เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    ปีจอ

    ช่าง สังเกตเป็นเลิศ - ให้เกียรตคนอื่นเสมอ - มีอารมณ์ขันเหมือนกันนะ - รู้ชนะ รู้อภัย - ปากกับใจตรงกันเสมอ - เป็นลูกศิษย์ Batman - เป็นลูกศิษย์เปาบุ้นจิ้น - มองคนเก่ง อ่านคนเป็น - ไม่ชอบโอ้อวดตน - เพื่อนพ้องน้องพี่ต้องมาเป็นอันดับ 1 - บางครั้งก็เอะอะโวยวายไม่เบา - สนใจใฝ่รู้เกินเหตุ - มักเดือดร้อนแทนเพื่อน - โกรธง่าย หายเร็วมาก - เปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน - รอบคอบ ไม่ประมาท - ไม่ปลื้มความหรูหราเลอเลิศ - ชอบเคลียเคล้าพะเน้าพะนอ - รักง่าย แต่ไม่หลายใจ ชัวร์! - ขี้สงสัย ขี้ระแวง - บางครั้งก็เชื่อคนง่ายเกินไป - มักเขม่นผู้อื่นง่าย - ขี้บ่นไม่เบาเหมือนกัน - ปลอบเพื่อนได้เก่ง - แต่อย่าไปเล่าความลับให้ชาวจอรู้นะ - รักเดียวใจเดียว - ยากจะคิดนอกใจแฟน - เหมือนเด็กดื้อ อารมณ์เสียง่าย - รักถิ่นฐาน ไม่ชอบผจญภัย

    ********************************
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    ปีกุน

    อบอุ่น จริงใจ - คิดอย่างไร พูดอย่างนั้น - มีเสน่ห์ที่ความเรียบง่ายสบายๆ - ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ใสซื่อตลอด - แต่บ่อยครั้ง ไม่ค่อยยืดหยุ่นบ้าง - เป็นศิลปินได้ดีกว่าเป็นนักธุรกิจ - อารมณ์ดี ชอบเฮฮาปาร์ตี้ - เข้ากับผู้คนง่าย - ใจเย็น ยากจะเห็นหมูอาละวาด - ใจอ่อน ใจดี ใจบุญ - ชอบทำงาน หาเงินเก่ง - ไม่เคยถือโทษโกรธใคร - ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใคร - ยากจะท้อถอย - ไม่ทะเยอทะยานนัก - มีความสามารถในการรอคอยสูงมาก - อ่อนไหว แต่ไม่ชอบเศร้า - เข้าใจผู้คนได้ลึกซึ้ง - เป็นคนบูชารัก - เป็นนักชิม - อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ - มีความซื่อตรงมาก - พลังใจเด็ดเดี่ยวแข็งกล้า - บางครั้งก็หัวแข็งไม่ฟังใคร - มีหัวใจของนักสู้ - รักจริง หวังแต่ง - ช่างเอาอกเอาใจ - ไม่โรแมนติกนักหรอก - ทุ่มเทให้ครอบครัวเสมอ - เป็นผู้นำได้ดี


    ***********************************
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    ๑. เรื่องทุกเรื่องในโลกล้วนแล้วแต่เป็นกฎของกรรมทั้งสิ้น จงอย่าวิตกให้เกินกว่าเหตุ สิ่งที่ตถาคตบอกให้พวกเจ้ารู้ รู้แล้วพึงวางเฉยกับเรื่องราวทั้งหมด อย่าตีตนไปก่อนไข้ อะไรมันจักเกิด มันก็ต้องเกิด เพราะเป็นกฎของกรรมอันฝืนไม่ได้ อันเลี่ยงไม่ได้ ไม่ควรที่จักกังวล ให้หมั่นดูแลรักษาจิตของตนเองเอาไว้ดีกว่า

    ๒. เรื่องของการพ้นทุกข์อยู่ที่จิต ไม่ใช่เรื่องของร่างกาย เพราะหากร่างกายนี้ไม่มีจิตอยู่แล้ว ก็ไม่มีความรู้สึกแต่อย่างไร ให้พิจารณา จุดนี้ให้ดีๆ แล้วจึงจักวางอารมณ์ลงได้ด้วยเห็นกฎของความเป็นจริง และจงอย่าฝืนใจใคร ให้วางกรรมใครกรรมมันให้จงหนัก เมตตาได้เฉพาะคนที่ควรจักเมตตาเท่านั้น และควรมีกำหนดขอบเขตของความเมตตาด้วย มิใช่เมตตาจนเป็นที่เบียดเบียนตนเอง ถ้าทำอันใดไปแล้วคิดว่าเป็นเมตตา แต่สร้างความหนักใจและทุกข์ใจให้กับตนเอง จุดนั้นไม่ใช่เมตตา จับทางปฏิบัติให้ถูกแล้วจักถึงมรรคถึงผลได้ง่าย

    ๓. ไม่ว่าอะไรจักเกิดขึ้นก็ไม่พ้นกฎของธรรมดาไปได้ แต่ที่ไม่เห็นก็เพราะโมหะมันบดบังจิตอยู่ จุดนี้สำคัญมาก จักต้องใช้ปัญญาจึงจักเห็นได้ชัด และเมื่อลงกฎธรรมดาได้แล้ว จิตก็จักเป็นสุขและสงบ เนื่องจากไม่ฝืนในกฎของธรรมดานั้นๆ

    ๔. จงอย่าไปเดือดร้อนกับกรรมของบุคคลอื่น ให้ทำใจอยู่ในขอบเขตกรรมของตนเองก็พอ อะไรมันผ่านมากระทบ แล้วก็ให้มันผ่านไปเลย แยกแยะให้ออกว่า สิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องที่เป็นสาระอันพึงจักยึดถือ มิใช่เป็นปัจจัยนำจิตให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน พยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด โดยรักษากำลังใจในการทำหน้าที่ของตนให้เต็มเท่านั้น ผลจักเป็นอย่างไรได้แค่ไหนก็พอใจแค่นั้น แม้จักถูกตำหนิในบางครั้ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกคนมีโอกาสผิดพลาดได้ มีแต่พระตถาคตเท่านั้นที่จักไม่พลาดเลย ดังนั้น เมื่อมีการผิดพลาดขึ้นครั้งใด แม้จักทำด้วยกำลังใจเต็มที่แล้ว ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เหตุอันใดแก้ไขได้ก็แก้ไข แก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องแก้ ยึดเอาธรรมดาเป็นที่ตั้ง แล้วจิตจักได้เป็นสุข สงบเยือกเย็นขึ้น

    ๕. อะไรมันจักเกิด มันก็ต้องเกิด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกฎของธรรมดา เรื่องภัยธรรมชาติภัยจากสงคราม แม้แต่เรื่องใดๆ ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย กับวัด ก็ล้วนเป็นกฎของธรรมดา อย่าไปวิตกกังวล วางจิตให้ยอมรับธรรมดาก็จักไม่เป็นทุกข์ การฝืนโลกฝืนธรรม ฝืนสังขารร่างกาย ล้วนเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ ทุกอย่างต้องเดินสายกลางทั้งทางโลกและทางธรรม ทำใจให้ยอมรับกฎของธรรมดา (กฎของกรรม) ตั้งใจชดใช้กรรมไปเรื่อยๆ ตายเมื่อไหร่ก็มุ่งสู่พระนิพพานเมื่อนั้น การหมดภาระของขันธ์ ๕ ย่อมเป็นสุขอย่างยิ่ง ขอให้พวกเจ้ามุ่งหวังเข้าไว้ อย่าทำอารมณ์ใจให้พร่องไปกับอุปสรรคที่เข้ามาทดสอบจิตใจของแต่ละคน ให้เอาทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกรรมฐาน แล้วจักเกิดประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม

    ๖. วางอารมณ์ให้เป็น ปล่อยเหตุที่ทำให้เกิดความร้อนใจทั้งหมด อย่าไปยึดเอามาเป็นทุกข์ ทุกสิ่งล้วนเป็นของธรรมดา พิจารณาด้วยปัญญาเข้าสู่มรรคผล อย่าให้เป็นโทษ ธรรมภายนอกอย่าไปแก้ แม้ร่างกายตนเองก็แก้ไม่ได้ ให้ปล่อยวางไปตามกฎของธรรมดา ให้แก้ธรรมภายในที่จิตของตนเท่านั้น ทุกสิ่งในโลกไม่เที่ยง ยึดถืออะไรเป็นที่พึ่งไม่ได้ เช่น ปล่อยวาง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ, วางกาย - เวทนา - จิต - ธรรม ซึ่งไม่เที่ยงเกิดดับ ๆ อยู่เป็นธรรมดา, วางอุปาทานขันธ์ ๕ วางอารมณ์โลภ โกรธ หลง จุดนี้ไม่มีใครช่วยใครได้ มีแต่คำแนะนำเท่านั้นที่ให้กันได้ การตัดกิเลสจักต้องใช้กำลังใจเต็มตัดด้วยตนเอง และตั้งใจทำจริงๆ จึงจักทำได้

    ๗. การกระทำทุกอย่างให้พิจารณาว่า ทำเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อพระนิพพานหรือเปล่า อย่าทำด้วยอารมณ์อยากทำอย่างเดียว จุดนั้นเป็นความเร่าร้อนของจิต เป็นกิเลส เป็นตัณหา ผิดหลักของการปฏิบัติธรรมเพื่อพระนิพพาน อย่าลืมจักละกิเลส จักต้องรู้จักหน้าตาของกิเลสด้วย เช่น จักละรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ก็ให้รู้จักมันด้วย หรือจักละรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ต้องให้รู้จักด้วย รู้แค่สัญญาละไม่ได้ ต้องรู้ด้วยปัญญา จึงจักละได้

    ๘. การพิจารณา มรณา และอุปสมานุสสติไว้เสมอ ยังจิตให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย และหากจับกองที่ถูกกับจริตนิสัย และกรรมของตนเองมาพิจารณาแล้ว จักได้มรรคผลคืบหน้าได้ง่าย อย่าทำแบบจับจด หรืออะไรๆ ก็จำได้หมด แต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเดียวจักไม่ได้ผล ให้กำหนดบทใดบทหนึ่งขึ้นมาที่จิตมันชอบ แล้วทำอย่างจริงๆ จังๆ จุดนั้นก็จักได้ผล และหากมีปัญญาบารมีดี ก็จักได้กองอื่นๆ หมดเช่นกัน อย่าท้อแท้ ร่างกายมันจักเป็นอย่างไร ก็เรื่องของร่างกายมัน อารมณ์นี้แหละคืออารมณ์ช่างมัน หรืออุเบกขาของร่างกายในบารมี ๑๐ ที่แท้จริง

    ๙. ให้เข้มแข็งและอดทน กับอุปสรรคที่เข้ามากระทบทั้งปวง และฝึกจิตของตนให้เป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าท้อถอย เนื่องด้วยในโลกนี้ไม่มีใครอยู่เป็นที่พึ่งของใครได้ไปตลอดชีวิต ดังนั้นการฝึกจิตของตนเอง เพื่อไม่ให้ฝืนกฎของความเป็นจริง จักต้องพิจารณาให้จิตยอมรับกฎของความเป็นจริงอยู่เสมอ จิตจักได้เข้มแข็งไม่อ่อนแอ มีความสงบสุขเนื่องด้วยไม่ฝืนความเป็นจริงนั้น ที่กล่าวมาเหล่านี้เป็นการปฏิบัติยาก แต่จักต้องทำให้ได้ ถ้าหากมุ่งหวังจักไปพระนิพพานในชาติปัจจุบัน

    ๑๐. หามัชฌิมาของร่างกายให้พบ กายเป็นสุข จิตผู้อาศัยอยู่ก็เป็นสุข การปฏิบัติธรรมจักต้องอาศัยทางสายกลาง จุดนี้จักต้องสำรวจกายและจิตของตนเอง โดยหาความจริงของกายและจิตให้ชัดเจน แล้วตรงจุดนั้นนั่นแหละจักควรค่าแก่การปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง อย่าเบียดเบียนกายและใจของตนเอง ก็จักพบความสุขของมรรคผลปฏิบัติอย่างแท้จริง

    ๑๑. ให้พยายามปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามากระทบจิตใจ คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่าฝืนใจใครเพราะยากที่จักแก้ไขบุคคลอื่นได้ และเป็นกฎของธรรมดา เนื่องด้วยต่างคนต่างที่ความคิดเป็นของตัว แล้วก็มักจักยึดความคิดเห็นของตัวเองว่าถูกต้องอยู่เสมอ ซึ่งจุดนี้เป็นเหตุของความกระทบกระทั่งจิตใจ แล้วก็เป็นการยึดมั่นถือมั่นในอัตตา คือสังขารปรุงแต่งว่าเป็นเราเป็นของเรา ซึ่งเป็นกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม อันจิตของเราสร้างขึ้น พิจารณาให้รอบคอบแล้ว จักเห็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ อันเกิดจากสังขารที่ปรุงแต่งนี้ ให้ถอยออกมาพิจารณาให้ละเอียดอีกขั้นหนึ่ง แล้วจักเห็นอัตตาที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสังขารปรุงแต่งอย่างชัดเจน จักเห็นโทษของการยึดสังขาร (อารมณ์ปรุงแต่ง) อย่างมากมาย แล้วเมื่อจิตยอมรับ ก็จักรู้จักปล่อยวางอย่างแท้จริง

    ๑๒. การเจ็บป่วยเป็นของธรรมชาติไม่มีใครฝืนมันได้ ธรรมะของตถาคตเจ้ามีแต่ธรรมดาทั้งหมด จิตจักพ้นทุกข์ได้ก็ต้องพิจารณาถึงตัวธรรมดาให้มาก เนื่องด้วยที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะจิตไปฝืนธรรมดา ไม่อยากให้เป็นไปตามธรรมดา (ตัณหา ๓ ครองโลก หรือเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ใจ) กฎของกรรมที่เกิดกับชีวิตของแต่ละคนทุกวันนี้ก็เช่นกัน เป็นธรรมหรือกรรมที่มาแต่เหตุทั้งสิ้น ซึ่งเป็นอริยสัจไม่ควรไปฝืน พยายามสอนจิตให้ไปรับธรรมหรือกรรม จิตก็จักไม่ทุกข์ไปกับกฎของกรรมเหล่านั้น (อย่าฝืนโลก อย่าฝืนธรรมหรือกรรม) การเกิด แก่ เจ็บป่วย ความปรารถนาไม่สมหวัง การพลัดพรากจากของรักของชอบใจล้วนเป็นทุกข์ แม้แต่ในที่สุดความตายเข้ามาถึงก็เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะจิตไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ในปัญจขันธ์นี้ (ขันธ์ ๕) ไม่มีในเรา ไม่ใช่ของเรา เป็นอริยสัจ ผู้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า จักยอมรับนับถือสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นของจริง จิตผู้ไม่ฝืนความจริง จึงไม่ทุกข์ไป กับปัญจขันธ์ที่แปรปรวนไปตามสภาพนั้น ๆ เนื่องด้วยท่านเห็นเป็นของธรรมดาเสียแล้ว จิตเป็นสุขมีพระนิพพานเป็นที่ตั้งมั่นอยู่ในจิต ตายเมื่อไหร่ก็พ้นทุกข์เมื่อนั้น ให้สังเกตจุดนี้เอาไว้ให้ดีๆ แล้วเพียรปฏิบัติตาม เพื่อจักได้พ้นทุกข์ ของปัญจขันธ์ เข้าถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน

    ๑๓. ร่างกายของใครก็ไม่สำคัญเท่ากับร่างกายของตนเอง ให้พิจารณาร่างกายของตนเองเป็นหลักใหญ่ จักได้รู้ความจริงของร่างกาย แล้วจักเห็นชัดว่า ความโลภ โกรธ หลงทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นก็เนื่องจากการมีร่างกายนี้ ค่อยๆ คิดพิจารณาให้เห็นอย่างชัดเจน แล้วจักผ่อนคลายการติดในร่างกายลงได้

    ๑๔. จงอดทนต่ออุปสรรคทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิต ย่อมมีแพ้บ้าง ชนะบ้างเป็นธรรมดา จงอย่ากังวลใจ ผิดพลาดไปบ้างก็เป็นของธรรมดา จำไว้ความสุขของใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ร่างกายจักเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องธรรมดาของร่างกายมัน ห้ามไม่ให้แก่ ไม่ให้ป่วยไม่ได้ แล้วที่สุดร่างกายนี้ก็ต้องตายเป็นธรรมดา การรักษาใจต้องพยายามรักษาอารมณ์ให้ผ่องใสอยู่เสมอ

    ๑๕. อย่ากังวลใจกับเหตุการณ์ใดๆ ทั้งปวง ให้รักษาอารมณ์อย่าให้ดิ้นรนเร่าร้อน จงพอใจ หรือมีความพอดีกับสถานการณ์ทุกๆ อย่าง ไม่ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จักมีผลบวกหรือผลลบก็ตาม จงอย่าได้เดือดร้อนใจไปตาม ให้ค้นหาเหตุให้พบ (ให้ใช้อริยสัจ) จิตจักต้องรู้เท่าทันกฎของกรรมทุกเมื่อ แล้วจิตก็จักไม่ดิ้นรนเร่าร้อนไปกับสถานการณ์ทุกรูปแบบ การติดตามข่าวพยากรณ์อากาศ กับข่าวต่างประเทศ ก็จักเห็นความไม่เที่ยง แปรปรวน รุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ ของสภาวะของดิน - น้ำ - ลม - ไฟ และอารมณ์อันไม่เที่ยงของผู้นำประเทศต่างๆ มากมาย อันเป็นชนวนในการนำไปสู่สงครามใหญ่ได้ทั้งสิ้น จึงควรหมั่นดูแลรักษาสุขภาพของร่างกายให้ดีด้วย เพราะกายนี้ก็ประกอบด้วยดิน - น้ำ - ลม - ไฟ ซึ่งไม่เที่ยง แปรปรวนอยู่เสมอเหมือนกับโลก จงอย่าประมาทในชีวิต ซึ่งสั้นลงทุกขณะจิต ให้หมั่นซ้อมตายและพร้อมตายไว้เสมอ กายพังเมื่อไหร่ จิตก็พร้อมไปพระนิพพานเมื่อนั้น

    ๑๖. อย่าท้อแท้ในผลของการปฏิบัติ ถึงแม้บางครั้งอารมณ์จักเฉื่อยชาไปบ้าง ก็ถือว่าเป็นของธรรมดา เพราะมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านหมดอารมณ์ขี้เกียจ ซึ่งเป็นอารมณ์หลงละเอียด พระระดับต่ำกว่านั้นยังมีอารมณ์ขี้เกียจ จักมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับการรักษากำลังใจ หรือดูบารมี ๑๐ ด้วยความขยันหมั่นตรวจสอบ ข้อไหนบกพร่องก็เพียรทำข้อนั้นให้เต็ม และหากท้อถอยเมื่อไหร่ ก็พึงยกเอา มรณานุสสติขึ้นมาเตือนจิต พิจารณาให้เห็นชีวิตของร่างกายนั้นก้าวไปสู่ความตายทุกๆ ขณะจิต ความประมาทในการปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์จักน้อยลงไปได้ ทุกคนที่เห็นทุกข์แล้วย่อมปรารถนาเพื่อจักพ้นทุกข์ แต่สำหรับความตายไม่ต้องปรารถนา ชีวิตก็ล่วงเข้าไปสู่ความตายทุกรูปทุกนาม สำคัญว่าจิตจักพ้นทุกข์ได้ก่อนร่างกายตายหรือไม่ ให้ดูความโลภ - โกรธ - หลง ที่เกาะจิตอยู่นั้นมันลดน้อยลงหรือยัง กิเลสในใจตน จงอย่าไปถามคนอื่น ตนย่อมต้องโจทย์จิตของตนเองอยู่เสมอหากยังมีอยู่ครบ แล้วขยันหมั่นเพียรเอากรรมฐานมาแก้อารมณ์จิตหรือเปล่า ถ้ายังเพียรทำอยู่ ก็ได้ชื่อว่า ไม่อยู่รอความตายโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าหากไม่ได้ทำก็ประมาทอย่างยิ่ง ให้คิดไว้เสมอว่าขณะนี้ใกล้ตายแล้ว ถ้าหากตายในขณะนี้ ใครที่ไหนเล่าจักช่วยเราได้ จงจดจำคำสอนของตถาคตเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ตถาคตเป็นเพียงผู้บอก การปฏิบัติอยู่ที่ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนโดยแท้จริง ให้พิจารณาจุดนี้เข้าไว้ เพียรหรือไม่เพียรก็อยู่ที่พวกเจ้าพึงจักปฏิบัติกันเอาเอง ตามแนวทางแก้กิเลสที่พระตถาคตเจ้าสอนไว้ ให้เลือกมากมายตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ชอบใจบทไหน ให้จับบทนั้นจนถึงที่สุด แล้วจักเป็นมรรคผลได้เร็ว

    ๑๗. จิตมีอารมณ์ ก็จักต้องหาสาเหตุให้พบ ปล่อยวางที่ต้นเหตุแล้วจักพ้นทุกข์จากจุดนั้นไปได้ การตรวจสอบจิตจักต้องมีอยู่เสมอ แล้วจงอย่าสนใจกับจริยาของบุคคลอื่น ไม่ว่าบุคคลนั้นจักเป็นที่พอใจ หรือไม่พอใจก็ดี ให้ปล่อยวางบุคคลอื่นออกไปจากจิตเสียก่อน ทางนี้เป็นทางของบุคคลผู้เดียว ใครที่ไหนอื่นใดไม่สำคัญเท่ากับจิตตนเอง รักษาความดีให้ขังอยู่ในจิตให้ได้ ปล่อยวางความชั่วอย่าให้ขังอยู่ในจิตนาน อย่าขาดทุนให้มากนัก เจริญพระกรรมฐานทั้งที ให้รู้จักเก็งกำไรเอาไว้ด้วย

    ๑๘. ร่างกายจักเป็นอย่างไร ก็ห้ามมันไม่ได้ การให้ปัจจัย ๔ แก่ร่างกาย เป็นเพียงการระงับเวทนาชั่วคราวเท่านั้น ปัจจัยใดๆ ก็ไม่สามารถห้ามความแก่ - ความป่วย - ความตายได้ พิจารณาให้จิตยอมรับความจริงของร่างกาย และทราบชัดว่าเราคือจิต จึงจำเป็นต้องรักษาจิตให้ดี ให้จิตอดทนต่อสิ่งที่มากระทบ เพราะกฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอ กรรมใดที่เราไม่เคยทำไว้ วิบากกรรมนั้นย่อมไม่เกิดกับเราอย่างแน่นอน อย่าเอาความเลวไปแก้เลวของผู้อื่น ให้คิดว่าไม่ช้าต่างคนต่างก็ตายแล้ว หันกลับมารักษาอารมณ์จิตของตนเองดีกว่า โดยฝึกจิตให้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเคารพในกฎของกรรม ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน จำไว้อย่าไปแก้ไขผู้อื่น ให้แก้ที่ใจของตนเอง ให้พิจารณาถึงกฎของกรรมให้มาก ๆ แล้วสรุปลงว่า ถ้าเราไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว เหตุการณ์กระทบกระเทือนใจเหล่านี้ก็ไม่มี มีแดนเดียวที่พ้นทุกข์ได้อย่างถาวร คือพระนิพพาน ให้ตั้งกำลังใจไว้อย่างนี้เสมอ แล้วจักไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง

    ๑๙. พิจารณากรรมฐานให้ระมัดระวังมารหลอก มารแปลว่าผู้ฆ่าความดี จิตจักถูกดลให้คิดผิด - เห็นผิด ขาดความยับยั้งชั่งใจ ยังอุปาทานให้เกิดไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งผิด จึงต้องสังเกตอารมณ์ของจิตให้ดีๆ รู้ขั้นตอนของการทำงานของจิต รู้ขั้นตอนของกิเลสที่เกิดขึ้นในอารมณ์ แล้วจักมีหนทางแก้ไขในเหตุที่เกิดนั้นๆ เห็นจิต - มองจิต - พิจารณาจิต ย่อมรู้ในเหตุที่ทำให้จิตมีความเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้ง

    ๒๐. ในคนๆ หนึ่งย่อมมีการกระทำได้ทั้งดีและเลว กรรมคือการกระทำทั้งกาย - วาจา - ใจจัดเป็นกรรมทั้งสิ้น คนเลวหมดตลอดชีวิตไม่มี คนดีหมดตลอดชีวิตก็ไม่มี คนๆ หนึ่งจึงทำกรรม ๒ ประเภทนี้ขึ้นมา บัญชีบุญและบัญชีบาปจึงแยกออกจากกัน ไม่ปนกัน มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านหมดเลว ท่านเคารพในกฎของกรรม ใครดีท่านรู้แต่ไม่สนใจ หรือข้องแวะในกรรมของเขา ใครเลวท่านก็รู้ แต่ไม่สนใจ กรรมใครกรรมมัน พระอรหันต์ท่านวางหมด ยกเว้นแต่ผู้ที่มีกรรมผูกพันอยู่กับท่าน ท่านก็ต้องสอน - อบรม - ชี้แนะทางให้ตามหน้าที่ แต่จักทำได้หรือไม่ได้ ก็เป็นเรื่องของเขา ท่านไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อนไปในกรรมใดๆ ทั้งปวง เห็นเป็นธรรมดาของโลก มีแต่พระนิพพานเท่านั้นที่คนเลวไม่มีอยู่เลย ที่ตรัสมานี้เพื่อให้สังเกตอารมณ์ของใจคน มักจะโจทย์เลวมากว่าโจทย์ดี ใครทำอะไรไม่ดี ใจมัน ปากมันทั้งจำทั้งพูด ไม่รู้จักลืม มันเป็นความเลวของจิตที่ จำเอาแต่อกุศลกรรม สำหรับเรื่องความดี คำสอนของพระพุทธเจ้า สอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักจำ ไม่รู้จักทำ ให้มันเกิดมรรคเกิดผลเสียบ้าง ใจมันมักลืมดี แต่จำเลว ต่อไปให้รู้จักแก้ใจเสียบ้าง จำดีแล้วลืมเลวเข้าไว้บ้าง จึงจะพอเริ่มดีกับเขาได้บ้าง สรุปว่า พระอรหันต์ท่านมี พุทธานุสสติและอุปสมานุสสติเป็น เอกัตคตารมณ์ พอๆ กับการไม่ลืมขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ไม่มีในเรา และมีอริยสัจ ๔ พร้อมอยู่ในจิต เห็นทุกข์ - สมุทัย - นิโรธ - มรรคพร้อมอยู่ตลอดเวลาเหล่านี้เป็นองค์ของพระอรหันต์


    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  4. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ขอบคุณแม่Supatorn หรือหมอต้อยพยากรณ์ มา ณ โอกาสนี้เป็นอย่างสูง

    กระทู้นี้ รวมเรื่องราวได้หลากรสชาด ทั้งเรื่องราวลึกลับตื่นเต้น ศาตร์ทางจิตวิญาญาณ
    สาระธรรม ศาสตร์การรักษาบำบัด และโดยเฉพาะโหราศาสตร์กับจริตแห่งการประพฤติธรรม สุดยอดเลยชอบๆ และคิดว่าหลายคนน่าจะชอบเช่นกัน

    ใกล้ปีใหม่ส่งท้ายปีเก่าแล้ว ขอให้ทุกท่านที่จะเดินทางไกล ขอให้รับสวัสดิภาพตลอดเส้นทาง สุขสันต์สบายกาย สบายจิต มีกะตังค์ติด กระเป๋ากันเยอะๆ ทุกถ้วนหน้านะจ๊ะ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=8MZHjT0TEmE]รับขวัญปีใหม่ - สุนทราภรณ์ - YouTube[/ame]
     
  5. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2012
  6. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ยาเม็ดที่๖ การออกกำลังกาย กดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหารที่ถูกต้อง:z2

    ฟังเพลงรับขวัญปีใหม่ จิตใจเกาะอยู่กับองค์พระ
    ขอญาณธรรมท่านปู่ชีวก มือพิมพ์สาระสู่ครอบครัวtoplus99


    ต่อเนื่องเรื่องอบรมที่ตักใส่พุงมาฝากเลยนะ

    ในช่วงเช้าๆทุกวันหลังจากสวดมนต์ ฝึกลมหายใจแล้ว
    ก้อจะมีการออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว

    มีบางส่วนที่เดินเร็วตรงศาลาที่อบรม บ้างก้อออกไปเดินตรงทางเข้าไปทางถนนใหญ่
    อ.หมอเขียวท่านบอกเลี้ยวซ้ายนั่นทางไปกิเลส (ตลาดอยู่ใกล้ๆประมาณ2กม.)
    ทางขวาให้เดินออกกำลังกายได้ มีแต่ป่าข้างทาง ^_^


    เรามันก้อประเภท ไม่ค่อยอยู่นิ่ง ออกมาเดินข้างนอกกะเค้าซะหน่อย
    แต่เชื่อฟัง เดินออกมาแค่ถึงถนนใหญ่แล้วเดินกลับไปตรงศาลาอบรมมีกลุ่มเค้าเดินตามจังหวะเพลงกันสนุกสนาน


    จากนั้นประมาณ 6 โมงเช้าจะเป็นช่วงเวลา กดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหารที่ถูกต้อง
    ตามแผ่นซีดีที่อ.หมอเขียวนำแสดงใช้เวลา2 ชม. สำหรับท่านที่ไม่เคยฝึกไม่ได้รู้เรื่องจุดลมปราณแบบข้าเจ้า เหมาะมากที่จะดูจากแผ่นนี้ เพราะอธิบายชัด ไปทีละท่าช้าๆ
    ถ้าเป็นแผ่นที่แสดง1ชม.จะไปแบบเร็ว งง ตามไม่ทัน จุดอารายก้อไม่รู้อ่า
    แต่ ทำๆไปบ่อยๆเราจะจำได้เอง

    หาดูได้ตามเนต เราเชื่อว่าท่านสามารถทำได้อยู่แล้ว:VO

    มาเข้าเรื่องที่มันเป็นสาระกันเลยดีกว่า

    การบริหารกายที่ถูกต้องสมดุล เมื่อทำเสร็จ ต้องได้คุณสมบัติ 3 อย่าง
    1. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
    2. ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
    3. การเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ


    การจะได้คุณสมบัติทั้ง 3 อย่างดังกล่าว ต้องมีการบริหารกาย 2 ลักษณะ

    1. การออกกำลังกายที่มีการใช้กำลังแรงกาย
    เฉลี่ยโดยทั่วไป ใช้เวลาประมาณ 15-45 นาที ตามสภาพร่างกายของคนนั้น
    เช่น เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ


    2. การกายบริหารที่สร้างความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น สร้างการเข้าที่เข้าทางของกระดูก กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
    แพทย์แผนปัจจุบันพบว่า ถ้ากล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึงแข็งเกร็งค้างไม่ยืดหยุ่น หรือกระดูกเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อเคลื่อนออกจาก ตำแหน่งปกติ ก็จะกดรัดเส้นเลือดเส้นประสาท เลือดลมจะไหลเวียนไม่สะดวก ทำให้เกิดความเจ็บปวดมึนชา และความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย

    แพทย์ทางเลือกพบว่า พลังงานลมปราณ คือ พลังงานที่หล่อเลี้ยงร่างกาย และพบอีกว่า พลังงานที่ดีจะขับเคลื่อนไปหล่อเลี้ยงร่างกายมากที่สุดเร็วที่สุด ทางเส้นลมปราณ ส่วนพลังงานที่ไม่ดีจะถูกขับออกจากร่างกายมากที่สุด เร็วที่สุดทาง เส้นลมปราณเช่นเดียวกัน ซึ่งการเคลื่อน ของพลังงานทั้งที่ดีและไม่ดี ดังกล่าว จะเคลื่อนตามข้างกระดูกข้าง
    เส้นเอ็น ข้างเส้นประสาทและตามร่องของกล้ามเนื้อ ซึ่งตรงกับเส้นลมปราณหลัก 12 เส้นของแพทย์แผนจีนและเส้นลมปราณหลัก 10 เส้น ของแพทย์แผนไทย(เส้นสิบ)



    อ.หมอเขียวได้แนะนำว่า ให้ศึกษาวิชาลมปราณนี้ไว้บ้าง จะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้มาก
    และได้เล่าถึงประสบการณ์ในการกดจุดปรับสมดุลลมปราณช่วยประครองให้ผู้ป่วยทุเลาและหายเร็วขึ้น


    การกดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหาร
    ถ้าเราทำได้ถูกต้องหลังทำเสร็จก็จะทำให้เกิดสภาพเบาสบายและมีกำลังในตัวเราทันที


    อย่างเวลามีแก๊สในท้อง กดจุดปรับสมดุลได้ถูกเส้น เราจะเรอ เอิ๊ก เอิ๊ก เลยนะ
    ระหว่างอบรมข้าเจ้ากดไม่เรอ ได้แต่ดู จนท.จิตอาสา กดแล้วเรอ เอิ๊ก เอิ๊ก
    กลับมาบ้าน ลองๆทำได้ เออนะ ก้อเป็นเหมือนกันนินา เอิ๊ก เอิ๊ก
    เอ่ออ เรอ นี่คือออกทางปาก ถ้าออกอีกทางเค้าไม่เรียกเรอนะ จะบอกให้
    catt3catt3
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 549605_476751022336768_1173330706_n.jpg
      549605_476751022336768_1173330706_n.jpg
      ขนาดไฟล์:
      120.2 KB
      เปิดดู:
      75
    • IMAG1464.jpg
      IMAG1464.jpg
      ขนาดไฟล์:
      834.4 KB
      เปิดดู:
      97
    • SDC14755.JPG
      SDC14755.JPG
      ขนาดไฟล์:
      626.4 KB
      เปิดดู:
      56
    • SDC14756.JPG
      SDC14756.JPG
      ขนาดไฟล์:
      730 KB
      เปิดดู:
      73
    • SDC14757.JPG
      SDC14757.JPG
      ขนาดไฟล์:
      674.9 KB
      เปิดดู:
      43
    • SDC14760.JPG
      SDC14760.JPG
      ขนาดไฟล์:
      612.9 KB
      เปิดดู:
      43
    • SDC14767.JPG
      SDC14767.JPG
      ขนาดไฟล์:
      778.8 KB
      เปิดดู:
      42
    • SDC14707.JPG
      SDC14707.JPG
      ขนาดไฟล์:
      778 KB
      เปิดดู:
      69
    • 17.1.jpg
      17.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      62
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2012
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    2556ปีชง

     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    hello10ขออวยพรให้หัวหน้าครอบครัว"toplus99" และทุกๆท่านจงประสพแต่ความสุข สมหวัง ปลอดภัย มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต พบแต่กัลยาณมิตร มีดวงตาเห็นธรรมจงทุกท่านเทอญ ด้วยความรักจาก"ใจ" ค่ะ สาธุๆๆ :z4:z10_Friend_;43;aa2;aa55
     
  9. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
     
  10. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2012
  11. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ขอให้คำอวยพรอันประเสริฐจากแม่ต้อย Supatorn (โหรพยากรณ์ประจำกระทู้)จงมีกับผลย้อนกลับคืนกับแม่ต้อยและครอบครัว เร็วขึ้น เพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าทวีคูณ

    และพรใดว่าเลิศ ว่าประเสริฐ ความปารถนาใดที่ไม่ผิดต่อทางโลกและทางธรรมแล้วไซร้
    ..ความปารถนานี้ ขอจงสำเร็จ ขอจงสำเร็จ ขอจงสำเร็จ ....ทุกประการเทอญ
     
  12. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
     
  13. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ยาเม็ดที่๓ การสวนล้างลำไส้ (ดีทอกซ์)

    ช่วงที่รอร๊อรอท่านประธานมาฉายหนัง
    เราก้อแวะมาขายยาขัดตาทัพไปพลางๆ เรากินอาหารสะสมพิษกันมากระทั่งกินสมุนไพร
    จนคาดว่าสมุนไพรแทบจะโตไม่ทัน ใครอยากให้ท่านประธานมาฉายหนังก้อชูจั๊กกะแร้ส่งเสียงกันหน่อยเร้วววว
    pig_ballet

    กินมาหลายขนาน พิษที่สะสมนานไว้จะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว
    วันนี้เลยได้ฤกษ์งามยามดี มาปล่อยสารพิษออกจากตัวออกจากกาย ส่วนล้างพิษจากใจเอาไว้เล่ากันรอบต่อไป


    มารู้เรื่องดีทอกซ์กันเถอะ
    การดีทอกซ์ คือ การล้างพิษ การล้างพิษมีหลายวิธี ได้แก่ การอาบน้ำ การอบ การนวด ร่างกายขับเหงื่อออกทางผิวหนัง ก็เป็นการล้างพิษ ขจัดเอาพิษออก
    และการสวนล้างลำไส้ ก็นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้วยังช่วยให้อวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล
    อีกทั้งช่วยบำรุงผิวพรรณผ่องใส เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี


    ในช่วงเวลา05.00-07.00น.เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ที่จะทำงานได้ดีในการขจัดพิษ
    ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระช่วงเวลานี้ มีการหมักหมมสะสมมากเกินไป ก็จะถูกดูดซึม
    ย้อนกลับเข้าไปที่กระแสเลือด ดูดซึมไปยังเซลล์ เนื้อเยื่อ ไปตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย จะเป็นเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงร่างกาย


    เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ หรือเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย จะเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น
    - ผมร่วง หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย
    - นอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่เต็มอิ่ม ฝันบ่อย ปวดไหล่ ตื่นกลางดึกบ่อย ๆ
    - ปวดหัวข้างเดียว ปวดหู ปวดกระบอกตา เป็นไซนัส
    - เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น ปวดชายโครง ปวดหลัง ปวดเข่า กระดูกสะโพก
    จะเคลื่อนได้ง่าย ปวดสะโพก ปวดข้อเท้าหลังเท้า วิตกกังวล อาจมีอาการทีละอย่าง หรือหลายอย่างพร้อมกัน
    การกินอาหารผัดน้ำมันต่อเนื่องเป็นประจำติดต่อกันหลายๆ ปี น้ำมันจะเกาะผนังลำไส้ ทำให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงสมองได้น้อยหรือไม่ได้เช่นกัน

    เราลองสังเกตคนรอบตัวเรากันดีมั๊ย ว่าคนที่ท้องผูก หรือไม่ค่อยถ่าย มีอาการดังที่กล่าวมารึปล่าว ได้ถามน้องคนนึงเค้าบอกว่า เออ พี่ นู๋ กว่าจะถ่ายได้4-5วัน
    เราเลยว่าไป.. อ่ะจ๊ากก แล้วเธอรู้มั๊ย ว่าร่างกายมันเอาอะไรไปเลี้ยงสมองเธอน่ะ หุหุ
    น้องคนนี้เค้ายอมรับ ว่าตัวเองเฉื่อย คิดอะไรช้า จริงๆ
    เอ..แล้วคนในครอบครัวนี้่ล่ะ มีใครเป็นรึปล่าวน๊อออ ถ้าเป็น เราปรับพฤติกรรมกันเหอะ
    มันเสี่ยงต่อร่างกายเรา ใกล้ตัวกว่าภัยพิบัติอีกนะ


    อาการผู้มีสารพิษสะสม ที่ควรทำดีท็อกซ์

    สารพิษที่ตกค้างสะสมในร่างกาย มักจะเกิดอาการดังต่อไปนี้

    - ปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิด ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ และคอ
    - มีแผลร้อนใน ในปากเป็นประจำ และระบบเผาผลาญทำงานได้น้อย ทำให้ร่างกายอ้วน
    - อ่อนเพลีย ง่วงนอน สมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม
    - ประสาทตึงเครียด ร่างกายไม่แข็งแรง
    - หน้าตาหมองคล้ำ ผิวพรรณหยาบกร้าน
    - ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก หรือถ่ายไม่ออก
    - เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อย
    - ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ
    - ปวดศีรษะ คลื่นเหียนอาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำตลอดเวลา
    - เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง
    - เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ
    - มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย
    - ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อตามกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์
    - มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ
    - เป็นริดสีดวงทวาร ฯลฯ


    วิธีทำ ๑.เลือกสมุนไพรที่เหมาะสม คือ เมื่อใช้ทำดีท๊อกซ์แล้วรู้สึกสดชื่นโปร่งโล่งสบาย ตัวอย่างสมุนไพร เช่นย่านาง อ่อมแซ่บ รางจืด ผักบุ้ง หรือฉี่ ( เรื่องฉี่จะเล่าในรายการต่อไป ต้องยกให้ฉี่เค้าแยกต่างหาก ประโยชน์หลากหลาย ที่สำคัญทดลองมาแล้ว)
    ส่วนกาแฟ อาจจะไม่เหมาะกับอากาศบ้านเราเพราะเป็นพืชฤทธิ์ร้อน

    ๒.นำสมุนไพรมาขยี้หรือต้ม เป็นน้ำสมุนไพรผสมกับน็ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น ตามสมดุลร่างกาย ร้อน-เย็น โดยทั่วไปใช้ 500-1,500 ซี.ซี
    ๓.เปิดน้ำให้วิ่งตามสายเพื่อไล่อากาศออกจากสายแล้วล็อคไว้
    ๔.ค่อย ๆ สอดปลายสายสวน เข้าไปที่รูทวารหนัก ลึกเข้าไป ประมาณเท่านิ้วมือเรา (ประมาณ 3-5 นิ้วฟุต) ยกหรือแขวนขวดสมุนไพรสูงจากทวารประมาณ 2 ศอก ค่อย ๆปล่อยน้ำสมุนไพรให้ไหลเข้าไปเท่าที่ร่างกานสบายทนได้


    สำหรับผู้ป่วยที่อาการหนัก อาจทำดีทอกซ์ วันละ 1-2 ครั้ง อาจมากหรือน้อยกว่า ตามสภาพของร่างกาย ส่วนคนทั่วไป ทำดีทอกซ์เฉลี่ย สัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง
    สำหรับกรณีที่มีการผ่าตัดสำไส้ควรรอให้แผลหายดีอย่างน้อยหลังผ่าตัด 3 เดือนขึ้นไป จึงค่อยทำดีทอกซ์


    ถ้าทำดีทอกซ์แล้วรู้สึกไม่สบายมักเกิดจาก
    ๑. สมุนไพรนั้นไม่ถูกกับร่างกายเรา เช่น บางคนเวลาใช้กาแฟทำดีทอกซ์แล้วจะรู้สึกใจสั่นอ่อนเพลีย ก็แสดงว่าคนนั้นไม่ถูกกับกาแฟ
    ๒. ใช้สมุนไพรเข้มข้นเกินไป ทำให้สมุนไพรเคลื่อนเข้าร่างกายเร็วและมากเกินไป เพราะช่องทางของลำไส้ใหญ่นั้นเป็นเส้นทางลมปราณที่สำคัญมาก เนื่องจากเป็นช่องทางที่พลังานจะเคลื่อนเข้า-ออกเร็วมาก ดังนั้นช่องทางนี้ ควรใช้สมุนไพรเจือจางแค่พอดีสบายจะดีที่สุด
    ๓. เลือกใช้น้ำไม่ถูกกัน ณ เวลานั้น บางคนถูกกับน้ำอุ่น บางคนถูกกับน้ำอุณหภูมิธรรมดา ให้ดูที่ความรู้สึกสบายเป็นหลัก
    ๔. ปริมาณน้ำมากเกินไป
    ๕. แขวนขวดสูงเกินไป ปล่อยน้ำเข้าไปในลำไส้ แรงและเร็วเกินไป มักจะทำให้ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียนหรือเวียนศรีษะได้ง่าย
    ๖. กลั้นอุจจาระนานจนรู้สึกทรมานเกินไป ให้กลั้นเท่าที่ทนได้

    :z16
    ว่าจะเล่าเรื่องนีัแค่สั้นๆ ว่ากันมาซะยาวยืด อ่านแทบจะหน้ามืดกันเลยล่ะสิ(eek)
    สังเกตดีๆนะ เป็นเพราะท่านยังไม่ถ่ายอุจจาระรึปล่าว
    (deejai)(deejai)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2012
  14. chart2k

    chart2k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,131
    ค่าพลัง:
    +5,302
    สวัสดีปีใหม่เพื่อนๆทุกท่าน คิดอะไรที่ดีขอให้สมหวังทุกประการ สาธุ
     
  15. ภิศรณ์

    ภิศรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,495
    ส่งสุขปีใหม่ ๒๕๕๖

    [​IMG]
    สวัสดีปีใหม่ ทุกท่านค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    น้ำปัสสาวะบำบัด(๑)
    ยาดีที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

    rabbit_cry

    รอบก่อนว่ากันด้วยเรื่องหนักๆ(อุจจาระ/อึ)ไปแล้ว
    รอบนี้มาว่ากันด้วยเรื่องเบาๆ(ปัสสาวะ/ฉี่)กันบ้าง


    คงมีหลายๆคนแค่นึกถึง ว่าจะต้องกินฉี่ก็คงจะร้อง ยี้!! พร้อมกับส่ายหน้าเลยทีเดียว
    ซึ่งเรื่องนี้อ.หมอเขียวชี้แจงว่า เป็นยาดีที่หาง่ายและมีประสิทธิภาพสูงที่อยากนำเสนอ
    แต่ในกรณีที่หลายๆท่านยังไม่พร้อมที่จะใช้วิธีนี้ ก็แค่อ่านผ่านๆไป ไม่ต้องลงมือปฏิบัติก็ได้


    ส่วนตัวข้าเจ้าเอง ไหนๆก็กลิ้งพุงกลมๆไปถึงถิ่นจะไม่ทดลองให้รู้ตามหลักการว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่เล่ากล่าวถึงได้อย่างไร ผลเป็นยังไง อ่ะ...ปิดไว้ก่อนนะ ลุ้นๆผลกันไปก่อนนะ

    ปัสสาวะบำบัด(Urine Therapy) คือ การใช้น้ำปัสสาวะของตัวเองเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรคโดยไม่ใช้ยาและยังช่วยสงสเริมสุขภาพด้วย(จุฑา ลิ้มสุวัฒน์,๒๕๕๒)

    ตำราไทยโบราณหลายเล่ม กล่าวถึง การใช้น้ำปัสสาวะรักษาโรค

    ในพระวินัยปิฎกเขียนไว้ว่า พระภิกษุปฏิบัตินิสัยสี่ให้ฉันน้ำมูตรแช่ผลสมอเพื่อแก้โรคต่างๆ

    ในคัมภีร์พระเวทย์ของฮินดู ถือว่าน้ำปัสสาวะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดื่มแล้วจะเป็นน้ำอมฤต

    ในตำราการแพทย์จีน เขียนช่วงพศ.๕๘๖-๗๕๔ อ้างว่า ปัสสาวะเป็นตัวละลายยาสมุนไพร ช่วยให้สมุนไพรมีสรรพคุณดียิ่งขึ้น
    และยังมีอีกหลายๆตำราในประเทศต่างๆที่ได้มีการศึกษาค้นคว้าถึงประโยชน์ของน้ำปัสสาวะ ซึ่งท่านหาอ่านได้มากมาย ว่างๆ ก็ลองอ่านเพิ่มเติมดูนะ
    ถ้าเอามาเล่าทุกตำรา จากเรื่องเบาๆจะกลายเป็นหนักสมองได้อ่ะ


    วิธีใช้น้ำปัสสาวะบำบัดมี2แบบ
    ๑) แบบใช้ภายใน
    ดื่ม
    - ดื่มน้ำปัสสาวะตอนเช้า ช่วงกลางของปัสสาวะ เริ่มต้นจาก ๕-๑๐หยด ก่อนแล้วค่อยๆเพิ่มจนถึง๑แก้ว ประมาณ๑๐๐ ซี.ซี. ช่วยในการรักษาโรคทั่วไป

    ล้างพิษ- ดื่มน้ำปัสสาวะตลอดทั้งวัน (ยกเว้นตอนเย็น) และดื่มน้ำสะอาดด้วย เป็นการล้างพิษออกจากร่างกายโดยทำให้เลือดสะอาดขึ้น พิษจะถูกกำจัดออกจากร่างกายทางอุจจาระ เหงื่อ และทางหายใจ
    กลั้วคอ- เมื่อมีอาการเจ็บคอ ปวดฟัน และไอเป็นหวัด

    สวนทวาร- ใช้ทำดีทอกซ์และเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    สวนล้างช่องคลอด เพื่อรักษาอาการตกขาว เชื้อรา เชื้อยีสต์ที่เจริญผิดปกติ
    หยอดหู หยอดตา เมื่อมีอาการหูและตาอักเสบ โดยใช้น้ำปัสสาวะผสมกับน้ำสุกที่สะอาดหยอดหูและตา


    สูดเข้าจมูก- สูดเอาปัสสาวะสดๆตอนเช้าเข้าจมูกทั้งสองข้างเพื่อล้างโพรงจมูก สำหรับคนที่เป็นไซนัส เป็นหวัด ภูมิแพ้(น้ำมูกไหลเป็นประจำ)

    ๒) แบบใช้ภายนอก
    ทาและนวดผิวหนัง- โดยนวดร่างกายหรือบางส่วนทิ้งไว้ประมาณ ๑ ชม.แล้วล้างออก
    จะรักษาโรคผิวหนังได้ หรือ ผิวหนังที่โดนแดดเผา


    ล้างเท้า- ในกรณีที่มีปัญหาที่ผิวหนังและเล็บเท้า

    สระผม- ช่วยทำให้ผมสะอาดนุ่มสลวย และทำให้ผมดกขึ้น

    ปัสสาวะสามารถรักษาโรคอื่นๆได้ เช่น อาการปวดหลัง แผล แผลไฟไหม้ ภูมิแพ้ หืดหอบ
    ไมเกรน มะเร็ง ผิวหนังผื่นแพ้ กามโรค ปวดตามข้อ โรคเก๊าต์ ท้องผูก มาราเลีย หวัด ตับอักเสบ ความดันโลหิต ฯลฯ


    ตามหลักของอ.หมอเขียว ท่านพบว่าน้ำปัสสาวะเป็นยาที่มีคุณสมบัติพิเศษ ช่วยปรับสมดุลได้ทุกอย่าง ทั้งภาวะร้อนเกิน เย็นเกิน ร้อนหลอก เย็นหลอก หรือทั้งภาวะร้อนเย็นพันกัน

    นอกจากนั้นยังเป็นวัคซีนอย่างดี ด้วยกลไกการเป็นส่วนเกินที่ร่างกายขับออก เมื่อเราเอาปัสสาวะเข้าไปใหม่ไปสัมผัสส่วนต่างๆของร่างกาย ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยารับรู้ว่าแปลกปลอม ส่วนเกิน จึงกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำงาน (เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่ ย่อยสลาย กำจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค สารพิษ เซลล์ที่ผิดปกติ)
    เมื่อเม็ดเลือดขาวตื่นตัวในการทำงาน จะทำให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทาน เกิดพลังชีวิต มีสุขภาพที่ดี
    น้ำปัสสาวะ ต่างจากวัคซีนแผนปัจจุบันตรงที่ เป็นสิ่งที่ร่างกายคุ้นเคยอยู่แล้ว จึงเกิดการปรับสมดุลอย่างนุ่มนวล ไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้านที่รุนแรง


    มีเรื่องเล่าจากเจ้าของสวนปาล์ม จังหวัดชุมพรเผยประสบการณ์ดื่มปัสสาวะกว่า 2 ปี รสชาติบอกภาวะสุขภาพได้ ถ้าเปรี้ยวเป็นผลจากรับประทานอาหาร
    มีสารกันบูด รสขมกินอาหารมีสารพิษตกค้าง รสเค็ม เกิดจากการดื่มน้ำสะอาดน้อย


    ในการไปอบรมครั้งนี้ มีคุณหมอแผนปัจจบันท่านหนึ่งได้เล่าว่า กินฉี่ มาระยะหนึ่งแล้ว
    อาการภูมิแพ้ที่รักษามาด้วยยามาทุกขนานไม่หาย ตอนนี้อาการดีขึ้น แพทย์ท่านนี้ หน้าใสดูเด็กกว่าอายุจริงมาก (ท่านกินฉี่+ปรับสมดุลตามหลักด้วย)


    ปัสสาวะที่ดีที่สุด ที่แสดงว่าเราปฏิบัติตัวได้สมดุลคือ มีรสจืดเหมือนน้ำ หรือหอมเหมือนชาไม่มีกลิ่นฉุน ถ้าไม่สมดุลจะมีรสจัดกลิ่นฉุน เวลาจะใช้ต้องไปเจือจางในน้ำสะอาดให้กลิ่นหรือรสน้อยลง

    เล่าเรื่องเบาๆที่ยาวเหยียด ยังไม่จบในรอบนี้
    เนื้อหาสาระมันมากมี อาจจะเป็นวิถีทางเลือกให้อีกหลายๆคน

    หมดรอบนี้ก่อนนะ รอบหน้ามาต่อกันด้วยเรื่อง นาโน-ยูรีนบำบัด (Nano-Urine Therapy)
    ลองทำแล้ว ได้ผลเป็นน่าตื่นเต้นไปทั้งตัว หุหุ
    catt15
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • untitled29.1.png
      untitled29.1.png
      ขนาดไฟล์:
      16.5 KB
      เปิดดู:
      417
    • urine-1.gif
      urine-1.gif
      ขนาดไฟล์:
      12.7 KB
      เปิดดู:
      82
    • IMAG1499.jpg
      IMAG1499.jpg
      ขนาดไฟล์:
      974.4 KB
      เปิดดู:
      58
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2012
  17. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ข้อมูลแน่นปึ๊ก สมเป็นนักศึกษาคะแนนเกียรตินิยม

    ขออนุญาตก๊อปี้เก็บไว้อ่านส่วนตัวทุกเนื้อหาเลย ขอบคุณมากครับ

    ของดีมีประโยชน์ทั้งนั้น จะเอาไปอวดเพื่อนที่ทำงาน

    ....งั้นเอาอีกๆ (ขอกินแรงหน่อยเหอะน่า)
    catt3;aa42black_pigข้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2012
  18. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    ฮั่นแน่!!!ท่านอ.toplus99 แว๊บมาแล้ว
    มิใยไม่ฉายหนังซะเรื่อง ลูกบ้านเค้ากินยากันจนขมขื่นหมดแล้วนา

    chearr
     
  19. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    แชร์ประสบการณ์เล็กๆ

    ขอเล่าเรื่องเล็กๆ คั่นรายการขายยาหน่อยนะ
    เมื่อวานปวดเข่า จากการที่นั่งงอเข่ามากไป
    อย่าเพิ่งสงสัยว่าเป็นไปตามอายุน๊า ไม่ใช่!! ม่ายช่าย!!
    catt24
    ปกติจะต้องไปหยิบสเปรย์ยาแก้ปวดที่ได้จาก รพ.มาพ่น

    แต่ว่า...วันก่อนเพิ่งได้คุยกับหลวงพ่อที่วัดหนองโบสถ์

    ท่านว่า..คนราฝันว่าบั้นปลายชีวิตจะไปอยู่ชนบทกับธรรมชาติ
    แต่ไม่เคยชินที่จะไปอยู่ ชินกับการพึ่งพาชุมชน/ รพ.
    พอไปอยู่จริงๆจะอยู่กันไม่ได้ ร่างกายเจ็บป่วยขึ้น ก็ต้องวิ่งเข้าหารพ.เข้าหาตลาดใกล้ของกิน แก่แล้วร่างกายไม่ไหวต้องหาความสบาย

    พอคิดถึงคำพูดหลวงพ่อ เอ..เราก็อยากไปอยู่ชนบทนะ อยู่ห่างรพ.อีกต่างหาก
    เลยไม่หยิบยาแผนปัจจุบัน ไปอบรมมาแล้วนินา มาดูสาเหตุของอาการปวดเข่าดีกว่า

    จากที่เรียนมา อาการปวด บวม แดง ร้อน นี่มันเกิดจากความร้อนเกิน
    เพราะฉะนั้น ต้องเอายาเย็นเข้าไปช่วย พิจารณาตามหลักเทคนิค๙ข้อ

    เอาน้ำมันเขียวทาที่เข้า พ่นสเปรย์น้ำย่านางสกัด กดนวดการไหลเวียนของเลือด
    ปรับแนวขาให้ตรงไม่ฝืนอาการปวด แล้วรู้มาว่า น้ำมะพร้าวมีประโยชน์

    หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้
    เราก็จัดการเอาน้ำมะพร้าวมาผสมกับน้ำคลอโรฟิลด์ซะเลย อร่อย..
    catt26

    จริงๆแล้ว ควรจะพอกสมุนไพรฤทธิ์เย็น แต่ดูๆแล้ว อาการเพิ่งเป็นและไม่มากนัก ก็สมควรแค่นี้พอ

    ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 2 ชม.ก็ดีขึ้น เหลือ ตึงๆนิดหน่อย
    และแล้วก็หาย :VO

    มันเป็นประสบการณ์ ที่จะคอยดูตัวเองว่า หากเราไม่มียาแผนปัจจุบัน แล้วเราจะทำยังไง
    กับอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 48207.jpg
      48207.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.8 KB
      เปิดดู:
      57
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  20. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    น้ำปัสสาวะบำบัด(๒)
    นาโน-ยูรีนบำบัด (Nano-Urine Therapy)hello4

    รอคอยมานานแสนนาน วันวานพัดผ่านสิ้นปีแล้วหนอ
    เมื่อไรจะได้ดูหนังที่เฝ้ารอ วอนขอท่านtoplus99มาฉายหนังซะที
    catt7

    เราก้ออ้อนท่านอ.toplus99มาฉายหนังเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟังมั่ง
    ก้อหวังว่าจะอ่อนใจใจอ่อน มาบรรเลงอักษรให้อ่านเช่นเดิม


    ช่วงที่แผ่นหนังยังสะดุด ชีวิตเราก้อต้องรุดหน้าต่อไป
    มารู้เรื่องยาที่มันรสชาดขมขื่น แต่จะชื่นหัวใจหากใช้แล้วได้ผล
    ;aa21

    เค้าว่าโลกนี้คือละคร ให้มองแล้วย้อนมาดูตัวเอง
    เราเป็นผู้แสดงคนหนึ่งที่ดูแต่ตัวเองว่าบทบาทดีแค่ไหน
    เมื่อสิ้นสุดมันก้อจบสลาย ซึ่งจะไปไหนต่อก้อตามบทที่เล่นออกไป
    แต่เราไม่ใช่กรรมการที่จะไปวิจารณ์
    ศาสตร์แต่ละศาสตร์มันคือการเรียนรู้ เมื่อใช้ใจถึงใจ จะเข้าใจธรรมชาติ
    เป็นรั้วที่กั้นไม่ให้เราประมาทพลาดหลงทางก้อเท่านั้นเอง


    มาว่าเรื่องเบาๆที่เล่าเข้าจริงๆจบไม่ลงในตอนเดียวต่ออีกซะหน่อย
    ย้อนเล่าเรื่อง รสชาดของน้ำปัสสาวะอีกซะนิด ซึ่งรสบอกถึงภาวะปัญหาของอวัยวะส่วนต่างๆได้
    รสเค็ม - ไต รสเปรี้ยว - ตับ
    รสหวาน - ตับอ่อน รสฝาด - กล้ามเนื้อเสื่อม


    เข้าเรื่องนาโน-ยูรีนบำบัด กันเลยดีกว่านะ
    เป็นยาสูตรหนึ่งเพื่อเสริมให้ทุเลาหรือโรคหายเร็วยิ่งขึ้น มีพลังชีวิตดีขึ้น
    ซึ่งอ.หมอเขียวเพิ่งจะออกมาเปิดเผยหลังจากคิดค้นมานาน


    หลักการของนาโน-ยูรีน
    คือ การเอาสิ่งที่เป็นพิษที่เจือจางเป็นล้านๆเท่า จนตรวจหาสารไม่เจอ เหลือแต่พลังงานในระดับนาโนเทคโนโลยีเข้าไปในร่างกาย เกิดกลไกต่อต้านโรคนั้นๆ คล้ายกับการฉีดวัคซีน
    โดยการผสมน้ำแล้วเขย่า คล้ายกับพลังงานนิวเคลียร์ที่มีพลังงานมากที่สุด ที่เกิดจาก
    การแยกโปรตรอนออกจากนิวตรอนในนิวเครียสของอะตอม
    ยิ่งเจือจางและเขย่ามากเท่าไหร่ก็จะเกิดพลังงานพุ่งกระจายออกมาที่แรงและมากเท่านั้น

    นาโน-ยูรีนจึงเป็นพลังงานระดับที่แรง เข้าไปกระแทกสัญญา(พลังงานระดับจิตวิญญาณ)
    แล้วไปสร้างเม็ดเลือดขาว พุ่งตรงไปกำจัดพิษที่มีอยู่ในร่างกาย


    วิธีการทำ นานโน-ยูรีน
    ใช้น้ำปัสสาวะ ๑ ส่วน ผสมน้ำเปล่า ๙๙ ส่วน หรืออัตราส่วนโดยประมาณ
    (อาจใช้ น้ำปัสสาวะ๑ ช้อนชา ผสมน้ำเปล่าประมาณ ๑๐๐ ซี.ซี.)
    ใส่ขวดปิดฝา เคาะกระแทกก้นขวดกับฝ่ามือ ๓๐ ครั้งขึ้นไป -นี่ คือ ชุดที่หนึ่ง


    จากนั้นเทออกมาให้เหลือค้างในขวดประมาณ๑ ช้อนชา เติมน้ำเปล่าประมาณ ๑๐๐ ซี.ซี.
    เคาะกระแทกก้นขวดกับฝ่ามือ ๓๐ ครั้งขึ้นไป - นี่ คือ ชุดที่สอง


    ทำซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนได้ชุดที่เก้าขึ้นไป ก็เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูง
    บางครั้งแค่เริ่มเคาะอาการไม่สบายก็เริ่มลดลงแล้ว แสดงว่า โมเลกุลที่กระแทกกันจากการเคาะนั้นเคลื่อนเข้าไปปรับสมดุลในชีวิตเรา


    ในการเคาะ เราจะสัมผัสถึงพลังงานสูงสุดได้โดยไม่ต้องทำถึงชุดที่เก้า ก็นำมาใช้ได้เลย
    ตอนที่นั่งฟัง เราก็ยังงงๆอยู่ แล้วจะรู้ได้ยังไง ว่ามีพลังงานสูงรอบไหน
    พอไปทำ ก็ถึงบางอ้อออ.. ครั้งแรกที่ทำ รู้สึกว่า รอบที่แปด มีความอุ่นมากที่สุด
    ในการทำครั้งที่สอง รอบที่สี่ มีความอุ่นมากที่สุด เราก็คิดเองอ่ะนะ ว่าพลังสูงสุดคงเป็นอย่างนี้นี่ล่ะ


    วิธีการใช้นาโน-ยูรีน

    พอได้ครั้งที่เก้า แล้วนำมากินครั้งละ ๑ ฝา(ประมาณ๑ช้อนชา) กินก่อน/หลังอาหารก็ได้
    กินตอนไม่สบายก็ได้ หรือจะผสมน้ำเปล่า น้ำสมุนไพร
    หรือ จะใช้ ทา เช็ด หยอด สวนล้างลำไส้ใหญ่ สวนล้างช่องคลอด เอามาสัมผัสร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ เท่าที่รู้สึกสบาย ช่วยปรับสมดุล ลดโรค และอาการไม่สบายต่างๆได้ดี

    ถ้ากินแล้วไม่สบายที่ค่อนข้างรุนแรง แสดงว่ามีการขับพิษออกมามาก แล้วพิษเคลื่อนออกไม่ทัน ให้หยุดกิน แล้วช่วยระบายพิษตามหลักเทคนิค๙ข้อ เมื่อเบาบางลง ก็ให้กินต่อ ทำสลับกันไปมา จนร่างกายแข็งแรง

    ข้าเจ้าได้ทดลองครั้งแรกในช่วงสายๆของวันอบรม
    เมื่อได้นาโน-ยูรีนแล้ว ดมดูไม่มีกลิ่นฉี่เหลือเลยอ่ะ เอามา๑ฝา ผสมน้ำสมุนไพรกินแบ่งใส่น้ำสระผม ล้างหน้า
    พอช่วงสี่โมงเย็นเท่านั้นล่ะ เปลี่ยนจากหมูน้อย เป็นลิงน้อยเลย
    เริ่มคันยุกยิก ตั้งแต่หัว ตัว ขา เท้า แต่ไม่มีผื่น
    อ่ะโห!! ของเค้าแรกทันใจดีเจงๆ นั่งนึก ไม่ได้สัมผัส รึ กินอะไรที่แปลกไปจากเดิม
    นอกจากเพิ่มนาโน-ยูรีน แสดงว่า พิษสงในตัวเราเยอะรอบตัวเลยทีเดียว
    แย่งกันออกตามผิวหนังไม่ทัน เอิ๊กๆๆๆ
    catt3
    ก็ปรับตามหลัก นั่งฟังบรรยายไปก็ทำกัวซาไป ประมาณชั่วโมงกว่าๆก็หายคันยุกยิก

    เรื่องเบาๆที่ยาวม๊ากกก อยากจะบอกแค่สั้นๆ แต่เรื่องนี้ค่อนข้างใหม่
    เผื่อหลายๆท่าน อาจจะ อาจจะ ได้มีโอกาสลองดู
    catt11
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 56.JPG
      56.JPG
      ขนาดไฟล์:
      673.9 KB
      เปิดดู:
      59
    • IMAG1500.jpg
      IMAG1500.jpg
      ขนาดไฟล์:
      845.4 KB
      เปิดดู:
      69
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...