เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 26 ธันวาคม 2008.

  1. หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ

    หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +22
    คนเรามันต้องมีการไว้ภูมิกันบ้าง
    ถ้าพูดธรรมเข้าใจง่ายๆ แบบ อ ขันธ์
    เดี๋ยวจะถูกหาว่า เป็นธรรมพื้นๆ
    ใช่ไหมครับ พี่เล่าปัง หุๆๆๆ
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เราเป็นแม่ประเภท ตามใจลูก จะยอมให้ลูกเจ็บ เพื่อให้เจ็บเป็นครู สั่งสอนลูก
    ทีนี้ เป็นทิฏฐิ ในแบบของเรา ของคนอื่น ก็ต้องตามจริต ตน
    อยู่ที่เราเลือกวิธี จะสอนลูกเอง ซึ่งคนอื่นอาจเห็นว่าไม่ถูกก็ได้

    คนอื่นๆ เขาก็มีวิธีสอนลูก ของตนเอง อยู่แล้ว
    เพราะลูกของใคร ก็ต้องมีวิธีของตนเอง ที่จะสอน
    ไม่มีแบบตายตัว ว่าต้องวิธีนี้

    ลูกดื้อ หรือไม่ดื้อ ลูกฉลาด หรือไม่ฉลาด ลูกโกงเก่งหรือไม่
    ลูกแสบมาก แสบน้อย ลูกมีนิสัยเป็นอย่างไร ก็ต้องรู้ตัวความจริงของลูกก่อน
    จะได้รับมือลูกได้ถูกทาง แล้วสอนลูกตามจริตของลูก จะได้ผลตามที่เรา
    มุ่งหวัง จะให้ลูกได้ดี

    ที่สำคัญคือ รู้จักลูก ให้ได้แท้จริง ย่อมเห็นหนทางเดินได้ถูกทาง
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ถ้าจะยกให้ดูดีหน่อย คือ เคขวัญมีญาณทัสนะ ญาณทัสนะในด้านไหน ก็ต้องมาดูให้ละเอียดกันด้วยการถาม เช่นว่ามี วิมุตติญาณทัสนะ คือ อาจจะเห็นว่า ที่สุดแล้วเป็นเช่นนั้น
    แต่ก็บอกอะไรไม่ได้ เพราะ ไม่มีวาสนากัน

    ทีนี้ เมื่อมีญาณทัสนะเกิดขึ้น ก็เป็นดวงปัญญาที่เกิด แต่ถามว่า เข้าสู่กระแสหรือไม่ ก็ตอบว่าไม่ เพราะ มหากุศลอันเป็น อริยมรรคญาณยังไม่เกิด

    ก็ ถ้าผม เป็นครูบาอาจารย์ของเคขวัญ ผมก็คงจะต้องพูดให้ ไม่ประมาทและไม่ใช่หยุดอยู่กับการศึกษาเพียงเท่านี้ และอย่าปักใจ หยุดศึกษาโดยเอาทัสนะของตนเป็นที่ตั้ง เพราะการยึดในทัสนะว่าจะต้องแบบนั้นๆ ก็คือ การยึดเช่นกัน

    ดังนั้น ต้องศึกษา แม้กระทั่ง พระอริยะบุคคล ชั้นพระโสดาบัน จนถึง อนาคามี ก็ยังต้องศึกษา มีแต่ อรหัตตผลเท่านั้น ที่ไม่ต้องศึกษา

    ศึกษานี้ จะต้องศึกษา อบรม ธัมมวิจย ให้มาก ให้รอบคอบ ให้ไม่ประมาท
    ต้องศึกษาต่อไป วางทัสนะที่มีทิ้งไว้ คนเราถ้าไม่กลัว ก็ต้องปล่อยหลักได้

    แต่ถ้าขี้ขลาด ไม่มีแรง มันก็ต้องยึดหลักนั้นไว้อยู่อย่างนั้นแหละ ไปไหนต่อไม่ได้
     
  4. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    ถ้าเช่นนั้นลูกคุณขวัญ(จิต)ก็สอนได้ เป็นไปยังคุณขัญหวังให้ลูกดีได้
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    พูดถึงเฉพาะ ตัวเรานะ

    รู้ตัว ของเรา มีทั้ง เจตนา และไม่เจตนา

    สิ่งที่ถูก คือ รู้ตัว ด้วยไม่เจตนา เป็นการรู้ตัว ด้วยสติเกิดเอง
    เป็นสิ่งที่ควรเจริญให้มีมากๆ อันนี้ ทำให้จิตเกิดปัญญา

    ถ้า รู้ตัว โดยเจตนา อันนี้ ได้สมถะ ได้กำลัง จิตไม่เกิดปัญญา
    คือเราไปจดจ่อ ไปเพ่งไว้ ประคองรู้ตัวไว้ ด้วยเจตนา

    ในวันหนึ่งๆ เรามีทั้ง 2 แบบ
    แต่สิ่งที่เราปรารถนาจะเจริญให้มากๆ คือ รู้ตัว โดยไม่เจตนา คือ ไม่ทำ
    เพราะ สิ่งนี้เกิดจากจิตมีสติรู้ตัว สติเกิดเอง ไม่ใช่เราทำ

    ซึ่งสิ่งที่เราปรารถนา นั้นเราสั่งให้เกิดไม่ได้ มีแต่สะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ
    ซึ่งเราทำด้วยความรู้ตัว เท่าที่กำลังของเราจะเป็นไปได้ แบบ ไม่พัก ไม่เพียร
     
  6. บุคคลทั่วไป 1 คน

    บุคคลทั่วไป 1 คน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +7
    ขออนุญาตคุณขวัญชี้สิ่งที่เพิ่งเห็นเมื้อกี้นิดนึง
    อย่าหาว่าสอนนะครับ เรียกว่าสะกิดเตือนดีกว่า
    เหมือนเวลาเรานั่งในห้องเรียน เราเผลอหลับ สะดุ้งตื่นขึ้นมาทีนึง ก็สะกิดเตือนเพื่อนทีนึง
    พอถึงคราวเราหลับบ้าง เพื่อนก็สะกิดเตือนเราทีนึง

    การ "ไม่ทำ โดยการรู้สึกตัว" นี่แหล่ะมันเป็นบัญญัติซึ่งต่อยอดออกมาจาก "ไม่ทำ โดยไม่รู้สึกตัว"
    มันเป็นกิริยาอย่างเต็มตัว ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติของเรา
    เราจะละกิริยาหนึ่ง แต่เราก็ถูกดูดไปบัญญัติ/สร้างกิริยา หนึ่งขึ้นมาอีกโดยไม่รู้ตัว
    เพราะเราติดอยู่กับลักษณะที่เป็นคู่ ยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งผูกมัด สร้างบัญญัติใหม่ๆ ออกมาหลอกเราไปเรื่อยๆ
    ทำอย่างไรจึงจะหลุดออกไปได้? อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน เพราะยังติดอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวคงมีผู้รู้มาช่วยแคะออกให้
     
  7. หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ

    หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +22
    คุณขวัญพยายามบอกว่า รู้ตัว โดยเจตนาให้มาก เพื่อให้ถึง ความรู้ตัว โดยไม่เจตนา เพื่อให้สติเกิดเอง ปัญญาเกิดเอง จึงจะถึงขั้นที่เรียกได้ว่า ไม่ทำก็เหมือนทำ ทำก็เหมือนไม่ทำ
    ผมเข้าใจถูกไหมครับ...
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ในเมื่อเธอไม่สงสัยใน ศีลสิกขาของคุณขวัญก็ดีแล้ว

    เพราะ คุณย่อมรู้อยู่ลึกๆว่า คุณขวัญนั้น ปฏิบัติอยู่ในศีล อีกทั้งปฏิบัติ
    ชีวิตอยู่ในความสงบแบบสมาธิสมถะด้วยการสวดมนต์บ้าง ทำสมาธิบ้าง
    เรียกว่า อยู่ในความปรกติ ทำอยู่เป็นนิจ ทำอยู่เนือง มีสิ่งที่ทำอยู่แล้ว
    และทำดีอยู่ตามอัตภาพ

    เมื่อ คุณวิมุตติ ไม่สงสัยในข้อต่างๆเหล่านั้นของคุณขวัญ ก็จะพร้อมจะ
    รับฟัง สิกขาบทที่สอง เป็นสิกขาลำดับที่สองของ ไตรสิกขา

    คือ จิตสิกขา

    ซึ่งก็คือ การยกดูสภาวะธรรม สภาวะธรรมคืออะไร ก็คือ การกระทำ
    ทุกๆอย่าง ที่คุณขวัญเขาทำอยู่ กุศลกรรมบททั้งหลายทำอยู่ อันคุณ
    วิมุตติไม่สงสัยแล้วว่า คุณขวัญไม่ได้อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ทำดี ปฏิบัติชอบ
    ก็ให้ยกจิตขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์ คอยดูการกระทำ
    เหล่านั้นที่ทำอยู่โดยปรกติอยู่แล้ว โดยการกระทำครั้งนี้ จะถือว่า ไม่
    ได้ให้ทำอะไรอีก นอกจากดู หรือ สังเกตุการณ์ เพราะ กริยาการกระ
    ทำทั้งหลายนั้นดำเนินอยู่เป็นพื้น แล้วมีอีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ดูอยู่ข้างบน

    การยกระดับการศึกษาขึ้นเป็นผู้สังเกตุ จึงเป็นเรื่องของการตามรู้ ดูอย่างเดียว

    ไม่ต้องทำอีก เพราะ เรื่องการทำ กุศลกรรมบท10 นั้นดำเนินอยู่แล้ว
    จะรักษาศีลอยู่ ก็ให้ยกจิตขึ้นดู
    จะเสียศีลไป ก็ให้ยกจิตขึ้นดู
    จะทำสมาธิอยู่ ก็ให้ยกจิตขึ้นดู
    จะทำสมาธิไม่ได้ ก็ให้ยกจิตขึ้นดู
    จะทำบุญทำทานอยู่ ก็ให้ยกจิตขึ้นดู
    จะตระหนี่อยู่ ก็ให้ยกขึ้นดู
    จะสงสัยอยู่ ก็ให้ยกขึ้นดู
    จะพยาบาทอยู่ ก็ให้ยกขึ้นดู

    เรียกสภาวะที่กระทำอยู่ต่างเหล่านั้น ว่า สภาวะธรรม

    สภาวะธรรม ที่เห็นต่างๆเหล่านั้น เห็นโดย ผู้รู้ ผู้ดู เป็น
    อีกจิตส่วนหนึ่งทีแยกออกจากจิตที่ทำกิจต่างๆอยู่

    เหมือน คุณวิมุตติ สอนนักเรียนไปแล้ว แสดงวิธีไปแล้ว ซักซ้อม
    การปฏิบัติไปแล้ว จนเห็นนักเรียนพอทำได้แล้ว คุณวิมุตติก็ต้อง
    มานั่งลงที่โต๊ะครู ดูนักเรียนทำงานของเขาไป คุณวิมุตติทำได้
    แค่เป็นผู้สังเกตุ ดูอย่างเดียว ดูเฉยๆ ไม่ไปยุ่งอะไรกับเด็กอีก เพื่อ
    ให้เด็กทำอะไรต่างๆของเขาเอง จะทำงาน จะซน จะแซว ก็ทำได้
    แค่เฝ้าดูห่างๆ ไม่จ้อง ไม่เพ่ง จนเด็กขาดความสุข ผิดปรกติไป
    จากการดำเนินชีวิตตามความเป็นจริง

    จนจิตคุณวิมุตติ ตั้งมั่น ไม่เผลอทำตาดุ ไม่เผลอขว้างแปรงกระดาน
    ไม่เผลอกากบาทหัวกระดาษนักเรียน ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเด็ก

    เด็กเขาก็จะดำเนินการเรียนรู้ เพื่อเดินได้ด้วยตัวเขาเอง

    เมื่อจิตคุณวิมุตติตั้งมั่นเป็นผู้สังเกตุการณ์ได้อย่างมั่นคง จิตก็ไม่เหนื่อย
    กับการตามรู้ตามดูนักเรียนอยู่ห่างๆ เด็กจะทำดีได้ หรือทำไม่ได้ ก็
    วางใจเป็นกลาง พร้อมช่วยเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร

    คุณวิมุตติ ก็จะพบว่า ในการ ดูเฉยๆ มี สติชนิดหนึ่งเกิดขึ้น และการเกิด
    สติชนิดหนึ่งเกิดขึ้นตั้งมั่นได้ ก็จะมีสมาธิชนิดหนึ่งเกิดขึ้น เกิดขึ้นบนพื้น
    ฐานของการเป็นผู้สังเกตการณ์ ดูเฉยๆ

    เมื่อรู้จัก สติชนิดนั้น และ สมาธิชนิดนั้นๆแล้ว ก็ให้มาเปล่งอุทาน แบบ
    คุณ หลินจิ่งเฉิน และ คุณบุคคล 1

    ก็จะพบว่า สิกขาบทที่ 3 ปัญญาสิกขา นั้นรอให้ศึกษาเป็นลำดับถัดไป
     
  9. บุคคลทั่วไป 1 คน

    บุคคลทั่วไป 1 คน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +7
    ไม่ทำ โดยการรู้สึกตัว
    เวลาเราบอกว่าเรารู้หน่ะ หากมองให้ดี มันเหมือนมีเราที่อยู่หลังตัวรู้นั้นอีกทีนึง
    นั่งอยู่ข้างหลัง ขี่คอเราเลย เรามองไม่เห็น แต่รู้สึกได้
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยังสอนกันอยู่ สอนกันไป สอนกันมา

    แต่ปฏิบัติธรรม ด้วยการ รู้กาย รู้ใจ อย่างที่เขาเป็น
    แต่ธรรมชาติของจิต ชอบหลง ไป ก็มีเตือนตนอยู่บ้าง
    ถ้าไม่เตือนเลย แล้วรู้ตัวเองได้เนี่ย ถึงจะเรียกว่าสุดยอดจิตรู้ตัว ของจริง
    ยังทำไม่ได้หรอก พูดไว้งั้นแหละ เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติของเรา

    แต่หลักๆ ก็ เจริญสติ รู้ตัว รู้อารมณ์ความรู้สึก รู้ความจริงไว้

    อย่าพยายามไปตีความ ไปคิดเพื่อรู้เรื่องธรรม

    พอรู้ตัว ว่าทำ ก็หยุด ถ้าไม่รู้ก็ทำไป รู้ตัวเมื่อไร ก็หยุด

    ก็เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าอยากมาก ก็ทุกข์มาก
    พอรู้ตัวว่าทุกข์เพราะอยาก ก็เลิกอยากเป็นพักๆ
    ไม่รู้ตัวว่าทุกข์ ก็อยากต่อไป นั้นแหละ
    แต่ว่า ไม่ค่อยรู้ตัวหรอกนะ ที่พูดมา ก็เป็นทางที่เดินเท่านั้น
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อันนี้ขอยืน คำตอบตาม บุคคล 1

    ผีเสื้อต้องอยู่ระหว่างพึ่งโดนเตะก้นมา ถึงจะเข้าใจ

    ถ้าไม่ได้โดนเตะก้น ความเจ็บหายไปแล้ว แล้วจะมาถาม
    เอาคำพูดไปทำความเข้าใจ จะเข้าไม่ถึงคำอธิบาย

    ดูอย่าง คำที่เราบอกคุณวิมุตติข้างบน เราอาศัยว่า เมื่อไม่
    นานมานี้ เขาได้พาลูกศิษย์ไปฝึกกรรมฐาน หากอาการเจ็บ
    ก้นยังอยูในวาระจิต พอระลึกกลับไปดู ไปเห็นสภาวะธรรมได้
    ก็จะเข้าใจ

    แต่ถ้าระลึกไม่ได้ พยายามอ่าน แล้วตีความด้วยการเข้าใจ
    จะไม่รู้เรื่อง

    * * *

    เหมือนตอนเราคุยกัน เรื่องการเห็นตัวหนังสือ สภาวะต้องพึ่งเกิด แล้ว
    ยังพอระลึกความรู้สึกได้ ก็จะพอชี้ทางได้ แต่ความรู้สึกจริงๆ มันหาย
    ไปแล้ว เหลือแต่เพียง สัญญาหมายรู้แล้ว คุยแล้วจะแค่ พอเหมือนๆ แต่ไม่ใช่

    หากคุยไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มๆ งงๆ ว่า พูดอะไร ทำไมไม่เห็นจะได้ความรู้อะไรเลย

    หากคุยต่อไปอีก จะเริ่มทะเลาะกัน

    ทั้งนี้ การสอนของเรา ซึ่งเป็นวิธีของหลวงพ่อนั้น จะเรียกว่า การชี้สภาวะธรรม

    การชี้สภาวะธรรม คือ ชี้ให้ดูความรู้สึกตามที่จิตเป็นอยู่ ครองอยู่ จึงเป็นเรื่องชี้
    ตัวความรู้สึก ไม่ใช่ชี้ให้ทำความเข้าใจ

    อย่าง เค ขวัญ ไปเรียนกับหลวงพ่อ เค ไม่ต้องทำความเข้าใจ แค่น้อมไปดู
    ความรู้สึกขณะนั้นที่จิตมันครองอยู่ พอเห็นปั๊ป ก็จบ จิตสิกขาด้านปริยัติ ที่เหลือ
    ไปทำต่อเอาเอง พอทำได้มากหน่อย สติเกิดขึ้นถี่ จนตั้งมั่นพอเป็นสมาธิ ก็จะ
    ควรแก่เวลาที่จะไปหาพระ เพื่อให้ท่านสอน ปัญญาสิกขา แต่จะไปหรือไม่ไป
    ก็ได้ เพราะทุกอย่างมีใน cd หมดแล้ว แต่ต้องเอาสภาวะธรรมในปัจจุบันที่เป็น
    เข้าเทียบให้ทันเสียงเทศน์ หากลงตัวพอดี ก็แจ่มได้เอง เข้าใจ ปัญญาสิกขา
    ได้

    ที่เหลือก็คือ ต้องทำต่อไป 7 วัน 7 เดือน 7 ปี 7 ชาติ ก็ว่ากันไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2009
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ที่บุคคล 1 พูดมาดีมากนะ ถามว่าแล้วจะหลุดอย่างไร ที่เรียกว่า ตื่นอย่างแท้จริง

    เอาสำหรับผมนะ สมัยที่ยังติด มันทำอะไรมันก็ติดอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนจะมีสติ แต่มันก็จับอยู่กับเรื่องเดิมๆ เห็นแบบเดิมๆ นี่เราตื่นขึ้นมาด้วยคำพระคำหนึ่ง

    ท่านว่า วันคืนล่วงเลยผ่านไป เราทำอะไรอยู่ นี่มันตื่นขึ้น ไอ้ที่เคยคิดว่าจะต้องปฏิบัติธรรม
    ไอ้ที่เจริญภาวนาสติอยู่ ไอ้ที่เรากำลังพิจารณาธรรม ส่งๆ เดช ด้วยความไม่รู้ ด้วยกิเลสตัณหา นั้นแหละ แต่ไม่ใช่ว่า ได้สติด้วยคำๆ นั้นแล้วบรรลุธรรมนะ แต่มันทำให้เราตื่นขึ้นระดับหนึ่ง ที่จะเห็น ทางที่เราจะต้องเดินถูกต้องขึ้น ทีนี้ไอ้อาการตื่นนั้นแหละ เราจะรู้สึกว่า นั่นแหละ ธรรมปรากฎ ให้เราเห็นจริงๆ ว่า เรานั่งจ้องอะไรกับมัน นั่งจับสติตลอดทำไม
    เห็นไหมว่า มันเป็น สีลพตรปรามาส ที่เขาเรียกว่า เพียรเกินนั่นแหละ ทีนี้ ถ้ามันมีกิเลส มันก็จะมีให้ดูตลอด มันก็ไม่สงบสักที มันก็เหนื่อย เพราะว่า ไม่ทำ พละอินทรีย์ให้ดีเสียก่อน



    มันตื่นขึ้นทันทีว่า นี่เรากำลังทำอะไร จากนั้น กิริยาของกิเลสที่ผลักดันเรา ก็ดับหายไป
    ก็เกิด อาการตื่นขึ้น เห็น ทางที่ถูกต้อง ที่เราต้องทำ

    ก็เพราะมี สักกายทิฎฐิ คือ มีเรา มันก็นำไปสู่การสงสัย นำไปสู่ การเดินไปผิดทาง
     
  13. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    คุณนิวรณ์ก็เหมือนเดิมใช้ตัวหนังสือเยอะ พิมพ์เยอะไม่เหนื่อยเหรอ ปริยัติก็เยอะ ปฎิบัติก็คงเยอะ รู้ก็คงเยอะ เราดูตัวหนังสือถ้าดูแต่รูปก็คือแค่เห็น สีไม่มีความหมายก็ไม่เข้าใจ แล้วเป็นประโยชน์ไหมที่แค่เห็นเมื่ออ่านก็รู้เมื่อรู้ก็คิดเทียบเคียงกับสิ่งที่รู้เมื่อคิดก็มีถูกใจไม่ถูกใจ แล้วไตรลักษณ์คุณเอกวีร์คงเห็นมาเยอะนะแล้วเมื่อเห็นมาเยอะแล้วใจคุณวางแค่ไหน กิเลสเบาบางแค่ไหน เราว่าหลายคนที่เห็นไตรลักษณ์แล้วใจไม่วางก็มีเยอะไปรู้ธรรมมากแต่ทำไม่ดีก็เยอะไป ถูกผิดยังไงบอกได้สอนได้ แค่อยากแสดงความเห็นบ้างเท่านั้น
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ผีเสื้อ ตั้งเป้าหมายสูงเกินไป สูงเกินวัตถุประสงค์ของการเริ่มศึกษา

    พอมาเริ่มภาวนา ก็จะตั้งว่า กิเลสต้องหาย แบบนี้จะทำให้ฝุ้งซ่าน
    และภาวนาผิดลำดับขั้นตอน

    ถ้าจะให้ กิเลส หาย มันทำไม่ได้ มีแต่ทำให้บรรเทาเบาบาง ซึ่ง
    ทั้งหมดยกให้เป็นเรื่อง ศีลสิกขา หรือ กุศลกรรมบท 10 ให้ศึกษา
    ตรงนั้นให้เข้าใจ ให้ดำเนินชีวิตตามศีลสิกขาบทจนเกิดความสุขใจ
    ที่ได้ทำตามศีล พอวางใจเรื่องศีล หรือ ความเป็นปรกติในชีวิตประ
    จำวันของตนแล้ว ก็ค่อยมาเริ่มภาวนาขั้นต่อไป

    การภาวนาขั้นต่อไป ก็ยังเป็น จิตสิกขา ไม่ใช่ ปัญญาสิกขา ดังนั้น
    ขั้นที่สอง ก็อย่าพึ่งตั้งเป้าหมายว่า กิเลสจะต้องถูกประหาร กิเลสที่
    ถูกรู้ถูกดูในระดับนี้ จะเป็นแค่ชั่วคราวเหมือนเดิม เหมือนกับการดำเนิน
    อยู่ใน บทศีลสิกขา แต่ยกขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เรียกว่า รักษาศีลที่จิต
    คือ เจริญสติเพื่อรักษาจิต

    เมื่อทำการศึกษาศีลสิกขา จิตสิกขา ดำเนินอยู่ได้อย่างมีความเป็นปรกติสุข
    แล้ว ก็จะพร้อมศึกษาบทที่ว่าด้วย ปัญญาสิกขา ตอนนี้ก็ค่อยระลึกดูการ
    สิ้นไปของอนุสัย จะเป็นเฉพาะอนุสัยเท่านั้นทีหายไป หรือ ดีขึ้นจริงๆ ไม่
    ใช่การยึดถือการทำแบบศีลสิกขา และไม่ใช่การรักษาด้วยสติตามบทจิตสิกขา
    เพราะมันเริ่มเกิดญาณทัศนะแล้ว

    เมื่อญาณทัศน์ดำเนินไปถ้วนดี กิเลส ถึงจะเข้าสู่กระบวนการประหาร พร้อมกับกระบวน
    การของแจ้งอริยะสัจจรอบหนึ่งๆ ในลำดับการเกิด มรรคจิต ผลจิต ซึ่งนั่นแปลว่า ต้อง
    เห็นอริยสัจจแล้วอย่างน้อย 1 รอบขึ้นไปกิเลสถึงจะหายไปจริง กิเลสจึงพึงหวังได้ว่าได้สิ้นไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2009
  15. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    เราไม่ได้ถามเรื่องศิลกับท่าน เราถามเกี่ยวกับตัวท่าน และกิเลสของท่านและใจของท่าน มิได้เกี่ยวกับเราในคำถาม
     
  16. บุคคลทั่วไป 1 คน

    บุคคลทั่วไป 1 คน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +7
    คุณเอกวีร์แกวางก้อนหินของแกไปตั้งนานแล้ว
    ผีเสื้อจะไปช่วยแบกก้อนหินแทนแกทำไมอ่ะ :)
     
  17. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    แบกต่อกันเหรอ คุณบุคคล1เอาสักก่อนไหมอะ [​IMG]
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ๋อ กิเลสเราบานเต็มหัว ยิ่งภาวนา ยิ่งเห็นมันเต็มไปหมด

    ยิ่งเห็นก็ยิ่งมัน พอจับกลุ่มการเห็นได้ ก็เห็นว่า อ้อ นี่อนุสัย

    พอเห็นว่า อ้อ นี่อนุสัย ก็เริ่มละ กลับไปทำด้วยศีลสิกขาบ้าง
    หรือ ด้วยสติที่เจริญตามจิตสิกขาบ้าง หากครั้งไหนละอนุสัยด้วย
    บทว่าด้วยศีลสิกขา ก็แปลว่า เผลอไปแล้ว สร้างกรรมไปแล้ว ก็
    ต้องรับวิบากไปตามนั้น โดยเห็นมันเกิดขึ้นแก่จิต เห็นสภาวะธรรม
    ของจิตมันหมองเป็นวิบากให้เห็น

    แต่ถ้าวันไหน ระงับด้วยสติที่เจริญได้ตามบทจิตสิกขา ก็ดีหน่อย
    มันไม่หมอง แต่จะมีหนักๆ แน่นๆ แข็งๆ ที่ทรวงอก อันนี้ก็เพราะ
    ยังมีเจือเจตนาอยู่ ยังมีอภิชญา โทมนัสจึงปรากฏ ก็เห็นเจตสิก
    เหล่านี้ปรากฏ เราก็อาศัยระลึกมาดู เป็น จิตสิกขาทั้งหมด ก็
    ต้องทำไปเรื่อยๆ เนืองๆ

    จน สติ ที่ได้จาก จิตสิกขาเกิดได้จำนวนมาก ตั้งมั่นดี ก็ไม่มีการ
    ผิดศีล แข็งๆ เกิดวิบาก เห็นกรรมส่งผลลงที่จิต ก็จะมีปิติ มีสุข
    มีปัสสัทธิ ตอนนั้นไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ จิตจะร้องแล่แห่กระเชิง
    เกิดอาการ วิปัสสนาญาณจะบังเกิด ก็ต้องสังเกตให้ดี หากมัน
    จะพิจารณา ก็ต้องช่วยนั่ง หรือ ยืนสงบนิดหน่อย ให้มันได้มีกำลัง
    ส่ง พอมันมีกำลังส่ง ก็ไม่แน่ ผลจะมีสองทางคือ มันยังไม่อิ่ม
    เห็นยังไม่อิ่ม หรือ ไม่ก็เห็นว่ามันเสื่อมไปเลย สติที่เจริญมาทั้งหมด
    มันหายไปเกลี้ยง ก็ว่ากันใหม่ เริ่มกันใหม่ ไม่เพียร ไม่พัก แต่
    ไม่เลิกขยันทำเหตุ
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อยากบอกว่า ตรงสีแดง ยังไม่ตรงกับใจเรา อธิบายต่อ
    เพราะ เรามีเป้าหมาย จะรู้ตัว อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยไม่เจตนา
    ทีนี้ โลกมันเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา อยู่แล้ว
    เพียงแต่เราใช้ประโยชน์จาก ดูโลกเคลื่อนไป โดยรู้ตัว แบบไม่เพ่งโลก
    ไม่เจตนาไม่ทำ ให้รู้ตัว แต่สะสมประสบการณ์ การรู้ตัว แบบไม่เจตนา
    ด้วยการระลึกรู้ตัว ขึ้นมา

    ถ้าเราเจตนา เราจะตั้งความรู้ตัวไว้ตลอดเวลา มันก็ไม่เป็นธรรมชาติ
    เราจะ ไม่ทำ ปล่อยให้ธรรมชาติของจิตแสดงตัว แล้วรู้ขึ้นมาเอง
    ก็เจริญสติให้เกิดเอง แบบของเรา สรุปอีกที แบบง่ายๆ ก็คือ
    ปล่อยเผลอไป แล้วตามรู้เอา เป็นจริต ของเรา

    ไม่ทำ ก็คือ ไม่ทำ ทำ ก็คือ ทำ
    เจตนา ก็คือ เจตนา ไม่เจตนา ก็คือ ไม่เจตนา
    ดูและรู้ ทุกสิ่ง ที่เกิด ตามความเป็นจริง ด้วยความรู้ตัว

    ให้เป็นธรรมชาติ ก็จะรู้ความจริง ตามจริง
    ถ้า ดัดแปลง แทรกแซง ทำ ก็ ไม่เห็น ความจริง
    เพราะหลงไปกับการทำแล้ว
     
  20. ผีเสื้อราตรี

    ผีเสื้อราตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,141
    ค่าพลัง:
    +283
    บาลีเข้าใจยากจัง(ใช้เดาเอานะที่เป็นบาลี)ที่พูดมาก็คือไม่มีอะไรซับซ้อน ของธรรมดา ธรรมชาติ ปกติ แต่พูดทีไรฟังยากจัง เราอ่อนบาลีด้วยนะ ปริยัติก็น้อง ปฏิบัตินี้ไม่ต้องพูดถึงรู้เท่าที่รู้แค่นั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...