เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ;aa44;31
    ขอบคุณความรู้จากพี่นักเขียนฯ และขอต้อนรับคุณขมิ้นชันด้วยครับ

    ดีใจด้วยครับที่เห็นคุณเซลล์หายป่วยอย่างรวดเร็ว (ช่วงนี้ผมก็ทานแต่มาม่า ไวไว ยำยำ เจครับ)
    คุณเซลล์ขยันฝึกฝนจินตนาการตามแบบฝึกหัดจริงๆเลยครับ..
    เป็นเด็กเรียนตัวจริง..ต้องมอบโล่ห์เรียนดีให้สักใบซะแล้ว
    ถือว่าผ่านควบคุมอาการทางร่างกายได้ดีมากๆครับ
    ปกติถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่ทานยาเหมือนกัน O_0
    เด็กทารกที่ปรากฎในฝันของคุณเซลล์ อ่านดูเหมือนพลังอันของบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณเลยนะครับ
    พอไปจดจ่อเด็กทารกบนขบวนรถไฟนั้นด้วยความเป็นห่วง และไม่คิดหนีเอาตัวรอดออกไปเหมือนคนอื่นๆ
    ในสถานการณ์ที่คับขันยังทะลุหลุดออกมาจากขบวนรถไฟได้ชนิดไม่รู้ตัว..
    อันนี้ต้องชมครับว่ายอดเยี่ยม จิตใจงดงามอ่อนโยนจริงๆครับ
    ทีแรกมีเงินแค่ 20 บาท แต่ด้วยความตั้งใจดีเงินกลับโผล่มาเต็มประเป๋าอีก..
    อะไรก็เกิดขึ้นได้ในความฝันนะครับ..ได้โบนัสด้วย อิอิ

    เรื่องนี้เหมือนบอกเป็นนัยๆนะครับว่า
    เมื่อใดที่เราสร้างพลังงานแง่บวกบริสุทธิ์ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
    เราก็คือความรัก เมื่อเราคาดหวังในสิ่งที่ดี เคารพรักตัวเอง-เคารพรักผู้อื่น
    หรือการเพ่งความสนใจไปยังบางเรื่องด้วยความยินดี หรือความเสียสละใดๆก็ตาม
    ก็เหมือนเราปรับไปอยู่ในแนวเดียวกับพลังงานต้นกำเนิดอย่างพอดิบพอดี
    ผลลัพธ์คือการสั่นสะเทือนออกมาเป็นเหตุการณ์อัศจรรย์อันไร้ขีดจำกัดได้ทุกๆรูปแบบนะครับ

    [​IMG]

    เคยฝันถึงขบวนรถไฟเมื่อหลายเดือนก่อนเหมือนกัน
    มองเห็นขบวนรถไฟขบวนใหญ่มากวิ่งผ่านทือกเขา มีผู้โดยสารเต็มขบวน
    กำลังวิ่งผ่านเส้นทางหนึ่งริมทะเลสาบ เห็นว่ากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่อุโมงค์
    สักพักก็เห็นพายุก่อตัวค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่
    วิ่งเข้าใส่โจมตีขบวนรถไฟอย่างแรง ทำให้ตู้รถไฟภายนอกเสียหายหมด
    แต่คนในขบวนรถไฟกลับนิ่งเฉย เหมือนไม่วิตกกังวลว่าเกิดอะไรขึ้น
    กลับยิ้มและดูแลใส่ใจกันเป็นอย่างดี และรถไฟก็ยังวิ่งไปตามรางได้ตามปกติ
    จากนั้นก็เห็นเปลวไฟจากภูเขา ลาวาร้อนๆไหลลงมาท่วมขบวนรถไฟ
    รถก็ยิ่งเสียหายหนักขึ้นเป็นรอยไหม้เกรียมตั้งแต่หัวขบวนไปถึงท้ายขบวน
    แต่รถก็ยังวิ่งต่อไปได้ ผู้คนที่เห็นตัวดำเกรียมเสื้อผ้าไหม้หมด
    แต่พอเห็นแสงสว่างอยู่ในอุโมงค์ข้างหน้า ก็กลับปรากฎรอยยิ้มขึ้นมาอีก
    สักพักก็มีลมเย็น เหมิอนยืนอยู่ริมทะเล อากาศสดชื่นมาก
    พัดเข้ามากระทบจมูกเย็นไปถึงข้างในเลยครับ..ความรู้สึกนี้สดชื่น เหมือนจริงมากๆ
    ลักษณะความเหมือนจริงนี่..เป็นฝันที่ที่น่าจดจำนะครับ
    แต่ก็มีบางฝันก็ไม่สะดุดใจหรือจดจำเหมือนกัน..(รู้สึกเฉยๆกับบางฝัน)
    เชื่อว่าความประทับใจเหล่านี้คงมีความแตกต่างกันหลากหลายระดับที่เดียวนะครับพี่นักเขียน ฯ

    hello8
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2008
  2. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    อ่านความฝันคุณเซลล์ แล้ว ไม่ค่อยเกี่ยวกับอาการป่วยเท่าไหร่เลยเน๊อะ.. เหมือนเป็นการฝันไปเรื่องอื่นไปเลย แต่ก็เป็นฝันแบบผจญภัย เจอปัญหา และแก้ปัญหาขณะนั้นๆ

    อันนี้รึเปล่าค่ะ ที่ว่าเราเปลี่ยนการจดจ่อไปเรื่องอื่น เพราะถ้าในฝันคุณเซลล์ ยังป่วยอยู่ คงกลุ้มกับการนั่งรถไฟสายมรณะ(หรือไม่ก็ ปล่อยวางไปเลย ไหนๆ ก็จะตายแล้วนิ) แต่กลับเป็นคนที่โดนขอความช่วยเหลือซะอีก จะไม่ช่วยก็กระไรอยู่ คนมาขอเป็นทารก อีกด้วย แต่ขอยกนิ้วให้คุณเซลล์ เลย สติสัมปชัญญะดีจริงๆ ฝันได้ละเอียด ได้อารมณ์เชียวค่ะ เห็นเป็นภาพเลย...เอ พี่นักเขียนเคยบอกว่า ป่วยๆเนี่ยดีนัก เพราะเครื่องพรางทำงานไม่เต็มที่ ทำให้สัมผัสที่หกทำงาน(เดรดจำผิดรึเปล่านะ)

    เดรดจำได้คร่าวๆ เกี่ยวกับในหนังสือ จิตวิญญาณประสานกาย ท่านอ.อนาลัย ให้เปลี่ยนวิถีการจดจ่อ ไม่ให้สนใจอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ให้เรามั่นใจว่า ร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะกลไกในกระบวนการจะจัดการเอง เราเพียงเชื่อ และรอ

    แต่เดรดเคยลอง จดจ่อกับความเจ็บปวด เวลามีปัญหา โดยไม่ใส่ใจอื่นใดเลย แต่จดจ่อกับความเจ็บไข้นั้น จนมันกลายเป็นความเจ็บปวดไป แล้วเราก็มองดู แบบที่เรียกกันว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป...มันก็ไปจริงๆ

    เดรดคิดเอาเองว่า การกระทำของเดรดแบบนี้ เรียกการเปลี่ยนวิถีการจดจ่อ...มั้ง คือจดจ่อกับความเจ็บปวดนั้น(ใช้ความรู้สึก อารมณ์ และจินตนาการให้มันหายไป) แต่เดรดไม่ได้จดจ่อกับร่างกายที่เจ็บไข้...อาการเจ็บไข้ได้ปวดก็จะหายไปได้เหมือนกัน...เพื่อนว่าไงค่ะ เดรดเข้าใจแบบนี้ เพราะถ้าเราไปจดจ่อกับร่างกาย เราจะรู้สึกทนไม่ค่อยได้ ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ...อธิบายไม่ค่อยถูก ถ้าใครช่วยอธิบายได้จะเป็นพระคุณยิ่งค่ะ...

    ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
     
  3. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    คุณเดรดเข้าใจถูกต้องแล้วล่ะครับ *-*
    การเปลื่ยนวิถีการจดจ่อ หรือเพ่งไปเรื่องอื่นๆได้จะเบี่ยงเบนความสนใจออกไปได้จริงๆครับ
    เหมือนว่าอาการป่วยนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ..ไม่ใช่การเจ็บป่วยที่เราต้องไปพะวง
    แต่เราต้องไข้วคว้าความรู้สึกที่ดีที่สุดที่เราเข้าถึงได้เข้ามาแทนครับ
    สร้างความรู้สึกถึงความสมดุลย์+ความสมบูรณ์ในสิ่งแวดล้อมของตัวเองให้ได้
    เพราะถ้าเรารู้สึกว่าป่วยก็จะป่วยอยู่อย่างนั้นและหายช้าครับ....
    นานๆผมจะป่วยสักทีครับ ส่วนมากเป็นไข้หวัดเพราะอากาศเปลื่ยน
    เมื่อก่อนถ้าป่วยก็จะเป็นนานกว่าจะหาย..แต่เดี๋ยวนี้เชื่อว่าเราสามารถกดเปลื่ยนสวิทซ์ไปด้านอื่นๆได้ดีขึ้นแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2008
  4. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ขอบคุณ คุณmead มากค่ะ...อุตส่าห์เข้าใจ...อิอิ เขียนเอง ยัง มึนๆ (เข้าใจได้ไงอ่ะ เก่งจังเรย;4)
    สมกับเป็นหัวหน้าห้อง ปรึกษาได้ทุกเรื่องจริงๆ มีอะไรไม่ทราบบ้างค่ะ...เนี่ย???

    งั้นถามต่อเลย...เคยกดสวิทซ์...แล้ว มีลัดวงจรบ้างมั๊ยค่ะ แบบ จดจ่อกับเรื่องหนึ่งอยู่ แต่มันกลายเป็นอีกเรื่อง มันไม่ใช่การฟุ้งซ่าน ที่จิตปรุงแต่งนะค่ะ แต่เหมือนหลุดมิติ คุณmead คิดว่า มันคืออะไรค่ะ...เดรดเป็นบ่อย พอรู้สึกตัว เอ๊ะ...เมื่อกี้ อะไรกัน สติสัมปชัญญะ ขาดช่วง

    ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
     
  5. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    โห๊ะๆ..ที่ยังไม่รู้ก็มีอีกเยอะเลยครับ..คุณเดรด O_0
    ภาคทฤษฎีพอได้ แต่ภาคปฎิบัติยังไม่ถึงไหน..อันนี้ต้องยกให้คุณเซลล์ครับ
    ก็ว่าไปตามที่เข้าใจครับ..มีมึนๆ ต๋องๆ ได้หน้า-ลืมหลังบ้างเหมือนกันล่ะครับ
    บางทีก็คิดไม่ออก บางที่ก็พรึบไปที่เดียวเลย..สงสัยไฟฟ้าลัดวงจรจริงๆครับ
    บางทีความคิดและสติก็เราอาจเผลอตกหลุมอากาศได้เหมือนกันนะครับ
    พอยิ่งรู้ ก็กลับกลายเป็นว่ายิ่งมีอะไรที่เรายังไม่รู้มากขึ้นไปอีกครับ เหมือนกิ่งไม้ที่แยกออกไปไม่รู้จบ (อิอิ)
    จนกว่าจะคลิ๊กสังเคราะห์ข้อมูลในสมองให้กลมกลืนเป็นเรื่องเดียวกันได้หมดคงจะดีครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 7555.gif
      7555.gif
      ขนาดไฟล์:
      11.2 KB
      เปิดดู:
      181
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2008
  6. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    เมื่อคืนนั่งสมาธิ ในสมาธิเห็นหน้าผู้ชายคนหนึ่ง ผมยาวเท่ากัน รวบขึ้นทัดหู มีเครา คนนี้เห็นบ่อย ๆ ในจินตภาพ พอดูในรูปหน้าคล้าย รูปปั้นหลวงปู่ชีวกที่เห็นในภาพเลย พอตอนเช้า ช่วงที่กำลังจะลุก ปรากฏว่าเกิดอาการลืมตาไม่ขึ้นทำอย่างไรก็ลืมไม่ขึ้น แต่ปรากฏเป็นแสงที่กลางหน้าผากแทน เราก็คิด "โดนเล่นซะแล้ว" สักพักรู้สึกว่าตัวเองค่อย ๆ เคลื่อนไปข้าง ๆ โดยปราศจากใครมาลาก ตอนนั้นรู้สึกโกรธ พร้อมทั้งคิดว่า "เดี๋ยวจะลืมตาให้ดู" พอคิดเสร็จ ตาก็เปิด ปรากฏเห็นตัวเองยังอยู่บนเตียงเหมือนเดิม แต่มีร่างดำ ๆของผู้ชายคนหนึ่ง กอดเราเอาไว้แน่น พยายามดึงออกจากตัวก็ไม่ออกแน่นมาก ๆ เลย พยายามจะหันไปมองหน้า ก็ไม่เห็น เห็นแต่แขนและขา อึดอัดมากขณะนั้น อยู่ ๆ มีเสียงคนมาเรียก เราลืมตาขึ้น แปลกตรงทื่ว่า เราไม่ได้หลับเพราะเราตื่นแล้วแน่นอน และตอนที่เราลืมตาตอนแรกนั้น ปรากฏว่าตาทั้งสองข้างเราปิดอยู่ แสดงว่าเราเห็นภาพจากตาดวงไหนกันแน่ แสดงว่าตอนที่กำลังเคลื่อนไปข้าง ๆ นั้น เหมือนการเดินทางผ่านอีกมิติ (เพราะช่วงนั้นรู้สึกจิตเป็นสมาธิอ่อน ๆ เพราะเป็นช่วงตื่นใหม่ ๆ จึงมีลักษระคล้ายตอนกายผ่อนจากประสาทรับรู้ทั้งห้า) จึงเห็นบางอย่างที่ซ้อนมิติกันอยู่ได้ ไม่น่ากล้ามเนื้อจึงกระตุก โชคดีได้ศีกษามาบ้างจาก "โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ" จากห้องความฝันการเห็นเหตุการณ์ที่ซ้อนอีกมิติหนึ่งเป็นการมองเห็นจากการใช้ประสาทสัมผัสที่ 6 หรือ ตาที่สามหรือเปล่า
    <!-- / message -->
     
  7. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    อนุโมทนาค่ะ จิตใจที่ดีงาม และบริสุทธิ์ของคุณ )แม้กระทั่งในฝัน)จะทำให้คุณนอกจากจะพ้นภัยใด ๆ แล้ว ยังจะโชคดีอีกด้วย แปลตรงตัว หุ หุ
     
  8. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    พอตอนเช้า ช่วงที่กำลังจะลุก ปรากฏว่าเกิดอาการลืมตาไม่ขึ้นทำอย่างไรก็ลืมไม่ขึ้น แต่ปรากฏเป็นแสงที่กลางหน้าผากแทน เราก็คิด "โดนเล่นซะแล้ว" สักพักรู้สึกว่าตัวเองค่อย ๆ เคลื่อนไปข้าง ๆ โดยปราศจากใครมาลาก ตอนนั้นรู้สึกโกรธ พร้อมทั้งคิดว่า "เดี๋ยวจะลืมตาให้ดู" พอคิดเสร็จ ตาก็เปิด ปรากฏเห็นตัวเองยังอยู่บนเตียงเหมือนเดิม แต่มีร่างดำ ๆของผู้ชายคนหนึ่ง กอดเราเอาไว้แน่น พยายามดึงออกจากตัวก็ไม่ออกแน่นมาก ๆ เลย พยายามจะหันไปมองหน้า ก็ไม่เห็น เห็นแต่แขนและขา อึดอัดมากขณะนั้น อยู่ ๆ มีเสียงคนมาเรียก เราลืมตาขึ้น แปลกตรงทื่ว่า เราไม่ได้หลับเพราะเราตื่นแล้วแน่นอน และตอนที่เราลืมตาตอนแรกนั้น ปรากฏว่าตาทั้งสองข้างเราปิดอยู่ แสดงว่าเราเห็นภาพจากตาดวงไหนกันแน่ แสดงว่าตอนที่กำลังเคลื่อนไปข้าง ๆ นั้น เหมือนการเดินทางผ่านอีกมิติ (เพราะช่วงนั้นรู้สึกจิตเป็นสมาธิอ่อน ๆ เพราะเป็นช่วงตื่นใหม่ ๆ จึงมีลักษระคล้ายตอนกายผ่อนจากประสาทรับรู้ทั้งห้า) จึงเห็นบางอย่างที่ซ้อนมิติกันอยู่ได้ ไม่น่ากล้ามเนื้อจึงกระตุก โชคดีได้ศีกษามาบ้างจาก "โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ" จากห้องความฝันการเห็นเหตุการณ์ที่ซ้อนอีกมิติหนึ่งเป็นการมองเห็นจากการใช้ประสาทสัมผัสที่ 6 หรือ ตาที่สามหรือเปล่า
    <!-- / message -->

    แหม เดี๋ยวนี้มีโปรโมชั่น โพสต์ ปุ๊บ แถมประสบการณ์ ฟรี ทันที ฮ่า ๆๆ
     
  9. brotherpray

    brotherpray เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +177
    ถามว่า
    เธอทั้งหลายสร้างสรรค์จิตวิญญาณพร้อมกันกับที่จิตวิญญาณสร้างสรรค์เธอต่อไปอย่างสม่ำเสมอ

    อธิบายคำว่า"สร้างสรรค์"หน่อยครับ
    ผมจะคิดแบบคณิตศาสตร์ได้ไหมครับนี้ สิ่งที่เพิ่มเข้าไปคือประสบการณ์ใช่หรือเปล่าครับ
     
  10. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    [​IMG]
    ขอบคุณครับเพื่อนๆ ;aa54

    เดี๋ยวคุณจินต์จับให้มั่น คั้นให้ตายแล้ว คงมีประสบการณ์ดีๆมาแบ่งปันพวกเราแน่ๆครับ

    ผมว่าความรู้ที่ได้มาจากทฤษฎี และปฎิบัติ สำคัญเหมือนกันหมดครับ dencee
    เห็นด้วยกับคุณเดรดนะครับ มีอะไรที่คุณ mead ไม่รู้บ้างน๊า นึกไม่ออก อิอิ

    หากปฎิบัติ โดยไม่รู้อะไรเลย ก็เหมือนตาบอดคลำปลาวาฬเลย

    เช่น ถ้าผมไม่ได้อ่านหนังสือชุดนี้ ก็คงคิดว่าฝันไร้สาระ แปลว่า เราไม่มีสมาธิ จึงได้ฝันตลอด และก็ทิ้งข้อมูลที่ซ่อนไว้ต่อไป

    คำว่า สร้างสรรค์ ในประโยคที่คุณ brotherpray ถามมา

    ในความเข้าใจ ผมคิดว่า หมายถึง จิตวิญญาณไม่เคยแยกออกจากกันเลย ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นสองทาง

    หากคิดเป็นเส้นตรงเหมือนกัน ผมมองว่า

    เมื่อจิตวิญญาณรวม เลือกที่จะมีประสบการณ์ในมิติของโลกกายภาพ ได้แบ่งตัวตนออกมาหลายตัวตนเพื่อหาประสบการณ์ เพราะตัวตนเพียงตัวตนเดียว ไม่สามารถที่จะตอบสนองต่อการเรียนรู้ประสบการณ์ของจิตวิญญาณรวมได้

    ส่วนจิตวิญญาณที่เป็นตัวเรา ได้ทำงานร่วมกันกับจิตวิญญาณดวงอื่นๆ เพื่อช่วยกันหาประสบการณ์เพื่อเรียนรู้ถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆร่วมกัน

    ทุกสิ่งที่เรียนรู้ร่วมกันล้วนเป็นการสร้างสรรค์ทั้งสิ้น จิตวิญญาณรวมจึงได้รับทราบถึงประสบการณ์การสร้างสรรค์นั้นด้วยเช่นกัน การสร้างสรรค์จึงมีต่อไปเรื่อยๆไม่มีสิ้นสุด

    เช่นเดียวกับจิตวิญญาณที่เป็นตัวเรา และจิตวิญญาณดวงอื่นๆ ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกับตัวเราในเส้นทางชีวิตนี้ เมื่อเราจะมีอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก จินตนาการ เช่นไร ย่อมไม่ได้มีแค่ทางเลือกเดียว เมื่อตัดสินใจเรียนรู้สิ่งใด ก็มีทางแยกต่อไปเรื่อยๆอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งไม่ว่าจะตัดสินใจสิ่งใด ล้วนเป็นประสบการณ์ที่เราได้เรียนรู้ทั้งสิ้น

    เมื่อจิตวิญญาณเราได้ตัดสินใจถูกซักเรื่องนึง หลังจากผ่านการเคี่ยวกรำมาอย่างหนัก จนได้รับคำตอบที่ถูกต้อง และเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ นั่นคือ คำตอบจากผู้รู้ คือ จิตวิญญาณรวม

    เส้นทางต่างๆ ที่เราเลือก ที่เราผ่านอย่างเคี่ยวกรำ เรียกว่า ประสบการณ์

    ทุกอย่างจึงทำงานกันอย่างเป็นระบบ ไม่เคยแยกจากกันเลย

    ผมอาจจะอธิบายยังไม่ดีพอ เพราะต้องศึกษาอีกเยอะ คุณ broterpray ลองอ่านในหนังสือชุดนี้ดูนะครับ คำตอบทั้งหลายจะอยู่ในหนังสือชุดนี้อยู่แล้วครับ (kiss)
     
  11. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนเป็นหนึ่งเดียว

    ทุกดวงจิต ล้วนร่วม กันค้นหา
    ถึงที่มา ของตน อยู่หนไหน
    คำตอบที่ เธอหา อยู่ไม่ไกล
    แท้อยู่ที่ ภายใน ใจของตน

    จงอย่าหา คำตอบ ที่นอกกาย
    จงค้นหา จากภายใน ใฝ่ฝึกฝน
    จงกลับสู่ ภายใน ใช่นอกตน
    จงฝึกฝน จิตเถิด เกิดปัญญา

    เรานั้นเกิด จากสิ่งนั้น คือความว่าง
    เพื่อมาเสาะ แสวงทาง เร่งค้นหา
    เพิ่มประสบการณ์ แห่งตัวตน ด้วยปัญญา
    ให้ระลึกได้ ถึงที่มา แห่งตัวตน

    ทุกประสบการณ์ เรานั้น คือผู้เลือก
    เพื่อเรียนรู้ ความเป็นเหตุ และเป็นผล
    เพื่อสรรสร้าง เรียนรู้ น้อมสู่ตน
    เพื่อรู้แจ้ง ตัวตน เกิดปัญญา

    ทุกทุกสาย ความรู้ สู่หลักใหญ่
    วิถีทาง ต่างกันไป ใช่ปัญหา
    สรรพสิ่งทั้งปวง คือความว่าง คือปัญญา
    คือปรมัตถ์ คือสุญญตา คือนิพพาน


    คือความรัก คือการให้ ไร้เงื่อนไข
    คือจิตใจ ที่ปราศจาก ยึดถือมั่น
    คือหยุดแบ่ง เรา-เขา เพราะเท่ากัน
    คือเพราะเรา หนึ่งเดียวกัน สุญญตา

    ทุกสรรพสิ่ง ในโลก มี 2 ขั้ว
    รักและกลัว ตั้งให้เห็น เป็นปริศนา
    ไขประตู สู่ภายใน ใช้ปัญญา
    กาลเวลา ไม่มี อย่างที่เป็น

    ภัยพิบัติ อาจเป็นการทำลาย ที่สร้างสรรค์
    เพิ่มความรัก ให้แก่กัน ท่านคงเห็น
    ต่างร่วมมือ ร่วมใจ ใฝ่ร่มเย็น
    บังเกิดเป็น เมตตาธรรม มาค้ำจุน

    จงชื่นชม ต่อทุก สภาวการณ์
    จงขอบคุณ การรังสรรค์ ทุกเหตุผล
    จงศรัทธา ต่อวิญญาณ ทุกตัวตน
    เพราะทุกเหตุ ทุกผล มีที่มา

    JINTAWADEE<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1086623", true); </SCRIPT> deeja;12dencee

    <!-- / message --><!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2008
  12. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    จินต์ว่า จินต์จะไป NEGOTIATE กับร่างดำ ๆที่เกาะติดจินต์ซํกกะที เมื่อคืนตอนทำสมาธิ พยายามจินตนาการว่า ร่างดำ ๆ นั้นถูกดูดโดยศูนย์กลางของจักรวาลให้กลับไปรวมกับแสงสว่างเหมือนเดิม แต่ใช้ความพยายามมากเพราะในจินตภาพ มองเห็นร่างดำนั้นถูกดูดขึ้นไป แล้วก็ลงมาเกาะที่เราอีก เป็นอย่างนี้หลายเที่ยว แต่มันน่าจะมีเงื่อนงำ เพราะในขณะนั้นมีอาการกล้ามเนื้อกระตุกที่ขาใหญ่เลย (ในเล่ม โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติบอกว่า ถ้ามีเหตุการที่ต่างมิติเกิดขึ้น เราจะรับรู้ได้จากอาการกระตุกที่กล้ามเนื้อ)

    :VO ดีจ้า คุณ YUTTAKALAYA
     
  13. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    (ในเล่ม โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติบอกว่า ถ้ามีเหตุการที่ต่างมิติเกิดขึ้น เราจะรับรู้ได้จากอาการกระตุกที่กล้ามเนื้อ)

    เอเหมือนว่าเล่มนี้อ่านมาแล้วแต่จำตอนนี้ไม่ได้เลยแฮะ สงสัยจะหลงลืมไป อย่างนี้พวกเขม่นตาซ้าย ตาขวา มันก็เข้ากับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าเนี่ย แต่เรื่องกล้ามเนื้อกระตุกเองก็เคยเป็นเหมือนกัน
     
  14. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    คนโบราณชอบบอกว่า เขม่นตาขวาร้าย ซ้ายดี น่าจะเกี่ยวข้อง เนื่องจากจะมีความต้องการจากจิตวิญญาณเสมือนร่วมร่าง แต่ต่างมิติ หรือ จิตวิญญาณต่างร่างของอดีต หรือ อนาคตที่มีความต้องการจะเตือนเราบางอย่างก็ได้ แต่เราไม่อาจรับรู้ได้โดยตรง ความพยายามที่เกิดจากต่างมิติที่ซ้อนกันอยู่นั้น เลยเป็นได้แค่อาการกระตุกของกล้ามเนื้อ เหมือนครั้งหนึ่งจินตวดีกำลังหลัยอยู่ แต่ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะ อาการกล้ามเนื้อกระตุกที่ขา ลักษณะเหมือน มีอะไรบางอย่างมาจิ้มลงแรง ๆ ตอนนั้นหมาหอนเต็มเลย น้องที่นอนข้าง ๆ ตื่นขึ้นมาเหมือนกันพร้อมกับบอกว่า เขาฝันเห็นคนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งมาเกาะที่ประตู พร้อมบอกให้ช่วยเขาด้วย อืม น่าศึกษามาก
     
  15. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    คุณซิปเปอร์พูดถูกแล้วล่ะค่ะ ข้อความนี้พี่จินต์ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามาจากเล่มโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ หรือ ธรรมชาติชาติภพกันแน่ พอกลับไปดูอีกครั้งปรากฏว่าอยู่ "เล่มธรรมชาติชาติภพ" จริง ๆ หน้า 226 ค่ะ

    " ความรู้เกี่ยวกับช่องว่างของเธอบิดเบือนจากธรรมชาติแห่งความเป็นจริงไปมาก ช่องว่างในสายตาของเธอคือพื้นที่ว่างเปล่า ซึ่งไม่มีสิ่งที่เธอจะมองเห็นหรือสัมผัสได้ แท้จริงแล้วช่องว่างบรรจุด้วยปรากฏการณ์ต่าง ๆมากมาย ซึ่งเธอไม่อาจรับรู้ได้ด้วยกลไกของประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่เธอก็สัมผัสหรือรับรู้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในมิติอื่นหรือโลกอื่นนี้เป็นบางคราวด้วยการกระตุกของกล้ามเนื้อ แต่เนื่องจากว่าปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ได้ปรากฏให้เธอเห็นได้ด้วยตาหรือรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ข้อมูลที่ได้จึงสูญหายไปเพราะไม่มีการบันทึกเกิดขึ้นทางกายภาพ"
     
  16. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เล่ามั่งค่ะ.. รู้สึกพี่จินต์จะฝันคล้าย ๆ ขจรวรรณเลยนะคะ พึ่งฝันว่ามีผู้ชายตัวขาวแถมมีกลิ่นเหล้ามานอนทับเหมือนกันค่ะ ผลักออกแทบไม่ทันแน่ะเพราะหายใจม่ายออก ยังดีนะคะที่ยังมีแรงผลักออกไปได้.. อิอิ..

    เมื่อเช้าตอนตื่นขึ้นมาแล้วแล้วก็งีบต่ออีกเล็กน้อยฝันว่าไปเรียนพลังยูเรอัสกะเพื่อน ๆ แล้วพวกเราก็ไปนั่งบนแคร่ใต้ตึกเพื่อถามคำถามคุณลุงคนหนึ่งผมขาวเคราขาวแต่งตัวคล้ายพราหมณ์ ก็มีคนถามปัญหากันหลายคนส่วนขจรวรรณเข้าไปเป็นคนสุดท้ายเพราะอยากจะถามสิ่งที่ยังไม่เข้าใจบางอย่างเหมือนกันแต่พอเรานั่งลงบนแคร่นั้นก็รู้สึกว่าขาของเราเริ่มแข็งขึ้นมาเรื่อย ๆ จนแข็งไปทั้งตัวลืมตาก็ไม่ขึ้นเหมือนถูกแช่แข็งอยู่ในช่องฟิตเลยค่ะ ปากก็ขยับไม่ได้ แต่ยังรู้สึกว่ามีกระแสพลังวิ่งไปทั่วทั้งตัวหูก็ยังได้ยินทุกคนสนทนากันอยู่ พอถึงเวลาขึ้นเรียนทุกคนก็เดินขึ้นไปข้างบนยกเว้นเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง เราก็บอกกับเค้าว่าขึ้นไปเรียนก่อนเรายังไม่พร้อมเดี๋ยวจะตามไป แต่เพื่อนก็ไม่ยอมเกาะเราแน่นและก็พยายามประคับประคองเราขึ้นไปจนได้

    พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าร่างกายเราก็ยังอยู่ในท่าแช่แข็งนั้นเลย แต่ก็สงสัยว่าในความฝันนั้นจำได้ว่าตัวเราแข็งไปหมดปากก็ขยับไม่ได้แล้วเราใช้อะไรในการสื่อสารกับเพื่อนคนนี้นะ แล้วเพื่อนคนนี้เค้าก็ตัวเล็กกว่าเราอีกแล้วเค้าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงสามารถประคองเราขึ้นไปเรียนได้นะ.. รึว่าเป็นการสื่อสารทางจิต? รึว่าเกิดไฟฟ้ารัดวงจรแบบที่คุณเดรตกล่าวไว้รึปล่าวน้า?
    :z12:z12:z12
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2008
  17. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ตอนที่คุณจินต์ก็อปมาจากธรรมชาติแห่งชาติภพ ดูเหมือนจะคุ้นๆ แต่ท่อนที่ขีดเส้นใต้เอาไว้เหมือนจะจำไม่ได้ โอแย่จัง อ่านแล้วก็ลืมจำมาได้นิดๆ หน่อยๆ เอง

    เรื่องความฝันกับกล้ามเนื้อกระตุก เคยฝันว่าเดินลงบันไดที่มันชันๆ สูงๆ นี่แหล่ะ แล้วก็ก้าวลงมาก็เหมือนกับว่าจะตกลงมาจากที่สูงๆ แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ขากระตุกเลย อีกครั้งก็ฝันว่ากำลังเดินอยู่บนฟุตบาทนี่แหล่ะ แล้วอยู่ๆ ก็ตกลงมาเหมือนเดินตกท่อ(แต่มันไม่น่ามีท่อนะตรงทางเดินตรงนั้นในฝัน) แล้วก็เหมือนว่าตกจากที่สูง แล้วก็ตื่นขึ้นมาขาสะดุ้ง

    อาการอย่างนี้ถ้าจำไม่ผิดเค้าเรียกว่าจิตวิญญาณกลับมาเข้าร่างอย่างรวดเร็วใช่มั๊ยเนี่ยเลยสะดุ้งตื่นขากระตุกอย่างนี้
     
  18. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    แบบนี้เคยเป็น บ่อยๆ แล้วกระตุกแรงเชียว ส่วนใหญ่ จะเกิดตอนเริ่มฝัน(รู้ด้วยแฮะ ว่าเริ่มฝัน) เพราะ ประมาณ ยังอยู่ในช่วงกึ่งหลับ กึ่งตื่น เหมือนที่เคยถามว่า ใครเคยวูบมั๊ย คล้ายๆแบบเนี้ยค่ะ วูบแล้วเปลี่ยนมิติ(แต่ถ้าไม่หลับ ตัวจะหายไป (เอ้อ...เขียนกำกวมอีกแระ)

    เอาใหม่...แบบ ถ้าทำสมาธิอยู่(โดยเฉพาะท่านอน) เมื่อไหร่ที่วูบวาบ แล้วสติยังอยู่ มันจะเปลี่ยนไปอีกมิติ มีเรื่องราวเกิดขึ้นเหมือนฝัน แต่ไม่ใช่ เดรดก็ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไรว่า ไม่ใช่ฝัน แล้วพอกระตุก กลับมา มันเกิดอาการ ชัดเจนขึ้นมาทันทีทันใด ไม่ใช่ตกใจตื่น เพราะถ้าตกใจตื่น จะงงๆ...แต่นี่จะเกิดอาการ รู้สึกตัวอย่างแรง และชัดแจ๋ว เลย ชัดไปหมด

    ส่วนถ้ากระตุก ตอนเข้าภวังค์ ฝัน จะเหมือนตกจากที่สูง น่าจะเปลี่ยนมิติ แต่มันคงลัดวงจร มันเลยกระตุกกลับมา อันนี้แหล่ะค่ะ ที่เรียกว่าสะดุ้งตื่น เดรดเป็นแบนี้...เหมือนชาวบ้านเค้าบ้างมั๊ยเนี่ย..???
     
  19. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ฝัน สยองจัง ค่ะ...อิอิ
    เดรดไม่เคยฝันเจออะไรเป็นเรื่อง เป็นราวแบบนี้ มีแต่ เจอรู้ว่าใช่ แล้วก็พยายามหนี แต่เค้าตาม เราหนีเท่าไหร่ก็ไม่พ้น ในฝัน(ไม่รู้คิดได้ไง) สวดมนต์ ไล่ใหญ่เลย โง๊โง่... เพิ่งมารู้ว่า เค้ามาขอส่วนบุญ แทนที่จะแผ่เมตตา สวด อิติปิโส ใส่เค้า บางที ก็ พุธโธ ธรรมโม สังโฆ ...ว่าไปเรื่อย

    ในชมรมฝัน ก็เล่าเรื่องผีกัน แต่อันนั้น ของจริง
    แปลกดี หน้าห้อง ก็คุยกันเรื่องนี้...อิอิ
    รบกวนพี่นักเขียน ช่วยกรุณา อธิบายเรื่อง วิญญาณเหล่านี้บ้างได้มั๊ยคะ ว่าเกิดจากอะไร???
     
  20. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เรามักจะอธิบายประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากความฝัน เช่น การกระตุกของกล้ามเนื้อ การสื่อสารโดยปราศจากการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ตลอดจนภาวะที่ดูเสมือนว่าเราจะไม่สามารถใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ตามปกติ ว่าเป็นภาวะที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ

    แต่เราก็มักตีความหมายจิตวิญญาณว่า เป็นส่ิงที่แปลกแยก หรืออยู่นอกเหนือตัวตนอันเป็นร่างกายเนื้อหนังของเรา เช่น ตึความหมายว่า จิตวิญญาณเป็นของบุคคลอื่นๆ สิ่งอื่นๆ ที่อยู่นอกตัวตนของเรา มันควบคุมเรา ต่อต้านเรา ทำร้ายเรา และบ่อยครั้งเราก็เชื่อว่า เราปราศจากพลังอำนาจที่จะควบคุมมัน และมันก็มีอำนาจที่จะครอบงำเรา

    คนจำนวนมากเชื่อว่า หากตนเองตกอยู่ในภาวะดังกล่าว พลังอำนาจจากสิ่งที่อยู่เหนือเรา เช่น พลังอำนาจจากเทพเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือจากบทสวดมนต์ที่เราเชื่อถือ จะเป็นสิ่งที่ปกป้องคุ้มครองหรือช่วยให้เราพ้นภัยได้ เพราะเราเชื่อว่า เรากำลังตกอยู่ในภาวะที่ไม่อาจควบคุมได้ หรือ แม้แต่ช่วยเหลือตนเองได้ด้วยสติสัมปชัญญะตามปกติของตนเอง หากเราไม่ได้หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราก็อาจจะทำได้อย่างมากด้วยการต่อรอง หรือรับมือกับสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเอง แต่ก็เป็นไปในนัยที่ว่า มันคือสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวตนของเราอยู่ดี

    หากเรายังคงตึความหมายด้วยความเชื่ออันฝังรากลึกต่อไปว่า จิตวิญญาณ คือ สิ่งที่อยู่แปลกแยกไปจากตัวตนอันเป็นร่างกายเนื้อหนังของเรา เราก็จะเผชิญกับประสบการณ์ในทิศทางนี้ต่อไป เพราะเราไม่ได้ตระหนักว่า สิ่งที่มีพลังอำนาจทำให้เราเคลื่อนไหวได้โดยไม่ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะในระดับที่เรารู้จักยามตื่น คือ แก่นแท้ของตัวเราเอง ผู้ใช้ประสาทสัมผัสที่หกหรือประสาทสัมผัสภายใน พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะในระดับที่ลุ่มลึกและกว้างไกลหลากมิติของตัวตนภายใน-ในความฝันหรือภวังค์สมาธิที่เราไม่คุ้นเคย ซึ่งเป็นบุคลิกภาพและบุคคลตัวตนอื่นๆ ที่กำลังมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในชาติภพอื่น เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่น มิติอื่น พร้อมกับตัวตนที่เรารู้จักในมิตินี้ ชาติภพนี้ ในปัจจุบันนี้

    บุคลิกภาพทั้งหลายพร้อมด้วยจิตวิญญาณนั้นๆ เชื่อมต่อ ติดต่อสื่อสารกับบุคลิกภาพที่เรารู้จัก พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะที่เราคิดว่าเป็นของเรา-คือเรา ในยามฝันอย่างอิสระ ทำให้เราเผชิญกับประสบการณ์ต่างมิติ พร้อมด้วยความคิดและการกระทำหลากทิศทาง นอกเหนือไปจากทิศทางที่เราเคยจดจ่อเพียงทิศทางเดียว

    ไม่ว่าเราจะกำลังประสพกับภาวะทางกาย เช่น กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยยามตื่นอย่างคุณเซลล์ หรือประสพกับภาวะทางจิตเช่นความฝันที่ดูเสมือนฝันร้ายของคุณเซลล์กับรถไฟสายมรณะ การเผชิญกับบุคลิกภาพในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นอย่างคุณน้องจินตวดี หรือประสพกับภาวะของความเชื่อทางศาสนาในระดับจิตใต้สำนึกของตนเอง เช่นเชื่อในเรื่องการมาขอส่วนบุญเช่นคุณน้อง Kindred

    เราต่างก็กำลังเผชิญกับ - ภาวะจิตของตนเอง - ด้วยกันทั้งสิ้น

    ความฝันสะท้อนให้เราเห็นอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
    ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของภาวะทางกายภาพ-ไม่ใช่ในทางกลับกัน
    แม้ว่าความฝันอาจจะปรากฏภายหลังความเจ็บไข้ได้ป่วย หรือ ภายหลังประสบการณ์ใดๆก็ตาม

    อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน
    ประสบการณ์ต่างมิติ ต่างชาติิภพ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ กำลังดำเนินไปพร้อมกันกับที่เราฝันเห็นมันเป็นไป
    และพร้อมกันกับที่มันส่งผลกระทบมายังบุคคลตัวตนของเราในชาติภพนี้ มิตินี้ เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนี้


    เรามักเรียกปรากฏการณ์ที่เกิดจากภาวะจิตของตนเองที่เราไม่รู้จักว่า เป็นปรากฏการณ์อันเกิดจากจิตวิญญาณอื่นๆ เพราะนอกจากมันจะเป็นสิ่งลึกลับที่เราอธิบายไม่ได้แล้ว เรามักรู้สึกว่ามันอยู่นอกตัวตนของเรา แต่มันกลับมีพลังอำนาจควบคุม ต่อต้าน หรือทำร้ายเราอย่างจำเพาะเจาะจง

    จิตวิญญาณไม่เคยมีเจ้าของ ไม่เคยเป็นของใครแม้แต่ของเราอย่างเป็นเอกเทศ จิตวิญญาณเป็นของส่วนรวมเช่นอากาศที่เราหายใจ

    การเผชิญกับจิตวิญญาณ คือ การเผชิญกับ ข้อมูลความรู้ และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่ถ่ายทอดมาสู่สติสัมปชัญญะด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด

    แต่สติสัมปชัญญะหรือการจดจ่ออันคมชัดของจิตวิญญาณ ก็ทำให้เราสามารถกลั่นกรอง รับมือและเผชิญกับข้อมูลความรู้ พร้อมด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดที่ถ่ายทอดมาสู่เราได้ไม่น้อยไปกว่าการที่เรามีสติพอที่จะหยุดหายใจ ผ่อนลมหายใจ หรือเลือกสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดของเรา แต่การควบคุมการหายใจของเราจะเป็นไปได้ในทิศทางนี้ ก็ต่อเมื่อเรามีสติสัมปชัญญะอันคมชัด และมีเจตนาที่จะควบคุมมันเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็ปล่อยให้ตนเองหายใจไปอย่างอัตโนมัติ โดยไม่ได้รู้ด้วยซ้ำไปว่า เราหายใจอย่างไร กี่ครั้งต่อนาที

    ประสาทสัมผัสภายในเป็นเครื่องรับ-เครื่องส่ง ที่รับส่งข้อมูลความรู้ด้วยด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด เรามักจะตีความหมายข้อมูลความรู้เหล่านั้นด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เราคุ้นเคย แทนที่จะรับข้อมูลความรู้ที่กว้างไกล-เข้มข้น เต็มไปด้วยสาระ หรือ ข้อมูลที่ท่วมท้นไปด้วยความลุ่มลึกของอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด

    ระบบประสาทและสมองของเรา คุ้นเคยกับการแปลงข้อมูลความรู้เหล่านั้นเป็นภาวะทางกายภาพเสมอ เพื่อทำให้เราสามารถรู้เห็นหรือรับข้อมูลได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า โดยแปลงข้อมูลความรู้เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เช่น เป็นแปลงข้อมูลความรู้เป็นบุคลิกภาพพร้อมด้วยรูปกาย รส กลิ่น เสียง หรือสัมผัสที่สัมพันธ์กับข้อมูลความรู้ และความทรงจำข้ามชาติภพที่ถ่ายทอดมาสู่สติสัมปชัญญะของเรา

    ข้อมูลความรู้ที่มีปริมาณมาก เข้มข้น พร้อมด้วยอารมณ์อันเต็มไปด้วยความกล้าหาญ เข้มแข็ง อาจปรากฏเป็นภาวะทางกายภาพ เป็นบุคลิกภาพหรือรูปกายของบุคคลตัวตนที่ดูเสมือนชายร่างใหญ่บึกบึน ข้อมูลความรู้ที่สัมพันธ์กับการเริ่มต้นใหม่ การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ พร้อมด้วยความพร้อมที่จะเจริญงอกงาม เติบโตหรือขยายตัวต่อไป อาจปรากฏเป็นภาวะทางกายภาพ เป็นทารกน้อย พร้อมด้วยบุคลิกภาพจำเพาะ อันเป็นสาระสำคัญของข้อมูลความรู้นั้นๆ

    โลกของความฝัน และโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติที่เราทั้งหลายเผชิญ เป็นโลกที่เชื่อมต่อภาวะจิตของเรา กับภาวะจิตวิญญาณของสรรพสิ่งทั้งปวง

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้อธิบายไว้ใน โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติภาคต้นไว้ว่า โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติที่เราเผชิญในความฝันก็ดี ในภวังค์สมาธิก็ดี คือ ภาวะจิตของตนเอง ไม่ว่าสิ่งใดจะปรากฏขึ้นในโลกหลากมิตินั้น มันเกิดขึ้นจากอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราเสมอ หากเราตอบสนองต่อมันด้วยภาวะทางกายภาพ เช่นต่อสู้้้กับมัน วิ่งหนีมัน มันจะตอบสนองเราด้วยวิธีการเดียวกัน คือต่อสู้กับเรา และวิ่งตามเรา เพราะมันคือภาวะจิตของเราโดยแท้ เราสู้มันก็สู้ เราวิ่ง มันก็วิ่ง เราตื่นตระหนก มันก็ตื่นตระหนก เราคิดว่ามันไล่ล่า มันก็ไล่ล่า

    อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเรา สร้างสรรค์และทำให้มันมีตัวตนและชีวิตชีวาขึ้นมา ทางเดียวที่เราจะรับมือกับสิ่งต่างๆที่ปรากฏในความฝันและภวังค์สมาธิได้ คือ การมีสติตระหนักรู้ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏในโลกของความฝัน คือผลผลิตของความรู้สึกนึกคิดของตนเอง

    หากเราตระหนักได้ในธรรมชาติความเป็นจริงข้อนี้ในระดับจิตสำนึก และคงความรู้ความเข้าใจนี้ไว้ในสติสัมปชัญญะ
    เราจะพบว่า เราเผชิญกับความฝันด้วยตัวรู้ ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแปลงข้อมูลความรู้พร้อมด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้นให้เป็นภาวะทางกายภาพเช่นยามตื่นอีกต่อไป

    แต่รับเอาข้อมูลความรู้ จากจิตวิญญาณสู่จิตวิญญาณโดยตรง หรือรับเอาด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดโดยตรง การรับเอาในลักษณะนี้ คือการรับเอาหรือรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสภายใน มันจะทำให้เราเข้าใจความหมายของข้อมูลความรู้ที่ถ่ายทอดมาสู่เราได้ แม้มันจะปรากฏเป็นสิ่งใดด้วยภาวะทางกายภาพ แต่หากเรามีสติสัมปชัญญะอันคมชัด พร้อมด้วยข้อมูลความรู้ที่สถิตย์อยู่ในสติสัมปชัญญะ เราก็จะตระหนักได้ว่า มันเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น แก่นแท้ของมันปราศจากรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส แก่นแท้ของมันไม่มีสิ่งใด นอกจากข้อมูลความรู้ พร้อมด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด

    พี่นักเขียนจึงบอกพวกเราว่า การระลึกความฝันนั้น ให้จับอารมณ์เป็นสิ่งแรกเมื่อเราตื่นขึ้น เพราะเราจะเข้าถึงข้อมูลความรู้พร้อมด้วยอารมณ์และความรู้สึกนั้นๆ โดยไม่จับเอาเพียงปลายเหตุหรือภาวะที่แปลงสภาพเป็นรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสไปแล้ว ทำให้สาระหรือแก่นแท้ของสาระที่รับมาบิดเบือนไป

    พวกเราถามกันบ่อยครั้งว่า ทำอย่างไรจึงจะตื่นขึ้นในความฝัน และเผชิญกับประสบการณ์ในความฝันได้ด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัด

    พี่นักเขียนตอบแล้ว และจะตอบอย่างเดิมค่ะว่า การฝึกสมาธิก่อนนอนเป็นประจำจนเป็นนิสัย เป็นสิ่งที่จำเป็น ประกอบกับการศึกษาข้อมูลความรู้ที่ปรากฏในหนังสือให้เข้าใจ จนกระทั่งมันสถิตย์อยู่ในสติสัมปชัญญะ จะทำให้สัมฤทธิ์ผล อยากสนับสนุนให้ทุกคนทำสมาธิก่อนนอนเป็นนิสัยค่ะ เพราะเชื่อว่า เราทุกคนทำได้ และจะช่วยให้เผชิญกับประสบการณ์ที่ให้ความรู้้ได้อย่างแท้จริง แทนที่จะเผชิญกับประสบการณ์ที่เกิดจากความเชื่อ

    หากเราเข้าใจข้อมูลความรู้ที่ปรากฏในหนังสือได้อย่างแท้จริง เราจะพบว่า เราพกพาข้อมูลความรู้ดังกล่าวติดสติสัมปชัญญะยามฝันไปอย่างเป็นอัตโนมัติ ไปเผชิญเหตุการณ์ต่างๆด้วยความรู้ และทำให้เรามีความเฉลียวที่จะรับมือกับปรากฏการณ์ต่างๆได้ เพราะเราจะตระหนักได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเผชิญในความฝัน และภวังค์สมาธิ เกิดจากอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของเรา เราคือผู้สร้างสรรค์มันขึ้นมา ด้วยการจดจ่อของตนเอง

    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในภาวะนั้นๆ(rose)
     

แชร์หน้านี้

Loading...