ใครต้องการถามเป็นการส่วนตัว ไปถามที่อื่น กลัวคนอื่นว่าให้มาที่นี่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nilakarn, 20 เมษายน 2013.

  1. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    มันเป็นอาการของผู้ที่ได้อธิษฐาน ขอให้ได้เป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งต่อไปในอนาคต ก็อาจจะได้พระพุทธเจ้า หรือ พระปัจเจกพุทธเจ้า
    จะออกอาการ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนครับ ช่วยเหลือผู้อื่นไว้มากแต่ก็ไม่ได้รับผลตอบแทน แต่ก็ยังอยากช่วยเค้าอยู่ดี แม้บางครั้งการช่วยเหลือผู้อื่นก็อาจทำให้เราร้องไห้ได้ แต่เมื่อช่วยเหลือสำเร็จก็ทำให้เรารู้สึกเป็นสุข


    จะต้องเลือกระหว่างการบำเพ็ญบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ กับการลาพุทธภูมิ เพื่อบรรลุอรหันต์ เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
     
  2. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อยากถามว่านั่งสมาธิแล้วจะเจอวิญญาณหรือเปล่าคะ
    อยากจะนั่งสมาธิแต่เป็นคนกลัวผีเลยนั่งสมาธิได้นะยะเวลาสั้นๆ และอยากทราบวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องด้วยค่ะ


    การนั่งของผู้ฝึกใหม่ให้ใช้ การกำหนดลมหายใจ หรือ อานาปานสติ ซึ่งเป็นฐานของการทำสมาธิวิธีอื่นๆ ที่จะต้องเริ่มจากการกำหนดลมหายใจก่อนเสมอ

    ผู้ที่ฝึกใหม่ๆ ไม่เห็นผีหรอกครับ ผมยังไม่เคยเจอในสมาธิเลย เจอแต่ข้างนอก ผีเข้ามาในสมาธิไม่ได้ ถ้าเราไม่ไปคิดถึงมัน ฝึกแรกๆ ให้ดึง อย่างเดียวครับ คือ ดึงจิดกลับมา เมื่อมันคิดไปนอกร่างกายของเรา เมื่อเรารู้ว่าม้นคิด ก็ให้กลับมาภาวนา พุทโธ เหมือนเดิม เมื่อคิดก็พุทโธขึ้นเลย จนเป็นนิสัยครับ

    ที่สำคัญวิธีทำ อย่าให้เยอะครับ จะไม่สำเร็จสักอย่าง เลือกทำเพียงวิธีเดียวพอ

    วิสัยของพระอรหันต์ คือ คิด แต่คิดเฉพาะในร่างกายเท่านั้น ไม่ออกนอกกายไปไหน ถ้าออกนอกกาย พระป่าจะเรียก อวิชชา ทั้งหมด ให้ละให้วางซะ พระหรือ ผู้ที่ปฎิบัติสายพระป่า หรือ ธรรมยุติ จงจำไว้ให้มั่นนะครับ ว่าที่พระอาจารย์ต่างๆ สั่งสอนมา ว่าเป็นอวิชชา คือตัวนี้ นิมิตที่เห็นอย่าไปคิดตาม ให้ละเสียแล้วภาวนาให้มั่น เมื่อภาวนา นิมิตจะหายไปเอง หากทนไม่ได้ให้พิจารณาว่า นิมิตก็เป็นแค่เพียง ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มาประชุมกัน เพื่อหลอกให้เรายึดติด หากเรายังยึดติดเราก็จะไม่ถึงนิพพาน ให้นิพพานและการเพ่งอสุภะในตัวเรา เป็นที่พึ่งของเรา เพราะการเพ่งอสุภะก็คือกสินอย่างหนึ่งเหมือนกันนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2013
  3. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ดูความคิดนั้นๆ แล้วก็ละเสีย คือ การดึงกลับมา ภาวนาเหมือนเดิม ไม่ความตามความคิดนั้นไป เพราะไม่ใช่การเพ่งกสิน หากมันเตลิดจนควบคุมไม่อยู่ ก็ปล่อยมันไปสักพัก พอมันหายพยศ หรือเรารู้สึกตัว ก็ดึงกลับมาภาวนาอีก ดึงกลับบ่อยๆ เดี๋ยวก็จะชำนาญไปเองครับ พอคิดปุ๊บ พุทโธปั้บ นั่นละสำเร็จขั้นหนึ่งแล้ว
     
  4. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ รีล มาดริด
    การพัก มากเกินไป เท่ากับ ฝักใฝ่ ใน กามสุขัลกานุโยค

    การเพียร มากเกินไป เท่ากับ ฝักใฝ่ อัตกิลมถานุโยค.....

    อันเป็นความสุดโต่ง ทั้ง 2 ด้าน ไม่มีทาง เข้าถึง วิมุตติธรรมได้....


    พระพุทธองค์ กล่าวถึง ทางสายกลางของความเพียรนั่นเอง มีมากไปก็ไม่ดี มีน้อยไปก็ขึ้เกียจ ต้องรู้ว่า เวลาใดในทางโลก ตอนนี้สมความทำความเพียร ตอนไหนไม่สมควรทำความเพียรด้วย ต้องรู้ทั้งกาละ และ เทศะ

    แต่คำว่าไม่เพียร ไม่พักของพระป่า ก็คือ เราจะไม่เพียรทำความชั่วให้เกิดขึ้นอีก และเราจะไม่พักทำความดีให้ยิ่ีงๆ ขึ้นไป ทรงได้อย่างนี้ ศึลทุกข้อก็อยู่พร้อมครับ ไม่ต้องสมาทานอีกเลย
     
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อสุภะกัมมัฏฐาน 10 อย่าง

    อสุภะกรรมฐาน ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมนา สัมพุทธเจ้า ทรงแนะนำไว้สำหรับคนที่มีนิสัยรักสวยรักงาม หรือราคะจริตเพื่อจะได้ทำลายล้างกิเลสความหลงคิดว่ากายคนบ้านช่อง เรือนโรง โลกนี้สวยสดงดงาม ถ้าหากนักปฏิบัติพิจารณา อสุภกรรมฐานได้จนจิตเป็นหนึ่ง คือ เอกัคตารมณ์ หรืออารมณ์เป็นหนึ่งเดียวจนเป็นฌาน 4 เป็นปกติก็เป็นเหตุปัจจัยเข้าถึงพระอนาคามีได้โดยง่าย และถึงอรหัตผลได้รวดเร็ว อสุภกรรมฐาน คือ พิจารณากายคน สัตว์เป็นซากศพทั้งหมด 10 ชนิด คือ หลังตายแล้ว 10 วันนั่น เอง คือ

    กรรมฐาน ที่ 11 ถึงกรรมฐานที่ 20 คือ
    11. อุทธุมาตกอสุภ หลังตายวันที่ 1 ซากศพตัวแข็ง เย็นชืด ขาดธาตุไฟธาตุลม
    12. วินีลกอสุภ หลังตายวันที่ 2 ซากศพเริ่มบวมพอง เป็นสีเขียว
    13. วิปุพพกอสุภ หลังตายวันที่ 3 ซากศพพองมากขึ้น ชักมีกลิ่นตุๆ จากเน่ามีหนองบวม
    14. วิฉิททกอสุภ หลังตายวันที่ 4 พิจารณาซากศพเนื้อหนังปริ ลิ้นจุกปาก น้ำเลือด น้ำหนองไหล
    ออกทั่วตัว เพราะเนื้อหนังเริ่มแตกแยก
    15. วิกขายิตกอสุภ หลังตายวันที่ 5 เหม็นส่งกลิ่นตลบ เพราะแขนขากระจุยกระจายแตกแยกหมด
    16. วิกขิตตกอสุภ ศพหลังตายวันที่ 6 ซากศพเรี่ยราดไม่เป็นชิ้นเป็นท่อนเหม็นเน่า
    17. หตวิกขิตตกอสุภ ศพหลังตายวันที่ 7 มีแมลงวัน หนอน มดชอนไชกินซากศพ
    18. โลหิตกอสุภ ศพหลังตายวันที่ 8 ซากศพเหลือน้อยแต่กลิ่นเหม็นมากมีเลือด น้ำ หนอง เนื้อเน่าเละเทะ
    19. ปุฬุวกอสุภ ศพหลังตายวันที่ 9 ซากศพกระจัดกระจายไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ส่งกลิ่นมากจนทนไม่ไหว
    20. อัฏฐิกอสุภ ศพหลังตายวันที่ 10 เหลือแต่ฟันและกระดูก แขน ขา กะโหลกมีกลิ่นเหม็น ไม่มี
    หน้าตาเหลืออยู่ เพราะโดนหนอน แมลงกัดกิน มีแมลงวันบินเต็มไปหมดเพราะกลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งกระจาย

    การเจริญอสุภกรรมฐาน ไม่ใช่ให้ภาวนา หรือไปนั่งจ้องยืนจ้องซากศพที่โรงพยาบาล หรือป่าช้า แต่ท่านให้ใช้ความจำภาพซากศพที่เห็นแล้วใคร่ควรพินิจพิเคราะห์ดู ว่าตัวเรา ที่ยังหายใจอยู่ พูดได้อยู่ มันก็ไม่แตกต่างอะไรกับซากศพที่ตายแล้ว เพราะร่างกายเราก็เหม็นเน่าทุกวันต้องชำระล้างอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ล้างเอาความเน่าเหม็นออกต้องสระผมเกือบทุกวันถ้าไม่สระหัวก็เหม็น ให้จิตใจรู้ตลอดเวลาว่าร่างกายเราเขาไม่มีใครสะอาดเหม็นกันหมด ทั้งโลก คนกับสัตว์ไม่แตกต่างกันเหม็นเน่าเหม็นคาวเหมือนกัน เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน

    คิดไว้อย่างนี้ตลอดเวลาท่านเรียกว่าจิตทรง ฌานใน อสุภกรรมฐาน ใครเจ็บป่วยไข้ก็รักษาพยาบาลเป็นการระงับทุกขเวทนา คิดไว้เสมอว่าเราเขาคือซากศพ ต่างก็สกปรกเช่นกัน จะไปหลงรักผูกพันกันอะไรกันนักกันหนา จิตเลิกผูกพันตัวเราเขาจิตก็เบาสบาย ความหนักใจก็ไม่มี ใครจะตายก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าทุกคนเป็นศพที่พูดได้ เดินได้พอจิตออกจากร่างกายเราเรียกว่า ศพที่ตายแล้ว

    อสุภะ ก็คือกสินอย่างหนึ่งนั่นเอง ซึ่งผู้ที่ฝึกเพ่งจนชำนาญแลัว จะสามารถกำหนดเป็นนิมิตก็ได้ เมื่อเพ่งอยู่จะสามารถเกิด รูป รส กลิ่น เสียง เกิดขึ้นกับเราได้ เช่นในขณะที่เราเพ่ง ถ้ามีกลิ่นเกิดขึ้นมา ก็แสดงว่า เรามาถูกทางแล้ว หรือในขณะที่เราไม่ได้ฝึกแล้ว แต่เมื่อนึกขึ้นมาทีไร ก็จะรุ้สึกว่าอยากจะอ๊วกขึ้นมาทันที เมื่อมีผู้หญิงเดินผ่าน เราก็ภาวนาทันที ว่ารูปของเธอเป็นแค่อสุภะ เราก็จะเห็นทันทีว่าเธอเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อเราพิจารณาไปเรื่อยๆ รูปที่ผ่านเข้ามาก็จะสวยขึ้นเรื่อยๆ เค้าจะเข้ามาประลองกำลังกับเรา หากเราพลาด ให้เดินธุดงค์ อย่าหยุดที่ไหนเกิน 7 วัน แล้วพิจารณาไปเรื่อยๆ การพิจารณาก็คือ วิปัสสนานั่นเอง

    สรุป คือ อสุภะเป็นทั้ง กสินที่เล่นยากและคนทั่วๆไป ไม่อยากฝึก เป็นทั้ง สมถะ เป็นทั้งวิปัสสนา อยู่ในตัวเอง แต่ผุ้ที่ฝึกกองนี้ได้ เล่นที่เดียวได้สามอย่าง จนถึงขั้นบรรลุโสดาบันได้เลย แต่ต้องมีครูที่ดี สถานที่ฝึกที่ดี เพื่อนร่วมฝึกที่ดี ฝึกคนเดียว ไม่รอดแน่
     
  6. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ DharmaJaree
    ปกติจะนั่งสมาธิเอาลมหายใจจับอยู่ที่ 3 ฐาน จมูก อก ท้อง บริกรรมไปเรื่อยๆ บางครั้งก็รู้สึกที่แถวๆคิ้วขวาค่ะ ความรู้สึกมันเหมือนเราหลับแต่แล้วมีใครเอานิ้วมาจ่อตรงหน้าเราแต่มันไม่มีค่ะ
    อันนี้เกิดจากอะไร ดีหรือไม่ดีคะ?


    อาการอย่างนี้ดีครับ เป็นนิมิตอย่างหนึ่ง ที่เกิดอยู่ในช่วงปิติ ถ้าอยากรู้ว่ามันจริงไหม ให้ท่องปิติๆๆๆๆ ไว้ขณะที่มันเกิด ถ้ามันทรงอยู่ไม่หายไป ก็ใช่ครับ

    ทีนี้ถ้าคุณนั่งสมาธิก็ไม่ต้องภาวนาเลย ให้นึกถึงอาการอย่างนี้พอมันเกิดขึ้นก็แสดงว่า คุณข้ามขั้นมาที่ ปีติ เลย ไม่ต้องเข้าขั้น หนึ่ง สอง อีก มันเป็นประมาณขั้นสามหรือญานสามนั่นเอง ให้ภาวนาว่าปิติๆๆๆ คือคงญานสามไว้ให้นานๆ
    พอเบื่อญานสามแล้วให้ภาวนาว่า สุขๆๆๆๆๆๆ แล้วอธิษฐานขอขยับขั้นขึ้นไปที่ญานสี่ ให้ละปิติเสีย ไม่อยากได้แล้ว อยากได้สุขอย่างเดียว


    แต่ถ้าภาวนาแล้วหายไป ก็แสดงว่าญานสี่ตันแล้วครับ เพราะมันถึงที่สุดแล้ว มันจะเกิดอาการตันๆ ตื้อๆ ตั้งแต่กลางหัวขึ้นไป เหมือนตามที่สามจะเปิด ก็ให้ต่อด้วยวิปัสสนาครับ ไม่งั้นก็ ลองถอดจิตดู
     
  7. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ดิฉันเป็นคนที่ยังมีจิตห่วงกังวล คิดว่ามีมิจฉาธิฐิพอสมควรคะอยู่ แต่เหตุใด ถึงสามารถเห็นแสงโอภาสบ่อยเหลือเกินคะ แทบจะทุก สิบ ยี่สิบ นาที ก็เห็นเอง
     
  8. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    :cool::cool::cool::cool:
     
  9. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    หากยังเป็นปุถุชนทั่วๆไปก็ยังมีห่วงเป็นธรรมดา

    ส่วนปุถุชนผู้ได้สดับยินดีในพระธรรมคำสอน เห็นหนทางสละห่วงในโลกสมุทัย เห็นหนทางละมิจฉาทิฏฐิ
    ผู้นั้นย่อมมีสัมมาทิฏฐิในโลกียะ เพราะย่อมรู้จักสิ่งใดคือศีล สิ่งใดคือธรรม สิ่งใดกุศล อกุศล รู้จักความเพียร
    ที่เป็นไปเพื่อสัมมาทิฏฐิในโลกุตระ ต่อการรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ

    ดังนั้น ผู้ที่ได้สดับพระธรรมคำสอน แต่ยังปฏิบัติไม่ได้มรรคผลนิพพาน
    ก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิในโลกุตระ กันเกือบทุกคนล่ะ

    ห่วงกังวลปลิโพธิ ห่วงกังวลในกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
    ห่วงกังวลในทรัพย์สมบัติ ห่วงกังวลในญาติพ่อแม่พี่น้อง ห่วงกังวลในลูกหลาน ห่วงกังวลในโลกธรรม8 สุขภาพร่างกาย ฯลฯ

    เพราะทุกคนเกิดมา ก็เกิดมาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้ เกิดมาด้วยมิจฉาทิฏฐิ
    ไม่ใช่เกิดมาแล้วใสปริ๊งเลย ย่อมไม่ใช่หรอก เกิดมาเพราะความไม่รู้ในวิชชา

    แต่เหตุใดถึงเห็นแสงสว่างโอภาส ผู้ไม่ปฏิบัติตามที่ได้สดับพระธรรมคำสอนเพื่อสละห่วง หรือปฏิบัติผิดทาง สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่เกิดขึ้นง่ายๆ

    ในวิปัสสนูปกิเลสทั้ง10 มีบอกไว้

    ดังนั้น ก็จนกว่า "อาโลโก อุทปาทิ" แสงสว่างบังเกิดขึ้น มีจักษุคือตาในเห็นธรรม มีอริยมรรคเป็นเครื่องดำเนิน นั่นแหละ ผู้นั้นย่อมชื่อว่า เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิโดยแท้ด้วยธรรมอกาลิโก ที่เป็นไปเพื่ออนาสวะ สละห่วงสมุทัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มิถุนายน 2013
  10. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    วิชชาคืออะไร อวิชชาคืออะไรครับ
     
  11. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ในทางธรรม
    วิชชา คือ ความรู้ที่ประกอบด้วยปัญญาญาณ จำกัดโมหะ
    อวิชชา คือ ความไม่รู้ที่ประกอบด้วยโมหะ อับมืดในปัญญาญาณ

    ฟางว่าน น่าจะพอรู้ ลองไปศึกษาเพิ่มเติมดู อะไรที่หลงตนไป
    ควรเริ่มต้นใหม่ ให้เป็นเหมือนอย่างผัง Single line diagram
     
  12. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    คงไม่ต้องเริ่มต้นใหม่อะไรหรอกครับ ช่วงเป็นมรรคก็ต้องเพียร
     
  13. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    เป็นคำถามที่ดีครับ ถามแล้วได้บุญด้วย เพราะคนอื่นก็ดูอยู่

    [B]หากตอบอย่างพระป่า สอนกัมมัฐฐานพระบวชใหม่ หรือผู้ฝึกใหม่ แล้ว
    วิชชาก็คือ สิ่งที่เรารู้แล้วและเข้าใจมันได้อย่างดี สามารถใช้มันทำโน่นทำนี้ ได้โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น [/B]

    พระป่าท่านจะสอนให้ลูกศิษย์ เปรียบเทียบอย่างนี้ครับ ก็คือ สมมุติว่ามีนกตัวหนึ่ง
    ที่กำลังจะหิวตาย กำลังต่อสู้กับแม่งู ที่กำลังกกไข่อยู่ สองตัวกำลังต่อสู้กันจนใกล้จะหมดแรงทั้งคู่ งูก็กำลังจะตายเพราะโดนจิก แต่ยังเอาตัวเองรัดนกซะแน่น นกก็กำลังจะขาดใจตายเพราะความหิว ถ้าหากว่าไม่ได้กินเนื้อในทันทีมันก็ต้องตายอย่างแน่นอน

    คำถามก็คือ คุณจะช่วยใครระหว่างนกกับแม่งู เพราะหากคุณทำเป็นผ่านเลยไป เฝ้าดูเฉยๆ แม่งูต้องโดนนกกินแน่ๆ แล้วลูกงูที่กำลังจะเกิดมาละ แต่ถ้าหากว่าคุณช่วยแม่งู นกก็ต้องหิวตายแน่ๆ แล้วคุณจะช่วยพวกมันยังไง
    ไม่ต้องไปหาคำตอบนะครับ ให้ตอบอย่างที่คุณคิดอยู่ตอนนี้ได้เลย


    วิชชาอยู่ตรงไหน
    อวิชชาอยู่ตรงไหน


    ส่งการบ้านมา เพื่อวัดตัวคุณ พร้อมทั้งเหตุผล

    อันนี้เป็นวิปัสสนาอย่างอ่อนๆ ครับ คือการทำความเห็นของเราให้ตรง หากของใครยังไม่ตรง ปฎิบัติไปก็วนเวียนอยู่เท่านั้นเอง ไม่ไปไหน เพราะตัดใจไม่ได้ ไม่เลือกเอาอย่างใจอย่างหนึ่ง


    บุคคลช่างสงสัย ต้องมีคำตอบของตนเอง เตรียมไว้เสมอ เวลาที่เราถามคนอื่น จะได้รู้ว่า เค้าพอๆกันเราไหม หรือ มากกว่าเรา

    มากกว่าอย่างไร การมากกว่าก็คือ เค้ามีภูมิธรรมสูงกว่าเรา เราก็เอียงหูฟังซะหน่อย แอบๆ ฟังก็ได้ เท่านี้ก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

    ภูมิธรรมพอๆกับเรา ก็เช่น เมื่อเค้าอธิบายธรรมะให้เราฟัง เราก็สามารถเข้าใจได้ นี้แสดงว่าเค้าพอๆ กับเรา

    ส่วนข้อธรรมไหนที่เค้าอธิบาย แล้วเราไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ก็เข้าใจได้ หรือเราเคยได้ยินมากก่อน แต่ยังไม่เข้าใจ พระเค้าพูดปุ๊บ เราก็นึกออกปั๊บ นี่เรียกว่า ภูมิธรรมสูงกว่าเรา

    ส่วนผู้ใด เราถามธรรมที่เราไม่เข้าใจ ถ้าก็ตอบให้เราเข้าใจได้ตลอด นี่เรียกว่า ตู้พระไตรปิฎกของแท้ พระสรรเสริญว่าเป็น ปราชญ์ ราชบัณฑิต เป็นครูอาจารย์ของเราได้ แม้ไม่ใช่พระ

    แต่ใครที่ยกเอา พระไตรปิฎก มาพูดทั้งดุ้น จนเราไม่เข้าใจ ไม่อยากฟัง อันนั้นก็หนีให้ไกล เค้าเรียกกันว่า ตู้พระไตรเคลื่อนที่ คุยกับคนไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ห้ามปรามาส หรือเห็นแย้งเด็ดขาด ไม่งั้น ตัวเราเองจะเป็นมิจฉาทิฐิ หรือ อวิชชา ความไม่รู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2013
  14. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    มาถูกทางแล้ว แต่ต้องเลือกทีละอย่างระหว่าง นิมิต กับลมหายใจ

    แสงโอภาส คือ เครื่องเตือนใจสำหรับผู้ฝึก ว่าเรามาถูกทางแล้ว มันคือ นิมิตติดตา นั่นเอง ไม่ว่าจะมีทิฐิไปในทางไหน ถ้าทำถูกวิธีก็สามารถใช้ได้ครับ โจรก็สามารถใช้ได้ แม้ถึอศีลข้อเดียว คือข้อสอง การไม่พูดปด ก็คือการรักษาสัจจะ หรือ สัจจะในหมู่โจรนั่นเอง แล้วถ้าคุณถือศีลห้าละ แล้วศีลแปดละ ศีลสิบ ศีลพระยิ่งไปใหญ่ ปฎิบัติแปปเดียวได้ แต่คนที่ยังไม่ได้ คือยังไม่อธิษฐานขอนั่นเอง

    การอธิษฐานขอต้องทำอย่างนี้ ครับ เข้าญานสอง อธิษฐานขออภิญญา ที่เคยเกิดกับเรา ให้เกิดขึ้นอีก ก็คือญานที่นิ่งๆ ก่อนมีอาการขนลุกขนชัน หรืออาการแปลกๆๆ ที่ปกติมันไม่เกิดขึ้น แต่พอเรานั่งสมาธิมันก็เกิดขึ้นมา
    ญานออกอาการแปลกๆ เรียกญานสาม อธิษฐานไม่ค่อยทันให้ข้ามไปญานสี่เลย
    พอถึงญานสี่ ให้อธิษฐาน ขออีก
    เสร็จแล้วถอยมาญานสาม คือปิติ
    พอถึงญานสาม ก็ค่อยๆ ถอยมาญานสอง
    พอถึงญานสอง ก็อธิษฐาน ขออีก
    แล้วก็ขึ้นไปญานสาม และสี่
    เมื่อถึงญานสี่ ก็ขออีก


    สรุปคือ
    ญานสอง ขอ
    ญานสี ขอ
    ญานสอง ขอ
    ญานสี่ ขอ
    ญานสอง ขอ


    ทำบ่อยๆ ลองไปเรื่อยๆ

    ข้อควรจำ ถ้าคุณฝึกเพ่งกสิน แล้วเห็นโอภาส อันนี้ถูกต้องตามหลักสูตรให้ทำต่อไปเรื่อย จ้องที่โอภาสแล้วลองอธิษฐานจิตให้เป็นโน่น เป็นนี่ ดู เช่น ให้เล็ก ให้ใหญ่

    แต่ถ้าคุณฝึกอานาปานาสติ หรือกำหนดสติ หรือกำหนดลมหายใจ คุณต้องละนิมิตที่เห็นทั้งหมด เห็นก็สักแต่ว่าเห็น อย่าไปกำหนดคิดกับมัน ที่คิดของเราคือ ลมหายใจเข้า ออก ให้ยาวๆๆ ช้าๆๆ นุ่มๆๆ เนิบๆ เหมือนไม่หายใจ ถ้าหายใจแรง แสดงว่าทำผิด ต้องผ่อนลมหายใจลงให้เบาๆ เมื่อไหร่ที่คิดก็ให้ภาวนากำกับ เช่น พุทโธๆๆๆๆๆๆๆ แล้วก็ค่อยทิ้งคำภาวนาไป ให้เหลือลมหายใจอย่างเดียว เมื่อเหลือลมหายใจอย่างเดียว ก็ให้กำหนดจนไม่รู้สึกว่ากำหนดอีกเลย
    ลองสังเกตดู ถ้าไม่รุ้สึกถึงปลายเท้า หรือมือ นั่นละ ถูกทางแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2013
  15. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    วันนี้ลองให้การบ้านหนึ่งข้อนะครับ


    เมื่อทำสมาธิอยู่ เมื่อได้ยินเสียงอยู่นอกบ้าน ลองตั้งใจฟังดูซักเสียงหนึ่ง แล้วเอาจิตของเราไปฟังใกล้เสียงนั้น ให้เหมือนเรากำลังนั่งฟังอยู่ข้างๆ เสียงนั้น เสียงนั้นจะชัดเจนขึ้น
    จนกลบเสียงอื่นหมด จะได้ยินเสียงนั้นอย่างเดียว

    ฝึกใหม่ๆ จะขาดๆ หายๆ

    อันนี้จิตออกจากกายครับ
    ผู้ที่ฝึกกสิน สามารถฝึกได้ครับ
    ใครฝึกแล้วได้ผลเป็นไง โพสต์มาบอกนะครับ
    ห้ามฟันธง หรือ ถกเถียงกันเรื่องนี้เด็ดขาด
    ผู้ที่ทำได้ก็ให้เงียบไว้
    ผู้ที่ทำไม่ได้ก็ให้ฝึกอย่าท้อถอย
    ทุกคนทำได้หมด ถ้าตั้งใจฝึก


    ที่สอนมานี่ คือวิธิใช้งานอภิญญาครับ ฝึกเพ่งให้ตาย ถ้าไม่เคยฝึกใช้ก็ป่วยการ ต้องฝึกใช้ให้เป็นเท่านั้น ส่วนวิธีการใช้ที่ไปทำร้ายคนอื่น เราจะไม่ให้ทำ เมื่อใช้ผิดๆ อย่างนั้น จะถูกเรียกว่า เล่นอวิชชา หรือ ไสย์ดำ ทันที ขอให้เข้าใจตรงกัน คุณต้องเข้าใจว่า ผมเน้นอะไร โดยไม่เอาไปเปรียบเทียบกับตำราเด็ดขาด จะผิดทันที เปรียบกับ การท่องภาวนา คาถาบทหนึ่ง ท่องไปจนตายก็ยังไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่พอมีอาจารย์มาแนะนำ ว่า คาถานี้ใช้อย่างนี้อย่างนั้น ก็เกิดอัศจรรย์ทันทั
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2013
  16. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    อยากทราบว่า ตกลงนิพพานมีความมายว่าอย่างไรคะ หมายถึงสภาวะหนึ่งทางวิญญาณ หรือเป็นสวรรค์ชั้นนึงที่ไปแล้วไม่ต้องลงมาเกิดอีก
     
  17. view2004

    view2004 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +1,107
    เป็นสภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์แล้ว ภาวะที่จิตมีความสงบสูงสุด เพราะไร้ทุกข์ ไร้สุข เป็นอิสรภาพสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีการเกิดปรากฏ ดังนั้นจึงไม่มีการดับ ไม่มีการเสื่อมสลาย

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธรรมชาติที่เป็นความจริง ซึ่งมีธรรมชาติ 2 ฝั่ง
    1. ธรรมชาติฝั่งสังขตะ หรืองสงสารวัฏ คือ สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง โดยมี ดิน น้ำ ลม ไฟ หยั่งถึงโดยทั่ว

    2. ธรรมชาติฝั่งอสังขตะ หรือนิพพาน คือ ตรงกันข้ามกับฝั่งสังขตะ ไม่มีธาตุใดๆหยั่งถึง จึงไม่มีปัจจัยใดๆมาปรุงแต่ง ไม่มีกว้าง ไม่มียาว ไม่มีชื่อ แต่สิ่งนั้นยังมีอยู่จริง ซึ่งธรรมชาติฝั่งนี้หลายคนสงสัยว่าไม่มีการเกิดปรากฏ ดังนั้นจึงไม่มีการดับ ไม่มีการเสื่อมสลาย ฉะนั้นแล้วจิตของเราจะหายไป จิตสิ้นไปเลยหรือ ผมขออธิบายตามความเข้าใจ จากที่ผมเคยได้ศึกษาพุทธวจน โดย พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิผโล วัดนาป่าพง

    มีความอยู่ว่าฝั่งอสังขตะ มีการเกิดเหมือนกันกับฝั่งสังขตะ แต่ทว่าการเกิดของฝั่งอสังขตะ หรือนิพพาน เป็นการเกิดแบบ เกิดไม่ปรากฏ ดังนั้นจึงมีการเกิดขึ้น แต่เกิดแบบไม่ปรากฏตัวตนออกมา จึงไม่มีสลาย ไม่มีดับผมจะอธิบายแบบเข้าใจง่าย คือ สมมุติว่าคุณมีส้มอยู่ในมือ เมื่อคุณกินส้มผลนั้น ส้มก็ถูกกินไปอย่างนั้น แบบนี้คือฝั่งสังขตะ หรืองสงสารวัฏ แต่ฝั่งอสังขตะ หรือนิพพาน เสมือนมีส้มอยู่ในมือ แต่ไม่มีส้มในมือนะครับ ดังนั้นเมื่อเราจะกินส้มผลนี้ ส้มก็ไม่ถูกทำลายเลย เพราะ ไม่มีตัวตนของส้ม ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรูปแบบ แต่ว่าสิ่งนั้นยังมีอยู่คือ มีส้มในมือ แต่ไม่มี นี่คือความหมายเกิดไม่ปรากฏ

    ขอให้เจริญในทางโลก และทางธรรมครับ ท่านสาธุชนทั้งหลาย
     
  18. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    ขอตอบอย่างนี้นะครับ ว่ามันเป็น ปัจจัตตัง ถึงเรารู้ก็ไม่มีประโยชน์กับเรา
    คนจะสามารถเข้าใจในนิพพานได้ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ถึงจะรู้ว่าสภาวะที่แท้จริงนั้น เป็นอย่างไร


    คนทั่วๆไป ที่ไปสัมผัสแดนนิพพาน ก็จะไม่รู้ว่าแดนนิพพานเป็นอย่างไร เพราะไม่ได้ไปด้วยตัวเอง ไม่รู้จะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไร เพราะตัวเองก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่

    แต่ขออธิบายว่า การเป็นพระอรหันต์นั้น ก็คือ ยังเป็นดวงจิตดวงหนึ่งอยู่ครับ แต่ดวงจิตดวงนี้ จะไม่มีอะไรมากระทบได้อีก มันไม่รู้สึกว่า โลภ โกรธ หลง มีอยู่ในจิตดวงนี้เลย มันทรงอุเบกขารมย์ หรือ อารมย์ของอุเบกขา อยู่ตลอดเวลา ทุกวินาที ไม่คิดเรื่องอื่นอีก ไม่คิดเรื่องตนเอง คิดแต่เรื่อง เผยแพร่ศาสนา และ ช่วยเหลือผู้คน ไม่ต้องบำเพ็ญเพียรอีก โปรดเฉพาะผู้มีบุญร่วมกันมา กับผู้ที่โปรดได้ คือ บรรลุโสดาบันแล้ว คนทั่วๆไปท่านไม่โปรด เพราะการปฎิบัติไม่ถึง ปัญญาไม่ถึง พูดสอนไปก็เปล่าประโยชน์ แต่ท่านยังเทศน์สั่งสอนคนอยู่ อารมย์ของพระอรหันต์ เมื่อไม่มีสิ่งใดมากระทบ ก็ไม่มีความต้องการจะเกิดอีก เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่มีภพชาติให้ต้องทุกข์อีก และที่สำคัญพระอรหันต์ยังคง ยิ้มด้วยความเมตตา อยู่นะครับ ไม่ได้หน้าบูดบึ้งแต่อย่างใด และก็ยังต้องรับกรรมเวรที่ตามมาทันในชาตินี้อยู่

    เหมือนกับการพูดเรื่องแดนนิพพาน ถึงมีคนบอกว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็ไม่เชื่ออยู่ดี เพราะว่าไม่เคยเห็น แม้ถึงขนาดมีบุญได้เห็น ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ถ้าไม่มีคนบอก

    หากจะมัวมานั่งหาแดนนิพพานอยู่ ให้ไปหาพระโสดาบันดีกว่าไหมครับ จะง่ายกว่าเยอะ และก็เป็นผู้ที่จะไปแดนนิพพานจริงๆ เกาะเอาไว้ให้ดี เผื่อจะได้ไปด้วย จะเป็นกุศลใหญ๋
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2013
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อนุโทนาสาธุ กับ จขกท. ด้วยนะครับจุดนี้เป็นจุดที่ผมขอชื่นชมนะครับ..สอนง่ายๆเป็นกันเองดี.
    และรู้จักการพูดจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้ง จุดนี้อีกจุดที่ต้องขอชมครับ
    .จากการตามอ่านสิ่งที่คุณแนะนำมาพอสมควร.การสอนของคุณอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้..
    มีบางเรื่องที่ ต้องขออนุญาตเตือนๆกันในฐานะพันธ์มิตรบ้างเล็กน้อยนะครับ..ให้ระวังการ
    สอนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสัมผัสต่างๆทางด้านภพภูมิ.ในส่วนของสมาธิให้มากยิ่งขี้นอย่าพึ่งฟันธงว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้..
    จนกว่าจะได้ตรวจสอบเรื่องนี้กับครูบาร์อาจารย์ก่อนหรือถึงขั้น
    สามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเองก่อนนะครับ.

    ..และอีกเรื่องที่ผมไม่ค่อยอยากจะให้คุณแนะนำใคร คือเรื่อง เกี่ยวกับอภิญญาในทางที่จะเป็นรูปธรรมได้ในอนาคตนะครับ..
    ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องความเป็นทิพย์ในส่วนที่จะเกิดกับอายตนะต่างๆ..
    หรือ ฤิทธิ์ที่เกิดกสิณกองต่างๆ.การสร้างกำลังจิตและการใช้งาน.จุดนี้ถ้าคิดจะสอนใคร..
    คุณต้องเข้าถึงให้ได้ก่อน ทำให้ได้ก่อน และมีประสบการณ์ในการใช้งานกับเรื่องทำนองนี้พอสมควร..และเข้าใจหลักการณ์ต่างๆในการที่จะไปถึงเป็นอย่างดี.
    และควรรู้ว่าอะไรควรและไม่ควร..ที่สำคัญสิ่งที่คุณต้องมี คือ ควรรู้ว่าใคร
    อยู่ในวาระที่ควรสอนและไม่ควรสอน.เป็นอีกเรื่องที่ให้ลองพิจารณาในจุดนี้ประกอบด้วยครับ..
    ปล. ฟังหูไว้หูนะครับ..ตอนนี้เรามีเจตนาดีในการสอน..
    แต่การไปก้าวล้ำในส่วนอภิญญาแบบที่เป็นรูปธรรม.ซึ่งพอ
    เดาออกว่าถ้าคุณทำได้จะใช้แต่ในทางธรรม..แต่ตอนนี้ต้องระวังไว้ก่อน.
    ตอนนี้อาจมีพวกที่พอทำได้แต่ยังเป็นมิจฉาทิฐิกำลังเล็งๆคุณอยู่..
    คนขี้อิจฉาเห็นใครดีกว่าตัวเองยังมีอยู่ คนหมั่นไส้คนประเภทอยากลองของ
    เพื่อจะดูว่าแน่จริงหรือเปล่าก็มีอยู่..

    อย่าว่าแต่คุณขนาดพระอภิญญาบางท่านไปไหนยังเจอประจำ..โดนของเป็นว่าเล่น..
    .พระที่ไปด้วยย่ำแย่ไปหลายๆครั้งก็มี..พวกนี้ทำยังกับว่าอบายภูมิไม่มีจริงๆ.และ
    คนทำได้จริงๆเขียนไม่กี่ประโยคก็ดูออกแล้วครับ..ที่เห็นทำได้ตอนนี้หลายท่านจะยัง
    ไม่แนะนำใครง่ายๆแน่นอน..ส่วนที่พูดๆตอนนี้ยังเพื่อแสดงอัตตาตัวเองทั้งนั้น.
    สังเกตุง่ายๆพวกที่ชอบยึดว่า สิ่งที่ตัวเองปฏิบัติมาดีที่สุดนั่นหละคุณ ก็คงพอรู้บ้าง
    ที่เค้ายังไม่ทำอะไรคุณตอนนี้.เพราะเห็นว่าคุณยังไม่ใช่
    คู่เปรียบ..เด่วถ้าวันหนึ่งกลุ่มนั้นนึกไม่ชอบคุณขึ้นมาเห็นคุณพูดเรื่องอภิญญา
    ทำนองนี้บ่อยๆ.คุณจะไม่มีเครื่องมือในการป้องกันตัวเอง.แต่วันหนึ่งหากดูเจตนา
    คุณ ณ ปัจจุบันนี้ ตลอดเจตนาในการถ่ายทอดและวิธีการในอนาคตข้างหน้าเชื่อว่า
    คุณต้องขึ้นมาอยู่ในจุดที่ใช้งานเป็นรูปธรรมและคล่่่องตัวในทางภพภูมิได้แน่นอน
    ครับถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันอีกที.ส่วนตอนนี้ถือว่าเพื่อความปลอดภัยของตัวเองก่อนนะครับ..
    .เรื่องนี้เป็นอีกประเด็นที่ฝากให้ลอง
    พิจารณาไว้นะครับ.ผิดถูกประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
    และหวังว่าจะเข้าเจตนาที่สื่อนะครับ..


     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014
    สาธุครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ
    ผมได้บอกเบื้องต้นแล้วว่าผมไม่มีอภิญญา ที่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้
    เอาตัวเองรอดได้ก็บุญตัวแล้ว คำสอนของผมสำหรับผู้ฝึกใหม่เท่านั้นครับ
    ทุกอย่างที่ผมกล่าว พูดออกมาจากประสพการณ์ของผมเองครับ ยกเว้น เรื่องการอธิษฐานญาณ อันนั้นเป็นของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ท่านช่วยสอนผมโดยผ่านคนอื่นมาบอก ท่านให้ผมทรงพรหมวิหารสี่ เพราะอะไรครับ ใครรู้ช่วยบอกที ในอดีตชาติผมเป็นใคร ใครมีอภิญญาช่วยดูให้ที ขอบคุณครับ


    สิ่งที่ผมเขียน ผมจะเขียนเฉพาะสิ่งที่ผมได้พิสูจน์แล้ว และก็ทำได้ด้วย ไม่อยากให้มีใครหลงทางอีก และก็ไม่อยากให้เถึยงกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...