ไดอารี่ ชีวิต , ผี , วิญญาณ , พุทธศาสนา By Specialized

<HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1> <!-- / icon and title --><!-- message -->


ถ่าย ณ จุดเหนือสุด บนจุฬามณี



หัวใจพระ ยังไม่ได้ปิดนะครับ ใครอยากจะส่งวัตถุมงคล หรือพระบรมสารีริกธาตุมาร่วมบรรจุเชิญได้นะครับ



สวดจักรพรรดิถวายเป็นพุทธบูชา
<!-- / message --><!-- attachments -->

 

<HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1> <!-- / icon and title --><!-- message -->


หลังจากกราบเรียนหลวงพ่อแล้ว ท่านก็ลงมารับสังฆทานที่พวกเราเตรียมมาถวายที่ชั้นสองของจุฬามณี



การถวายสังฆทานในครั้งนี้ ได้ถวายพระพุทธรูปองค์เล็กอีกหนึ่งองค์ไว้ด้วยตามกำลัง หลวงพ่อท่านบอกจะนำขึ้นบรรจุบนยอดจุฬามณีให้ สาธุ

 

เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมาผมได้ ติดตามหลวงพ่อสมบูรณ์ วัดป่าปฐมพุทธาราม ไปจาริกแสวงบุญกับคณะที่ จังหวัดเชียงใหม่ และได้ไปที่วัดป่าดาราภิรมณ์ และ พระพุทธบาท 4 รอยมา จึงได้นำบุญนี้มาให้อนุโมทนากัน



ก่อนออกเดินทาง



ได้ ถวายลูกแก้วที่ได้มาจากผู้จิตศรัทธาจำนวน 4 กล่อง พร้อมภาพที่ถ่ายติดแสงพระธาตุที่วัดป่าปฐมพุทธารามคืนก่อนบรวงสรวงเมื่อคืนวันที่ 4 สิงหาคม ปีที่แล้วครับ



ภาพที่ถ่ายได้เมื่อคืนวันที่ 4 สิงหาปีที่แล้ว ติดแสงเป็นประกายสีชมพูฟ้า บนมุมขวาของภาพครับ ซึ่งบริเวณนั้นไม่มีวัตถุสะท้อนแสงใดๆ และภาพอื่นก็ไม่ติดแสงนี้ครับ(ผมเป็นคนถ่ายเองครับ)



ชมกันชัดๆนะครับ



โมทนาทั้งหมดทั้งมวลกับผู้ถวายลูกแก้วประดับเครื่องทรงด้วยนะครับ


<!-- / message --><!-- attachments -->

 

<HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1> <!-- / icon and title --><!-- message -->


หลังจากคืนนั้นพักกันที่ เชียงใหม่ 1 คืนก็ได้เดินทางต่อไปยัง วัดป่าดาราภิรมณ์



รูปหล่อหลวงปู่ทวด - หลวงปู่ดู่ ภายในวิหาร



ออกจากวิหารมา ที่เจดีย์ที่มีการจำลองพระพุทธบาท 4 รอยไว้ภายในและยังมีพระธาตุให้ชมกันด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า



ตรงนี้เป็นพระธาตุของเหล่าอริยสงฆ์ผู้สิ้นแล้วซึ่งกิเลศ



ตรงนี้เป็นพระธาตุของเหล่าผู้ปราถนาโพธิญาณ มีพระธาตุหลวงปู่ดู่ด้วย สาธุ
<!-- / message --><!-- attachments -->

 

<HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->


ถึงแล้ววัดพระพุทธบาท 4 รอย



ซึ่งตอนที่มาถึงก็เป็นยามเย็นทีเดียว ประมาณ 4 โมงเย็นได้ครับ บรรยากาศกำลังดี



ตำนานพระพุทธบาท 4 รอย

เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศาสนาปัจจุบันนี้ได้เสด็จจารึกประกาศธรรม และโปรดเวไนยสัตว์มายังปัจจัยตะประเทศ (ประเทศไทยในปัจจุบัน)จนกระทั่งมาถึงเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศ ชื่อเขา เวภารบรรพต

ซึ่งขณะนั้นได้เสด็จพร้อมกับพุทธสาวก 500 องค์ และได้แวะฉันจังหันอยู่บนเขา เวภารบรรพตแห่งนี้ เมื่อพระพุทธองค์ฉันจังหันเสร็จ ขณะประทับอยู่ที่นั้น ก็ได้ทราบด้วยญาณสมาบัติว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ ได้มีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่คือ พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ภัทรกัลป์นี้ แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเล็งดูรอยพระพุทธบาทแห่งพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ , พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ , พระพุทธเจ้ากัสสปะ

อันมีในที่นี้พุทธสาวกทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเป็นประธานเมื่อเห็นเช่นนี้จึงทูลถามว่า พระพุทธองค์ทรงเล็งดูด้วยเหตุใด

พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า ดูก่อนท่านทั้งหลายสถานที่แห่งนี้แม้นว่าพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ที่ล่วงมาแล้วในอดีตกาล ก็มาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ทุกๆ พระองค์ และ แม้นว่าพระศรีอริยเมตไตร ก็จักเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่นี่ และจักประทับรอยพระบาท 4 รอยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว ( คือประทับลบรอยทั้ง 4 ให้เหลือรอยเดียว )

เมื่อพุทธองค์ตรัสแก่สาวกทั้งหลายเสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ จึงมีรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ จึงเกิดเป็นพระพุทธบาท 4 รอย

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราประทับรอยพระบาทซ้อนรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์นั้นแล้วก็ทรงอธิษฐานว่า

ในเมื่อ (เรา) ตถาคตนิพพานไปแล้ว เทวดาทั้งหลายก็จักนำเอาพระธาตุของตถาคต มาบรรจุไว้ที่รอยพระพุทธบาทที่นี่ ในเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว 2000 ปี พระพุทธบาท 4 รอยนี้ก็จักปรากฏแก่ปวงชนและเทวดาทั้งหลาย ก็จักได้มาไหว้และบูชา

เมื่อทรงอธิษฐานและทำนายไว้ดังนี้แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จไปเชตุวันอารามอันมีในเมืองสาวัตถีนั้นแล เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วเทวดาทั้งหลายก็นำเอาพระธาตุของพระพุทธองค์มาบรรจุไว้ที่พระพุทธบาท 4 รอยเมื่อพระพุทธองค์นิพพานล่วงมาแล้วประมาณ 2000 วัสสา

เทวดาทั้งหลายต้องการอยากให้พระพุทธบาท 4 รอย ปรากฏแก่คนทั้งหลายตามที่พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานไว้ ก็จึงเนรมิตเป็นรุ้งตัวใหญ่ (เหยี่ยว) ก็บินลงจากภูเขาเวภารบรรพต อันเป็นที่ตั้งแห่งพระพุทธบาทสี่รอยในปัจจุบันนี้เพื่อบินลงไปเอาลูกไก่ของชาวบ้าน ( คนป่า ) ที่อยู่ตีนเขาเวภารบรรพต แล้วก็บินกลับขึ้นไปสู่ยอดเขา มันก็โกรธมากจึงตามขึ้นไปคิดว่าจะยิงเสียให้ตาย มันก็คิดตามไปค้นหาดู แต่ก็ไม่เห็นรุ้งตัวนั้น แต่เห็น รอยพระพุทธบาท 4 รอย อันอยู่พื้นต้นไม้และเถาวัลย์

พรานป่าผู้นั้นก็ทำการสักการะบูชาเสร็จแล้วก็ลงจากภูเขา พอมาถึงหมู่บ้านก้เล่าบอกแก่ชาวบ้านทั้งหลายฟัง ข้อความอันนั้นก็ปรากฏสืบๆ กันไปแรกแต่นั้น คนทั้งหลายที่ทราบก็พากันไปสักการะบูชามาก แต่นั้นมาจึงได้ชื่อว่าพระบาทรังรุ้ง (รังเหยี่ยว)

ในสมัยนั้นมีพระยาคนหนึ่งชื่อว่า พระยาเม็งราย เสวยราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ ได้ทราบข่าวจึงมีพระราชศรัทธาอยากเสด็จขึ้นไปกราบบูชาพระพุทธบาท 4 รอย ก็นำเอาราชเทวีและเสนาพร้อมกับบริวารทั้งหลาย เมื่อพระยาเม็งรายกราบนมัสการเสร็จแล้ว ก็นำเอาบริวารของตนกลับสู่งเมืองเชียงใหม่ ก็ตั้งอยู่เสวยราชสมบัติตราบเมี้ยนอายุขัย แล้วลูกหลายที่สืบราชสมบัติก็เจริญรอยตามและได้ขึ้นมากราบพระพุทธบาท 4 รอย ทุกๆ พระองค์

หลังจากนั้นมาพระบาทรังรุ้งหรือรังเหยี่ยวนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น พระพุทธบาทสี่รอย เพราะมีรอยพระพุทธบาทประทับซ้อนกันถึง4 รอย มาในสมัยยุคหลังคนทั้งหลายจึงเรียกขานกันว่าพระพุทธบาทสี่รอย คือมี

รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ ที่ล่วงมาแล้วในภัทรกัลป์นี้ คือ

1 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากกุสันธะ รอยแรก เป็นรอยใหญ่ยาว 12 ศอก

2 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ เป็นรอยที่ 2 ยาว 9 ศอก

3 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้ากัสสปะ เป็นรอยที่ 3 ยาว 9 ศอก

4 รอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคตะมะ (ศาสนาปัจจุบันนี้) เป็นรอยที่ 4 รอยเล็กสุดยาว 4 ศอก

เมื่อมาถึงสมัยพระยาธรรมช้างเผือก ผู้ครองนครเชียงใหม่ พร้อมด้วยบริวาร 500 คน ก็ขึ้นไปกราบสักการะบูชาพระพุทธบาท 4 รอย และได้สร้างพระวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้ชั่วคราวโดยแต่เดิมถ้าใครจะดูรอยพระพุทธบาทบนยอดหินก้อนใหญ่ ต้องใช้บันไดพาดขึ้นไป หรือปืนขึ้นไปดูซึ่งก็คงจะขึ้นได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น

ดังนั้นพระยาธรรมช้างเผือกจึงตรัสสร้างแท่นยืนคล้ายๆนั่งร้านรอบๆ ก้อนหินที่มีพระพุทธบาท สี่ รอย เพื่อที่ผู้หญิงจะได้เห็นรอยพระพุทธบาทด้วย และได้สร้างหลังคาชั่วคราวมุงไว้ ต่อมาในสมัยพระชายาเจ้าดารารัศมีก็ได้ขึ้นไปกราบนมันสการพระพุทธบาท 4 รอย และได้มีพระราชศรัทธาก่อสร้างวิหาร เป็นการกราบบูชารอยพระพุทธบาทไว้ 1 หลัง หลักเล็ก ปัจจุบันได้บูรณะปฏิสังขรณ์แล้วทั้งหลัง จะเหลือไว้แค่ผนังวิหาร พื้นวิหารและแท่นพระซื่งยังเป็นของเดิมอยู่

พอมาสมัยเมื่อปี พ.ศ. 2472 ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทยก็ได้ขึ้นไปกราบนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย และได้รื้อพระวิหารที่เจ้าพระยาธรรมช้างเผือกสร้างไว้ชั่วคราว และได้สร้างพระวิหารครอบรอยพระพุทธบาทไว้ใหม่และได้ลาบปูนครอบรอยพระพุทธบาทไว้ เพื่อรักษาให้อยู่ค้ำชูพุทธศาสนาไปตลอดกาลนาน
<!-- / message --><!-- attachments -->

 

<HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->


สัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน ภัทรกัลป์ พระพุทธบาท 4 รอย



หลังจากอาราธนาศีล ให้บริสุทธิ์ก็ได้ร่วมปิดทอง , สวดมนต์บูชาพระรัตนไตร , ขอขมาพระรัตนไตร , คาถาเงินล้าน , ต่อด้วย คาถาจักรพรรดิเพื่อรวมกองบุญครับ



ได้ถวายลูกแก้วจักรพรรดิ ที่ได้จากพี่ป๋า(จากเก่า) ไว้ในรอยพระพุทธบาทด้วยครับ คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะมีคนดูแลเก็บออกไป แต่ตอนนี้ขอฝากกระแสไว้หน่อยแล้วกัน อิอิ
<!-- / message --><!-- attachments -->

 

<HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1> <!-- / icon and title --><!-- message -->


รูปหล่อครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย



จากนั้นเดินทางต่อไปยังวิหารใกล้ ขอบอกว่าวิหารสวยงามมาก ถึงมากที่สุด และตอนนี้ก็กำลังจะฝังลูกนิมิตรที่มากถึง 9 ลูกครับ ก็ได้ปิดทองฝากกระแสกันตามระเบียบ



ภายในวิหาร
<!-- / message --><!-- attachments -->

 

หลังจากสวดจักรพรรดิเสร็จก็มาชมความงามกัน



พระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิภายในวิหาร



สาวกเบื้องซ้าย - ขวา ก็ทรงเครื่องเต็มยศงดงามมาก



พระพุทธรูปทรงเครื่องอีกองค์



พระพุทธชินราชองค์นี้ก็แสนงดงาม
<!-- / message --><!-- attachments -->

 

<HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1> <!-- / icon and title --><!-- message -->


หลังจากชมความงามกันเสร็จก็คิดจะไปปิดทอง ที่ลูกนิมิตรหลุมตรงกลางวิหาร แต่ไม่รู้อะไรดลใจก็แหงนหน้าขึ้นไปมองด้านบนก็มีภาพเขียนครูบาอาจารย์หลายๆท่าน หนึ่งในนั้นก็คือ "หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดนั่นเอง"



หลังจากที่เห็นภาพครูบาอาจารย์ก็คิดว่า ที่นี่คงเหมือนที่อื่นที่มีภาพครูบาอาจารย์หลายๆท่าน แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ ที่นี่มีภาพของ "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ" ด้วย ! ซึ่งจากที่เคยเห็นมาตามที่ต่างๆ มักจะลืมเลือนหลวงปู่ดู่กัน ไม่มีภาพของท่าน และหลายคนก็ไม่รู้จักท่าน จึงแปลกใจมากที่ ที่นี่มีภาพหลวงปู่ดู่ แสดงว่าคนที่ร่วมสร้างวิหารก็ต้องรู้ว่าหลวงปู่ดู่ท่านคือ ...



จากนั้นก็เกิดปิติ ถอดพระที่แขวนอยู่ที่คอตลอด ก็คือ พระผงจักรพรรดิพิมพ์ปิดตาซึ่งทันหลวงปู่ ซึ่งพิมพ์นี้เป็นพิมพ์ที่ล้อพิมพ์มาจาก หลวงปู่สีวัดถ้ำเขาบุญนาค ได้รับมาจากพี่ออย (Thaiput) และแขวนติดคอตลอดมา จนมาเห็นภาพหลวงปู่ที่นี่ จึงถึงบางอ้อ ... และตัดสินใจ ถวายพระหลวงปู่ ฝากกระแสลงในหลุมลูกนิมิตรที่นี่ทันทีโดยไม่เสียดายเลย
<!-- / message --><!-- attachments -->

 

<HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1> <!-- / icon and title --><!-- message -->

เลยรวมปัจจัยเล็กๆน้อยๆกับพรรคพวกและถวายใส่ตู้บริจาค พร้อมเตรียมจะนำพระหลวงปู่บรรจุลงในหลุมลูกนิมิตร



"ขอผลบุญทั้งหมดทั้งมวลได้โปรดส่งผลให้ลูกได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ หากแม้นชาตินี้ไม่ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่มี ไม่ได้ ไม่รู้ อย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และหากแม้นชาตินี้ไม่สามารถถึงซึ่งพระนิพพานได้ ขอให้ลูกได้เกิดอีกชาติเป็นชาติสุดท้ายในการสร้างบารมี ในยุคพระศรีอาริย์เมตไตรและได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์จนได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ปฎิสัมภิทาญาณ และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินั้นเทอญ" หลังจากที่ได้กล่าวคำนี้ออกมา พร้อมกับเหล่าพรรคพวกที่ต่างคนต่างอธิษฐาน หลังจากที่พูดจบ ก็มีเสียง จิ้งจก ทักขึ้นมาทันที ! หลวงปู่ !!! ทุกคนอุทานออกมาพร้อมกัน เป็นปิติอย่างมากในการถวายพระหลวงปู่ในครั้งนี้ มีเพื่อนๆหลายคนร้องไห้ออกมาด้วยความปิติเกินแทบจนบรรยายไหว



และนี่ก็คือเหตุที่ได้มาให้ทุกท่านร่วมโมทนาบุญกันครับ สาธุๆๆๆ
<!-- / message --><!-- attachments -->

 

ไม่เคยเจออะไรเลยครับช่วงหลังๆที่มาสวดจักรพรรดิ และแผ่บุญปรับภพภูมิ หุหุ (one-eye)

 

วันนี้เจอเรื่องราวดีๆจากเวปเพื่อนบ้านเวปพุทธวงศ์ ท่านว่าไว้เลยขอยื้มท่านมาลงให้ญาติธรรมอ่านกันเล่นๆครับ เห็นว่าน่าสนใจมากทีเดียว

เครดิต http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-080308142424564

เรื่องนี้ เล่าโดย พระราชสุทธิญาณมงคล(หลวงพ่อจรัล ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยองค์ของท่านเองครับ...
หลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ สมเด็จย่าของปวงพสกนิกรชาวไทย เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เวลา ๒๑ นาฬิกา ๑๗ นาที รวมพระชนมายุได้ ๙๔ พรรษา ๘ เดือน ๗๒ วัน ในวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรีได้รีบสั่งทันที (ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่พระภิกษุกำลังเข้าพรรษา) ว่าให้รีบตั้งโต๊ะถวายเครื่องสักการะ แด่สมเด็จย่า ตามที่ต่าง ๆ ของวัด โดยเฉพาะภายในพระอุโบสถ ท่านได้สั่งโต๊ะถวายเครื่องสักการะชุดใหม่ พร้อมทั้งสั่งพระภิกษุสามเณร และอุบาสกอุบาสิกาภายในวัดว่า

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff></TD></TR></TBODY></TABLE>