เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    สิ่งมีชีวิต แบ่งเป็นพืชและสัตว์
    เราให้นิยามของสิ่งมีชีวิต ในทางพุทธศาสนา กล่าวว่า
    ชีวะนิยามหรือพีชะนิยาม ย่อมประกอบด้วยรูปและนาม คือวัตถุธาตุและนามธาตุ
    ซึ่งประกอบด้วยสองชนิดคือ
    1 พีชะนิยามจำพวกพืช หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่เป็นพืชหรือคล้ายพืช อันประกอบด้วย วัตถุธาตุหรือมหาโคตรภูติ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันอย่างเหมาะสมก่อกำเนิกเป็นพืช และนามธาตุ ของพืช อันประกอบด้วย สัญญา และสังขาระ คือมีสัญญาเดิมอันเป็นธรรมชาติของมันที่เป็นกรรมพันธ์ หรือพันธุกรรม และมีสังขาระปรุงแต่ง อันเป็นการปรุงแต่งไปตามระหัสพันธุกรรมของมันเช่นกัน คือเป็นสภาพที่มีการสืบเนื่องจากสายของพันธุกรรมของพืชนั้นๆ

    หรือสรุปได้ว่า พีชะนิยามของพืช นั้น ย่อมประกอบด้วย รูป สัญญา สังขาร เท่านั้น คือมีขันธ์ สาม เท่านั้น และด้วยความเป็นขันธ์สาม สภาพแห่งสัญญาและความปรุงแต่งก็เป็นไปตามพันธุกรรม จึงไม่เกิดวิญญาณที่มีการปรุงแต่งสืบเนื่อง ที่เป็นฝ่ายอวิชาหรือตัณหาอุปาทาน จึงไม่เกี่ยวด้วยบาปด้วยบุญ คือเป็นสภาพปรุงแต่งที่สักแต่ว่า อันเป็นยธรรมชาติของพืชนั้นๆ ที่เป็นกลางๆนั่นเอง

    2 พิชะนิยามจำพวกสัตว์หรือคล้ายสัตว์ หรือกายนิยาม อันประกอบด้วย วัตถุธาตุ รูปธรรม และนามธรรมหรือนามธาตุ
    กายนิยาม หมายถึง รูปหรือมหาโคตรภูติ ดินน้ำลมไฟ ที่มาประชุมอย่างเหมาะสม และต้องประกอบด้วย อาการของกายเป็นองค์ประกอบที่มีอยู่ด้วย อันเป็นกายละเอียดนั่นเอง ดังนั้นกายนิยามตามคำสอน จึงหมายรวมทั้งกายนอกและกายใน แม้กายนอกแตกดับไปหากกายในยังอยู่ กายในก็ยังเวียนว่ายตายเกิดก่อให้เกิดกายนอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบสิ้น
    ส่วนนามธาตุ ก็หมายถึง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ปรุงแต่ง แต่สภาพแห่งการปรุงแต่งมีสองลักษณะคือ เป็นการปรุงแต่งแบบทำตามหน้าที่ของสัตว์หรือพันธุกรรม หรือสายพันธ์ และอีกส่วนคือเป็นการปรุงแต่ง ด้วยอาสวะกิเลส จากอวิชาตัณหาอุปาทาน

    ฉนั้น จากกรณีของสัตวนิยาม หรือกายนิยาม จึงประกอบด้วยขันธ์5นั่นเอง และขันธ์5นี่เองจึงเป็นเครื่องนำมาซึ่งทุกข์

    ดังนั้นในการปฏิบัติธรรมจึงต้องเจริญสติสมาธิ ปัญญาเข้าไปรอบรู้ในกาย เวทนา จิต และธรรม นั่นเอง
    1กาย ตื้นลึกหนาบางนอกในหยาบและละเอียดเป็นอย่างไร
    2 เวทนา สุขทุกข์ กลางๆ เป็นอย่างไร ทั้งจากอายตะนอกใน ผัสสะเพราะวิญญาณพาไปสู่จิตรับรู้แจ่มแจ้งอย่างไร
    3จิต สภาพธรรมชาติวิ่งไปหรือเกิดรับรู้มีผัสสะทำงานเชื่อมต่ออย่างไรแล้วมีปรุงแต่งตามอย่างไร
    4ธรรมารมณ์ เกิดขึ้นจากผัสสะที่จิตรับแล้วเป็นอย่างไร พอใจ ไม่พอใจ สุขทุกข์ เพลิดเพลิน ขุนหมองขัดเคืองหรือนานาประการเป็นอย่างไร

    สรุปแล้วปัญญารู้แจ้งในความไม่เที่ยงแห่งขันธ์ รูปนามเป็นอย่างไร ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็น อย่างไร ขอให้มีการธรรมวิจยะให้มาก โยนิโสมนสิการให้มาก
    เมื่อท่านเดินสติปัฏฐานสี่และวิปัสนา ให้ถูกทางตรงต่อมรรคผล เมื่อนั้นท่านย่อมรู้แจ้งและชำระอาสวะกิเลสได้หมดสิ้นครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2015
  2. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    ขอคำแนะนำด้วยครับ อาจารย์ก้องครับ

    ผมรู้สึกมันเย็นๆ เป็นลักษณะจุดครับ บางทีก็ที่เท้าบ้าง แขนบ้าง นิ้วบ้าง เป็นทั่วไป ช่วงนี้เป็นบ่อย
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เวลาหรืออายุไขของเราจะมีค่า ก็เพราะเรามีความคิดว่าชีวิตของเรามีค่า ชีวิตของเราจะมีค่า ก็เพราะเรามีเป้าหมายหรือมีปณิธาณที่ดี เป้าหมายหรือปณิธาณของชีวิตที่ดี ย่อมเกิดได้ด้วยสัมมาทิฏฐิ
    สัมมาทิฏฐิที่ดีย่อมเกิดได้เพราะอาศัยรากฐานจากสัมมาสติและสัมมาสมาธิ เพราะก่อให้เกิดสติปัญญาที่ดีงามนั่นเอง เมื่อผู้ใดก็ตามที่มีสติปัญญาที่ดีงาม ย่อมเป็นผู้ไม่หลงผิด สัมมาทิฐิย่อมเกิดแก่ท่าน อันมิจฉาทิฏฐิก็ดับไป เพราะมีสติปัญญาเป็นเครื่องควบคุมนั่นเองครับ
    ดังนั้นในการดำเนินชีวิตที่ดีงามและมีคุณค่า คือต้องเริ่มจากการมีสัมมาทิฏฐิ หรือกล่าวแบบง่ายๆว่า ต้องมีATTITUDE & POSITIVE THINKING หรือทัศนะคติที่ดีงามนั่นเองครับ
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    สรุปแล้ว ชีวิตจะดีและมีคุณค่าคือท่านต้องเจริญอริยะมรรค8 คือทางสายกลางที่เป็นสายเอก สู่ความดีงามและหลุดพ้นทุกข์นั่นเองครับ

    เช่นนี้แล้ว ท่านทั้งหลายพึงสำรวจดูกาย วาจา จิต ของท่านด้วยเถิดว่า อริยะมรรคทั้ง8นั้น ท่านทำได้ท่านเจริญได้มากน้อยเพียงใด หากยังก็ขอให้มีความเพียรเจริญในอริยะมรรค8นี่เถิดครับ สาธุ
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    กระผมและสหายธรรม ได้ร่วมกันทำบุญหล่อพระ ที่บ้านสบายใจ

    ส่วน
    วิสาขะบูชานี้ วันที่1 มิถุนายนนี้ กระผมมีแผนไปทำบุญไหว้พระและปฏิบัติธรรมถือศีลหลังพระอาทิตย์ตกดินเป็นเวลา5วันครับ

    จึงแจ้งบุญมาเพื่อทราบและร่วมอนุโมทนาร่วมกันครับ

    สาธุ
     
  6. mcusys

    mcusys เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +106
    ขออนุโมทนาสาธุกับการปฏิบัติของคุณก้องในครั้งนี้ด้วยครับ สาธุครับ
     
  7. ราศีเมษ

    ราศีเมษ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +29
    สวัสดีครับ คุณก้องช่วยตรวจข้อความทาง PM ด้วยครับ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    มรรค (ภาษาสันสกฤต : มรฺค; ภาษาบาลี : มคฺค) คือ หนทางถึงความดับทุกข์ เป็นส่วนหนึ่งของอริยสัจ (เรียกว่า มัคคสัจจ์ หรือ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ) และนับเป็นหลักธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วยหนทาง 8 ประการด้วยกัน เรียกว่า "มรรคมีองค์แปด" หรือ "มรรคแปด" (อัฏฐังคิกมรรค) โดยมีรายละเอียดดังนี้

     อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘  นี้แหละ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

     

    ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน  ความรู้ในทุกข์ความรู้ในเหตุให้ทุกข์เกิด ความรู้ในความดับทุกข์  ความรู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ

     

    สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน ความดำริในการออกจากกาม ความดำริในความไม่พยาบาท  ความดำริในอันไม่เบียดเบียน  อันนี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ

     

    สัมมาวาจาเป็นไฉน? การงดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด งดเว้นจากการพูดคำหยาบ งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ  อันนี้เรียกว่า สัมมาวาจา

     

    สัมมากัมมันตะเป็นไฉน? การงดเว้นจากการล้างผลาญชีวิต  งดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม อันนี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ

     

    สัมมาอาชีวะเป็นไฉน? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการเลี้ยงชีพที่ผิด สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ อันนี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ

     

    สัมมาวายามะเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้  ให้เกิดฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น  เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว  เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น  เพื่อความตั้งอยู่  ไม่เลือนหาย เจริญยิ่ง ไพบูลย์ มีขึ้น เต็มเปี่ยมแห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว  อันนี้เรียกว่า สัมมาวายามะ

     

    สัมมาสติเป็นไฉน

    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้  พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่...พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่  มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ อันนี้เรียกว่า สัมมาสติ

     

    สัมมาสมาธิเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม 

    บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่

    เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน  เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุข  อันเกิดแต่สมาธิอยู่  เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป 

    บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข

    เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.

    กระผมขอกล่าวสรุปเสริมว่า
    1สัมมาทิฏฐิ คือมรรคอันเป็นประธาน เพราะความเห็นชอบนี้เองเป็นเครื่องหรือสิ่งที่ทำให้มรรคทั้งหลายเจริญงอกงาม หากเห็นผิดเมื่อไหร่มรรคอื่นๆก็เสื่อมหาความเจริญไม่ได้
    2สัมมาสติ คือมรรคอันเป็นรากฐาน เพราะมรรคทั้งหลายย่อมต้องอาศัยสัมมาสติเป็นรากฐานแห่งการปฏิบัติไม่หลงลืมหรือละเลย
    3สัมมาสมาธิ คือมรรคอันเป็นมหาญาณ คือเป็นเครื่องชำระจิตให้ละทุกข์ละสุขได้โดยแท้จริงเพราะสัมมาสมาธิฝ่ายวิปัสสนาก่อเกิดปัญญา ดับสมุทัยคืออาสวะกิเลส เกิดโลกุตระญาณ หลุดพ้นทุกข์ได้โดยบริบูรณ์ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2015
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ผมมีสัมนาที่พัทยา ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ คำถามที่เหลือจะทะยอยตอบในวันอังคารหน้านี้ครับ

    เรื่องการทำบุญนั้นขอกล่าวว่า
    การทำบุญย่อมได้บุญ อันเป็นผลลัพธ์ เบื้องต้นทันที แต่ผลของบุญหรือวิบากกรรม ของบุญเหล่านั้น ยังรอให้ผลในอนาคตกาลอีก นอกจากนี้ บุญ ยังส่งผลให้ผลอีกมากมายอันได้แก่ บุญให้ผลคือ เป็นเครื่องชำระจิตเบื้องต้น ให้ห่างไกลบาป บุญให้ผลชำระจิตท่ามกลางคือตั้งมั่นอยู่ในศีล บุญให้ผลขั้นปลายคือชำระจิตให้บริสุทธิ์ หลุดพ้นทั้งบุญและบาป หลุดพ้นสุขทุกข์ บุญสูงสุดกลับสู่สามัญคือไม่ใช่บุญ แต่เป็นสิ่งที่ดีงามที่สักแต่ว่าทำเพราะมีประโยชน์ดีงาม โดยไม่ยึดติดก็เท่ีานั้น
     
  10. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283
    ธรรมะสำหรับคนยุคนี้

    จิตเรามิใช่ของเราฉันใด บารมีเราก็มิใช่ของเราฉันนั้น แต่เป็นจิตบารมีแห่งพุทธองค์โดยแท้ ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดด้วยเหตุปัจจัยที่เคยกระทำสั่งสมไว้ในอดีตทั้งกรรมดีกรรมชั่ว ไม่มีเรื่องบังเอิญใดในหมื่นโลกธาตุหมื่นจักรวาลในทุกภพภูมิ มีแต่ผู้รู้และผู้ไม่รู้ ผู้ไม่รู้นั้นไม่มีสติปัญญารู้ทั้งตนเองและผู้อื่น และไม่รู้ในเหตุปัจจัยและผลของกรรม ครั้นหว่านพืชเช่นไรก็ได้ผลเช่นนั้น นิสัยเดิมในภพเดิมกรรมดีกรรมชั่วส่งผลเป็นวิบากกรรมกลายเป็นตัวตนเราที่มีความคิดอ่านแบบนั้นในภพปัจจุบัน ถ้าเราไม่เจริญในธรรม ภพหน้าย่อมได้รับวิบากกรรมเช่นเดิมหรือมากกว่าเดิมไม่เป็นอื่นด้วยเมล็ดพืชที่หว่านลงรากไว้แล้ว อย่างเลวสุดก็ลงอบายอีกไม่รู้นานเท่าใดจึงจักพ้นไฟนรก กระแสค่านิยมในยุคนี้เกิดความหลงมากมีความไม่รู้จึงชอบพึ่งพาในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะได้อะไรมาง่ายๆ ถ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดีก็ดีไป แต่เราจักรู้ได้เช่นไรว่าดีจากคำชวนเชื่อนั้น อาจนำผีหรือเจ้ากรรมนายเวรมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเราไม่รู้จงกระทำตนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเถิด ด้วยการเจริญสติปัญญาในธรรม แต่คนโดยมากรู้ทั้งรู้ว่าเป็นผีก็ยังรับมา รับมาเพื่อช่วยให้ตนร่ำรวย แต่หารู้ไม่ว่าผีคอยกัดกินร่างกายและจิตใจ เมื่อเลี้ยงนานวันผีหรือกุมารพรายนั้นก็สิงเราโดยไม่รู้ตัว ถ้าถามว่าจริงๆ เลี้ยงได้ไหม? ให้ตอบตรง ก็คือ ผู้ไม่ได้เจริญธรรมหรือปฏิบัติธรรมไม่ควรเลี้ยงอย่างยิ่ง เนื่องเพราะผีหรือวิญญาณนั้น เราต้องเลี้ยงด้วยบุญบารมีจึงให้บุญบารมีแก่เขาได้ไปเกิดเร็วๆ และถือว่าเราก็ได้สร้างบารมีด้วย ถ้าเราไม่มีบุญบารมีหรือมีน้อย ไอธาตุของวิญญาณจักซึมซับเข้าสู่ร่างกายหรือกายธาตุเราได้ง่าย ทำให้สุขภาพไม่ดีหรือเจ็บป่วยบ่อย เป็นๆหายๆ ไม่หายซะที เราไม่ได้สนับสนุนให้เลี้ยงแต่อย่างไร และไม่ได้ตำหนิผู้เลี้ยงหรือคนปลุกเสก เพราะเรารู้เข้าใจในกฎแห่งกรรมที่วิบากกรรมนำพาและดลใจให้เป็นไปเช่นนั้น ไม่มีใครช่วยใครได้อย่างแท้จริง ตนจึงเป็นที่พึ่งแห่งตนโดยแท้ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้

    *** สุดท้าย การได้อะไรมาง่ายโดยการขอ(สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผีหรือกุมารไปดลใจให้ได้เงินมาได้งานมาให้ได้ดั่งหวังไว้) ย่อมอยู่กับเราไม่นาน แต่ถ้าทำอะไรด้วยเหตุปัจจัยที่ถึงพร้อม ผลนั้นย่อมสำเร็จเป็นไปดั่งที่คาดหวังไว้ไม่เป็นอื่นแลอยู่กับเราได้นานนั้นแล ***

    ... รำพึงในธรรม สาธุ ! ...
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ช่วงวันวิสาขะบูชาที่ผ่านมาเมื่อวานผมได้ไปทำบุญสามวัดดังนี้
    1วัดชมโพธิยาราม ฉะเชิงเทรา
    2วัดปากน้ำ โจ้โล้ บางคล้า ฉะเชิงเทรา
    2วัดต้นตาล ฉะเชิงเทรา
    3วัดหงษ์ทอง บางปะกง ฉะเชิงเทรา

    ได้ทำบุญบูชาพระรัตนตรัย ทำบุญบูชาหลวงปู่ทวดสมเด็จโต ทำบุญบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ได้ร่วมทำบุญสร้างพระ ปางอุ้มบาตรองค์ใหญ่ และอื่นๆ อีกมากมาย ตลอดจนทำบุญเสริมดวงชะตาบารมี

    จึงขอบอกบุญเพื่ออนุโมทนาร่วมกันครับ และขอขอบคุณสหายธรรมผู้เป็นจิตบุญได้ร่วมส่งปัจจัยร่วมทำบุญร่วมกันครับ
    วันนี้ขอกล่าวธรรมะจากการปฏิบัติเมื่อวานวันวิสาขะอันมีเนื้อหาดังนี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2015
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==========================

    จิต อยู่ที่ใด เราจะทราบได้อย่างไรว่า จิตเรามีอยู่จริงหรือไม่ เพราะ จิต เป็นนาม ไม่มีรูป ไม่มีร่างเราจะทราบได้อย่างไร ถึงจะหาจิตของเราเจอ
    จากการปฏิบัติธรรมขอกล่าวว่า
    เมื่อเรากำหนดเจริญสมาธิ เมื่อ นั้นเราจะเห็นความจริงว่า จิตคือสภาพรู้ หรือตัวรู้ สภาพรู้เกิดได้ เพราะมีการเข้าไปจับด้วยสติและ เข้าไปสัมผัส มีวิญญาณเป็นเครื่องส่งและรับ เกิดเป็นผัสสะ เมื่อนั้นอายตนะภายในทำหน้าที่รับอายตนะภายนอก เกิดผัสสะนอก เมื่อผัสสะนอกเกิดแล้ว อายตนะภายในก็ส่งสิ่งที่รับมา ไปยังจิต อันมีตัววิญญาณเป็นตัวนำพาไปสู่จิต จึงเกิดผัสสะภายในกับจิตนั่นเอง
    เมื่อใดผัสสะเกิด จิตย่อมอยู่ที่นั้น และในขณะที่ผัสสะเกิด ตัวสติย่อมติดตามมาด้วยเสมอ เพราะผัสสะทั้งหลายมีสติเป็นเครื่องติดตามและ ควบคุม อันผัสสะใดก็ตามที่ขาดสติ ผัสสะนั้น แม้เกิดแล้วก็จริง จิตย่อมไม่รับรู้ก็มี หรือแม้รับรู้เพราะเกิดผัสสะก็จริง ก็สามารถปรุงแต่งจิตไปในทันทีก็มี
    ดังนั้นจิตอยู่ที่ใดจึงสามารถสรุปได้ว่า ก็เมื่อใดที่เกิดสติและเกิดผัสสะเมื่อนั้นจิตก็ปรากกฏอยู่ที่นั้น แม้ไม่มีสติมีแต่ผัสสะจิตก็สามารถเกิดอยู่ที่นั่นได้ แต่เป็นสภาวะที่ไม่สมบุรณ์ อันก่อให้เกิดผลเสียขาดการควบคุมได้
    ในการเจริญสมาธิเมื่อเราตัดกายเวทนาได้แล้ว ผัสสะที่เกิดแก่จิตภายในจะละเอียดเพราะเป็นผัสสะของนามธรรม ทั้งฝ่ายสัญญาก็ดี ฝ่ายสังขาระก็ดีหรือเจตสิกวิญญาณก็ดี หรือผัสสะภายในที่เป็นอาการของจิตก็ดี นามธรรมเหล่านี้ เกิดผัสสะกับจิต จิตย่อมอยู่ที่นั่น อยู่ภายใน แม้ในสภาพวะขั้นโลกุตระ อันเป็นสภาพที่ผัสสะเกิดอยู่แต่ก็ดับไป เป็นสภาพรู้ กลางๆ ว่างๆ รู้เฉยๆ สภาพรู้ อันเป็นสภาพจิตที่เป็นธรรมชาติ เดิมโดยแท้จริง เมื่อใดที่สมาธิของท่านเป็นสัมมาสมาธิ อันมีสภาพเช่นนี้ นั่นคือจิตท่านปรากฏแค่รู้เฉยๆไม่รับอะไร เป็นรู้ที่สักแต่ว่ารู้ ไม่มีสภาพใดปรุงแต่ง เป็นสภาพว่างเปล่า เป็นสภาพรู้อยู่ในความว่างนั่นเองครับ นั้นแหละคือสภาพจิตที่ปรากฏครับ สาธุ
     
  13. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    สวัสดีครับพี่ก้องสบายดีนะครับ

    ไม่ได้แวะเข้ามาซะนาน ....อยู่กับกายใจตน

    กายเบา จิตเบา ...ไม่ทุกข์เหมือนแต่ก่อนแล้วครับพี่
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ถ้ามีสติปัญญามีจิตเหนือโลก ก็ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นทุกข์จากโลกครับ

    เมื่อเราเจริญธรรม มาถูกทาง มรรคผลงอกงาม ผลที่ได้รับจะเป็นเช่นนี้ครับ ขออนุโมทนาครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2015
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เพราะชีวิตเรา ในปัจจุบันก็ดี อดีตก็ดี หรือแม้ชาติก่อนๆที่ล่วงเลยหมุนเวียนผ่านมากหลายภพชาติก็ดี

    เราทั้งหลายล้วนเกี่ยวข้องด้วยการกินอาหาร คือประทังชีวิตและอาชีพการงาน กรรมปาณาติบาต ย่อมเกิดขึ้นทั้งเจตนาก็ดีไม่เจตนาก็ดี เช่นนี้แล้ว นอกจากการถือศีลข้อ1คือไม่ฆ่าและเบียดเบียนสัตว์แล้ว
    การให้ทานชีวิตสัตว์จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่งให้เป็นปกติ และสม่ำเสมอ เพราะชีวิตย่อมถ่ายคืนด้วยชีวิต การให้ทานชีวิตจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรสร้างสั่งสมให้มาก เพราะชีวิตเราที่ยืนหยัดได้และมีโอกาสในการประกอบกรรมดี สร้างบารมี ก็เพราะสรรพสิ่งรอบด้าน ดังนั้นการให้ทานชีวิตสัตว์จึงเป็นหน้าที่อย่ีาหนึ่งที่ควรกระทำ เพื่อความเจริญงอกงามในชีวิต เพื่อความมีจิตสำนึกที่ดีต่อสรรพสัตว์ ผู้เสียสละอุทิศชีวิตเพื่อเป็นอาหารเพิ่อให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อการทำความดีต่อไปครับ สาธุ

    ให้ทานชีวิตทำได้มากมายหลายวิธีการ การช่วยให้สัตว์รอดพ้นจากความตายก็ดี จากทุกขเวทนาก็ดี ล้วนเป็นบุญเป็นกุศลอย่างยิ่งครับ สาธุ
     
  16. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ถามพี่ครับ ปกติเสาร์ หรือ อาทิตย์จะไปทำบุญถวายสังฆทานเกือบทุกอาทิตย์ บางครั้งก็ไปตลาด ซื้อปลา(ปลาปล่อย ตัวละ 10 บาท สว่นมากจะซื้อ 9 ตัวไปปล่อย)
    ถาม สั่นๆเลยครับพี่ก้อง ตัวเลขปลาที่ปล่อย จำเป็นไหมว่าต้องเป็นเลข 7 หรือ 9 บางครั้งผมก็ยังลังเลสงสัยอยู่ว่า ทำไมเราไม่ปล่อย 10 ตัวไปเลย เหมือนจะช่วยชีวิตได้เพิ่มขึ้นอีก 1 ครับ เพราะบางครั้งสงสัยว่าคนเกิดวันนี้ต้องปล่อยปลาเท่านี้ๆๆ บางวันเกิดก็ 16 ตัว ผมทำตามกำลังศรัทธาคือ ครั้งละ 9 ตัวครับ อยากทราบเป็นความรู้นะครับพี่ ขอบคุณครับ ^^
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การให้ทานชีวิตสัตว์ ที่ได้ผลมากคือการช่วยเหลือให้เขาพ้นจากการถูกฆ่า ซึ่งผมแนะนำให้ซื้อปลาจากตลาดสดหรือเขียงปลา นะครับ จะมีอานิสงค์มาก ส่วนปลาตัวเล็กๆที่ขายใส่ถุงใส่ถังตามในวัด นั้นก็มีอานิสงค์น้อยลงมาเพราะเขาเลี้ยงเพาะพันธ์เอาไว้ขายให้คนปล่อย หรือไปจับจากในคลองหรือแม่น้ำนำมาให้คนปล่อยครับ

    ทีนี้เหตุผลว่าทำไมบางคนเวลานั้นต้องปล่อย9ตัว 7ตัว หรือ5ตัว
    ขออธิบายว่า การปล่อยปลา คือการที่เราทำบุญแล้วอุทิศให้
    1 เทวดาประจำวันที่เสวยอายุไขเรามี9 พระองค์ก็คือ ทำให้ท่านทั้ง9ท่าน ก็เลยให้ปล่อยปลา9ตัว เพราะเกี่ยวด้วยชะตาของเราๆที่ไม่ดีครับ
    2เจ้ากรรมนายเวร ให้ใช้5อย่าง หรือปลา5ตัว เจ้ากรรมนายเวรใช้เลข5 เพราะผลจากเจ้ากรรมนายเวรเขาจะทำร้ายเรา ลงที่ขันธ์ทั้ง5ให้วิปริต ดังนั้นจึงต้องใช้5อย่างหรือ5ตัวให้ท่านรับบุญทั้ง5อย่างแล้วก็จะปลอดภัย
    3 กรณี7อย่าง นี่ คือมีอุปสรรคจากมารหรือคนไม่ดีหรือคนชั่ว คือจัดว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่มีบารมีหน่อย คือเขามีฤทธิ์ การทำบุญให้เขาจึงต้องเพิ่มจาก5เป็น7ครับ เป็นต้น
    4 อื่นๆ บางที่จำนวนของที่ทำอาจหมายถึงการแก้ไขกรรมจากเหตุในอดีต ซึ่งผู้ที่ตรวจอดีตได้รู้กรรมในอดีตก็จะทราบว่าต้องทำการแก้ไขอย่างไรจำนวนเท่าไหร่ ก็แล้วแต่กรณีครับ ไม่เสมอไปครับ

    อย่างปล่อยปลา16ตัว นี่ก็อาศัยตามกำลังของเทพเทวดาประจำวันที่ท่านดูแลเราอยู่ก็ได้ หรือ16ตัวนี้อาจหมายถึงส่งให้เทพพรหมทั้ง16ชั้นฟ้าก็ได้ หรือ16 หมายถึงครูอาจารย์ก็ได้ แล้วแต่เจตนาว่าจะทำให้เทพหรือจิต ดวงใดนั่นเองครับ สาธุ
     
  18. มุก2

    มุก2 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +14
    รบกวนคุณ tjs ด้วยคะพอดีบุตรชายมีปัญหาเรื่องงาน ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร จะมีปัญหาเรื่องงานตลอดเลยคะ รบกวนคุณ tjs ดูให้ด้วยนะคะ เกิดวันอังคารที่ 19 สิงหาคม 2529 คะ คุณ tjs บอกวิธีแก้ไขให้ด้วยนะคะว่าจะต้องแก้ไขอย่างไรหน้าที่การงานจึงจะราบรื่นไม่ติดไม่ขัดคะ และเขามีเทพยดาองค์ใดปกปักรักษาอยู่ และเจ้ากรรมนายเวรเป็นใคร สัตว์หรือมนุษย์ บุตรชายบวชแล้วนะคะ(บุตรชายขอมาจากองค์พระประธานวัดอารามหลวงที่บ้านเกิดของเขาคะ) รบกวนคุณ tjs มากๆเลยคะ
     
  19. มุก2

    มุก2 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +14
    รบกวนคุณ tjs ด้วยคะพอดีบุตรชายมีปัญหาเรื่องงาน ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร จะมีปัญหาเรื่องงานตลอดเลยคะ รบกวนคุณ tjs ดูให้ด้วยนะคะ เกิดวันอังคารที่ 19 สิงหาคม 2529 ปีขาลคะ คุณ tjs บอกวิธีแก้ไขให้ด้วยนะคะว่าจะต้องแก้ไขอย่างไรหน้าที่การงานจึงจะราบรื่นไม่ติดไม่ขัดคะ และเขามีเทพยดาองค์ใดปกปักรักษาอยู่ และเจ้ากรรมนายเวรเป็นใคร สัตว์หรือมนุษย์ บุตรชายบวชแล้วนะคะ(บุตรชายขอมาจากองค์พระประธานวัดอารามหลวงที่บ้านเกิดของเขาคะ) และบุตรชายมีดวงจะได้เปลี่ยนที่ทำงานใหม่ไหมคะเพราะเขาไปสมัครงานที่ใหม่หลายที่คะ รบกวนคุณ tjs ดูให้ด้วยคะขอให้บุญกุศลในครั้งนี้จงดลบันดาลให้คุณ tjs ปราถนาสิ่งใดไม่ว่าทางโลกและทางธรรมก็ให้สมปราถนาทุกประการคะ ขอบคุณมากๆเลยคะ
     
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==============

    ขอตรวจสอบก่อนแล้วจะตอบให้วันจันทร์นี้นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...