เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

จ้า แหม ใจตรงกันเลย...คิดถึงอยู่เหมือนกัน นะตะเอง

ไม่แปลกจ้า เพราะข้อมูลทุกอย่าง มันเป็นไปพร้อมกันหมด
เราเรียนรู้ได้ อย่างไม่มีขั้นตอน ลำดับและหน้าหลัง
ยิ่งมึน ยิ่งดีค่ะ ....สมองจะ กลวงโบร๋ว์ รับข้อมูลได้อีกอักโขเลยค่ะ... แหะ แหะ

ใช่แล้ว น้องกุญแจซอลที่รัก
น้องไม่เคยทำให้พี่ผิดหวัง ก้าวหน้า หรือถอยหลัง เป็นแค่ความเชื่อของเราเอง
มันไม่เคยมีลำดับ การพัฒนาของจิตวิญญาณอยู่จริงๆ มันมีแต่ขยายออกกว้างขึ้นและกว้างขึ้น
จริงมะ น้อง...

ความเป็นธรรมดาที่สุด นั่นแหล่ะ ปาฏิหาริย์สุดๆ
ยากที่สุด คือ สิ่งที่เป็นธรรมดาสุดๆ....
งง มะ น้อง พี่เริ่มอีกแล้วงง อ่ะ...

 

"ความเป็นธรรมดาที่สุด นั่นแหล่ะ ปาฏิหาริย์สุดๆ
ยากที่สุด คือ สิ่งที่เป็นธรรมดาสุดๆ....
งง มะ น้อง พี่เริ่มอีกแล้วงง อ่ะ...<!-- google_ad_section_end --> "

ในความเป็นจริงมีเรื่องมากมายที่เราต้องศึกษา ค้นคว้าหาคำตอบ บางทีก็เกือบหมดชีวิต แต่สิ่งที่คนเราค้นหาก็คือ สิ่งนี้ สิ่งที่เป็นธรรมดาสุดๆ บางทีเจอแล้วเราก็ยังไม่สามารถทำสิ่งธรรมดามากๆนั้นได้ แม้แต่ลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
เราจะเข้าใจเรื่องเดียวกันที่มันงง ๆไหมอ่า ..........

 

แวะมาโม้ห้องนี้ต่อ...

นั่นซิ นะ คุณหงบที่รัก เรื่องที่เรางงๆกัน
มันอาจจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันหรือเปล่าก็ไม่รู้เน๊อะ
แต่ความไม่รู้ ดีกว่า รู้นา แสดงให้เห็นว่า
เราไม่ได้ปิดกั้น อาณาเขตของเราไว้แค่ในกะลาส่วนตัว

ช่วงที่หาย Head ไป ก็กุ้มใจ๊ กุ้มใจ ว่าทำไมตัวเองโง๊โง่
ไอ้นู้นก็ไม่แน่ใจ ไอ้นี้ก็ไม่น่าใช่ เลยเป็นใบ้ ไม่อยากคุยกะใครเลย
...แบบว่า อายง่ะ แหะแหะ

พี่นักเขียนบอกว่า ธรรมชาติของจิตวิญญาณ คือความอยากรู้อยากเห็น
และเติมเข้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันเต็ม
(ไม่รู้พี่เค้าปลอบใจเดี๊ยนรึเปล่า แบบให้กำลังใจสุดฤทธิ์)

หากคิดว่าพอแล้ว รู้หมดแล้ว ก็เติมอะไรไม่ได้แล้ว
รับอะไรไม่ได้ทั้งน้าน เพราะกลายเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดไปแระ
ก็จบเห่...

ถ้างั้น ทำตัวเป็น บริษัท มหาชน ที่รับหุ้นแบบไม่จำกัดจำนวนดีกว่ามั้ง
มันมีแต่จะขยายๆๆ ใหญ่โต...อีกหน่อย go inter เป็น WWW

อาจได้ทำธุรกิจกับ ชาติอื่น โลกอื่น ดีไม่ดี ได้ภพอื่นอีกด้วย
(คิดในใจ...)ถ้าจะดี ไม่ใช่น้อย...

 

ช่วงที่หาย Head ไป ก็กุ้มใจ๊ กุ้มใจ ว่าทำไมตัวเองโง๊โง่
ไอ้นู้นก็ไม่แน่ใจ ไอ้นี้ก็ไม่น่าใช่ เลยเป็นใบ้ ไม่อยากคุยกะใครเลย
...แบบว่า อายง่ะ แหะแหะ




55
งั้นเล่ามาเลยดีฟ่า สงบเองก็มีความรู้สึกหนักหัวอยู่ไม่น้อย แถมมีกลิ่นมะพร้าวบูดตุๆด้วย
ขอแบบหมดไส้หมดพุง เหอเหอ
ร้อง...อ๊บๆๆ รอ

 

ก็ที่เป็นอย่างงั้นก็เพราะคนส่วนใหญ่พยายามที่จะเข้าใจอะไรที่ไม่เป็นธรรมชาติน่ะครับถึงทำให้ไม่สามารถทำได้จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต มีน้อยคนมากๆที่พยายามเข้าใจธรรมชาติหรือสิ่งใกล้ตัว คนส่วนใหญ่พยายามเข้าใจอะไรที่มันฝืนธรรมชาติซะมากกว่า

 

แหม!!! ก็บอกว่า อายง่ะ
แล้ว... เรื่องมันก็ยาวน้า ยาวจริงๆน้า

เดี๋ยวขอเวลา ให้องค์ลงก่อน แร้ว...จามาโม้ให้ฟัง
ตะเอง ดมกลิ่นมะพร้าวบูดไปก่อน เค้าก็ได้กลิ่นอยู่..
เหอ เหอ เหอ...

 

แวะมาตามหาคนหายหนะครับ
ไม่รู้ว่าใครเจออยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่า?

ถ้าใครบังเอิญไปเจอคนๆนั้น..
ก็รบกวนฝากข้อความถึงคนๆนั้นด้วยนะครับ

.............................................

ที่มา: http://palungjit.org/threads/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%9E-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%86%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%81.193101/page-51#post3286014
........................................

<table id="post3285959" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);"> เมื่อวานนี้, 11:47 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1004 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chayutt<!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_3285959", true); </script>
ผู้สนับสนุน บริจาค



วันที่สมัคร: Aug 2005
สถานที่: Vietnam
อายุ: 38
ข้อความ: 2,932
Groans: 42
Groaned at 12 Times in 8 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 14,742
ได้รับอนุโมทนา 36,332 ครั้ง ใน 3,183 โพส
พลังการให้คะแนน: 2593


</td> <td class="alt1" id="td_post_3285959" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- google_ad_section_start --> อ้างอิง:
<table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Chayutt
หมายเหตุ: - โดย chayutt


ไปดูข้อมูลในเวปไซต์เหล่านี้เพิ่มเติม เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ว่านี้นะครับ ซึ่งเขาเรียกกันว่า Zero point energy
ซึ่งเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบและพัฒนาจนใช้งานได้จริงมาร่วม 20 ปีแล้ว
อย่างที่ผมเคยนำเสนอ VDO ไปแล้วก่อนหน้านี้

แต่ที่ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ก็เพราะว่าถูกสกัดกั้นจากผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ในวงการธุรกิจน้ำมัน
และอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน อย่างที่ทานซาลูซ่ากล่าวไว้จริงๆ เพียงเพราะพวกนั้น
ต้องการปกป้องผลประโยชน์ของตนเองไว้เท่านั้นเอง จนถึงกับลงมือฆาตกรรมอำพรางนักวิทยาศาสตร์
ที่ทำการค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับเรื่องพลังงานใหม่และฟรีเหล่านี้ไปนับไม่ ถ้วน ในช่วงเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้

เวปไซท์เหล่านี้สามารถค้นหาได้จาก internet ครับ โดยใช้คำว่า “zero point energy” ตัวอย่างเช่น

ZPEnergy.com

perpetual motion power

Zero Point Technology: Zero Point Energy - Tom Valone

An introduction to Zero Point Energy - The fuel source of tomorrow | SolReka - Alternative Energy, News, Conspiracy Blog


โดยเฉพาะเวปไซท์สุดท้ายนี้ เห็นเขาบอกไว้ด้วยนะครับว่า ความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์
จากพลังงาน zero point นี้มีอะไรบ้าง ซึ่งรวมถึงการทำให้วัตถุลอยได้ด้วย

ดูผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์จากในรูปเอาเองนะครับ





ส่วน VDO เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มีมากมายเช่นกันครับ ค้นหาได้ในอินเตอร์เน็ตเช่นเดียวกันครับ เช่น

<embed id="VideoPlayback" src="http://video.google.com/googleplayer.swf?docid=-5738531568036565057&hl=en&fs=true" style="width: 400px; height: 326px;" allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always" type="application/x-shockwave-flash">

สิ่งที่ผมกำลังจะบอกก็คือ มันถูกค้นพบและทำสำเร็จมานานกว่า 20 ปีแล้วจริงๆครับ
แต่มันถูกปกปิดและสกัดกั้นไว้ก่อนเฉยๆ พวกเราจึงยังไม่ได้ใช้มันจริงๆอย่างแพร่หลาย อย่างที่ควรจะเป็น

..............................

</td> </tr> </tbody></table>

ขอโทษทีนะครับ ที่ลืมแนะนำกระทู้ของทีมแปลแห่งแสงสว่างคนหนึ่งของเราไป
นั่นก็คือกระทู้ของคุณเดรด ว่าด้วยเรื่อง Zero Point มากมายก่ายกองครับ
จนไม่รู้เดี๋ยวนี้ เตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนต่อไหนบ้างแล้วก็ไม่รู้ 555

..ล้อเล่นนะครับคุณเดรด...

แต่ก็อะนะ..อย่างว่าหนะแหละ..กระทู้ไหนที่เกี่ยวข้องกับสาระ หรือวิชาการหละก็
จะตกแล้ว..ตกอีก..แบบว่าหมดแรงพลังที่จะดึงกลับขึ้นมาใหม่บ่อยๆเลยหละ

อีกทั้งทางทีมงานของเวปพลังจิตประจำห้องวิทย์ฯนี้เองก็นะ..
เขาไม่ค่อยจะแนะนำให้ใครมาอ่านหรอก..เนื้อหาวิชาการแบบนี้

...โน่น..!!.. ต้องเป็นอะไรที่เกี่ยวกับ "นังงูเหลือมระลึกชาติได้"
หรือใครต่อใครระลึกชาติได้ หรือไม่ก็อะไรทำนองนั้นโน่นแหละ
ทีมงานของเวปฯจึงจะแนะนำให้อ่าน...

..แหม..มันคันปากและมันเขี้ยวไงไม่รู้นะครับ..

อ๊า...บ่นซะเพลินเลย..เดี๋ยวขอแปะลิงค์กระทู้ของคุณเดรดก่อนนะครับ
ก่อนที่จะเกิดปรากฏการณ์ "ลืมซ้ำลืมซ้อน" ขึ้นมาอีก

http://palungjit.org/threads/%E0%B8...87.221209/

Enjoin The Show!!

................................
</td></tr></tbody></table>

 

คนนี้ก็ด้วยนะครับ...
หายไปนานแล้ว..ไม่ติดต่อมาเลย

ถ้าใครเจอก็ช่วยบอกด้วยนะครับว่า
ญาติทางบ้านให้อภัยหมดทุกอย่างแล้ว

กรุณากลับคืนบ้านเฮา..ผู้เฒ่าผู้แก่ยังเฝ้าคอยอยู่

....................................................

<table id="post3286014" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);" id="currentPost"> วันนี้, 12:05 AM <!-- / status icon and date --> </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1005 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chayutt<!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_3286014", true); </script>
ผู้สนับสนุนบริจาค



วันที่สมัคร: Aug 2005
สถานที่: Vietnam
อายุ: 38
ข้อความ: 2,932
<!-- AWCoding Back-End created by AWNetwork, Inc., Version 3.0.9 --> <!-- Awards Postbit Template Copyright 2009 all rights reserved -->
Groans: 42
Groaned at 12 Times in 8 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 14,742
ได้รับอนุโมทนา 36,332 ครั้ง ใน 3,183 โพส
พลังการให้คะแนน: 2593


</td> <td class="alt1" id="td_post_3286014" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- message --> <!-- google_ad_section_start --> อ้างอิง:
<table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border: 1px inset;"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Chayutt
ขอต่ออีกนิดเถอะนะครับ ไหนๆก็ได้สาธยายมาเยอะแล้ว

ประเด็นเรื่องการคิดและจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่ดีๆนั้น
ศาสนาพุทธเราเองก็สอนนะครับ ไม่ใช่ไม่สอน
หรือไม่ใช่มีแต่หนังสือ The Secrete เท่านั้นที่กล่าวไว้

มนุษย์ต่างดาวกล่าวถึงเรื่องนี้บ่อยมาก และบอกให้เราจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่ดีเสมอ
รวมถึงบอกให้เราเชื่อมั่น และศรัทธาในตนเองและผู้อื่น
บอกให้เรามั่นใจว่า ทุกอย่างเป็นไปได้หมด ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
เพราะทุกอย่าง เน้นนะครับว่า ทุกอย่าง เกิดจากพลังงานความคิดทั้งหมด

และมนุษย์ต่างดาวก็สอนให้เรามองเห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกสรรพสิ่ง
มองเห็นความไม่แบ่งแยกว่าเป็นเรา ว่าเป็นเขา ซึ่งอันนี้ก็ตรงกับพุทธเราเหมือนกัน

โดยลึกๆส่วนตัวผมแล้ว ผมเฝ้าถามตัวเองมาตลอด นานหลายปีแล้วก่อนหน้านี้
ว่า "อะไรคือความจริงกันแน่"

ความจริงที่ผมเฝ้าถามหาอยู่นี้ ก็เกี่ยวกับ คำสอนในศาสนาต่าง ทฤษฎีหรือกฏทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ
คำสอนหรือคำบอกเล่าจากครูบาอาจารย์ในสายปฏิบัติหรือในสำนักต่างๆ หลักปรัชญาต่างๆ และ ฯลฯ

เพราะว่าทุกๆประเด็นที่กล่าวมานี้ แทบจะไม่มีประเด็นไหนเลยที่ทุกๆคนบนโลกนี้
กล่าวตรงกันหมดทั้ง 100% แม้แต่เรื่องทางการแพทย์เองก็ตาม
ทั้งๆที่มันเกี่ยวกับของสิ่งเดียวกัน เรื่องเดียวกัน ไหงถึงมีคนพูดถึงมันต่างกันได้หละ

ตอนนั้นผมมักคิดว่า เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ใครก็ใครหละ ต้องเป็นคนพูดผิดซักคนแน่ๆหละ
เช่น ถ้าพุทธสอนถูก ก็แสดงว่าคริสต์สอนผิด เป็นต้น
มันจะออกมาในแนวๆที่ว่า ทุกอย่างมันจะต้อง ชัดเจน แจ่มแจ้ง แบบขาวกับดำแบบนั้น

แต่ทุกวันนี้ ความคิดผมเปลี่ยนไปแล้วครับ เพราะผมจะมองว่า ทุกคนมีส่วนถูกหมด
แต่ทุกคนก็มีส่วนผิดหมดด้วยในขณะเดียวกัน

มันคล้ายๆกับ concept ที่ว่ามันไม่มี absolute zero
หรือความเป็นศูนย์ที่จริงแท้ในทางคณิตศาสตร์หรอก
เพราะว่าถ้าขยายทศนิยมออกไปเรื่อยๆ มันก็อาจจะมีค่าอะไรอยู่ในนั้นก็ได้
และในขณะเดียวกัน มันก็ไม่มี absolute perfection ในโลกแห่งมิติที่ 3
หรือโลกแห่งมายาการนี้ด้วย

ตราบใดที่ใครก็ตาม ศาสนาไหนก็ตาม สำนักไหนก็ตาม กระทรวง ทบวง กรมไหนก็ตาม
ที่ยังพูดหรือสอนอยู่บนพื้นฐานของความรู้ในมิติที่ 3 อยู่
ความจริงที่ได้มา ก็จะเป็นเพียงความจริงเสมือน หรือความจริงสัมพัทธ์เท่านั้น
มันจะยังไม่เป็นความจริงที่จริงแท้ หรือ Absolute truth อยู่ดี

เพราะว่า อย่างที่เราท่านทั้งหลายทราบกันดีแล้วว่า โลกทั้งโลกที่เรากำลังอยู่กันเนี่ย
มันเป็นเพียงภาพฉายของโลกทางมิติของพลังงานเท่านั้น
มันเป็นมายาการของมิติทางพลังงาน เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่า
หรือว่ามันเป็นแค่สภาวะจิตหนึ่งของเราเท่านั้นเอง

เพราะทุกสิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 นี้
มันก็ใช่ว่าจะเชื่อได้ซะเมื่อไหร่หละ อย่างเช่นที่นักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกยุคใหม่
ซึ่งพวกเขาเป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะสาขาที่เกี่ยวกับควอนตัม
และเป็นผู้ปฏิบัติจิตด้วยนี่ พวกเขาต่างงงงวยกับพฤติกรรมของควอนตัม
และพากันหาคำตอบกันใหญ่เลย และยิ่งได้คำตอบมากขึ้นเท่าไหร่
พวกเขาก็มีแนวโน้มปล่อยวาง และไม่เชื่อประสาทสัมผัสทั้ง 5 มากขึ้นเท่านั้น

จนพวกเขาหลายๆคน หันมาปฏิบัติจิต หันมาเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย
หันมาศึกษาเรื่องปรจิตวิทยา จนหลายๆคนกลายเป็นนักปรจิตวิทยาไปด้วยในตัว

เพราะว่าในโลกของควอนตัม มันไม่มีพฤติกรรมอะไรที่จะสามารถคาดเดาได้
อย่างเที่ยงตรง แม่นยำ เหมือนกับสิ่งที่เราคุ้นเคยกันในชีวิตประจำวันเลย

พวกเขาเคยทดลอง ตรวจจับคลื่นความถี่และคุณลักษณะบางอย่างของคลื่นสมองของมนุษย์
โดยการให้ผู้ถูกทดสอบ มองไปที่วัตถุชิ้นหนึ่ง แล้วก็ตรวจวัดคลื่นสมอง
จากนั้น ก็ให้ผู้ทดลองหลับตา แต่จินตนาการถึงวัตถุชิ้นนั้น ว่ามันยังอยู่ที่เดิม และเหมือนเดิม
ก็ปรากฎว่า คลื่นสมองที่วัดออกมาได้ทั้ง 2 เงื่อนไขนี้ ไม่มีอะไรที่ต่างกันเลย

จนพวกเขาพากันสงสัยว่า แล้วไอ้เจ้าสิ่งต่างๆที่พวกเราเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี่
มันมีอยู่จริงหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นภาพจากสมองของเราเอง
เพราะสมองไม่อาจแยกแยะได้ว่า อันไหนภาพจริงหรือภาพจากจินตนาการ

ตัวอย่างหนึ่งที่พิสูจน์คำกล่าวนี้ก็คือ การทดลองนำนักโทษประหารมาปิดตา
แล้วสะกดจิตไปว่า ตอนนี้คุณกำลังถูกเชือดให้เลือดไหลออกมาเรื่อยๆ
โดยขณะสะกดจิตก็เปิดก็อกน้ำให้นักโทษคนนั้นได้ยินเสียงน้ำไหลด้วย
จนในที่สุดนักโทษคนนั้นก็ตายลงไปจริงๆ เพียงเพราะสมองของเขาสั่งการให้เชื่อว่า
เลือดของเขาไหลออกมาจนหมดตัวแล้ว

นี่ไงครับ แล้วอะไรหละที่มันจริง หรือไม่จริง ในมิติที่ 3 แห่งนี้

แต่อย่างไรก็ตาม ศาสดาทั้งหลายของหลายศาสนา
ผมเชื่อว่าพวกท่านรู้แจ้งความเป็นจริงทั้งในมิติแห่งมายาแห่งนี้
และรู้แจ้งความเป็นจริงในระดับปรมัตถ์ด้วยนะ

แต่เพราะความที่ พวกท่านต้องมาสั่งสอนมนุษย์ปุถุชนที่อยู่ในมิตินี้
และกำลังหลงอยู่กับมายาการแห่งนี้ พวกท่านก็อาจจะสอนได้ พูดได้
แต่เฉพาะสิ่งที่ หรือในแบบที่ จะสามารถสื่อสารให้มนุษย์เหล่านั้นเข้าใจได้เท่านั้น

เพราะต่อให้พูดถึงอะไรที่มันเป็นปรมัตถ์ หรือความจริงแท้ ให้ฟังยังไง
มันก็คงจะไม่สามารถที่จะทำให้มนุษย์ปุถุชนเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง อย่างถ่องแท้เป็นแน่
เพราะว่าสิ่งที่ท่านกล่าวถึงเหล่านั้น มันไม่มีอยู่ในมิติที่ 3 นี้
หรือไม่ก็ มันไม่สามารถอธิบายได้ ด้วยคำพูด หรือการยกตัวอย่างของสิ่งที่อยู่ในมิตินี้ให้ฟังได้

เอาตัวอย่างง่ายๆเลยนะครับ เช่น เรื่องกาลเวลา ถ้าในระดับปรมัตถ์แล้ว
กาลเวลามันไม่มีอยู่จริง กาลเวลาแบบที่เป็นเส้นตรง อย่างที่พวกเรารู้จักกันนี้
มันมีผลเฉพาะแต่กับโลกของเราในมิตินี้เท่านั้น ในมิติที่สูงๆกว่า มันไม่มี
เพราะว่าอดีต - ปัจจุบัน - อนาคต มันมีอยู่ และเป็นอยู่พร้อมกันหมด ที่นี่ และเดี๋ยวนี้
มันไม่ได้มีลำดับเป็นก่อน-หลังอย่างที่เราเข้าใจกัน

แค่นี้ พวกเราหลายคนก็จะงงแล้วว่า เอ๊า! คุณชยุต งั้นตอบผมทีว่า
ทำไมมันถึงมีตอนที่ผมเป็นเด็ก โตขึ้น และเป็นผู้ใหญ่หละ ?
ทำไมมันถึงมีเมื่อวาน วันนี้ และพรุ่งนี้หละ ?

ผมก็จะขอตอบคำถามนี้ โดยยกเอาคำอธิบายเทียบเคียงของคุณ Zipper
มาให้อ่านนะครับ เดี๋ยวตามลิงค์ข้างล่างนี้ไปนะครับ

(เดี๋ยวขออนุญาตหาลิงค์นั้นก่อนนะครับ เดี๋ยวจะเอามาลงให้ทีหลัง)

เพราะฉะนั้น ในความคิดผมคนเดียวนะครับ ผมว่า ใครก็ตาม ที่ศึกษาคำสอนในศาสนา
โดยยึดเอาตามตัวอักษร หรือ นำคำศัพท์ในตำรายกขึ้นมาอ้าง ยกขึ้นมาเถียงกันนั้น
มันก็อาจจะดูเท่ห์อยู่หรอกนะ เพราะดูเหมือนว่าเรารู้มาก

แต่ประทานโทษเถอะครับ ท่านลืมไปแล้วว่านั่นหนะ
เขาเขียนและอธิบายในแบบที่จะให้มนุษย์ที่อยู่ในมิติ 3 นี้อ่าน และเข้าใจได้เท่านั้น
ไม่ได้แปลว่ามันจะต้องเป็นไปตามนั้นทุกตัวอักษร
เพราะว่าบางอย่างมันอธิบายให้เข้าใจไม่ได้
จึงได้แค่เทียบเคียงให้พอนึกภาพออกเลาๆเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น อะไรที่มันไม่ได้ถูกระบุไว้ในตำรา หรือ ไม่ตรงตามที่ตำราเขียนไว้
ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องไม่มีอยู่จริง

เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ที่จะบรรจุข้อเท็จจริงทั้งหมดที่มีอยู่ในจักรวาลนี้
ลงไปในหนังสือเพียงเล่มเดียว หรือหลายเล่ม หรือ 48 เล่มได้ครบถ้วนทั้งหมด

หรือใครคิดว่าได้ครับ ??


....................................
</td> </tr> </tbody></table>
ตัวหนังสือที่ผมได้ไฮไลท์สีแดงเอาไว้นั้น
เป็นส่วนหนึ่งที่มีอยู่ในวีดีโอชุด

"What the bleep do we know"

ที่คุณริสา หนึ่งในทีมแปลแห่งแสงสว่างของเรา
ได้ทำการแปลคำบรรยายเป็นภาษาไทยไว้ให้
เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ..

...แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณริสาเธอทำสำเร็จไปทั้งเรื่องหรือยังนะครับ...

เพราะว่า กระทู้ของเธอ..หล่นหายไปตามกาลเวลา
หายลับไปกับสายลมและแสงแดด..เช่นเดียวกับกระทู้อื่นๆ
ที่มีเนื้อหาสาระแบบนี้..จนไม่รู้ตอนนี้ไปอยู่หน้าไหนแล้วก็ไม่รู้ครับ

ทีหลังคุณริสาก็หัดเอาเรื่อง

"นังงูหลาม หรือ นังงูจงอาง ระลึกชาติได้"

หรืออะไรทำนองนั้นมาแปลให้คนอ่านบ้างนะครับ
กระทู้ของคุณริสาจะได้กลายเป็นกระทู้แนะนำอย่างของคนอื่นเขาบ้าง
จะได้ไม่ตกไปลึกถึงก้นเหวแบบนี้...ฮือ..ฮือ..ฮือ..

ว่าแล้วเดี๋ยวผมก็จะไปลองขุดขึ้นมาดูหน่อยดีกว่า ..
เพื่อเอาลิงค์มาแปะให้ท่านได้ตามไปดูอีกหนะครับ




เอ่อ..พอพอพอ..พอเถอะไอ้หนูเอ๊ย...
ลุงว่า..รุ่นนี้มันคงต้องใช้แบบนี้แล้วหละ
เพราะอยู่ลึกเหลือเกิน..

..รุ่นนี้..มันก็ต้องใช้แบบนี้เลยหละครับ ..



โอ้..พระเจ้าช่วยกล้วยทอด..ในที่สุดก็เจอแล้วครับ อยู่นี่เอง...

http://palungjit.org/threads/%E0%B8...ow.229152/

Enjoin The Show!!


............................................
</td></tr></tbody></table>

 

<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><THEAD><TR><TD class=tcat> สมาชิก 3 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ Chayutt ในข้อความที่เขียนด้านบน </TD></TR></THEAD><TBODY id=collapseobj_post_thanks_3286042><TR><TD class=alt1><TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1>mead(วันนี้), สงบระงับ (วันนี้), แม่นายมล (วันนี้)

ประกาศหาคนหายบ้างดีฟ่า คนนี้หายไปนานแระ ทิ้งห้องทิ้งหับ แอบกลับมาแว่บๆ เฮ้อ ...สงสัยนิ้วเจ็บไม่พิมพ์ไม่โพสเลย
</TD></TR></TBODY></TABLE>
</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

เอ่อ เดี๋ยวไปตามให้ครับคุณหงบ
ช่วงนี้เห็นบอกว่าติดงานสอนยาวเลย
แล้วสุนัขแสนร๊ากก็เพิ่งมาจากไปอีกตัว....ฟิ๊วววว.

หวังว่าทุกคนสบายกันดีนะครับ

ไม่ได้ทิ้งห้องไปไหนไกลหรอก เพราะห้องนี้อยู่ในใจเสมอ
หลับตาทีไรก็คิดถึงทุกคนเหมือนเดิมครับ..
ระหว่างนี้ก็กำลังปรับบางสิ่งบางอย่างให้เข้าที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม
รอบๆตัว อนุภาคคลื่นจิตที่ยังซุกซน สภาวะที่เปลื่ยนแปลงต่างๆ ฯลฯ
หรือที่เรียกว่าดูจิตนั่นล่ะครับ

ดูเหมือนยังมีคนหายอีกหลายคนนะเนี่ย
คุณ Falkman คุณเซลล์ คุณเลดี้ออฟไลท์ คุณริสา ฯ ใครอีกที่หายไป ก้อรีบมารายงานตัวด้วยนะ
เพื่อนให้อภัยหมดแล้ว อิอิ

 

ผมขอเดานะครับว่า สภาวะการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น
มันกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีใช่ไหมหละครับ

อย่างเช่น กำลังป่วย หรือกำลังถูกสุนัขที่แสนรักทิ้งไป เป็นต้น
ส่วนคนอื่นๆ โดยเฉพาะในกลุ่มของพวกเรานี้ ผมก็ขอเดาว่า
กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเหมือนกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

เช่น แฟน หรือกิ๊ก หรือเด็ก ทิ้งไป หรือตัวเองกำลังป่วยอยู่ อะไรแบบนั้น

ที่ว่ามันดีนี่เพราะว่า กำลังมีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเรา
ในระดับ DNA มากขึ้น และมากขึ้น จนทำให้ร่างกายต้องมีการปรับตัว
และเป็นผลให้ตัวร้อนขึ้น พอตัวร้อนขึ้น ก็ไม่สบาย เป็นต้น

ส่วนเรื่องแฟนทิ้ง หรือกิ๊กทิ้งนี่ ผมก็เป็นครับ แต่ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่ดี
เพราะว่า ตัวผมเองรู้สึกโล่งๆไงไม่รู้ ไม่ต้องมีใครโทรหาบ่อยๆ
และไม่ต้องเที่ยวตะลอนๆไปกับคนโน้นที คนนี้ จนก่อนหน้านี้
แทบไม่มีเวลาทำประโยชน์อย่างอื่น อย่างที่กำลังทำอยู่นี้เลยครับ

เออ..แต่มันก้น่าแปลก หรือน่าเหลือเชื่ออยู่นะครับ
เพราะว่าปกติผมเองก็เจ้าชู้ไม่ใช่เล่น มีกิ๊กอยู่ประมาณ 3-4 คน
ที่เวียดนามนี่แหละ แต่ช่วงไม่นานมานี้ แต่ละคนก็มีอันต้องไปจากผมเกือบหมดเลย
เช่น ต้องย้ายงานไปทำงานจังหวัดอื่นบ้าง อะไรแบบนั้น
ผมก็เลยสบายไป

และอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องดีสำหรับผมอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ก่อนหน้านี้ซัก 2 - 3 สัปดาห์ ผมทะเลาะกับเจ้านายใหม่
จนทำให้ต้องตกลงกันว่า เราจะคุยกันเฉพาะเรื่องงาน และคุยปกติ คุยได้เต็มที่
ส่วนเรื่องส่วนตัว ผมจะทำอะไร คิดอะไร มันก็แล้วแต่ผม เขาจะไม่มาก้าวก่ายอีก

และผลดีที่ว่านั้นก็คือ ทุกวันนี้ ผมเลิกไปกินเหล้าเมายากับเพื่อนร่วมงานกลุ่มนั้นอีกแล้วครับ
เพราะว่าเจ้านายใหม่คนที่ว่านั้น เขาไปกับกลุ่มนั้นประจำ
จนผมรู้สึกว่า เออ..ดีมากๆเลยนะเนี่ย ที่อย่างน้อย ก็ทำให้ผมมีข้อแก้ตัวได้ว่า
เพราะผมไม่ถูกกับเจ้านายใหม่ เลยไม่ไปกินเหล้ากับพวกเขาอีก
ซึ่งพวกเขาเองก็รู้ จนทุกวันนี้แทบจะไม่มีใครกล้าชวนผมไปกินเหล้าอีกเลย

ดีไหมหละครับ มันจะต้องมีทางเป็นไปของมันอย่างใดอย่างหนึ่ง
เพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นเสมอ ผมประสบมาอย่างนั้น คิดอย่างนั้น และก็เชื่ออย่างนั้นด้วยนะครับ

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องดีสำหรับผม ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาหมาดๆนี่เองก็คือ
หลังจากที่ผมรู้สึกว่าเบื้องบนจะเร่งเร้าให้รีบพัฒนาจิตมาสักระยะหนึ่งแล้วนั้น
ผมก็ป่วยอยู่ประมาณ 10 วัน เป็นไข้หวัดธรรมดานี่แหละ
ไปโรงพยาบาลเอ็กซ์เรย์ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรน่าห่วง
จากนั้นหมอก็ให้ยามากิน แต่แปลกตรงที่ว่า ปกติแค่ไข้หวัดหรือปวดหัวนี่
กินยาพาราเซตามอลไม่กี่เม็ดก็จะหายหรือทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัดเกือบจะทันที

แต่ที่ว่าแปลกก็เพราะว่า ตัวผมไม่หายร้อนเลย และปวดหัวอยู่ตลอดช่วง 4-5 วันแรกๆ
กินยาอะไรก็ไม่หาย ทำไงก็ไม่หาย เอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาพอกหัวอยู่ตลอดเวลาก็ไม่หายตัวร้อน
จนวันหลังๆค่อยทุเลาลง

แต่ในความรู้สึกลึกๆในขณะที่ป่วยอยู่นั้น มันไม่ห่วงอะไร ไม่กลัวอะไร
เพราะมันประมาณว่า "กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายไปในทางที่ดีขึ้น"

ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะหลังจากป่วยแล้ว รวมถึงช่วงที่กำลังป่วยอยู่นั้น
ผมลุกขึ้นมานั่งสมาธิวันละ 2 ครั้ง เช้าตรู่ และก่อนนอน
มันทำให้สมาธิผมดีขึ้น ร่างกายก็แข็งแรงมากขึ้น ทานข้าวก็ได้มากขึ้น
แถมทานอะไรก็รู้สึกว่าจะอร่อยไปหมด

และที่น่าประหลาดอีกอย่างก็คือ อารมณ์ความต้องการทางเพศนี่
มันแทบจะหายไปเลยครับ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมจะไม่เป็นขนาดนี้ แม้ว่าจะนั่งสมาธิหนักๆอยู่ก็ตาม
เพราะว่ากำลังของสมาธิมันข่มอารมณ์ทางเพศเอาไว้ แต่ครั้งนี้มันต่างไปจนรู้สึกได้หนะครับ

ร่างกายก็แข็งแรงขึ้น เพราะไปออกกำลังกายเป็นประจำ
จิตใจก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าห่วง เพราะมันจะรู้อยู่ลึกๆว่า ที่แสดงออกมาแต่ละอย่างนั้น
มันไม่มีอะไรมั่นคง หรือคงอยุ่ตลอดไป หรือมันเป็นแค่บทบาทการแสดงหนึ่ง
ณ. ช่วงเวลาหนึ่ง ณ.ช่วงอารมณ์หนึ่งของเราเองเท่านั้นเอง
ข้างในจริงๆแล้ว มันไม่ค่อยมีอะไร รวมถึงเรื่องที่ทะเลาะกับเจ้านายใหม่นั้นด้วย

เพราะผ่านไปแล้วมันก็ผ่านไป ผมก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดเขา
แต่ว่าผมก็ต้องแสดงบทเย็นชากับเขาอยู่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง
เพราะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างในทางที่ดีอยู่หนะครับ

เล่ามาซะยาวเลยนะเนี่ย และผมก็เชื่อว่า พวกเราทั้งหลายในนี้
ก็จะต้องมีบ้างแหละ อาการแบบนี้ หรือคล้ายๆแบบนี้
เพราะว่าทุกๆคนกำลังมีการเปลี่ยนแปลง และกำลัง Ascension อยู่หนะครับ

...................................

 

หวังว่าอีกไม่นานนี้
ขจรวรรณจะมีโอกาสได้ทำกิจกรรม
ร่วมกับพี่นักเขียนและทุกๆ คนนะคะ..
ยังรักและระลึกถึงทุกคนเสมอ
:z8:z8:z8

 

กรี๊ดดดดดดดดดด..........
หายไปนานยังหวานเหมือนเดิม เหอเหอ หวานไปป่าวค่ะ :z16
(เลือกรูปการ์ตูนโดยเลขาส่วนตัวตอนนี้8 ขวบไปแย้วจ๊ะ....)

อ้าวหัวหน้าแอบไปสอนไรไม่เห็นได้ข่าว รับสมัครลูกศิษย์แบบออนไลน์บ้างป่าวค่ะ อิอิ
และขอแสดงความเสียใจ ที่สุนัขแสนรักจากไปอีกรอบ

เจ้าแมว3ตัวที่บ้านของสงบเอง เจ้า2ตัวแรกเป็นตัวผู้ มีพฤติกรรมเหมือนแมว2 ตัวที่เคยเลี้ยงไว้ ก่อนหน้านี้ที่มันเคยตายไปแล้ว

ลักษณะเหมือนกันทุกประการ ทั้งพฤติกรรมและหน้าตาลักษณะหาง สีขน เอิ๊กๆ .... ส่วนตัวที่แถมมาใหม่อีกตัว ตั้งชื่อมันว่า"เจ้าเฉย"เป็นตัวเมีย ที่ตั้งชื่อมันว่า"เจ้าเฉย" เพราะมันเฉยจริงๆ เวลาให้อาหารมันจะนั่งมองจนกว่าตัวอื่นกินเหลือ
มันถึงจะยอมกิน (มารยาทดีมาก) ตอนหลังเลยแบ่งอาหารให้ต่างหาก
พฤติกรรมมันแตกต่างจากแมวจรจัดทั่วไปที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อแย่งอาหาร
เลยคิดอะไรได้หลายอย่างจากการที่ได้เลี้ยงแมวจรจัดทั้ง3 ตัวนี้

เล่ามาคงไม่เป็นเรื่องส่วนตัวเกินไปนะค่ะ เพราะเรื่องนี้ก็เกี่ยวโยงกับเนื้อหาในกระทู้นี้มากมาย เลยเชียว ........

รอผู้สันทัดกรณีมาอธิบาย........

ส่วนตัวสงบเองเวลาเกิดประกายความรู้อะไรขึ้นมา ก็มีการทบทวนว่าเราเข้าใจแค่ไหน แต่เราก็เข้าใจนะ มันแย่ตรงที่ว่า อธิบายให้คนอื่นเข้าใจเหมือนเราไม่ค่อยได้ น่าเสียดายจัง

ส่วนท่านอื่นๆ ที่คุณmeadถามหาก็คงไปปรับจูนอนุภาคคลื่นจิตหรือออกนอกโลกไปแล้ว.

รีบกลับมารายงานตัวด่วนค่ะ

 

หูย...

ความบังเอิญไม่มีในโลกจริงๆคุณขจรวรรณ คุณชยุต
ขอบคุณค่ะคุณชยุต # 8826 คล้ายๆ แต่ไม่ทั้งหมดค่ะ (ครั้งที่เท่าไหร่?แล้วเนี่ยเรา)
ไว้กลับมาคุยต่อค่ะ

 

555 รีบแบ่งภาคมารายงานตัวและส่งยิ้มจ๊ะ *0*

ยังอยู่ค่ะ ไม่ได้หายไปไหนไกล แวะๆเวียนๆเรื่อยๆค่ะ *0*

 

พระเจ้าช่วย กล้วยทอด!!!!
นึกว่า ตัวเอง เพี้ยนอยู่คนเดียว ที่รอบตัวมันเปลี่ยนไปหมด...

เรื่อง กิ๊กทิ้ง หรือ ทิ้งกิ๊ก อันนี้ไม่แน่ใจ ว่าใครทิ้งใคร
แต่ที่รู้ๆ หายHead ไปหมดเยยย...

ส่วนเรื่องป่วย เดรดไม่ป่วยมาก แต่ปวดหลังมากๆ
เดินเหมือนซอมบี้ อยู่เป็นเดือน โดยเฉพาะต้นคอ หัน บ่ได้เลย

ตอนนี้หายปวดหลังแล้ว แต่มาปวด ศรีษะตำแหน่งด้านหลังข้างกกหูแทน
ไม่แน่ใจว่า จะใช่ Right Angura Syrus หรือเปล่า ปวด มากกก
ใช้ วิธี ทำสมาธิรักษาตัวเช่นกันค่ะ ทุเลาลงได้บ้าง แต่ยังไม่หายขาด
เลยเป็นข้อดีที่ ทำให้ต้องทำสมาธิบ่อยขึ้น

ข้อความ ที่เน้นเป็นสีแดง เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าอย่างจัง
กับพนักงานที่ออฟฟิศ ก็อึดอัดอยู่ และรู้สึกทุกข์ เพราะวางตัวลำบาก
สาเหตุ จากเรื่องงานล้วนๆ

จนสุดท้าย ต้องตั้งจิตขอฝันแก้ปัญหา
ไม่น่าเชื่อ...เป็นครั้งแรกที่ ฝันออกมาชัดเจนแบบไม่ตีความ
เป็นทางเลือก สองทาง ให้เลือก พอตื่นขึ้น อึ้งกระจาย.
..จึงเข้าใจ และตัดสินใจได้

ปกติเวลาตั้งจิต ก็จะมามั่ง ไม่มามั่ง เป็นสัญลักษณ์มั่ง
ตัวเอง ก็มั่วๆ ตีความเข้าข้างตัวเองมั่ง เดามั่ง
แต่ครั้งนี้ชัดยังกะ ฉายหนัง

เห็นคุณ ชยุตเล่า เลยอดไม่ได้ ว่าจะไม่พูดมากแล้วเชียว...

 

แอบแง้มประตูมาดูบ้านเก่า

อะไรๆมันกำลังดีขึ้น และดีขึ้นเรื่อยๆ

 

จากเรื่องที่เล่ามา เดรดเขียน email หาพี่นักเขียน
แล้วเล่าเรื่องความฝันให้ฟัง
มีข้อความที่รู้สึกว่ามีประโยชน์สำหรับพวกเรา
และ อยากจะแชร์ ให้เพื่อนจ้า

-----------------------------------------------------------------------

"พี่ต๋อมขอแนะนำว่า ต่อไปให้ขอฝันก่อนที่จะตัดสินใจปล่อยลูกน้อง
หรือก่อนตัดสินใจทุกอย่าง

ให้ขอฝันเพื่อรู้เห็นความเชื่อที่แท้จริงของตนเองที่มีต่อบุคคลหรือสถานการณ์ในปัจจุบัน
ที่จะส่งผลต่อไป ซึ่งไม่ต่างไปจากการขอรู้อนาคตล่วงหน้า.

จะต่างกันตรงที่ว่า หากขอฝันรู้อนาคตล่วงหน้าเราอาจฝันเห็นความเป็นไปได้เส้นทางอื่นๆ
และหากความเชื่อของเราไม่เปลี่ยนไปตามนั้น. ความฝันนั้นจะไม่แม่น"

-----------------------------------------------------------------------

Enjoy Your Dream นะ เพื่อนๆ

 

ฮา... คู่แฝดเล่ามาแระอิอิ ไหนบอกรอให้องค์ลงก่อนไง
เพิ่งรู้เล่นวิธีเดียวกันเลย ดีแต่ว่าสงบแข็งแรงมากๆ

เต็มที่ถ้ารู้ว่ากำลังจะป่วยมีวิธีรักษามารออยู่ก่อนแล้ว อืม..จะขอบคุณใครดี

ขอบคุณขบวนการเรียนรู้ที่แยกกันอยู่
แต่เป็นหนึ่งเดียวบนโลกนี้ก็แล้วกันเนอะ.........

 

ขอบคุณครับ แง่คิดจากคุณชยุตและเพื่อนๆ มีประโยชน์จริงๆครับ
เชื่อว่าหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองหรือเพื่อนๆในขณะนี้ เป็นสัญญาณที่ดีนะครับ
ส่วนตัวก็พยายามหาคำอธิบาย หาเงื่อนงำ แล้วในที่สุดคำตอบมันก็ผุดขึ้นมาปะติดปะต่อกันเองน่ะครับ

อย่างเรื่องสุนัขที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเราต้องจากไปเพราะอุบัติเหตุนี่ แม้จะต้องเสียน้ำตาให้เค้าไปบ้าง แต่ก็เชื่อว่าเป็นเส้นทางหนึ่งที่เค้าเลือกหรืออาสามาช่วยกระตุ้นเตือน เราไม่ควรปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ

เมื่อวานนี้ เห็นขนนกปลิวลงตรงจุดที่เราฝังเค้าพอดี เหมือนมาบอกอะไรเป็นนัยๆ
ต้องขอบคุณเค้า ที่ช่วยทำให้ความคิดผุดขึ้นมาอีกมากมายครับ เช่นว่า....

1.เวลามันสั้นนัก ชีวิตไม่แน่นอนอย่าประมาท จะสิ้นสุดวันได้ก็ได้ ควรเร่งทำสิ่งดีๆ
2.ปาฎิหาริย์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก...เพื่อให้เราเรียนรู้ทั้งสองขั้วคือ มีอยู่จริงแต่ไม่อาจฝืนกฎธรรมชาติไปได้หรอก
3.เมื่อหมดวาระของชีวิตในมิติที่ 3 แล้วก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ....
ไปสู่การเรียนรู้ในมิติอื่นๆที่น่าสนใจ-ท้าท้ายกว่าต่อๆไป เค้าก็ไม่ได้หายไปไหนจากใจของเรา
4. หากรู้สึกคิดถึงก็มาพบกันทางจิตวิญญาณ-พบกันทางความฝัน ซึ่งก็เป็นการสื่อสารที่ดีที่สุดช่องทางหนึ่ง...อะไรเหล่านี้ครับ ฯ O-O

เป็นเหตุทำให้ต้องยิ่งตั้งใจนั่งสมาธิ ส่งพลังแห่งความรักไปถีงเค้าและใครๆอีกหลายคน
ด้วยพลังที่รู้สึกเต็มเปี่ยมทุกๆคืน....


อ้อ...อ่านที่คุณชยุคเล่าเรื่องเจ้าชู้นี่ ว่าไปก็เป็นเรื่องปกตินะครับ
ก็เคยเป็นบ่อยเหมือนกันตอนนี้คิดว่าหายดีแว้วว....
ความรักสามารถพัฒนารูปแบบจากหยายไปละเอียด หรือในทิศทางที่บริสุทธิ์ได้นะครับ
เชิญเพื่อนมาเล่าประสบการณ์เรื่องนี้กันหน่อยก็ดีนะเนี่ย เชื่อว่าหลายๆคนคนมีอะไรอัดอั้นอยากจะพูดคุยระบายออกมาบ้างนะครับ.. ได้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ *-*