เรื่องเล่า ตื่นนอน ตอนสายๆ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 30 มิถุนายน 2010.

  1. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +13,166
    เห็น ภาพ หลวงพ่อ จรัญ ทีแรก มองผ่านๆ ไม่ได้อ่าน

    พอ อ่านข้อความ จึงรุ้ ว่า เป็นท่าน

    ผม เคย พบ ท่าน เมื่อ 18-19 ปี ที่ แล้ว ตอนนั้นรู้สึก ว่า ท่านยังหนุ่ม มาก อยู่เลย
    ผิวพรรณวรรณ โหงเฮ้ง ดี มาก
    ตอนที่เห็น ไม่รุ้ หรอก ว่าท่านเป็นใคร ท่านนั่งอยู่ ใน พิธี พุทธาภิเษก ที่วัด ในจุังหวัดสิงหบุรี

    ผม ไปกับหลวงปู่ปรง วัดธรรมเจดีย์

    ตอนที่เห็น หลวงพ่อจรัญ ตอนนั้น ยัง รุ้สึกว่า ท่าน อายุ ไม่มาก ( 86 - 18 = 68 ปี )
    แต่จริงๆ ก็ คงประมาณ 68 ปี แล้ว

    คือ ตอนนั้น ท่านนั่งปรก ในพิธี ผิวพรรณวรรณ ผ่องใส เด่น มาก

    (ท่าน นั่งเฉยๆ นะ แต่ ภาพที่เห็น เด่น แตกต่าง จาก พระ อาจารย์ ท่าน อื่นๆ )

    แม้นตอนนั้น ก็ ไม่รู้ จักท่านหรอก ว่าท่านเป็นใคร
    จน ค่อยๆ สอบถาม คน ใกล้ๆ จึง ทราบว่าท่าน คือหลวงพ่อจรัญ เท่านั้น

    ยังไม่รู้ ว่า ท่านเป็นใคร ทำอะไร

    มาวันนี้ หายสงสัย แล้ว ว่า ทำไม ท่านจึง ผ่องใส ยิ่งนัก......... สาธุ
     
  2. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทานพลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่ห้า เสมา..มิติของเสมา

    (ตอนต่อ)



    ไม่รู้ว่าจะมีใครเหมือนกะทิรึเปล่านะคะ อาการก็คือ หากกินอะไรก่อนนอนที่ทำให้อิ่มมากๆ จะนอนฝันค่ะ และส่วนใหญ่จะนอนฝันร้าย แต่การนอนฝันที่จะเล่าต่อจากนี้ ไม่รู้จะจัดให้เป็นฝันแบบไหน(ฝันร้ายหรือว่าฝันดี) เพราะเมื่อกะทิตื่นมา เธอสามารถจำรายละเอียดของความฝันนั้นได้เด่นชัด



    และเมื่อกะทินำไปเขียนเล่าให้คุณหมอสุวิฟัง คุณหมอก็เรียกให้ไปพบค่ะ ในการพบครั้งนั้น เธอไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะมีคนที่เธอนัดไปพบด้วยอีกสองคนนะคะ แต่เมื่อพบและได้พูดคุยกันแล้ว ปรากฏว่า หนึ่งในสองคนนี้ ฝันว่าได้ไป “สถานที่เดียวกัน” กับที่กะทิฝัน อยู่อย่างน้อยก็หนึ่งคนค่ะ (อีกคนเขาไม่ได้พูดอะไรหนะค่ะ เป็นผู้ชายบุคคลิกนิ่งๆ) แต่รูปแบบการฝันและพฤติกรรมในฝัน อาจแตกต่างออกไป แต่ประเด็นคือสุดท้ายของความฝัน เราได้ไปในสถานที่เดียวกันล่ะ ซึ่งนั้นคงเป็นเหตุให้คุณหมอสุวิเรียกอีกสองคนนี้ไปพบด้วยในครั้งนั้น



    เข้าเรื่องความฝันนี้กันเลยนะคะ ...


    ในคืนก่อนนอน กะทิเธอได้ไปลั้นลานอกบ้าน และสวาปามของอร่อยกับเพื่อนสุดเลิฟ ก่อนจะกลับบ้านมานอนค่ะ ในฝันนั้นเริ่มแรกสำหรับกะทิมันน่ากลัวมาก ในความรู้สึกเปรียบไปก็เหมือนการถูกไล่ล่าจากจิตวิญญาณของสัตว์ที่ถูกฆ่าเพื่อมาเป็นอาหารให้พวกเราได้กินกัน พวกเขาไม่ได้อยากตาย แต่ต้องกลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราบอกว่า อาหารจานนี้อร่อยจังเลย พวกเขาไม่ได้อยากอร่อยนะคะ


    ดังนั้นจิตวิญญาณที่เราได้เอาชีวิตของพวกเขามาบริโภค ในฝันที่กะทิรู้สึกคือ พวกเขาเคืองแค้น กะทิเธอพยายามหาทางหลีกหนีให้ไกลสุดชีวิต (ก็อย่างที่เคยบอกผู้อ่านนะคะ ว่าการเล่าความฝันที่น่ากลัว หากคุณไม่ใช่เป็นคนฝันเรื่องราวนั้นๆ เอง มักฟังจากผู้เล่าแล้วไม่เห็นค่อยจะน่ากลัวตรงไหน แต่ถ้าท่านฝันเองแล้วจะรู้สึกถึงความน่ากลัวนั้นได้มากมายกว่า)



    กะทิของเล่าบรรยากาศรอบๆ ตัวในความฝันที่จำได้ชัดเจนนะคะ มันจะออกสีเทาๆ ดำๆ และรู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวมากค่ะ เสื้อผ้าที่กะทิเธอใส่ เป็นเสื้อกับกางเกงสีเทา แต่ขาดวิ่น รอบๆ ตัวแวดล้อมไปด้วยวิญญาณอาฆาตแค้นเคือง



    ในขณะที่กะทิเธอพยายามหนีความน่ากลัวรอบตัวเหล่านั้น เธอก็พยายามคิดหาทางออก แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี และก็เหมือนครั้งก่อนที่เธอคิดนึกถึงคำพูดของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ขึ้นมาได้เช่นเคย “ศัตรูมีมาจะแก้ไขได้ทุกประการ”



    กะทิจึงได้กล่าวบทสวดมนต์ออกไปทั้งๆ ที่ยังหนีอยู่นั้นด้วยว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ / ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ / สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ในคราวนี้กะทิเธอยังไม่ทันได้เอ่ยคำว่า สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ หรอกค่ะ บรรยากาศรอบตัวที่เคยเป็นสีเทาหม่นน่ากลัวทั้งหมดมันเปลี่ยนไปเลย บรรยากาศแต่แรกที่รับรู้ได้ถึงความเคืองแค้นของความมืดมัว กลับเบาบางลงในทันที มีแสงสว่างอ่อนๆ สีเหลืองกระจ่างที่ทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นมา ถึงกระนั้นก็ตามกะทิเธอก็ยังไม่หลุดจากดวงจิตที่ตามราวีนั้น พวกเขายังไม่หยุด ยังพยายามหาทางเล่นงานกะทิ



    และแล้วอยู่ดีๆ ก็มีลูกพี่ลูกน้อง เข้ามาช่วยเหลือหาทางออกให้ รวมถึงท่านผู้ที่กะทินับถือ(กะทิมีความรู้สึกแบบนั้นในความฝัน ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นรายละเอียดของใบหน้าของท่านผู้ที่กะทินับถือนี้ชัดเจน แต่มันเป็นความรู้สึกรับรู้ที่บอกว่าพวกเขาเป็นใคร มาเพื่อจุดประสงค์ใดหนะค่ะ) พวกเขาก็พยายามมาหาทางช่วย


    ในขณะนั้นเองมีพระรูปหนึ่งเดินผ่านมาค่ะ ท่านไม่ได้มองมาทางกะทิ แต่ท่านเดินของท่านไปเรื่อยนะคะ กะทิในฝันไม่ทราบคิดยังไง เพราะก่อนที่ท่านจะเดินเลยจากไป กะทิก็กล่าวคำนิมนต์ท่านค่ะ



    แต่อย่างที่บอกผู้อ่านแล้วนะคะ ว่าขณะนั้นกะทิในชุดเสื้อกางเกงขาดวิ่นสีเทา ไม่มีอะไรอยู่ในตัวเลย แม้แต่กระเป๋ากางเกงก็ไม่มีอะไรขาดวิ่นเป็นเศษผ้าเช่นกัน และเพราะกลัวว่าท่านจะรอนาน คิดไปคิดมา ก็เลยพูดออกมาในฝันนั้นว่า จะเอาดวงจิตใส่บาตรค่ะ เพื่อขอให้ท่ารออยู่อีกสักหน่อย ความคิดอันนี้ของกะทิก็ไม่ทราบว่ามาจากไหน



    ในขณะที่กะทิเธอควักดวงจิต แต่ยังไม่ทันได้เอาดวงจิตออกมาเต็มๆ ดวง พระก็เหมือนจะก้าวเดินออกเดินไปตามทางเดินของท่านแล้ว แบบว่าท่านคงเห็นด้วยเมตตาว่าจิตใจของเรา (ความรู้สึกให้จากใจจริงของเรา) ได้ให้ท่านแล้ว และท่านรับรู้ความรู้สึกนี้ได้ กะทิคิดว่าอย่างนั้นนะคะ



    แต่ระหว่างที่ท่านได้ก้าวเดินออกไป ในใจของกะทิกลับมีความคิดก็เหมือนกับจะบอกว่าเดี๋ยวสิคะท่าน กะทิยังไม่ได้ใส่บาตรเลยค่ะ แล้วกะทิก็เอามือขวากำหนดไปที่ระหว่างอก แล้วก็ดึงเอาดวงจิตใสๆ ขุ่นๆ ของกะทิออกมา



    ในตอนที่กะทิคิดว่าจะเอาอะไรใส่บาตรดี แล้วพูดว่า จะเอาดวงจิตใส่บาตรดังกล่าวแล้วข้างต้นนั้น แว๊บนึงกะทิก็คิดขึ้นมาว่า ถ้าเราเอาดวงจิตออกมาใส่บาตรแล้ว เราจะตายไหมหว่า? อีกในหนึ่งก็เป็นกังวลว่าพระท่านจะรอกะทินาน เกรงใจท่านหนะค่ะ จึงเอามือล้วงไปควักเอาดวงจิตออกมานะคะ แต่พอเอาดวงจิตใส่ลงไปในบาตรแล้ว กะทิเธอก็ไม่เห็นว่าตัวเองตายนะคะ (ก็รู้สึกเป็นปรกติดีอย่างคนมีชีวิต(ในฝัน) อิอิ)


    และหลังจากนั้น โดยฉับพลัน กะทิก็เหมือนถูกดูดลอยเข้าไปในบริเวณโบสถ์วิหารหนะค่ะ (ในฝันนี้พวกเราไปมารวดเร็วมาก เหมือนเป็นวิญญาณนะคะ) และพอเข้ามาในโบสถ์วิหารนี้แล้ว กะทิเธอออกไปไหนไม่ได้คะ เพราะถ้ากะทิเธอเดินพ้นออกไปจากรอบโบสถ์เมื่อไหร่ บรรยากาศที่สว่างไปด้วยแสงสีเหลืองอ่อนอันอบอุ่น จะกลายเป็นมืดมัว และรู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาว มีดวงวิญญาณสีเทาทั้งหลาย หน้าตาที่กะทิเห็นพวกเขา พวกเขาเป็นเช่นคนแห้งตายซาก ผิวหนังสีเทาอ่อนแห้งติดหุ้มกระดูก แต่เหมือนมีชีวิต พวกเขาล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศโดยรอบโบสถ์วิหารนี้



    ความเย็นยะเยือกเข้าถึงกระดูกที่กะทิสัมผัสได้ในทันทีที่ก้าวเท้าออกไปจากโบสถ์วิหารนั้น ตัวกะทิเธอจะลอยกับไปในจุดเดิมก่อนที่จะเข้ามาในโบสถ์วิหาร ซึ่งแวดล้อมไปด้วยดวงวิญญาณสีเทาอื่นๆ แต่คราวนี้กะทิเธอมองเห็นโบสถ์วิหารที่เธอเพิ่งออกมาอยู่ตรงหน้าของเธอ ห่างออกไปประมาณไปถึงกิโล รอบโบสถ์วิหารเปร่งแสงสีเหลืองใสสว่างชัดเจน



    กะทิเธอกลับไปสู่ความเหน็บหนาวเข้ากระดูกนั้นอีกครั้ง ทำให้กะทิต้องรีบกลับเข้ามาในโบสถ์วิหาร (เหมือนส่งจิตไปถึงที่นั่น แล้วตัวจะถูกดูดลอยเข้าไปเองอย่างรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา) โดยแทบไม่ต้องคิด (ทางด้านซ้ายนี้มีบันไดขึ้น-ลงจากโบสถ์วิหารนี้ได้นะคะ) และกะทิก็อยู่ในโบสถ์วิหารนั้น โดยอยู่ที่ด้านซ้ายของตัวโบสถ์วิหาร และเดินเหมือนเดินจงกรมวนขึ้น-ลงๆ อยู่ภายในโบสถ์วิหารด้านซ้ายนี้แบบว่ารู้สึกเซ็งที่ไม่มีอะไรทำ และคิดว่าถ้าจะไปจากที่นี่ก็ไม่ไหนไม่ได้



    images?q=tbn:ANd9GcTdPoQtHYjMlgpSR7KnyG_exCRZfvprXZeRBuZzkxyPxeJTmMCO.jpg



    เท่าที่จำได้เลือนราง คลับคล้ายคลับคราว่าด้านหน้าของโบสถ์มีแท่นประธานที่มักมีพระประธานตั้งอยู่ด้วย แต่ในฝันนั้นมีแต่แท่น ไม่มีพระพุทธรูปนะคะ



    /ยังมีต่อ



    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ กราบขอขมาแด่พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา, ขอพระพุทธองค์โปรดทรงยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. วันทามิ ธัมมัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต.ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระธรรม, ขอพระธรรมโปรดยกโทษ ทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ.วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระสงฆ์, ขอพระสงฆ์โปรดยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. หากการให้ความรู้ที่ข้าพเจ้าเขียนแล้วนี้ มีประโยชน์ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแด่ผู้อ่านท่านใด ขอให้เป็นบุญแก่ข้าพเจ้าในการกล่าวขอขมาแด่พระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนานี้ จงมีส่งผลเป็นพลังขอขมาจากข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อทุกภพชาติเทอญฯ กรรมอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำผิดพลาดไป ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก่อเป็นความผิดบาปติดตัวข้าพเจ้า ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงอนิสงฆ์แห่งการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยผ่านชีวประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี รวมถึงด้วยอำนาจที่ข้าพเจ้าได้บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมอันถึงแล้วซึ่งความบริสุทธิ์ บริบูรณ์นี้ และด้วยอำนาจแห่งการกล่าวขอขมากรรม ที่สมบูรณ์ของข้าพเจ้านี้แล้ว ขอความผิดบาปทั้งปวงที่ติดตัวข้าพเจ้า จงสลายสิ้นเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2014
  3. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทานพลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่ห้า เสมา..มิติของเสมา

    (ตอนต่อ)



    ในขณะที่กะทิเดินอยู่ด้านซ้ายของโบสถ์ขึ้น-ลงๆ เหมือนคนเดินจงกรม แต่เป็นอารมณ์ที่เหมือนถูกติดให้ต้องอยู่ที่นี่ ไปไหนไม่ได้ จิตใจเธอก็นึกไปถึงพระที่กะทิได้ใส่บาตรไป


    เพราะความครางแคลงใจที่เธอรู้สึกเหมือนได้รับดวงจิตคืนมาจากพระท่านหลังจากใส่บาตรไปแล้ว เพราะเธอดันคิดก่อนใส่บาตรเพียงชั่วแว๊บเดียวว่า ถ้าเธอควักดวงจิตออกมาจากร่าง แล้วเธอจะตายไหม? ทำให้พอใส่บาตรไปแล้ว หลังจากนั้นเธอรับรู้ได้ว่าดวงจิตของเธอกลับมาอยู่กับเธอ


    ในความคิดกะทิเธอจึงเหมือรู้สึกว่า ท่านไม่รับดวงจิตของกะทิไปอย่างที่กะทิเธอมีความตั้งใจ ในฝันจึงเหมือนเปลี่ยนฉากจากในโบสถ์วิหาร มาเป็นด้านหน้าประตูวัด กะทิเธอสวมชุดกางเกงไม่ขาดวิ่นแล้วนะคะคราวนี้ ยืนรอเก้ๆกังๆ อยู่หน้าวัดพร้อมดอกบัวในมือค่ะ



    เธอยืนรอแบบชะเง้อคอค่ะ ว่าท่านจะเดินผ่านมาไหม? จะผ่านมาเมื่อไหร่? อยู่สักพักก็มีหญิงคนหนึ่งเดินมาถามว่า มายืนรออะไร กะทิก็บอกว่ามาใส่บาตร เธอคนนั้นก็ตอบกลับมาประมาณว่า เดี๋ยวท่านก็ไม่ทันได้ฉันเพลพอดี เหมือนกลัวว่าการใส่บาตรของกะทิจะถ่วงเวลาฉันเพลของพระท่านหนะค่ะ


    ดังนั้นพอพระมา กะทิก็รีบถวายดอกบัวอย่างรวดเร็ว และนั่งยองๆ ยกมือไหว้ท่าน โดยไม่มีคำสนทนาใด เพราะกลัวว่าท่านจะเสียเวลาอะนะคะ


    images?q=tbn:ANd9GcQEOKDYm5Q6L61mFwJCP9zcXrD4KntIcUvOjDAeKM5M3rbxunox.jpg



    พอกะทิตื่นขึ้นมาจากความฝันก็เป็นเวลาเช้าพอดีค่ะ และยังรู้สึกได้ถึงการใส่บาตรดอกบัว ซึ่งรู้สึกว่าเป็นเวลาเช้าจากในความฝันเหมือนกัน


    ตลอดทั้งวันของวันนั้นกะทิรู้สึกว่าความฝันนี้แปลกดี เอาดวงจิตไปใส่บาตร คิดได้ยังไงเนี่ยเรา มานั่งคิดเปรียบเทียบไปในทางปรัชญา ว่ากะทิเธอคงมีความตั้งใจถวายตัวจริงๆ แต่คงเป็นเอามากเลยนะเนี่ย แต่ก็คิดทางปรัชญาไม่เป็นหรอกนะคะ พยายามเปรียบโน้นนั่นนี้ไปเรื่อยค่ะ สมองก็ยังกลวงๆ 5555555555


    /ยังมีต่อ



    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ กราบขอขมาแด่พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา, ขอพระพุทธองค์โปรดทรงยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. วันทามิ ธัมมัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต.ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระธรรม, ขอพระธรรมโปรดยกโทษ ทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ.วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระสงฆ์, ขอพระสงฆ์โปรดยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. หากการให้ความรู้ที่ข้าพเจ้าเขียนแล้วนี้ มีประโยชน์ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแด่ผู้อ่านท่านใด ขอให้เป็นบุญแก่ข้าพเจ้าในการกล่าวขอขมาแด่พระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนานี้ จงมีส่งผลเป็นพลังขอขมาจากข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อทุกภพชาติเทอญฯ กรรมอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำผิดพลาดไป ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก่อเป็นความผิดบาปติดตัวข้าพเจ้า ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงอนิสงฆ์แห่งการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยผ่านชีวประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี รวมถึงด้วยอำนาจที่ข้าพเจ้าได้บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมอันถึงแล้วซึ่งความบริสุทธิ์ บริบูรณ์นี้ และด้วยอำนาจแห่งการกล่าวขอขมากรรม ที่สมบูรณ์ของข้าพเจ้านี้แล้ว ขอความผิดบาปทั้งปวงที่ติดตัวข้าพเจ้า จงสลายสิ้นเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2014
  4. fiolita

    fiolita Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +89
    เรื่องเล่าของกะทิ สนุกดีค่ะ ชอบๆๆมาเล่าต่ออีกนะคะ

    คราวก่อนอ่านเรื่องของท่านยักษ์เสมา กับเหล่านาคทั้ง 3 แล้วประทับใจมาก
    จนเอาเก็บไปฝัน ว่าได้ไป วัดแจ้ง มีคนพายเรือพาเที่ยว ชี้ให้ดู วัด มียักษ์สองตน ทำตัวใหญ่ขยายขึ้น ให้ดูด้วยซะงั้น
    ฝันเป็นตุเป็นตะ ค่ะ 55555 สนุกดี เสียดายที่แม่มาปลุกพอดี สะดุ้งสุดตัว
    :z16
     
  5. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ขอคั่นด้วยเรื่องราวจากข่าวในช่วงนี้นะคะ ซึ่งจากในนิทานตอนที่ห้า กะทิได้เล่าถึงจิตวิญญาณของสรรพสัตว์ที่นำมาทำเป็นอาหาร ว่าเขาไม่ได้อยากอร่อย (เขารักชีวิตของเขา)


    และโดยเฉพาะสรรพสัตว์ที่ไม่ใช่อาหาร อย่างเช่น งู เป็นต้นนะคะ มาสรุปข่าวกันก่อนนะคะ


    เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2014 เว็บไซต์ Daily Mirror ของอังกฤษ รายงานว่า พ่อครัวชาวจีนถูกงูเห่าฉกจนเสียชีวิต หลังจากเขาสับหัวงูจนขาดกว่า 20 นาทีแล้ว เตรียมทำซุปงูเห่า

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองโฝซาน มณฑลกวางตุ้งของจีน นายเป็ง ฟ่าน พ่อครัวร้านอาหารที่กำลังทำเมนูซุปงูเห่า โดยเขาได้ตัดหัวงูเห่าออกจากส่วนลำตัวเรียบร้อยแล้ว แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะระหว่างที่เขากำลังหยิบหัวงูที่ถูกตัดขาดโยนลงในถังขยะ หัวงูก็ฉกเขาอย่างรวดเร็ว

    หลังเกิดเหตุนายเป็ง ฟ่าน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่โชคร้ายเขาเสียชีวิตลง ก่อนที่แพทย์จะนำเซรุ่มต้านงูมารักษาเขา

    จากเหตุการณ์ดังกล่าว หยาง หงชาง ผู้เชี่ยวชาญด้านงู ซึ่งศึกษาเรื่องงูเห่ามาตลอด 40 ปี ได้เปิดเผยว่า งูทุกประเภทเมื่อถูกตัดหัวขาด มันก็ตายตั้งแต่หัวถูกตัดแล้ว เพราะการทำงานของร่างกายได้สิ้นสุดลง แต่ถึงอย่างนั้น มันจะยังคงมีการตอบสนองบางอย่างต่อไปได้อีกราว 1 ชั่วโมง

    สำหรับกรณีของพ่อครัวคนนี้ แสดงให้เห็นชัดว่างูเห่าตัวนี้ยังไม่สิ้นฤทธิ์ แม้ถูกตัดหัวขาดไปแล้วก็ตาม



    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ydA16CRVibM]YouTube[/ame]


    (ปล. จากคลิปวิดีโอ จะเห็นปฏิกิริยาของงูเห่าหลังถูกตัดออกจากลำตัวไปนะคะ ดูแล้วก็รู้สึกบาปเหมือนกันค่ะที่เขานำชีวิตของงูจริงๆ มาแสดงให้ดู ((โดยเฉพาะกับงูเนี่ย เป็นอะไรที่ถือว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ทางการแพทย์สากลใช้สัญลักษณ์ งูตัวเดียวพันไม้เท้า อันเป็นสัญลักษณ์ของการ รักษาคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ นะคะ ในไทยก็ใช้งูแทนสัญลักษณ์ในทางการำพทย์ด้วย แทนความหมายของความรอบรู้)) แต่ในทางตรงกันข้าม มันก็มีประโยชน์ จึงขอนำมาแปะไว้ให้ได้รับชมกันนะคะ)



    [​IMG]



    เราๆ ท่านๆ อาจเคยได้ยินคำว่า หมองูตายเพราะงู ยิ่งอาชีพของเขาต้องเกี่ยวข้องกับสัตว์ ที่ไม่ควรนำมาเป็นอาหาร (ถ้าไม่มีอะไรกินจริงๆ ก็พออนุโลมนะคะ) โดยคลุกคลีมากว่า 40 ปี ท่านผู้อ่านอาจคิดว่า ความเป็นมืออาชีพไม่ได้ช่วยอะไรเลยรึ?


    คำตอบมีสองประเด็นค่ะคือ
    1.ความประมาทในชีวิต (ความไม่ประมาทเป็นหลักธรรมสำคัญประการหนึ่งของพระพุทธศาสนา)
    2.กรรมที่เขาได้ก่อไว้ นาน 40 ปี


    สำหรับผู้ที่มีอาชีพค้าสัตว์ การทำบุญอุทิศบุญให้กับสรรพสัตว์เป็นเรื่องที่ควรทำเป็นประจำนะคะ


    ส่วนกะทิเอง จากประสบการณ์ที่เคยแกล้งสัตว์ ด้วยความเอ็นดูนะคะ ไม่ได้คิดว่ามันเป็นกรรมเลย คือว่าตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แมวมันเยอะค่ะ และถ้าคุณผู้อ่านสังเกตให้ดี ตรงหูแมวจะมีขนบางๆ ไว้ปิดรูหู และมีใช้ไว้ไล่แมลงนะคะ เวลาที่หูมันกระดิกไล่แมลง (สังเกตจากภาพนะคะ จะเห็นขนยาวๆ ปกปิดที่รูหูของแมว เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงเข้าไปค่ะ) นั่นแหละค่ะ สำหรับกะทิในเวลานั้นนั้น เธอรู้สึกว่ามันจั๊กจี๊จั๊กเดียม ชวนขนลุกดีค่ะ


    [​IMG]



    ความที่กะทิมองว่ามันน่ารักดีค่ะ ดุ๊กดิ๊กๆ เวลามันขยับหูนะคะ ดังนั้นจึงไปเอาหลอดดูนมเปรี้ยว หรือไม่ก็ปายปากกามาเขี่ย หรือจิ้มไปที่ขนเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยวค่ะ มันก็จะกระดิกหู ดุ๊กดิ๊กๆ นะคะ (ต้องทำเบาๆ แบบมีสมาธินะคะ ไม่งั้น ถ้าเรออกแรงเยอะ ไม่นุ่มนวล หูของมันก็ใช่ว่าจะกระดิกค่ะ มันต้องใช้สัญชาติญาณในการตอบสนอง เหมือนที่เราตอบสนองสิ่งแปลกปลอมที่กำลังจะเข้าตาของเรา ด้วยการหลับตาหนะค่ะ) กะทิทำแบบนี้ตลอดค่ะ ยิ่งมันกระดิกหู กะทิกลับรู้สึกว่า มันทำให้เรารู้สึกจั๊กจี้ จักเดียม ขนลุกจี๊ดๆ ดี เหมือนคนโรคจิตนะคะ 5555 ตอนนั้นก็โรคจิตจริงๆ ล่ะ


    แต่การกระทำร่วมหลายเดือนของกะทิต้องหยุดลง เมื่อผลกรรมตามทันยิ่งกว่าจรวดติดปีก เพราะมีอยู่คืนหนึ่งในฤดูฝน ลมพัดแรงมากค่ะ ประตูมุ้งลวดของระเบียงเปิดออกเพราะแรงลมนะคะ กะทิต้องเดินไปปิด ระหว่างนั้นเอง มีมะแลงตัวหนึ่ง ตัวไม่ใช่เล็กๆ นะคะ ประมาณปลายนิ้วก้อยค่ะ บินเข้ามา กะทิพยายามไล่ออกไปนะคะ แต่สุดท้ายมันคิดอีท่าไหนไม่รู้ มันบินเข้าไปในรูหูของกะทิค่ะ


    มันขยับดุ๊กดิ๊กอยู่ในรูหูของกะทิอย่างหาทางออกมาไม่เป็นนะคะ ดังนั้นมันจึงดิ้นไปดิ้นมาอยู่ในหูนั่นแหนะ กะทิรึคะ? ทรมานมากค่ะ ทั้งเสียงของมัน และการที่มันขยับไปมาอยู่ในร่างกายเรา ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม รวมทั้งอาการตกใจ


    กะทิไปเอาน้ำมาหยอดหู โชคดีที่ตอนนั้นพอมีน้ำมันที่ไว้ใส่อาบน้ำเด็กอะนะคะ ซื้อมาไว้ใส่ผม ทาผิวหลังอาบน้ำ กันผิวแห้ง ก็เลยหยอดไป ไม่ได้ผลในครั้งแรก ก็ทำซ้ำค่ะ แต่ระหว่างนั้นมันทรมานมากๆ ค่ะ เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ดีๆ ก็จากไปนะคะ ตัวมันเองก็ทรมานเช่นกัน


    มันทรมานอยู่ในหูเรา เช่นเดียวกันกับที่เราทรมานจากการทรมานของมัน (อ่านแล้วไม่ งง นะคะ)


    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แม้กะทิยังพิศสมัยในขนหูของแมวอยู่ เพราะมันทำให้กะทิเธอรู้สึกถึงความจั๊กจี้จั๊กเดียมเวลาเอาหลอดไปถูกขนหูของพวกมันก็จริง แต่ทว่าผลกรรมอันเป็นบทเรียนที่กะทิเธอได้รับ เจ็บแล้วจำจริงๆ ยังดีที่มีเวลาแก้ตัว กลับใจ ไม่เหมือนพ่อครัวตามข่าว ที่เสียชีวิตไปนะคะ



    คนไข้ที่มาหาคุณหมอสุวิหลายคน ก็เคยมีกรรมจากการกระทำอยู่หลายคนค่ะ โดยเฉพาะเรื่องกรรมที่เคยทำหับงูนี่ เท่าที่กะทิเคยเจอตอนคุณหมอตรวจรักษาคนไข้ ก็มีอยู่คนหนึ่งนะคะ เอาไว้กะทิจะเก็บไว้เขียนในนิทานตอนต่อๆ ไป จากสิ่งที่กะทิเห็นเวลาที่คุณหมอสุวิรักษาคนไข้นะคะ




    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ กราบขอขมาแด่พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา, ขอพระพุทธองค์โปรดทรงยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. วันทามิ ธัมมัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต.ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระธรรม, ขอพระธรรมโปรดยกโทษ ทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ.วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระสงฆ์, ขอพระสงฆ์โปรดยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. หากการให้ความรู้ที่ข้าพเจ้าเขียนแล้วนี้ มีประโยชน์ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแด่ผู้อ่านท่านใด ขอให้เป็นบุญแก่ข้าพเจ้าในการกล่าวขอขมาแด่พระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนานี้ จงมีส่งผลเป็นพลังขอขมาจากข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อทุกภพชาติเทอญฯ กรรมอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำผิดพลาดไป ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก่อเป็นความผิดบาปติดตัวข้าพเจ้า ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงอนิสงฆ์แห่งการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยผ่านชีวประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี รวมถึงด้วยอำนาจที่ข้าพเจ้าได้บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมอันถึงแล้วซึ่งความบริสุทธิ์ บริบูรณ์นี้ และด้วยอำนาจแห่งการกล่าวขอขมากรรม ที่สมบูรณ์ของข้าพเจ้านี้แล้ว ขอความผิดบาปทั้งปวงที่ติดตัวข้าพเจ้า จงสลายสิ้นเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2014
  6. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    นิทานของกะทิ ยังสนุกเหมือนเดิมนะจ๊ะ ส่วนเรื่องที่ ถ้าใครมาอ่านอาจคิดว่าเราควรไปอยู่โรงพยาบาลน่ะ มีไม่มากหรอก ถ้าเข้ามาเป็นสมาชิกเว็บพลังจิตละก้อ

    อาการหนัก ๆ กันทั้งนั้นนนน ส่วนใหญ่น่าจะรับได้นะ (โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้าเว็บพลังจิต แล้วก็มาสิงสถิตที่ วิทยาศาสตร์ทางจิต – ลึกลับ 555)

    หลาย ๆ คนที่เข้ามาที่นี่ ส่วนหนึ่งก็มาหาคำตอบให้ตัวเองทั้งน๊านนน ว่าสิ่งที่ฉานพบเจอน่ะ คนอื่นเป็นป่าว...เข้ามาก็เจอเพียบ หนักกว่าเราก็เยอะ... เหอเหอเหอ

    เออ...กะทิพูดถึงแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทำให้นึกถึงเรื่องน่าสะพรึงกลัวในคืนหนึ่งเหมือนกัน ประมาณชอบดูแฮร์รี่ไง อยากมีเวทมนต์กะเค้ามั่ง....ฝันเกิ๊นนนน

    ดูหนังแล้วก็นำโปสเตอร์หนัง แปะไว้ข้างฝาในห้องนอน ยังไม่ถึงอาทิตย์ กำลังเคลิ้มจะหลับ ได้ยินเสียงประตูห้องเปิด แอ๊ดดดด...คิดในใจ เราใส่กลอนประตูแล้วนะ

    แล้วเปิดได้ไง ...ทันใดนั้น อากาศภายในห้อง ก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก สะท้านไปเลย ...โฮ้ยยย...ไรอะ แล้วเราก็มองเห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ ผ้าดำคลุมมิดชิดมองไม่เห็นแม้แต่ดวงตา...เข้ามายืนข้างๆ (ตัวเรายังนอนแข็งทื่อ)

    แล้วก็ได้ยินกระแสไฟฟ้าไหล... เราก็อ้าวเฮ้ย มันกะลังดูดอีกร่างเราออกไป (เห็นข้อศอกออกไปครึ่งหนึ่งแล้ว) ทำไงดี ๆๆๆ คาถาชินบัญชรก็วิ่งมาเลย ...ท่องไปจนเกือบจบ มันถึงปล่อยเรา...ปล่อยแบบเซ็ง ๆ นะ...แต่ไม่ได้กลัวเลย (แต่เรากลัวสุดชีวิตเลยอะ)

    ตื่นมาฉีกโปสเตอร์หนังทิ้งเลย...เออ...ไม่เอาแล้ว....แล้วก็ไม่เจอไรอีกเลย...เฮ้อออ ทุกวันนี้ยังนึกสงสัยว่าถ้ามันเอาอีกร่างเราไปได้ แล้วเราจะตายไหม....ก็มันไม่ได้ฝันน่ะ ยังไม่ทันหลับเลย


    ยังไงก็เป็นกำลังใจให้กะทิน๊า ติดตามตอนต่อไปจ้า
     
  7. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    เท่าที่อ่านเรื่องของคุณ wawana พบถึงความน่าทึ่งหลายๆ ประการนะคะ กะทิอ่านแล้วอดไม่ได้ที่จะตอบค่ะ แม้ความคิดทางเรื่องพลังจิตและความสามารถอาจจะน้อยกว่าอีกหลายๆ ท่านผู้ใหญ่ในกระทู้นี้

    และโดยเฉพาะกะทิเป็นคริสเตียนโดยกำเนิด อาจสู้ไม่ได้กับผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา และเรียนโรงเรียนพุทธ เข้าใจเปรียบเปรยคำพูดได้ดีกว่ากะทินะคะ

    แต่เอาเป็นว่า กะทิตอบในแนวกะทิตามปัญญา ที่ได้รับคำสั่งสอนและได้ยินจากผู้ใหญ่ บวกกับประสบการณ์ของเรานะคะ


    จากเท่าที่อ่านดู คุณ wawana มีสิ่งนี้แล้วค่ะ

    1. การที่แม้แต่ในฝัน คุณมีสติอยู่ตลอดเวลา แม้จะตกใจ แต่ก็ยังคิดวิธีแก้ปัญหาได้

    2. การที่แม้แต่ในฝัน คุณระลึกถึงการสวดมนต์ นั่นหมายถึง บุญกุศลของคุณที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในสายพระพุทธะ


    การที่มีดวงจิตวิญญาณใดมาดูดอะไรบางอย่างไปจากเรา ปรกติเราไม่ได้มีแต่ร่างกาย หรือเราจะเรียกว่า กายหยาบ เพียงอย่างเดียว แต่คนเรายังประกอบด้วยอีกหลายๆ อย่างนะคะ อาทิ กายหยาบ กายละเอียด กายทิพย์ จิตวิญญาณ ดวงจิต

    ซึ่งแต่ละส่วนสามารถแบ่งเป็นเอกเทศแก่กันและกันได้ ดังนั้นการที่คุณป้องกันตนเอง จากการ "รู้สึก" ว่า กำลังถูกดูดบางส่วนออกไปจากกาย จึงไม่ใช่ว่าอาจไม่จริง หรือเป็นเพียงแค่ฝันไปค่ะ


    อย่างผู้ใหญ่บางคนในกระทู้นี้ เธอฝึกปฏิบัติมาเยอะ สามารถสร้างกายทิพย์ของตนเอง แบ่งภาคออกมาได้อย่างมากมาย ประโยชน์คือ มีไว้เพื่อช่วยงานของกายต้นฉบับนั่นเองค่ะ แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกันค่ะ คือ แม้ว่าเขาจะแบ่งภาคกายทิพย์ออกมาใช้ได้ แต่กายทิพย์เหล่านี้เมื่อแบ่งออกมาแล้ว จะมีอิสระของตนเองนะคะ มีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง อันนี้เอาไว้กะทิอาจเขียนบางส่วนไว้ในนิทานตอนต่อๆ ไปค่ะ


    ดังนั้นการที่คุณรู้สึกว่า มันกะลังดูดอีกร่างเราออกไป จึงไม่ใช่ว่าคุณคิดไปเอง นั่นอาจเป็นกายละเอียดของคุณหนะค่ะ แต่เชื่อว่า หากเกิดเหตุคล้ายกันนี้ในอนาคต อัตโนมัติของร่างกาย คุณได้สร้างขึ้นมาแล้ว ดังนั้นหากเกิดแบบนี้คล้ายๆ กันขึ้นมาอีก จิตคุณจะทำงานออโตเมติก บทสวดที่คุณเคยใช้ได้ผล จะถูกนำมาใช้อย่างอัตโนมัตินะคะ

    ดังนั้นใครที่เคยฝันว่าตัวเองสวดมนต์ในฝันเพื่อป้องกันตัว คล้ายๆ กรณีนี้ ให้คุณสบายใจได้กึ่งหนึ่งค่ะ ว่าอย่างน้อยคุณกำลังเดินทางสายพระพุทธะอยู่อย่างแน่นอนนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2014
  8. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    ขอบคุณมากค่ะ สำหรับคำตอบที่คลายข้อสงสัยไปมากอยู่

    เรื่องคาถาชินบัญชร นานมาแล้วเคยสวดก่อนนอนทุกคืน(หลายเดือนมาก) แล้วเราก็เจอเหตุการณ์แปลก ๆ หลายเรื่องมาก

    ทั้งฝันว่าลุกจากที่นอน แล้วเดินทะลุผนังห้องนอนออกมาเจอสิ่งแปลก และอีกหลายเรื่อง แต่หนักสุดก็ เรื่องถูกดูดวิญญาณอะไรนี่แหละ

    จากนั้นมาไม่สวดคาถาชินบัญชรอีกเลย แล้วก็ไม่เจอเรื่องแปลก ๆ บ่อย ๆ อีก แต่คาถาชินบัญชรคงแทรกซึมหมดแล้ว(มั๊ง)

    เพราะฝันว่ามีใครมาหรืออะไรมา กรุ้มรุมขณะที่เรานอนอยู่บนเตียง คาถาชินบัญชรก็วิ่งเข้ามาทุกทีเลย (จริงๆ ไม่อยากทำนะ เพราะบางคนก็น่าสงสาร คือเขาไม่อยากทำเรา แต่ต้องทำน่ะ)

    แต่มีเรื่องแปลกอีกคือ หลังจากที่ทำสมาธิแบบเกศา โลมาฯ ตามที่ท่านอาจารย์สุวิ และท่านอาจารย์วิษณุ บอกไว้

    ทำได้ไม่กี่วันก็เจอเรื่องแปลก ๆ หลายเรื่อง จากในความฝัน อย่างเช่น ลุกจากเตียง เปิดประตูห้องออกมาเจอสัตว์ประหลาด ภายในบ้านกำลังทำลายบ้านเรา...เราก็ตะโกน.....

    เฮ้ยทำไรอะ มันมองมาอย่างเหยียดหยามชิงชังและไม่ใส่ใจและหันไปทำงานของมันต่อไป....ถึงว่าได้ยินเสียงแปลก ๆ หลังทีวีตลอด คงเป็นไอ้ตัวนี่แหละ

    และเหตุการณ์หลังสุดเจอรุมบนเตียงอีก มากันหลายคน เราก็กรีดร้องตะโกนออกไปพร้อมกับท่องคาถาชินบัญชร(อีกแล้ว) มันก็แตกหือ แต่ยังชิล ๆ หัวเราะร่วนกัน แล้วก็ ทยอยออกไปจากห้องทีละคน ๆ

    เราก็ลุกขึ้นมาดู...มันไปหมดยัง....แต่แล้วก็มีอีกคนวิ่งเข้ามา กอดซบเราอีก เราก็เฮ้ย ๆๆ ทำไงดี ๆ .....ครั้งนี้แปลกที่สุด คือ

    เราคิดถึงบทแผ่เมตตาได้...ก็ท่องออกไปเขาก็เลยยอมไป ....อ้อ ตอนที่อีตานี่วิ่งมากอด ก็มีชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ใส่กางเกงสแลค
    สีดำ รองเท้าหนังขัดมันเงาวับ

    เดินมายืนอยู่ข้าง ๆ ประมาณว่าถ้ารับมือกะอีตานี่ไม่ได้ เขาจะจัดการมันเอง....โอ้..แมนมั๊ก ๆ เลย....แต่เราเห็นเขาแค่เอวนะ คงบุญไม่ถึงน่ะ 5555

    แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ฝึกต่อ เพราะมีความกลัวว่าจะเจออะไรที่พิสดารกว่านี้...กลัวรับมือไม่ไหวน่ะ ....รึกะทิมีความเห็นอย่างไรจ๊ะ

    อ้อ เรื่องคาถาชินบัญชร จากที่อาจารย์สุวิ บอกว่าไม่ควรสวด เพราะเกรงว่าจะมีผลเสียมากกว่าผลดี ก็ยิ่งไม่กล้าสวดเข้าไปใหญ่ แต่คาถาวิ่งมาเองน่ะท่านอาจารย์ ทำไงดีละคะ
     
  9. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168

    เรื่องคาถาชินบัญชร จากที่อาจารย์สุวิ บอกว่าไม่ควรสวด เพราะเกรงว่าจะมีผลเสียมากกว่าผลดีเนี่ย กะทิก็เคยได้รับการบอกกล่าวจากหมอสุวินะคะ เลยหันไปสวดบทพาหุงมหากาฯ แทน



    และกะทิก็ยังสงสัยในเรื่องนี้อยู่ค่ะ วันหนึ่งจึงได้ถามขึ้นมา หลังจากที่ไม่ได้พบกันนาน หมอกลับบอกว่า

    หมอ "ตอนนี้สวดได้แล้ว ชินบัญชร"

    กะทิ "อ้าว..."(เหวอ)..."ก็ตอนนั้นหมอบอกว่าไม่ควรสวดบทนี้ไง"

    หมอ "แต่ตอนนี้สวดได้แล้ว ดีกว่าบทอื่นๆ อีกนะ"

    กะทิ "อ้าว..." (ซ้ำสอง)



    กะทิก็ขอแจ้งทุกท่านทราบดังนี้ (กะทิทราบเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เป็นปีแล้วนะคะ แล้วก็กลับมาสวดคาถาชินบัญชร มานานแล้วด้วย ตั้งแต่ทราบจากท่านมา)


    แต่เหตุที่หมอไม่ได้บอกถึงความคืบหน้าว่า เหตุใดตอนนั้นถึงบอกว่า บทสวดนี้ไม่ดี แล้วมาอีกในระยะ กลับบอกว่า บทนี้โอเคแล้ว อันนี้คงต้องไปถามคุณหมอเอาเอง หรือว่าถ้าเธอสะดวก เดี๋ยวคงมาเขียนเหตุผลค่ะ เพราะช่วงนี้เธอเข้ามาอ่านกรทู้นี้บ่อยหนะคะ เธอตามอ่านนิทานพลังอธิษฐานของกะทิอยู่


    อนึ่ง การสวดมนต์จะช่วยให้ความจดจำของเราดี หากว่าคุณห่างหายจากบทสวดมนต์นั้นไป ก็เท่ากลับเราไม่ได้มีเกราะคุ้มภัย ดังที่กะทิได้เขียนนิทานเล่าจากเรื่องของท่านหลวงพ่อโต ท่านภวนาอยู่เป็นประจำ จึงเกิดพลังป้องกันปกป้อง


    ทั้งนี้รวมถึงในความฝันด้วย เพราะจิตเราจะจำได้แม่นยำกว่า มันก็เหมือนการแปรงฟันป้องกันฟันผุ หากต้องการให้ฟันของเราแข็งแรง ควรต้องหมั่นแปรงฟันบ่อยๆ ชิมิคะ แต่ถ้าเราไม่แปรง เราเพียงแต่รู้ว่าต้องแปรง(แค่รู้เฉยๆ) แต่ไม่ลงมือแปรงเป็นประจำ ต่อให้เรารู้วิธีการจัดการ แต่ว่าพอถึงเวลา มันอาจไม่ได้ผล เพราะแมลงมันกินฟันไปเรียบร้อยนั่นเองค่ะ
     
  10. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    อืมมมมม...รับทราบ ถ้างั้นต้องกลับมาท่องโดยด่วนจ้า(แต่จริงๆ แล้วเราเลิกท่องบทนี้ตั้งแต่เจอเรื่องแปลกๆ แล้วแหละ...ก็คิดว่าคาถาคงแรง อาจไปทำร้ายสิ่งที่มองไม่เห็นใกล้ ๆ ตัวเรานะจ้า )
     
  11. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    เหตุที่ไม่ให้สวดคาถาชินบัญชร ในช่วงนั้นเป็นเพราะ

    คาถานี้ ถูกมารกลุ่มหนึ่งครอบงำอยู่ พวกนี้จัดตั้งกันมาเป็นขบวนการ มีจำนวนแยะมาก มีทั้งพวกที่เป็นสัมมาทิฐิ และมิจฉาทิฐิ เขาวางแผนกันมาอย่างดี
    ก็คาถามีผู้คนให้ความนับถือมาก หากครอบได้นี่ มีแต่ผลประโยชน์

    ใครสวดคาถานี้ มารกลุ่มดังกล่าว ก็ลงมาหา ผู้สวด
    ใครมีบุญดี เขาก็แสดงตัว(ปลอม)เป็นครูบาอาจารย์ สอนโน่นสอนนี่ให้ และช่วยเหลือในเรื่องแปลกๆให้สำเร็จ แต่ต้อง มีสิ่งแลกเปลี่ยน เซ่นวรรคตักแตนเขานะ
    ส่วนพวกที่บุญน้อย เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่นี่ เขาก็ช่วยนะ แต่ต้องมีของแลกเปลี่ยน โดนดูดพลังชีวิตบ้าง ทำบุญใหญ่ๆหนักๆ ให้เขาบ้าง
    สรุป สุดท้ายชะตาชีวิตก็ค่อยๆตกลง อาการเจ็บป่วยก็มากขึ้น การเบียดเบียนจากจิตวิญญานก็มากขึ้น

    แต่ในปัจจุบัน ประมาณกลางๆปีที่แล้ว เบื้องบนได้รับการร้องเรียน ท่านเลย จัดการกับมารขบวนการดังกล่าว จนหมดสิ้น
    อำนาจคาถานี้จึงถูกชำระใหม่หมด มีอำนาจมากกว่าเดิมมาก
    มีผู้ดูแลจัดเป็นคณะ เป็นพระอริยะเจ้าหลายพระองค์ช่วยกันดูแล ภายใต้พระบารมีแห่งอพุทธองค์ ทั้ง ๒๘ พระองค์ (เดิม หลวงพ่อสมเด็จโต ดูแลอยู่เพียงองค์เดียว)
    นี่คือเหตุที่คาถานี้มีอำนาจมากขึ้น

    และหากใครมีสมาธิดี น้อมจิตขอเรียนคาถานี้ อย่างถูกต้อง
    อำนาจอักษรคาถา ก็จะวิ่งเข้าสู่ตัว เพิ่มพลังวรรต และเพิ่มพลังสมาธิ(ทำให้ฝึกสมาธิง่ายขึ้น นิ่งขึ้น)

    อำนาจพลังจากคาถานี้ ประดุจดัง ตำราจักรพรรดิ เล่มหนึ่งทีเดียว
     
  12. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    สาธุเจ้าค่ะคุณหมอสุวิ ที่เข้ามาเขียนอธิบายนะเจ้าคะ

    หมอยังเขียนล้ำในตอนสรุปจบท้ายว่า "อำนาจพลังจากคาถานี้ ประดุจดัง ตำราจักรพรรดิ เล่มหนึ่งทีเดียว"


    อันนี้นี่ อธิบายล้ำมากค่ะ คนทั่วๆ ไปคงไม่รู้ และอาจไม่เข้าใจถึงความหมายด้วย ยังไงท่านผู้อ่านลองค้นคว้าจากอากู๋ดูนะคะว่า "ตำราจักรพรรดิ์" นี้คือสิ่งใด จะล้ำไปไหมคะหมอสุวิ


    ยังไงก็สาธุค่ะ กะทิเธอก็เข้าใจกระจ่างมากขึ้นค่ะ เพราะโดนเองมากับตัวในหลายๆ เรื่องเลยทีเดียว(รู้ซึ้งเข้าถึงก้นบึ้งเลย 555555) เจ็บตัวมาเยอะหนะค่ะท่านผู้อ่าน


    ถ้ากะทิเธอไม่ได้หมอคอยแนะนำ และช่วยรักษาต่อเนื่องผ่านมิติทางจิต ก็คงยังอาการแย่อยู่ แต่ไม่ได้เกิดจากการสวดมนต์คาถานะคะ แต่เกิดจากมารและอสูรปลอมตัวมาเป็นพระอาจารย์หนะค่ะ จัดหนักๆ เอาไว้จะเขียนเป็นนิทานให้อ่านในตอนต่อๆ ไปนะคะ
     
  13. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทานพลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่ห้า เสมา..มิติของเสมา

    (ตอนต่อ)




    ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของความฝันครั้งนี้กันสักนีสนึง ในขณะที่กะทิเธอหนีจิตวิญญาณเคืองแค้นสรรพสัตว์ที่เธอได้กินเป็นอาหาร (จริงๆ ไม่ควรใช้คำว่าวิ่งหนีนะคะ แต่เป็นการล่องลอยหนีจิตวิญญาณเหล่านั้น เพราะในฝันนี้กะทิเธอเองก็เป็นเพียงแค่วิญญาณในสภาวะเดียวกันกับพวกสรรพสัตว์)


    มาถึง ณ ปัจจุบันเมื่อกะทิเธอได้ย้อนคิดไป และทบทวนถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา ความฝันนี้นานพอสมควรแล้ว หลังจากนั้นกะทิได้ทำอะไรบ้าง


    เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตกับความสนใจในพิธีกรรมและการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา หลายปีหลังจากนั้นในวันหนึ่งระหว่างที่กะทิเข้าฟังอบรมทางธรรม กะทิเธอได้รับคำแนะนำให้เลิกกินเนื้อสัตว์ใหญ่และสัตว์ที่มีอายุยืน อันได้แก่ วัว หมู และสัตว์น้ำอย่างหอยต่างๆ กะทิเธอจึงเลิกเบียดเบียน งดลดกินมาตั้งแต่ปี 2010 จนหลายคนที่เคยกินข้าวกับกะทิคิดว่ากะทิเป็นมุสสลิม 555


    แต่ก็ใช่ว่ากะทิจะเคร่งครัดมาก จนทำให้ผู้อื่นลำบากใจนะคะ คือถ้าบนโต๊ะอาหารมีอย่างอื่นที่ไม่ใช่เนื้อหมู กะทิก็จะกินสิ่งนั้น ถ้ากินสุกี้ในหม้อเดียวกัน กะทิก็กินได้ แต่จะไม่กินเนื้อหมู เนื้อวัว ที่อยู่ในหม้อ และกระนั้นก็มีข้อยกเว้นอยู่ด้วยคือ ถ้าบนโต๊ะทั้งหมดไม่มีอะไรที่ไม่ใช่หมูเลย อันนี้มีข้อยกเว้นไว้สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ กะทิสามารถกินหมูได้ค่ะ แต่เท่าที่ผ่านมา กะทิก็พยายามรักษาปณิธานไว้ จนแม้กระทั้งภรรยาของคุณหมอสุวิยังทราบเลย 555 เวลาแวะไปที่บ้านท่าน เธอก็จะเตรียมเป็ดไก่ปลาฯลฯ ไว้ให้โดยที่กะทิไม่เคยร้องขอเลย เธอน่ารักใช่ไหมล่ะคะ? เธอเอาใจใส่ทุกคนในบ้านจริงๆ รวมไปถึงกะทิด้วยอะ น่ารักมากๆ



    นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา กะทิก็ได้พบกับบทอุทิศบุญ ผ่านการสวดมนต์ขอขมา ขออโหสิกรรมต่อสรรพสัตว์ที่เราได้บริโภคเป็นอาหาร


    กะทิจะจุดธูปหนึ่งดอกในสมาธิจิต แล้วกล่าวประมาณนี้ค่ะว่า "ข้าพเจ้า...(ชื่อ-สกุล)...ขอขมา และขออโหสิกรรมต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ข้าพเจ้าบริโภคเป็นอาหารเพื่อการดำรงชีพ ขอท่านทั้งหลายโปรดยินดีรับกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้สวดมนต์ภวนาในวันนี้(หรือแล้วแต่บุญที่คุณคิดจะอุทิศนะคะ) และขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าอุทิศให้ท่านทั้งหลายนี้ จงเป็นปัจจัยในการอโหสิกรรมแก่กันและกัน อย่าได้มีสัญญากรรมการเบียดเบียนต่อกันและกันด้วยอานิสงฆ์แห่งบุญที่ข้าพเจ้าอุทิศแก่ท่านทั้งหลายนี้ด้วยเทอญฯ" (กะทิคิดอะไรออก ก็คิดๆ ก็เติมเอาเข้ามาเป็นบทกล่าวขอขมาอะนะคะ)



    ปรกติกะทิจะสวดมนต์ทุกวัน ตอนเช้าและก่อนนอน แต่จะสวดมนต์บทยาวๆ หลายบทต่อเนื่องก็เฉพาะวันหยุด รวมถึงบทขออโหสิกรรมต่อสรรพสัตว์ที่กะทิเธอได้บริโภคเป็นอาหารด้วย


    ในประเทศญี่ปุ่น เด็กๆ จะถูกสอนให้ระลึกถึงคุณของอาหารที่พวกเขากินเข้าไปทุกครั้งในทุกมื้อ เพราะได้รับการปลูกฝังว่า ประเทศญี่ปุ่นไม่มีทรัพยากรอะไรเลย ทุกอย่างจึงต้องหามาด้วยความยากลำบาก(สอนกันอย่างนี้ตั้งแต่เด็กๆอนุบาลเลยค่ะ) ส่วนศาสนาคริสต์ หากว่าเป็นผู้เคร่งศาสนา ก็จะมีการกล่าวคำขอบคุณพระเจ้าที่ได้ประธานอาหารมาให้ในทุกมื้อก่อนลงมือกินเช่นกัน เหล่านี้กะทิเห็นว่ามีประโยชน์กับผู้อ่านหนะค่ะ เพราะชีวิตประจำวันที่ยุ่งเหยิง ที่ใครๆ มักพูดว่า ฉันไม่มีเวลา จนกลายเป็นคำติดปากไปซะมากกว่าความเป็นจริง ที่เราจะเพียงแค่ตระหนักถึงคุณค่าของสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ด้วยกัน หรือแม้แต่สรรพสัตว์ที่เป็นอาหารให้กับเลือดเนื้อของเรา เพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนกิน หรือที่จะจะสวดมนต์อุทิศบุญให้ เมื่อมีเวลาสวดมนต์ยาวๆ (แม้แต่สัตว์เลี้ยงที่จงรักภักดีต่อเรา ต่างก็ให้คุณกับเรา อย่างที่เราอาจลืมตระหนักถึงไปนะคะ)


    /ยังมีต่อ


    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ กราบขอขมาแด่พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา, ขอพระพุทธองค์โปรดทรงยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. วันทามิ ธัมมัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต.ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระธรรม, ขอพระธรรมโปรดยกโทษ ทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ.วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระสงฆ์, ขอพระสงฆ์โปรดยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. หากการให้ความรู้ที่ข้าพเจ้าเขียนแล้วนี้ มีประโยชน์ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแด่ผู้อ่านท่านใด ขอให้เป็นบุญแก่ข้าพเจ้าในการกล่าวขอขมาแด่พระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนานี้ จงมีส่งผลเป็นพลังขอขมาจากข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อทุกภพชาติเทอญฯ กรรมอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำผิดพลาดไป ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก่อเป็นความผิดบาปติดตัวข้าพเจ้า ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงอนิสงฆ์แห่งการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยผ่านชีวประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี รวมถึงด้วยอำนาจที่ข้าพเจ้าได้บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมอันถึงแล้วซึ่งความบริสุทธิ์ บริบูรณ์นี้ และด้วยอำนาจแห่งการกล่าวขอขมากรรม ที่สมบูรณ์ของข้าพเจ้านี้แล้ว ขอความผิดบาปทั้งปวงที่ติดตัวข้าพเจ้า จงสลายสิ้นเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2014
  14. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทานพลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่ห้า เสมา..มิติของเสมา

    (ตอนต่อ)



    มาเข้าเรื่องความฝันกันต่อ......



    กะทิเก็บเอาความฝันนี้มาเขียนเล่าให้คุณหมอสุวิฟัง ถึงแค่เฉพาะช่วงที่กะทิเดินอยู่ในโบสถ์วิหารนะคะ ไม่ได้เล่าตอนที่ไปดักรอพระหน้าวัดหนะค่ะ ไม่นานจากนั้นนัก คุณหมอเธอก็ตอบกลับมา โดยเรียกให้ไปพบ ดังกล่าวเข้าเรื่องไว้ข้างต้น


    กะทิได้พบกับคนอีกสองคน ที่หนึ่งในนั้นฝันว่าได้เข้าไปในโบสถ์เช่นกัน แต่รายละเอียดของการเข้าไปในโบสถ์เธอไม่ได้เล่านะคะ แต่คิดว่าคงต่างจากกะทิไม่มากก็น้อย แต่เธอหนะพอเข้าไปในโบสถ์วิหารแล้ว เธอเดินเที่ยวเล่นสำรวจโบสถ์จนทั่วค่ะ และยังบอกกับกะทิอีกว่า “กะทิลองเดินในโบสถ์นั้นให้ทั่วๆ สิ”



    ถึงตรงนี้คุณหมอสุวิก็หยิบปากกา+กระดาษ มาเขียนสี่เหลี่ยมลงไป ซึ่งแทนพื้นที่โบสถ์นะคะ จากนั้นก็บอกกะทิว่า ให้สมาธิไปถึงโบสถ์วิหารที่ได้พบในฝัน และลองไปเดินไปรอบๆ ภายในโบสถ์วิหารนี้ จะพบเสมาอยู่ในโบสถ์นี้สองจุดใหญ่ จุดแรกนี้เธอคนที่ฝันว่าเข้าไปในโบสถ์มารีบชี้บอกให้กะทิทราบค่ะ และอีกเสมาหนึ่งหมอสุวิเป็นผู้บอกจุดให้พวกเราทราบ และหมอยังถามกะทิว่าได้ไปกราบพระท่านที่แท่นรึยัง? กะทิบอกว่ายังค่ะ เพราะยังไม่ได้เดินสำรวจให้ดีเลย กะทิเธอก็เลยโดนดุกรายๆ ไปตามระเบียบ(อ้าว ก็ใครจะไปรู้ล่ะค่ะ จริงไหมคะท่านผู้อ่าน ถ้ากะทิไม่มีคนมาบอก ยังคิดเลยว่า เราก็แค่ฝันประหลาดอะนะคะ)




    คุณหมอสุวิยังพูดต่อไปว่า ให้ไปกราบพระท่านที่แท่นประธาน แล้วไปสำรวจที่เสมาดูด้วยซิว่ามีอะไรที่นั่น



    ตรงนี้ที่เราคุยกันในวันนั้น(หมอกับพวกเราสามคนอะนะคะ+หมอสุวิ) กะทิจำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้วว่าหมอพูดว่าอะไร แต่เหมือนกับว่าเสมาโดยรอบนอกโบสถ์เป็นเกราะกั้นระหว่างด้านนอกกับด้านใน ซึ่งมีความต่างกัน


    นี่ก็คือปริศนาที่ทำให้กะทิต้องไปวัดพระแก้ว เพื่อหาคำตอบ ส่วนหนึ่งจากเสมาหน้าโบสถ์ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตหนะค่ะ เพราะเสมาที่ปกป้องรอบโบสถ์ในฝัน กับเสมาหน้าโบสถ์ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตมีความเกี่ยวเนื่องแบบเดียวกัน ส่วนเสมาด้านในโบสถ์เป็นอีกแบบหนึ่งค่ะ แม้หน้าตาจะไม่มีความแตกต่างกัน แต่เรื่องของการใช้ผ่านมิติทางจิต มีความต่างกัน



    หลังจากที่พวกเราแยกย้ายกันกลับบ้าน และกะทิได้เข้าสมาธิระลึกถึงรายละเอียดที่เด่นชัดในความฝัน รวมถึงโบสถ์วิหารที่ได้เคยไป


    กะที่ก็ได้เข้าไปกราบพระประธานที่แท่นประธานนะคะ ซึ่งตรงนี้จะไม่มีเป็นพระพุทธรูปเป็นรูปธรรมอยู่ หรือก็คือไม่มีพระประธานอยู่จริง แต่ที่กะทิเห็นในสมาธิ จะเป็นเหมือนแสงแห่งดวงจิตของพระประธาน และเสมาประหลาด น่าจะทำด้วยหินทรายแบบโบราณ น่ากลัวและน่าเกรงขาม(ที่ตั้งอยู่กลางโบสถ์วิหาร ตั้งเยื้องมาทางด้านหน้าของโบสถ์เล็กน้อย)


    กะทิเธอได้พยายามนั่งอยู่ตรงเสมาที่รู้สึกได้ถึงเนื้อหินทรายที่ละเอียดแต่ให้ความรู้สึกน่ากลัวน่าเกรงขามสำหรับกะทิ(คนเดียวล่ะมั้ง) นี้หลายครั้ง และพยายามหาคำตอบให้ได้ว่ามีอะไรที่เสมานี้นะคะ เพื่อจะได้ตอบคุณหมอสุวิได้หนะค่ะ(ตอนนั้นสมาธิเข้าไปนั่งหน้าพระเสมาอยู่หลายรอบอยุ่นะคะ แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้สักทีค่ะ ยากอะนะคะ)


    /ยังมีต่อ



    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ กราบขอขมาแด่พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา, ขอพระพุทธองค์โปรดทรงยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. วันทามิ ธัมมัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต.ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระธรรม, ขอพระธรรมโปรดยกโทษ ทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ.วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระสงฆ์, ขอพระสงฆ์โปรดยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. หากการให้ความรู้ที่ข้าพเจ้าเขียนแล้วนี้ มีประโยชน์ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแด่ผู้อ่านท่านใด ขอให้เป็นบุญแก่ข้าพเจ้าในการกล่าวขอขมาแด่พระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนานี้ จงมีส่งผลเป็นพลังขอขมาจากข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อทุกภพชาติเทอญฯ กรรมอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำผิดพลาดไป ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก่อเป็นความผิดบาปติดตัวข้าพเจ้า ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงอนิสงฆ์แห่งการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยผ่านชีวประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี รวมถึงด้วยอำนาจที่ข้าพเจ้าได้บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมอันถึงแล้วซึ่งความบริสุทธิ์ บริบูรณ์นี้ และด้วยอำนาจแห่งการกล่าวขอขมากรรม ที่สมบูรณ์ของข้าพเจ้านี้แล้ว ขอความผิดบาปทั้งปวงที่ติดตัวข้าพเจ้า จงสลายสิ้นเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2014
  15. wawana

    wawana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +356
    ว๊าวววว สุดยอดไปเลยค่ะ ท่านอาจารย์สุวิ

    และถ้าจะพูดถึงอำนาจของคาถานี้ ที่ช่วยชีวิตไว้คือ หลายเดือนมาแล้วนอกจากจะสวดแล้ว...วันหนึ่งเปิดคาถานี้ฟังในรถ แล้วจังหวะหนึ่งเราขับแซงคันหน้า
    ตรงทางโค้ง(ไม่เข้าใจทำไมแซงทางโค้ง เพราะมองไม่เห็นรถสวนทางเลย)

    ออกไปปั๊บก็เจอรถสวนมาทันทีประจันหน้าเลย เราตกใจนิดนึง แค่หักพวงมาลัยหน่อยเดียว รู้สึก

    เหมือนสโลว์โมชั่น(เวลาช้าลงมาก)แล้วรถก็กลับเข้าที่เดิม...แปลกใจมาก รอดมาได้ไง...วะ

    เข้าใจแล้ว เหตุเพราะ อำนาจพลังจากคาถานี้ ประดุจดัง ตำราจักรพรรดิ นั่นเอง:cool:
     
  16. maoleethong

    maoleethong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +731
    คาถาชินบัญชร
    ผมต้องเริ่มสวดบ้างแล้ว หลังจากได้หยุดสวดมานานมาก
    ขอขอบคุณ คุณหมอสุวิ ครับ.
     
  17. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    นิทานพลังอธิษฐานของกะทิ ตอนที่ห้า เสมา..มิติของเสมา

    (ตอนต่อ)


    ในช่วงที่กะทิเพิ่งเริ่มหาคำตอบกับการนั่งสมาธิกับพระเสมาในมิติภายในโบสถ์พระวิหาร ซึ่งเป็นการเข้าถึงพระเสมาที่กะทิเธอได้คุยกันกับคุณหมอสุวิหลังจากความฝัน สิ่งที่ทำได้ คือการไปที่นั่นอีกครั้งและอีกครั้ง ผ่านการทำสมาธินะคะ และในวันที่หมอเรียกพวกเราไปพบนั้น เธอยังได้บอกพวกเราประมาณว่า


    "เสมาที่วัดพระแก้วก็มีบางสิ่งบางอย่างอยู่ด้วยนะ ให้ไปดูว่าที่นั่นมีอะไรอยู่"



    ช่วงนั้นถ้าจำไม่ผิด ตัวกะทิเธอก็ได้นัดเพื่อนเพื่อไปสักการะพระบรมอัฐิและพระอัฐิในพระราชวงศ์จักรีในวัดพระแก้ว เพื่อขอความเป็นคนไทยให้กับเธอนะคะ (คือเธอเป็นคนไทยในชาตินี้ค่ะ แต่เพราะอยู่เมืองไทยได้ไม่เคยนาน ตั้งแต่เด็กจนเข้าทำงาน มักต้องไปอยู่ ตปท. ตลอด ทั้งๆ ที่พ่อแม่พี่น้องรวมสายเลือดเดียวกันเป็นคนไทย มีกิจการห้างร้าน มีหลักมีฐาน ในไทย แต่เธอคนนี้กลับอยู่เมืองไทยไม่เคยได้นาน อะนะคะ กะทิก็เลยพาเธอไปทำพิธีกราบขอความเป็นคนไทยที่นี่) และก็เลยถือโอกาสไปสัมผัสเสมาหนะค่ะ



    ระหว่างที่เพื่อนกะทิเธอจุดธูปเทียนไหว้พระแก้วมรกต และรอคิวดค่ะ เพราะคนรอไหว้กันเยอะมาก เพื่อนก็รอจะเข้าไปคุกเข่าจุดธูปกราบอะนะคะ กะทิก็ไม่รอให้เสียเวลานะคะ และไม่ได้บอกอะไรเพื่อนด้วย เพราะถ้าเล่าให้เพื่อนฟัง เดี๋ยวต้องเล่ายาวค่ะ


    [​IMG]


    กะทิถือโอกาสเดินมาที่พระเสมาค่ะ พอกะทิกล่าวขออนุญาตขอดูพระเสมาเสร็จก็กำกับจิตนะคะ อันดับแรกกะทิทราบแล้วจากคุณหมอสุวิ ว่าเสมาที่หันหน้าออกไปด้านนอก กับด้านที่หันเข้าหาโบสถ์วิหาร จะมีสิ่งที่แตกต่างไม่เหมือนกัน กะทิขอยืนอยู่ด้านในก่อนค่ะ เพราะว่าฝั่งที่หันหน้าออกสู่ด้านนอก มันติดกับรั้วเตี้ยๆ ล้อมรอบโบสถ์วิหาร ทำให้เวลายืนต้องยืนตัวเอียงๆ ยืนประจันหน้าตรงๆ ไม่ได้หนะค่ะ



    ขณะนี้กะทิเธอกำลังยืนประจันหน้ากับเสมาที่หันหน้าเข้าสู่ด้านในพระแก้วมรกต กะทิก็ขออนุญาตพระเสมาขอดูภายใน และกำหนดจิตลึกลงไปค่ะ สิ่งที่กะทิเห็นก็คือหัวใจค่ะ ตัวเองยังรู้สึกแปลกๆ แบบขำๆ ว่าเรานี่มาเห็นอะไรแบบนี้หว่า? ใช่ไหมล่ะคะ? ถ้าเป็นผู้อ่านมาเห็นแบบนี้ ก็คงคิดคล้ายๆ กับกะทิ คงคิดสงสัยตัวเองว่าเราเองท่าจะเพี้ยน



    ในระหว่างนั้นกะทิโทรศัพท์อย่างรีบเร่งไปบอกคุณหมอสุวินะคะ ว่ากะทิเห็นรูปหัวใจ หมอก็ให้กะทิกำหนดจิตลึกลงไปอีกค่ะ แต่ไม่ได้บอกใบ้นะคะว่ามีอะไร กะทิก็วางสายโทรศัพท์ เพราะต้องใช้สมาธิมากๆ อะนะคะ กะทิกำหนดจิตลึกลงไปดูกว่านั้น และภายในหัวใจนั่นกะทิก็ได้เห็นพระพุทธรูปในท่าสมาธิค่ะ กะทิดูถึงแค่ตรงนี้ก็ออกจากการกำหนดจิต เดินมาอีกด้านของเสมานะคะ กะทิต้องทำอย่างรวดเร็วนะคะ เพราะไม่ได้บอกเพื่อนเอาไว้ค่ะว่ากะทิหายมาทำอะไร



    อย่างที่บอกนะคะ ว่าพระเสมาด้านที่หันออกทางด้านนอกนี้ จะค่อนข้างติดกับรั้วรอบโบสถ์วิหาร หรือก็คือเราไม่สามารถยืนตรงๆ ได้ ก็เลยต้องยืนเอียงๆ เฉียงๆ แต่ก็พยายามนะคะ วิธีก็ทำเหมือนเดิมค่ะ แต่ว่าเพราะตอนนี้กะทิเริ่มไม่มีสมาธินะคะเพราะห่วงเพื่อนนะคะ แต่ก็กำหนดจิตมองดูเหมือนเดิม แต่ไม่เห็นอะไรนะคะ (จิตเริ่มกังวล) ประกอบกับการยืนแบบที่ไม่ถนัด ก็เลยสวัสดีลาพระเสมา และเดินกลับไปหาเพื่อนค่ะ ปรากฎว่าเพื่อนจุดธูปไหว้พระแก้วมรกตเกือบเสร็จพอดี หลังจากนั้นเราก็พากันเข้าไปไหว้พระแก้วมรกตด้านใน และพาเพื่อนไปทำพิธีขอความเป็นคนไทยนะคะ จากนั้นก็กลับบ้าน



    ระหว่างที่กลับบ้าน รถประจำทางคันเดียวกันนี้ จะถึงบ้านเพื่อนก่อนค่ะ หลังจากเพื่อนลงรถไปแล้ว กะทิก็อยากจะงีบนะคะ อย่างที่เขียนเล่าไว้ในนิทานพลังอธิษฐานของกะทิตอนที่สี่ ว่ากะทิเธอพยายามจะหลับ แต่ไม่สามารถหลับได้ และก็ได้รับคำตอบจากคุณหมอสุวิว่า แบตเตอรี่ของกะทิเธอเต็มหนะคะ ตลอดทางที่นั่งรถกลับบ้านจึงเพลียมาก วันนั้นเลยไม่ได้ทำอะไรต่อ จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นค่ะ


    วันรุ่งขึ้นยังเป็นวันหยุด กะทิก็ทำกิจวัตร ทำความสะอาดบ้าน ถูบ้านตามปรกติ แต่จิตก็ยังนึงถึงพระเสมาเมื่อวานนี้ที่กะทิเห็นเพียงด้านเดียวนะคะ ดังนั้นด้วยความแคลงใจ ระหว่างกวาดบ้านก็ตามดู ตามนึกถึงพระเสมาด้านที่หันหน้าออก แล้วตัวเองยืนไม่ถนัด กำหนดจิตลึกลงไปดู ก็เห็นบางสิ่งบางอย่างลางๆ และค่อยๆ ชัดเจนขึ้นค่ะ และรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในทีนะคะ อย่ากระนั้นเลย ขอรีเช็ค/ดับเบิ้นเช็ค โดยโทรศัพท์ไปหาคุณหมอสุวิ เพื่ออธิบายสิ่งที่เห็น



    สิ่งที่กะทิเห็นในพระเสมา มีลักษณะเปรียบเปรยดังฝากระเบื้องเคลือบค่ะ แต่ว่ามีแค่ฝากระเบืองนะคะ บนฝากระเบื้องเนี่ย มียอด ที่เราจะสามารถใช้นิ้วคีบหยิบยกเปิดปิดฝาได้ ประมาณนั้นนะคะ กะทิยังอธิบายต่อไปให้คุณหมอสุวิฟังอีกว่า ยิ่งดูยิ่งคล้ายๆ กับโครงสร้างของวัดธรรมกายค่ะ


    กะทิก็อธิบายให้คุณหมอสุวิฟังไปนะคะว่า กะทิเธอเคยผ่านไปแถววัดธรรมกายตอนกลางคืน เป็นค่ำคืนที่มืดมาก แต่รอบตัวโครงสร้างของวัดธรรมกายเปิดไฟเล็กๆ สีแดง สีเหลืองรอบตัววัด ทำให้มองเห็นโครงสร้างของตัววัดคล้ายกับจานบิน และกะทิก็เลยฟันธงกับหมอสุวิว่า “ใช่แล้วค่ะ ที่กะทิเห็นตอนนี้คือ จานบินค่ะ”



    ท่านผู้อ่านอ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะเริ่มขำ หรืออาจกำลังคิดว่า กะทิเธอคงเพี้ยนนะคะ จะหายจากะทิไปแล้วไม่มาอ่านนิทานต่อ กะทิก็ไม่ว่ากันนะคะ เพราะตอนนั้นกะทิเองก็คิดว่าเธอกำลังไม่ปรกติค่ะ และกังวลในสิ่งที่กำลังพูดกับหมอสุวิอยู่เช่นกันนะคะ และคิดไปอีกด้วยว่า สงสัยหมอคงกำลังหัวเราะกะทิเธออยู่แน่ๆ แต่ทว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย


    หมอไม่ได้หัวเราะกะทิเธอแม้แต่น้อย หมอยังอธิบายโน่นนี้นั่น อะไรบ้างกะทิเธอจำไม่ค่อยได้แล้วนะคะ แต่หมอบอกกับกะทิระหว่างที่กำลังเขียนนิทานตอนที่ห้านี้ว่า เขียนเล่าไปก่อน เดี๋ยวหมอว่าเติมเอง ดังนั้นที่เหลือหลังจากนี้ คุณหมอสุวิจะมาอธิบายให้ท่านผู้อ่านฟัง รอท่านเข้ามาเขียนละกันนะคะ (แต่จะเมื่อไหร่อันนี้ไม่ทราบได้ค่ะ)


    (ปล.เรื่องที่กะทิเขียนถึงวัดวัดธรรมกาย กะทิเขียนแค่เรื่องโครงสร้างของวัด ไม่ได้เขียนเข้าไปถึงเรื่องนิกาย การแนะนำข้อปฎิบัติในนิกายของธรรมกายแต่อย่างใดนะคะ ดังนั้นเรื่องเหล่านี้กะทิขอไม่เกี่ยวข้องพาดพิงถึงใดๆ กับวัดธรรมกาย นะคะ)


    ส่วนพระเสมาที่อยู่ในโบสถ์วิหารในความฝันนั้น กะทิเธอนั่งสมาธิไปดูนะคะ ก่อนอื่นพอไปถึงที่นั่น กะทิก็กราบพระประธานก่อน อย่างที่เคยบอกไปเมื่อตอนต้นว่า กะทิมองไม่เห็นพระประธานเป็นรูปร่างรูปธรรมนะคะ แต่สิ่งที่กะทิเธอเห็นคือพลังงานแห่งดวงจิต เป็นแสงสีเหลืองกระจ่างกระจายตัวเป็นวงกลมหนะค่ะ อยู่ตรงเหนือแท่นนั้น กะทิกำหนดจิตไปที่นั่นไม่ว่าจะนั่งสมาธิ หรือสมาธิลืมตา ก็จะเห็นแบบนี้เสมอสำหรับที่แห่งนี้นะคะ(ที่อื่นๆ ที่กะทิเธอเห็นไม่ได้เป็นแบบนี้ เป็นเฉพาะที่นี่ที่เดียวเฉพาะพระประธานในพระพุทธศาสนา)



    จากนั้นกะทิเธอก็จะไปนั่งสมาธิลืมตาที่หน้าพระเสมาในโบสถ์วิหารนั้น หรือก็คือ กะทิเธอกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิกำหนดจิตไปที่โบสถ์วิหารนั้น และเมื่อเธอนั่งอยู่หน้าพระเสมาเธอนั่งสมาธิลืมตาดูพระเสมาในโบถส์วิหาร) เธอขออนุญาตดูพระเสมาวิธีการเดียวกันกับที่เคยทำที่พระเสมาหน้าวัดประแก้วนะคะ แต่ทว่ากะทิทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งค่ะ ก็ไม่เป็นผล กะทิเธอพยายามต่อไปอีกหลายๆ ครั้งนะคะ พยายามสัมผัสพระเสมาดูด้วยค่ะ เพราะการกำหนดจิตเพ่งมองลึกลงไปเพียงอย่างเดียว อย่างที่กะทิเธอเคยใช้กับพระเสมาที่หน้าโบสถ์วิหารพระแก้ว แต่กะทิลองหลายครั้งมากๆ แล้ว รู้สึกว่าใช้การไม่ได้



    พระเสมาที่กะทิเธอเห็นในโบสถ์วิหารนี้เป็นลักษณะหินเก่าๆ ขลุขละ สีน้ำตาลทรายดำผสม ไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่อะนะคะ ในความคิดของกะทิออกจะน่ากลัว ไม่ค่อยจะกล้าสัมผัส สุดท้ายมีอยู่วันหนึ่งก็สำเร็จค่ะ กะทิทราบแล้วว่าภายในมีสิ่งใด แต่อันนี้ไม่ขอเฉลยนะคะ นอกเสียจากว่า ถ้าคุณหมอสุวิจะเขียนเล่าเอง แต่กะทิจะไม่เล่าค่ะ


    จบนิทานพลังอธิษฐานของกะทิตอนที่ห้า ขึ้นตอนที่หกค่ะ ยังมีผู้ตามอ่านกันอยู่อีกไหมคะ รบกวนรายงานตัวด้วยค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ ^ ^


    ปล. เดี๋ยวหมอสุวิเธอจะมาขยายความนิทานพลังอธิษฐานของกะทิตอนที่ห้านี้นะคะ




    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ, นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ กราบขอขมาแด่พระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนา, ขอพระพุทธองค์โปรดทรงยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. วันทามิ ธัมมัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต.ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระธรรม, ขอพระธรรมโปรดยกโทษ ทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ.วันทามิ พุทธัง สัพพัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต. ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขออภิวาทพระสงฆ์, ขอพระสงฆ์โปรดยกโทษทั้งปวงที่ข้าพเจ้าทำล่วงเกินด้วยเทอญ. หากการให้ความรู้ที่ข้าพเจ้าเขียนแล้วนี้ มีประโยชน์ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแด่ผู้อ่านท่านใด ขอให้เป็นบุญแก่ข้าพเจ้าในการกล่าวขอขมาแด่พระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนานี้ จงมีส่งผลเป็นพลังขอขมาจากข้าพเจ้าในกาลทุกเมื่อทุกภพชาติเทอญฯ กรรมอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำผิดพลาดไป ด้วยกาย วาจา ใจ ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก่อเป็นความผิดบาปติดตัวข้าพเจ้า ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงอนิสงฆ์แห่งการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยผ่านชีวประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี รวมถึงด้วยอำนาจที่ข้าพเจ้าได้บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และผู้ปฏิบัติธรรมอันถึงแล้วซึ่งความบริสุทธิ์ บริบูรณ์นี้ และด้วยอำนาจแห่งการกล่าวขอขมากรรม ที่สมบูรณ์ของข้าพเจ้านี้แล้ว ขอความผิดบาปทั้งปวงที่ติดตัวข้าพเจ้า จงสลายสิ้นเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2014
  18. naresoun

    naresoun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +297
    ขอบคุณครับ ยังติดตามอยู่ครับ
     
  19. Kaewsaii

    Kaewsaii สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +5
    รออ่านตอนนต่อไปอยู่ค๊าบบบบบ
     
  20. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +13,166
    ฟังดู น่า ตื่นเต้น



    เค้าบอกว่า สามารถ เดินข้ามแม่น้ำได้ โดย ตัวไม่เปียก


    ทำได้ไง .....

    เดินบนผิวน้ำ หรือ ไง อย่างนี้ ระดับ จอมยุทธ เชียวนะ หรือ จะเป็นผู้มี อภิญญา

    จะพายเรือข้าม ก็ ไม่ได้ เพราะเค้าบอกว่า เดินข้ามแม่น้ำ

    เจอโจทย์ อย่างนี้ น่าคิด............นะ

    พอได้เห็น คำเฉลย

    เค้าทำได้ จริงๆ

    ดู เอา เอง นะครับ



    https://www.facebook.com/photo.php?v=10151932292625633
     

แชร์หน้านี้

Loading...