ได้ไปเจอ "ซัน" ผู้มีญาณทิพย์

***************************
จ้า...........:d

 

ก็ถือว่า ใครเข้าใจ ก็เป็นบุญกับกระผมเอง
ใครไม่เข้าใจ ก็แล้วแต่วาสนาแล้วกันเนอะ
สัมมาสติ ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยการอ่าน การฟัง
แต่ก่อนผมเคยคิดว่าเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ
ตอนนี้คิดว่าเข้าใจ ก็ไม่รู้ว่าต่อไปเมื่อเข้าใจมากขึ้น
ก็อาจคิดว่าตอนนี้ ยังไม่เข้าใจ
ทางสายกลางนี่ ยากไม่ใช่เล่นเลยเนอะท่านเอกเนอะ

แต่ที่แน่ๆ อ่านดูก็รู้ว่า ท่านเอกเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
นับถือ...

 

ผมเคยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าซันมาเจอกับริชชี่จะเกิดอะไรขึ้น
คงเหมือน โป้วอั้งเสาะ จอมดาบหิมะแดง มาเจอ เอี๊ยบไค
เหยี่ยวเดือนเก้า
เหมือน โครตเซียน เกาจิ้ง มาเจอ สี่เหวินเฉียง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
เหมือน หนุมาน เจอ ไซอิ๋ว

อยากเห็นซันดูให้ริชชี่ และริชชี่ก็ดูให้ซัน

 

สงสัยเพราะใช้ ร่างนี้ ช่วงนี้ ดูอ่อนแอ๊ อ่อนแอ

 

เล่าแบบทางข้างละกัน

เคยดู อิมซังอก ไหม

ตอนแก้ปัญหาเรื่องการก่อกบฏ โดยตัวกุญแจคือ กระถางธูปสามขา

ขาแรกหมายถึง อำนาจ

ขาที่สองหมายถึง ศรัทธา

ขาที่สามหมายถึง เงิน

ทั้งหมดนั้นผกผันสร้างกันและกันได้ เมื่อไม่ยืนไว้ในทางของตน
ก็จะเริ่มเอียงไปขาอื่น ทำให้กระถางล้ม

กรณีนี้คือ ถ้า เขา ไม่เอาศรัทธาทางเดียว คือ ทำเพื่อให้เกิศรัทธาเป็น
ตัวหล่อเลี้ยง ก็จะต้องไปทำตัวให้มีอำนาจขึ้น หรือ ไปทำตัวให้รวยขึ้น
เพื่อเอามาสร้างศรัทธา เมื่อนั้นกระทำผิด

คือ ถ้าต้องการสร้างศรัทธา โดย หันไประดมทุน เพื่อที่จะได้ทำบุญเยอะๆ
มากๆ จะเป็นการกระทำผิด ทางที่ควรคือให้ศรัทธานั้นนำเงินมาเอง อย่าไป
ระดมทุน

อีกนัยหนึ่ง

ถ้าต้องการศรัทธา แต่ใช้วิถีแห่งอำนาจ มีการใช้นักการเมือง การใช้กลุ่มกำลัง
หรือ เน้นไปทางกริยาปฏิปักษ์ ก็จะกระทำผิด ได้ศรัทธาไป แต่ไม่ใช่ของจริง
ไม่อาจคงความสมดุลได้

นี่ย่อให้เหลือ โลกธรรม 3

 

***************

หลวงพ่อปราโมทย์ ผึ้งฟังธรรมจากท่านทุกวันเลยนะ เสาร์-อาทิตย์น่ะ ท่านจะสอนการดูจิตได้ดีมากเลย แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ตามดู ตามรู้ไม่ทันจิต อยากจะไปปฏิบัติกับท่าน แล้วให้ท่านสอนอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ยังไม่มีโอกาส ท่านสอนได้เข้าใจง่ายเลยนะคะ

 

ต่อให้ว่าผม ก็ไม่เคืองครับ
นั่นคือ โลกธรรม8...

 

ท่านเอก
ผมดูแต่ จูมง
และ จอมกษัตริย์เทพสวรรค์ เพิ่งดูแผ่นจบไปเมื่อวันเสาร์
อิมซังอก ไม่สนุกง่ะ แบบว่า มันไม่ค่อยแนว หุๆๆ

 

ก็เขาบอกอยู่ว่ายังไม่ค่อยเข้าใจ

เข้าจั๋ยยย???

 

ผึ้งฟังไปก่อนนะ แรกๆ จะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะ พละอัหนึ่งยังไม่พร้อม

เมื่อฟังไปบ่อยๆ พละตัวหนึ่งจะพร้อม ทำให้ การเปรียบเทียบหายไป

เมื่อนั้นจะเริ่มย้อนมาดูที่ตนขณะฟัง เมื่อนั้นก็จะมีโอกาส ไม่จำเป็น
ด้วยนะที่จะต้องเจอเคสเดียวกัน มันอยู่ที่เนื้อธรรม ที่จะดึงสัญญาเก่า
ของเราขึ้นมา ถ้าเคยวิปัสสนามาก่อน

คนที่ฟังของหลวงพ่อนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจ แต่เชื่อเถอะว่า วาสนา
นั้นเป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง

 

*********************
ก็จะให้เข้าใจง่าย ๆ ได้ยังงัย ขอถามหน่อยทุกท่านเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติมากันกี่ปี และตำรากี่ปี ผึ้งย่างก้าวเข้ามาปฏิบัติและเรียนรู้แค่ปีกว่า ๆ เท่านั้นเอง มันก็ตามจริตแต่ละคน จริตผึ้งไม่เหมือนใคร ใครที่ผึ้งคุยด้วยแล้วถูกจริต ก็ทำให้ผึ้งเข้าใจง่ายก็เท่านั้นเอง ใครจะเก่งแบบท่านหล่ะคะ เก่งไปหมด นี่ไม่ได้ว่าแรง ๆ นะ แต่พิมพ์อ่านให้เข้าใจว่าใจเราคิดยังงัยเท่านั้นเอง เรื่องจริงไม่อิงนิยาย คนไม่เข้าใจ ยังงัยก็ไม่เข้าใจวันยังค่ำ ผึ้งคงจะอยู่ในเวปนี้ได้ไม่นานหรอก วันใดที่ไม่มีผึ้ง แล้วอย่ามาคิดถึงแล้วกัน

 

แย่จัง เป็นภาคต่อกันและกันนะ

 

***********

ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ดีเสมอมา ตอนนี้ผึ้งต้องการแค่กำลังใจที่จะทำให้ผึ้งเดินหน้าปฏิบัติต่อไป โดยไม่ลังเลอะไรเลย

 

ไม่มีกำหนดตายตัวคะ เพราะถึงบรรลุธรรม

แต่เราก็ยังคงต้องปฏิบัติต่อไป

ถ้าถามว่าเข้าใจเมื่อไรจะดีกว่า

เพราะเมื่อไรที่เราเข้าใจสิ่งที่เรียนมา

เราก็สามารถเอามาเทียบกับตัวเราได้เลยคะ

 

ผึ้ง ฟังของหลวงพ่อ ได้ยินบทหนึ่งไหม ท่านกล่าวว่า

ท่านทำสมถะ ทำกสิณ ทำทุกอย่างในด้านสมถะ และ เสียเวลาไป 20 ปี ไม่ได้
อะไรเลย ไม่ใช่ทางเลย

ทางอยู่ที่สติปัฏฐาน 4 และสำคัญว่า มันต้องเกิดเอง ไม่ใช่กำหนด

เกิดเองเพราะไม่ได้ทำ แต่มันก่อเกิดของมันเอง เราเพียงแต่ตามดู
ตามรู้ หรือ รู้สึกเอาว่า มี --- รู้สึกชัดว่า เกิด ก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไร
มากไปกว่านี้หรอก

 

เบื่อๆ เด็ก หนังชุด...ยึดติ๊ด..ยึดติด

 

ท่านเอกอยู่ก็ดีแล้ว
ผมมีเรื่องที่อยากขอความเห็นจากท่านสักหน่อย

หลวงพ่อปราโมทย์กล่าวว่า ดูกาย กับ ดูจิต ง่ายพอๆกัน ขึ้นอยู่กับจริต
ว่าเป็นจริต ตัณหา หรือ ทิฏฐิ
ตรงนี้ท่านคิดเห็นเช่นไร?

 

โห เอาของร้อนมาให้ ก็ตามนั้นแหละ

คนช่างคิด แบบว่า ชอบ ตั้งคำถาม แล้ว ตอบโจทย์ ขบคิด อันนี้คือ ทิฏฐิ จริต

คนช่างคิด แบบว่า ชอบกำหนดวิธี ผลที่ได้เล็งเอาไว้แล้ว อันนี้คือ ตัณหา จริต

เมื่อสรุปลงไปอีก ตัณหาจริต ก็คือ กลุ่มชอบทำสมถะทั้งหมด (ศรัทธานุสารี)
นอกนั้นให้ถือเป็น ทิฏฐิ จริต ( ปัญญานุสารี)

ดังนั้น คนทำสมาธิเป็น ก็เหมาะไปดูกาย ไม่ควรมาดู จิต อีก เพราะ จะไม่พ้น
กรรมอันเป็นจริตที่ชอบอยู่ เพราะพวกนี้ไม่ชอบสงสัย มักจะไหล และเอามา
เป็นตน จึงเหมาะดูกาย เอาเท่าที่มี จะได้ไม่เผลอไปเอาอย่างอื่นมาดู

ส่วน ทิฏฐิจริต เหมาะกับดู จิต ไปเลย เพราะ ไม่ใช่พวกเจออะไรก็ไหล โดย
ไม่ตั้งข้อสงสัย ก็เลยเหมาะกับการดูจิต ดูไปก็สงสัยไปเรื่อย

แต่พอดูแล้ว รู้แล้วว่า การใช้ความรู้สึก นั้นคือ สภาวะแบบไหนกันแน่ คราวนี้
จะกำกับไม่ได้ มันจะไปดู กาย สลับ ดูจิต ถ้าเก่งขึ้น ก็จะเห็นครบทั้ง 4 ฐาน

* * * * *

แต่ให้ดี อย่าเอ่ยชื่อพระนะครับ

 

ไม่อยากติดหนังชุดหรอก สันโดษ มีเรื่อง แรงเทียน ไหม

 

อ้อ แล้วอย่าแปลกใจนะ ถึงแม้พูดว่า ดูจิต แต่คนดูได้ตรงๆนี้มีน้อย

มักจะไปดูกาย หรือ กำหนดวิหารธรรมอะไรสักอย่าง ( ดูกาย ) แล้ว
ค่อยมาเห็นจิต แต่หลวงพ่อไม่ได้พูดว่านั่นคืออะไรกันแน่ เพราะไม่
จำเป็น

คนอาจสับสนว่า เอ บอกว่าดูจิต แต่ฟังๆไป ทำไมเหมือน ดูกาย หรือทำ
สมถะนั้นแหละ แล้วก็เหมาว่า หลวงพ่อไม่ได้สอนต่างไปจากตน

ลืมไปว่าตัวเองนั้นล้วนเป็น ศรัทธานุสารี ทั้งนั้น ปัญญานุสารี มีน้อยมาก