เรื่องเด่น แนวคำสอนสมเด็จโตเรื่องกายทิพย์สมาธิ

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย KWANPAT, 14 เมษายน 2012.

  1. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ต่อมาไม่นานทำให้ข้าพเจ้า ต้องการศึกษาเรื่องสมาธิเพิ่มเติม
    ในเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งนิมิตและเหตุการที่เริ่มต้นเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า
    รวมถึงแสงที่ท่านได้เห็นในนิมิตเป็นแสงที่เกิดจากสมาธิ รวมถึงสภาวะต่างๆ
    ที่เกิดขึ้นกับตัวผู้ปฏิบัติรวมถึงตัวข้าพเจ้าด้วย จึงทำให้ข้าพเจ้าศึกษาเรื่องสมาธิเพิ่มเติม
    จนได้ไปเดินแถวสนามหลวงแถวท่าพระจันทร์ ตรงข้ามวัดมหาธาตุฝั่งธรรมศาสตร์
    พบกับหนังสือทางด้านสมาธิตอบข้อสงสัยของข้าพเจ้าได้หลายอย่างด้วยความบังเอิญ
    จึงเป็นที่มาของความรู้เพิ่มเติม หากเขียนตอบในเว็บคงมากเลยเขียนไว้ที่กระทู้อื่นท่าน
    สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ จะได้ตอบข้อสงสัยของแต่ละท่านจากการปฏิบัติได้
    ภายใต้กระทู้ข้างล่างนี้


    http://palungjit.org/threads/เรียนรู้สมาธิจากการปฏิบัติ.283799/

    แสงสีที่มาแห่งการปฏิบัติธรรม

    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1.283665/

    สภาวะต่างที่คุณ toodayagokid<!-- google_ad_section_end --> ถามมาย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกท่านจะแตกต่างกันออกไป
    แล้วแต่อาการต่างๆที่เกิดขึ้น การที่เรามุ่งมั่นหรือยึดติดมากเกินไปหลงในฤทธิ์ในรูป
    ทำให้เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ก็เป็นการปิดกั้นหนทางของการปฏิบัติเช่นกัน
    ไม่ควรยึดติดมากเกินไป ปล่อยใจเป็นกลางไม่ควรหักโหมในการฝึกเมื่ออ่อนล้า
    หรืออ่อนกำลังหรือจิตไม่บริสุทธิ์โปร่งใส ร่างกายยังไม่พร้อมฝืนฝึกไปก็ไร้ผล
    อาจจะทำให้เสียกำลังใจในการฝึก เกิดการท้อแท้ได้ เหตุการณ์นี้ย่อมเกิดขึ้นได้
    กับทุกท่าน ดังนั้นควรปล่อยเป็นธรรมชาติ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ

    ธรรมะ แปลว่า ธรรมชาติ หรือ แปลว่า ความจริงแท้ ธรรมะนี้เดิมมีอยู่แล้วตามดึกดำบรรพ
    เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่มีใครสร้าง ธรรมชาตินี้ก็รวมทั้งสุริยจักรวาลน้อยใหญ่กว้างใหญ่ไพศาล
    มีโลกมนุษย์ดีกว่าโลกเราก็มีอยู่มากมาย แล้วแต่บุญบารมีของจิตแต่ละบุคคลจะไปเกิดโลกใด

    องค์พระบรมโลกนาถศาสดา ท่านก็เป็นมนุษย์แต่ท่านมีบุญบารมีพิเศษ เป็นเลิศ
    ด้วยพระปัญญาได้ค้นคว้าความจริงของธรรมะ คือ ต้นเหตุ การเกิด การเจ็บ การแก่ การตาย
    โรคภัยธรรมชาติต่าง ๆ มาจากไหน ทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันอีก
    ท่านพบธรรมะวิเศษ คือ อริยสัจ ๔ ประการ ทราบทั้งเหตุ-ผล และทางปฏิบัติ
    เพื่อให้หยุดการเกิด แก่ เจ็บ ตาย สุดท้ายเพื่อเข้าสู่แดนนิพพานนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012
  2. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ตอบคำถาม toodayagokid<!-- google_ad_section_end --> ค่อยๆ ฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นการสั่งสมบุญบารมี
    ของท่านจนกว่า เมื่อถึงเวลาท่านก็จะได้พบสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเอง
    ท่านก็จะทราบคำตอบนั่นเอง การเริ่มต้นฝึกสมาธิต้องเริ่มต้นจากการเริ่มต้น

    ศรัทธาเริ่มใสในพระพุทธศาสนา หากไม่ศรัทธาสิ่งต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น
    อย่าหวังผลในภายภาคหน้า เมื่อถึงเวลาสิ่งต่างๆ ก็จะมาปรากฏกับตัวท่านเอง
    อนึ่งก่อนการฝึกสมาธิต้องไหว้พระครูบาอาจารย์ ฝากจิต ฝากใจ กายสังขาร
    กับท่านเพื่อให้ท่านดูแลเรา เมื่อเราปฏิบัติหากเกิดอะไรขึ้น ท่านจะช่วยเรา
    บางครั้งก็มาแนะนำเรา ในสมาธิหรือในนิมิตบ้างเป็นต้น

    พิธีปลูกศรัทธาเบื้องต้น
    โบราณาจารย์ท่านมีพิธีปลูกจิตศรัทธาเบื้องต้น
    ก่อนการเรียนพระกัมมัฏฐาน คือ จัดยกครู

    เทียนขี้ผึ้งห้าคู่ ดอกไม้ขาวห้าคู่ เรียกว่าขันธ์ห้า
    เทียนขี้ผึ้งแปดคู่ ดอกไม้ขาวแปดคู่ เรียกว่าขันธ์แปด
    เทียนขี้ผึ้งคู่หนึ่ง หนักเล่มละ บาท ดอกไม้ขาวเท่ากับเทียน

    แล้วอาราธนา พระกัมมัฏฐานทั้ง ๔๐ ทัศ
    ให้เข้ามาอยู่ในขันธสันดานของข้าพเจ้าในกาลบัดนี้
    หลังจากนั้นจึงเริ่มเรียนพระกัมมัฏฐานเป็นลำดับค่อไป<!-- google_ad_section_end -->

    http://palungjit.org/threads/เรื่องพระกรรมฐาน.283872/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012
  3. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    การฝึกสมาธิทำให้สามารถสัมผัสพุทธคุณหรือนิมิตสื่อต่างๆ
    เป็นเหตุแห่งปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้บูชาพระบรมสารีกธาตุ
    รวมถึงเป็นเหตุแห่งปัจจัยให้ข้าพเจ้าต้องมีเขียนธรรมะ
    เป็นธรรมทานรวมถึงการแจกจ่ายเป็นธรรมะทาน
    บางครั้งข้าพเจ้าคิดว่าเรื่องต่างๆ อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ
    เหมือนกับทุกท่าน แต่เมื่อคิดทวบทวนเหตุการณ์ต่างๆ
    ปรากฏว่ามีเหตุแห่งปัจจัยให้เราต้องมาศึกษา
    และชักชวนให้เพื่อนกัลยานิมิตรทุกท่าน
    รวมถึงพุทธาศาสนิกชนมาปฏิบัติช่วยกันสืบสาน
    พระพุทธศาสนาให้สืบต่อไป


    นิมิตพระพุทธเจ้า

    http://palungjit.org/threads/ฝันถึงพระพุทธเจ้าและพระ.133817/

    ปฏิหารย์พระธาตุเสด็จการนิมิตสื่อจากการปฏิบัติธรรมสมาธิ
    http://palungjit.org/threads/ปฏิหารย์พระธาตุเสด็จการนิมิตสื่อจากการปฏิบัติธรรมสมาธิ.284393/

    จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าศึกษาประวัติพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทุกพระองค์
    เรื่องพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุและธาตุกายสิทธิต่างๆ

    เรื่องราวประวัติพระพุทธเจ้าและพระบรมสารีริกธาตุ
    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8.284819/

    การฝึกสมาธิทำให้สามารถสัมผัสพลังพุทธคุณ
    http://palungjit.org/threads/การฝึกสมาธิทำให้สามารถสัมผัสพลังพุทธคุณ.284171/

    เหล็กไหล ธาตุกายสิทธิ์ ปฐวีธาตุ เพชรพลอยพญานาค สะเก็ดดาว
    http://palungjit.org/threads/แจกไฟล์เรื่องเหล็กไหล-ธาตุกายสิทธิ์-ปฐวีธาตุ-เพชรพลอยพญานาค-สะเก็ดดาว.284959/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012
  4. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าเคยคิดจะเลิกเขียนธรรมะแต่ก็มีเหตุแห่งปัจจัย
    ให้เพื่อกัลยานิมิตเขียนมาถามในบางเรื่องทำให้ข้าพเจ้าต้องศึกษาเพิ่มเติม
    รวมการฝึกสมาธิรักษาโรคได้หรือไม่ ทำให้ข้าพเจ้าก็ต้องเขียนกระทู้
    เรื่องสุขภาพเพื่อตอบข้อสักถามในโรคภัยไข้เจ็บแก่เพื่อกัลยานิมิตรท่านนั้น

    บำบัดความเครียดด้วยสมาธิ รักษาโรคด้วยตำราสมุนไพร
    http://palungjit.org/threads/บำบัดความเครียดด้วยสมาธิ-รักษาโรคด้วยตำราสมุนไพร.288760/

    หลังจากนั้นจึงเป็นที่มาเพื่อตอบคำถามในใจ บางท่านไหว้พระเสริมสร้างศิริมงคลที่ใดดี
    ควรใสพระเช่นไร จึงจะถูกโฉลกกับตนเอง มีพระพุทธรูปที่ไหนบ้างที่ควรสักการะ
    จึงเป็นที่มาของกระทู้ต่างๆเหล่านี้

    พระพุทธปฏิมากรที่ควรสักการะ
    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8.285058/

    ประวัติพระพุทธรูปแต่ละปาง
    http://palungjit.org/threads/ประวัติพระพุทธรูปแต่ละปาง.285094/

    เรื่องพระเครื่องและการสวมใส่พระเครื่องให้ถูกโฉลก
    http://palungjit.org/threads/เรื่องพระเครื่องและการสวมใส่พระเครื่องให้ถูกโฉลก.284691/

    เรื่องพระเครื่องและการสวมใส่พระเครื่องให้ถูกโฉลก
    http://palungjit.org/threads/เรื่องพระเครื่องและการสวมใส่พระเครื่องให้ถูกโฉลก.284691/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012
  5. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ข้าพเจ้าก็เหมือนทุกท่านมีกรรมเป็นลิขิต ก็เกิดความสงสัยในเรื่องบุญกรรม
    รวมถึงบางท่านว่าสะเดาะห์เคราะห์แกกรรม ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสงสัย
    ว่าแก้กรรมได้จริงหรือ แต่สุดท้ายก็ทราบว่าไม่มีอะไรใหญ่เกินกรรม

    กรรมเป็นเหตุผลแห่งการกระทำ กระทำดี ก็ได้ดี กระทำชั่ว ชาตินี้ไม่ดี
    เพราะส่งผลบางจากชาติที่แล้ว แก้กรรมไม่ได้ ได้แต่กระทำความดี
    ให้ทุเลาลง และไม่กระทำผิดอีกในชาตินี้ จะได้ไม่ติดตามไปอีก
    ในชาติหน้าก็เท่านั้น แต่ช่วยในการทำให้จิตใจเราดีขึ้นใฝ่กระทำดี
    กันมากขึ้น การทำบุญต่างๆ ส่งให้ได้อณิสงค์เช่นไร
    จึงทำให้เกิดกระทู้เหล่านี้ขึ้น



    ผลการทำบุญเพื่อลดแรงกรรมต่างๆ
    http://palungjit.org/threads/ผลการทำบุญเพื่อลดแรงกรรมต่างๆ.285178/

    อาณิสงค์ของการทำบุญส่งผลอย่างไร
    http://palungjit.org/threads/อาณิสงค์ของการทำบุญส่งผลอย่างไร.285636/


    วิธีการทำบุญสะเดาะห์เคราะห์
    http://palungjit.org/threads/วิธีการทำบุญสะเดาะห์เคราะห์.285974/

    การฝึกสมาธิบางครั้งก็ส่งผลให้เราเห็นอะไรล่วงหน้า
    ส่วนตัวข้าพเจ้าเคยตั้งคำถาม ถามท่านในจิต
    ว่าอนาคตของข้าพเจ้าจะเป็นเช่นไร
    ท่านก็ไม่ตอบเรื่องส่วนตัวของเรา
    แต่ท่านกลับมาตอบในเรื่องภัยพิบัติ
    จนมาเป็นเหตุผลให้เกิดเขียนกระทู้ภัยพิบัติ

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์และภัยพิบัติเมื่อท่านมาเตือน
    http://palungjit.org/threads/สิ่งศักดิ์สิทธิ์และภัยพิบัติเมื่อท่านมาเตือน.317992/



    บางครั้งข้าพเจ้าก็เกิดความรู้สึกงุนงงเหมือนกันทุกท่าน จะว่าไม่เชื่อแต่บางเรื่องมันก็เกิดขึ้นจริง
    มีเหตุมีผล มีเหตุแห่งการเกิด บางครั้งก็ตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วมาศึกษาหาความรู้แล้วมัน
    ก็ตอบคำถามเหล่านั้นได้ มีอยู่จริง ค้นคว้าได้จริง ตรงกับตัวเราหรือผู้ที่ได้ปฏิบัติและศึกษาเพิ่มเติม

    หลายครั้งๆ ที่ข้าพเจ้าเคยคิดท้อแท้กับการปฏิบัติหรือการเขียนกระทู้ธรรมะเพราะก็เปรียบเหมือน
    ดาบสองคม มีผู้ที่เห็นด้วยและก็ไม่เห็นด้วย บางครั้งเคยเลิกจะเขียนเพราะเกิดความเบื่อหน่าย
    แต่สุดท้ายมักมีเหตุและปัจจัย หรือเพื่อนกัลยานิมิตมาตั้งคำถามเป็นเหตุให้ต้องมาเขียน
    ในเรื่องๆนั้น และให้ความรู้ในเรื่องนั้น ทั้งที่้ข้าพเจ้าก็เหมือนกับทุกท่านที่เกิดจากการ
    ปฏิบัติเช่นกัน บางครั้งจะตอบคำถามผู้ใดก็ต้องลองถูกลองผิดฝึกด้วย แต่บางครั้ง
    ก็เกิดขึ้นก่อน จึงสามารถนำมาตอบคำถามได้ แต่หากเรื่องใดตอบไม่ได้
    ข้าพเจ้าก็จะไม่ตอบจนกว่าจะพบด้วยตัวเองเสียก่อน

    ดังนั้นข้าพเจ้าคิดว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นเลิศกับผู้ใดในทั่วสากล ณ โลก
    ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นจะว่าไม่จริงก็มีอยู่จริง บางท่านหากไม่เชื่อก็จะมองเป็น
    เรื่องงมงายไร้สาระ ข้าพเจ้าไม่ได้สอนให้ทุกท่านงมงาย ก่อนที่ท่านจะ
    เชื่อหรือไม่เชื่อผู้ใดพวกท่านลองปฏิบัติแล้วหรือยัง แล้วทุกท่านจะรับรู้
    ได้ด้วยตัวของท่านเอง

    กระทู้ล่าสุดที่เกิดขึ้นนี้มาจากคำถามของเพื่อนกัลยานิมิตร
    ท่านหนึ่งถามเรื่องสมาธิกับกายทิพย์วิธีปฏิบัติสมาธิ
    รวมถึงได้จากหนังสือเพื่อนกัลยานิมิตท่านหนึ่งให้ข้าพเจ้า
    ได้อ่านศึกษาเพิ่มเติม ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นความรู้ที่ตอบ
    โจทย์ผู้ปฏิบัติมือใหม่ได้ดี รวมถึงได้ไปบังเอิญได้พบ
    หนังสือของท่านเพิ่มเติมอีกเล่ม จึงนำมาเขียนให้ทุกท่านอ่าน
    และเป็นการช่วยการปฏิบัติให้ถูกทางมากขึ้น

    บางส่วนบางตอนของหนังสือข้าพเจ้าไม่ได้เขียน
    เพราะว่าข้าพเจ้าได้เขียนแนวทางสมาธิขั้นตอน
    จากกระทู้อื่นๆ แล้วเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน
    จะเขียนเฉพาะความรู้ใหม่เพื่อให้ทุกท่านได้อ่าน
    เพิ่มเติม ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆกระทู้
    ที่ข้าพเจ้าได้เขียนขึ้นนั้น คงเป็นประโยชน์
    สำหรับแต่ท่านนำไปปฏิบัติหรือเกิดประโยชน
    ไม่มากก็น้อยในด้านนั้น

    หากท่านใดสงสัยในเรื่องไหนก็สามารถ
    อ่านได้ในเรื่องนั้นๆ ซึ่งข้าพเจ้าใช้เวลา
    เขียนและรวบรวมยาวนานเช่นกัน
    เพราะบางครั้งการเขียนนั้นต้องขึ้น
    อยู่กับความพร้อมและระยะเวลา
    รวมถึงเหตุบัญเอิญที่ข้าพเจ้าต้องเขียน
    เพราะมีเหตุแห่งการเกิดในแต่ละครั้ง
    <!-- google_ad_section_end -->



    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  6. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ขอบคุณสำหรับซีดี ได้รับจดหมายแล้วนะค่ะ
    วันนี้ได้จัดส่งให้แล้วค่ะ

    23/6/2012

     
  7. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ต้องขอประทานโทษสำหรับเรื่องพระธาตุ เนื่องจากตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพ
    ได้อัญเชิญไปไว้ที่เชียงใหม่ คุณvizardoss สามารถขออัญเชิญได้จากท่าน
    อื่นในเว็บบอร์ดแจกฟรี เพราะบางท่านถูกเลือกสรรให้เป็นบุคคลที่ต้องแจกจ่าย
    พระบรมสารีริกธาตุ เนื่องจากอาจจะมีบุญสัมพันธ์ทางนี้ เพราะบางท่านมีบารมี ในด้านนี้ เมื่อยิ่งแจกไปท่านจะเสด็จมา

    ส่วนตัวข้าพเจ้าเอง ไม่ได้มีบุญสัมพันธ์ในการอัญเชิญท่าน ก็ได้มาจากท่าน
    เหล่านั้น หรือมีเหตุแห่งปัจจัย ถ้าท่านจะเสด็จมาก็จะมีคนนำมาให้ หรือนิมิต
    ว่าได้รับท่านมาล่วงหน้า หรือเกิดการบูชาท่านนาน ท่านจึงจะเสด็จมา

    แต่ข้าพเจ้าได้ส่งพระผงจักพรรดิ์ที่พระธรรมธาตุเสด็จเกาะให้ท่านแล้ว
    พร้อมลูกแก้ว กับหนังสวดมนต์ หวังว่าท่านคงจะนำไปช่วยใช้ในการ ปฏิบัติให้ดีขึ้นตามกำลังศรัทธาของท่าน


     
  8. รพินทร์นาถ

    รพินทร์นาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +844
    ต้องขอขอบคุณมากเลยครับ ผมจะนำมาปฏิบัติให้มีความเจริญในธรรมมาขึ้นครับ
    :cool::cool::cool:
     
  9. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    หากท่านต้องการความรู้เพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปอ่านในกระทู้ต่างๆ
    ของข้าพเจ้าได้ ซึ่งมีอยู่ในกระทู้ที่ข้าพเจ้าเขียน ท่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้
    จากกระทู้เหล่านั้น อันนี้ข้าพเจ้า ขอตอบในภาพรวม โดยคร่าวๆ ดังต่อไปนี้

    ตามที่ท่านได้ถามมานั้น จะตอบคร่าวในบางส่วนที่ท่านถาม อาการที่ท่านนั่งโยกโคลง
    เกิดได้กับผู้ฝึกสมาธิได้ทุกท่าน เมื่อจิตเป็นสมาธิ โดยปกติจะโยกโคลงไปมา
    เหมือนตุ๊กตาล้มลุก แต่สุดท้ายก็จะกลับมานั่งอยู่ที่จุดเดิมในสภาพนิ่งตรง
    ถ้าจิตเป็นสมาธิ แต่ไม่ได้หลับไปเลย ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่า ขณะที่ท่านนั่งนั้น

    เผลอนั่งหลับไปหรือไม่ เพราะเกิดจากความง่วงเหงาหาวนอนในขณะที่นั่งสมาธิอยู่<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เพราะโดยปกติแล้ว ที่ข้าพเจ้าเคยฝึกโยกไปโยกมา สุดท้ายก็กลับมานั่งตั้งตรงเหมือนเดิม
    เวลานั่งสมาธิสามารถอาจจะเกิดอาการเหล่านี้ได้กับทุกท่าน ทั้งนี้ทั้งนั้น ล้วนแล้วแตกต่างกันไป

    อาการที่เกิดขึ้นนั้นเรียกว่า ปีติ ซึ่งมีด้วยกันหลาย แบบแล้ว แต่ว่าจะเกิดขึ้นกับแต่ละท่านอย่างไรเป็นต้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อจิตมีพละกำลังเป็นใหญ่ ในการตั้งสมาธิ ผูกสมาธิ ยังสมาธิให้เกิด เกิดแก่กล้าขึ้น ปีติความอิ่มเอิบใจ
    ก็เกิดตามลำดับดังต่อไปนี้

    . ขุททกาปีติ มีอาการขนพองสยองเกล้าและน้ำตาไหล <O:p</O:p
    . ขณิกาปีติ มีแสงสว่างเข้าตาคล้ายแสงฟ้าแลบ<O:p</O:p
    . โอกกันติกาปีติ มีอาการร่างกายกระเพื่อมโยกโคลง คล้ายเรือที่ถูกคลื่นซัด
    บางท่าน ก็นั่งโยกไปโยกมา อย่างนี้เรียก โอกกันติกาปีติ<O:p</O:p
    . อุพเพงคาปีติ มีกายลอยขึ้นเหนือพื้น บางรายก็ลอยไปได้ไกลหลายๆ กิโลก็มี <O:p</O:p
    . ผรณาปีติ อาการเย็นซ่าซาบซ่านทั้งร่างกาย และมีอาการคล้ายกับร่างกายใหญ่ สูงขึ้นกว่าปกติ
    <O:p</O:p
    อาการทั้งห้าอย่างนี้ แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอาการของปีติ ข้อที่ควรสังเกต
    คืออารมณ์จิตชุ่มชื่นเบิกบานแม้ร่างกายจะสั่นหวั่นไหว บางรายตัวหมุนเหมือนลูกข่าง
    แต่จิตใจก็เป็นสมาธิแนบแน่นไม่หวั่นไหว มีสมาธิตั้งมั่นอยู่เสมอ การกำหนดจิตเข้าสมาธิก็ง่าย คล่อง
    ทำเมื่อไร เข้าสมาธิได้ทันที อาการของสมาธิเป็นอย่างนี<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  10. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    อุปจารสมาธิ
    บางครั้งก็เรียกว่า “ อุปจารฌาน ”ก็เรียก เป็นสมาธิที่มีความตั้งมั่น ใกล้จะถึง
    ปฐมฌานสมาบัตินั่นเอง อุปจารสมาธิคุมอารมณ์สมาธิไว้ ได้นานพอสมควร มีอารมณ์ใสสว่าง
    พอใช้ได้ เป็นพื้นฐานเดิมที่ จะฝึกทิพยจักษุญาณได้ อารมณ์ที่อุปจารสมาธิเข้าถึงนั้นมีอาการ ดังนี้

    ๑. วิตก คือความกำหนดจิตนึกคิดองค์ภาวนาหรือกำหนดรูปกสิณ จิตกำหนดอยู่ได้
    ไม่คลาดเคลื่อน ในเวลานานพอสมควร

    ๒. วิจาร การใคร่ครวญในรูปกสิณนิมิต ที่จิตถือเอาเป็นนิมิตที่กำหนด มีอาการเคลื่อนไหวหรือคงที่
    มีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร เล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำ จิตกำหนดรู้ไว้ได้ ถ้าเป็นองค์ภาวนา ภาวนาครบถ้วนไหม
    ผิดถูกอย่างไร กำหนดรู้เสมอ ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็กำหนดรู้ว่า หายใจ เข้าออก ยาวหรือสั้น เบาหรือแรง
    รู้อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เรียกว่าวิจาร

    ๓. ปีติ ความปลาบปลื้มเอิบอิ่มใจ มีจิตใจชุ่มชื่นเบิกบาน ไม่อิ่มไม่เบื่อ ในการเจริญภาวนา อารมณ์ผ่องใส
    ปรากฏว่าเมื่อหลับตาภาวนานั้นไม่มืด เหมือนเดิม มีความสว่างปรากฏคล้ายใคร นำแสงสว่างมาวางไว้ใกล้ๆ
    บางคราวก็เห็นภาพและแสงสีปรากฏเป็นครั้งคราว แต่ปรากฏอยู่ไม่ นานก็หายไป อาการของปีติมีห้าอย่างคือ
    <O:p</O:p

    มีการขนลุกขนชัน ท่านเรียกว่าขนพองสยองเกล้า <O:p</O:p
    มีน้ำตาไหลจากตาโดยไม่มีอะไรไปทำให้ตาระคายเคือง <O:p</O:p
    ร่างกายโยกโคลง คล้ายเรือกระทบคลื่น <O:p</O:p
    ร่างกายลอยขึ้นเหนือพื้นที่นั่ง บางรายลอยไปได้ไกลๆ และลอยสูงมาก <O:p</O:p
    อาการกายซู่ซ่า คล้ายร่างกายโปร่ง และใหญ่โตสูงขึ้นอย่างผิดปกติ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อาการทั้งห้าอย่างนี้ แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอาการของปีติ
    ข้อที่ควร สังเกต คืออารมณ์จิตชุ่มชื่นเบิกบานแม้ร่างกายจะสั่นหวั่นไหว
    บางรายตัว หมุนเหมือนลูกข่าง แต่จิตใจก็เป็นสมาธิแนบแน่นไม่หวั่นไหว
    มีสมาธิตั้งมั่น อยู่เสมอ การกำหนดจิตเข้าสมาธิ ก็ง่าย คล่อง ทำเมื่อไร
    เข้าสมาธิได้ทันที อาการของสมาธิเป็นอย่างนี้

    ๔. สุข ความสุขชื่นบาน เป็นความสุขที่ละเอียดอ่อน ไม่เคยปรากฏการณ์มาก่อนเลย
    ในชีวิตจะนั่งสมาธินานแสนนานก็ไม่รู้สึกปวดเมื่อย อาการปวด เมื่อยจะมีก็ต่อเมื่อคลายสมาธิแล้ว
    ส่วนจิตใจ มีความสุขสำราญตลอดเวลา สมาธิก็ตั้งมั่นมากขึ้น อารมณ์วิตก คือ การกำหนดภาวนา
    ก็ภาวนาได้ตลอดเวลา การกำหนดรู้ความภาวนาว่าจะถูกต้องครบถ้วน หรือไม่เป็นต้น ก็เป็นไปด้วยดี
    มีธรรมปีติชุ่มชื่น ผ่องใส ความสุขใจมีตลอดเวลา สมาธิตั้งมั่น ความสว่างทางใจปรากฏขึ้น
    ในขณะหลับตาภาวนา อาการตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แหละ ที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ
    หรือเรียกว่า อุปจารฌาน คือเฉียดๆ จะถึง ปฐมฌาน



    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  11. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    อารมณ์ของพระปีติธรรม มี ๕ ประการ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    . พระขุททกาปีติ ปีติเล็กน้อย สมาธิเล็กน้อย ขณิกสมาธิ ขั้นที่๑ <O:p</O:p
    . พระขณิกาปีติ ปีติชั่วขณะ สมาธิชั่วขณะ ขณิกสมาธิ ขั้นที่๒ <O:p</O:p
    . พระโอกกันติกาปีติ ปีติเป็นพักๆ สมาธิเป็นพักๆ ขนิกสมาธิ ขั้นที่๓ <O:p</O:p
    . พระอุพเพงคาปีติ ปีติโลดโผน สมาธิเต็มที่ ขนิกสมาธิ ขั้นที่๔ <O:p</O:p
    . พระผรณาปีติ ปีติซาบซ่าน สมาธิแผ่ซ่าน ขนิกสมาธิ ขั้นที่๕


    การเห็นแสงนั้น เป็นนิมิตอย่างหนึ่ง จะเป็นปรากฏการณ์ เมื่อจิตเป็นสมาธิ
    เมื่อเพ่งอารมณ์ดีแล้ว ก็จะมีโอกาสเกิดแสงสว่างรุ่งเรือง แสงสว่างนี้ย่อมส่องสว่าง
    ให้เห็นเป็นสิ่งของต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นในใจ หรือปรากฏในมโนทวาร คล้ายคนนอนหลับฝัน เ
    ห็นอะไรต่างๆ แต่การเห็นในสมาธิพิเศษกว่าการเห็นในความฝัน เพราะผู้เห็นผ่านการ
    กลั่นกรองของสติมาก่อน ผู้เห็นจึงมีสติ มิได้นอนหลับอยู่


    ในขั้นแรกที่เห็น แสงสว่าง มักจะหายไปโดยเร็ว เพราะผู้เห็นเกิดความสะดุ้ง ความสงสัยสนเท่ห์มากขึ้น
    จิตจึงคลาดเคลื่อนออกจากสมาธิ เมื่อสำรวมจิตเป็นสมาธิได้อีก ก็คงได้พบแสงสว่างอีก แสงสว่างนี้
    ยอมส่องให้เห็นภาพต่างๆ เหมือนอย่างเห็นภาพภายนอก ในเวลากลางวัน เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
    ก็ยังมืดอยู่ ไม่สามารถมองเห็นภาพอะไรต่างๆได้ เปรียบเหมือน จิตที่ยัง ไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่มีกำลัง
    เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ก็สามารถมองเห็นภาพ อะไรได้ เปรียบเหมือนจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
    มีกำลังเกิดแสงสว่าง สามารถเห็นภาพได้ เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต เห็นรูปต่างๆ ไม่มีประมาณ
    เรียกว่า มหรคตนิมิต

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  12. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    การที่ได้พบเห็นแสงสว่างในเวลาที่ทำสมาธิ หลับตากำหนดจิต เรียกว่า โอภาสนิมิต
    การได้เห็นรูปนิมิตที่เกิดขึ้น เล็กน้อยนี้ เรียกว่า อุคคหนิมิต ถ้าผู้เห็นนิมิต สามารถนึก
    ให้รูปนิมิตเหล่านั้นกลายเป็นรูปขนาดใหญ่ ประกอบด้วย ความผ่องใสกว่าหลายเท่า<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อุคคหนิมิต คือ นิมิตที่มาสู่ที่แจ้งแห่งมโนทวาร คือ เห็นนิมิตทางใจ การเห็นนิมิตทางใจ
    การเห็นนิมิตทางใจนั้น อาจเกิดจากการคิดขึ้นเอง บ้าง เกิดเป็นนิมิตหลอนบ้าง เป็นนิมิต
    ที่เกิดจาก อุปาทานบ้าง โบราณาจารย์ท่านให้แก่นิมิต หลอน นิมิตลวง ด้วยการกำหนดสมาธิ
    ดูรัศมี ต่างๆ ขององค์ปีติสีต่างๆหรือวรรณะต่างๆนี้ เป็นรูปารมณ์ จัดเป็นองค์ธรรม

    เมื่อเป็นองค์ธรรม ก็จะเกิดนิมิตตาม สภาวธรรมที่เป็นจริง ทำให้ไม่มีนิมิตหลอน นิมิตลวง
    เห็นตามรูปจริง เมื่อกำหนดสมาธิดู รัศมีต่างๆ ขององค์ปีติ เมื่อสมาธิกล้าขึ้น รัศมีองค์ปีติ
    จะเกิดเป็นดวงๆบ้าง เป็นในลักษณะ อื่นๆ บ้างเมื่อแก้นิมิตหลอก นิมิตหลอน ด้วยการนั่ง
    ภาวนาดูรัศมีขององค์พระปีติ ๕ คือ รูปารมณ์ ได้แก่ สีต่างๆ ผู้ที่เต็มไปด้วยความศรัทธา
    เต็มไป ด้วยสติ เต็มไปด้วยปัญญาย่อมเป็น ผู้สามารถถอดกลั้น ต่อธรรมรมณ์

    ที่เข้ามาสู่ทวารทั้ง ๕ มี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โผฏฐัพพะ เป็นต้น

    อารมณ์ที่ปรากฏ ทางรูปนั้น เมื่อไม่ดีก็หลับตาเสีย อารมณ์นั้นก็หายไป หรือสงบระงับไป
    แต่อารมณ์ทางหู คือ เสียงสงบได้ยาก แม้จิตจะเข้าถึง อัปปนาสมาธิแล้ว เสียงก็ยังไม่สงบ
    ระงับเสีย ทีเดียว ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เสียงเป็นเสี้ยนหนามของญาณ หรือ สมาธิ

    เมื่อปีติเกิดขึ้นตั้งแต่พระขุททกาปีติองค์แรก จนถึงพระผรณาปีติองค์สุดท้ายแล้ว ปีติ
    นั้นก็แก่กล้าเต็มที่ ให้เหตุผลปีติทั้ง ๕ ย่อมเป็นผลให้เกิดเป็น ปัสสัทธิ คือ ความสงบ
    ระงับทางกายทางใจ เรียกว่า ยุคลธรรม ธรรมที่เป็นคู่กัน มี ๖ ประการ
    <O:p</O:p
    . กายปัสสัทธิ จิตปัสสัทธิ สงบกาย สงบใจ เกิดปรากฏกายใจสงบระงับอยู่ <O:p</O:p
    . กายลหุตา จิตลหุตา กายเบา จิตเบา เกิดกายเบา เย็นสบาย หายใจก็ดูเบาสบาย <O:p</O:p
    . กายมุทุตา จิตมุทุตา กายอ่อน จิตอ่อน เกิดกายเนื้อตัวอ่อน และหายใจก็อ่อนสุขุมนัก
    . กายกัมมัญญตา จิตกัมมัญญตา กายควรแก่การงาน จิตควรแก่การงาน เกิดให้สมาธิ
    เยือกเย็น จิตก็เย็นสบาย<O:p</O:p
    ๕. กายปาคุญญตา จิตตะปาคุญญตา กายคล่องแคล่ว จิตคล่องแคล่ว เกิดกายเนื้อตัวแวว
    วาวดุจหิ่งห้อยเข้าในที่มืด หายใจก็ดูกคล่องแคล่วสบายๆ<O:p</O:p
    ๖. กายชุคคตา จิตชุคคตา จิตตรง เกิดเนื้อตัวและจิตใจตั้งมั่นอยู่สบายนัก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๑. กายสุข จิตสุข สุขกาย สุขใจ เกิดให้กายภายในเนื้อตัวเย็นแต่ผิวหนัง
    เป็นดังลมพัด โชยอ่อนๆ พัดมาถูกต้องกาย หายใจก็อ่อนสุขุมนัก เหมือนนั่งอยู่ใต้ต้นไม้
    ต้องลมริ้วๆ สบายริ้วๆ
    <O:p</O:p
    ๒. อุปจารสมาธิ พุทธานุสสติ จิตเป็นอุปจารสมาธิเต็มขั้น จะปรากฏบังเกิดให้จิตใจ
    ตั้งมั่น และนั่งอยู่เป็นสุขสบายไม่ไหวติง ปรากฏมีแสงรุ่งเรืองทั่วตัว<O:p</O:p


    <O:p</O:p




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  13. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    อุปกิเลส เครื่องเศร้าหมองในการเจริญสมาธิ
    <O:p</O:p
    ๑. วิจิกิจฉา ความสงสัยในโอภาสนิมิต จิตคลาดเคลื่อนจากสมาธิ แสงสว่างจึงดับ
    ๒. อมนสิการ จิตไม่กำหนดนึกว่านั้นอะไร นี่อะไร ทำให้จิตเลื่อนลอย จิตจึงเคลื่อน
    จากสมาธิ แสงสว่างก็ดับ
    ๓. ถีนมิทธะ จิตละเลยการกำหนดรูปนิมิต จิตจึงง่วงเหงาหาวนอน จิตจึงเคลื่อน
    จากสมาธิ รูปจึงดับ แสงสว่างจึงดับ
    ๔. ฉัมภิตัตตะ ความไหวจิต ไหวกาย เพราะจิตเห็นรูปน่ากลัว จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ
    แสงสว่างรูปนิมิตจึงดับ
    ๕. อุพพิลวิตก ความที่จิต รวมรัดเพ่งเล็งดูรูปนิมิตมากมาย จิตกำเริบฟุ้งซ่าน จิตเคลื่อนที่
    จากสมาธิรูปนิมิต และแสงสว่างจึงดับไป
    ๖. ทุฏฐัลละ ความกำหนดจิตดูรูปนิมิตมาก แต่กำหนดดแต่ช้าๆ จิตคลายความเพียรลง
    เกิดความกระวนกระวาย จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิรูปนิมิต โอภาสนิมิตจึงดับ
    ๗. อัจจารัทธวิริยะ กำหนดความเพียรมากเกินไป จิตจึงคลาดเคลื่อนจากสมาธิ รูป แสงสว่างจึงดับไป <O:p</O:p
    ๘. อติลีนวิริยะ กำหนดความเพียรน้อยไป อ่อนเกินไป จิตเคลื่อนจากสมาธิ รูป แสงสว่าง จึงดับไป <O:p</O:p
    ๙. อภิชัปปา การกำหนดดูรูปปราณีต ตัณหาเกิด จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ รูป และแสงสว่าง จึงดับไป
    ๑๐. นานัตตสัญญา การกำหนดดูรูปหยาบ รูปปราณีตพร้อมกัน จิตแยกเป็นสองฝ่าย จิตจึงเคลื่อนจาก
    สมาธิรูปนิมิต และโอภาสนิมิตหายไป
    ๑๑. อตินิชฌายิตัตตะ การเพ่งเล่งรูปมนุษย์อันปราณีต เกิดความยินดี จิตเคลื่อนจาก สมาธิ รูป แสงสว่างจึงดับ

    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  14. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ตามคำภีร์พระปรมัตถโชติกะอรรถกถาสุตตนาบาต

    ได้จำแนกกรรมฐานไว้ ๒ อย่าง คือ

    <O:p</O:p
    . สัพพัตถกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่บุคคลพึงกระทำก่อนเจริญก่อน ก่อนกรรมฐานอื่นๆ ใน ๔๐ อย่าง
    กรรมฐานที่ควรเรียนก่อนจัดเป็นมูลกรรมฐาน คือ หัวใจสมถะกรรมฐาน มีพระพุทธานุสสติกรรมฐานเป็นต้น
    <O:p</O:p
    . ปาริหาริยกรรมฐาน หมายถึง เป็นกรรมฐานเบื้องต้น จนจิตเป็นสมาธิ ตั้งสมาธิ ผูกสมาธิตั้งมั่น

    จึงเลือกเอาพระกรรมฐาน ๔๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมาะสม แก่จริตของผู้เจริญกรรมฐาน
    ให้เจริญเป็น ลำดับๆ ที่เป็นกรรมฐานที่มีอารมณต่อเนื่องไป ทำให้เกิด พระปิติทั้ง ๕ พระยุคคลธรรมทั้ง ๖
    พระสุขสมาธิ ๒ ตั้งแต่ตั้งสมาธิ ผูกสมาธิยังไม่ได้ จนมีสมาธิกล้าขึ้น อุปจารสมาธิ อุคคหนิมิต เป็นของคู่กัน
    กับอุปจารสมาธิ โดยเมื่อจิตเป็นสมาธิ สงบนิ่งกล้าขึ้น ก็จะเกิดผลเป็น ปามุชชะ คือ ความยินดี
    หรือที่เรียกว่า ปีติ นั่นเอง เมื่อปีติเกิด ศรัทธาย่อมเกิดตาม ปีติ มีลักษณะให้ใจผ่องใส คือ อิ่มใจ ซาบซ่าน

    <O:p</O:p
    ศรัทธา เป็นลักษณะให้แล่นไปด้วยดีอย่างหนึ่ง บุคคลเมื่อมีศรัทธาต่อสิ่งใด เมื่อระลึกถิงสิ่งนั้น จิตย่อมผ่องใส
    เกิดปีติ มีความไม่ท้อแท้ จิตใจย่อมแล่นไปในสิ่งนั้น บุคคลผู้มีศรัทธาเชื่อกรรม เชื่อผล ของกรรม เชื่อความที่
    สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เชื่อในพระปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จิตก็ย่อมแล่นไปตามบุญกุศล
    เป็นจิตที่มีกำลัง ย่อมทำอะไรให้สำเร็จได้ง่าย เรียกว่า พละ มีความ เป็นใหญ่นการกระทำนั้น เรียกว่า อินทรีย์




    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  15. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ข้อพิจารณาเกี่ยวกับความเชื่อก่อนการฝึกสมาธิ
    <O:p</O:p

    ท่านเชื่อในสวรรค์ และนรกหรือไม่ ท่านเชื่อผลของกรรม บาปบุญคุณโทษหรือไม่
    ท่านเชื่อในพุทธคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระรัตนตรัย ว่ามีจริงหรือไม่
    ท่านเชื่อในพระคุณของบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชชาหรือไม่
    ท่านเชื่อในผลของการปฏิบัติและมรรคผลนิพพานหรือไม่ หากมีความลังเลสงสัย

    ไม่เชื่อในข้อใดข้อหนึ่ง แม้เพียงแต่ข้อเดียว ท่านก็ไม่อยู่ในวิสัยที่ จะปฏิบัติได้
    เนื่องจากเป็นข้อกำหนดที่มีแรงครูกำกับอยู่ ส่วนผู้ที่ไม่มีความสงสัยในทุกข้อ
    ก็ถือได้ว่าท่านเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ ซึ่งขอให้ท่านได้อธิษฐานรักษาไว้ให้ได้ทุกชาติตราบเข้าสู่พระนิพพาน
    <O:p</O:p

    ส่วนท่านที่ยังมีความลังเลสงสัยอยู่ ขอให้หมั่นศึกษาธรรมะให้มากๆ เมื่อเข้าใจดีแล้ว ก็จะหมดความสงสัย
    ในเรื่องของสัมมาทิฏฐิเอง และเมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านหมดสงสัย แล้วจึงกลับมา ศึกษาวิชชาต่อ เรื่องนี้ถือ
    เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องตั้งเข็มทิศให้ตรงตั้งแต่ต้น เพราะพระพุทธเจ้าและ พระอริยเจ้า รวมทั้งพระโพธิสัตว์
    ท่านทั้งหลายสอนให้มนุษย์ไปนิพพาน หรือชั้นพรหมและสวรรค์ เพื่อให้เข้าถึงไตรสรณ์คมน์และเป็นสัมมาทิฏฐิ<O:p</O:p





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  16. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    การฝึกสมาธิต้องมีจิตศรัทธาและอิทธิบาท ๔<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ศรัทธา ( ต้องมีศรัทธา ) <O:p</O:p
    <O:p

    ความเชื่อในความดีและผลของการปฏิบัติ <O:p</O:p
    ยอมรับนับถือความดี และคำสั่งสอนขององค์ พระบรมครูและพระอริยสงฆ์ <O:p</O:p
    เชื่อและพิจารณาตามคำสอน <O:p</O:p
    เชื่อมั่นในตนเองและความรู้สึกครั้งแรกของตน ขณะปฏิบัติ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อิทธิบาท ๔<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ฉันทะ ความพอใจในการปฏิบัติที่กำลังทำอยู่ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    วิริยะ ความพยายามและเข้าใจ ความความเป็น
    จริงว่า การทำงานทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม ต้องมีอุปสรรค
    ต้องอาศัยความพากเพียรต่อสู้ไม่ ท้อถอย จนกว่าจะชนะ<O:p</O:p
    <O:p
    จิตตะ เอาใจใส่ในวิชาความรู้ที่เราได้พึงศึกษา และการกระทำต่อเนื่อง ไม่ละเลย หลงลืม <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณา ด้วยความมีเหตุมีผล ใ นการหาเหตุผล ใคร่ครวญ แล้วสลัดความโง่เขลาทิ้ง


    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  17. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    สำหรับส่วนตัวข้าพเจ้า ยังไม่เคยฝึกปลงอสุภะ พิจารณาซากศพ พิจารณากาย<O:p</O:p
    เคยแต่สมาธิแล้ว อยู่ดีก็เห็นนิมิต เป็นหน้าผู้หญิงหน้าเน่าเละมาให้เห็น
    เห็นภาพคนถูก รถชนเล่ะต่อหน้าต่อตา หรือภาพคนฆ่าตัวตายตกมาจากตึกที่สูง
    ตกมาตายเล่ะเลือดท่วมนอง ครั้งแรกเคยสะดุ้งตกใจ ก็ออกจากสมาธิ

    ต่อมาหลังเริ่มคิดได้เลยแผ่เมตตาออกไปขณะสมาธิภาพนั้นก็หายไป
    ข้าพเจ้าคิดว่าภาพที่เห็นนั้นเหมือนการพิจารณาซากศพ เช่น เดียวกับการปลงอสุภะ
    เพราะว่าอยู่ดีก็มาให้เห็น ก็เป็นเรื่องที่แปลกมาก ภาพที่เกิดไม่ใช่บุคคล
    ที่เรารู้จัก หรือญาติเราเลย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
    <O:p</O:p
    จิตก็ทรงสมาธิได้เหมือนเดิม อีกเหตุการณ์หนึ่งนอนสมาธิ บริกรรมไปเรื่อยๆ
    เหมือนตัวเองยุบลงไปจากจุดศูนย์กลางสะดือ เหมือนถูกดูดลงไป

    ครั้งแรกตกใจมาก จึงรีบออกจากสมาธิ ครั้งต่อมาก็เลยตั้งใจว่าถ้าจะเกิด<O:p</O:p
    อะไรขึ้นก็อยากลองให้รู้ไปเลย หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีก
    เหมือนตัวเองถูกดูดลงไปด้านล่างจากจุดกึ่งกลางสะดือ คราวนี้จิตข้าพเจ้า
    ตามไปเรื่อยๆ ตั้งใจว่าจะไม่ออกจากสมาธิ<O:p</O:p

    ดังนั้นก็ถูกดูดลงไปเรื่อย เหมือนตัวเองทั้งตัวโดนดูดยุบลงไปในสะดือ
    ตอนนั้นรู้สึกว่าเหมือนตัวเองละลายไปทั้งตัวเหมือนกลายเป็นน้ำ
    เหมือนน้ำแข็งละลายไปเลย สักพักก็กลับค่อยๆพองตัว<O:p</O:p
    กลับมามีน้ำหนักเหมือนมีมวลสารเหมือนเดิม รับรู้ถึงกายหยายของตนเอง
    จึงค่อยๆ ลืมตาออกจากสมาธิ นี่เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ข้าพเจ้า
    เพิ่งสัมผัสได้เมื่อไม่นานมานี้เอง

    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  18. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    สุดท้ายนี้ก็ขอให้ผู้ฝึกทุกท่าน พึงสังวรณ์ถึงอารมณ์และจิตเป็นที่ตั้ง
    ผู้ฝึกสมาธิจิตจะมีกำลังมาก หากควบคุมตัวเองไม่ได้จิตก็อาจจะทำร้ายตัวเอง
    บางครั้งท่านก็อาจจะมาทดสอบทางจิต การควบคุมภาวะอารมณ์หากเราควบคุม
    ไม่ได้จิตของเราก็อาจจะเตลิดได้เช่นกัน อาจจะกลายเป็นคนบ้าเสียสติไปได้
    ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ท่านมาทดสอบทางจิต

    สำหรับข้าพเจ้าฝึกสมาธิโดยเริ่ม
    จากมโนยิทธิของหลวงพ่อพระฤาษีลิงดำ
    เป็นหลักอาจจะมีความรู้ไม่มากนัก

    แต่ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ข้าพเจ้า
    สัมผัสได้ด้วยความบังเอิญเรียกว่ากสินไฟหรือไม่
    เมื่อข้าพเจ้าฝึกสมาธิได้ถึงระดับหนึ่ง
    ด้วยความบัญเอิญมองไปที่หลอดโคมไฟสีส้ม
    ก็เห็นแสงนิมิตลอยไปลอยมา

    แต่เมื่อจิตเป็นสมาธิเพ่งนานขึ้น
    แสงไฟที่เรามองแล้วกำหนดจิตนิ่ง
    จะเห็นเหมือนมีดวงตาสีฟ้ามองเราอยู่
    พร้อมกับเห็นอะไรเป็นดวงๆ มองเราเหมือนกัน
    ถ้าจิตเรานิ่งขอเห็นภาพชัดเจนขึ้น ก็เห็นเป็นดวงตา
    ปรากฏขึ้นดวงตานั้น เหมือนดวงตาคน
    ปรากฏหลากหลายดวงตามองเราอยู่ข้าพเจ้าตกใจ
    ทุกวันนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าดวงตาเหล่านั้นคืออะไร

    หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ได้อ่านว่าการเพ่งแสงไฟ
    เรียกว่ากสินไฟ แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ
    จึงเริ่มลองปฏิบัติอีกครั้ง ว่าให้เพ่งแสงเทียนไฟ

    ดังนั้นข้าพเจ้าก็ไหว้พระสวดมนต์ภาวนาเสร็จ
    ก็นั่งสมาธิเพ่งแสงเทียนไฟ ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ
    ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นว่า ถ้าเป็นวันพระ จะเห็นดวงตา
    เหมือนดวงตาคนมากมายปรากฏขึ้นมองเรานั่งสมาธิ
    ดวงตาสามารขยับไปมาได้ พร้อมกับที่ดวงตาสีฟ้า
    ก็ปรากฏขึ้นมองเราเหมือนกันเราจึงกำหนดจิตขอเห็นให้ชัดขึ้น
    สักพักก็เห็นสันจมูกแล้วก็รูจมูกของเขาด้วย

    ข้าพเจ้าก็ตกใจ เพราะทุกวันนี้ยังไม่ทราบเหมือนกัน
    ว่าเวลาข้าพเจ้าเพ่งกสินไฟ ทำไมจึงมีภาพเหล่านั้น
    ปรากฏขึ้นมาด้วย ก็เกิดความกลัวเหมือนกัน
    เพราะฝึกด้วยตัวเอง แต่ก็แผ่เมตตาให้เขาไป
    ภายหลังนั่งสมาธิเสร็จแล้ว


    ข้าพเจ้าคิดว่าผู้ที่ฝึกกสินไฟ
    ควรจะดับกิเลสในใจให้ได้ด้วย
    มิฉะนั้นอาจจะเป็นอันตรายต่อตัวท่านเองได้
    ที่มีบุคคลส่วนใหญ่ถามว่าจะเป็นบ้าได้หรือไม่
    ข้าพเจ้าคิดว่าก็อาจจะเป็นบ้าได้หากเราควบคุม
    สภาวะจิตใจของเราไม่ได้ เมื่อได้เจอภาพสิ่งต่างๆ
    ข้าพเจ้าคิดว่าอาจจะมาจากสาเหตุเหล่านี้


    ถ้าเราควบคุมจิตไม่ได้ธาตุในไฟในร่างกายแตก
    ก็จะเป็นอันตรายหรืออาจจะเป็นบ้าได้

    คือ กิเลสที่เกิดจาก โลภะ โทสะ โมหะ

    ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ได้ถูกทดสอบจากสิ่งศักดิสิทธิ์
    เหมือนกันจากกิเลส จากกิเลสดังกล่าว
    จากกสินไฟที่ข้าพเจ้า ถูกทดสอบ ด้วยความแรงของโทสะ

    โทสะ แปลว่า ความโกรธ ความขัดเคือง ความไม่พอใจ

    ปกติข้าพเจ้าเป็นคนใจเย็น ไม่ค่อยจะยึดติดอะไรมาก
    พี่สาวของข้าพเจ้าเป็นคนใจร้อน การพูดจาบางครั้ง
    โผงผาง โวยวาย ชอบติเตียน คนอื่น

    ปกติชอบบ่นทุกเรื่อง ข้าพเจ้าก็ไม่ถือสา แต่ด้วยความเป็นกันเอง
    ก็ชอบพูดจาใส่อารมณ์กับข้าพเจ้าทุกครั้ง ข้าพเจ้าคิดว่ามนุษย์เราทุกคน
    ถ้าโดนเพียงครั้ง 2 ครั้ง ไม่กี่ครั้ง คงจะไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อโดนเรื่อยๆ
    มากกว่าเป็น สิบๆ ครั้ง ก็เปรียบเหมือนถูกสะสมความรู้สึกนั้นไว้โดยไม่รู้ตัว
    ถึงจิตเราว่าไม่โกรธในตอนนี้ แต่สำหรับผู้ฝึกจิตท่านก็มาทดสอบว่าจิตว่าที่จริง

    เราสามารถผ่านด่านนี้ได้หรือไม่ ผู้ฝึกสมาธิจิตจะมีความแรงกว่าคนธรรมดา
    ดังตัวอย่างที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าดังต่อไปนี้ มีอยู่คืนหนึ่งที่ข้าพเจ้านอนสมาธิ
    ก็เกิดภาพนิมิตว่าได้ถูกพี่สาวพูดจาไม่ดี ไร้เหตุผลมากๆ ทำจนควบคุม
    อารมณ์ไม่ได้จนถึงขั้นทะเลาะกันรุนแรงอย่างมาก ในนิมิตเขาตบตีข้าพเจ้า
    จนข้าพเจ้าทนคำพูดเขาไม่ไหว ลงมือบีบคอเขาเหมือนจะฆ่าเขาให้ตายเสีย

    ซึ่งข้าพเจ้าในจิตรู้ตัวตลอดเวลาว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง สักพักร่างกายของข้าพเจ้าเหมือน
    มีไอควันขึ้นมา แล้วอุณหภูมิร่างกายค่อยๆ ร้อนขึ้นทั่วตัว สักพักร่างกาย ลุกติดไฟขึ้นมา
    เหมือนตัวเองเป็นมนุษย์ไฟอย่างใดอย่างนั้น

    ข้าพเจ้ารู้ได้ทันทีว่า สิ่งศักดิสิทธิ์กำลัง ทดสอบเราอยู่แน่นอน เราจะไม่โกรธ
    เราไม่เคยคิดจะฆ่าพี่สาวตัวเอง เมตตา ๆ แล้วบอกกับตัวเองในจิตว่า
    สิ่งนี้ไม่ใช่ตัวตนของข้าพเจ้า นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ พระองค์ทรง มาทดสอบจิตเรา

    สักพักไฟที่ลุกท่วมที่เผาไหม้อยู่ทั่วตัว ก็ค่อยๆมอดลง อุณหภูมิความ ร้อนค่อยๆ ลดลง
    เหตุการณ์นี้เสมือนจริงมาก เพราะข้าพเจ้ารับรู้ถึงความ ร้อนของเพลิงที่เผาไหม้กายได้
    เหมือนตัวเองถูกเผาไฟให้ไหม้อย่างใดอย่างนั้น ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าเพลิงแห่งจิต
    สามารถเผาได้ทุกสิ่งทำร้ายใครก็ได้ เมื่อขาดสติยั้งคิด เมื่อเกิดโทสะขึ้นกับแต่ละบุคคล

    ดังนั้นทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า เมื่อไรที่มนุษย์เกิดความโกรธ
    เพลิงในกายสามารถเผาได้ทุกสิ่ง สามารถทำสิ่งที่ผิดพลาดได้ทุกอย่าง
    หากเราไม่ได้ยั้งคิด รวมถึงการฝึกจิต ถ้าเรายังตัดไม่ได้

    เพลิงกิเลสเหล่านี้ สามารถทำลายผู้ฝึกปฏิบัติ ทำให้เป็นบ้า
    หรือเป็นโทษกับจิตกับกายสังขารของผู้ฝึกปฏิบัติได้

    เมื่อข้าพเจ้าอธิฐานต่อสิ่งศักดิสิทธิ์ว่าข้าพเจ้ารู้แล้ว
    สิ่งทีี่ท่านมาสอนสั่งในนิมิตเรื่องนี้ อุณหภูมิร่างกาย
    ของข้าพเจ้าเย็นลง จึงออกจากสภาวะสมาธินิมิตนี้ได้

    ผู้เขียนเองมิได้จะมีเจตนาอวดอ้างอะไร
    แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับตัวของข้าพเจ้าเอง
    จึงต้องการเล่าเป็นประสบการณ์สำหรับผู้ฝึกกสินไฟ
    หรือฝึกสมาธิทุกท่านไว้ เพื่อเตือนสติตัวเองทุกครั้ง
    ในการฝึกสมาธิ เพราะทุกครั้งท่านอาจจะมาทดสอบจิต
    ของผู้ปฏิบัติทุกท่านก็เป็นไปได้ เพื่อจะได้ไม่เป็นอันตราย
    กับตัวของผู้ฝึกสมาธิทุกท่าน พึงสังวรณ์จิตให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ

    สุดท้ายนี้ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านและเป็นกำลังใจ
    ในการฝึกสมาธิอย่าย่อท้อกับการปฏิบัติ และทุกสิ่งท่านก็จะ
    ทราบด้วยตัวของท่านเอง ว่าสิ่งใดจึงเป็นเช่นนั้น
    จากการฝึกสมาธิของท่าน


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2012
  19. toodayagokid

    toodayagokid Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +35
    ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร
    มีประโยชน์มากเลย

    คงเพราะ
    ท่านเชื่อในสวรรค์ และนรกหรือไม่ ท่านเชื่อผลของกรรม บาปบุญคุณโทษหรือไม่
    ท่านเชื่อในพุทธคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระรัตนตรัย ว่ามีจริงหรือไม่
    ท่านเชื่อในพระคุณของบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชชาหรือไม่
    ท่านเชื่อในผลของการปฏิบัติและมรรคผลนิพพานหรือไม่ หากมีความลังเลสงสัย
    สิ่งนี้แน่ๆเลย ถึงทำให้เดินมาผิดทาง

    อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ ที่ว่าเจอเหตุการณ์ๆอะไรหลายๆอย่างและมันมีผลเกี่ยวกับความเชื่อเป็นอย่างมาก

    คงต้องลองใจเย็นๆ ค่อยๆคิดทีละอย่างๆ ศึกษาคำสอน ธรรม มากขึ้น กว่านี้อีกหน่อย น่าจะดี

    จริงอย่างที่ พูดเลย สงสัยด้วยความที่ ร้อนรน ในความอยากรู้ ที่ตนเองได้สงสัย ถึงแม้จะรวมจิตได้ระหว่างคิ้ว แต่ลึกๆมันคงไม่ใช่จิตที่ สงบ เท่าไหร่นัก

    ขอบคุณสำหรับ กำลังใจ
    ขออนุโมทนา ด้วย นะ
     
  20. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ขอเป็นกำลังใจให้ท่านในการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง
    เพื่อให้ท่านได้ทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ด้วยตัวของท่านเอง
    ความรู้ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้รวบรวมมานั้น
    หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะเป็นประโยชน์
    แก่ท่านไม่มากก็น้อย ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่ง
    ที่ร่วมศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์พร้อมกับทุกท่าน
    และร่วมปฏิบัติกับทุกท่านด้วยเช่นกัน เมื่อเกิดเหตุแห่ง
    ความสงสัยที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จึงเริ่มเข้ามาศึกษาธรรมะพุทธองค์
    จากประสบการณ์ที่ตัวเองผ่านมา จากตำราหรือหนังสือ
    หรือเว็บไซด์เพิ่มเติม แต่โดยปกติหนังสือแนวนี้มีน้อยมาก
    จึงค่อนข้างหายากที่จะได้อ่าน นอกจากจะบังเอิญไปเจอเข้า
    จึงได้นำเป็นความรู้เพื่อถ่ายทอดกับทุกท่านได้นำไป
    ประยุกต์ใช้ได้กับทุกท่านไม่มากก็น้อย
    ท่านสงสัยเรื่องใดสามารถเข้าไปอ่านได้

    catt4
    ในกระทู้เรื่องๆนั้น หรือไปดาวน์โหลดที่ข้าพเจ้า
    เขียนก็ได้ ตามกระทู้นั้น หากสงสัยเรื่องของแสงสี
    ก็เข้าไปสามารถเข้าไปอ่านได้ จะได้รู้ว่าตัวเอง
    มีแสงสีออร่าเช่นไร มีอุปนิสัยอย่างไร จะได้เข้าใจมากขึ้น
    เพื่อสามารถนำมาใช้ในประโยชน์ในการปรับเปลี่ยน
    อารมณ์ สิ่งใดที่ไม่ดีเราจะได้ไม่กระทำ
    ทำแต่สิ่งที่ดีดี เพื่อให้เกิดประโยชน์กับตัวท่านเอง

    แสงสีที่มาแห่งการปฏิบัติธรรม

    http://palungjit.org/threads/%E0%...A1.283665/


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...