เห็นผีเห็นเทวดา เห็นนรกเห็นสวรรค์ เห็นพระพุทธรูป เห็นอันนั้นมันเป็นมายาของจิตใจ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 24 กรกฎาคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    จริง แต่ไม่จริง

    ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ทำสมาธิภาวนา เมื่อปรากฏผลออกมา ในรูปแบบต่างๆ ย่อมเกิดความสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา เช่น เห็นนิมิตใน รูปแบบที่ไม่ตรงกันบ้าง ปรากฏในอวัยวะร่างกายของตนเองบ้าง ส่วนมากมากราบเรียนหลวงปู่เพื่อให้ช่วยแก้ไข หรือแนะอุบายปฏิบัติ ต่อไปอีก มีจำนวนมากที่ถามว่า ภาวนาแล้วก็เห็น นรก สวรรค์ วิมาน เทวดา หรือไม่ก็เป็นองค์พระพุทธรูปปรากฏอยู่ในตัวเรา สิ่งที่เห็น เหล่านี้เป็นจริงหรือ ฯ

    หลวงปู่บอกว่า

    “ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง”

    หลวงปู่ฝากไว้
    พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
    วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
     
  2. mikycar offroad

    mikycar offroad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +255
    สงสัยจัง ว่าคุณอุรุเวลา เป็น...คนธรรมดาหรือเป็นนักบวช หรือว่าเป็นพระ
    แต่ถ้าเป็นพระละก็ เซ็งเป็ดเลย....ถือว่าใช้ไม่ได้เลย....
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ({) ผมเป็นคนธรรมดา เป็นคนใช้ได้ครับ ใครๆ ก็ใช้ผมครับ
     
  4. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    เอาตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ดีกว่าถือเอาแต่ความคิดเห็นของตน

    [๔๖๔] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปใน
    ธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวแล แต่ไม่เห็นรูป เห็นรูปอย่างเดียวแล
    แต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืน
    และกลางวันบ้าง เรานั้นจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็น
    ปัจจัยให้เรารู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวแล แต่ไม่เห็นรูป เห็นรูปอย่างเดียวแล
    แต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืน
    และกลางวันบ้าง ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า สมัยใด เราไม่ใส่ใจ
    นิมิตคือรูป ใส่ใจแต่นิมิตคือแสงสว่าง สมัยนั้น เราย่อมรู้สึกแสงสว่างอย่าง
    เดียวแล แต่ไม่เห็นรูป ส่วนสมัยใดเราไม่ใส่ใจนิมิตคือแสงสว่าง ใส่ใจแต่
    นิมิตคือรูป สมัยนั้น เราย่อมเห็นรูปอย่างเดียวแล แต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอด
    กลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง ฯ
    [๔๖๕] ดูกรอนุรุทธ เรานั้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปใน
    ธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูปได้นิดหน่อย และรู้สึกแสง
    สว่างอย่างหาประมาณมิได้ เห็นรูปอย่างหาประมาณมิได้ ตลอดกลางคืนบ้าง
    ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า
    อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้เรารู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูป
    ได้นิดหน่อย และรู้สึกแสงสว่างอย่างหาประมาณมิได้ เห็นรูปอย่างหาประมาณ
    มิได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง
    ดูกรอนุรุทธ เรานั้นได้มีความรู้ดังนี้ว่า สมัยใด เรามีสมาธินิดหน่อย สมัยนั้น
    เราก็มีจักษุนิดหน่อย ด้วยจักษุนิดหน่อย เรานั้นจึงรู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย
    เห็นรูปได้นิดหน่อย ส่วนสมัยใด เรามีสมาธิหาประมาณมิได้ สมัยนั้น เราก็มี
    จักษุหาประมาณมิได้ ด้วยจักษุหาประมาณมิได้ เรานั้นจึงรู้สึกแสงสว่างหา
    ประมาณมิได้ และเห็นรูปหาประมาณมิได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง
    ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2012
  5. หยดน้ำเพชร

    หยดน้ำเพชร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +70
    ของจริงก็มี ของปลอมก็เยอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2012
  6. คนตัดฟืน

    คนตัดฟืน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +15


    การอ่านพระไตรปิฎก ไม่ใช่คัดเอาความแล้วเข้าใจตามที่เห็น
    แต่ต้อง "สกัด" เอาใจความที่เป็นจริง ไม่เกินมนุษย์
    เพราะอย่าลืมว่าพระไตรปิฎกนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้เขียน แต่เขียนจากถ้อยคำของผู้ที่เคยได้เห็น ได้ยิน
    ..อีกทั้งมีการสังคายนามาหลายยุคหลายสมัยตัดต่อดัดแปลง เพิ่มเติม โดยผู้ที่เกิดหลังท่านอยู่หลายสมัย ดังนั้นจะน่าเชื่อถือเพียงใดก็สำคัญดูเถิด
     
  7. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ตาเห็นคือเห็นจริงตามรูปธรรม ใจเห็นไม่ได้ให้เห็นรูป แต่รู้ รู้ว่า ดีหรือไม่ดี ร้อนหรือเย็น สบายหรือไม่สบาย กุศลหรืออกุศล จึงจะเป็นการเห็นรู้ ด้วยใจตามจริง(ใจจะต้องไม่ถูกสิ่งที่รู้ ที่เห็นหลอก ก็คือ ใจต้องไม่หลง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ตุลาคม 2012
  8. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    แล้ว ที่เขาพากันเข้าใจว่า โลกุตรจิต จิตเหนือโลก คำคำนี้ แสดงว่า ยังมีจิตหรือไม่มีจิตคะ
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมอ่านพระสูตรนี้เมื่อวาน บังเอิญจริงๆ พระสูตร "อุปักกิเลสสูตร" มี ๒๕๘ บรรทัด
    ใช้เวลาอ่านประมาณครึ่งชั่วโมง ไม่คิดว่าจะมีคน ตัดมา เอาเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์ตน
    เข้ากันได้ ลงกันได้กับความเห็นของตน
    มาโพสต์
     
  10. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    อ่านแล้ว เข้าใจว่า

    ใจที่รู้ ที่เห็นนั้น ใจที่สัมผัสได้นั้น รู้ได้จริง เห็นได้จริง สัมผัสได้จริง ด้วยใจ

    แต่ สิ่งที่รู้ สิ่งที่เห็น สิ่งที่สัมผัสนั้น มาจากไหน กัน มันเป็นสิ่งที่น่ารู้ น่าเห็น น่าสัมผัสหรือไม่ มันเป็นสิ่งที่ควรรู้ ควรเห็น ควรสัมผัสหรือไม่

    แบบนี้หรือเปล่าล่ะ
     
  11. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ถ้าประโยชน์ตน นั้นหมายถึง ช่วยให้ตนพ้นทุกข์ ละวางทุกข์ เป็นเหมือนการโยนิโส เพื่อตนเองจะได้ ไม่หลง ก็ ดีนะคะ แต่ถ้าประโยชน์ตนนั้น เพื่อ สะสม เพื่อสนองความอยาก เพื่อตัวเองคนเดียว จะได้หลง มากยิ่งขึ้น คงจะไม่ดีนะคะ
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เห็นจริง คือเห็นด้วยสมถะและวิปัสสนาครับ
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "ส่วนธาตุขันธ์มียังไงก็เป็นไปอย่างนั้นละ เผ็ดก็รู้ว่าเผ็ด เค็มรู้ว่าเค็ม ชอบก็รู้ว่าชอบ ความรู้นี้เป็นความรู้ประจำขันธ์ ท่านทั้งหลายฟังเสียคำดังว่านี่ มีใครเคยพูดไหม ความรู้ประจำขันธ์มี ความรู้ที่เป็นธรรมชาติสมมุติแล้ว จะบอกว่ารู้ก็ไม่ถูก ดังที่ท่านหล้าเขียนไว้ในภูจ้อก้อนิพพานไม่ใช่ผู้รู้ เหนือผู้รู้ขึ้นอีกไม่มีประมาณ ตรงเป๋งเลยเทียวท่านเขียนไว้นั้น เอ้อนี่น่ะ นั่นเห็นไหม มันยอมรับกันทันที คืออันนั้นพูดไม่ได้เลย นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ นิพพานตั้งเป็นสมมุติขึ้นมา ความรู้ที่เด่นอยู่ในวงขันธ์อันนี้เป็นความรู้กระแสแห่งความบริสุทธิ์เต็ม เหนี่ยว รักษาอยู่ภายในขันธ์ เพราะฉะนั้นความรู้ที่ประจำขันธ์มันมีอยู่กับขันธ์นี้ถูกต้องนะ ชอบอันนั้น ไม่ชอบอันนี้ เพราะขันธ์นี้มันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร มันหากเป็นของมัน บ่งบอก"

    http://palungjit.org/threads/นิพพาน-ไม่ใช่ผู้รู้-หลวงตามหาบัว-ญาณสัมปันโน.363482/
     
  14. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    เอาแบบพระพุทธเจ้าดีที่สุด

    [๔๙] เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ถึงความไม่หวั่นไหวอย่างนี้ โน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย. เรานั้นเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เมื่อตายไปเขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ดังนี้. เรานั้นย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลวประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้. ดูกรพราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล เราบรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี กำจัดอวิชชาเสียได้ วิชชาก็เกิดขึ้น กำจัดความมืดเสียได้ ความสว่างก็เกิดขึ้นเหมือนเมื่อบุคคลไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน ส่งตนไปแล้วอยู่ ฉะนั้น.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2012
  15. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    หรือจะเอาแบบที่ทรงสั่งสอนพระสาวก

    [๑๓๗] ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วง จักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริตไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ เปรียบเหมือนปราสาทตั้งอยู่ ณ ทาง ๓ แพร่งท่ามกลางพระนคร บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนปราสาทนั้น จะพึงเห็นหมู่ชนกำลังเข้าไปสู่เรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลังสัญจรเป็นแถวอยู่ในถนนบ้าง นั่งอยู่ที่ทาง ๓ แพร่งท่ามกลางพระนครบ้าง เขาจะพึงรู้ว่า คนเหล่านี้เข้าไปสู่เรือน เหล่านี้ออกจากเรือนเหล่านี้สัญจรเป็นแถวอยู่ในถนน เหล่านี้นั่งอยู่ที่ทาง ๓ แพร่งท่ามกลางพระนคร ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงานตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลายเธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2012
  16. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อุรุเวลา [​IMG]
    หลวงปู่บอกว่า

    “ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง”

    หลวงปู่ฝากไว้
    พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
    วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
     
  17. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อุรุเวลา [​IMG]
    หลวงปู่บอกว่า

    “ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง”

    หลวงปู่ฝากไว้
    พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
    วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์


    หรือหมายถึง เห็นด้วยใจก็จริง เห็นด้วยสมถะก็จริง เห็นด้วยวิปัสสนาก็จริง เห็นด้วยตาก็จริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ล้วนไม่จริง

    ผัสสะจริง เห็นจริง แต่ที่เห็น ที่ผัสสะ ล้วนเห็น ล้วนผัสสะในสิ่งที่ไม่จริง (ไม่เที่ยง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ตุลาคม 2012
  18. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ที่เห็น ที่ผัสสะ (ตัวเราจิตเราใจเราก็ไม่เที่ยง) สิ่งที่เห็นสิ่งที่ผัสสะ(นอกตัวเรานอกจิตเรานอกใจเรา ล้วนไม่เที่ยง)

    ถ้าความไม่เที่ยง หมายถึงความไม่จริง ก็ แสดงว่า

    ผัสสะเราใจเราที่ไม่เที่ยงที่ไม่จริง ล้วนเห็น ล้วนผัสสะ สิ่งที่ไม่เที่ยงสิ่งที่ไม่จริง

    แล้ว ความจริง คืออะไร ความจริงอยู่ตรงไหน ธรรม คืออะไร ธรรมอยู่ตรงไหน
    ที่เที่ยง คือ ความจริง คือธรรม ไช่หรือไม่อย่างไร
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    จะไปตกนรกหลุมไหนอีกล่ะ

    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
    เรียนหนังสือ ๗ ปีจิตรวม ๓ หน

    นี่ละธรรมะเข้าสู่ใจ ทีนี้จิตใจก็รู้เนื้อรู้ตัว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยดีขึ้นไปถ้าใจดี ใจเลวเสียอย่างเดียวล่มจมกันทั้งประเทศ นั่น ใจเลวนั่นละมันทำให้ต่ำลงไปจนกระทั่งถึงชาติไทยเราจะล่มจม เพราะจิตใจต่ำทรามลงมากทีเดียว ทีนี้พอฟื้นจิตใจขึ้นด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วก็กระเตื้องขึ้นมาๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยรู้เรื่องรู้ราวต่อไป นั่นเป็นอย่างนั้น เรื่องธรรมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ถ้าได้เข้าถึงใจแล้วสะดุดกึ๊กเท่านั้นละ ขาดสะบั้นไปเลย อำนาจของธรรมเป็นอย่างนั้นต่อความชั่วทั้งหลาย

    คิดดูอย่างเขาตั้งหน้าจะไปฆ่ากัน ยกตัวอย่างปัจจุบันนี้นะ เขาเคียดแค้นสุดขีด เขาต้องได้ฆ่า ถือปืนไปเลยเทียว มันอยู่ที่ไหนจะตามเข้าไปฆ่าเลย มันจะอยู่ที่ไหนก็ตามต้องได้ฆ่าเท่านั้น พอไป นี่ละกรรมมันบันดลบันดาลยังไงไม่รู้นะ อำนาจแห่งธรรม อยู่ๆ กำลังเดินก้าวไปที่จะฆ่าเขานี่ อยู่ๆ หลวงปู่มั่นเรานี่ผุดขึ้นมาเลยตรงหน้านั่น ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า นี่จะไปตกนรกหลุมไหนนี่น่ะ เวลานี้มันก็พอแล้วในหัวอกนั่นน่ะแล้ว จะไปตกนรกหลุมไหนอีกล่ะ พอท่านว่าอย่างนั้น ก็ก้มลงกราบปุ๊บเลย จากนั้นคนนั้นที่ว่าเป็นข้าศึกกันอย่างใหญ่หลวงนั้นกลับมาเป็นมิตรกัน เลิกกันเลย กลับบ้านเลย

    นั่นเห็นไหมล่ะอำนาจของธรรม ขาดสะบั้นลงเลย ที่จะไปฆ่าเขา มันจะอยู่ช่องไหนก็ตามจะตามเข้าไปฆ่าให้ได้ ให้สมใจ พอไปเห็นท่านอาจารย์มั่นยืนจังก้า ผุดขึ้นมาเลยนะ นี่จะไปตกนรกหลุมไหนอีก ตั้งแต่เวลานี้มันก็พอแล้วในหัวอก แล้วจะไปตกหลุมไหนอีกล่ะ พอว่าอย่างนั้นก็หมอบกราบทันทีเลย แล้วคนนั้นกับเขาเป็นมิตรเป็นสหายกันเลย นั่นเห็นไหมล่ะ และตลอดถึงสัตว์ทั้งหลายเขาไม่ยอมฆ่าเลยตั้งแต่นั้นละ นั่นละท่านอาจารย์มั่น นี่ธรรมนะแสดงออกมาเป็นภาพของท่านอาจารย์มั่นผู้เป็นเครื่องหมายแห่งธรรม เห็นได้ชัดๆ อย่างนี้ละ ตั้งหน้าจะไปฆ่าเขาแท้ๆ ยังกลับตัวได้ เป็นมิตรเป็นสหายกับเขาได้เลย นั่นเป็นอย่างนั้นอำนาจของธรรม

    เวลานี้วิทยุเราก็กำลังออกทั่วไปแล้ว ออกให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทราบทั่วหน้ากัน ออกทุกแห่งทุกหน ขยายออกไปเรื่อยวิทยุ มันจะทั่วประเทศไทยละมังเดี๋ยวนี้ เป็นแต่เพียงว่าถี่ห่างต่างกันเท่านั้น ออกทั่วไป ทางภาคกลาง ภาคอีสานมากอยู่ กำลังลงภาคใต้ก็ลงสามสี่แห่งไปแล้ว เราอยากให้ธรรมะนี้กระจายไปจะเป็นน้ำดับไฟเรื่อยไปเลย ธรรมะพระพุทธเจ้าเคยเป็นน้ำดับไฟแก่โลกมานานแสนนาน ทำไมมนุษย์เราในปัจจุบันนี้จะเลยเถิดเลยแดนไปเป็นปทปรมะ ไม่ยอมรับน้ำดับไฟบ้างเหรอนี่ซิ เวลานี้ธรรมะก็กำลังออก

    เราทุกข์ขนาดไหนเราก็ทนเอานะ ทุกวันนี้ทุกข์มากทีเดียวเรา พูดถึงเรื่องที่มาเกี่ยวข้องกับเรานี่ทุกข์มากทีเดียว ไม่มีเวล่ำเวลาเป็นของตัวเลย มีแต่ลมหายใจฝอดๆ วันหนึ่ง จะตายแล้วก็นอนหลับ ตื่นขึ้นมาก็ช่วยโลก เราไม่เอาอะไรนะที่ว่านี่ ดิ้นอยู่ขนาดนี้เราไม่เอาอะไรทั้งนั้นเลยในโลกอันนี้ เราปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรติดในหัวใจเราเลย ปล่อยโดยสิ้นเชิง ก็มีแต่ความเมตตาห่วงใยบรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย แนะนำสั่งสอนด้วยอุบายวิธีการต่างๆ ไปเท่านั้นละ พอลมหายใจขาดแล้วจะไม่ได้ทำอย่างนี้ เราก็ทำเสียเวลามีชีวิตอยู่นี้ ตายแล้วก็จะไม่ได้ทำในกิริยาอย่างนี้

    ฉะนั้นขอให้พี่น้องทั้งหลายตั้งอกตั้งใจนะ ธรรมเป็นสาระสำคัญมากกับจิตใจ ฝากเป็นฝากตายได้กับธรรม ธรรมกับใจฝากเป็นฝากตายกันได้ นอกนั้นเป็นภัยนะ ความชั่วช้าลามกอย่าพากันกระตือรือร้นจนลืมเนื้อลืมตัวจะจมทั้งเป็น เรื่องความชั่วไม่ได้ไว้หน้าใครทั้งนั้น เช่นไฟนี้จี้เข้าไปดูซิน่ะ มันเผาทันทีเลย อันนี้เรื่องบาปเรื่องกรรมนี้แบบเดียวกัน ไม่ได้ชินกับใครละ ให้พากันระมัดระวัง ความดีงามนี้ละเป็นสิ่งที่พึ่งเป็นพึ่งตายได้ ให้อุตส่าห์พยายาม วันหนึ่งๆ ไหว้พระนั่งภาวนาไม่ควรจะให้ขาดวันละ ๕ นาที ทำความสงบใจ

    เพราะใจนี้ตั้งแต่ตื่นนอนมันดีดตลอดเวลา ไม่ทราบว่ามันติดเครื่องเมื่อไร ดับไม่ลงต้องดับเวลาหลับเท่านั้น นอกนั้นมันคิดมันหมุน ทีนี้เอาธรรมเข้าดับ ธรรมเข้าดับความคิดปรุงทั้งหลายที่วุ่นวายนั้นจะสงบลงด้วยการภาวนา จิตใจจะสง่างามขึ้นมาในเวลานั้น เมื่อปราศจากสิ่งรบกวนแล้วนะ ให้พากันตั้งอกตั้งใจบ้าง ธรรมนี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรเสมอแล้วในโลกนี้ ได้สวมเข้าหัวใจดวงใดเลิศขึ้นทันที จะเป็นทุคตะเข็ญใจ เศรษฐี กุฎุมพี ชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม มารวมอยู่ที่ใจกับธรรมเข้าสัมผัสกัน เลิศขึ้นที่ตรงนี้นะ ให้จำเอาตรงนี้ นอกนั้นไม่มีสิ่งอะไรเลิศแหละ อาศัยเขาไปอย่างนี้ อย่างในวัดนี้ก็อาศัยไป ตายไปแล้วเขาก็อยู่อย่างนี้แหละเขาจะไปไหน

    รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
    Luangta.Com - หรือ Luangta.Com -
    และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
    Luangta.Com -
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ธรรมอยู่ตรงไหน ถามไปก็ไม่เห็น ตาหูจมูกลิ้นกายใจอยู่กับตัวยังไม่เห็น
    ผัสสะ นั่นคือธรรม ลองหลับตาสิ มืดหรือสว่างครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...