ใครเสีย ใครได้ จากกระแสภัยพิบัติ

**ล่าสุดนี่ไงครับ กระทู้ฟ้ามืด ไม่ต้องมีหลักฐานมั้ง เห็นๆกันอยู่

ที่น่ากลัวคือมีการบิ้วให้ขายบ้านขายรถ ลาออกจากงาน แล้วหนีขึ้นเหนือ ขึ้นอิสาน
คนหลงเชื่อจนหัวปักหัวปำก็คงมีบ้าง คงจะมาพูดว่าไม่มีใครเสียหาย ทำนายผิดแล้วก็แล้วกันไปคงไม่ได้ นี่ยังไม่รวมมีการหลอกใ้ห้ทำบุญอีกนะครับ เห็นไหม? เสียเงินอีก เร่องชวนทำบุญทำได้ครับ ไม่มีใครว่า ก็บอกกันตรงๆ ว่าทำบุญสร้างนั่นนี่ แต่ไม่ใช่ว่าเอาเรื่องภัยพิบัติมาโยงกับการทำบุญ เล่นกับความหวาดกลัว อย่างที่บอกบางคนขายที่ขายทาง ซื้อของมาตุนเก้อ ขอยกโพสของ iseenew ที่พูดได้ตรงจุดมาอ้างอิง**
..เห็นด้วยกับคำตอบนี้ครับ..
และตามอ่านเอาเองละกันครับ** กระทู้นี้...เฉพาะผู้ที่ยินดีรับฟังคุณ?????...ขอเชิญเข้ามาสอบถามได้ที่นี่**lol<!-- google_ad_section_end -->

 

ดิฉัน อ่านหมด ของบางคนถ้าสงสัยก็จะตามดูโพสต์อื่นๆ ถ้าอ่านดูแล้วแปลกๆ ก็ไม่ตาม หลังจากนั้นก็จะอ่านและผ่านเฉยๆ ถ้าของบุคคลที่เอารูปตนเองลงมี facebook และไม่ได้เรี่ยไรก็ตามอยู่ แนวพระ แนววิทย์ก็ตามอยู่เป็นสถิติประกอบกันไปไม่ประมาท จ๊ะ ^-^

 

เจตนาของกระทู้นี้ ดิฉันต้องการให้ทุกคนรับรู้ข้อมูลทุกด้าน
คุณ unclean spirit ตอบโจทย์ได้ตรงค่ะ
คือปัจจุบันนี้ คนเราชอบฟังความข้างเดียว
ตื่นตูมไปเสียทุกอย่าง
ใครมีข้อมูล หลักฐานอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิก
และสาธารณชน แบ่งปันกันบ้างค่ะ
แต่ไม่อยากให้ใครด่าใครเสีย ๆ หาย ๆ นะค่ะ
เล่นกันตามเกมส์ มีหลักฐานชัดเจน
มีตัวอย่างอ้างอิงยิ่งเป็นประโยชน์ค่ะ
ขอบคุณอย่างสูง

 

ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆผมมีได้มีเสีย คือ

- ได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์เยอะ เผื่อภายภาคหน้าจะได้พึ่งพิงกันได้บ้าง
- ได้ความรู้ใหม่ๆทั้งจากเพื่อนๆและจากต่างประเทศที่เขาเฝ้าระวังกัน
- เสียเงินซื้อสิ่งของที่จำเป็นเข้าบ้าน จากที่เคยซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ
- เสียเวลาที่ได้เคยคุยเรื่องไร้สาระ มาเป็นคุยเรื่องมีสาระขึ้นมาหน่อย

(good)

 

ถ้ามีการรวบรวมคำทำนายมาไว้ในปฏิทินเดียว ผมว่าน่าจะครบทุกเดือนแล้วหล่ะ
สุดท้ายมาดูกันว่าใครจะ ทำนายได้แม่นหรือใกล้เคียง

คนที่ออกมาเตือน คนทำนาย ที่มีเจตนาดีจริงๆ ก้อน่าได้รับผลกรรมดีกลับคืน
ส่วนท่านที่มีเจตนาแอบแฝง ไม่บริสุทธิ์ใจ ถึงจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน แต่กรรมจะส่งผลเองครับ
ส่วนคนที่เพ้อเจ้อ เกินจริง แต่งเรื่อง กาลเวลาจะพิสูจน์เองครับ ( หลอกเด็กน่ะพอได้ )

สำหรับผม ไม่ขอเชื่อใครครับ เพราะผมก้อมีทุกอย่างเหมือนกับเราๆท่านๆ
แต่จะศึกษาข้อมูลประกอบ ดูความน่าจะเป็น ว่ามีโอกาสจริงมั๊ย คิดเอง หาเหตุผลเอง รู้เอง
ตรวจสอบสถานการณ์รอบๆประเทศ และรอบโลก ทุกวัน ( แผ่นดินไหว พายุ ..etc )

 

ตอนนี้ไม่เชื่อใครสักคนเหมือนกันครับ ดูเอาเองดีกว่า ...

 

คำเตือนต่าง ๆ ที่หลาย ๆ ท่านกรุณามาแจ้งเตือนไว้ ถ้ามองให้เป็นประโยชน์ก็ถือว่ามหาศาลเหมือนกัน เพียงแต่เราไม่ควรไปวิตกให้มากนัก ว่าต้องเกิดอย่างงั้นอย่างงี้ ยิ่งถึงขนาด ขายบ้าน ขายทรัพย์สิน ทั้งหน้าที่การงานปัจจุบัน เพื่อเตรียมรับมืออย่างสุดกู่ ดิฉันว่าออกจะเกินไปหน่อย แต่ถ้าค่อย ๆ เตรียมพร้อม เฝ้าสังเกตุการณ์ หาทางหนีทีไล่ แต่ก็ยังคงดำเนินชีวิตไปปกติควบคู่กันไป น่าจะดีกว่านะ
ไม่ถึงคราวตายไม่วายชีวาวาศ ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัน
ยังเป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน กับการสู้ชีวิตต่อไปค่ะ

 

ฟังได้ เชื่อได้ แต่อย่าตื่นกลัวเกินเหตุ

ถ้าทุกคนตื่นตระหนก ออกจากงาน ย้ายบ้าน
กลัวตาย ต้องการเอาชีวิตรอด

ก็จะไม่มีใครทำหน้าที่ของตน

แล้วมันจะโกลาหลขนาดไหน

ภัยพิบัติยังไม่ทันมาเยือนเลย
จะพากันวิบัติกันทั้งหมดเสียก่อน

 

เรื่องวุ่น ๆ เกี่ยวกับกระทู้ฟ้ามืด ที่ถกเถียงกันอยู่ (ในเว็บนี้แหละ) มีมาแต่ปี 2008 จนถึงป่านนี้ ไม่รู้เคลียร์หรือยัง โปรดใช้วิจารณญาณกันเอา http://palungjit.org/threads/เรื่องราวที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยรู้.13361/page-109

 

กรรม คือ การกระทำ
ผลกรรม คือ ผลของการกระทำ

ลองพิจารณาเรื่องการกระทำและผลกรรมให้ดีๆครับ

หากผู้ใดเจตนาดีจริงๆ ผู้นั้นย่อมไม่หม่นหมอง ไม่ว่าด้วยเหตุใด
หากผู้ใดหรือคณะบุคคลใดเกิดความหม่นหมองในใจ เมื่อถูกหมิ่น หรือถูกปรามาส...... ให้ย้อนกลับไปดูที่กรรมของตัวเอง


ขอให้ทุกท่านใช้สติและปัญญาให้มากนะครับ

 

ถูกใจ จนอยากจะกด Like สัก 100 ที

 

มีเรื่องเงินเข้าไปเกี่ยวข้องที่ไหน บรรลัยทุกที่ จำคำผมไว้ละกัน ... ตราบใดยังเป็นมนุษย์ ก็ยังมีกิเลส ตัณหา แน่นอน

 

หากสิ่งที่ท่านโพสต์ไว้ไม่ใช่เพียงการบ่นหรือการประชด
แต่เป็นสิ่งที่ท่านสงสัยจริงๆ คือสงสัยว่าทำไมเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และหลายคนพยายามเตือนแล้วแต่กลับได้ผลตอบรับในทางลบ

ขออนุญาตแสดงความเห็นว่า
แม้จะเป็นการหวังดีแต่เป็นเพราะรูปแบบและถ้อยคำที่เลือกใช้ในการนำเสนอ
เป็นไปในทางดูถูก ดูหมิ่น เสียดสี เช่นว่าผู้ที่เชื่อนั้นเป็นพวกโง่บ้าง เป็นบัวใต้น้ำบ้าง
ซึ่งการทำแบบนี้เท่ากับเป็นการสร้างศัตรูทางความคิดมากกว่าเป็นการสร้างมิตรทางปัญญา
เป็นการผลักให้ผู้รับฟังไปเป็นพวกของอีกฝ่ายโดยปริยาย
หากพิจารณาให้ดีก็เปรียบเหมือนเพื่อนที่หวังดีต่อกัน แต่ใช้คำร้ายๆด่าว่าเพื่อน
แทนที่เพื่อนจะซึ้งใจในความเป็นห่วงใย หรือเห็นคล้อยตาม
ก็กลับกลายเป็นศัตรูกันไปในฐานะที่คุยกันไม่ถูกคอ หรือไม่ใช่คอเดียวกัน

ในชีวิตจริงหากเพื่อนเรากำลังหลง เราคงต้องค่อยๆเลียบๆเคียงๆแนะนำตักเตือน
แสดงหลักฐานให้เค้าค่อยๆพิจารณาด้วยตัวเอง ให้เค้าประจักษ์ในข้อมูล

อันที่จริงไม่ใช่เรื่องโง่หรือฉลาด
แต่เป็นเรื่องของการรู้หรือไม่รู้ข้อมูล


ลองสังเกตดูว่าหากเราเตือนด้วยเมตตาจิตใจเราจะอ่อนโยน

 

การให้สติกับผู้อื่น ให้ได้ยั้งคิด ไตร่ตรอง และพิจารณาด้วยเหตุและผล

กระผมมองว่าเป็นเจตนาดีนะครับ

 

ภัยคือเกิดโดยไม่ได้ตั้งตัว แต่เตืยนเื่พื่อให้รู้ เช่น ฝนตกที่จังหวัดระนอง(ขอโทษชาวพี่น้องระนองด้วยนะครับผม อิอิ ยกตัวอย่างครับผม) ให้ทุกคนเตรียมตัวระวังน้ำป่าไว้ด้วย เพราะฝนตกหนัก พอฝนตกผ่าน ไป แต่น้ำไม่ท่วม ก็ดีไป แต่พอน้ำท่วม ก็เตรียมตัวทัน ประมาณนี้ครับผม แต่ในระยะเตือนอาจไม่มา แต่พอเรื่องเตือนซา ใีครจะไปรู้หล่ะครับผม เพราะธรรมชาติคือสิ่งที่คาดเดาได้ยากครับผม

 

มีการแจ้งเตือน น่าจะดีกว่าไม่มีการเตือน
ผมยังคิดเสมอว่า เตือน 1000 ครั้ง เกิดจริง 1 ครั้ง
ดีกว่าเกิด 1 ครั้งโดยไม่มีใครเตือนใคร
แล้วเกิดความสูญเสียขึ้นครับ

 

ผลประโยชน์มหาศาล ทั่วโลกเลยครับ

ตั้งแต่เริ่มมีคำทำนายเกี่ยวกับ 2012 doomsday เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว น่าจะมีเงินสะพัดหลายหมื่นล้านบาท !!!!!!!!

คนที่ประโคมโหมเรื่อง ได้ชัวร์ หนังสือ สิ่งพิมพ์ วีดีโอ ภาพยนต์ อุปกรณ์การยังชีพ ชุดฉุกเฉิน ที่พักพิง ที่หลบภัย และอีก... คิดเอาเองครับมีอะไรอีก

คนที่รับช่าวสาร เสียซะมากกว่า เสียเวลา เครียด เป็นทุกข์ กังวล ใช้จ่ายเงินกับสิ่งที่ยังไม่น่าจะจำเป็น ( ตามข้างบนครับ )

คนที่ฉลาด แต่แกมโกง ใช้สถานการณ์เพื่อหาเงิน หารายได้ โดยการหลอกลวงคนทั่วโลก
ให้เสพติดกับข้อมูลที่ไม่จริง ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน คนที่เสพข้อมูลทั่วโลก ส่วนใหญ่ก็จะเชื่อโดยไม่ได้หาข้อเท็จจริงในเชิงลึก หรือไม่รู้จะพิสูจน์อย่างไรว่าจริงหรือเท็จ

( ยกเว้น คนที่ออกมาเตือน แล้วไม่มีอะไรแอบแฝงตามที่กล่าวข้างบนครับ )

 

ผมว่าถ้าเตือนเป็นพันครั้ง (สักแต่เตือน) แบบนั้นจะกลายเป็นความน่าเชื่อถือน้อยหรือไม่น่าเชื่อถือไปได้ อยากให้ลองนึกถึงเรื่องเด็กเลี้ยงแกะนะครับ โกหกช่วงแรกคนตื่นตัว พอโกหกบ่อยคนไม่สนใจ พอเกิดเหตุจริงจึงไม่มีใครช่วย อยากให้เป็นแบบนั้นหรือไม่
หรือจะต้องตื่นตัวทุกครั้งเป็นพันครั้ง แบบนั้นก็คงไม่ไหว แล้วถ้าจะไม่ตื่นตัวซะเลยก็กลายเป็นปล่อยไปตามเวรตามกรรมใช่หรือไม่

ในความเห็นผมมองว่า ความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ หรือความจำเพาะของข้อมูลก็เป็นสิ่งสำคัญ

ถ้าใครเคยตรวจเลือดเพื่อ check ร่างกาย หรือทำวิจัยที่ต้องใช้แบบสอบถามเพื่อคัดกรองน่าจะเคยได้ยินเรื่อง sensitivity กับ specificity มาบ้าง
เช่น แบบทดสอบหรือเครื่องมือที่นำไปใช้ต้องมีค่าทั้ง 2 ค่าที่เหมาะสม บางอย่างต้องใช้ sens > spec บางอย่างต้องมีค่า spec > sens แล้วแต่กรณี อาจต้องใช้การตรวจ 2 ครั้งร่วมกัน คือ คัดกรองก่อน(ให้แน่ใจว่าครอบคลุมสิ่งที่ต้องการมากสุด แต่ก็ย่อมได้สิ่งที่ไม่ต้องการปนมาด้วย) แล้วค่อยมาตรวจสอบยืนยันอีกครั้งเพื่อหาเฉพาะสิ่งที่ต้องการอีกที

สำหรับกรณีภัยพิบัติ ถ้าผมอยู่อินโดนีเซียที่มีแผ่นดินไหวแทบทุกวัน ผมคงไม่ต้องหนีขึ้นภูเขาทุกครั้งที่มีแผ่นดินไหว แต่ผมจะต้องศึกษาว่าแผ่นดินไหวแรงแค่ไหนจึงจะเกิดสึนามิหรือตึกถล่ม

ตย. เช่น ทราบข้อมูลว่า
เมื่อเกิดแผ่นดินไหวไม่ถึง 5 ริกเตอร์ ไม่มีโอกาสเกิดสึนามิ หรือเกิดก็ไม่รุนแรง
แผ่นดินไหว 6 ริกเตอร์ มีโอกาสเกิดสึนามิได้เพียง 5%
แผ่นดินไหว 8 ริกเตอร์ มีโอกาสเกิดสึนามิ 50%
ดังนั้น ถ้าแผ่นดินไหว 3 ริกเตอร์ ผมคงไม่ย้าย แต่ถ้า 6 ริกเตอร์ ก็ย้ายไว้ก่อนเพื่อความไม่ประมาท คงไม่รอจนถึง 8 ริกเตอร์ เป็นต้น

- แล้วที่ผ่านมาเราสนใจเรื่องความน่าเชื่อถือของข้อมูลกันบ้างหรือไม่?
- ผู้ทำนายเห็นภาพอนาคตจริงหรือไม่ หรือสักแต่กุเรื่องขึ้น(ไม่เห็นแต่บอกว่าเห็น)
- ภาพในอนาคตที่เห็นนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นจริงหรือไม่ (เห็นจริงๆแต่คิดไปเอง เป็นอาการทางจิต/สมองผิดปกติ กังวลมากเลยเก็บไปฝัน เป็นนิมิตที่ปรุงแต่งขึ้น หรือเป็นนิมิตที่แม่นยำจริงๆ)

บางอย่างการพิสูจน์หาข้อเท็จจริงทำได้ยากเช่นเรื่อง นิมิต ฝันเห็นอนาคต ซึ่งผู้ทำนายเป็นใครก็ไม่ทราบ มีวัตถุประสงค์อย่างไรแอบแฝงหรือไม่ก็ไม่รู้ ก็คงต้องอาศัยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์หรือข้อมูลด้านอื่นๆมาประกอบเพื่อดูว่าน่าจะมีโอกาสมากแค่ไหนร่วมด้วย

ปล. เห็นพูดแค่ว่าผู้ทำนายต้องการเงินจะไม่เชื่อถือ แต่จริงๆแค่เรื่องเงินคงมาใช้ตัดสินเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะนอกจากลาภ ก็ยังมีเรื่องชื่อเสียง เกียรติยศ การสรรเสริญ การยอมรับ ที่บางคนก็ต้องการไม่แพ้เงินทอง
ในทางกลับกัน ถ้าบางคนมีอาชีพเป็นหมอดูแต่ทำนายแม่นล่ะจะไม่เชื่อถืองั้นหรือ??

 

Rep. ด้านบน

มีเหตุผล ตรงประเด็น ถูกพระทัย เป็นอย่างยิ่งครับ!

 

ตอนนี้ข้อมูลไหลออกมามาก ทั้งในและนอกประเทศ
ผู้รับข้อมูลจะสับสนมาก
โดยเฉพาะคนใหม่ๆ จะตื่นตูม จิตตก ไปเลย
ส่วนคนเก่าๆ ก็ถูไถไปเรื่อย เพราะเห็นมาเยอะ ทั้งจริง ทั้งมั่ว

มีหลายกระทู้ที่เป็นลักษณะแฟนคลับเหนียวแน่น
คล้ายกับเจ้าสำนัก กับผู้ติดตาม
เกาะกลุ่มกัน อย่างเหนียวแน่น
คนนอกเข้าไปแหย่ มีหวังโดนรุม

ลักษณะแบบนี้ เป็นกันทั่วโลกเลย ของต่างประเทศก็แบบเดียวกัน
แต่บางที่ ก็มีคนหัวใส หากินกับเรื่องแบบนี้ก็เยอะ เช่น


The phenomenon has produced hundreds of books, as well as hundreds of thousands of websites.<SUP id=cite_ref-foratv_91-2 class=reference>[92]</SUP> "Ask an Astrobiologist", a NASA public outreach website, has received over 5000 questions from the public on the subject since 2007,<SUP id=cite_ref-morris2_114-1 class=reference>[115]</SUP> some asking whether they should kill themselves, their children or their pets.<SUP id=cite_ref-foratv_91-3 class=reference>[92]</SUP>
In the United States, sales of private underground blast shelters have increased noticeably since 2009. In December 2009, Robert Vicino founded Vivos, a company that claims to offer discount shelters for the less well off. Their site features a countdown clock to December 2012.<SUP id=cite_ref-121 class=reference>[122]</SUP>
In Brazil, the Mayor of the City of São Francisco de Paula, Décio Colla, Rio Grande do Sul, has mobilized the population to prepare for the end of the world by stocking up on food and supplies.<SUP id=cite_ref-122 class=reference>[123]</SUP><SUP id=cite_ref-123 class=reference>[124]</SUP> In the city of Corguinho, in the Mato Grosso do Sul, a colony is being built for survivors of the tragedy.<SUP id=cite_ref-124 class=reference>[125]</SUP> In Alto Paraíso de Goiás, the hotels also make specific reservations for prophetic dates.<SUP id=cite_ref-125 class=reference>[126]</SUP>
In 2011, the Mexico tourism board stated its intentions to use the year 2012, without its apocalyptic connotations, as a means to revive Mexico's tourism industry, which had suffered as the country gained a reputation for drug wars and kidnapping. The initiative hopes to draw on the mystical appeal of the Maya ruins.<SUP id=cite_ref-latimes_126-0 class=reference>[127]</SUP> On 21 December 2011, the Maya town of Tapachula in Chiapas activated an eight-foot digital clock counting down the days until the end of b'ak'tun 13, while in Izapa, a nearby archaeological site, Maya priests burned incense and prayed.<SUP id=cite_ref-hindustantimes_127-0 class=reference>[128]</SUP>