เป็นไปได้ไหม ว่า นิพพาน ก็ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดแห่งการดับทุกข์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย วรกันต์, 14 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ถ้าพอจะได้วิปัสสนาย่อมเห็นว่า อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด ห้ามไม่ได้ บังคับไม่ได้ ไล่เรียงกลับไปกลับมา รูปไปวิญญาณ ไปสัญญา ไปเวทนา ไปสังขาร เข้าสู่การปรุงแต่ง เวียนวนไป เกิดดับ เกิดดับเป็นวัฏ ไม่จบไม่สิ้น จนกว่าจะเท่าทันว่าจะสังขารจะปรุงเช่นไร ก็สัพประยุทธ์ตรงนั้น

    ปฎิจจสมุปบาทขาดสาย อวิชชาแหวกให้เห็น มีแต่บรมสุขเท่านั้น ตรงนี้ สักกายดับไป ได้ของแถมเป็นวิกิจจาดับ ศีลวัตรที่ไม่ถึงทุกข์ดับสิ้นไป เป็นผลแรก

    สัมมาทิฐิ ก็เกิดขึ้นเมื่อสักกายทิฐิดับ(ตัวเรา ของเรา)

    จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ หากปฎิบัติตามแนวที่คิดว่าใช่มานาน ก็ลองทบทวนดู ว่ามรรคผลเกิดขึ้นไหม ถ้าไม่เกิดก็ต้องทบทวนตัวเอง

    บางคนปฎิบัติมาแสนนาน เป็นถึงผู้สอนต่าง ๆ หารู้ไม่ว่าอยู่บนทางที่เนิ่นช้า แล้วยังจะไปชี้ให้คนอื่นเนิ่นช้า

    คำสอนครูจารย์บางท่าน ท่านจบกิจแล้ว คำพูด หรือสิ่งที่ท่านกล่าว มักเป็นธรรมเบื้องปลาย จะมายึดเป็นสรนะ ก็เรียกวิปัสสนึก

    จะประชดประชัดก็เรียกนิพพานแห้ง

    หากจะกล่าวถึงนิพพานมันกล่าวได้ยาก หากไม่ใช่อริยะเบื้องสูง แต่เรื่องที่ยากกว่านั้นคือ เรื่องขันธ์กับอุปทานขันธ์ จะว่ามันเนื้อเดียวกันก็ไม่ครอบ จะว่ามันคนละเนื้อมันก็ไม่คลุม จะว่ามันซ้อนทับกันอยู่ก็ไม่เหมาะ อย่างไรก็ตามยึดตามพระสูตร แล้วอย่าเอามาปรุงเพิ่มตามความคิดของตน (หากยังไม่ได้สัมมาทิฐิ)

    ถ้าเห็นกายเป็นตนอันนี้ดูไปลองบังคับให้มันไม่แก่ ไม่เจ็บดูซิ ถ้าเห็นจิตเป็นตน วันนี้หงุดหงิดลองให้มันหงุดหงิดตลอดไปซิ ถ้าเก่งสมาธินักลองให้มันทรงอยู่อย่างนั้นตลอดไปซิ ทำได้ไหม ของมันก็เกิดดับเป็นรอบจากวงจรภายใน ก่อเกิดเป็นวงจรภายนอก ก็รูป ก็ชาติ ก็ภพ

    ปล. สัมมาทิฐินับได้ก็ต้องโสดาบันผลขึ้นไป และที่กล่าวนี่ก็ไม่ได้อวด ไม่ได้จะเอาชนะ ไม่ได้ว่ากรูแน่ แต่สงสาร ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2009
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อย่างนี้น่าอนุโมทนา เพราะยกสูตรมาแล้วไม่ต้องไปกล่าวเสริม ไม่ต้องไปขยาย ไม่ต้องไปย่อ ไม่ต้องไปอธิบาย พระพุทธท่านกล่าวไว้ดีเยี่ยม ครบถ้วน ถูกต้องอยู่แล้ว

    ใครไปเติม หากยังไม่ได้อรหันต์ผล มันย่อมคลาดเคลื่อน เป็นธรรมที่ปฏิรูป ใครไปเติมย่อมให้ธรรมที่ศาสดากล่าวผิดเพี้ยนไป ย่อมหมายถึง พยายามลบคำสอน ยกตนเทียบ ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2009
  3. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ถ้าพอจะได้วิปัสสนาย่อมเห็นว่า (ใครเห็นคะ...ใช่เรา ใช่จิตเห็นมั๊ยคะ?)
    อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด (เกิดที่ไหนคะ?)
    ห้ามไม่ได้ บังคับไม่ได้ (ใครหรืออะไร เป็นผู้ห้าม ผู้บังคับล่ะคะ?)
    ไล่เรียงกลับไปกลับมา รูปไปวิญญาณ ไปสัญญา ไปเวทนา ไปสังขาร
    เข้าสู่การปรุงแต่ง เวียนวนไป เกิดดับ เกิดดับเป็นวัฏ ไม่จบไม่สิ้น
    (ใครทำหน้าที่ดูการไล่เรียง? ดูการเกิดดับล่ะคะ ?
    ถ้าไม่มีผู้ดู จะรู้ได้ยังไงคะ ว่าเวียนวน เกิดดับเป็นวัฏ ไม่จบไม่สิ้น)
    จนกว่าจะเท่าทันว่าจะสังขารจะปรุงเช่นไร ก็สัพประยุทธ์ตรงนั้น
    (ใครหรืออะไรคะ ที่เท่าทันสังขารจะปรุงเช่นไร?)

    ปฎิจจสมุปบาทขาดสาย อวิชชาแหวกให้เห็น
    (อวิชชาแหวกให้เห็น ใครเห็นคะ? ใช่เรา ใช่จิตเห็นมั๊ยคะ?)
    มีแต่บรมสุขเท่านั้น (บรมสุขเกิดที่ไหนคะ คงไม่ลอยไปลอยมานะคะ?)
    ตรงนี้ สักกายดับไป ได้ของแถมเป็นวิกิจจาดับ ศีลวัตรที่ไม่ถึงทุกข์ดับสิ้นไป เป็นผลแรก
    (ดับไปจากไหนคะ ? แล้วอะไรหรือใครที่รู้คะว่า...ดับไป?)

    สัมมาทิฐิ ก็เกิดขึ้นเมื่อสักกายทิฐิดับ(ตัวเรา ของเรา)
    (สัมมาทิฐิเกิดที่ไหนคะ?ใช่ที่เรา ที่จิตมั๊ยคะ?
    ใครหรืออะไรล่ะคะที่เห็นขันธ์ ๕ เป็นตัวเรา ของเรา(สักกายทิฐิ)?)

    (smile)
     
  4. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ หากปฎิบัติตามแนวที่คิดว่าใช่มานาน ก็ลองทบทวนดู ว่ามรรคผลเกิดขึ้นไหม ถ้าไม่เกิดก็ต้องทบทวนตัวเอง
    ก็ควรเชื่อ ถ้ามีเหตุผล แต่ถ้าอะไรก็ลอยไปลอยมา ไม่มีที่ตั้ง
    ก็ไม่รู้จะเชื่อได้ยังไง คำพูดที่ไม่มีเหตุผล สมาทานแล้วไม่เกิดประโยชน์

    บางคนปฎิบัติมาแสนนาน เป็นถึงผู้สอนต่าง ๆ หารู้ไม่ว่าอยู่บนทางที่เนิ่นช้า แล้วยังจะไปชี้ให้คนอื่นเนิ่นช้า
    ก็ถ้ายังมาเล่นเนทกันอยู่ ก็เข้าข่ายนำพาตนเองให้เนิ่นช้าทั้งนั้นแหละ มากน้อยเท่านั้น

    คำสอนครูจารย์บางท่าน ท่านจบกิจแล้ว คำพูด หรือสิ่งที่ท่านกล่าว มักเป็นธรรมเบื้องปลาย จะมายึดเป็นสรนะ ก็เรียกวิปัสสนึก
    ครูบาอาจารย์ฝ่ายปฏิบัติ ท่านมักสอดแทรกธรรมะในคำพูดของท่านเสมอ
    อยู่ที่ผู้อ่านจะน้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์กับตนเองได้หรือไม่...

    จะประชดประชัดก็เรียกนิพพานแห้ง
    เฮ้อ ก็ยังดีกว่า พวกจับควายไปแช่น้ำแล้วบอกว่านั่นแหละนิพพาน55+

    หากจะกล่าวถึงนิพพานมันกล่าวได้ยาก หากไม่ใช่อริยะเบื้องสูง แต่เรื่องที่ยากกว่านั้นคือ เรื่องขันธ์กับอุปทานขันธ์ จะว่ามันเนื้อเดียวกันก็ไม่ครอบ จะว่ามันคนละเนื้อมันก็ไม่คลุม จะว่ามันซ้อนทับกันอยู่ก็ไม่เหมาะ อย่างไรก็ตามยึดตามพระสูตร แล้วอย่าเอามาปรุงเพิ่มตามความคิดของตน (หากยังไม่ได้สัมมาทิฐิ)
    ทรงให้ปฏิบัติเพื่อปล่อยวาง ไม่ได้ให้ยึด
    พระสูตรมีไว้ให้เทียบเคียงผลการปฏิบัติ ไม่มีไว้ให้ยึด

    ถ้าเห็นกายเป็นตนอันนี้ดูไปลองบังคับให้มันไม่แก่ ไม่เจ็บดูซิ ถ้าเห็นจิตเป็นตน วันนี้หงุดหงิดลองให้มันหงุดหงิดตลอดไปซิ ถ้าเก่งสมาธินักลองให้มันทรงอยู่อย่างนั้นตลอดไปซิ ทำได้ไหม ของมันก็เกิดดับเป็นรอบจากวงจรภายใน ก่อเกิดเป็นวงจรภายนอก ก็รูป ก็ชาติ ก็ภพ
    ปฏิบัติเพื่อแยกจิต(เรา)ออกจากกาย(ขันธ์ ๕)
    เพราะขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตนของเรา

    ปล. สัมมาทิฐินับได้ก็ต้องโสดาบันผลขึ้นไป และที่กล่าวนี่ก็ไม่ได้อวด ไม่ได้จะเอาชนะ ไม่ได้ว่ากรูแน่ แต่สงสาร
    มีใครไม่รู้ พระโสดาบันละสังโยชน์ ๓ ได้ มีสัมมาทิฐิแล้ว แต่จะเป็นโสดาหรือไม่ ก็ต้องดูกันไป........

    ทุกคนที่มาเล่นอยู่ที่นี่ ก็ควรจะสงสารตัวเองให้มากๆที่ยังตกอยู่ในสังสารวัฏฏ์
    (เปิดเครื่อง--ฯลฯ--เข้าพลังจิต--อ่านกระทู้--ตอบกระทู้--ออกจากพลังจิต--ฯลฯ----ปิดเครื่อง--
    --เปิดเครื่อง--ฯลฯ--เข้าพลังจิต--อ่านกระทู้ที่ตอบไว้--ตอบกระทู้--ออกจากพลังจิต--ฯลฯ--ปิดเครื่อง--
    --วนเวียนไปไม่จบสิ้น) 55+

    (smile)
     
  5. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    หากยังยึดจิตเป็นตนเช่นนี้ ก็อย่าหวังสักกายทิฐิดับเลย แค่ตีความสูตรยังคลาดเคลื่อน แล้วมันจะพิจารณาความจริง (อริยสัจจ์) เคลื่อนไปเสียหมด

    ตามสบายนะครับ ไม่มีใครเปลี่ยนความเห็นใครได้ จนกว่าจะเห็นความจริง (อริยสัจจ์)

    หากไม่เห็นทุกข์ ไหนเลยจะเห็นเหตุแห่งทุกข์
    หากไม่คลายเหตุแห่งทุกข์ จะเข้าใจความดับทุกข์
    ไม่ถึงความดับทุกข์ ไฉนจะรู้ทางดับทุกข์

    ฝากไว้อีกอย่างครับ

    "ปัญญาที่ได้จากการคิด อย่างไรมันก็คล้อยตามกิเลส" ^-^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2009
  6. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    อย่างที่คุณ Jinny ว่าไว้ ถ้าหากยังยึดจิดเป็นตนอยู่ ก็ยังไม่ใช่พระนิพพาน ลองคุณธรรมะสวนัง บอกผมหน่อยสิครับ ว่านิพพานในความหมายของคุณ ต่างกับอรูปพรหมยังไง ซึ่งปัญหานี้ผมเองก็เคยผ่านเวลาช่วงนี้มาแล้ว และก็พบว่าตอบไม่ได้ แต่เมื่อไม่ยึดจิตว่าเป็นตน อันนี้น่ะตอบได้ คุณลองไตร่ตรองดูเอง
     
  7. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    อันนี้ผมเห็นแย้งกับคุณจินนี่นะครับ ถ้าการยกพระสูตรมาแล้วเข้าใจถูกต้องตรงตามพระสูตรนั้นๆ แต่ยกมาเพื่อใช้อ้างอิงให้คนที่ไม่รู้ ได้รู้ อันนี้ขออนุโมทนาครับ

    แต่ถ้าในกรณีที่ยกพระสูตรมาบางช่วง บางตอน ตัดมาเฉพาะข้อความที่ฟังดูแล้วสนับสนุน ความคิด ความเชื่อของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องตรงตามพระสูตร อันนี้ผมไม่อนุโมทนาด้วยหรอกนะครับ ซ้ำอยากจะตำหนิด้วย เพราะนั่นแหละคือการทำให้เกิดสัทธรรมปฎิรูปอย่างร้ายแรง เพราะมีการเอาพุทธพจน์ บางท่อนมาสนับสนุนให้ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งคนที่ไม่ได้ยกพุทธพจน์มากล่าวอ้าง แต่ยกหลักความเชื่อของตัวเองมาพูด คนอ่านก็ยังรู้สึกก้ำกึ่งที่จะเชื่อ อันนี้ที่ผมพูดอย่างนี้ เพราะ Mr.surin ไม่ได้เข้าใจในพระนิพพานตามแบบพระพุทธพจน์ที่ยกมา ดูจากข้อความก่อนหน้านี้ประกอบก็ได้ครับ และต้องขออภัยล่วงหน้าหากเข้าใจอะไรผิด ขอบคุณครับ
     
  8. mr.surin

    mr.surin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +129
    [​IMG]


    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม



    " พระนิพพานมีอยู่ไม่เสื่อมสูญ พระพุทธเจ้าเข้าพระนิพพานก็มีอยู่ในพระนิพพานนั้นแล
    ถ้าเราเป็นพระอรหันต์ พระโสดาบันเมื่อไร
    เมื่อนั้นแหลจึงจะเห็นจะรู้ที่อยู่พระพุทธเจ้า ที่อยู่ของพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย "

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  9. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    สวัสดีค่ะ คุณ surin
     
  10. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    พระนิพพานเป็นเช่นไรหนอ..
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณจินครับ คุณนี่ช่างเป็นคนเก้อยากเอาเสียจริง คนเช่นนี้จัดอยู่ในพวกโมฆบุรุษ
    ซึ่งพระพุทธองค์ไม่ทรงสั่งสอนคนเช่นนี้ให้เสียเวลา
    เพราะชอบลบหลู่พุทธพจน์(พระสูตรและตำรา)เป็นอาจินต์

    เชื่อแต่คำพุทธบุตรที่ขานนาคสืบต่อกันมาเพื่อเข้ามาสืบต่อพุทธศาสนา
    แต่ไม่เชื่อพุทธพจน์
    ถ้าไม่เชื่อพุทธพจน์ก็ไม่น่าที่จะต้องขานนาคเพื่อสืบต่อทำไม???
    บวชเองก็ได้ไม่เห็นต้องมีอุปัชฌายะไปเพื่ออะไร ในเมื่อเก่งยิ่งกว่าบรมครูเสียอีก???

    ใครกันแน่ครับที่สัญญาวิปลาส ผมเอาหลักฐานมาให้ผู้อ่านได้ดูกันในคคห.ข้างล่าง
    ที่คุณลบหลู่พระสูตรและตำราโดยให้ผมเลิกพิจารณ์ตำราและพระสูตรซะ
    เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้ผมดูแล้วน่าเศร้าและน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
    ซึ่งผมไม่รับคำกล่าวร้ายพร้อมมีคำถามๆกลับ
    แต่คุณก็เลี่ยงโดยที่จะไม่ยอมตอบผมเลย...

    แต่กลับไปใช้โอกาสเท่าที่มีในการกล่าวร้ายผมในทุกๆที
    ที่คุณมีโอกาสโชว์ความเป็นอริยะตราตั้ง
    เพราะยกตนเองข่มท่านว่าเป็นผู้มีสัมมาทิฐิแล้ว
    ย่อมหมายถึงพระโสดาบันเท่านั้นที่มีสัมมาทิฐิสมบูรณ์

    ในเมื่อคุณม-รึงแน่ ไม่ต้องถ่อมตัวก็ได้ครับ
    เพราะคุณโอ้อวดมาเยอะแล้ว คนที่เค้าอ่านจะได้รู้ว่าคุยอยู่กับอริยะตราตั้ง(เอง)
    เผื่อคนอ่านจะได้รู้สึกเวทนาสงสาร
    อนุเคราะห์ให้มีดวงตารู้เห็นธรรมตามความเป็นจริงขึ้นมาได้บ้าง

    สัมมาสมาธิยังไม่เคยรู้จักแต่ไพล่ไปยกตนเองว่ามีสัมมาทิฐิเสียแล้ว(โอ้อวด)
    ซึ่งเป็นการแย้งกับพุทธพจน์ในมหาจัตตารีสักกสูตร
    ซึ่งพระองค์ทรงกล่าวไว้ชัดเจนแล้วว่า ในองค์อริยมรรคมีองค์๘นั้น
    ทรงยก
     
  12. Sujinno

    Sujinno Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +90
    ดี อนุโมทนา
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณคุยว่าได้วิปัสสนาแล้ว แต่กลับบอกว่า
    อะไรจะเกิด ห้ามไม่ได้ บังคับไม่ได้หนะ คิดเองเออเองเพราะทำไม่ได้ใช่มั้ยครับ

    สิ่งที่เราห้ามไม่ได้หนะเฉพาะ ความแก่ชรา ความเก่าคร่ำคร่า ความเจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้น
    ส่วนเรื่องกิเลสตัณหานั้น ต้องห้ามได้ บังคับได้สิครับ
    อย่าพยายามมั่วให้พุทธพจน์เสียหายเพียงเพื่อตนเองสิครับ

    ก็คุณไม่เท่าทันกิเลสตัณหาเอง
    เพราะมัวแต่ปล่อยให้จิตออกไปแสวงหาหากิเลสตัณหา
    เพื่อจะได้สนุกกับการพิจารณาทุกข์อยู่ตลอด
    เกิด-ดับจากอารมณ์หนึ่งสู่อีกอารมณ์หนึ่ง
    เนื่องจากไม่รู้จักทุกข์จึงกำหนดรู้ทุกข์ไม่เป็น ก็ละเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้

    เมื่อกำหนดรู้ทุกข์เป็น ก็ละเหตุแห่งทุกข์(ไม่ส่งจิตออก)
    เมื่อจิตไม่ส่งออก ก็ไม่มีการปรุงแต่ง เมื่อไม่มีการปรุงแต่งแล้ว
    จะต้องไปสัพประยุทธกับอะไรหรือครับ

    วันหลังอะไรที่ยังไม่รู้ก็อย่าอวดดีกับพุทธพจน์อีกหละ
    มันเท่ากับโชว์ให้คนอ่านเค้ารู้ว่า
    ที่คุยๆไว้ว่าเป็นซึ่งอะไรเป็นเพียงตราตั้งที่ตั้งกันขึ้นมาเองจ้า

    ส่วนที่คุณพูดมาหนะ ไม่ได้มีส่วนของวิปัสสนาเลย
    ถ้าได้วิปัสสนาจริงๆแล้ว ย่อมยังกิเลสตัณหาที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิด ที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป
    และยังกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ยังกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งๆขึ้น(สัมมาวายามะ)

    ;aa24
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ยกของเก่ามาให้อ่านกัน
    คุณจินฯครับ นิสัยนั้นพอแก้ได้ ส่วนอนุสัยสันดานนั้นแก้ยากนะครับ
    ผมถามคุณไป ไม่เคยได้ตอบกลับมาเลย
    ได้ข้อสรุปว่า ที่คุณสรุปเองเออเอง ว่าเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้
    แต่ไม่เคยได้คำอธิบายให้กระจ่างมาสักที
    เห็นแต่คุณชอบกล่าวร้ายคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยเป็นอาจินต์

    ในฐานะพุทธบุตรที่ดีผมขอประณามคุณนะครับว่า
    เป็นเพียงคนที่แอบแฝงเข้ามาเพื่อทำลายพุทธศาสนาเท่านั้น
    คุณตอบผมมานะครับว่าคนที่กำลังปฏิบัติไปตาม
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธินั้น
    ถ้าไม่เรียกว่าเดินไปบนอริยมรรคแล้ว จะให้เรียกว่าเดินบนอะไรหละครับ???

    ทางเดินไปบนอริยมรรคนั้นคุณใช้จิตเดินหรือกายเน่าๆนี้เดินครับ???
    การระลึกรู้ชอบ(สัมมาสติ)อยู่ที่ สัมมาวายามะ สัมมาสมาธินั้น
    อยู่ตลอดทุกลมหายใจเข้า-ออกเป็นปัจจุบันธรรม ที่ควรฝึกฝนให้ชำนาญ
    ซึ่งเป็นการละเหตุแห่งทุกข์(ไม่ส่งจิตออก)ครับ

    ผมก็เตือนคุณไปหลายครั้งแล้วครับ
    ว่ามัวพิจารณาทุกข์เฉพาะหน้าอยู่นั่นแหละ
    เข้ามาดูทุกข์อยู่เป็นประจำ แต่ไม่เคยเห็นทุกข์
    เมื่อเห็นทุกข์แล้ว ควรกำหนดรู้อยู่ที่ฐานไม่ส่งจิตออก
    เท่านี้ก็เป็นการละเหตุแห่งทุกข์แล้วครับ

    ตกลงใครกันแน่ครับที่เนิ่นช้า??? ระหว่าง
    คนหนึ่งมัวแต่พิจารณาทุกข์อยู่นั่นแหล่ะ!!!
    เพราะไม่รู้จักทุกข์ จึงกำหนดรู้ไม่ได้
    ส่วนอีกคนหนึ่งกำหนดรู้ว่าทุกข์แล้ว
    ฝึกฝนเพื่อละเหตุแห่งทุกข์ให้ชำนาญและรวดเร็วยิ่งๆขึ้น
    โดยกำหนดรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งของสติไม่ส่งจิตออกไป

    ถ้าเดินตามอริยมรรคแล้วยังเป็นการเนิ่นช้าอยู่
    ก็เพราะขาดการฝึกฝนขาดความเพียรพยายามประคองจิตให้ตั้งมั่น
    อยู่บนทางเดินของจิตเพื่อสู่มรรคผลนิพพานครับ
    คุณลองบอกทางเดินอันไม่เนิ่นช้าของคุณหน่อยสิครับ???

    ;aa24
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบอกให้ผมเลิกพิจารณาตำรา เลิกพิจารณาพระสูตร
    ผมขอถามนะครับว่าทุกวันนี้คุณใช่เอาคำพูดมาจากตำรา
    และครูบาอาจารย์ของคุณมาพูดใช่มั้ยครับ???

    ถ้าไม่ใช่ แสดงว่าคุณและครูบาอาจารย์คุณ เก่งกว่าใครในพุทธศาสนานี้
    เพราะไม่ต้องพิจารณาตำรา และพิจารณาพระสูตร
    เพื่อนำมาเทียบเคียงกับผลปฏิบัติของตนเองเลย
    รู้เองเห็นเองหมด จากความคิดของตนเองเท่านั้น
    โดยเฝ้าดู พิจารณาดู ทุกข์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    แบบนี้จิตไม่เพียงแต่เศร้าหมองเท่านั้น หมองเศร้ามืดบอดชนิดหมดทางรักษาครับ
    เพราะเอาเพียงความเชื่อถือศรัทธาและความคิดตนเองเท่านั้นที่ถูกต้อง
    ขนาดพุทธพจน์ที่พระสังฆราชท่านเคารพศรัทธา
    ยังกลายเป็นของโกหกหลอกลวงไม่น่าเชื่อถือไปเลย
    ในสายตาคุณและครูบาอาจารย์ของคุณที่ยึดถือตนเองเป็นสรณะ
    ไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ

    เมื่อเป็นแบบนี้แล้วคุณและครูบาอาจารย์ของคุณ
    ควรที่จะไปสร้างลัทธิใหม่ที่ไม่ต้องพิจารณาตำราและพระสูตรในพระไตรปิฎก
    และขอร้องคุณและครูบาอาจารย์ของคุณว่าอย่าอ้างเป็นขาวพุทธอีกนะครับ
    ผมรับไม่ได้จริงกับการลบหลู่พุทธพจน์ของคุณ
    ถ้าผมเห็นคุณยกพระสูตรหรือตำราที่ไหนมาอีก
    ผมคงต้องตามไปประณามคุณไม่มีวันเลิกหรอกครับ!!!!

    ;aa24
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อวิชชาที่ไหนแหวกให้ใครเห็นครับ อย่าคิดเองเออเองสิครับ
    ถ้าปฏิจจสมุปบาทขาดสายแล้วหนะ นั่นพระอรหันต์ครับ จึงมีแต่บรมสุข
    ไม่ใช่แค่ผลแรกเท่านั้น เลิกมั่วเองทำพุทธพจน์เสียหายสิครับ

    ผลแรกหนะ เค้ารู้กันทั่วทุกตัวคนแล้วว่า เกิดดวงตาเห็นธรรม
    คือเกิดวิชชา(อริยสัจจ๔)รู้เห็นตามความเป็นจริง
    ไม่ใช่อวิชชาที่ไหนใจดีมาแหวกให้เห็น พูดบ้าๆไปได้ไม่อายปาก
    มีแต่เราเท่านั้นที่ใช้ความเพียรแหวกเข้าไปเห็นเอง รู้เองตามความเป็นจริงครับ

    ;aa24
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณจิน สัมมาทิฐิจะเกิดขึ้นได้ยังไง ก็มัวแต่วิปัสสนึก คิดเองเออเอง
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณเลิกมั่วเสียทีได้แล้วครับ
    ประโยคแรกของคคห.ข้างบนนั้น
    คุณพูดถึงจิตว่ามันจะเกิดกิเลสตัณหาก็ห้ามไม่ได้ควบคุมบังคับไม่ได้
    แต่คุณมาเนียนถามว่าลองบังคับให้มันไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายสิ

    มีแต่พวกดูจิตจนเพี้ยนเท่านั้นที่จะไปบังคับของที่บังคับไม่ได้
    แม้แต่เด็กมันยังรู้เลยว่า มนุษย์ทุกรูปทุกนามล้วนต้องเกิดแก่เจ็บตายทั่วทุกตัวคน

    ฉะนั้นพระบรมครูจอมศาสดาจึงได้ออกค้นหาโมกขธรรมหรืออมตะธรรม
    ธรรมที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย
    เมื่อค้นพบแล้วจึงนำมาสั่งสอนสัตว์โลกด้วยเมตตาเป็นอย่างยิ่ง

    แปลกแฮ่ะ !!! ส่วนที่บังคับได้กลับไม่บังคับ
    เห็นจิตหงุดหงิดกลับปล่อยให้หงุดหงิดทั้งวัน จะบ้าหรือเปล่า

    ในเมื่อเห็นจิตมันหงุดหงิดจะโง่ปล่อยให้จิตมันหงุดหงิดต่อไปทำไม?
    ก็ควบคุมฝึกฝนบังคับมันโดยให้รู้เห็นตามความเป็นจริงซะสิว่า
    เพราะจิตเที่ยวไปยึดอะไรต่อมิอะไรข้ามาให้วุ่นวายไปหมด
    จึงได้หงุดหงิดต่อสิ่งยึดถือเหล่านั้น

    ต่อเมื่อปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นซะได้ความหงุดหงิดก็หายไป
    แล้วจะโง่ปล่อยให้จิตมันหงุดหงิดโดยไม่ฝึกฝนอบรมควบคุมบังคับมันเพื่ออะไร???

    ;aa24
     
  19. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
     
  20. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666

แชร์หน้านี้

Loading...