เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ต้องทำใจ บาลี นั้นเป็นของดี

    หากเรา แสดงคำบาลีเข้ามาบ้าง มันจะละอัตตาในการแสดงธรรมได้

    หากเรา แสดงคำบาลีไว้บ้าง ศรัทธาจะพุ่งตรงไปที่ ไตรสรณะได้เอง

    หากเรา แสดงคำบาลีไว้บ้าง ก็เป็นพฤตินัยของบัณฑิต ที่จะเจริญในคู่สนทนา

    หากเข้าใจว่า คนที่เสนอบาลี นั้น ยะโส อวดภูมิ เอาแสดงแต่ศัพท์สูง ก็พึง
    เห็นว่า เราเจตนาดึงขึ้นที่สูง ไม่ใช่เจตนาจะกดใครต่ำลง

    ดังนั้น บัณฑิตผู้เจริญ จึงควรศึกษาเพิ่มเติมคำบาลีไว้บ้าง

    เผื่อชาติไหนๆ ห่างล้างลาไป แล้วไปเจอเพียง อุทาน เช่น อุ อะ กุ สะ ก็จะ
    ได้มีวาสนาถอดรหัสคำบาลี ที่ปรากฏหลงเหลืออยู่เพียงใต้ฐานพระ ก็ทำให้
    ระลึกกุศลใหญ่ได้ ดำเนินกิจของพุทธบุตร หรือของสงฆ์ต่อได
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2009
  2. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    บาลีนั้นดี แต่ผู้ที่ไม่รู้มีมากกว่าผู้รู้ ตัวหนังสือคงไม่ได้มีไว้แค่สนทนา 2 คน หากมีคนที่สนใจอ่านแล้วผู้ที่ไม่รู้จะได้เข้าใจง่ายๆไม่ใช้อ่านทีก็ต้องไปค้นหาความหมายทีแล้วจะเข้าใจไหม ท่านผู้มีปัญญามาก รู้มาก[​IMG]
     
  3. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    ผีเสื้อราตรี...

    คุณนิวรณ์นั้นแกสายตรงพระอาจารย์ท่านหนึ่ง
    เกี่ยวกับคำบาลี หรือลักษณะสื่อที่พิมพ์ออกมา

    เช่นคำว่า สีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา หรือไตรสิกขาบท นั่นเอง
    ถิรสัญญา-การจดจำสภาวะ สสังขาริกัง-อสัขาริกัง
    อารมณ์สมมุติบัญญัติ-อารมณ์ปรมัตถธรรม เป็นต้น เหล่านี้คือศัพท์พระอภิธรรม

    ถ้าจะให้เข้าใจยิ่งขึ้นจากการอ่านเกี่ยวกับคุณนิวรณ์ที่พยายามสื่อออกมา
    ลองศึกษาจากหนังสือ วิมุตติมรรค ทางเอก หรือประทีปส่องธรรม เป็นต้น

    http://www.wimutti.net/pramote/
    http://www.wimutti.net/books/wimuttimak/main.htm?a=5
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็ขออภัยในสำนวนนะ มักเป็นประโยคกลับหลัง คล้อยตาม แล้วค่อย นิเสธ

    ก็คงเป็นสำนวนโบราณมาจากสมัยไหนไม่รู้ แก้ไม่ได้ วาสนามันเป็นอย่างนั้น

    * * * *

    ทีนี้ บาลี ทำไมต้องเสนอ ก็นั้นแหละ พอเห็นว่า คู่สนทนานั้นเริ่มไม่เข้าใจ
    การที่จะแสดงธรรมด้วยตัวหนังสือเพื่อให้เข้าใจธรรมะ ก็มีแต่การชักชวนวิธี
    ไหนก็ได้ ให้เกิดความอยากเข้าใจธรรมะตามปริยัติ เมื่อกระนได้แล้ว อย่าง
    น้อย ขณะที่สนทนากันนั้นคู่สนทนาจะไม่เข้าใจ แต่ก็พอพยากรณ์ได้ว่า เขา
    น่าจะไปศึกษาเพิ่มเติมเอง

    เว้นแต่อยากสนทนากันแล้วเข้าใจธรรมะ ก็ต้องไปหาพระท่าน พระจริงๆ
    ที่เราพร้อมจะให้ศรัทธา ไม่ตั้งแง่ หามุมเถียง ก็จะได้ ปัญญาแบบไม่กี่
    วินาทีเท่านั้น ก็อย่าง เค ขวัญ นั้นเป็นตัวอย่าง

    หากคนไหน ตั้งท่าจะเอาธรรมที่ตนรู้ ไปอวด ไปแสดง ไปทำวาทะ ส่วน
    ใหญ่กลับมานอกจากไม่ได้ธรรมะ ยังอาศัยการไปเสวนากับพระเป็นข้ออ้าง
    แก่ตนว่า ความรู้ที่ตนรู้ก่อนไปถามพระนั้นประเสริฐแล้ว แบบนี้ก็มีเยอะแยะ

    บางคนดูวาระจิต ดูธรรมข้างนอกได้ พอไปถึงวัด จิตไปสัมผัสความกว้าง
    โล่ง โปร่ง ไม่ติดไม่ข้องขันธ์5 เข้าก็คิดว่า ธรรมะของตน ทั้งๆที่จิตไปเกาะ
    หรือไปสัมผัสจิตพระท่านเข้า แบบนี้ก็มีให้เห็นหลายหนใน cd กว่าจะแก้ได้
    ก็แทบจะคว่ำพระ

    สรุปคือ ถ้าผีเสื้อเห็นว่า สนทนากับผมแล้ว ไม่เห็นประโยชน์ ก็ต้องมอง
    หาทางอื่นที่เป็นประโยชน์กว่าด้วยตัวเอง
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    นั่น ผมทำสำเร็จ มีการเอ่ยชื่อพระออกมาเอง ศรัธทาจิตพุ่งปรู๊ดไปนู้นๆแล้ว

    เค ขวัญ ขอคะแนน ให้ผมหน่อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2009
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    นั่น นั่น

    มีคนที่เคยฟังธรรมหลวงพ่อ แต่ไม่กล้าแสดงตัว แสดงตัวแล้ว

    เค ขวัญ ให้คะแนนผมหน่อย [​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2009
  7. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    ขอบคุณฮับ
     
  8. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    พี่นิวรณ์ก็ช่างปรุงดีนะ เราไม่เคยกล่าวคำว่าคำพูดท่านไม่เป็นประโยชน์เลย ถ้าท่านไม่เป็นประโยนช์หรือไม่มีคำพูดดีๆเราคงไม่สนทนาด้วยหลอก แต่การสนทนา ย่อมมีความเห็นที่ไม่ตรงกันบ้างท่านคงให้สิทธิ์เราพูดบ้างคงไม่ผิดนะ
     
  9. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    ไปทำธุระก่อนนะ พี่นิวรณ์สาระอยู่ไหนนะ อ๋อก็อยู่ตรงที่มันไม่มีสาระนี้เอง[​IMG]
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สาระจากผมเหรอ มะมีหรอก มีแต่กิเลส

    สันดานมันเสีย ชอบกระตุ้นชาวบ้าน !!!
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ให้คะแนน คุณเอกไม่ทันเลยนะ
    เมื่อก่อนก็ให้คะแนน ไม่ทันเหมือนกัน เล่นทุบเราซะ เป๋ไป เป๋มา
    เลยต้องรีบไปกราบหลวงพ่อ นี่กลับมา ก็ยังต้องให้คะแนน กันต่อ เป็นดอกเบี้ย ทบต้น

    หนึ่งปีผ่านไป ไม่เสียเปล่า ไม่ไร้ค่า ทุกกาลเวลามีความหมาย
    โลกหนึ่งเคลื่อนไป อีกโลกหนึ่งตื่นจากหลับ กลับมาเฝ้าดู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2009
  12. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2009
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ในคำประกาศบรรยายเกรียติคุณสงฆ์อันเป็นพุทธบริษัทที่สถิตในจิตผู้ใฝ่ศึกษา

    * * * *

    เรายังไม่เห็นกล้าเท่าท่านเลยนะนี่
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณผีเสื้อฯครับ
    ทั้งคุณเกสท์และคุณขันธ์ ก็ตอบได้กระจ่างดีนะครับ ผมเพียงแค่เสริมให้รัดกุมขึ้นเท่านั้น<O:p
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณผีเสื้อฯครับ คุณถามว่าเวลาทานข้าว เราทานหรือกายทาน
    ผมก็ต้องขอเคลียร์ก่อนนะครับ
    อันธรรมดาร่างกายคนเราทุกคนนั้นต้องการเพียงอาหาร(เท่าที่จำเป็น)เพื่อยังชีพเท่านั้น
    ทีนี้เมื่อเรามาครอง ความต้องการต่างๆนาๆ(อร่อย)ก็เพิ่มเติมเข้ามาด้วย
    ทีนี้ก็ไม่ใช่เพียงแค่ยังชีพเท่านั้น
    รูปกายหนะพอตั้งนานแล้ว(อิ่ม) แต่เราที่ยังอร่อยอยู่ไม่ยอมหยุด
    จึงได้เกิดปัญหาตามมา(โรคอ้วน)

    ทีนี้ในบางครั้ง เจออาหารที่เราไม่ชอบเข้า
    ถึงร่างกายยังไม่พอ(ยังหิวอยู่) แต่เราพอแล้วกายก็ต้องพอตามทั้งๆที่ยังหิวอยู่
    เพราะเราใช้สอยบังคับกายทำในสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบได้
    อันนี้อยู่ในบังคับบัญชาของเรา
    ส่วนที่อยู่นอกเหนือการบังคับบัญชาของเรานั้นก็มี ความตาย
    ความแก่ชรา ความเก่าคร่ำคร่า ความเจ็บไข้ได้ป่วยฯลฯ

    คุณผีเสื้อฯครับ เราพอสรุปได้แล้วนะครับว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
    จอมศาสดาจึงให้พวกเราชาวพุทธอบรมกาย-วาจาด้วยศีล อบรมจิตด้วย(สัมมา)สมาธิและปัญญา
    อันหลังนี้แยกกันไม่ได้นะครับเพราะเป็นอัญญะมัญญะปัจจัย ซึ่งกันและกันครับ...

    ;aa24
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    ต้องขออภัยด้วยนะครับ
    ใครก็ได้ช่วยอรรถาธิบาย
    ประโยคที่มันขัดแย้งกันเองนี้
    ให้กระจ่างเป็นรูปธรรมด้วยครับ

    ;aa24
     
  17. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ขออนุญาติคับ..เรื่องมันเป้นเช่นนี้ลองพิจารณาดูคับ..
    นี่คือการกระืำทำ...โดยผมหมายถึงการปฏิบัติธรรมนะคับ.(ไม่หมายรวมถึงการกระทำอย่างอื่นที่เป็นการทำการงาน)."ไม่ทำ โดยการรู้สึกตัว"..แปลว่าเป็นการกระทำ โดยเจตนาจะกระทำ คือจงใจทำ..ซึ่ในแนวการเจริญวิปสนาแบบเอาปัญญานำ สมถะ... เราจะเน้นที่ "การเ็น้นธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง"..เพื่อให้เข้าถึง หัวใจของการทำวิปัสนา คือเห็นไตรลักษณ์..
    เหตุที่..ไม่ทำโดยรู้สึกตัวเพราะว่า..โดยธรรมชาติของจิต ชอบที่จะเข้าไปยึดไปเกาะไว้...อันี้สังเกตุดูคับจิตเรามักคิดคำนึงอยู่กับอดีต..และปัจจุบันเสียเป็นส่วนใหญ่..จิตเรามีความยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูอยู่โดยธรรมชาติ...และเรายึดมั่นกลับสิ่งใหนมาก..ก็ทุกข์กับสิ่งนั้นมาก...หรือเช่น...ตาเห็นรูป..จิตก็เกาะปรุ่งแต่งกับรูปนั้น..หูได้ยินเสียง จิตก็เกาะปรุ่งแต่งอยู่กับเสียง.. นี่คือธรรมชาติของจิต
    ดั่งนั้นในการปฏิบัติธรรม การกระทำโดยจงใจกระทำ..มักจะเป็นแนวทางของ สมถะยานิก..(คือผู้ปฏิบัติสมถะนำวิปัสนา) การกระทำโดยการจงใจกระทำ จิตก็มักจะเข้าไปปรุ่งแต่งในสิ่งนั้นๆตามอำนาจของความยากที่จะทำ(คือตัญหา) และผลที่ได้ คือจิตเกาะอยู่กับสิ่งนั้น..หรือจมแช่อยู่ในอารมณ์นั้นๆ นิ่งอยู่...สุดท้ายก็เผลอไม่เห็นการเกิด-ดับ...เน้นนะคับว่านี่เป็นแนวการปฏิบัติของนักดูจิต..

    เพราะการทำโดย ไม่รู้สึกตัว ก็คือ โมหะคือความหลง..แต่ในชีวิตจริง เราคงกำหนด"ไม่ทำ"ไม่ได้..เพราะ การรู้สึกตัวขึ้นมาก็คือ ทำไปแล้วอ่ะ


    นี่แหละคับ ธรรมชาติของจิตที่ผมบอก..คุณหนึ่ง..ก็เห็นธรรมชาติของมันแล้ว...


    อันนี้วีธีของผมนะคับ...คือวิธีที่ผมปฏิบัติอยู่นะ คือการเอา อานาปานสติ มาผสมกับ การดูจิต.. คือ...เอาัวเผลอนึกเผลอคิด เป็นเครื่องฝึก...
    เช่น เราเผลอฮัมเพลงมาโดยไม่รู้ตัว ... พอสติเกิด"เอ๊ะ" ขึ้นมา เพลงนั้นก็หายไป..
    หรือ เราเผลนั่งคิดโน่นคิดนี่..พอสติ คือรู้สึกตัวขึ้นมา..."เอ๊ะ" ขึ้นมา เรื่องราวที่คิดนั้นก็ดับไป
    อันนี้ก็ตรงกับหลวงพ่อบอก .. สติแท้ๆ บังคับให้เกิดไม่ได้...เมื่อ เกิดสติแล้ว อกุศล(โมหะ)ย่อมดับไปตั้งอยู๋ไม่ได้

    ...พอจับสังเกตุได้ดั่งนี้ก็ให้ทิ้งตัว "เอ๊ะ" นั้นเสีย แล้ว ถอยสติที่รู้ตัวขึ้นมานั้มารู้ลมที่ผ่านเข้าออกที่ปลายจมูก.. ไม่สนใจเอ๊ะนั้นอีก เพราะมันจะปรุ่งแต่งต่อไป(เป็นหลงคิดตัวไหม่) อีก..ว่าเมื่อกี้ คิดเรื่องอะไร..ทำไม? ยังไง? จึงให้ ถอยมาดูที่ ลมหายใจแทน.. แล้วท่นี้เราก็จะเป็น ตัวจิตนึง รู้ลมหายใจอยู่ อีกจิตนึ่งมันก็ยัง คิดๆๆๆๆ.. นี่เท่ากับได้ จิตผู้รู้(สติ).. รู้สิ่งที่ถูกรู้นั้น (คือตัวคิดตัวนึก)...
    แรกๆ เอาแต่นี้ก่อน เอาให้ชำนาญ..คือ เขาจะรู้ของเขาเอง...โดยเราไม่ต้องไปกำหนดอีก...ไม่ต้องเอาัวเผลอเป็นเครื่องฝึกอีก..เมื่อ ทำจนชิน สติเขาจะรู้ของเขาเอง..เดี๋ยวก็รู้กาย.. เดี๋ยวก็รู้คิด เขาจะวิ่งไปรู้ของเขาเอง.. เด๋วก็รู้ นี่กิเลสเกิด..เห็นถึงอาการก่อนจะเกิด... นี่ต้องฝึกให้ได้อย่างนี้...ก็จะมาดูจิต ตัวที่ 3 คือเวทนา ต่ออ่ะคับ<label for="rb_iconid_30">[​IMG]

    นี่คือการเจริญสติในชีวิตประจำวันของผม...ส่วน การทำสมถะ สวดมนต์ก็ทำไปตามปกติ

    </label>
     
  18. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    ไม่ขัดกันหรอกคับคุณธรรมภูติ
    เพราะมันเป็นธรรมชาติของจิตรู้
    เช่นเราเผลอฮัมเพลงมาโดยไม่รู้ตัว ... พอสติเกิด"เอ๊ะ" ขึ้นมา เพลงนั้นก็หายไป..
    หรือ เราเผลนั่งคิดโน่นคิดนี่..พอสติ คือรู้สึกตัวขึ้นมา..."เอ๊ะ" ขึ้นมา เรื่องราวที่คิดนั้นก็ดับไป

    เห็นไหม่คับนี่แหละรู้ตัวขึ้นมาโดยไม่มีเจตนาตั้งท่าจะรู้ตัว ส่วนคำว่าด้วยการระลึกรู้ขึ้นมา คือเป็นการใช้ภาษาไทย อธิบายเป็นไทย อ่ะคับ

    คือคำว่า "รู้ตัว" กับคำว่า "ระลึกรู้ตัว" ผมมองที่อาการอ่ะนะคับเลยเห็นว่า มันคือ คำเดียวกัน ซึ่งอันนี้ถ้าคุณธรรมภูติ จะตีความอย่างไรก็ตามแต่นะคับนานาจิตตัง
    อย่างที่ผมเคยบอกคุณไป "อย่าไปเล่นกับพยัญชนะมาก คือ อย่าไปจับตัวอักษรมาแปลที่ละตัว บางที่ในการอ่านก็ต้องอาศัยดูความหมายโดยรวมด้วยอ่ะนะคับ นี่คือภาษาไทยคับ มันผันผวนได้...

    สาธุนะคับ
     
  19. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    คุณ ธรรมภูต ครับ

    อย่างนี้ไม่ขัดแย้งหรอกครับ

    ความจริงก็คือเผลอสติไป
    แล้วกลับมีสติระลึกรู้ขึ้นมา นั่นเองครับ
    และคิดว่าคงเผลอสติหลงไปกับสิ่งภายนอกนานพอดูครับ

    เพราะตัวเองเผลอสติไปยังไม่รู้ว่าตัวเองเผลอสติ

    แล้วกลับมองว่าเป็นสิ่งที่ดีกับการมีสติชั่วครั้งชั่วคราว
    แต่เวลาที่เผลอสติไปตั้งนานกลับไม่เสียดาย
    ดีใจกับแค่มีสติระลึกรู้ได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

    ท่านผู้ที่จะเจริญสติปัฏฐาน 4
    แล้วบรรลุธรรมได้ 7 วัน 7 เดือน 7 ปี นั้น

    ท่านมีสติตลอดเวลาครับ
    ไม่ใช่มีสติชั่วครั้งชั่วคราวแบบนี้

    สติต้องติดแนบตลอดเวลาครับ

    "การรู้ตัว แบบไม่เจตนา"
    ความหมายก็คือ ก่อนที่จะรู้ตัว นี่
    เผลอสติไปถึงไหนต่อไหนแล้วไม่รู้
    พอระลึกรู้ขึ้นมาได้ ก็ว่าตัวเองไม่เจตนา
    อย่างนี้คนไม่ปฏิบัติธรรมเค้าก็เป็นแบบนี้เหมือนกันครับ
    ไม่ต่างอะไรกับคนไม่ปฏิบัติธรรมเลย

    การจะกระทำสิ่งใดต้องมีความจงใจ ตั้งใจ เจตนา ครับ
    ถึงจะสำเร็จลงได้

    แล้วนี่การรื้อถอนภพชาติ
    จะมาเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ไม่มีทางครับ

    สติเมื่อชำนาญแล้ว
    เจตนาจะตั้งก็ตั้งได้ทันทีครับ
    ไม่ต้องรอให้เกิดขึ้นเอง
    ที่รอให้เกิดขึ้นเองนี่ คือ สติยังกำลังไม่พอ
    ถ้าเป็นสตินทรีย์ แล้ว ตั้งเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น และไม่ล้มด้วย
     
  20. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    คิดถึงคุณนิวรณ์

    [​IMG] ฝากความคิดถึงคุณนิวรณ์นิดนึ่งคับ การที่เราจะกล่าวธรรมให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟัง (หรือสอนธรรมใคร)ก็น่าจะกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือใส่คำอธิบายเป็นวงเล็บต่อท้ายไว้ด้วยก็ดีนะคับ
    หรือถ้าหวังว่าจะให้เขานำไปปฏิบัติได้ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟัง เราก็ต้องกล่าวธรรมตามภูมิของผู้ฟัง เช่นผู้ฟังเป็นผู้ไหม่ต่อพระอภิธรรม คำบาลี เราก็เอาคำความหมายเดียวกันเอามาอธิบาย เมื่อผู้ฟังเกิดความเข้าใจ นำไปปฏิบัติได้ บุญกุศลก็จะเกิดกับคุณนิวรณ์อย่างเต็มกำลัง
    ...แต่ ถ้าผู้ฟังเจอคำยากๆ แล้วเลบพาลเบื่อในพระธรรมคำสอนไปเลย คือเลิกสนใจเลิกปฏิบัติ กรรมนั้นก็จะตกกับคุณนะคับ เพราะเหตุที่เขาเลิกปฏิบัติมาจากความไม่เข้าใจในบาลีที่คุณกล่าวก็เลยคิดว่ายาก ไม่เอาแล้ว
    ...หรือ ผู้กำลังปฏิบัติอยู่ เราก็เห็นอยู่ว่าเขาติดตรงไหนก็พยายามช่วยอธิบาย แต่ด้วยภาษาที่คุณใช้ ทำให้เขายิ่งสงสัยหนักขึ้น แทนที่จะให้ยาที่ตรงกับโรค จะกลับกลายเป็นยาพิษ เกิดความเนินช้าเข้าไปอีก
    ...และที่สุดในการกล่าวธรรม ผู้ได้ความเข้าใจแจ้งในธรรม ย่อมสามารถพูดสิ่งยากๆให้ฟังดูง่ายเพื่อความเข้าใจในธรรมและนำไปปฏิบัติได้ แต่ถ้าเราคุยธรรมเอาแต่ที่เราเข้าใจคนเดียว โดยไม่สนใจใครเขาเรียกฟุ้งธรรมนะ

    ควรมิควร แล้วแต่คุณจะพิจารณานะคับ ผมก็ทำหน้าที่ของกัลยาณมิตรที่ดีเท่านั้นเอง สาธุ..[​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...