดวงที่ 6 ปรากฏ อานุภาพของความร้อนจึงทำให้แผ่นดินและภูเขาไม่หลงเหลือ ธาตุน้ำอยู่เลย ทำให้ไม่สามารถคงสภาพเดิมไว้ได้ กลายเป็นผงฝุ่นฟุ้งไปทั่วทั้งโลก

    ต่อจากนั้นดวงอาทิตย์ดวงที่ 7 ก็ปรากฏขึ้น ด้วยความร้อนแรงที่ไม่มีประมาณ ทำให้โลกธาตุทั้งแสนโกฏิจักรวาลลุกเป็นไฟขึ้นพร้อมกัน เกิดการระเบิดเสียงดังสนั่นกึกก้องกัมปนาท ยอดเขาพระสุเมรุอันเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา และดาวดึงส์ถอนหลุดออกจากที่ แล้วแตกแยกย่อยกระจัดกระจายสูญหายไปในอากาศ

    สำหรับเปลวไฟที่เผาทำลายโลกและจักรวาลนี้ จะเริ่มที่โลกมนุษย์ก่อน จากนั้นจึงลุกลามไปยังเทวโลกทุกชั้นตามลำดับ และเลยไปถึงพรหมโลกชั้นต้น ซึ่งเป็นพรหมที่ได้ปฐมฌาน ได้แก่ พรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา และมหาพรหมมา ไฟนี้จะไหม้อยู่เป็นเวลาที่ยาวนานมาก จนกระทั่งไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ ไฟจึงมอดดับลงในพรหมโลกชั้นนี้ หลังจากไฟมอดดับไปแล้ว จักรวาลเหลือเพียงอากาศว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดๆ บังเกิดความมืดมิดขึ้นทั่วทั้งจักรวาลเป็นเวลายาวนาน




    2 เมื่อจักรวาลถูกทำลายด้วยน้ำ


    การที่โลกถูกทำลายด้วยน้ำ จะไม่มีดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นเหมือนกับที่โลกถูกทำลายด้วยไฟ โลกยังคงมีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียวอย่างที่เคยเป็นมา แต่การทำลายจะเริ่มจาก มีเมฆที่มีฤทธิ์เป็นกรดเกิดขึ้น แล้วฝนจึงตกลงมาจากเมฆที่มีฤทธิ์เป็นกรดนั้น ทำให้กลายเป็นน้ำกรดที่มีฤทธิ์รุนแรง สามารถกัดละลายสรรพสิ่งทั้งหลายให้ละลายได้ โดยจะตกต่อเนื่อง ไม่มีขาดช่วงเลย แรกๆ ก็ตกมาทีละน้อยและมีเม็ดละเอียด แล้วจึงตกหนักขึ้น พร้อมกับขนาดของเม็ดที่โตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเหมือนสายน้ำ ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นๆ จนในที่สุด ท่วมพื้นแผ่นดินและภูเขา ท่วมโลกจนกระทั่งเต็มทั่วท้องจักรวาลทั้งแสนโกฏิจักรวาล

    น้ำซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดรุนแรงนี้ จะกัดละลายทุกสิ่งทุกอย่างจนสูญสลายไม่มีเหลือ ระดับน้ำจะสูงขึ้นไป จนท่วมสวรรค์ชั้นต่างๆ ท่วมถึงพรหมโลกชั้นที่ได้ทุติยฌาน คือ พรหมปริตตาภา พรหมอัปปมาณาภา และพรหมอาภัสสรา แล้วหยุดเพียงเท่านี้ สิ่งทั้งหลายที่จมน้ำหรือถูกท่วมถึง ก็จะถูกกัดละลายจนหมดสิ้น

    เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกกัดละลายจนไม่เหลือสิ่งใดๆ เลย น้ำซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดนั้นจะยุบแห้งหายไป เหลือเพียงอากาศที่ว่างเปล่าโล่งเตียนไม่หลงเหลือสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ทั่วทั้งจักรวาลมืดมิดไม่มีแสงสว่างใดๆ


    [​IMG]


    3 เมื่อจักรวาลถูกทำลายด้วยลม


    ในครั้งที่โลกและจักรวาลถูกทำลายด้วยลม โลกยังคงมีดวงอาทิตย์ดวงเดียวเช่นที่เคยเป็นมา แต่ การทำลายด้วยลมเริ่มจากมีลมเกิดขึ้น ในช่วงแรกเป็นเพียงลมอ่อนๆ แล้วจึงแรงขึ้นตามลำดับ จากที่พัด พาสิ่งที่มีน้ำหนักเบา ก็แรงจนสามารถทำให้สิ่งต่างๆ พัดปลิวไปในอากาศได้ เริ่มจากที่เพียงพัดฝุ่นให้ฟุ้งตลบขึ้น เป็นพัดพาทราย กรวด และก้อนหิน และแรงขึ้นจนพัดสิ่งต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่ ทั้งต้นไม้ อาคารบ้านเรือน ตลอดจนสรรพสิ่ง หลุดลอยขึ้นไปในอากาศ

    ด้วยอานุภาพรุนแรงอย่างมหาศาล จึงทำให้สิ่งต่างๆ ที่ถูกพัดขึ้นไปแหลกละเอียดกระจัดกระจายไม่เหลือสิ่งใดๆ เลย

    ต่อมาเกิดลมขึ้นใต้ผืนแผ่นดิน ความรุนแรงของลมได้พัดพลิกแผ่นดินให้หงายขึ้น และพัดปลิวขึ้นไปในอากาศ แม้แต่ภูเขา และน้ำจากแหล่งต่างๆ ทั้งในแม่น้ำ ทะเล และมหาสมุทร ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพัดปลิวขึ้นสู่อากาศ และแหลกกระจุยกระจายด้วยแรงลมที่มีความรุนแรงในการฉีกทำลายมหาศาล

    ลมได้พัดทำลายสรรพสิ่งสิ้นทั้งโลก พัดทำลายสิ่งต่างๆ ในจักรวาล เขาพระสุเมรุถูกพัดหลุดลอยขึ้นไปในอากาศ และแหลกละเอียดกระจัดกระจายไม่เหลือเศษ สวรรค์ชั้นต่างๆ จักรวาลทั้งหลายกระทบกระแทกเข้าหากันจนแตกละเอียดเป็นผุยผง ตลอดจนถึงพรหมโลกชั้นที่ได้ตติยฌานทั้ง 3 อันได้แก่ พรหมปริตตสุภา พรหมอัปปมาณสุภา และพรหมสุภกิณหา ได้ถูกลมพัดทำลายจนสิ้น

    เมื่อสิ่งต่างๆ ถูกทำลายจนหมดสิ้น ลมจึงสงบหายไป เหลือเพียงความเวิ้งว้างของท้องจักรวาล ที่มีแต่ความว่างเปล่าโล่งเตียนไม่หลงเหลือสิ่งใดๆ ปรากฏเพียงความมืดมิดทั่วทั้งจักรวาล

    [​IMG]




    ที่มา : หนังสือจักรวาลวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมกายแคลิฟอร์เนีย
     
  14. สมสฤษติ์

    สมสฤษติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +136

    ผม ขอ เพิ่มเติม นิดนึงนะครับ....
    ผมเกิด 25 สิงหา 2522 เวลา 12.14
    มีขวัญ (ขนก้นหอย) ทั้งแขนทั้งสองข้าง (คล้ายดัง หนุมาน)
    ชอบนั่งสมาธิ ตั้งแต่เด็ก (เพิ่ง มาเลิกนั่งได้ 2-3ปีหลังนี้เพราะงานยุ่งมาก)
    เคยเป็นโรค ชนิดนึง (ไม่ร้ายแรงมาก แต่ต้องอาศัยการผ่าตัด ถึงจะหาย)
    แต่ ผมจน จึงไม่ได้ไปผ่าตัด
    มีคืนนึง เหมือนฝันว่าได้ถูกพาไป ห้องๆนึง (จำไม่ได้มาก รู้แต่ว่าสว่างๆๆ)
    แล้วตื่นมา ผมก็หาย จากโรค(อาการนั้น) จนปัจจุบัน
    ไม่เคยเห็นผี หรือ สิ่งปกติใดๆ
    แต่ผมเชื่อ เรื่อง อำนาจลึกลับ 100% ทั้งๆที่จบ ปริญญาโท วิทยาศาสตร์
    ผมเห็น เลข เบิ้ล บ่อยมาก ช่วง 2-3 วันนี้ ตั้งแต่ 00-99
    ใจยังคงเต้น รัว และ แรง ตลอดเวลา (เพิ่งเช็ค สุขภาพประจำปี ที่ทำงาน หัวใจปกติ)
    แค่นี้แหละครับ ที่อยากเล่า
     
  15. pannatee

    pannatee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +65
    1.ใน key...ใช่ ฤา ไม่...สุดรู้
    อหังการ ยังอยู่...สุดหล้า
    กระจกส่อง..ฤาเห็น...ที่เป็นมา
    ทั้งสัญญา สุดจำ...ถึงความจริง...
    sleeping_rbjaah
     
  16. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    <table id="post4081143" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] เมื่อวานนี้, 06:06 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1407 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Crystal DNA
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2010
    ข้อความ: 47
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4081143" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center>อีกความหมายที่น่าสนใจของ 22 = Vortex energy

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> 22:22=Vortex energy : Vibration energy

    เรื่องพวกนี้ควรสอนมนุษย์เรามาตั้งนานแล้วเพราะจะทำให้มนุษย์ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเรา
    มากกว่าที่จะสอนเรื่องร้ายสาระที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=NzxPukebH4Y&feature=mfu_in_order&list=UL"]YouTube - Chakras - Vortex Energy Part 14 of 22[/ame]
    <table class="tborder" style="margin: 10px 0pt;" cellpadding="6" cellspacing="1"> <thead> <tr> <td class="tcat" colspan="2" style="text-align: center;"> [ame="http://www.youtube.com/watch?v=NzxPukebH4Y&feature=mfu_in_order&list=UL"]YouTube - Chakras - Vortex Energy Part 14 of 22[/ame] </td> </tr> </thead> <tbody> <tr> <td class="panelsurround" align="center">
    </td></tr></tbody></table>​


    </td></tr></tbody></table>

    22 = Vortex energy
    Vortex
    energy = 22+15+18+20+5+24 +5+14+5+18+7+25 =178 = QH =QUALITY of Humanity
    Vortex = 22+15+18+20+5+24 = 104 = JD = JUSTIFY DATA

    energy = 5+14+5+18+7+25 = 74 = GD = GREAT DATA

    Vortex
    energy = 104 +74 = 178 =QH = QUALITY Of Humanity ซึ่งหมายถึง คุุณลักษณะของมนุษยชาติ หรือ ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์
    178 = 17+8 = 25 = Y =YEAR


    22 = Vibration energy
    Vibration =22+9+2+18+1+20+9+15+14 =110 = AJ = Age Justify
    energy =+5+14+5+18+7+25 = 74 = GD =GREAT DATA

    Vibration energy = 110+74 = 184 = RD = Rotary Data การขับเคลื่อน หรือ หมุนรอบแกน
    184 = 18+4 = 22 = V


    25+22 = 47 = 11 = K = KEY
    06:06 = FF = FULL FILL

    จะเห็นได้ว่า ทุกข้อความทั้งหมดต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน ดังนั้น ข้อมูลของคุณ Crystal DNA และการแปลรหัสตัวเลขจึงมีความหมายเดียวกัน และเป็นกุญแจสำคัญ
    เพราะจะทำให้มนุษย์ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริง เป็นข้อมูลที่ช่วยเติมเต็มในการขับเคลื่อนของยุคพลังงานใหม่ หรือ เป็นปีแห่งการขับเคลื่อนสู่ยุคพลังงานใหม่..

    NEW UNIVERSE..
     
  17. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ขอบคุณ...คุรุ...ด้วยใจ:VO

    ในที่สุดก็รู้แล้ว.....



    ขอขอบคุณทุก ๆท่านที่มาโพสต์ ทุกท่านที่เข้ามาล้วนคือ KEY


    เราทุกคนที่เกิดมาภายใต้ร่างกายเนื้อหนังของมนุษย์ แม้จะมีสติปัญญาเลิศกว่าสัตว์ชนิดอื่น แต่ก็ยังมิใช่ ผู้รู้ หรือ คุรุ

    มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นผู้ไม่รู้ และมาจากความไม่รู้ และต่างก็เป็นผู้ที่กำลังเรียนรู้ เป็นผู้ที่กำลังเรียนรู้ที่จะใช้สติปัญญาของตนเองในการหาทางออกจากโลกแห่งการเกิด ดับ อันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ (INFINITY) โดยอาศัยจากการศึกษาถึงกลไกหลักของธรรมชาติ (INFINTY) หรือ ธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณ หรือ จักรวาล นั่นเอง


    ธรรมชาติความเป็นจริงของจักรวาล หรือ ธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณ ย่อมมีความหมายเดียวกัน เพราะทุกจักรวาล ย่อมมีจิตวิญญาณของจักรวาลอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ว่าท่านจะศึกษาจากธรรมชาติของสรรพสิ่งภายนอก (จักรวาล ธรรมชาติภายนอก)หรือ จะศึกษาจากธรรมชาติของสรรพสิ่งภายใน (จิตวิญญาณ ธรรมชาติภายใน) ท่านก็จะได้คำตอบเดียวกัน เพราะ สรรพสิ่งภายนอก และสรรพสิ่งภายใน ล้วนเป็นกระจกให้กันและกันเสมอ เปรียบดังพิมพ์เขียวของกันและกัน


    ความเป็นจริงของธรรมชาติของจักรวาล หรือ ของจิตวิญญาณ ล้วนตั้งอยู่บนเงื่อนไขแห่งการเกิด ดับ เหมือนกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ คือการใช้ประโยชน์จากความเป็นจริงธรรมชาติที่เราเรียนรู้ต่างหาก ว่าเราจะใช้ในแนวทางสร้างสรรค์แบบใด
    เช่นถ้าเรารู้ถึงกฏแห่งแรงดึงดูด หรือ กฏแห่งการกระทำ (กฏแห่งกรรม) ว่าจดจ่อสิ่งใด ได้สิ่งนั้น คือ คิดบวกได้บวก คิดลบได้ลบ ทำดีได้ดี ทำไม่ดีก็ต้องรับผลสิ่งนั้นในที่สุด

    เพราะเมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว เราทุกคนย่อมอยากประพฤติตนไปในแนวทางที่ดี เพื่อหลีกเลี่ยงผลลบทั้งหลายอันจะบังเกิดขึ้น เพราะผลที่เกิดขึ้นมิได้กระทบแต่เพียงแค่ มนุษย์ แต่ยังส่งผลกระทบต่อ โลก และ จักรวาลด้วย เป็นเงาตามตัว และนี่เป็นส่วนหนึ่งที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้กฏแห่งธรรมชาติได้ ในขณะที่เรายังคงดำรงอยู่ในวัฏฏสังสาร หรือยังคงหาทางออกไม่ได้


    องค์พระศาสดาทรงค้นพบความจริงจากธรรมชาติอันมีแต่ความเกิด ดับอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และทรงได้แสดงไว้ในอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (แนวทางแห่งการหลุดพ้น)


    กระทู้นี้เริ่มต้น จากความไม่รู้ และค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆตามกาลเวลา

    เราทุกคนที่เข้ามา และ เป็นคีย์ หรือ กุญแจ ล้วนแต่เริ่มต้นที่ความไม่รู้ทุกคน ไม่มีผู้ใดที่เป็นผู้รู้มาแต่เกิด เพราะผู้รู้ที่แท้จริงย่อมไม่ดำรงอยู่ในฐานะมนุษย์ ซึ่งเป็นเพียงผู้กำลังเรียนรู้เท่านั้น

    เราทุกคน หรือ ผู้ถือกุญแจทุกท่าน มีคุณค่าเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเก่งกว่าใคร เพราะ เราต่างก็กำลังเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน พร้อมทั้งกำลังส่งเสริม สนับสนุนซึ่งกันและกัน ด้วยคีย์หรือข้อมูลของแต่ละท่านซึ่งเป็นผู้ถือมา เราทั้งหลายต่างก็กำลังร่วมกันหมุนกงล้อแห่งธรรม กงล้อหนึ่งจะช่วยสนับสนุนการหมุนของอีกกงล้อหนึ่ง ต่อ ไปเรื่อย ๆ เสมอ


    การพัฒนาของข้อมูลทั้งหลาย จะเป็นไป และเพิ่มระดับขึ้นไปตามการพัฒนาของระดับสติสัมปชัญญะ ที่จำเป็นจะต้องเริ่มต้นจากขั้นพื้นฐานไปก่อน ไม่มีผู้ใดที่เรียนจบปริญญาตรี โดยไม่ผ่านการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานมาก่อน ทุกอย่างจึงต้องค่อยเป็น ค่อยไป และประคับประคองให้อยู่บนทางสายกลาง


    ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะเรียนรู้ไปพร้อม ๆกัน และ จะสนับสนุนซึ่งกันและกัน จนกว่า ภาพรวมของภารกิจ หรือ ภาพปริศนาจะถูกต่อจนเสร็จสมบูรณ์

    จินตวดี









    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010
  18. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    ่<table id="post4082435" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] วันนี้, 07:04 AM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1414 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> Sopasiri
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2009
    อายุ: 24
    ข้อความ: 435
    พลังการให้คะแนน: 110 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG]

    </td> <td class="alt1" id="td_post_4082435" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> I stopped , Why you're not stop? Do Nothing... . . . ?

    __________________
    The truth is only one ||>> My Diary <<||



    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px 1px; border-style: none solid solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border-width: 0px 1px 1px 0px; border-style: none solid solid none; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> [​IMG] [​IMG] [​IMG]</td></tr></tbody></table>
    Sopasiri = 19+15+16+1+19+9+18+9 = 106 = JF = = Justify Function
    106 = 16 = P = PROMOTION


    Do Nothing..=4+15+14+15+20+8+9+14+7 = 106 = JF = Justify Function
    106 = 16 = P =PROMOTION

    106+106 = 212 =21+2 = 22

    212 = 2+12 = 14 = N = NATURE ธรรมชาติ , ความสมดุลย์ ,

    โปรดสังเกตุหมายเลขกระทู้ #1414
    เวลาที่โพสต์ 07:04 = 11 = Key
    74 = GD = GREAT DATA

    จะเห็นได้ว่า ผลลัพธ์ ของคุณ Sopasiri และข้อความที่โพสต์ Do Nothing.. มีความเท่ากัน ซึ่งหมายถึงรูปแบบของความถูกต้อง เท่าเทียมกัน ส่งเสริมซึ่งกัน หากดูหมายเลขกระทู้ จะเห็นว่าเท่ากันทั้งสองด้าน อันเป็นความหมายของ ธรรมชาติ จักรวาลที่สมดุลย์ ซึ่งเป้นหนทางสู่ NEW AGE..

    NEW UNIVERSE..
     
  19. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    สัจจะ ทวงย้ำ สัญญา
    ก่อนมา ท่านว่า อย่างไร
    ข้อมูล ที่สถิต ภายใน
    ผลักดัน ทำให้ ใจเต้นแรง

    มันคือ สัญชาติญาณ
    มันคือ แรงขับดันของจิตวิญญาณ
    มันคือ ข้อมูลที่เก็บไว้นมนาน
    รอวัน ทำให้ เป็นจริง

    นำความรู้ที่ท่านมีมาทำงานอย่างสร้างสรรค์ เพื่อร่วมกันต่อภาพปริศนา ร่วมใจกันในภารกิจหลัก ขอให้อาศัยความบริสุทธิของใจ มาจากสายใดไม่สำคัญ จะดี จะเลวมาก่อนไม่สำคัญ ขอเพียงตั้งใจมั่น ฉันรัก เธอ I love U (ภารกิจเพื่อส่วนรวม)

    HAPPY TOGETHER

    JINTAWADEE
     
  20. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    ผมเกิด 25 สิงหา 2522 เวลา 12.14
    HBD = HUMANITY BASIC DATA
    25/8/25
    22 = 25+8+2+5+2+2 = 44 =DD
    25 = Y =YEAR
    8 = H = HUMANITY
    2522 = 11 = KEY


    12 = L = Love
    14 = N = NATURE ธรรมชาติ , ความว่างเปล่า ..


    จะเห็นได้ว่าทุกข้อความยืนยันภารหน้าที่ รายละเอียดคุณจินตวดีได้อธิบายไว้แล้ว ขออนุโมทนา..

    NEW UNIVERSE..
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...