เรื่องราวอารยธรรมวัฒนธรรมตำนานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกิณกะ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย มุ่งเต็มใจ, 28 กรกฎาคม 2010.

  1. Best Warlord

    Best Warlord Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +92
  2. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    เกตุดาวทิพย์แห่งโหรสยาม โดย ภารต ถิ่นคำ

    พระเกตุ ดาวทิพย์แห่งโหรสยาม
    เกตุดาวทิพย์แห่งโหรสยาม
    โดย ภารต ถิ่นคำ


    ในการศึกษาโหราศาสตร์ในระบบต่างๆนั้น จะมีจุดร่วมกันในเรื่องดาวเคราะห์ และจักรราศี ไม่ว่าจะเป็นระบบราศีคงที่ ที่เราเรียกว่า ระบบนิรายณะ เช่นโหราศาสตร์ไทย และอินเดีย และระบบราศีเคลื่อนที่ ซึ่งเรียกกันว่า ระบบสายนะ ซึ่งใช้กันในโลกตะวันตกซึ่งต่อมาเราเรียกระบบนี้ว่า โหราศาสตร์สากล ซึ่งทั้ง 2 ระบบนี้มีค่าต่างกัน เรียกว่า อายนางศะ ซึ่งค่านี้เปลี่ยนแปลงไปแต่ละปี ปัจจุบัน มีค่าอยู่ประมาณ 23 องศาเศษ

    ในวิชาโหราศาสตร์สากลเอง มีดาวอยู่ดวงหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจุดอุปราคา หรือจุดคราส ซึ่งเรียกกันในภาษาโหราศาสตร์ว่า ราหู ซึ่ง ความจริงแล้ว มิใช่เป็นดาวแต่เป็นปัจจัยทางดาราศาสตร์ มีปรากฏการณ์ ให้เห็นเมื่อมีฉากมาบังเช่น แสงอาทิตย์ผ่านมาโลกโดยมีดวงจันทร์มาบัง และมีโลกเป็นจอรับเงานั้น และมีทั้งจันทรุปราคา และสุริยุปราคา

    พอพ้นระยะเวลาที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก อยู่ในแนวระนาบเดียวกันแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้ ปัจจัยในทางดาราศาสตร์นี้ โหราศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ร่วมกันกับดาราศาสตร์ ก็นำปรากฏการณ์นี้ มาใช้อย่างกลมกลืน

    วิชาโหราศาสตร์ยูเรเนียน ก็เป็นสาขาหนึ่งของโหราศาสตร์สากล นอกจากจะแตกต่างกันในเชิงการใช้ จุดสะท้อน และ ศูนย์รังสีดาวแล้ว จุดเด่นอีกประการหนึ่งคือ มีการใช้ดาวทิพย์ ในการพยากรณ์ ดาวทิพย์ที่ว่า มีทั้งหมด 8 ดวง ได้แก่ คิวปิโด ฮาเดส ซีอุส โครโนส อาพอลลอน แอตเมตอส วัลคานุส และโปไซดอน

    ดาวทิพย์ดังกล่าว ยังไม่มีรายงานอย่างแท้จริง ทางดาราศาสตร์อย่างเป็นทางการว่าค้นพบแล้วหรือมีอยู่จริง แต่เป็นการค้นพบปัจจัยที่มีอิทธิพลในทางโหราศาสตร์ ซึ่งเห็นได้ชัด จนสามารถคำนวณทำเป็นวงโคจร ซึ่งมีอัตราการโคจรที่แน่นอน ซึ่งดาวทิพย์ดังกล่าวค้นพบโดยปรมาจารย์ยูเรเนียนชาวเยอรมัน Alfred Witte และ คณะสานุศิษย์

    ปัจจัยทางดาราศาสตร์ซึ่งยังไม่มีตัวตนในทางฟิสิกส์ แต่มีปรากฏการณ์แสดงอิทธิพลให้ผลรุนแรงเป็นที่ประจักษ์ชัด จึงเป็นที่มาของปัจจัย ในการนำมาใช้ในการพยากรณ์ได้ทั้งสิ้นและจากสถิติก็ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ

    มีปัจจัยที่เรียกว่าคราส หรือ ราหูนั้น ในโหราศาสตร์สากล ก็มีจุดซึ่งถือเป็นปัจจัยที่อยู่ตรงกันข้าม 180 องศาของราหู เรียกกันในภาษาไทยว่า เกตุ ภาษาอังกฤษ ราหู ใช้ Node ส่วนเกตุในที่นี้เรียกว่า เกตุสากลหรือ AntiNode

    ปัจจัยทางโหราศาสตร์ที่กล่าวเกริ่นมาแต่ต้นนั้น เป็นการค้นพบโดย ชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะทางประเทศทางแถบทวีปยุโรป และวิชาโหราศาสตร์ยูเรเนียนที่ค้นพบโดยชาวเยอรมัน

    แต่ยังมีปัจจัยอีกตัวหนึ่ง ที่ใช้กันเฉพาะในโหราศาสตร์ไทย ชื่อเดียวกันและมีที่มาจากคราสราหูเดียวกันกับโหราศาสตร์สากล เพียงแต่มีวิธีคิดที่ต่างกัน เพียงเฉพาะมีปรัชญาในการค้นพบอย่างเดียวกัน คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในคาบเวลาที่คงที่ ใช้ในการคำนวณหาอนุกรมการเกิดปรากฏการณ์อุปราคาเช่นเดียวกัน แต่ล้ำลึกซับซ้อนกว่า อีกทั้งให้ผลในการพยากรณ์ที่รุนแรงกว่าของสากล เรียกว่า ค้นพบจากวิธีการทางคณิตศาสตร์ย้อนหลังไปเมื่อ เกือบ 200 ปีก่อน

    เพื่อใช้คำนวณเพื่อทบทวนจุดคราส จากอนุกรมดาราศาสตร์ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์แห่งโลกตะวันตก โดยการใช้วิชาคำนวณของชาวเอเซีย ท้าทายภูมิปัญญา แห่งมหาอำนาจตะวันตก มีผลเป็นที่ประจักษ์ชัดตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งแสดงออกเป็นที่ประจักษ์ โดยพระปรีชาญาณของพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสยาม พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

    พระองค์ทรงค้นพบและบัญญัติ เกตุไทย ซึ่งเป็น ดาวทิพย์ทางโหราศาสตร์ แห่งสยามประเทศ ซึ่งแตกต่างจากเกตุฝรั่ง ทั้งวิธีการคิดคำนวณและพยากรณ์ ในทางคำนวณนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดในทางดาราศาสตร์เรื่อง สุริยุปราคา ที่หว้ากอ เพียงแต่ว่าพระองค์ทรงสวรรคต หลังจากนั้นไม่นาน แต่ก็ทรงทิ้งร่องรอยการคำนวณนี้ไว้ให้ใช้ในปฏิทินโหราศาสตร์หลวง เพื่อให้อนุชนเหล่าโหรานุโหรรุ่นหลังเป็นมรดกทางวิชาการให้ค้นคว้าสืบมา

    แต่นักโหราศาสตร์ที่เรียนโหราศาสตร์สากลหรือแม้แต่โหราศาสตร์ไทยเอง ปัจจุบันก็แทบจะใช้ เกตุพยากรณ์อย่างไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน หรือยังไม่ครบถ้วนในทางปรัชญาทั้งที่มาและข้อมูลทางดาราศาสตร์ ยิ่งนักโหราศาสตร์สากลหรือยูเรเนียนด้วยแล้ว ก็ไม่รู้จักเมื่อไม่รู้จักก็ไม่ได้นำมาใช้ทำให้เสียโอกาสในการใช้เป็นปัจจัยในการพยากรณ์ในบางเรื่องตามคุณสมบัติของเกตุไทยที่ลึกซึ้งอย่างน่าเสียดาย เพราะบางท่านรู้จัก และใช้ดาวจันทร์กาฬ หรือ Lilith มากกว่า เกตุไทย ด้วยซ้ำไป

    บทความนี้ผู้เขียนมิได้ มีจุดมุ่งหมายทางชาตินิยม หลงแต่ของตนดีโดยมิได้พิจารณาทางวิทยาการสากลแต่อย่างใดไม่ เพียงแต่อยากจะอธิบายสานต่อภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ให้กลับมาเป็นที่ประจักษ์ชัดในยุคปัจจุบัน ให้ได้ทราบถึง การค้นพบที่ร่วมสมัย มีการสานต่อทางภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น มิให้ขาดตอน พัฒนาวิชาการเพื่อเป็นมรดกร่วมสมัยทางภูมิปัญญา ว่าคนไทย ก็มีความสามารถค้นพบ ดาวทิพย์ทางโหราศาสตร์ของดาวเคราะห์รอบใน คือ เกตุไทย ขณะที่ ฝรั่งชาวเยอรมัน ค้นพบ ดาวทิพย์รอบนอก คือ ดาวทิพย์ทั้ง 8 ของยูเรเนียน

    เราเองก็ไม่อาจจะสันนิฐานว่าพระองค์ทรงศึกษาเรื่องการคำนวณอุปราคามาจากไหน เพราะข้อมูลประวัติศาสตร์ทางด้านนี้มิได้บ่งชัดแจ้ง ได้แต่สันนิฐานจากพระราชประวัติว่า พระองค์คงศึกษามาตั้งแต่ยังทรงผนวช ในรัชสมัยของสมเด็จพระเชษฐาธิราช รัชกาลที่ 3 จากพวกหมอสอนศาสนา เช่นประมุขมิซซัง ปาเลอกัวร์ หรือ หมอสอนศาสนา ฝ่ายโปรเตสแตนท์ มีหลักฐานเรื่อง หอสมุดดาราศาสตร์ และหอดูดาว ที่พระนครคีรี เขาวัง จังหวัดเพชรบุรี พระองค์ทรงมีตำรับตำราทางดาราศาสตร์อยู่มาก อีกทั้งทรงทราบถึงวิชาการคำนวณทางคัมภีร์สุริยยาตร์ จากพวกกรมโหร อย่างแตกฉานถึงเหล่าที่มาของเลขเกณฑ์ ทั้งหลาย

    ในทางตำรับตำราดาราศาสตร์ของฝรั่งสมัยนั้น มักจะกำหนดวงรอบของอนุกรมอุปราคา หรือราหูกุมอาทิตย์ เรียกกันว่า จักราศีวัฏจักรซารอส ( Saros ) ซึ่งก็คือ ตำแหน่งราหูในจักราศีที่เกิดปรากฏการณ์ สุริยุปราคาสำคัญๆ ในแต่ละครั้ง ภายในวัฏจักรซารอส หนึ่งๆ มีระยะเวลา 6,585.31934 วัน หรือ 18 ปี 11 เศษ 1/3 วัน ซึ่งในแต่ละต้นวัฏจักรซารอสใหม่ มีระยะเชิงมุมต่างกัน ประมาณ 11 องศา และครบรอบจักราศี 360 องศา ประมาณ 33 วัฏจักรซารอส หรือประมาณ 595 ปี

    ราหูกับอาทิตย์ จะกุมกันทุกรอบ 344 วัน ที่เรียกกันว่า คราสอาทิตย์

    เกตุ โคจร 1 รอบจักราศี 679 วัน เร็วกว่า ราหู 10 เท่า

    อัตราดังกล่าวเมื่อเทียบกับ จันทร์ ในระบบเก่าแบบไทยเดิม จันทร์โคจรครบ 1 นักษัตร จะทำให้เกตุ โคจรไปได้ 1 นักษัตร หรือ เกตุ เดินได้ 56 วัน เท่ากับราหู เดินได้ 567 วัน

    มีการสังเกตว่า ณ จุดที่ ราหูและเกตุ กุมกันสนิทนั้น ในจักราศีใดราศีหนึ่งก็ตาม

    นับจากนั้นไป 753 วัน เกตุและราหูจะมากุมกันอีกครั้งหนึ่ง ห่างจากจุดเดิมไป 40 องศา หรือ 1 ราศี 10 องศา ย้อนจักราศี และการกุมกันของเกตุและราหูในแต่ละครั้งนั้น ถ้าสังเกตจากตำแหน่งของ อาทิตย์ จะเห็นได้ว่า อาทิตย์จะเคลื่อนที่ ออกจากตำแหน่งเดิมไป 24 องศา ในอัตราที่คงที่

    นอกจากนี้ ภายในรอบ 6 ปี ราหูกุมเกตุ ทุกๆรอบ 6 ปี จุดนี้จะอยู่ในราศี ธาตุไฟ อันได้แก่ เมษ สิงห์ และธนู

    ตามคัมภีร์สุริยยาตร์ การหาว่าเกตุมีตำแหน่งสมผุสเท่าใดนั้น ต้องหาจาก มัธยมเกตุ ซึ่งกำหนดค่ามาจาก ตั้งหรคุณเถลิงศก บวก กับสุรทิน ได้ลัพธ์ออกมาเป็น หรคุณประสงค์ แล้วเอา 344 ลบ ได้เท่าใดเอา 679 หาร เศษเป็น พลพระเกตุ


    ตั้งพลพระเกตุลง เอา 12 คูณ แล้วเอา 679 หาร ได้ผลลัพ์เป็นราศี เศษ นั้นเอา 30 คูณ เอา 679 หาร ลัพธ์ที่ได้เป็นองศา เศษเอา 60 คูณ เอา 679 หาร ลัพธ์เป็น ลิบดา ..ผลลัพธ์ที่ได้..เรียกว่า มัธยมพระเกตุ

    ให้ตั้ง 360 องศา หรือ 12 ราศี หรือกระจายออกมาเป็น 11 ราศี 29 องศา 60 ลิบดาลง เอา ค่ามัธยมเกตุที่ได้ดังกล่าวมาลบ เหลือเศษ เท่าใด เป็นค่าของสมผุส พระเกตุ...ออกมาเป็น ราศี องศา ลิบดา ถ้าเราปรับเอาค่า อายนางศ์ มาบวก ก็จะได้ค่าของเกตุ ในระบบโหราศาสตร์สากล

    เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวเลขคงที่ ที่นำมาคำนวณหาเกตุนั้น ก็คือตัวเลขที่นำมาจากการสังเกตของฝ่ายดาราศาสตร์ทั้งสิ้น มิใช่ตัวเลขที่ไม่มีที่มาที่ไปไม่ แสดงถึงพระอัจฉริยภาพทางดาราศาสตร์การคำนวณที่ทรงประยุกต์ทั้งฝ่ายคัมภีร์ไทยและตำราฝรั่งอย่างแตกฉานถ่องแท้ ชนิดบังคับได้ใช้เป็น !!

    ดวงไทยนับแต่โบราณมา มี ดาวแค่ 8 ตัวรวมราหู แต่นับจากในรัชสมัยของพระองค์ ทรงนำเอาดาวเกตุ และมฤตยูหรือยูเรนัส ดาวเคราะห์ดวงใหม่ ที่ค้นพบในยุคร่วมรัชสมัยของพระองค์ เข้ามาใช้อย่างกลมกลืน จึงถือว่าเป็น นวัตกรรมใหม่ ทางโหราศาสตร์ไทย สมกับที่เป็นหนึ่งในพระบรมครูในทางโหราศาสตร์ไทย เช่นเดียวกับ พญาลิไท พระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัยผู้ตัดศักราชเกณฑ์เลข สรุปอัปป์ และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ผู้ทรงชำระคัมภีร์ทักษาพยากรณ์ ออกมาเป็นบทพระนิพนธ์วรรณกรรมเรื่อง ลิลิตทักษาพยากรณ์ ซึ่งทั้ง 3 พระองค์ โหรรุ่นต่อมาได้ใส่พระนามไว้ให้มีอยู่ในโองการไหว้ครูโหรของไทย

    ในการนำไปใช้ในการพยากรณ์ เนื่องจากเกตุ เกี่ยวข้องกับการคำนวณอุปราคา คือ อาทิตย์ จันทร์ ราหู และคงที่ในราศีธาตุไฟ เกตุ จึงมีค่าในทางปรัชญาโหราศาสตร์ เกี่ยวกับธาตุไฟ แต่เนื่องจากเกตุลึกลับ ยิ่งกว่าราหูเพราะ ราหูยังเห็นได้ว่ามีตามอนุกรมเวลาเมื่อมาปรากฏในดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ ให้เห็น แต่เกตุ มิใช่

    ดังนั้นเกตุจึงเป็นเป็นอรูป ซึ่งนับเป็นวิญญาณธาตุ มีอยู่จริง แสดงผลได้ แต่ไม่ปรากฏตัว มีคุณสมบัติทาง ร้อนใน ไฟแรง ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ไหวพริบ ปฏิภาณ ความทรงจำชั้นเลิศ ซึ่งเป็นคุณสมบัติฝ่ายดี


    ส่วนในฝ่ายร้ายนั้น ได้แก่ วิตถาร ตกยุค งมงาย ขวางโลก มิจฉาทิฏฐิ ไสยศาสตร์ การหลอกลวง ประสบการณ์พิศดาร ของแปลก ของมีตำหนิ ฯลฯ

    ตัวแปรอีกตัวหนึ่ง คือ ดาวที่ส่งผลให้เกตุ แสดงออกทางการแปรปรวน จุดนี้คือ พระเคราะห์ดวงใน คือ พุธ และศุกร์ เนื่องจากอยู่ใกล้ อาทิตย์ มีอัตราการโคจรที่บังคับองศา ของระยะห่างจากดวงอาทิตย์ จึงมีผลต่อการแสดงตัวของเกตุ ซึ่งไปช่วย ราหู จับอุปราคา

    ท่านปรมาจารย์โหราศาสตร์ไทยอีกผู้หนึ่งคือ ท่านพลูหลวง ได้เคยเขียนเอาไว้เกี่ยวกับเกตุไทย ว่ามีผลต่อดาวพุธในเชิงคู่ศตรู ทีเดียว โดยท่านสังเกตว่าดาวพุธจรกุมเกตุของเจ้าชะตา จะทำให้ หลงทาง เดือดร้อนใจ ประสบกับอุปสรรค ในเรื่องความหลงลืม อย่างชนิดไม่รู้ตัว ทำให้ความสามารถของพุธสูญเสีย อย่างไม่คาดคิด เกิดความประทับใจกับประสบการณ์นั้นอย่างยากที่จะลืม

    นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการพยากรณ์ที่นำดาวเกตุ มาประยุกต์ใช้ในโหราศาสตร์สากล และยูเรเนียน ที่ผู้เขียนแอบนำมาศึกษาใช้เป็นการส่วนตัว ซึ่งให้ผลลัพธ์ เป็นที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง ซึ่งคงจะมีโอกาสนำมาเผยแพร่ให้ผู้ที่สนใจทราบต่อไป เพื่อ เรื่องของเกตุ ดาวทิพย์แห่งโหรสยาม น่าจะจุดประกายให้ผู้ที่สนใจค้นคว้าโหราศาสตร์ไม่จำกัดอยู่ฝ่ายใด ให้ได้ค้นคว้าต่อ เนื่องจากผู้เขียนเห็นว่า ไม่ควรมองข้ามเกี่ยวกับที่มา และสามารถใช้คุณสมบัติที่สำคัญหลายๆประการของเกตุ ซึ่งเป็นผลงานภูมิปัญญา เกี่ยวกับดาวทิพย์แห่งโหรสยาม ให้โลกได้รับรู้ถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยต่อไป

    ( เล่าประสบการณ์ของคุณให้เรามั่งสิ : กระดานโหรา )
    astroclassical.com
     
  3. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    เกตุดาวทิพย์แห่งโหรสยาม โดย ภารต ถิ่นคำ

    พระเกตุ ดาวทิพย์แห่งโหรสยาม
    เกตุดาวทิพย์แห่งโหรสยาม
    โดย ภารต ถิ่นคำ


    ในการศึกษาโหราศาสตร์ในระบบต่างๆนั้น จะมีจุดร่วมกันในเรื่องดาวเคราะห์ และจักรราศี ไม่ว่าจะเป็นระบบราศีคงที่ ที่เราเรียกว่า ระบบนิรายณะ เช่นโหราศาสตร์ไทย และอินเดีย และระบบราศีเคลื่อนที่ ซึ่งเรียกกันว่า ระบบสายนะ ซึ่งใช้กันในโลกตะวันตกซึ่งต่อมาเราเรียกระบบนี้ว่า โหราศาสตร์สากล ซึ่งทั้ง 2 ระบบนี้มีค่าต่างกัน เรียกว่า อายนางศะ ซึ่งค่านี้เปลี่ยนแปลงไปแต่ละปี ปัจจุบัน มีค่าอยู่ประมาณ 23 องศาเศษ

    ในวิชาโหราศาสตร์สากลเอง มีดาวอยู่ดวงหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจุดอุปราคา หรือจุดคราส ซึ่งเรียกกันในภาษาโหราศาสตร์ว่า ราหู ซึ่ง ความจริงแล้ว มิใช่เป็นดาวแต่เป็นปัจจัยทางดาราศาสตร์ มีปรากฏการณ์ ให้เห็นเมื่อมีฉากมาบังเช่น แสงอาทิตย์ผ่านมาโลกโดยมีดวงจันทร์มาบัง และมีโลกเป็นจอรับเงานั้น และมีทั้งจันทรุปราคา และสุริยุปราคา

    พอพ้นระยะเวลาที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก อยู่ในแนวระนาบเดียวกันแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้ ปัจจัยในทางดาราศาสตร์นี้ โหราศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ร่วมกันกับดาราศาสตร์ ก็นำปรากฏการณ์นี้ มาใช้อย่างกลมกลืน

    วิชาโหราศาสตร์ยูเรเนียน ก็เป็นสาขาหนึ่งของโหราศาสตร์สากล นอกจากจะแตกต่างกันในเชิงการใช้ จุดสะท้อน และ ศูนย์รังสีดาวแล้ว จุดเด่นอีกประการหนึ่งคือ มีการใช้ดาวทิพย์ ในการพยากรณ์ ดาวทิพย์ที่ว่า มีทั้งหมด 8 ดวง ได้แก่ คิวปิโด ฮาเดส ซีอุส โครโนส อาพอลลอน แอตเมตอส วัลคานุส และโปไซดอน

    ดาวทิพย์ดังกล่าว ยังไม่มีรายงานอย่างแท้จริง ทางดาราศาสตร์อย่างเป็นทางการว่าค้นพบแล้วหรือมีอยู่จริง แต่เป็นการค้นพบปัจจัยที่มีอิทธิพลในทางโหราศาสตร์ ซึ่งเห็นได้ชัด จนสามารถคำนวณทำเป็นวงโคจร ซึ่งมีอัตราการโคจรที่แน่นอน ซึ่งดาวทิพย์ดังกล่าวค้นพบโดยปรมาจารย์ยูเรเนียนชาวเยอรมัน Alfred Witte และ คณะสานุศิษย์

    ปัจจัยทางดาราศาสตร์ซึ่งยังไม่มีตัวตนในทางฟิสิกส์ แต่มีปรากฏการณ์แสดงอิทธิพลให้ผลรุนแรงเป็นที่ประจักษ์ชัด จึงเป็นที่มาของปัจจัย ในการนำมาใช้ในการพยากรณ์ได้ทั้งสิ้นและจากสถิติก็ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ

    มีปัจจัยที่เรียกว่าคราส หรือ ราหูนั้น ในโหราศาสตร์สากล ก็มีจุดซึ่งถือเป็นปัจจัยที่อยู่ตรงกันข้าม 180 องศาของราหู เรียกกันในภาษาไทยว่า เกตุ ภาษาอังกฤษ ราหู ใช้ Node ส่วนเกตุในที่นี้เรียกว่า เกตุสากลหรือ AntiNode

    ปัจจัยทางโหราศาสตร์ที่กล่าวเกริ่นมาแต่ต้นนั้น เป็นการค้นพบโดย ชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะทางประเทศทางแถบทวีปยุโรป และวิชาโหราศาสตร์ยูเรเนียนที่ค้นพบโดยชาวเยอรมัน

    แต่ยังมีปัจจัยอีกตัวหนึ่ง ที่ใช้กันเฉพาะในโหราศาสตร์ไทย ชื่อเดียวกันและมีที่มาจากคราสราหูเดียวกันกับโหราศาสตร์สากล เพียงแต่มีวิธีคิดที่ต่างกัน เพียงเฉพาะมีปรัชญาในการค้นพบอย่างเดียวกัน คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในคาบเวลาที่คงที่ ใช้ในการคำนวณหาอนุกรมการเกิดปรากฏการณ์อุปราคาเช่นเดียวกัน แต่ล้ำลึกซับซ้อนกว่า อีกทั้งให้ผลในการพยากรณ์ที่รุนแรงกว่าของสากล เรียกว่า ค้นพบจากวิธีการทางคณิตศาสตร์ย้อนหลังไปเมื่อ เกือบ 200 ปีก่อน

    เพื่อใช้คำนวณเพื่อทบทวนจุดคราส จากอนุกรมดาราศาสตร์ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์แห่งโลกตะวันตก โดยการใช้วิชาคำนวณของชาวเอเซีย ท้าทายภูมิปัญญา แห่งมหาอำนาจตะวันตก มีผลเป็นที่ประจักษ์ชัดตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งแสดงออกเป็นที่ประจักษ์ โดยพระปรีชาญาณของพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสยาม พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฏ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

    พระองค์ทรงค้นพบและบัญญัติ เกตุไทย ซึ่งเป็น ดาวทิพย์ทางโหราศาสตร์ แห่งสยามประเทศ ซึ่งแตกต่างจากเกตุฝรั่ง ทั้งวิธีการคิดคำนวณและพยากรณ์ ในทางคำนวณนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดในทางดาราศาสตร์เรื่อง สุริยุปราคา ที่หว้ากอ เพียงแต่ว่าพระองค์ทรงสวรรคต หลังจากนั้นไม่นาน แต่ก็ทรงทิ้งร่องรอยการคำนวณนี้ไว้ให้ใช้ในปฏิทินโหราศาสตร์หลวง เพื่อให้อนุชนเหล่าโหรานุโหรรุ่นหลังเป็นมรดกทางวิชาการให้ค้นคว้าสืบมา

    แต่นักโหราศาสตร์ที่เรียนโหราศาสตร์สากลหรือแม้แต่โหราศาสตร์ไทยเอง ปัจจุบันก็แทบจะใช้ เกตุพยากรณ์อย่างไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน หรือยังไม่ครบถ้วนในทางปรัชญาทั้งที่มาและข้อมูลทางดาราศาสตร์ ยิ่งนักโหราศาสตร์สากลหรือยูเรเนียนด้วยแล้ว ก็ไม่รู้จักเมื่อไม่รู้จักก็ไม่ได้นำมาใช้ทำให้เสียโอกาสในการใช้เป็นปัจจัยในการพยากรณ์ในบางเรื่องตามคุณสมบัติของเกตุไทยที่ลึกซึ้งอย่างน่าเสียดาย เพราะบางท่านรู้จัก และใช้ดาวจันทร์กาฬ หรือ Lilith มากกว่า เกตุไทย ด้วยซ้ำไป

    บทความนี้ผู้เขียนมิได้ มีจุดมุ่งหมายทางชาตินิยม หลงแต่ของตนดีโดยมิได้พิจารณาทางวิทยาการสากลแต่อย่างใดไม่ เพียงแต่อยากจะอธิบายสานต่อภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ให้กลับมาเป็นที่ประจักษ์ชัดในยุคปัจจุบัน ให้ได้ทราบถึง การค้นพบที่ร่วมสมัย มีการสานต่อทางภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น มิให้ขาดตอน พัฒนาวิชาการเพื่อเป็นมรดกร่วมสมัยทางภูมิปัญญา ว่าคนไทย ก็มีความสามารถค้นพบ ดาวทิพย์ทางโหราศาสตร์ของดาวเคราะห์รอบใน คือ เกตุไทย ขณะที่ ฝรั่งชาวเยอรมัน ค้นพบ ดาวทิพย์รอบนอก คือ ดาวทิพย์ทั้ง 8 ของยูเรเนียน

    เราเองก็ไม่อาจจะสันนิฐานว่าพระองค์ทรงศึกษาเรื่องการคำนวณอุปราคามาจากไหน เพราะข้อมูลประวัติศาสตร์ทางด้านนี้มิได้บ่งชัดแจ้ง ได้แต่สันนิฐานจากพระราชประวัติว่า พระองค์คงศึกษามาตั้งแต่ยังทรงผนวช ในรัชสมัยของสมเด็จพระเชษฐาธิราช รัชกาลที่ 3 จากพวกหมอสอนศาสนา เช่นประมุขมิซซัง ปาเลอกัวร์ หรือ หมอสอนศาสนา ฝ่ายโปรเตสแตนท์ มีหลักฐานเรื่อง หอสมุดดาราศาสตร์ และหอดูดาว ที่พระนครคีรี เขาวัง จังหวัดเพชรบุรี พระองค์ทรงมีตำรับตำราทางดาราศาสตร์อยู่มาก อีกทั้งทรงทราบถึงวิชาการคำนวณทางคัมภีร์สุริยยาตร์ จากพวกกรมโหร อย่างแตกฉานถึงเหล่าที่มาของเลขเกณฑ์ ทั้งหลาย

    ในทางตำรับตำราดาราศาสตร์ของฝรั่งสมัยนั้น มักจะกำหนดวงรอบของอนุกรมอุปราคา หรือราหูกุมอาทิตย์ เรียกกันว่า จักราศีวัฏจักรซารอส ( Saros ) ซึ่งก็คือ ตำแหน่งราหูในจักราศีที่เกิดปรากฏการณ์ สุริยุปราคาสำคัญๆ ในแต่ละครั้ง ภายในวัฏจักรซารอส หนึ่งๆ มีระยะเวลา 6,585.31934 วัน หรือ 18 ปี 11 เศษ 1/3 วัน ซึ่งในแต่ละต้นวัฏจักรซารอสใหม่ มีระยะเชิงมุมต่างกัน ประมาณ 11 องศา และครบรอบจักราศี 360 องศา ประมาณ 33 วัฏจักรซารอส หรือประมาณ 595 ปี

    ราหูกับอาทิตย์ จะกุมกันทุกรอบ 344 วัน ที่เรียกกันว่า คราสอาทิตย์

    เกตุ โคจร 1 รอบจักราศี 679 วัน เร็วกว่า ราหู 10 เท่า

    อัตราดังกล่าวเมื่อเทียบกับ จันทร์ ในระบบเก่าแบบไทยเดิม จันทร์โคจรครบ 1 นักษัตร จะทำให้เกตุ โคจรไปได้ 1 นักษัตร หรือ เกตุ เดินได้ 56 วัน เท่ากับราหู เดินได้ 567 วัน

    มีการสังเกตว่า ณ จุดที่ ราหูและเกตุ กุมกันสนิทนั้น ในจักราศีใดราศีหนึ่งก็ตาม

    นับจากนั้นไป 753 วัน เกตุและราหูจะมากุมกันอีกครั้งหนึ่ง ห่างจากจุดเดิมไป 40 องศา หรือ 1 ราศี 10 องศา ย้อนจักราศี และการกุมกันของเกตุและราหูในแต่ละครั้งนั้น ถ้าสังเกตจากตำแหน่งของ อาทิตย์ จะเห็นได้ว่า อาทิตย์จะเคลื่อนที่ ออกจากตำแหน่งเดิมไป 24 องศา ในอัตราที่คงที่

    นอกจากนี้ ภายในรอบ 6 ปี ราหูกุมเกตุ ทุกๆรอบ 6 ปี จุดนี้จะอยู่ในราศี ธาตุไฟ อันได้แก่ เมษ สิงห์ และธนู

    ตามคัมภีร์สุริยยาตร์ การหาว่าเกตุมีตำแหน่งสมผุสเท่าใดนั้น ต้องหาจาก มัธยมเกตุ ซึ่งกำหนดค่ามาจาก ตั้งหรคุณเถลิงศก บวก กับสุรทิน ได้ลัพธ์ออกมาเป็น หรคุณประสงค์ แล้วเอา 344 ลบ ได้เท่าใดเอา 679 หาร เศษเป็น พลพระเกตุ


    ตั้งพลพระเกตุลง เอา 12 คูณ แล้วเอา 679 หาร ได้ผลลัพ์เป็นราศี เศษ นั้นเอา 30 คูณ เอา 679 หาร ลัพธ์ที่ได้เป็นองศา เศษเอา 60 คูณ เอา 679 หาร ลัพธ์เป็น ลิบดา ..ผลลัพธ์ที่ได้..เรียกว่า มัธยมพระเกตุ

    ให้ตั้ง 360 องศา หรือ 12 ราศี หรือกระจายออกมาเป็น 11 ราศี 29 องศา 60 ลิบดาลง เอา ค่ามัธยมเกตุที่ได้ดังกล่าวมาลบ เหลือเศษ เท่าใด เป็นค่าของสมผุส พระเกตุ...ออกมาเป็น ราศี องศา ลิบดา ถ้าเราปรับเอาค่า อายนางศ์ มาบวก ก็จะได้ค่าของเกตุ ในระบบโหราศาสตร์สากล

    เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวเลขคงที่ ที่นำมาคำนวณหาเกตุนั้น ก็คือตัวเลขที่นำมาจากการสังเกตของฝ่ายดาราศาสตร์ทั้งสิ้น มิใช่ตัวเลขที่ไม่มีที่มาที่ไปไม่ แสดงถึงพระอัจฉริยภาพทางดาราศาสตร์การคำนวณที่ทรงประยุกต์ทั้งฝ่ายคัมภีร์ไทยและตำราฝรั่งอย่างแตกฉานถ่องแท้ ชนิดบังคับได้ใช้เป็น !!

    ดวงไทยนับแต่โบราณมา มี ดาวแค่ 8 ตัวรวมราหู แต่นับจากในรัชสมัยของพระองค์ ทรงนำเอาดาวเกตุ และมฤตยูหรือยูเรนัส ดาวเคราะห์ดวงใหม่ ที่ค้นพบในยุคร่วมรัชสมัยของพระองค์ เข้ามาใช้อย่างกลมกลืน จึงถือว่าเป็น นวัตกรรมใหม่ ทางโหราศาสตร์ไทย สมกับที่เป็นหนึ่งในพระบรมครูในทางโหราศาสตร์ไทย เช่นเดียวกับ พญาลิไท พระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัยผู้ตัดศักราชเกณฑ์เลข สรุปอัปป์ และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ผู้ทรงชำระคัมภีร์ทักษาพยากรณ์ ออกมาเป็นบทพระนิพนธ์วรรณกรรมเรื่อง ลิลิตทักษาพยากรณ์ ซึ่งทั้ง 3 พระองค์ โหรรุ่นต่อมาได้ใส่พระนามไว้ให้มีอยู่ในโองการไหว้ครูโหรของไทย

    ในการนำไปใช้ในการพยากรณ์ เนื่องจากเกตุ เกี่ยวข้องกับการคำนวณอุปราคา คือ อาทิตย์ จันทร์ ราหู และคงที่ในราศีธาตุไฟ เกตุ จึงมีค่าในทางปรัชญาโหราศาสตร์ เกี่ยวกับธาตุไฟ แต่เนื่องจากเกตุลึกลับ ยิ่งกว่าราหูเพราะ ราหูยังเห็นได้ว่ามีตามอนุกรมเวลาเมื่อมาปรากฏในดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ ให้เห็น แต่เกตุ มิใช่

    ดังนั้นเกตุจึงเป็นเป็นอรูป ซึ่งนับเป็นวิญญาณธาตุ มีอยู่จริง แสดงผลได้ แต่ไม่ปรากฏตัว มีคุณสมบัติทาง ร้อนใน ไฟแรง ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ไหวพริบ ปฏิภาณ ความทรงจำชั้นเลิศ ซึ่งเป็นคุณสมบัติฝ่ายดี


    ส่วนในฝ่ายร้ายนั้น ได้แก่ วิตถาร ตกยุค งมงาย ขวางโลก มิจฉาทิฏฐิ ไสยศาสตร์ การหลอกลวง ประสบการณ์พิศดาร ของแปลก ของมีตำหนิ ฯลฯ

    ตัวแปรอีกตัวหนึ่ง คือ ดาวที่ส่งผลให้เกตุ แสดงออกทางการแปรปรวน จุดนี้คือ พระเคราะห์ดวงใน คือ พุธ และศุกร์ เนื่องจากอยู่ใกล้ อาทิตย์ มีอัตราการโคจรที่บังคับองศา ของระยะห่างจากดวงอาทิตย์ จึงมีผลต่อการแสดงตัวของเกตุ ซึ่งไปช่วย ราหู จับอุปราคา

    ท่านปรมาจารย์โหราศาสตร์ไทยอีกผู้หนึ่งคือ ท่านพลูหลวง ได้เคยเขียนเอาไว้เกี่ยวกับเกตุไทย ว่ามีผลต่อดาวพุธในเชิงคู่ศตรู ทีเดียว โดยท่านสังเกตว่าดาวพุธจรกุมเกตุของเจ้าชะตา จะทำให้ หลงทาง เดือดร้อนใจ ประสบกับอุปสรรค ในเรื่องความหลงลืม อย่างชนิดไม่รู้ตัว ทำให้ความสามารถของพุธสูญเสีย อย่างไม่คาดคิด เกิดความประทับใจกับประสบการณ์นั้นอย่างยากที่จะลืม

    นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับการพยากรณ์ที่นำดาวเกตุ มาประยุกต์ใช้ในโหราศาสตร์สากล และยูเรเนียน ที่ผู้เขียนแอบนำมาศึกษาใช้เป็นการส่วนตัว ซึ่งให้ผลลัพธ์ เป็นที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง ซึ่งคงจะมีโอกาสนำมาเผยแพร่ให้ผู้ที่สนใจทราบต่อไป เพื่อ เรื่องของเกตุ ดาวทิพย์แห่งโหรสยาม น่าจะจุดประกายให้ผู้ที่สนใจค้นคว้าโหราศาสตร์ไม่จำกัดอยู่ฝ่ายใด ให้ได้ค้นคว้าต่อ เนื่องจากผู้เขียนเห็นว่า ไม่ควรมองข้ามเกี่ยวกับที่มา และสามารถใช้คุณสมบัติที่สำคัญหลายๆประการของเกตุ ซึ่งเป็นผลงานภูมิปัญญา เกี่ยวกับดาวทิพย์แห่งโหรสยาม ให้โลกได้รับรู้ถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยต่อไป

    ( เล่าประสบการณ์ของคุณให้เรามั่งสิ : กระดานโหรา )
    astroclassical.com
     
  4. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
  5. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [​IMG]

    เมื่อเดินกรกฎาคม ที่ผ่านมา
    มีข่าวฮือฮาในเมืองจีนถึงวีรกรรมแม่ลูกอ่อน ที่พุ่งตัวรับเด็ก 2 ขวบ ตกตึก10ชั้น ให้รอดตายปาฏิหาริย์

    ที่ใกล้เมืองหังโจว แม่ลูกอ่อนวัย 31 ปี นาม วู จูปิง ผ่านมาเห็นเหตุการณ์หนูน้อยชื่อ หนิว หนิว กำลังห้อยต่องแต่งกำลังจะตกจากหน้าต่างอพาร์ตเมนต์ และเมื่อเด็กร่วงตกลงมาจากตึก เธอก็รีบสละรองเท้าส้นสูง วิ่งมารับร่างของหนูน้อย พร้อมทั้งยืดแขนสุดตัวไม่ให้ร่างกายเด็กตกกระแทกพื้น ทำให้เด็กน้อยรอดชีวิตแค่บาดเจ็บเล็กน้อยแต่ตัวเธอเองบาดเจ็บจนสิ้นสติ และแขนซ้ายหัก

    แม้หมอจะแจ้งคุณแม่วีรสตรีรายนี้ว่า สิ่งที่เธอได้ทำไปอาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ หากร่างเด็กหล่นกระแทกศรีษะของเธอ แต่เธอกลับสัมภาษณ์ในภายหลังว่า ตนไม่รู้สึกเสียใจต่อการช่วยเหลือหนูน้อยจนได้รับบาดเจ็บเลย

    เธอตอบว่า ทันที่เธอเห็นเด็กห้อยตรงหน้าต่าง เธอนึกถึงครั้งที่ลูกวัย 7 เดือนของเธอเคยตกจากเก้าอี้จนปากแตก และเธอตัดสินใจต้องช่วยเด็กให้ได้เท่านั้น

    ส่วนสาเหตุที่ทำให้เด็กตกลงมาจากตึก เกิดจากคุณยายวัยชราออกไปทำธุระข้างนอก และทิ้งให้อยู่เพียงลำพังบนอพาร์ตเมนต์ชั่น 10 และเด็กคงซนตามประสาเด็กจนเกิดเหตุระทึกขวัญดังกล่าว

    แอดมินขอปรบมือให้กับหัวใจแม่ที่ยิ่งใหญ่

    cr.บุคคลสำคัญของลูก


    https://www.facebook.com/photo.php?...6996350.104071.429873190357625&type=1&theater
     
  6. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [​IMG]

    ผม ศักดาคม ได้รับการมอบหมายจาก หลวงพี่สุรจิต ให้ถ่ายรูปพระพุทธรูปที่สำคัญของวัด งานศิลปะต่างๆ และป้ายต่างๆ รวมถึงสิ่งปลูกสร้างบริเวณภายในและภายนอก วิหารหลวงปู่ใหญ่ และโบสถ์เก่า ของวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อเก็บเป็นหลักฐานในการบรูณะแซ่มแซมในภายภาคหน้า ในช่วงเวลาสามเดือนที่ผ่านมา ผมได้รับมอบหมายให้ถ่ายรูป หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ อีกครั้งเพื่อเป็นแบบในการหล่อพระ หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ หน้าตัก ๖ ศอก (๓ เมตร) ประดิษฐานที่หน้าบันทั้งสองด้าน บริเวณ วิหารใหญ่หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ ที่กำลังจะสร้างครอบวิหารหลังเดิม (วิหารหลวงปู่ใหญ่) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่จะถึงนี้
    วันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ผมได้มาถวายงานที่ทำส่วนหนึ่งกับหลวงพี่สุรจิต และขออนุญาตถ่ายรูปเพิ่มเติม เป็นรูปถ่ายองค์หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์เต็มองค์ ในวิหารหลวงปู่ใหญ่ พอถ่ายเสร็จก็เดินไปกราบ หลวงพ่อพระปราโภ และ หลวงพ่อพระคามวาสี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญในโบสถ์เก่าที่อยู่ข้างกัน หลังจากนั้นผมก็เดินออกมานอกโบสถ์ พร้อมกับหันขวาขึ้นไปมองบนฟ้า แล้วมือของผมก็ยกขึ้นไหว้ พอได้สติก็คิดในใจว่า เราคงจะบ้าไปเสียแล้ว เห็นท้องฟ้าก็ไหว้ แต่พอมองท้องฟ้าอีกที ผมเห็นกลุ่มเมฆ สวยแปลกตา และมีแสงสีขาวนวลเย็นตา ลอดออกมาจากกลุ่มเมฆ ผมรีบหยิบกล้องขึ้นมาเล็ง หมุนเลนส์ให้ชัด แล้วก็กดถ่าย พอดูรูปที่ถ่าย ภาพที่เห็น ทำผมถึงกับดีใจมากถึงมากที่สุด เพราะจิตรู้ทันทีว่า นี่คือ "หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์" ในภาพที่ถ่ายมีแสงพระอาทิตย์ทรงกลด ล้อมรอบ ทั้งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เห็นแต่เพียงแสงสีขาวนวลผ่านออกมาจากกลุ่มเมฆเท่านั้น
    ผมดีใจมากพร้อมกับยื่นรูปในกล้องให้แม่บ้านคนหนึ่งที่เพิ่งจะเคยไปวัดท่าซุงครั้งแรกในชีวิตดู ถามเขาว่าพี่เห็นอะไรมั้ย เขาบอกเลยว่า หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ไง ผมก็ลองถามว่าไหนๆ ท่านอยู่ที่ไหน เขาก็ชี้ที่เดียวกับที่ผมเห็น ผมดีใจมาก ผมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง เห็นท่านประทับนั่งอยู่บนกลุ่มเมฆแล้วก้มมามองที่ผม..ท่านยิ้ม! ผมก็ขอพระบรมราชานุญาตถ่ายรูปท่านอีกครั้งเป็นครั้งที่สอง แล้วผมก็พยายามจะถ่ายให้ติดคู่กับยอดโบสถ์เก่าวัดท่าซุง เพื่อให้รู้ว่า ผมถ่ายที่ตรงนี้ ไม่ใช่ท้องฟ้าที่อื่น แต่เป็นท้องฟ้าเหนือวัดท่าซุงแห่งนี้เท่านั้น ท่านปรากฏให้เห็นประมาณหนึ่งนาทีแล้วท่านก็หายไป ด้วยความตื่นเต้นก็ไม่ได้ถ่ายต่อ รีบวิ่งเข้าวิหารหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ ไปให้คุณอ้อย เจ้าหน้าที่ประจำวิหารได้ดูภาพที่ผมถ่าย ผมถามว่า พี่ๆ พี่เห็นอะไรมั้ย คุณอ้อยก็ตอบทันที “หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ไง สวยมาก ขอด้วยยย”
    เราต่างดีใจกันมาก ที่ท่านเมตตาสงเคราะห์ให้พวกเราเห็นเป็นกำลังใจในครั้งนี้ และ ดลใจให้ผมมีสติ หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายได้เป็นหลักฐานว่า ท่านคอยปกป้องดูแล พวกเราอยู่ตลอดเวลา สาธุ สาธุ สาธุ

    ศักดาคม ลีนะวัฒนา, PhD Candidate
    Lecturer, Assumption University
     
  7. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    เมื่อคืนวันที่20 ธค. 2555 ได้เจอชาวเม็กซิกัน (คุณมาจากอารยธรรมมายันล่ะสิทำนองนั้นครับ) แถวปิ่นเกล้า
    สอนภาษาอังกฤษ if clause conditinal ว่า
    ถ้าโลกแตกผมคงไม่มีที่อยู่ ครับ ถ้าจำไม่ผิด ^_^

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2012
  8. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [​IMG]

    [​IMG]

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระโอวาทวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2556 ความว่า ขออำนวยพรสาธุชนทั้งหลาย ดิถีขึ้นปีใหม่ได้เวียนมาถึงอีกวาระหนึ่ง คือวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2556 นับเป็นเทศกาลที่เป็นที่ปีติยินดีของ คนทั่วไป เพราะอย่างน้อยก็ยินดีที่ได้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยมาด้วยดีอีกปีหนึ่ง และก็หวังใจว่าจะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยและดียิ่งๆ ขึ้นต่อไปอีก ในปีใหม่จะมาถึง ฉะนั้น เทศกาลปีใหม่จึงถือกันว่าเป็นเทศกาลแห่งความสุข สุขใจกับอดีตที่ผ่านมาและสุขใจกับอนาคตที่กำลังจะมาถึง จึงได้พากันทำกิจกรรมแห่งความสุข มีการทำบุญตักบาตร และอำนวยอวยพรแก่กันตามประเพณีนิยม

    พรที่ทุกคนปรารถนา น่าจะเป็นพรสี่ประการที่นิยมเรียกกันว่า จตุรพิธพร คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ซึ่งหมายถึง ความมีอายุยืน มีผิวพรรณผ่องใสงดงาม มีความสุขด้วยสมบัติคือพรั่งพร้อมด้านต่างๆ และมีพละกำลัง ทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา กำลังทรัพย์ และกำลังพวกพ้อง

    อันที่จริง การให้พรกันนั้น ย่อมเป็นที่ทราบกันว่า คือการให้ความมีมิตรจิตมิตรใจต่อกัน มิใช่ใครจะหยิบยื่นพรเหล่านี้ให้แก่กันได้เพียงแต่พูด หรือกล่าวคำอวยพรแก่กันเท่านั้น ฉะนั้น การให้พรกัน จึงหมายถึงการแสดงออกซึ่งความปรารถนาดีต่อกัน เพียงเท่านี้ ก็เป็นสิ่งที่เกื้อกูลแก่ความสุขทางจิตใจเป็นอันมากด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทั้งเป็นสิ่งที่เกื้อกูลให้เกิดพรทั้งสี่ได้จริง

    ตรงกันข้าม การแสดงออกซึ่งความปรารถนาร้ายต่อกัน ย่อมเป็นเครื่องบั่นทอนพรต่างๆ มีอายุเป็นต้น ซึ่งมิได้มีความหมายแต่อายุของชีวิตคน แต่รวมไปถึงอายุของกิจการ บ้านเมือง และประเทศชาติด้วย เพราะคนเรานั่นเองเป็นผู้ใส่ชีวิตจิตใจให้แก่กิจการ บ้านเมือง และประเทศชาติ ถ้าอายุของคนสั้น อายุของกิจการ บ้านเมือง ประเทศชาติ ก็สั้น ถ้าจิตใจของคนผ่องใสเป็นสุข จิตใจของกิจการ บ้านเมือง ประเทศชาติ ก็ผ่องใสเป็นสุข

    ความขาดพรในใจ จึงหมายถึงขาดความปรารถนาดีต่อกัน ขาดความซื่อสัตย์ ความข่มใจ ความอดทน ความเสียสละ และความเคารพนับถือกัน ความขาดพรในใจต่อกัน จึงเป็นเหตุทำลายอายุ วรรณะ สุขะ พละ ไม่เฉพาะแต่ของคน แต่รวมไปถึงทำลายอายุ วรรณะ สุขะ พละ ของกิจการ บ้านเมือง และประเทศชาติด้วย

    ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2556 นี้ จึงขออำนวยให้สาธุชนทั้งหลาย จึงมีพรและให้พรแก่กันและกัน เพื่อความเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ของสรรพชีวิต ตลอดถึงสรรพกิจการและชาติบ้านเมืองตลอดไป ขออำนวยพร


    http://palungjit.org/threads/สมเด็จพระสังฆราชฯ-ประทานพระโอวาทปีใหม่-2556-a.403697/
     
  9. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
  10. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [​IMG]
    ZERNUXGER: พิพิทธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

    [​IMG]
    kruchanvit1: ผู้สืบสายแห่งพระพุทธเจ้าในอนาคตวงศ์


    [​IMG]
    Home

    ผมเคยลงภาพทำนองนี้ไว้ในกระทู้เกี่ยวกับภัยพิบัติเมื่อเร็วๆนี้ พอดีมีภาพยนตร์ไซไฟในโลกคู่ขนาน เผื่อท่านใดอาจจะสนใจ อาจเป็นการประเทืองปัญญาได้บ้างครับ

    [​IMG]
    Upside Down นิยามรักปฎิวัติ 2 โลก


    อดัม ชายหนุ่มธรรมดา ใช้ชีวิตเรียบๆ แค่ให้ผ่านไปวันๆ แต่เรื่องโรแมนติกของเขานั้นไม่ธรรมดา เพราะในความทรงจำของเขามี “อีฟ” หญิงสาวจากอีกโลกด้านบนที่เกินเอื้อม ผู้ที่เคยพบกันในวัยเด็กเพียงครั้งเดียว ความรักที่เป็นไปไม่ได้ไม่ว่าจะอาศัยตัวช่วยอย่างวิทยาศาสตร์หรือกฏใดๆมาเกี่ยวข้อง

    อดัม(จิม สเตอร์เกส) เด็กหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีชีวิตเรียบง่ายอาศัยอยู่ในจักรวาลอันบิดเบี้ยว เมื่อวิถีแห่งแรงโน้มถ่วงได้ทำให้โลกถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน มีเพียงท้องฟ้าเบื้องบนเท่านั้นที่มาบรรจบเข้าหากัน ซึ่ง อดัม อาศัยอยู่ในโลกเบื้องล่างที่ๆเป็นของคนชนชั้นกรรมกรอาศัยอยู่ อดัม มีเพียงความทรงจำอันเลือนลางในช่วงวัยเด็ก เท่านั้นที่เขายังจำได้แม่นยำคือรักแรกพบของเขากับ อีเด็น(คริสเท่น ดันทส์) มันเป็นความฝั่งใจที่เขาไม่เคยลืมและเขารู้สึกได้เลยว่า อีเด็น เป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวผู้น่ารักจิตใจดีที่มาจากโลกเบื้องบน เหตุผลนี้เองที่ทำให้เขายังคงติดอยู่กับสถานที่แห่งหนึ่งที่เคยทำให้เขาได้ เจอกับเธอ จนกระทั่งความบังเอิญที่ได้ถูกกำหนดให้ อดัม และ อีเด็น ได้พบกันอีกครั้ง แต่ด้วยเพราะกฎเหล็กแห่งโลกอันพิศดารนี้ห้ามไม่ให้คนทั้งคู่ได้พบรักกัน ข้อห้ามของแรงดึงดูดและกฎหมายอาจจะเป็นแค่เพียงกรวดหนามเล็กๆ ที่รอให้เขาก้าวข้ามผ่านมันไป เพื่อความรักที่ยิ่งใหญ่

    สุดท้ายความรักของพวกเขาจะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้บนโลกแสนประหลาดนี้ หรือไม่? พลังแห่งความรักจะสามารถทลายกฎทุกๆ อย่างแม้แต่กฎของจักรวาลได้หรือไม่?? เตรียมติดตามได้ในโรงนะ


    Upside Down นิยามรักปฎิวัติ 2 โลก ดูหนัง ข้อมูลหนัง เนื้อเรื่องย่อหนัง | Mthai Movie
     
  11. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [​IMG]

    โตโยต้า ร่อนเอกสารแจงกรณีเพลิงไหม้คลังสำรองอะไหล่ย่อยที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ประเมินความเสียหายเบื้องต้น 50 ล้านบาท

    นายไพโรจน์ หิรัญเรืองรอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเซียแปซิฟิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (TMAP-EM) ชี้แจงกรณีเพลิงไหม้คลังสำรองอะไหล่ย่อยของบริษัทว่า บริเวณที่เกิดไฟไหม้ คือ คลังสำรองอะไหล่ย่อยของบริษัท มีพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร เพื่อเก็บสำรองน้ำมันเครื่อง (Engine oil) สำหรับรอส่งมอบให้กับผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า โดยมีปริมาณการสำรองเพียงแค่ 1 วัน เพื่อส่งแบบวันต่อวันเท่านั้น

    สำหรับสิ่งที่ได้รับความเสียหายนอกเหนือจากตัวอาคาร ยังมีถาดรองสำหรับขนส่งอะไหล่ (Pallet) น้ำมันเครื่อง และรถยก (Fork Lift) จำนวน 10 คัน มูลค่าความเสียหายเบื้องต้น ประมาณ 50 ล้านบาท ทั้งนี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

    สำหรับขั้นตอนการควบคุมเพลิง ได้ใช้น้ำในดับเพลิงเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ใช้สารเคมีหรือโฟมฉีด และน้ำที่ใช้ดับเพลิงจะกักไว้ภายในโรงงานทั้งหมดเพื่อผ่านกระบวนการบำบัดน้ำเสียภายในก่อน อย่างไรก็ตาม โตโยต้าได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจังหวัดฉะเชิงเทรา ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปรับฟังความคิดเห็นและปัญหาที่อาจส่งผลกระทบกับผู้อยู่อาศัยในชุมชนโดยรอบ ซึ่งโตโยต้ายินดีที่จะรับผิดชอบดูแลอย่างดีที่สุด

    ด้าน นายวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้สร้างผลกระทบต่อการผลิตของโรงงานบ้านโพธิ์ และการส่งอะไหล่ให้กับผู้แทนจำหน่าย ซึ่งวันนี้โรงงานบ้านโพธิ์ ยังเปิดการผลิตตามปกติ รวมถึงอะไหล่ต่างๆ สามารถส่งมอบได้ตามปกติ


    โตโยต้าประเมินไฟไหม้คลังอะไหล่ เสียหาย 50 ล้าน ข่าวต่างประเทศ ข่าวอาชญากรรม ข่าวสังคม ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการเมือง ข่าวด่วน ข่าว ข่าวสด ข่าววันนี้ สลากกินแบ่งรัฐบาล ข่าวดารา ข่าวบันเทิง : ครอบครัวข่าว 3

    http://palungjit.org/threads/ประเทศ...นายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1496#post7175351
     
  12. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    วิถีชีวิตภูฏาน ศิลปวัฒนธรรมภูฏาน
    http://www.oceansmile.com/Bhutan/Lifestyle.htm

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    • วิถีชีวิตชาวภูฏาน จารีตประเพณีความเชื่อ ศิลปะวัฒนธรรมของภูฏาน
    • กุสุซัมโปดรุกยุล กุสุซัมโป แปลว่า สวัสดี ดรุกยุล คือ ภูฏาน กุสุซัมโปดรุกยุล “สวัสดีภูฏาน”..
    • ด้วยเหตุที่ชาวภูฏานต่างมีวิถีชีวิตที่ยึดมั่นในพุทธตันตระ-วัชรยาน วิถีชีวิตประจำวันของชาวภูฏานจึงมีศาสนานำทาง จนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ ชาวภูฏานยังไม่นับถือเงินตราเป็นพระเจ้า และส่วนมากยังมีฐานะยากจน กระแสบริโภคนิยมจึงยังคืบคลานไปไม่ถึง โดยเฉพาะในชนบท แทบทุกคนทั้งชาย-หญิงในภูฏานล้วนมีสันติสุขและรักสันโดษ มีความสุภาพและอ่อนน้อมถ่อมตน มีจิตใจโอบอ้อมอารี ยิ้มแย้มแจ่มใสและเป็นมิตรต่อผู้คนที่มาเยือนภูฏาน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติอย่างหนึ่งของภูฏาน
    • การกราบไหว้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตัวของชาวภูฏาน
    • การไหว้ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตัวของชาวภูฏานเป็นเอกลัษณ์ที่เด่นชัดของชาวภูฏาน ซึ่งการกราบไหว้เป็นวัฒนธรรมพื้นฐานของชาวภูฏานมาเนิ่นนานแล้ว เพราะว่าประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ ไม่ว่านิกายใด มักจะมีวัฒนธรรมการกราบไหว้ติดมาเป็นมรดกจากอินเดีย หากแต่การกราบไหว้ในแต่ละประเทศอาจจะมีลักษณะท่าทีที่แตกต่างกันออกไป
    • การไหว้ผู้ใหญ่ของชาวภูฏานจะมีลักษณะนอบน้อมถ่อมตนจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของชาติไม่แพ้การไหว้ของไทย แต่การไหว้พระพุทธรูปหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มีลักษณะใกล้เคียงกับทิเบต คือ การไหว้ในแบบน้อมกายแตะพื้นถึงครึ่งตัว หรือแตะพื้น 7 จุด คือ เท้า เข่า มือ และหน้าผาก
    • โชร์เต็นและมณฑล
    • โชร์เต็น (สถูปเจดีย์) ในเขตหิมาลัยนับถือกันว่าเป็นสัญลักษณ์แทนหัวใจของพระพุทธ โชร์เต็นจึงมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ชาวภูฏานจะทำทักษิณาวรรต (การเดินเวียนขวา) รอบโชร์เต็นเพื่อแสดงออกซึ่งศรัทธาปสาทะ และเพื่อสร้างสมบุญกุศกลให้กับตนเอง
    • ตำนานทางพุทธศาสนาระบุว่า การสร้างสถูปเจดีย์มีขึ้นเป็นครั้งแรกในอินเดียและสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ ซึ่งกษัตริย์จากแว่นแคว้นต่างๆ ได้รับแบ่งสรรปันส่วนไปหลังงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเสร็จสิ้นลง สถูปเจดีย์จึงได้กลายมาเป็นสถานที่แห่งการสักการะบูชานับจากนั้นเป็นต้นมา
    • จนทุกวันนี้การสร้างโชร์เต็นในเขตหิมาลัยก็ยังดำเนินอยู่ต่อไป จุดประสงค์ในการสร้างนั้นบ้างสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระอริยบุคคลท่านสำคัญ สร้างเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตาย หรือไม่ก็สร้างขึ้นเพื่อสะกดวิญญาณภูติผีปิศาจไม่ให้ออกมารังควานชาวบ้าน
    • โชร์เต็นในภูฏานมีองค์ประกอบทั้งหมด 5 ส่วน เป็นสัญลักษณ์แทนธาตุทั้งห้า ได้แก่ ฐานแทนธาตุดิน องค์ระฆังแทนธาตุน้ำ ฉัตร 13 ชั้นแทนธาตุไฟ พระอาทิตย์กับพระจันทร์แทนธาตุลม (ชาวภูฏานเชื่อกันว่า เป็นธาตุที่ห่อหุ้มจักรวาลเบื้อบนเอาไว้) นอกจากนี้ ฉัตรทั้ง 13 ชั้น ยังหมายถึงขั้นตอนสำคัญทั้ง 13 ขั้นที่่มนุษย์เราต้องฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้เพื่อให้บรรลุถึงพระนิพพาน
    • โชร์เต็นส่วนใหญ่เป็นลักษณะปิดทึบ มีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่ก็มีบ้างบางองค์ที่สร้างเป็นซุ้มประตูหรือวิหารอยู่ข้างใน (เช่นโชร์เต็นที่วัดดุงเซในพาโร และโชร์เต็นอนุสรณ์ในทิมพู) ในภูฏานมีโชร์เต็นอยู่สามแบบคือ แบบเนปาล แบบทิเบต และแบบภูฏาน
    • การสร้างโชร์เต็นมีพิธีกรรมและพิธีการต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมากมาย แต่พิธีที่สำคัญที่สุดคือพิธีการบรรจุ "ต้นไม้แห่งชีวิต" (แกนไม้จารึกบทสวดมนต์) พระพุทธรูป คัมภีร์และสมบัติทางศาสนาเอาไว้ภายในพระเจดีย์ ก่อนจัดพิธีสมโภชพระเจดีย์ขึ้นในขั้นตอนสุดท้าย การขุดกรุทำลายพระเจดีย์ถือเป็นความผิดบาปขั้นร้ายแรง
    • มณฑล (ภาษาซงคา เรียกว่า คิลคน) มณฑล คือ แบบจำลองแผนภูมิจักรวาลอันลี้ลับ มีเทพผู้เป็นใหญ่ประทับอยู่ ณ ใจกลางมณฑล ผู้ปฏิบัติธรรมด้วยการเพ่งมณฑลมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเทพองค์นั้น เทพแต่ละองค์จะมีมณฑลของตนเองซึ่งแตกต่างจากมณฑลของเทพองค์อื่น และมีพระสงฆ์เพียงไม่กี่รูปเท่านั้นที่เชี่ยวชาญด้านการวาดหรือสร้างมณฑลขึ้นโดยเฉพาะ
    • มณฑลที่พบเห็นบ่อยที่สุดเป็นภาพสองมิติวาดอยู่บนผ้าฝ้าย ประกอบด้วยวงกลมและสี่เหลี่ยมซ้อนกันหลายชั้น หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็ใช้ผงสีต่างๆ โรยให้เป็นภาพเพื่อใช้ในพิธีสำคัญบางอย่าง มณฑลสามมิติก็มีเช่นกัน ส่วนใหญ่จะหล่อขึ้นจากทองแดงชุบทอง แล้วนำมาติดไว้กับแท่นบูชา
    • หมุน “กงล้อมนตรา” ทุกวันทุกแห่งหน
    • วิถีชีวิตประจำวันของชาวภูฏาน แทบทุกคนในภูฏานล้วนต้องทำพิธีกรรมทางตันตระ-วัชระ ตั้งแต่เช้าก่อนออกจากบ้าน ระหว่างทางเดิน จนถึงที่ทำงาน แม้ตอนเดินทางกลับบ้าน และบางคนกระทำพิธีกรรมทางศาสนาทั้งเวลายืนนั่งนอน ด้วยการท่องมนต์ ทำสมาธิ นับลูกประคำและแกว่งหรือ หมุน “กงล้อมนตรา”
    • กงล้อมนตรา มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ สร้างขึ้นรายล้อมด้วยวัดหรือเจดีย์ รวมทั้งช่องทางเดิน กลางหุบเขาและในแม่น้ำลำธาร โดยกระแสน้ำจะหมุนกงล้อมนตราแทนผู้คนที่เดินผ่าน ตลอดจนถึงกล่องเล็กขนาดมือถือสำหรับสั่นภายในบริเวณบ้านหรือในที่อื่นๆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของชาวภูฏาน
    • ลักษณะของกงล้อมนตราเป็นแท่นกลมขนาดต่างๆ มีกระดาษมนตราหลายพันบทพับม้วนอยู่ข้างใน มีแกนกลางด้านล่างหมุนได้โดยรอบ ผู้คนจะเข้ามาสักการะ เดินทักษิณาวรรต ใช้มือหมุนกงล้อมนตราทุกกงล้อที่ปรากฎอยู่จนเป็นที่พอใจ นั่นเสมือนว่าได้สวดมนตราหลายพันบทและหลายพันครั้ง ขณะที่หมุนกงล้อจะท่องมนต์ว่า “โอม มณี ปัทเม หุม” มีความหมายว่า “ขออัญเชิญพระธรรมอันล้ำค่าดุจมณีมาสถิตในหัวใจอันบริสุทธิ์ดั่งดอกบัวของเรา”
     
  13. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    • ศิลปะ สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของภูฏาน
    • ศิลปะภูฏานได้รับอิทธิพลจากทิเบตมานานนับร้อยๆ ปี เช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ในเขตหิมาลัย แต่ความแตกต่างในเชิงนิเวศ เศรษฐกิจและสังคม ก็ทำให้ศิลปะของภูฏานเป็นเอกลักษณ์ ศิลปะภูฏานมีลักษณะเด่น 3 ประการคือ
    1. ไม่ปรากฎชื่อศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน
    2. ศิลปะเป็นงานศาสนาศิลป์
    3. ความงามในศิลปะเชิงสุนทรีไม่ใช่เป้าหมายหลัก เช่นชาวภูฏานถือว่าภาพวาดกับรูปปั้นเป็นงานทางศาสนาไม่ใช่งานศิลปะ
    • ด้านศิลปะของภูฏาน ไม่ว่าจะเป็นภาษาและวรรณคดี หรืองานศิลปะประเภทต่างๆ ของภูฏาน เช่น งานหัตถกรรม สถาปัตยกรรม และภาพจิตรกรรมต่างๆ ที่เป็นภาพเขียนสีหรือผ้าปัก ล้วนเป็นภาพพุทธประวัติและภาพพุทธศิลป์ ภาพจิตรกรรมเหล่านี้เป็นภาพขนาดใหญ่ ทำด้วยผ้า ที่เรียกว่า ทังกา (เหมือนทังก้าของทิเบต) ทังกาเป็นงานศิลปะที่ถ่ายทอดและสะท้อนคำสอนในพระพุทธศาสนา ภาพที่เกี่ยวกับนรกสวรรค์ และภาพปริศนาธรรม พระลามะผู้เขียนภาพเองก็ไม่ได้ยึดติดกับความเป็นเจ้าของภาพแต่อย่างใด ไม่มีการลงชื่อไว้ในภาพเลย เพราะถือว่า การเขียนภาพเผยแพร่ธรรมะเป็นการปฏิบัติธรรม แม้ว่าภาพเขียนเก่าแก่บางแห่งจะสวยงามเป็นที่เลื่องลือมากก็ตาม
    • อย่างไรก็ดีนับตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 ได้มีการจัดตั้งสตูดิโอศิลปินอาสาสมัคร (VAST) ขึ้นเพื่อสอนศิลปะแบบตะวันตกให้กับเด็กๆ รวมทั้งเพื่อใช้ศิลปะเป็นตัวกลางสื่อให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน
    • จิตรกรรมภูฏาน
    • งานจิตรกรรมของภูฏานแบ่งออกได้ 3 ประเภทหลักๆ คือ การเขียนลายประดับรูปประติมากรรม การเขียนภาพจิตกรรมฝาผนัง และการเขียนภาพระบฎ หรือ ทังกา
    1.การเขียนลายประดับรูปประติมากรรมดินเหนียว จะเขียนลายลงสีทั่วทั้งองค์ ในขณะที่รูปประติมากรรมโลหะ จะลงลายเฉพาะในส่วนพระพักตร์ โดยวาดพระขนงหรือพระมัสสุเส้นบางๆ ไว้ และตวัดปลายให้เฉียงขึ้นเล็กน้อย
    2.การเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังภูฏาน จะเริ่มต้นด้วยการนำดินมาฉาบผนังไว้ชั้นหนึ่ง ปล่อยให้แห้งแล้วขัดผิวให้เรียบ จากนั้นจึงเขียนลายและลงสี เทคนิคที่แพร่หลายในภูฏานคือ ช่างจะเขียนภาพลงบนผืนผ้าให้เสร็จเรียบร้อยก่อนนำไปติดผนัง ผ้าที่ใช้เป็นผ้าชั้นดีเนื้อเรียบ ช่างจะฉาบติดทับผนัง แล้วนำผ้ามาบรรจงติดให้เป็นเนื้อเดียวกันที่มองไม่ออก จากนั้นช่างจะใช้แป้งเปียกชนิดหนึ่ง (ใช้แป้งผสมกับพริกไทยป่น) ฉาบทับเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงมากินผ้า
    3.การเขียนภาพพระบฎ หรือ ทังกา ที่ภูฏานมีภาพพระบฎอยู่ตามวัดหรือซองอยู่เป็นจำนวนมาก ภาพเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาออกแสดงให้ชมกันตลอดเวลา แต่จะม้วนเก็บรักษาเอาไว้ในหีบและจะนำออกมาแขวนให้ผู้คนได้สักการะบูชากันเฉพาะในช่วงเทศกาล
    • เทคนิคการวาดภาพทังกา หรือพระบฏ จะเริ่มจาก การนำผ้าฝ้ายไปชุบน้ำพอหมาดๆ แล้วนำไปขึงให้ตึงกับกรอบไม้หรือกรอบไม้ไผ่ ผสมปูนขาวกับกาวให้เข้ากัน แล้วนำมาทาผ้าให้ทั่วแล้วปล่อยให้แห้ง จากนั้นขัดผิวให้เรียบ แล้วขีดเส้นตีตารางเอาไว้ช่วยจัดองค์ประกอบของภาพ บางครั้งช่างจะนำแม่พิมพ์ไม้ซึ่งแกะสลักภาพเอาไว้เรียบร้อยแล้วมาพิมพ์ลงบนผ้าเลย หรือไม่ก็ใช้การพิมพ์ภาพลายฉลุแทน ซึ่งช่างจะนำกระดาษซึ่งฉลุลายเอาไว้แล้วมาทาบกับผ้า ใช้ถ่านขีดไล่ไปตามรอยฉลุ ภาพร่างก็จะปรากฎขึ้นบนผ้า พร้อมให้ลงสีได้เลย
    • แม้ภาพทังกาหรือภาพพระบฏส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยสีสันอัดหลากหลายอยู่แล้ว แต่บางภาพยังมี การลงสีทองเอาไว้เป็นพื้นหลังแล้วตัดเส้นด้วยสีแดงและดำ ถ้าเป็นภาพเทพเจ้าภาคดุร้ายจะใช้สีดำเป็นสีพื้นแล้วใช้สีแดงและสีทองตัดเส้นแทน เมื่อวาดภาพเสร็จเรียบร้อย ช่างจะนำผ้าต่วนหลากสีมาติดเป็นขอบ แต่ละสีมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์แฝงอยู่ สุดท้าย ช่างจะนำไม้สองท่อนมาติดไว้กับขอบด้านบน และล่างเพื่อใช้เป็นที่แขวน
    • การทำภาพทังกา ยังมีเทคนิคสำคัญอีกสองอย่างซึ่งไม่เกี่ยวกับการเขียนภาพเลย นั่นคือ เทคนิคการปักและเทคนิการทำอัปปลิเก เทคนิคหลังนี้จะนำมาใช้กับการทำภาพทังกาผื่นใหญ่สำหรับใช้แขวนนอกกำแพงซองในช่วงงานเทศกาลทางศาสนา
    • ประติมากรรมภูฏาน
    • ภูฏานนิยมแกะสลักอักษรไว้บนกำแพงหินหรือบนหน้าผา บนแผ่นหินมักปรากฎภาพเทพเจ้าและบุคคลในศาสนาจำหลักเอาไว้อย่างวิจิตรบรรจง ภาพจำหลักที่งามที่สุดจะพบอยู่ที่ป้อมซิมโตคา แต่ละภาพมีจารึกคำบรรยายบอกเล่าว่าเป็นเทพองค์ใด จึงถือเป็นขุมคลังความรู้อันประมาณค่ามิได้ในการศึกษาลักษณะทางประติมาณิวทยาของเหล่าเทพเจ้าของชาวภูฏาน
    • รูปประติมากรรมดินเหนียวนั้น มีให้พบเห็นได้ทั่วไปในภูฏานและจะลงสีไว้ทั้งองค์ มีตั้งแต่ขนาดเล็กที่พกพาติดตัวไปได้ จนถึงขนาดใหญ่ความสูง 2-3 เมตร ขั้นตอนจะเริ่มจากการจารึกบทสวดมนต์เอาไว้บนแกนไม้ นำผ้ามาพันทบไว้หลายๆ ชั้น แล้วนำดินเหนียวมาพอกปิดให้มิด แกนไม้นี้ เรียกว่า สกชิง (ต้นไม้แห่งชีวิต นิยมบรรจุไว้ในรูปประติมากรรมดินเหนียว สถูปและรูปหล่อโลหะ) ช่างจะนำแกนไม้กับแผ่นป้ายจารึกคำปฏิญาณที่ทำขึ้นจากดินเหนียวผสมเถ้าอัฐิของผู้ตาย ไปบรรจุไว้ในตำแหน่งที่ถือกันว่าศักดิ์ิสิทธิ์ จากนั้นนำไปขึ้นรูป ปั้นแต่งให้เรียบร้อย แล้วจึงลงสีหรือไม่ก็ทาสีขาวทับทั้งองค์
     
  14. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    • สถาปัตยกรรมพื้นบ้าน สถาปัตยกรรมภูฏานมีไม้เป็นองค์ประกอบค่อนข้างมาก หน้าต่างแบบภูฏานมีเอกลักษณ์อยู่ที่กรอบและขื่นบนซึ่งมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ทางศาสนาแฝงอยู่ในทุกส่วน ซอง ตำหนัก ฮาคังและกมปาที่สำคัญทุกแห่ง จะสร้างด้วยศิลา ส่วนบ้านเรือราษฎรจะใช้วัสดุต่างกันไปตามแต่จะมีในแต่ละท้องที่ บ้านเรือนในชนบทของภูฏานมีลักษณะร่วมกันหลายประการ เช่น เป็นทรงสี่เหลี่ยม มีหนึ่งหรือสองชั้น นิยมทาสีและเขียนลวดลายประดับอย่างสวยงาม เครื่องเรือนจะเป็นของที่ทำขึ้นแบบง่าย ๆ ตัวบ้านจะหันออกหาลานกว้าง นิยมทาสีขาวทั้งหลังแล้ววาดลวดลายที่เป็นมงคลประดับเอาไว้ ด้วยสัดส่วนและรูปทรงที่สวยงามรับกันทุกด้านทำให้บ้านเรือนในภูฏานเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมพื้นบ้านที่ดูน่ารักสวยงามเป็นเอกลักษณ์
    • งานหัตถกรรม ภูฏานจัดหมวดหมู่งานฝีมือของตนเป็น โซริกซูซุม หมายถึง งานช่างสิบสามหมู่ สันนิษฐานว่าการจัดประเภทงานช่างสิบสามหมู่นี้จะมีขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ในสมัยของท่านเต็นชิน รับเย (เดสิคนที่ 4 ปี ค.ศ. 1680-1694) โดยแบ่งออกเป็นงานเครื่องไม้ งานก่อหิน งานประติมากรรม งานจิตรกรรม งานปั้นดินเหนียว งานหล่อโลหะ งานกลึงไม้ งานหลอมโลหะ งานเครื่องประดับ งานสานไม้ไผ่และหวาย งานผลิตกระดาษ งานปัก และงานทอ
    • ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมทำให้งานหัตถกรรมของภูฏานมีราคาค่อนข้างแพง เพราะไม่ใช่สินค้าที่ทำขึ้นเพื่อขายให้กับตลาดนักท่องเที่ยวโดยตรง งานฝีมือส่วนใหญ่เป็นของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยทั่วไปแล้วงานฝีมือในภูฏานมักมีราคาแพงกว่าประเทศอื่น ๆ ในแถบเอเซีย รวมถึงผ้าปักและผ้าทอแบบโบราณ สินค้าส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผ้าทอ มีราคาค่อนข้างแพเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ สาเหตุเป็นเพราะว่า สินค้ามีน้อยไม่พอกับความต้องการ แรงงานในภูฏานขาดแคลน การใช้เครื่องจักรผ่อนแรงก็มีอยู่น้อย การผลิตต้องทำเองกับมือทุกขั้นตอน ตั้งแต่การย้อมสีด้าย การเข้าป่าไปตัดไม้ไผ่ ไปจนถึงการทอและการถักดิ้นเงินดิ้นทองขลิบขอบผ้า นับเป็นงานที่ต้องอาศัยเวลายาวนาน ผ้าทอบางชิ้นต้องใช้เวลาทอกันนานนับปี
    • ผ้าทอภูฏาน ผู้หญิงภูฏานจะทอผ้าอยู่กับบ้าน โดยเฉพาะผู้หญิงในภาคกลางและภาคตะวันออกซึ่งมีฝีมือทางด้านทอผ้าเป็นพิเศษ แต่ละภูมิภาคจะมีผ้าทอในแบบฉบับของตนโดยเฉพาะ
    • หูกทอผ้าของภูฏานมีอยู่ทั้งหมดสี่แบบด้วยกัน คือ หูกแนวราบมีที่เหยียบ หูกแนวตั้งมีด้ายเส้นพื้นพาดเป็นแถวเรียงต่อกัน หูกกรอบเล็ก (ใช้สำหรับทำเข็มขัดเท่านั้น) และหูกแนวนอนมีด้ายเส้นพื้นพาดเป็นม่านอยู่ด้านหลัง หูกประเภทหลังนี้มีแต่ผู้หญิงชาวลายะในภาคเหนือเท่านั้นที่ใช้กัน
    • เส้นใยที่ใช้ทอมีทั้งฝ้าย ขนสัตว์ ไหม ทั้งไหมดิบและไหมสำเร็จรูป ขนจามรี และใยต้นเน็ตเทิง (สมัยก่อนใช้ทำเสื้อผ้าด้วย แต่ทุกวันนี้ใช้ทอเป็นถุงย่ามอย่างเดียว มีเนื้อเหนียวและทนทานมาก) พวกเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนทางภาคเหนือจะใช้ขนจามรีทอเป็นกระโจม เสื้อกันหนาว และเสื้อผ้าที่กันน้ำได้ สีย้อมส่วนใหญ่จะได้มาจากพืชและหินแร่โดยผู้ทอจะทำสีย้อมขึ้นเอง สีย้อมเคมีก็มีใช้ สังเกตได้ง่ายจากสีผ้าที่สดใสสะดุดตาเป็นพิเศษ
    • ผ้าทอแต่ละชนิดของภูฏานมีชื่อเรียกต่างกันไปตามเส้นใย สีสัน และลวดลาย ผ้าขนสัตว์ลายตารางสี่เหลี่ยมนั้น ก็ขึ้นอยู่กับสีเป็นสำคัญ ชุดผ้าไหมของสตรีที่มีสีขาวเป็นสีพื้นแล้วปักลายดอกประดับ จะเรียกว่าชุดกูซูตารา ถ้าสีพื้นเป็นสีฟ้าจะเรียกว่า ชุด โอซัม ผ้าพื้นเหลืองที่มีแถบสีเขียวและสีแดงคาด ทอลายเป็นลายเชือก จะเรียกว่า ผ้าเมนซิมาทรา
    • ผ้าภูฏาน ถ้าไม่ทอเป็นแถบลายริ้ว (แนวนอนสำหรับผู้หญิง แนวตั้งสำหรับผู้ชาย) ก็ต้องทอเป็นลายตารางสี่เหลี่ยม (ใช้ได้ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย) ทุกลายจะมีความหมายในเชิงสัญลักษณ์แฝงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ สวัสดิกะ วงล้อ หรือ วัชระ ฯลฯ
    • ไหมดิบ หรือ บูรา ส่วนใหญ่จะนำเข้ามาจากรัฐอัสสัม ฝักไหมที่ใช้เป็นพันธุ์ Philosome cynthia ไม่ใช่พันธุ์ Bombyx mori ที่ใช้ผลิตผ้าไหมจีน ศรัทธาในพระศาสนาทำให้ชาวภูฏานไม่ต้มฝักไหมในขณะที่ตัวไหมยังอยู่ในฝัก แต่จะรอจนตัวไหมออกจากฝักไปก่อน เส้นใยไหมจึงขาดก่อนที่จะมีการสาวไหมเสียอีก ด้วยเหตุนี้ ผ้าไหมของภูฏานจึงมีเนื้อหยาบกว่าผ้าไหมจีนมาก
    • เครื่องประดับ ช่างทำเครื่องประดับอัญมณี ทอง และ เงิน ถือเป็นชนชั้นพิเศษในสังคม ถ้าเป็นของใช้ทั่วไปจะใช้เงินทำแล้วค่อยนำไปชุบทองอีกต่อหนึ่ง ถ้าเป็นเครื่องประดับอัญมณีจะมีทั้งที่ทำจากทองและเงิน ส่วนเครื่องเงินจะทำโดยนำเงินมาตีขึ้นเป็นรูป แล้วแกะเป้นสัญลักษณ์นำโชคต่างๆ หรือไม่ก็นำพลอยมาฝังเป็นรูปตามต้องการ
    • พลอยที่ชาวภูฏานชื่นชอบและนิยมกันมากคือ หินปะการังและ ชี (ชี คือ หินโมราที่เส้นสีขาวฝังอยู่) พลอยสองชนิดนี้มีราคาสูงมาก ชาวภูฏานเชื่อว่า ชีเป็นของที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ความจริง ชีเป็นหินโมราที่ช่างฝังเส้นสีขาวเอาไว้ตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน และด้วยเหตุที่เทคนิคดังกล่าวได้สูญหายไปนานแล้ว ชี จึงมีคุณค่าและราคาสูงเป็นพิเศษ
    • สร้อยหินโมรา ชี และสร้อยลูกปัดหินปะการังเส้นใหญ่ที่สตรีภูฏานสวมใส่กันในงานเทศกาลไม่ใช่ของที่มีไว้ซื้อขาย แต่เป็นมรดกตกทอดกันในตระกูล ปัจจุบันราคาการซื้อขายชีในตลาดภายในประเทศอาจสูงถึง 2,500-3,000 ยูโร และทางการก็ห้ามนำพลอยชนิดนี้ออกนอกประเทศอย่างเด็ดขาด
    • งานแกะสลักไม้ ไม้ไผ่ และหวาย รูปสลักไม้แกะมักทำขึ้นจากไม้สนหรือไม้วอลนัต ส่วนใหญ่จะทำขึ้นในเขตตาชิยังซี ในภาคตะวันออก งานหัตถกรรมจากไม้ไผ่และหวายส่วนใหญ่จากมาจากชาวบ้านในเขตปกครองเค็ง เช่น คันธนู นอกจากนี้ยังมีการทำกระดาษจากเปลือกไม้ชนิดพิเศษ
    • ศิลปะการแสดงและดนตรีภูฏาน
    • ภูฏานได้ชื่อว่ามีวัฒนธรรมเฉพาะตัวที่มีศาสนาพุทธเป็นแก่นอย่างเด่นชัด ทั้งศิลปะพื้นบ้านและศิลปะระดับชาติ เมื่อพระปัทมสัมภวะหรือคุรุ รินโปเช นำศาสนาพุทธเข้ามาในภูฏานนั้น ท่านต้องต่อสู้กับภูติผีปิศาจที่ชาวพื้นเมืองนับถือ จนสามารถเอาชนะปิศาจต่างๆ ได้ ชาวพื้นเมืองจึงเลื่อมใสศรัทธาด้วยกุศโลบายของท่านปัทมสัมภาวะ ท่านได้ผนวกเอาภูติผีต่างๆ มาทำหน้าที่เป็นธรรมบาลในพระพุทธศาสนา ให้ชาวบ้านเห็นว่า ศาสนาพุทธมีอำนาจอยู่เหนือวิญญาณชั่วร้ายทั้งปวง การทำพิธีทางศาสนาของชาวพุทธในภูฏานจึงต้องมีการร่ายรำของเหล่าภูติผีปิศาจที่มีท่าทางน่าเกลียดน่ากลัว เช่น ระบำกลอง และระบำสวมหน้ากาก เป็นต้น งานแสดงทางศิลปะเหล่านี้จึงจัดขึ้นเป็นงานใหญ่ในเทศกาลประจำปีสำคัญๆ ของภูฏาน
    • ด้านวัฒนธรรม
    • ชาวภูฏานเป็นชาวพุทธที่สุภาพ อ่อนน้อม มีน้ำใจ และนับถือผู้อาวุโส ทั้งยังเป็นมิตรและยินดีให้ความช่วยเหลือคนแปลกหน้า ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวภูฏานนั้น สมถะและเรียบง่าย แม้จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ยากจน แต่ชาวภูฏานก็มีความสุขและอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่นิยมการเบียดเบียนหรือรบกวนผู้อื่น
    • ภูฏานเป็นประเทศเดียวในโลกที่ห้ามไม่ให้มีการซื้อขายและสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ หากฝ่าฝืนถือว่าผิดกฎหมาย ทั้งยังมีกฎหมายห้ามนำเข้าบุหรี่ (ยกเว้นนักท่องเที่ยวที่นำบุหรี่เข้ามาสูบเอง แต่ก็อนุญาตให้สูบบุหรี่ได้เฉพาะสถานที่บางแห่งเท่านั้น)
    • ในด้านการสื่อสาร รัฐบาลมีมาตรการควบคุมสื่อทุกชนิด เพิ่งจะอนุญาตให้ประชาชนรับชมโทรทัศน์และมีอินเตอร์เน็ตในปี ค.ศ. 1999 จากเดิมที่รับฟังข่าวสารจากโลกภายนอกได้ทางวิทยุเพียงอย่างเดียว รายการทีวีในภูฏานควบคุมโดยรัฐบาล ซึ่งมีช่องรัฐบาลช่องเดียว ทั้งยังไม่อนุญาตให้ชาวบ้านมีจานรับสัญญาณดาวเทียมที่สามารถรับสัญญาณโทรทัศน์จากต่างประเทศได้ แต่ปัจจุบัน นโยบายนี้ผ่อนคลายลง โรงแรมในเมืองใหญ่ของภูฏานมีโทรทัศน์ที่สามารถรับชมข่าวต่างประเทศได้
    • ในด้านการศึกษา รัฐบาลภูฏานมีนโยบายให้การศึกษาและการรักษาพยาบาลฟรี ดังนั้น เด็กๆ ชาวภูฏานจึงได้รับการดูแลด้านการศึกษาอย่างดี โดยรัฐบาลจัดการให้มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษกับภาษาภูฏาน (ภาษาซองคา) ในสัดส่วน 50:50 เพราะตระหนักดีว่า ภาษาอังกฤษจะเป็นประโยชน์และเป็นช่องทางที่จะช่วยให้ชาวภูฏานสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้
    • ภูฏานกับสถาบันกษัตริย์
    • กษัตริย์เป็นสถาบันหลักที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวภูฏาน โดยเฉพาะสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ปัจจุบัน ทรงเป็นที่เคารพรักของประชาชนชาวภูฏานเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากพระองค์จะเป็นกษัตริย์นักพัฒนาแล้ว ความเป็นกันเองของพระองค์ในการเสด็จเยี่ยมราษฏรและการเข้าถึงประชาชนของพระองค์ ทำให้พระองค์ทรงเป็น “กษัตริย์ของประชาชน” ของชาวภูฏาน อาจกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงเป็นบุคคลสำคัญในการที่จะเปลี่ยนแปลงภูฏานให้เป็นสังคมสมัยใหม่แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยทรงใช้หลักความสุขมวลรวมของชาติ (Gross National Happiness) แทนการวัดการพัฒนาเป็นค่าทางเศรษฐกิจ

    http://www.oceansmile.com/Bhutan/Lifestyle.htm
     
  15. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468

    ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่ - หน้า 1501 - PaLungJit.com
     
  16. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่ - หน้า 1501 - PaLungJit.com


     
  17. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1500

    มีประโยชน์ต่อผม ยืนยันว่ามีส่วนกระทบกับผมทำนองนี้ด้วยครับ สุนัขแถวบ้านผมก็อาเจียนบ่อยๆในช่วงนี้ครับ ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ผมรับทราบว่าไม่ได้สัมผัสได้อยู่คนเดียว
    จริงๆเกิดขึ้นกับผมมานานหลายปีแล้วตั้งแต่สมัยใกล้ๆกับการพยากาณ์นอสตราดามุส โลกภายในสัตว์ และโลกภายนอกที่เราสัมผัสได้มี่สวนเกี่ยวข้องกัน
    การปฏิบัติธรรมตามพุทธธรรม สามารถปรับสภาวะให้ดีขึ้นได้ ตามประสบการณ์เฉพาะตัวของผม แต่ก็ยังเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ครับ
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านครับ
    ผิดพลาดพลั้งไปขออภัยขมาด้วยครับ
     
  18. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ธรรมนิยาม - วิกิพีเดีย

    นิยาม หรือนิยามะ (บาลี)กำหนดอันแน่นอน, ความเป็นไปอันมีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ, กฎธรรมชาติ

    นิยาม 5 ประการนี้ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกและในอนันตจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามกฎทั้ง 5 ประการนี้ทั้งสิ้น

    ธรรมนิยาม (General Laws) อันได้แก่กฎไตรลักษณ์ทั้ง3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ดูที่ ธรรมนิยามสุตตัง)คือ ธาตุทั้งปวงเป็นมีสถานะเป็นกระแส สั่นสะเทือน(คลื่น) ผันผวน ไม่แน่นอน สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ้งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา สัตว์ทั้งปวงย่อมต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งสิ้น เป็นกฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย เป็นกฎสากลที่ครอบคลุมความเป็นไปทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายวัตถุ

    กฎข้อนี้มีขอบเขตครอบคลุมกว้างขวางที่สุดของทุกนิยาม กฎนิยามทั้งปวงอยู่ภายใต้กฎข้อนี้ (เป็นกฎ?)ธรรมนิยามนี้ก็ทำให้เกิดนิยามข้ออื่น
    และนิยามข้ออื่นๆที่สัมพันธ์กันก็ทำให้เกิดกฎธรรมนิยามอันนี้ เช่นกัน (เช่น การจุดไม้ขีดไฟ - อุตุนิยาม >ทำให้เกิดการเผาไหม้เปลี่ยนแปลงสูญสลายไป - ธรรมนิยาม)


    อุตุนิยาม(Physical Laws) คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปของปรากฏการณ์ ในธรรมชาติ เกี่ยวกับวัตถุที่ไม่มีชีวิตทุกชนิด หลักของอุตุนิยาม ตามแนวพระพุทธศาสนามุ่งให้ผู้ที่เข้าใจเกี่ยวกับกฎธรรมชาติที่ว่าด้วยวัตถุ อุตุนิยาม คือลักษณะสภาวะต่างๆของธาตุทั้ง5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ

    ซึ่งก็คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆเมื่อมีเหตุปัจจัยเพียงพอก็จะเป็นไปโดยไม่มีใครเป็นผู้กำหนดหรือห้ามได้ เช่น การที่จะเกิดฝนตก ก็มีเหตุปัจจัยเพียงพอให้เกิดฝนตก เช่น การระเหยของน้ำบนดิน การรวมตัวของก้อนเมฆ การเกิดลมพัด การกระทบกับความเย็น ก่อให้เกิดฝนตก เป็นต้น ตลอดจนปรากฏการณ์ทางวัตถุอื่นๆ เช่น การเคลื่อนที่ของจักรวาล แรงดึงดูด แผ่นดินไหว ฟ้าผ่า เป็นต้น ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้ พระพุทธศาสนาถือว่าเกิดขึ้นเพราะวัตถุธาตุต่างๆคือดินน้ำลมไฟอากาศปรับเปลี่ยนสภาวการณ์ของตัวเอง เพราะอิทธิพลจากการปรับสถานะธาตุตามอุณหภูมิคือความร้อนและเย็น ดังนั้นกฎข้อนี้จึงชื่อว่า อุตุนิยาม (อุตุในพระไตรปิฎกแปลว่าพลังงาน,ฤดู,ความร้อนเย็น)


    พีชนิยาม (Biological Laws) คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปในพันธุกรรม กระบวนการถ่ายทอดข้อมูลของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ เชื้อไวรัสและจิต กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์โดยเฉพาะ กฎข้อนี้จึงหมายรวมในเรื่องของร่างกายและกระบวนการทำงานของสิ่งมีชีวิตต่างๆที่เกิดจากการถ่ายทอดข้อมูลทางพันธุกรรมด้วย สิ่งที่เรียกว่ากฎพีชนิยามนี้ทำให้เมื่อเรานำเมล็ดข้าวเปลือกไปเพาะ ต้นที่งอกออกมาจะต้องเป็นต้นข้าวเสมอ หรือช้างเมื่อออกลูกมาแล้วย่อมเป็นลูกช้างเสมอ (หว่านพืชเช่นไรย่อมได้ผลเช่นนั้น) ความเป็นระเบียบนี้พระพุทธศาสนาค้นพบว่าเป็นผล มาจากการควบคุมของธัมมตาทั้ง3 คือ สมตา(การปรับสมดุล) วัฏฏะ(การหมุนวนเวียน) และ ชีวิต(การมีหน้าที่ต่อกัน)นั่นเอง

    พีชนิยามเป็นกฎธรรมชาติในฝ่ายที่เป็นระเบียบตรงกันข้ามกับธรรมนิยามซึ่งเป็นกฎธรรมชาติในฝ่ายที่ไม่มีระเบียบ


    จิตนิยาม (Psychic Laws) คือ กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับกลไกการทำงานของจิต พระพุทธศาสนา ค้นพบว่า คนเราประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 2 ส่วน คือ ร่างกายและจิตใจ จิตนิยามคือกฎธรรมชาติในส่วนที่เกี่ยวกับการทำงานของจิตเท่านั้น กระบวนการของความคิด พระพุทธศาสนาเชื่อว่าสัตว์โลก ประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งของชีวิต คือ จิต จิตในทัศนะของพุทธศาสนาเป็นสิ่งต่างหากจากกาย ในฐานะที่เป็นสิ่งหนึ่งต่างหากจากกาย จิตก็มีกฎเกณฑ์ในการทำงาน เปลี่ยนแปลงและแสดงพฤติกรรม เป็นแบบฉบับเฉพาะตัว จิตนิยาม ได้แก่ นามธาตุ คือ จิต และเจตสิกที่เป็นธรรมธาตุ


    กรรมนิยาม (Karmic Laws) คือกฎแห่งเหตุผล ที่ครอบคลุมความเป็นไปในฝ่ายจิตวิญญาณโดยเฉพาะ อันได้แก่ กฎแห่งกรรมเป็นกฎแห่งการให้ผลของการกระทำ กฎอันเป็นเหตุเป็นผลของธรรมชาติทางนามธรรม คือการกระทำของจิต ที่เกิดจากเจตนาของจิต อันเป็นมโนกรรม(กรรมจากความนึกคิดต่างๆ) ตลอดจนอาจเป็นเหตุให้ทำ กายกรรม(กรรมจากการกระทำทางร่างกาย)และวจีกรรม(กรรมจากการสื่อสาร) และมีการให้ผลเป็นวิบากกรรม คือกรรมสามารถให้ผลแสดงออกมาในสภาพทางกายหรือทางวัตถุได้ ซึ่งการให้ผลของกรรมมีลักษณะเป็นอจินไตย คือไม่อาจเข้าใจได้ด้วยการคิดทางตรรกะ
     
  19. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    ธรรมนิยาม - วิกิพีเดีย

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งเรื่องทั้งปวง แสดงว่าทรงค้นพบนิยามหรือกฎธรรมชาติทั้ง 5 เหล่านี้ พระองค์ทรงสอนเน้นในส่วนที่เกี่ยวกับธรรมนิยามจิตนิยาม และกรรมนิยาม พระองค์ทรงสอนเรื่อง อุตุนิยามและพีชนิยามเพียงเล็กน้อย ในทางกลับกัน นักวิทยาศาสตร์ศึกษาเน้นในส่วนที่ เกี่ยวกับอุตุนิยามและพีชนิยาม ไม่ค่อยสนใจในส่วนธรรมนิยาม จิตนิยาม และกรรมนิยามนี่คือจุดเน้นที่ต่างกัน ระหว่างพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ พระพุทธศาสนาจึงมองภาพรวมของโลกและชีวิตได้กว้างขวางมากกว่า

    ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ (ธรรม?)นิยามเป็นกฎธรรมชาติสากลที่ครอบคลุม 4 กฎย่อยดังที่ กล่าวมาแล้ว แม้พระพุทธศาสนาจะศึกษาเน้นเรื่องธรรมนิยามจิตนิยามและกรรมนิยามก็จริง ถึงกระนั้น พระพุทธศาสนา ก็ไม่ปฏิเสธเรื่องอุตุนิยามและพีชนิยามที่เป็นจุดเน้นของวิทยาศาสตร์ เพราะเหตุนี้เอง พระพุทธศาสนาจึง ไม่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์

    ดังนั้น ความคิดที่ว่าศาสนาพุทธสอนว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากกฎแห่งกรรมเท่านั้น ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นความคิดที่ไม่สมบูรณ์ เพราะกฎธรรมชาติไม่ได้มีแค่กฎแห่งกรรมเท่านั้น แต่ยังมีกฎธรรมชาติต่างๆรวมกันแล้วถึง 5 กฎ และแต่ล่ะกฎก็สำคัญเท่าๆกัน ดังนั้นการวิเคราะห์ใดๆในทางพระพุทธศาสนา จึงต้องอิงกฎธรรมชาติกฎอื่นๆทุกกฎร่วมด้วย

    จากการค้นพบธรรมะดังกล่าวนี้ ทำให้เราทราบว่า ความรู้เรื่องจักรวาลวิทยาเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่ง ของธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบเท่านั้น ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่พระองค์ทรงค้นพบ แล้วมิได้นำมาตรัสให้ฟัง และเรื่องที่นำมาตรัสเล่านั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ฟังได้ข้อคิดแนวทางในการ ปฏิบัติธรรมอันนำไปสู่ความพ้นทุกข์ซึ่งเป็นเรื่องหลักในชีวิต
     
  20. มุ่งเต็มใจ

    มุ่งเต็มใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2006
    โพสต์:
    7,755
    ค่าพลัง:
    +23,468
    สาธุๆๆ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ปัจจโย โหตุ



    ประเภทของพลังจิต

    (ตามความเชื่อของชาวต่างชาติ แบ่งแบบชาวต่างชาติ)

    พลังจิตที่มักได้ยินบ่อยๆ

    Telepathy อ่านความคิดและส่งความคิดถึงคนอื่นได้ เช่นการอ่านใจและการเห็นคำพูดในความคิดของผู้อื่น และอาจมีการส่งคำพูดจากความคิดของตนเข้าไปในสมองผู้อื่นโดยตรง

    Psychometry อ่านความทรงจำคนอื่นได้ หรือความทรงจำจากสิ่งของและสิ่งมีชีวิตอื่น โดยจะเห็นชัดจากความทรงจำที่ฝังแน่น มักอ่านจากการ แตะ สัมผัส เพ่งความรู้สึก สิ่งที่อ่านได้อาจมีทั้งภาพ เสียง หรือแรงของจิตสัมผัส

    Clairvoyance ตาทิพย์ การมองเห็นเหนือประสาททั้งห้า เช่นการมองเห็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ที่ไม่เคยไปหรือไม่รู้จักมาก่อน เห็นสิ่งที่คนปกติไม่เห็นเช่นสิ่งของหรือสถานที่ที่ถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิดหรืออยู่ไกลมากๆ

    Clairaudience หูทิพย์ ได้ยินในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน การได้ยินเสียงหรือคำเตือนในสมอง หรือการได้ยินจากภายนอก สามารถแยกเสียงต่างๆออกได้อย่างชัดเจน ได้ยินเสียงที่ไกลหรือเบามากๆ

    Claiesentience,Intuition การรับรู้เหนือประสาททั้งห้าอย่างชัดเจน เช่นถ้าไปยืนอยู่ในที่ที่เป็นสนามรบเก่าจะรู้สึกอึดอัด หรือการรับรู้แบบเห็นเป็นสีในจิตใจ

    Empathy การสัมผัสได้ถึงความต้องการกระทำของผู้อื่น เช่นการเข้าใจจิตใจของผู้อื่นหรือการรับรู้ถึงจิตสังหาร

    Precognition การเห็นอนาคตที่ควรจะเป็นหรืออาจเกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจเกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ มีตั้งแต่เบาบางถึงแจ่มชัด เช่นการมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี

    Psychokinesis,Telekinesis การยกหรือเคลื่อนย้ายวัตถุหรือทำสิ่งต่างๆโดยปราศจากเงื่อนไขทางฟิสิกส์ เช่นการงอช้อน การยกสิ่งของลอยในอากาศ

    Levitation การลอยตัวในอากาศได้โดยปราศจากการช่วยเหลือทางฟิสิกส์

    Teleportation การเคลื่อนย้ายสิ่งของหรือตนเองจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยการแทนที่โดยฉับพลันเช่นการวาร์ป หรือการสลับสิ่งของโดยไม่แตะต้องหรือเคลื่อนย้ายด้วยวิธีทางฟิสิกส์

    Time Traveller ผู้มีความสามารถเกี่ยวกับเวลา นักท่องเวลา มีความสามารถแตกต่างกันออกไป เช่นย้อนเวลา สามารถหนีจากปัจจุบันหรืออนาคตเพื่อไปแก้ไขเรื่องในอดีตได้ ลบเวลา สามารถลบช่วงเวลาส่วนเกินที่ไม่ต้องการออกได้ นักข้ามเวลาสามารถเดินทางไปมาระหว่างมิติคู่ขนานของอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้ หยุดเวลา สามารถเดินทางข้ามมิติของเวลาที่หยุดนิ่งได้ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดผลเสียต่อผู้ใช้ เช่นการหลงอยู่ในมิติเวลา หรือส่งผลต่ออายุขัยและร่างกายของผู้ใช้

    Invisibility พลังในการล่องหนหายตัว สามารถหักเหแสงบิดเบือนการสะท้อนการมองเห็นหรือลบตัวตนและจิตของตนออกไปจากการสัมผัสของผู้อื่น



    ---------------------------------------------------------------------
    พลังจิตอื่นๆ

    Animal Telepathy การอ่านภาษาของสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่น เป็นการคุยกันด้วยภาษาจิต

    Chanelling การติดต่อกับสิ่งมีชีวิตหรือจิตเหนือธรรมชาติ เช่นวิญญาณ เทวดา หรือมนุษย์ต่างดาว

    Automatic Writing สามารถเขียนบางอย่างที่ผิดไปจากปกติโดยไม่ต้องใช้การรับรู้ใดๆ เหมือนกับการถูกบางอย่างสิงที่มือไปชั่วขณะ

    Aura Reading การมองเห็นออร่าหรือพลังชีวิต

    Divination ผู้ทำนายอนาคต หยั่งรู้อนาคต

    Astral Projection การถอดจิตและท่องไปตามที่ต่างๆที่ร่างการไม่สามารถไปได้

    Bi-Location เหมือนกับการถอดจิต แต่สามารถสร้างร่างแยกของตนขึ้นมา โดยเป็นตัวเองอีกคนให้คนอื่นเห็นในคนละสถานที่กับที่ร่างกายจริงอยู่

    Mind Over Body ผู้ที่สามารถปลดปล่อยร่างกายให้ปราศจากความต้องการพื้นฐานเช่นการดื่มน้ำ กินอาหาร นอนหลับ แต่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้เหนือกว่าคนปกติ หรือมีสภาวะร่างกายเหมือนการจำศีล เช่นโยคี

    Mind Control ควบคุมจิตใจผู้อื่น สร้างภาพลวงตาขึ้นเพื่อหลอกการเห็น หรือการยิงภาพเข้าไปในสมองโดยตรง

    Hypnotic Control การสะกดให้ผู้อื่นหลับด้วยพลังจิต

    Mental Invisibility การซ่อนจิตของตนเองจากการรับรู้ของผู้อื่น

    ---------------------------------------------------------------------------
    พลังจิตสายควบคุม

    Echokinesis ความสามารถในการเลียนแบบการเคลื่อนไหวของผู้อื่นได้ไม่ผิดเพี้ยนจากการมองเห็น แม้แต่การเคลื่อนไหวเกินความสามารถของตนเอง

    Photokinesis ควบคุมแสงและพลังงานที่เป็นไปตามกฏทางฟิสิกส์ แต่ใช้จิตควบคุม

    Pyrokinesis การควบคุมไฟ จุดไฟ ควบคุมการเกิดไฟหรือทิศทางของไฟด้วยจิต

    Aquakinesis,Hydrokinesis ควบคุมน้ำให้เกิดการเคลื่อนไหวและรูปร่าง รวมทั้งควบคุมมวลของน้ำได้ดั่งใจ

    Cryokinesis ควบคุมความเย็น เปลี่ยนอุณหภูมิให้ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ทำให้เกิดผลึกบนน้ำหรือเลือกบนร่างกาย หรือการทำให้น้ำในอากาศเป็นผลึกได้ตามต้องการ

    Thermokinesis ควบคุมอุณหภูมิความร้อนของสิ่งต่างๆได้ แต่ไม่สามารถควบคุมไฟได้

    Aerokinesis ควบคุมเกี่ยวกับลม ก๊าซ และอากาศรอบตัว เรียกให้เกิดลมหรือเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและควบคุมสมบัติของก๊าซ ควบคุมความดันบรรยากาศรอบตัว

    Geokinesis,Terrakinesis ควบคุมธาตุดินให้เกิดความแปรผันได้ดั่งใจ รวมไปถึงของแข็งชนิดต่างๆที่อยู่รวมกับธาตุดินด้วย

    Electrokinesis ควบคุมประจุไฟฟ้าและสายฟ้าได้ดังใจ

    Atmokinesis ควบคุมฟ้าฝน บรรยากาศ และลักษณะอากาศได้ เป็นความสามารถที่รวมระหว่างการคุมอุณหภูมิความร้อน อากาศ และสายฟ้า

    Atmoskinesis ควบคุมธาตุหลักทั้งสี่ได้ คือดิน น้ำ ลม ไฟ อาจรวมถึงสายฟ้าด้วย

    Biokinesis เหมือนกับการควบคุมธาตุทั้งสี่ แต่จะสามารถคุมได้ถึงระดับการเจริญเติบโตทาง DNA ได้ เช่นเปลี่ยนแปลงรูปแบบธาตุและ DNA ของตัวเองให้เกิดลักษณะพิเศษตามต้องการ

    Gravitokinesis ควบคุมเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงได้ แต่ไม่สามารถเคลื่อนไหวไปในทิศทางอื่นได้นอกจากทิศแรงโน้มถ่วง

    Magnokinesis ควบคุมแรงแม่เหล็กและสนามแม่เหล็กในบริเวณที่ต้องการ สามารถใช้ควบคุมโลหะให้เคลื่อนที่ได้ดั่งใจด้วย

    Vitakinesis การรักษาตัวเองจากอาการบาดเจ็บ

    Audiokinesis การควบคุมคลื่นเสียงหรือก่อกำเนิดเสียงด้วยจิต

    Hemokinesis ควบคุมรูปแบบของเซลล์เม็ดเลือดได้ รวมทั้งการถ่ายเทเลือดด้วย คล้ายกับการควบคุมน้ำ

    Particle Manipulation ควบคุมสิ่งต่างๆในระดับอะตอมหรือโมเลกุล หยุดอนุภาคเหล่านั้นหรือทำให้ระเบิดออกก็ได้


    http://palungjit.org/threads/ประเภทของพลังจิต.468057/
     

แชร์หน้านี้

Loading...