ปิดรับบริจาค เชิญร่วมอนุโมทนาแด่ทุกท่านที่ร่วมเป็นเจ้าภาพตั้งโรงทาน ณ สำนักสงฆ์ภูสูงเจริญธรรม

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย ติงติง, 5 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ tungmaynaka
    ชีวิตเกิดมามีแต่เรื่องปวดหัวค่ะ เรื่องไห้บ่อยมาก แม่ไม่เคยเข้าใจ ชอบเปรียบเทียบเรากับคนอื่น เวลาทำอะไรไม่ถูกใจก็จะบ่น จะด่า แล้วเวลาแม่ด่าจะด่าเเบบเหมือนเราไม่ใช่ลูก ไอเหี้ย ไอสัต ลุกเลวเกิดมาทำไม เราไม่ชอบเลยแล้วมันก้ร้องไห้ทุกครั้ง มันทำให้เราจิตตก เครียดมากเรารับไม่ได้ทำไมแม่ต้องมาด่าแบบนี้ แล้วเวลาที่แม่ด่าแม่ไม่ได้ด่า แค่ชั่วโมง2ชั่วโมงแล้วจบ มันยาวไป2สามวัน เราต้องทนฟังแม่ด่าอยุ่สองสามวัน เรารู้สึกเหนื่อยมากๆเมื่อตอนที่เราเรียนมัธยมเวลามีเรื่องอะไรเราไม่เคยปรึกษาแม่ เพราะปรึกษาทีไรก็โดนด่าตลอด อย่างเรื่องเรียนพอเราได้คะแนนน้อยทั้งๆที่เราทำได้ แต่เพื่อนที่ลอกเรากลับได้เยะกว่าเราทั้งๆที่ลอกเราไปเป๊ะๆ เรากลับบ้านไปบอกแม่เล่าให้ฟัง แม่ก้หาว่าเราไม่ตั้งใจเรียนเล่นแต่เกม ผิดใช่ไหม หลังจากนั้นเวลามีอะไรเราไม่เคยปรึกษาเลย ตอนนั้นม.6 เราไปกินหมูกระทะกับเพื่อนที่ร้าน 3ทุ่มเราไม่กลับบ้าน แม่ขับรถไปตามที่ร้าน ลากเรากลับมาตีที่บ้าน เราม.6แล้ว ทำไมชีวิตก็ของเราทำไมต้องเลี้ยงเราแบบนกในกรงด้วย ไปไหนก็ไม่ได้ แม่ไม่เคยปล่อยให้เราเรียนรู้อะไรเลย สิ่งไหนดีไม่ดีไม่รุ้ แต่ถ้าเขาเห็นว่าไม่ดีทั้งๆที่ยังไม่ได้ลองทำเขาก็บอกว่าไม่ดี เราไม่เคยได้ไปบ้านเพื่อนแม่บอกว่าเพื่อนมันหลอกเรามีเยอะ หลอกเราไปข่มขืนมั่ง หลอกเราไปขายมั่ง เรารุ้เพื่อนเราเป้นยังไง เวลาเราทำบ้านบ้านเพื่อนเราจะไม่บอกแม่ว่าไปบ้านเพื่อน ถ้าแม่รุ้ แม่จะด่าเราไปทำไมไม่เห็นข่าวหรอออกข่าวทุกวันเพื่อนมันเชื่อใจได้ที่ไหน หลังจากนั้นเราก็แทบจะไม่คุยกับแม่เราจะไปไหนเราก็ไม่เคยบอก ถึงบอกไปกลับมาก็โดนด่า ค่าเท่ากัน พักนั้นเรามีแฟนก็มีแต่เรื่งปวดหัวทะเลาะกันบ่อยมากเรื่องไม่เป็นเรื่อง
    เวลาทะเลาะกันกับแฟนเราร้องไห้ แม่ก็โทรไปถามพ่อแฟนว่าเราเป็นอะไร แล้วยังไงทีนี้เกิดเป้นเรื่องอีก พ่อแม่แฟนก็เกลียดเราเข้าไปอีก สักพักแม่ก็มานั่งจะด่าแฟนเราโทษแฟนเราด่าเสียๆหายๆ เรารุ้เลยวันนัั้นถ้าเกิดเราทำอะไรพลาดแม่ไม่ปลอบใจแน่นอน เราโดนกระทืบซ้ำจมดินแน่นอน มีแฟนก็หวังจะเข้าใจปลอบใจ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นแฟนเราเป็นคนใจร้อนเป็นลูกคนจีน ใช้แต่อารมณ์เราทำอะไรผิดนิดเดียวเราโดนด่าไอเหีย ไอสัต เขาเป็นคนโกรธง่าย ทะเลาะกันใครผิดไม่รุ้แต่แฟนเราไม่เคยง้อ เราง้อทุกครั้ง เวลาที่เล่นเกมด้วยกันแล้วเราพาแพ้ เขาก็จะด่าเราไอเหี้ยเล่นไม่มีสมอง ด่าแรงๆ แล้วก็โกรธ พอเราร้องไห้ เขาก้ด่าเขาบอกว่าไม่ชอบ เราไม่สิทธ์โกรธ ไม่มีสิทธิ์โมโหเลยใช่ไหม ตอนนี้เราเรียนปริญญาตรี เวลามีงานกลุ่มเรานัดทงานแฟนเราก็จะด่าเราทำไมม่แบ่งงานกันไปทำ เราถามว่าตัวจะไม่ดูงานเลยหรอ ถ้าคนในกลุ่มมันทำไม่ได้กันล่ะ เราก็โดนด่าๆ อือ ตกลงเราก้ยอม แบ่งกันทำก็แบ่งทำ สุดท้ายงานออกมาคนละทิศละทาง แฟนเราบอกเราว่า งานสั่งกันไปทำออกมาคนละทิศละทาง เราก็บอกเขาก็ตอนนั้นเราบอกแล้วว่าให้นนัดทำ เขาก็โกรธเราเลย สุดท้ายเราก้ต้องง้อ แล้วเวลาเล่นเกมเขาจะเป็นบ่อยมาก ไม่รู้จริงจังอะไรขนาดนั้น เราก็บอกแล้วว่าเราเล่นไม่เก่ง เขาก้ด่าเราสมองไม่มีพัฒนาเลยหรอ ทำไมโง่แบบนี้ แล้วก็ทะเลาะกัน เขาก็จะถามคำถามเดิมซ้ำๆๆ เราหาเหตุผลมาตอบก็ด่าเราบอกเราเถียงอีก ทะเลาะกันทีไร ไม่เคยให้เกีรติเราเลย ด่าเราเแบบเสียๆหาย ทุกคำหยาบคาย ไอเหีย ไอสัต ทุกคำ เราเหนื่อยมากจริงๆ

    เห้อ เหนื่อยมาก ชีวิตนี้เราเหนื่อยมาก เราเครียดทุกวัน ร้องไห้แทบทุกวันเราเหนื่อยมากๆ เรารูสึกว่าชีวิตมันผิดพลาดไปหมด เราอยากรู้ชาติก่อนเราเคยทำกรรมเวรอะไรกับใครไว้หนักหนา ชาตินี้เราเลยโดนหนักขนาดนี้ บอกตรงๆเราหัวเราะเรายิ้มได้แปปเดียว ก็ต้องมีเรื่งไห้ร้องไห้อีกและ ทั้งที่เราไม่เคยพูดคำหยาบไม่เคยด่าใครแบบเสียหายๆเลย แต่เรากลับโดนแบบนี้ เราเกิดมาโง่มันผิดนักหนาหรอ ไม่เข้าใจเลย ทุกวันนี้แทบจะเป็นบ้า ...



    oujz,9v[ot8iy[ v"9b'q นี่ผมตอบครับ อ.ติงๆ ผมมีเรื่องเป็นอุทาหรณ์ ให้คุณเก็บไปคิด เป็นการบ้าน และเป็นกำลังใจให้ ไม่มีแม่คนไหน ที่จะทำลายลูกหรอกนะ แต่ด้วยอุปนิสัย ของแต่ละคน เหตุการณ์ ฐานะทางบ้าน จึงทำให้นิสัยของคนเรานั้น ไม่เหมือน และไม่คล้ายกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรรมในอดีด ที่เราไม่รู้ มาส่งผลในชาตินี้ ที่เราไม่สามารถเห็น และเข้าใจ ที่จะต้องมาชดใช้กัน กรรมนั้น เป็นทั้ง กรรมที่สร้างใหม่ในชาตินี้ และกรรมเก่า เมื่อชาติที่แล้ว อย่างไรก็แล้วแต่น้อยนัก ที่พ่อแม่ จะไม่รักเราปราถนาดีต่อเรา ด้วยประสพ การณ์ ของพ่อแม่อันยาวนานนั้น ท่านย่อมมี มีมากกว่าเรา เป็นห่วงเรา อยากให้เราได้ดิบได้ดี เมื่อมีข่าวคราวไม่ดีในสังคม ทุกวันนี้ ย่อมเป็นห่วง เป็นธรรมดา ของปุถุชน


    พ่อแม่ย่อมรักเรา เมตตาเรา ถึงจะดุด่า ก็มีความกรุณาเสมอมา มิได้ รังเกียจอิจฉาริษยา เหมือนบุคคลอื่น ให้อภัยเสมอมา ดุด่าเพื่อจะให้ลูกนั้นได้ดี ให้เป็นที่พึ่งของตนเองได้ ถ้าท่านรังเกียจ เรา เขาคงเอาขี้เถ้า ยัดปากเราให้ตายไป เมื่อเป็นทารกแล้ว และทำรายเราตั้งแต่ ตอนท้องใหม่ ๆ ยิ่งทำลายง่าย เราควรลดกำลังใจของเรา แล้ว แผ่เมตตาให้แม่เสมอ ทำบุญอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรของแม่ ให้ของเรา ด้วย ท่านคงไม่ว่าเรา ตั้งแต่ เช้าถึงเย็น นั่งนอนยืนเดินหรอกนะ มันต้องปรับตัวที่เราด้วย สำคัญที่สุด อย่าไปว่าผู้บังเกิดเกล้าฝ่ายเดียว (แต่ต้องจำไว้เสมอๆ ว่า เราต้องผิดเสมอๆไม่งั้นท่านไม่ด่าว่าเราแน่) ถึงเราจะถูก ก็ต้องยอมรับ ไม่ผิดก็ตาม เถียงถือว่าเป็นธรรมดา ของปุถุชน


    จะถูกหรือผิดท่านเป็นผู้ให้กำเนิดเรามา เป็นหมูหมา กาไก่ ก็คือพ่อแม่ ให้ชีวิตเราถ้าไม่มีท่านเราไม่ได้เกิดมาแน่นอน หรือไม่ต้องการเรา จริงๆท่านก็ต้องการได้ลูกดีๆ แต่เราดันมาเกิด เป็นลูกท่าน มันมีกรรมต่อกันมาจึงได้มาร่วม เป็นลูกเต้ากันอีก พยายามทำใจให้เป็นสุข ถือว่าท่านให้พรเรา อธิบายมากกว่านี้ คงเขียนเป็นวันก็ไม่จบแน่ (เอาละ จะเล่าของแม่ผมบ้าง ว่าระหว่างของน้องสาวกับแม่ผมน่ะ ใครด่ามากกว่ากันนะ แม่ผมด่าหมด ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ ไอ้หัวกุดหัวด้วน มึงไปตายโหงตายห่า ซะ ขอให้รถชนตายบ้าง สัตว์กัดตายบ้าง ให้มึงไม่เจริญบ้าง แม้แต่ของลับในตัว ท่านยังไม่เหลือ ในสมัยเมื่อ ๔๐ ปีกว่าโน้น มึงผิดหรือๆไม่ทำตาม ที่ท่านสั่ง กูเอามึงมาโยงกับขื่อบ้าน แล้วตี นับหลายๆสิบที จนตัวลาย หรือบางครั้งอาจแตกได้ น้องหญิงเคยไหมล่ะ พ่อผมน่ะตีครั้งหนึ่ง ถ้าได้ตีนะ ตีจนเลือดออกซิบๆ บางครั้งถ้าแตกเอาเกลือทานะจะบอกให้


    นี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะจะบอกให้ แล้วโดนแทบจะทุกวัน เด็กเดี๋ยวนี้ โดนแบบนี้คงจะแทบไม่มีเลย เพราะกฎหมาย บอกทำร้ายเด็กนะ อย่างครูนักเรียน สมัยก่อน เขาใช้ไม้เรียว ไม้มะขาม ปลายไม้ไผ่ ตีนะ ดังพับๆๆๆๆๆ ถ้าทำหนักหรือเกเร ให้ยืน คาบไม้บรรทัด เป็นชั่วโมง หรือเกือบครึ่งวัน นะจะบอกให้ โถสมัยนี้มันจิ๊บๆๆๆๆ นะจะบอกให้ บางทีก็บางคนสมัยนี้ โอ๋ลูกจนเกิดเหตู จบดีกว่าเดี๋ยวจะหาว่าโม้ อ่านให้จบนะจ๊ะน้องหญิงนี่แค่เศษเซี้ยวส่วนหนึ่งเท่านั้นจ้า
     
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ.ติงครับ ผมมีข้อความของจ่าติ๊ก มาให้อ่านช่วยพิจรณาหน่อยครับ ผมงงอยู่ครับ ข้อความหน้านี้แหละครับ ผมพูดข้อถัดไปครับ

    ข้อความของ จ่าติ๊ก กายของคนเรามีกายซ้อนกันอยู่ถึง๔กาย
    จ่าติ๊กสมาชิก

    กายของคนเรานี้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือว่าเป็นชาย ก็มีกายทั้ง๔ซ้อนกันอยู่ทั้งนั้น กายแรกคือสะรีระกาย หรือกายเนื้อเรียกว่าสะรีระกาย แล้วก็กายที่๒คือเทพกายหรือกายเทวดา กายที่๓คือพรหมกาย หรือกายพรหม กายที่๔คืออรหันตกาย หรือกายอรหันต์ ในกายของเราท่านทั้งหลายนี้ มีกายซ้อนกันอยู่ แต่โดยมากแล้ว คนเรามักจะไม่รู้ว่ากายของตัวนั้นมีอยู่๔กาย กายเนื้อเป็นกายที่ แก่ เจ็บ ตาย

    เป็นกายเน่า กายเปื่อย กายผุพัง กายเน่าเหม็น กายอันประกอบไปด้วย กองกระดูก คือปฎิสนธิในครรณ์ คลอดออกมาจากครรณ์ของมารดา แล้วเจริญขึ้นด้วยนม ข้าวสุกขนมสด เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเรื่อยมา อันนี้เป็นกายเนื้อ กายเนื้อนี้เป็นกายหยาบ จึงว่าเป็นสะรีระกาย กายอันนี้ต้องเน่าเปื่อย เสื่อมสลายอยู่ในโลกนี้ กายที่๒เป็นกายทิพย์ หรือกายเทวดา หรือกายทิพย์อันนี้เป็นกายที่ไม่ตาย กายที่ไม่ตายอันนี้ก็ออกจากร่าง คือทิ้งร่างไปเมื่ิอกายตัวนอกมันหมดอายุ สิ้นอายุ หมดลมหายใจ กายตัวในอันเป็นกายทิพย์ก็ต้องละทิ้งร่างไป กายทิพย์ก็ไปปฎิสนธิใหม่ หรือไปถือเอาภพเอาชาติใหม่ ถ้าทำดีก็ไปถือเอาภพเอาชาติที่ดี มีความสุข ถ้าทำกรรมไว้ไม่ดีหรือมีจิตใจเศร้าหมอง ก็จะไปถือเอาภพเอาชาติที่พบกับทุกขเวทนามาก แม้จะเป็นกายทิพย์หรือกายเทวดา แต่ด้วยอำนาจจิตที่มืดดำ หรือด้วยอำนาจกรรมที่ทำไว้ ก็ไปถือเอาภพเอาชาติที่เลว หรืออบายภูมิ ส่วนกายที่๓คือกายพรหม กายพรหมนั้นก็คล้ายๆกับกายเทวดาเหมือนกัน กายอรหันต์หรือกายพระอริยะบุคล ก็อยู่รวมกันในกายทิพย์นั่นเอง ก็เพราะฉะนั้นในที่นี้พอจะย่อกายเข้ามาได้เป็น๓กาย ย่อลงมาเหลือเป็น๓กาย คือกายเนื้อ กายทิพย์ และกายพระอรหันต์หรือธรรมกาย ท่านผู้ฟังทั้งหลาย นี่ก็คือกายอันมีอยู่ในตัวคนเรานี้ซ้อนกันอยู่ แต่มนุษย์เราก็ใช้แต่ร่างกายที่เป็นมนุษย์ กายที่เป็นเทวดาก็เอามาใช้น้อย กายที่เป็นพรหมก็เอามาใช้น้อย กายที่เป็นพระอรหันต์ก็ไม่ได้เอามาใช้เสียเลย แต่ถ้าเราเอากายเทวดามาใช้ เอากายพรหมมาใช้ก็จะปรากฎ เป็นกายเทวดา เป็นกายพรหม เป็นกายพระอรหันต์ กายดีซึ่งไม่ปรากฎก็เพราะว่า คนเรามัวเมาอยู่ด้วยความโลภ ด้วยความโกรธ ด้วยความหลง กายที่เป็นกายเทวดาก็ไม่ปรากฎ เหมือนกับไม่มี ก็เพราะที่ว่าในกายของคนเรานี้ มีกายเทวดา มีกายพรหม มีกายพระอรหันต์ เกิดขึ้นเป็นไปตามลำดับขั้นของการปฎิบัติ เช่นกายเทวดาก็จะปรากฎเมื่อ คนเรามีหิริโอตัปปะ รู้จักละเว้นบาป รู้จักการทำบุญ รู้จักการไม่ประกอบกรรมอกุศล กายเทวดาก็จะปรากฎ ถ้าเจริญเมตตา ภาวนา มีเมตตา กรุณาต่อคนต่อสัตว์ทั้งหลาย กายพรหมก็จะปรากฎ ถ้าเป็นผู้ที่ปราศจาก โลภะ โทสะ โมหะ กายพระอรหันต์ก็จะปรากฎ กายอันมี๓กายซ้อนกันอยู่ ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับต้นไม้ ชั้นนอกเป็นเปลือกไม้ ชั้นกลางเป็นกระพี้หรือเนื้อไม้ ชั้นในเป็นแก่นไม้ ต้นไม้มีแก่นอยู่ข้างใน มีกระพี้หุ้มห่อแก่นอยู่ แล้วก็มีเปลือกหุ้มห่อกระพี้อยู่อีกชั้นหนึ่ง แก่นนั้นแข็งที่สุดคือเป็นแก่นใน ท่านผู้ฟังทั้งหลายคนเราก็อย่างเดียวกันเหมือนกัน ถ้าจะเปรียบอีกอย่างหนึ่ง คนเรานี้เหมือนมีน้ำมันหรือเปรียบเหมือนมะพร้าว มะพร้าวนี้มีน้ำมันอยู่ในเนื้อมะพร้าวหรือในกาบในเปลือกมะพร้าว ที่เป็นมะพร้าวแก่ถ้าเราเอามาผ่าออกไป ก็จะเห็นเนื้อมะพร้าว แต่เนื้อมะพร้าวนั้นยังไม่ใช่น้ำมันมะพร้าว เนื้อมะพร้าวนั้นต้องเอาไปขูด เมื่อขูดแล้วก็เอาไปคั่นจึงจะได้กระทิ ส่วนเปลือกเมื่อทิ้งเสีย มันก็เปรียบเหมือนกายมนุษย์นั่นแหละ ส่วนกระทิก็เปรียบเหมือนกับกายทิพย์ แต่กายทิพย์นั้นก็มีกายธรรมหรืออรหันตกายซ้อนกันอยู่ มีลักษณะใสบริสุทธิ์ เป็นน้ำมันใสสะอาด เราต้องเอาไปเคี่ยวอีกทีหนึ่ง ! จึงจะออกมาเป็นน้ำมันมะพร้าว น้ำมันสุดท้ายนั่นแหละ หลังจากที่เราเอากระทิไปเคี่ยว มันก็จะปรากฎมาเป็นน้ำมันมะพร้าว ในขั้นสุดท้าย ฉันใดก็ดีกายในขั้นสุดท้ายก็จะปรากฎมาเป็นธรรมกาย หรือกายพระอรหันต์ คือกายที่สาม ก็สรุปได้ว่าการปฎิบัติธรรม เราจะถึงความเป็นเทวดา ถึงความเป็นพรหม ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ด้วยการปฎิบัติ เจาะลึกเข้าไปด้วยการปฎิบัติของเรานี้แหละ หรือว่าคั่นเข้าไป เคี่ยวด้วยสติปัญญา พยายามปลดเปลื้อง จากตัญหาอุปาทาน ความยึดมั่นในสะรีระร่างกายเรานี้ออกไป กายทิพย์ก็จะปรากฎ แต่ถ้าหมดกิเลส กายพระอรหันต์ก็จะปรากฎ เพราะฉนั้นท่านผู้รู้จึงกล่าวว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2012
  3. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ข้อความของ จ่าติ๊ก กายของคนเรามีกายซ้อนกันอยู่ถึง๔กาย
    จ่าติ๊กสมาชิก


    ที่อธิบายมาผมเข้าใจ ไม่ได้มาแย้ง แต่แสดงความคิดเห็นนิดหนึ่ง และผมก็ไม่เคยได้ยิน ๔ แบบนี้ครับ สมมุตินะนะครับ มันมีอยู่จริง จะต้องไปทำอะไรมันอีก แต่ที่อ้างมามันมีเหตุผลดีครับ จะต้องไปสร้างบุญ กุศลผลบุญต่างๆ ทำไม ทาน ศิล เจริญภาวนา ก็ไปนิพพานกันก็หมดเรื่อง ไม่ต้องมาวนเวียน ตายเกิด กันวุ่นวายไปหมด แต่อยากเข้านิพพาน ก็ไม่ต้องทำให้มันเหนื่อย มากขนาดนี้

    ไม่ต้องมาสร้างบารมี ถ้าพระโพธิสัตว์ ที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ต้องมี บำเพ็ญ ๓ ขั้น ๓ แบบ ปัญญาธิกะ ๔ อสงไขย อีกกำไลยแสนมหากัป ปัญญษธิกะ ๘ อสงขัย อีกกำไลยแสนมหากัป วิริยาธิกะ บำเพ็ญ บารมี ๑๖ อสงไขยกำไลยแสนมหากัป จนกว่าบารมีจะเต็ม ถ้าเราลองไม่สร้าง ไม่ทำ มันจะเกิดไหม กายนี้กายเดียว มันไปเกิด เป็น สัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัชฉาน สัตว์อื่นอีกไม่รู้เท่าไหร่ นี่ไม่เห็น พูดเลย ไอ้ตัวทำดีทำชั่ว ให้ไปเกิดเป็นสัตว์ นั้นๆต่างหาก โน้นแหละ ตัดกิเลส ฟอกจิตตัวเอง ให้ตัดกิเลสได้ จบกิจเป็นพระหันต์ได้เมื่อไหร่ จึงไปนิพพาน หลวงปู่บุดดา ท่านพูดว่า กายเดียว จิตเดียว เกิดมาตั้ง ๕ แผ่นดิน

    ถ้ากายมี ๔ กายซ้อนกันอยู่ กายจริง คงต้องเพิ่ม กายสัตว์นรก กายเปรต อสูรกาย กายสัตว์ เดรัชฉานเข้าไปด้วยครับ เพราะสิ่งเหล่านี้ ไปจากจิต ของคน กายในนั่นเองครับ และ ก็ไอ้จิต ดวงนี้แหละ ที่เกิดมาเป็นคน ทำดี ก็ไป เป็นเทวดา ไปเป็นพรหม ตัดกิเลสได้ ก้เป็นพระอรหันต์ไปนิพพาน ขออธิบายจิตคนเรา เมื่อทำชั่ว ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัชฉาน แล้วไอ้จิตตัวนี้มันมาจากไหนครับ อธิบายหน่อย ต้องเพิ่มไปอีก ๕ ร่างแล้วมั่งครับ อีกร่างคือ อรูปพรหม ๔ ชั้นน่ะ ดวงจิต ลอยอยู่เฉยๆ ไปด้วยอำนาจ กำลังอรูปฌาณ ไม่มีอยาตนะ ไม่มีรูปนั่นเอง แค่นี้แหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2012
  4. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ข้อความของ จ่าติ๊ก กายของคนเรามีกายซ้อนกันอยู่ถึง๔กาย
    จ่าติ๊กสมาชิก


    จริงๆ มันก็มีกายเดียวจิตเดียว เท่านั้นแหละ ไอ้ที่ต้องมีกายนั้นกายนี้ ก็จิตตัวนี้แหละ มันไปเกิด ไปตามกำลังบุญและบาปที่กระทำ ดังที่กล่าวมาแล้ว และทุกท่านได้กล่าวมา ตั้งแต่อบายภูมิ ทั้ง ๔ แดน มาแดนกลางคือ มนุษย์ เมื่อเริ่ม ทำความดี ก็ทำให้ไปเกิด เป็น เทวดา นางฟ้า ไปเป็นพรหม ซึ่งไม่มีเพศ ตัดกิเลสได้ ก็เป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าพระอรหันต์ ที่ทรงอภิญญา กับพระอรหันต์ ปฏิสัมภิทาญาณ ท่านจะแสดงตน ได้ นับร้อยๆ หมื่อน แสน องค์ก็ยังได้เลย เอาแค่เทวดา นี่แหละ ท่านมีกายเป็นทิพย์ ซึ่งทำบุญ ไปจากคน ถ้าท่านจะไปหาใคร ท่านจะแสดง กายมนุษย์ ให้ดู นี่สมัยเราเป็นมนุษย์ น่าตาอย่างนี้นะ ถ้าจิต คนนั้นหยาบ จะเห็น หยาบ ถ้าจิต ผู้นั้นละเอียด ก็เห็นละเอียด

    ท่านจะทำกายได้กี่กายก็ได้ นั้นเป็นเรื่องของท่าน ที่ทำถึงแล้ว แต่ถ้าอย่างเราๆ มันก็ได้แค่นึก ว่า กายที่เราอาศัยอยู่ กับจิต คือตัวเราแท้ เมื่อกายแตกดับ ก็คือ ธาตุ ๔ ลมหายใจหมด ธาตุไฟเริ่ม เผาผาญ กาย น้ำเลือดน้ำหนองน้ำเหลืองไหลไปตามลำดับ ธาตุดินก็เริ่มพัง ทลาย กายเปรียบเหมือนบ้านเช่าชั่วคราว ตายแล้ว จิตออกจากร่างก็ไปสู่ภูมิ ภพ อื่น เลือกเอาครับ แดนมนุษย์คือ แดนกลาง จะเป็น สัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์ เดรัชฉาน แดนกลางมนุษย์ ดีขึ้มาหน่อย เทวดา ดีขึ้นไปอีก พรหม ตัด โลภ โกรธ หลง ได้เมื่อไหร่ นั่น เราเป็นผู้ชนะ อย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัย กายที่เจ้าของกระทู้ว่ามา ถ้าทำถึง มันก็ผ่านดังท่านว่า นั่นแหละครับ ถ้าไม่ผ่าน ก็ต้องไปว่า กันที่ต่ำ ก่อนแล้วค่อยขึ้นมาที่สูง ตามลำดับครับ ขอออกความเห็นแค่นี้แหละครับ ขอบคุณ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2012
  5. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ aroonoldman
    แต่ถ้าเราเอากายเทวดามาใช้ เอากายพรหมมาใช้ก็จะปรากฎ เป็นกายเทวดา เป็นกายพรหม เป็นกายพระอรหันต์ กายดีซึ่งไม่ปรากฎก็เพราะว่า คนเรามัวเมาอยู่ด้วยความโลภ ด้วยความโกรธ ด้วยความหลง กายที่เป็นกายเทวดาก็ไม่ปรากฎ เหมือนกับไม่มี ก็เพราะที่ว่าในกายของคนเรานี้ มีกายเทวดา มีกายพรหม มีกายพระอรหันต์ เกิดขึ้นเป็นไปตามลำดับขั้นของการปฎิบัติ เช่นกายเทวดาก็จะปรากฎเมื่อ คนเรามีหิริโอตัปปะ รู้จักละเว้นบาป รู้จักการทำบุญ รู้จักการไม่ประกอบกรรมอกุศล กายเทวดาก็จะปรากฎ ถ้าเจริญเมตตา ภาวนา มีเมตตา กรุณาต่อคนต่อสัตว์ทั้งหลาย กายพรหมก็จะปรากฎ ถ้าเป็นผู้ที่ปราศจาก โลภะ โทสะ โมหะ กายพระอรหันต์ก็จะปรากฎ กายอันมี๓กายพระระดับนี้แล้วจะไม่รู้อะไรเลยเป็นไปไม่ได้
    ท่านคงเขียนถึงอทิสมานกายฝ่ายกุศลจิตโดยประมาณเท่านั้น


    ตอบครับ ผมว่าถ้าเป็นพระอรหันต์ พระอริยเจ้า ท่านอธิบายในธรรมน่ะ คงถูกของท่าน แต่ผู้นำมาลง อาจไม่เข้าใจในคำสอนของท่านหรือเปล่า ถ้าพูดมาแบบนั้น มันทำให้ไขว้เขวได้ ขนาดผม ยังงง แม้พระโพธิสัตว์ บำเพ็ญมามาก ที่มีบารมีต้น และกลาง มีสิทธิ ตกนรกถึง ๙๙ เปอร์เซ็น ส่วนใหญ่ ครูบาอาจารย์ ท่านสอนมาดี มาตีความหมายผิด แต่ท่านที่ยังมีกิเลส มาก ไม่พูดถึงน่ะ เชื่อได้ คือพระอริยะเจ้า เท่านั้น ตั้งแต่พระโสดาบัน ขึ้นไป คนเรา เอาคำสอน ครูบาอาจารย์เบี่ยงเบน เปลี่ยน แปลง หรือนำมาผิดพาด อาจทำให้มีโทษ ได้มากเชียวน่ะ (ผมสังเกตุ ตัวเองนะ) อย่าเข้าใจผิด ขนาดเราไม่พอใจใคร มันดันเสือก ไปตำหนิ ถึงครูบาอาจารย์ องค์นั้นๆเลยนะ เนี่ย มันจะมีโทษตรงนี้ ขนาดผมเอง ยังเป็น แล้วคนอื่น มันจะไม่ไม่เป็นเลยหรือ ผมขอให้ท่าน ทั้งหลาย นำไปเก็บคิด ดูนะครับ พิจรณา ด้วยครับ
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ NARKA
    คุณตุงเมนะคะ,นาคา
    มุทิตาต่อคุณจริงๆ เวทนา ต่อคุณจริงๆ...ที่โดน ทั้ง แม่ และ แฟน...ระบายอารมณ์ใส่คุณ
    ไม่อยากเอาธรรมะ มาชี้ให้แก้ไข หรืออดทน.......มันจะยิ่งเหนื่อย...ไม่ทันใจโก๋...
    ต้องใช้วิธี "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน"
    ก่อนอื่น..คุณต้องมานั่งสำรวจตนเองก่อนว่าคุณ"เป็นคนอย่างไร"
    ผมวิเคราะห์เคร่าๆแล้ว คุณเป็นคน"อ่อนศรี"..คือจิตใจไม่เข้มแข็ง ขี้สงสาร ขี้ใจอ่อน ชอบยอม ชอบตามใจ ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากเรื่องมากฯลฯชอบกินน้ำใต้ศอก ชอบเหยียบขี้ไก่ ไม่ฟ่อ...ชอบแพ้....
    คุณต้องทำตัวใหม่ให้ตรงกันข้ามกับที่กล่าวมา
    หัดเล่นเกมส์ตู้โหด ฆ่าไม่ยั้ง เพื่อฝึกจิตให้เข็มแข็ง
    แม่เป็นพรหมของบุตรก็จริง สามีเป็นช้างเท้าหน้าก็จริง
    แต่เมื่อแม่กลายเป็นยักษ์ สามีกลายเป็นเท้าหน้าพิการ เท้าปิศาจแล้ว เราต้อง"สู้"แบบ"จี้ถึงให้หยุด ไม่เอาถึงตาย" เอาแค่พอให้ทั้งคู่รู้ว่า"คุณไม่ใช่หมูในอวยอีกต่อไปแล้ว"
    เช่น แม่ด่าว่าโง่ ก็สวนทันทีว่า"ก็ได้จากเชื้อแม่นั่นแหละ"พอแม่จะตีก็คว้าอีโต้ออกมาฟันอากาศ แล้วขู่ว่า"ลองตีหนูดู จะสับให้เป็นหมูบะช่อเลย"
    เช่น สามีด่าว่า"โง่"ก็สวนทันทีว่า "ถึงมาได้กับคนโง่...คือคุณนี่ไง...โง่.พอๆกัน"
    พอสามีจะลงมือ ก็คว้ามีดปอกผลไม้(ให้เตรียมไว้)
    "หลับเมื่อไร...แม่จะเจี๋ยนให้เป็ดกินเลย"
    เนี่ย...ทำแค่นี้ ทั้งคู่ก็จะเริ่มรู้สึกว่า คุณไม่ใช่หมูอีกแล้ว แล้วทั้งคู่ก็จะเริ่มค่อยๆ....ห่างคุณ ไม่กล้า"ข่ม"คุณอีกต่อไป...
    หรือสมมุติว่า ถึงที่สุดแล้ว...ก็ฟันเปรี้ยงให้เหวะ แต่อย่าเอาถึงตาย แค่ฝากรอยแผลไว้ จะตกนรกก็ต้องตก....เพราะตอนฟันนั้น "ฟันยักษ์ ไม่ใช่แม่" "ฟันปิศาจ ไม่ใช่สามี"


    9v[8iy[ ตอบครับ ถึงผมจะเป็นคนกระโดงกระเด็ง กระด้าง พูดจาไม่ไพรเราะ แต่ยังไม่เคยกดให้ใครเลย ไม่เห็นด้วยเนี่ย การพูดสอนแบบคุณ มันเกินเหตุ ไม่สมควรอย่างยิ่ง การเถียงพ่อแม่นั้น ก็ไม่ดีอยู่แล้ว ครับ แต่ผมถือว่า เป็นธรรมดา ของปุถุชน แต่อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย ด่าพ่อด่าแม่ ก็ทำกินไม่ขึ้นแล้วครับ ยิ่งตีพ่อแม่ ด้วยหนักกว่ามาก ผลจะเกิดกับเรา ปัจจุบันดันด่วนเลยนะ ถ้าฆ่าให้ตายยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงอีก มีที่เดียว ดิ่งอย่างเดียวครับ ให้สำนึกอย่างไรทำดีอย่างไร ก็ตาม แม่ธรณียังไม่ค่อยจะยอมรับให้อภัยเลย อาจจะถูกสูบได้นะ (แต่ถ้าคนหลุดโลก ด้วยกรรมแรงบันดาน อันนั้น ถือกรรมมาแต่อดีด เขามาชดใช้กัน กับที่เก่าก้เรื่องของเขาแหละ) แต่คุณมีโอกาศดีแล้วครับ ผมเมื่อก่อน ไม่อยากกราบแม่เลย แต่เดี๋ยวนี้ กราบพระคุณแม่ได้อย่างสนิทใจ ครับ
     
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    พี่บุญทรงมาพักอยู่นี่ คงสุขสงบดีนะคะ ว่างๆติงต้องแวะเข้ามาอ่านค่ะพี่
     
  8. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นักรบธรรม
    สระสี่แจง แร้งสี่ตัว ผู้หญิงมีผัว ผู้ชายออกลูก



    ได้มาแต่ยังคิดไม่ออก ไม่รู้ใครจะตีความได้สว่างบ้าง

    ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับแค่มั่วๆเหมือนกันครับ สระ ๔ แจง เป็นมรรค ๔ หรือเปล่า แร้ง ๔ ตัว หมายถึงผลหรือเปล่า มรรค ๔ ผล ๔ เมื่อหญิง ตัดผู้ชายได้ ไม่ต้องการมีผัว ผู้ชายตัดหญิงได้ ไม่ต้องการมีเมีย เลยไม่มีลูก เมื่อดับได้แล้ว นิพพาน ๑ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ใช่ไม่ใช่ขออภัยด้วยครับ


    อ้อขอแถมอีกแบบหนึ่งครับ โลกธรรม ๘ ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ มีสุข ก็มีทุกข์ มีนินทา ก็มีสรรเสริญ เมื่อตัด โลกธรรมทั้ง ๘ ได้ เมื่อตัดดีกับชั่วได้ มันก็ถึงนิพพานครับ คือเป็น ๑

    --------------------------------------------------------------------------------
     
  9. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    พ่อกับแม่บังคับให้หนูทำแท้งmouytee
    สมาชิก


    ไม่ว่ากันอยู่แล้ว มีคนดีๆ เตือนในนี้ออกมากมาย ผมจึงไม่ขออธิบายต่อครับ จึงใช้ ประสบการณ์ ชีวิต มาบอกกว่าว ทุกคนมีปัญญา จะเอามันออกมาใช้หรือเปล่า แต่ก็ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ เดี๋ยวก้มีทางออกครับ เด็ก ๖ เดือน มันใกล้ออกแล้ว จริงๆ ๔ เดือน ก็มีครบ อาการ ๓๒ แล้ว บางคน ในประเทศไทย หรือประเทศอื่น ที่ ท้อง ๗ เดือน ออกมาดูโลก มีชิวิตอยู่ เยอะแยะไปครับ ที่เห็นมา ผมไม่อธิบาย ทุกคนคงเข้าใจ ทุกคนมีปัญหาชิวิต ต่างกันไป ว่าใครจะหนักกว่ากันเท่านั้น ทั้ง พ่อแม่ แฟน ก็ปราถนาดี แต่ ยุ เข้า รกลงที่ต่ำ ชั่วส่วนชั่วดีส่วนดี มันแยกกัน ถ้าฝ่ายไหนแรงกว่า มันก็ไปทางนั้นมากกว่า ทุกอย่างมันเลือกทางเดินได้ ถ้าเขาเหล่านั้นไม่เข้าใจ ถูกแล้ว ที่หนูทำ ไม่ทำแท้ง ในเมื่อเรา ทำขึ้นมาเราเอง ต้องเป็นผู้แก้ สัตว์ มันยังไม่กลัวอดตาย แล้วเราเป็นคน มีปัญญามากกว่า จะไปกลัวทำไมจ๊ะ ปากกัดตีนถีบ ทำได้ทุกอย่าง ที่เป็นเงิน เราก็จะมีกินเอง เดี๋ยวนี้การเรียน เขาไม่ได้ปิดกั้นเหมือนเมื่อก่อน เริ่มต้นวันนี้คำว่าสายไม่มีครับน้อง หญิง คิดถูกวันไหน เริ่มต้นเมื่อนั้น

    เมื่อสมัยครั้งพุทธกาล นางวิสาขามีผัวแต่งงานอายุ ๑๖ ปี มีลูก ๒๐ คน เป็นพระอริยะเจ้าอีกต่างหาก นี่เห็นไหม คนเมื่อสองพันกว่าปี ยังแต่งงานกันเลย เดี๋ยวนี้ พ.ศ.เท่าไหร่แล้ว ผมอยู่หมู่บ้านดงไทยกระเหรี่ยง ส่วนใหย่ถ้าไม่เรียนต่อ จบป.๖ ก็มีผัวกันแล้ว บางคนอายุ ๑๓ เอง อายุ ๑๔ ออกลูกอุ้มลูกแล้ว คนไทยบางที่ยังมีเลย เรื่องแบบนี้ มันเป็นธรรมดาของสัตว์โลก แต่อดรนทนไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวนี้เขามียา คุมกัน ก็หาวิธีป้องกันดีกว่า คนอื่นยังไม่มีประสบการณ์ อ่านเจอ หาวิธีป้องกันซะ จะได้ไม่มีทุกข์ แบบนี้อีกจ้า บางทีมันห้ามกันไม่ได้หรอก เรื่องแบบนี้ กรรมใครกรรมมัน เมื่อมีวิธีทำ ก็ต้องมีหนทางแก้ กันไปจ้า

    ขนาดบางคนที่เห็นมา ในปัจจุบัน ทำกรรมกับสัตว์ ที่มีท้อง แก่ และสัตว์บางตัว ที่มีบุญ กระเหรียงในตะเพินคี่ ฆ่า เก้งท้องแก่ ได้ปีเศษๆ เมียตัวเองท้อง ใกล้คลอดแล้ว ลูกดันตายในท้องแท้งลูก ออกลูกคาปิ ดีว่าพาไปหาหมอทัน ไม่งั้นตายแหงๆ ต้องผ่าออก ไม่อยากเล่าละเอียด เพราะเล่ามาเยอะแล้ว อีกรายที่ ปราจีนบุรี เดี๋ยวนี้ขึ้นกับ จ.สระแก้ว ฆ่าหมา นิสัยดีมาก คนพูดอะไรก็รู้ ทุกอย่าง คนนครพนมมาอยู่ที่นั่น ฆ่าเอาเนื้อมันไปกิน ได้สัด ๑๐ วันได้หรือเกินนิดหน่อย รถข้าวมาทับลูกตาย หมดเลย ผมอยู่ในเหตุการณ์ ตลอด ที่เห็นมา ลูกตายถึงขนาดสลบ ผู้ใดทำกรรมใด ไว้จะได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน จงอย่าทำนะน้องหญิง ยอมรับ แล้วตัดสินใจ ในสิ่งดีๆ ในกระทู้ เขาบอกกันดีๆมาหลายคน แล้ว จึงไม่ต้องอธิบายอีกต่อไป จึงเอาอุทาหรณ์ เหตุการในปัจจุบัน มาเล่าให้ฟ้งจ้า เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

    --------------------------------------------------------------------------------
     
  10. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ jikkiijang
    ผมเคยอ่านว่า พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก่อนจะมาประสูติ จะต้องเกิดเป็นกษัตริย์จะต้องมีการให้ทาน (เหมือนพระเวสสันดร อดีตชาติของพระพุทธเจ้า)
    ผมก็เลยสงสัยว่า "พระศรีอริยเมตไตรย" ที่จะมาประสูติ ในชาติต่อไปจะประสูติเป็น "พระศรีอริยเมตไตรย" เลยหรือเปล่า เพราะภพหลังสุดของท่านคือ พระอชิตะเถระสาวกของพระพุทธโคดม หรือจะมาประสูติแล้วมีการให้ทานเหมือนพระเวสสันดรก่อนถึงจะเป็น "พระศรีอริยเมตไตรย" ท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ


    พระโพธิสัตว์ ก็บำเพ็ญบารมีคล้ายกันหมดแหละ แต่จะเอาตัวไหนนำหน้าเท่านั้นแหละ เพราะว่ามันมี ๓ แบบ ๓ ขั้น ๓ ชั้น ปัญญาธิกะ บำเพ็ญ บารมี ๔ อสงไขยกำไลยแสนมหากัป ศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกำไลยแสนมหากัป และวิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกำไลยแสนมหากัป พระโพธิสัตว์ และพระพุทธเจ้า ก็มีอยู่ ๓ แบบนี้เท่านั้น ๓ ขั้น ๓ ชั้น หยาบ กลาง ละเอียด ก็คือ บารมี ต้น กลาง และปลาย เป็นปรมัตถบารมี


    [COLOR บารมีต้น ก็เริ่ม ต้น กลาง ปลาย บารมีกลางก็เริ่ม ต้น กลาง และปลาย บารมีปลายก็เริ่ม ต้น กลาง ปลาย เช่นเดียวกัน ก็คือ บารมี ๑๐ นั่นแหละ เมื่อทำจบ สุดท้าย ก็แยกไปอีก จากต้น กลาง และปลาย ก็จะเป็น บารมี ๓๐ ทัศ นั่นเองครับ เมื่อทำบารมีเต็มแล้ว ก็เข้า อยู่ สวรรค์ ชั้นดุสิต รอคิวมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า นี่เล่าลัดๆนะ แต่ ท่านคงไม่นั่ง อยู่เฉยหรอกนะ ท่านอาจจะ ลงไปจุติ ตรงไหนก็ได้ เพื่อจะโปรด บริษัทบริวาร ของท่าน ที่ความปราถนาไปด้วยกัน หรือไปช่วย ลูกศิษย์ หรือสัพสัตว์ ขององค์ อื่นๆ เพราะพระโพธิสัตว์ แต่ละองค์ ท่านจะช่วยเหลือ เกื้กูลกัน [/COLOR]

    ถ้าท่านทำหน้าที่ของท่านไม่ทัน พระโพธิสัตว์ องค์อื่นๆ หรือเทวดา พรหม องค์อื่นๆ จะทำหน้าที่แทนครับ สวรค์ชั้นดุสิตนี่ เป็นสวรรค์ ที่อยู่ได้เฉพาะ พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มแล้วเท่านั้น พ่อแม่ ของท่านด้วย และผู้ที่ เป็นพระอริยะ ตั้งแต่ พระโสดาบัน ถึง พระอนาคามีเท่านั้น ถ้า ถ้าเทวดาพรหม ที่เป็น โลกีย มาอยู่ชั้น ดุสิตไม่ได้ครับ เหมือนเป็น สวรรค์ชั้นพิเศษ นั่นเอง หรือ ต้องห้าม ไม่ห้าม ก็เหมือนห้ามครับ เฉพราะบุคคลพิเศษ จึงได้กล่าวมาเช่นนี้ครับผม และเมื่อถึง เวลาอันควรแล้ว เทวดาพรหม ก็จะอาราธนา ลงมาจุติ ยังเมือง อันสมควร ครับ ท่านจะพิจรณาของท่านเองครับ ว่าสมควรหรือไม่ ขอจบแค่นี้แหละครับ พูด กันเป็นวันไม่จบครับ
     
  11. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ฟาฟา
    อนุโมทนาบุญ 200 บาทผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ค่ะเวลา15.12.39 เข้าบัญชี 639-0-05198-0 ธนาคารกรุงไทย พระณัฐวุฒิ ค่ะ
    ขอบพระคุณคุณพี่ที่บอกบุญค่ะ สาธุค่ะ


    ขออนุโมทนาสาธุกับคุณฟาฟาครับ คนที่คิดที่จะทำบุญเช่นนี้ได้เขาคิดมาดีแล้ว มีกำลังใจสูงแล้ว และส่วนใหญ่เขาจะมีครบ ทาน ศิล เจริญภาวนา บารมีต้น เขาคิดกันได้ไม่ถึงขนาดนี้หรอกครับ เกิดมามันต้องทำทุกอย่างครับ ให้แต่ ธรรมมะเป็นทาน มีบุญจบกิจ เป็นพระอรหันต์ แต่อดอยากนี่สิ ลำบาก นี่ครูบาอาจารย์ ท่านสอนมา การ ก่อสร้าง วิหารทาน บารมีจะเต็มเร็ว นะครับ และทำตามกำลัง ทรัพย์ของเรา มีน้อยทำน้อย มีมากทำมาก ตัวอย่าง พระอรหันต์ในสมัยพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ บินถบาตร อดข้าวมีตัวอย่างตั้ง ต้องหลายองค์


    ขนาดทำถึงขนาดนี้ ยังไม่ไปถึงไหนเลย กิเลสยังเต็มหัว โลภ โกรธ หลง ยังมีครบ ถ้วน บริบูรณ์ ทุกอย่าง กฐินปีนี้ ก็แค่ ๒๐๐ กว่าวัดเอง ผมทำมาเกือบ ตก ๑๐ ปีแล้ว มันจะทำให้คล่องตัวในปัจจุบัน ครูบาอารย์ท่าน บอกว่า อย่างน้อย ทำให้เกิน ๙ วัดขึ้นไป ถ้าเราแทบจะไม่มีเงินจะใช้ วัดละบาท ก็ได้ กระทั่ง ๑๐-๒๐-๕๐-๑๐๐ บาท พัน หมื่น แสน ล้าน มันอยู่ที่กำลัง ทรัพย์เราครับ ถ้าเรายังไม่มีกำลัง ที่จะตัดกิเลสได้ ขาด เราต้องทำทุกอย่างที่เขาทำกัน อยู่ในโลกนี้ ไม่มีจะกิน จิตมันเป็นทุกข์มาก จะเอาแก่จิตแก่ใจ ที่ไหนมาปฏิบัติธรรม ๑ ในล้านยังหาไม่ค่อยจะเจอเลยนะท่านทั้งหลาย อย่างน้อยเรามีคติ ที่จะเกิดมา ก็น้อยชาติลง และก็จะทำให้เราไม่อด อยากยากเข็น ในโลกมนุษย์ เขามีอะไร เรามีทุกอย่าง จิตสบายทำอะไรก็สดวกขึ้นครับ


    แค่บางคนชวนไปทำบุญ ทำทานนิดหน่อยเอง ยังจะทำไม่ได้ นับประสาอะไร จะไปเอาของสูง กว่านั้น ถ้ายิ่งชวนไปรักษาศิลบ้าง เป็นบางครั้ง ทำสมาธิ ยิ่งไม่สน ก็อย่าฝันเลย ถ้ามีครบ ทาน ศิล เจริญ ภาวนา ก็ยังยากยิ่ง จะไปคุยเรื่อง ตัดกิเลส ยิ่งยากใหญ๋ มันละเอียด ขึ้นไปเรื่อยๆ เอ่อ ถ้าเรารู้ตัวว่า เราหนีพ้น แล้ว ก็เชิญ ตามสบายครับ พระอริยะเจ้า ทั้งหลายท่านเมตตาเสมอ ทุกชนชั้น แต่จะเมตตา กับคน ผู้ ปฏิบัติธรรม เป็นกรณีพิเศษครับ ที่เคยไปกราบมา ก็หลายสิบพระองค์ ท่านไม่นิ่งดูดายเลย ท่านทำงานตลอด นอกจาก อายุสังขารท่านไปไม่ไหวแล้ว โน่นแหละถึงจะมีเวลา หยุดบ้าง แต่ท่านมีเวลาให้ สงเคราะคนแลสัตว์ ขออนุโมทนาสาธุ กับทุกๆท่านนะครับ
     
  12. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เสขะ บุคคล




    สังโยชน์ รู้ได้อย่างไร ?

    สังเกตุ ขุดค้น เทียบเคียง พิจารณาให้เห็นยังไง ?
    พยายามค้นหามานาน รู้สึกเหมือนว่าไม่ได้ลูบคลำมันเลย

    จำเป็นไหม ?


    คนทำมันต้องรู้ ทุกอย่างที่ทำ รู้ละเอียดลึกซึ้งหรือไม่ หยาบ กลาง ละเอียด สังโยชน์ เป็นเครื่อง ร้อยลัด จิตใจของสัตว์ ถ้าเรา รู้จักคำว่า ศิล ก็คงต้องคลำต่อไป ถ้ายัง รักษาไม่ได้ อย่าไปคุยเลย เสียเวลาเปล่า ถ้าคุณมีศิล ๕ เมื่อไหร่ และรักษาได้โดยเด็ดขาด รักษาสิล ยิ่งกว่าชีวิต ตัวตายดีกว่าศิลขาด ทำความเข้าใจให้ถูก เรื่องของศิล

    ไม่ลังเลสงสัย ในพระพุทธ ในพระธรรม พระอริยะสงฆ์ ไม่เมามัน ในกิเลส ตันหา จนเกินเหตุ อยู่ในขอบเขตุ ของคำว่า มักมาก ในทุกเรื่อง แต่ท่านยังคิดอยู่ แต่ไม่ไปถึงกาย ต้องไปแย่ง หรือฆ่า หรือโขมย พูด ถึงหลักเกณ แม้จะโกหก แต่เพือรักษา ชีวิต หรือของบุคคลอื่น อันนี้ท่านทำ ดูเหตุและปัยจัย เป็นหลัก ไม่เมามาย ในเรื่องของประสาท ใช้ทำยารักษา ได้ เขาใช้ปัญญาเป็นหลัก นึกถึง ลมหายใจ ความตายเป็นหลัก ไม่ประมาท ในชีวิต ว่าจะไม่ตาย

    และมีทำความหวัง พระนิพพาน เป็นที่ไป มีหยาบ กลาง ละเอียด ขั้นที่ ๑ มี หยาบ กลาง ปลาย ขั้นที่ ๒ ของสังโยชน์ มี หยาบ กลาง ละเอียด ขั้นที่ ๓ มี หยาบ กลาง ละเอียด ขั้น ที่ ๔ มี หยาบ กลาง ละเอียด สังโยชน์ ทั้ง ๔ อย่างนี้ ตัดที่กาย จุดเดียว ไม่ว่า จะเจริญ อะไรมา ต้องลง สักกายทิฏฐิ ตัวเดียว แสดงที่เดียว ให้ละเอียด ไปตามขั้น ของมัน จนถึง ไม่มีอะไรเหลือ เกราะใจเราอีกต่อไป อยู่จบพรหมจรรย์ ไม่มีอะไรต้องทำอีก เพื่ออยู่เป็นสุข ของจิต จึงจำเป็น พิจรณาอยู่ เนืองๆ
     
  13. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ผู้นำบุญของข้าพเจ้า เรื่องเล่าแบบไม่ขำสักเท่าไรploynoppakaw
    สมาชิก


    --------------------------------------------------------------------------------

    ของเก่าเขามี บุญเกก่านั่นเอง ต้องได้มาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ถ้าเป็นดังที่คุณว่ามา ถ้าจิตสอาดจากกิเลสมาก จะเห็นได้ชัด ดังคุณว่ามา เหมือนเห็นด้วยตาเนื้อ นั่งนอนเดิน หรือยืนอยู่ นั่งขี้ นั่งเยี่ยว ก้เห็นได้เป็น ปรกติ ถือว่ายากมาก ที่จะมี บุคคลเช่นนี้ครับ ถ้า หาผู้มาฝึก สอนให้เขา จะดีมากเลยครับ อย่ากลัวเลย กลัวดีผมเป็นมาก่อน แต่ทิ้งดี มันเลยเอากลับมายากมากครับ เพียงเราฝึกฝน เอาสิ่งที่ดีมาใช้ แต่อย่าหลง หรือเหลิง มันมีโทษได้เหมือนกัน เขาเรียก ทิพยพจักขุญาณ ๆมีอยู ๗ หรือ ๘ อย่างนี่แหละครับ


    ทิพยจักษุญาณ อนาคตัง สญาณ รู้อนาคต อตีตังสญาต รู้อดีด ปัจจุบันนังสญาต รู้ปัจจุบัน จตูปปะปาสญาณ เจโตปริญญาณ รู้ใจคน บุปเพนิวาสานุสติญาณ และยถากรรมมุตาญาณ รู้กรรม อดีดอนาคต ว่า มาเกิดมาอย่างไร ตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร หมายถึงทำได้ละเอียดครับ อธิบายไม่หมดขออภัยจำไม่ได้ ลืมแล้ว และข้อสำคัญ คนที่ไม่เคยได้เลยมาในอดีด ให้เอาชีวิตเข้าแรก ยังทำไม่ได้เลยครับ
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ploynoppakaw
    วันนี้ลูกสาวเริ่มเป็นสาวแล้ว หลังอายุครบสิบสอง อาการแปลก ๆ ที่ห่างหายไปเริ่มกลับมาอีกครั้ง
    - เมื่อประมาณเดือน หรือสองเดือนที่แล้ว เขาฝันว่าไปไหว้ศาลเจ้าปู่นาคา เป็นศาลเล็ก ๆ ตั้งอยู่ริมทะเลที่เป็นเวิ้ง (ว่าไปนั่น)และบริเวณนั้นมีภาพพระภิกษุห่มจีวรสีกรักนั่งนับลูกประคำ ซึ่งเขาบอกว่าเขาเคยเห็น (แล้วแม่จะรู้ไหมล่ะลูก)
    - เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา เขาบอกว่าฝันเห็นสึนามิ(สงสัยจะไม่เข้าใจคำว่าสึนามิหรือไม่ก็อาจจะดูหนังแนวเอเลี่ยนมากไปหน่อย)เข้ากรุงเทพฯ ตรงแถวสะพานซังฮี้(อันนี้เป็นไปไม่ได้หรอก) แต่ที่น่าขำก็คือเขาถามว่าทำไมสึนามิไม่ทำร้ายคนไทยล่ะแม่ มีคนต่างชาติเยอะแยะไปหมดเลย สึนามิทำร้ายเฉพาะต่างชาติไม่ทำร้ายคนไทย คนไทยเลยต้องช่วยสับสนอลหม่านกันไปหมด (ยิ่งเว่อไปใหญ่)
    - เดี๋ยวนี้เขาค่อนข้างหวาดกลัวช่วงเวลาโพล้เพล้มาก แทบไม่อยากออกจากบ้านในช่วงเวลานั้น แบบว่าหลอน ๆ เพราะมักจะเห็นอะไรแปลก ๆ (เห็นด้วยตาเนื้อ)
    สงสารลูกมาก ๆ แต่ไม่รู้จะช่วยเขาอย่างไร ได้แต่ให้เขารักษาศีลห้า และสวดมนต์ก่อนนอน (เขาก็ไม่ได้สวดทุกคืน)
    - เขาชอบอ่านพระไตรปิฏกค่ะ (เด็ก ป.6)ครูให้วาดภาพศิลป เขาก็เลือกวาดภาพพระพุทธเจ้าปรินิพพาน


    ลองไปหาประวัติหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง อ่านสิครับ ท่านตายชาตินี้ ๗ ครั้ง ท่านได้ฌาณ ๔ อายุ ๕ ขวบหรือ ๗ ขวบนี่แหละ หลวงปู่เณรคำ ท่านได้ ฌาณ ๔ อายุ ๕ ขวบ ในหลวง พ่อ หลวงของเราท่านได้ ฌาณ ๔ อายุ ๕ ขวบ ถ้าจำผิด ขออภัยครับ ด้วยครับ ในสาย หลวงพ่อ ฤาษี ท่านฝึก มโนมยิทธิ ลองไปฝึกที่วัดสิครับ เขาเรียก มีฤทธิทางใจ กึ่ง อภิญญา ถ้าน้องเขาได้ฝึก ผมว่า เขาช่วยตัวเขาเองด้วย ช่วยคนอื่นได้ด้วยครับผม
     
  15. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ siamblogza


    ด้วยแรงศรัทธา ประติมากรไทย เตรียมเผยประติมากรรมพระพักตร์ ที่แท้จริงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างสรรค์จากข้อมูลทางโบราณคดี และลูกหลานตระกูลศากยะแท้

    เมื่อเวลา 17.00น. วันนี้ ( 16 พ.ย.) ที่ร้านแกลเลอรี่สันติเวิลด์อาร์ต ซอยรามคำแหง 164 แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี นายสันติ พิเชฐชัยกุล นักประติมากรรมไทย นางอิริค่า พิเชฐชัยกุล ภรรยา เปิดเผยถึง การค้นพบใบหน้าที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ร่วมกับนักวิชาการและนักโบราณคดีจากต่างประเทศ รวมทั้งลูกหลานสายเลือดที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าด้วย ซึ่งจะเปิดเผยในประเทศไทยเป็นที่แรกว่า จุดเริ่มมันมาจากความหลงใหลในพระพุทธศาสนา กระทั่งตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงไม่มีหน้าตาเหมือนบุคคลทั่วไป ทั้งที่ประสูติที่สวนลุมพินีวันที่มีอยู่จริง

    นายสันติ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่นั้นมาจึงมีความคิดที่จะสร้างพระพุทธเจ้าที่มีหน้าตาที่แท้จริงตามแนวคิดของตนขึ้นมา ทำให้ต้องเดินทางไปยังประเทศเนปาล ที่เป็นดินแดนประสูติ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนาจากเนปาลร่วมให้ข้อมูล ที่สำคัญตนเป็นผู้เดียวที่ได้เข้าไปในศาสนสถานของกลุ่มสักยากาฐมาณฑุ ที่เฉพาะสายเลือดแท้ๆของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เข้าได้ จนพบเศียรของพระพุทธเจ้าอายุประมาณ 1,900 ปี มีหน้าตาคล้ายกับคนท้องถิ่นของชาวเนปาลและอินเดียอย่างมากโดยการสร้างหน้าตาพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้น ตนไม่ได้ลบหลู่เพราะมีเจตนาดี ซึ่งความลับนี้จะเปิดเผยขึ้นบริเวณประสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมา ในวันที่ 25 พ.ย.นี้ ทั้งนี้ในอนาคตยมจะสร้างพระพุทธเจ้าโลหะขนาดหน้าตัก 18 เมตร สูง 22 เมตรซึ่งเป็นองค์ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย.

    9v[ ผมตอบครับ คนแสดงตนเป็นพุทธมามะกะ นี่ลูกพระพุทธเจ้า ถ้าลูก ที่รักท่านจริงๆคือ พระโสดาบันถึงพระอรหันต์ ตอนเวลา สาวกจบกิจแล้ว ท่านตรัสว่า ลูกเราตถาคตหมดแล้ว ซึ่งอาสวะกิเลสทั้งมวล นี่คือสายเลือดพระองค์แท้ สายเลือดในด้าน พุทธางกูธ ก็อีกแบบหนึ่ง ในสายเลือด เชื้อชาติ ในการเกิดก้อีกแบบหนึ่ง ในตระกูล พวกสายอริยกะ มีลูกถึง ๕ พระองค์ สมัยปู่ พระพุทธเจ้า องค์ที่ ๕ ไม่มีเมืองครอง ต้องไปถากป่าดงพงไพร ไปกับพวกหมู่อำมาตย์ ข้าราชบริพาร เป็นหมื่นๆคน สายที่๕ นี้คือคนไทย เชื้อสายอริยกะ [/COLOR]


    ก่อนที่พระพุทธองค์จะประสูตร อีก นานพอสมควร แต่ก้อย่าไปติดเลยครับ ท่านให้เอาธรรมมะเป็นที่พึ่ง แต่ท่านเจ้าของกระทู้ บอกจะสร้างรูป เหมือนพระพุทธองค์ก็ไม่แปลก ขออนุโมทนาสาธุ ถ้าทำได้ หินทรายที่เขาไปกองไว้ บอกจะสร้างพระ ครูบาอาจารย์ท่านบอก ให้ยกมือไหว้ ได้เลย อนโมทนาสาธุได้เลยครับ ผมพูดตรงๆ ในหัวข้อของคุณ มันไม่เหมาะ มันแสลงใจชาวพุทธ เจ้าของกระทู้ว่ามา ควรในของที่ควร ควรในของที่ไม่ควร ในประเทศไทยนี้ มีผู้สร้างมากมาย ที่ผมเคยไปมา และกำลังก่อดำเนินการ สมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก ๓๐ วา ๖๐ เมตร ทรงชินราช เป็นปูน ถมที่ไว้แล้ว ๔ ไร่เศษๆ หมดไป ๑๐ กว่าล้านบาท ที่ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรีครับ ไปดูได้ วัดใหม่ ฉายหิรัญครับ[/COLOR]


    ใครก็ตามสร้างพระหน้าตัก ๕ นิ้วขึ้นไปจะเป็นปูนหรือโลหะ มีอานิสงฆ์เหมือนกัน ไม่ต้องทำพิธีอะไร เทวดาพรหม จะมารักษา ถ้าต่ำกว่า ๕ นิ้ว ต้องทำพิธีอันเชิญ ให้พระท่านทำให้ จึงถูกหลัก ให้เทวดาพรหมได้อนุโมทนาสาธุ พระท่านเมตตาทำให้ ทำดีก็ทำไปเถอะ ในส่วนนี้ ขออนุโมทนาสาธุ ในส่วน ประเทศไทย พระพุทธองค์เสด็จมามากมายหลายที่ ต่างๆทางภาค เหนือ อิสาน ภาคกลาง มีวัตถุ อ้างอิงมากมาย ไปหาอ่าเอา พระพุทธบาท มากมาย อยู่ในประเทศไทย ไปเชื่อแต่ พวก ฝรั่งดอง

    พระอริยะเสือกไม่เชื่อ ร่างกายไม่เน่าเปื่อย ออกมากมาย อยู่ในไทย ทุกภาคของประเทศ ที่ไม่ได้เผาพระศพท่าน ต้องจับได้เห็นได้ เอาที่แน่ๆดีกว่าครับ สวัสดี
     
  16. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ฟางว่าน
    เรียนถามท่านๆสมาชิก พระโพธิสัตว์ทั้ง 4 ประเภท ได้แก่ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร และวิริยะกพิเศษ มีคุณสมบัติอย่างไรครับ.....



    9v[8iy[ ตอบครับ พระโพธิสัตว์ มีแค่ ๓ ประเภท อย่ามาตั้งกระทู้ผิดสิครับ อย่าให้มันเพี้ยนไป พระโพธิสัตว์มี ๓ ประเภท พระพุทธเจ้า ก็มี ๓ ประเภท ๑ ปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกำไลย อีก ๑ แสนมหากัป ๒ ศัทธาธิกะ บำเพ็ญ บารมี ๘ อสงไขย กำไลยอีก ๑ แสนมหากัป ๓ วิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขย กำไลยอีก ๑ แสน มหากัป


    บางพระองค์ ทำไม่ถึง ก็ลากันไป เป็นพระสาวก ของพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆครับ แต่บางองค์จะแวะเอาแค่ พระปัจเจ กะพุทธเจ้า ก็ได้ครับ เบื่อคนไง ตรัสรู้ เองตามลำพัง เขาเรียกว่า พระปัจเจกะพุทธเจ้า ตรัสรู้เอง ไม่สอนให้ผู้อื่น ตรัสรู้ตาม เหมือนพระพุทธเจ้า แต่ท่านตรัสรู้กันคราว หนึ่งๆ ก็เป็นหมื่นเป็นแสนพระองค์นะครับ พูดไปก็ยาวมากๆแค่นี้แหละครับ


    ตอบต่อครับ) พระโพธิสัตว์ ๓ ขั้น ๓ แบบ พระพุทธเจ้า ก็มี ๓ แบบนี้เท่านั้น ตัวอย่างอธิบายมา บารมีตัวไหนนำหน้า ตัวนั้น คือ ตัวหลัก แล้วบารมี ทั้ง ๑๐ ตัว ก็เข้ามาทันที คนมีปัญญามาก นำด้วย ปัญญา ทาน ศิล วิริยะ ขันติ เมตตา อธิษฐาน สัจจะ ศรัทธา อุเบกขา บารมีจะมาครบทุกตัว

    ศรัทธา นำหน้า คนมีศรัทธา ปสาทะ บารมี ๑๐ ก็เข้ามาทันที่ ศรัทธา ทาน ศิล ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเปกขา เนี่ย บารมีทั้ง ๑๐ จะเสริมทันทีครับ

    วิริยะ นำหน้า ตัวอื่น ก็เข้ามาทันที วิริยะ ปัญญา ทาน ศิล ศรัทธา ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา เนี่ยเห็นไหม รายละเอียด ก้พิจรณาเอาครับ ไม่จำเป็นต้องอธบายละเอียด ถ้าไม่เข้าใจ ก็อย่าหวัง ไปพูด ให้สูงกว่านี้เลยครับ

    เมื่อ ทำพระบารมี ให้สูงขึ้นไป ตามลำดับ ต้น กลาง ปลาย บารมี ๑ ตัว มันจะเพิ่ม ขึ้นไปอีก เป็นอย่างละ ๒ ตัว กลาง ปลาย บารมี ต้น บารมีกลาง บารมีปลาย ก็ เป็น บารมี ๓๐ ทัต นับต้นด้วย ก็ครบ องค์ ๓ บารมี บารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี
     
  17. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สมัยก่อนฝรั่งว่าคนไทยย้ายมาจากเทือกเขาอัลไต ทางเหนือมองโกลเลีย แต่ปัจจุบันนักประวัติศาสตร์ได้พบว่าคนไทยเป็นชนชาติที่มีมา เป็นคนท้องถิ่นของสุวรรณภูมิมาแต่ไหนแต่ไร และมีความผูกพันธ์กับอินเดีย หรือชมพูทวีปไปจนถึงชาวอาหรับ-เปอร์เซีย (อิหร่าน) เป็นอันมาก ผู้เป็นนักเดินทางผจญภัยแลกเปลี่ยนค้าขายสิ่งของเครื่องใช้ ต่างพากันเรียกผืนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์โบราณว่า สุวรรณภูมิ มาไม่น้อยกว่า 2,500 ปีมาแล้วแต่การจะกล่าวว่าพระพุทธเจ้าประสูติ เป็นชาวสุวรรณภูมิ เห็นจะไม่ถูก ลองไปอ่านชาดกพระมหาชนกดู

    สุวรรณภูมิ จึงไม่ใช่ชื่อรัฐหรืออาณาจักร แต่เป็นชื่อดินแดนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบัน ที่ขนาบด้วย 2 มหาสมุทร คือ มหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ทางด้านทิศตะวันออก กับมหาสมุทรอินเดียอยู่ทางด้านตะวันตก ส่งผลให้ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนค้าขาย หรือ “จุดนัดพบ” ระหว่างโลกตะวันตก (หมายถึงอินโด-เปอร์เซีย และอาหรับ) กับโลกตะวันออก (หมายถึงจีนฮั่นและอื่นๆ) มีความมั่งคั่งและมั่นคงแล้วมีรัฐใหญ่ๆ เกิดขึ้นในยุคต่อๆมา เช่น ทวารวดี, ฟูนัน, เจนละ, ศรีวิชัย, ทวารวดีศรีอยุธยา, ละโว้-อโยธยาศรีรามเทพนคร จนถึงกรุงศรีอยุธยา ฯลฯ ดึงดูดให้ผู้คนจากที่ต่างๆทุกทิศทางเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่ง ทำให้เกิดความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่ผสมผสานทางสังคมวัฒนธรรมและเผ่าพันธุ์จนเป็น “คนไทย” และเครือญาติชาติต่างๆในอุษาคเนย์ปัจจุบัน

    เข้าเรื่อง สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าอยู่ในกรุง เทวะทหะ เป็นเมืองอยู่ทางตะวันออกของ กบิลพัสธุ์ มีซากเมืองรองรับยืนยัน ดังนั้น ความเชื่อเรื่องท่านเป็นคนไทยนั้นไม่เป็นความจริง เพราะท่านกำเนิดในเนปาล แต่เมื่อเจริญพระชันษาแล้วทรงเดินทางไปเรียนวิชาการนั่งสมาธิ และ คำภีร์ชั้นสูงของศาสนาพราหมณ์ที่ประเทศอินเดีย ข้อพิสูทย์คือ ที่อินเดียมีสถานที่ หลักฐานรองรับจดหมายเหตุจริงๆถึงสถานที่ที่ทางเสด็จไป

    ซึ่งจะมีเสาอโศก ที่พระเจ้าอโศกสร้างไว้เพื่อสรรเสริญพระเกียรติ ดังนั้น....... ที่ใดก็ตามมีเสาอโศก คือตัวสิงค์ทรงเปอร์เซีย แสดงให้เห็นว่าที่นั้นเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า

    เคยได้ยินได้ฟังมาว่าลูกศิษย์ลูกหา บางคน สายหลวงปู่มั่น กล่าวทำนองว่า .....อินเดียมีขอทาน พวกลักขโมย และคนจนเยอะ ตลอดจนสกปรกไม่มีทางที่พระพุทธเจ้าจะไปตรัสรู้ที่นั้น.... ดิฉันจึงจะขอเรียนดังนีว่า จากประสบการณ์ที่เคยไปมาหลายประเทศ และอาศัยอยู่ในประเทศที่มีชาวต่างชาติจากประเทศประหลาดๆที่ไม่มีความสัมพันธ์กับประเทศไทย ดิฉันได้ค้นพบทฤษฏีอย่างหนึ่งว่า......เทคโนโลยี ความเจริญทางวัตถุ, ความเคร่งครัดในระเบียบวินัย อันนำไปสู่ความก้าวหน้าทางทคโนโลยี มักจะเป็นอะไรที่สวนทางกับความเจริญทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ ตลอดจนศาสนา

    คุณจะสังเกตเห็นได้ อย่างประเทศอียิป ที่มีสิ่งมหัศจรรย์ของโลก คนไทยที่เคยไปมาส่วนใหญ่ จะด่าเป็นเสียงเดียวกันว่า คนที่อียิปขี้ขโมย เห็นแก่เงิน ละประเทศ สกปรก ไร้ระเบียบ ไม่มีทางจะเป็นลูกหลานของพวกคนที่สร้างพีระมิด ดิฉันก็จะขอสวนคืนไปว่า...... ก็เพราะสังคมที่สร้างอะไรมหัศจรรย์ทางศิลปะและจิตวิญญาณอย่างอียิป และอินเดียนี้แหละ ทำให้ระบบสังคมมีการแบ่งชั้นวรรณะ และ ผู้คนมีความละเอียดอ่อนด้านจิตวิญญาณมากเกินธรรมดา จนกระทั้ง มองข้ามชีวิตประจำวัน แต่ให้ความสำคัญ กับอีกโลกซึ่งคนต่างวัฒนธรรมมองไม่เห็น สังเกตดูซิว่าประเทศไทยมีความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณมาก คนจะละเลยเรื่องชีวิตประจำวัน แต่ให้ความสำคัญกับการเตรียมตัวจะไปยังโลกวิมุติ


    และอินเดียที่เป็นต้นแบบของศาสนามากมายของโลก ผู้คนยิ่งให้ความสำคัญเรื่องจิตวิญญาณมากกว่าการทำประโยชน์ต่อสังคมในชีวิตประจำวัน

    เมือนๆกับพวกโยคี ฤาษี นักพรต สำนักต่างๆ บางท่านอยู่สำนักวิหารหนูก็จะสมาธิท้ามกลางหนูมากมาย โดยที่ไม่รังเกียจรังชังพวกหนูเหล่านั้นเลย เป็นต้น

    ถึงประเด็นเรื่องเชื้อชาติของตระกูล ศากยะ ก็ต้องชี้แจงเรื่องของชนชาติกลุ่มหลักๆของชมพูทวีปพอสังเขป ชมพูทวีปเป็นประเทศที่ใหญ่มากประเทศหนึ่ง เวลานั่งเครื่องบินจากไทยไปยุโรป คุณจะมาติดใช้เวลานานมากเวลาจะข้ามจากฟากะวันออกของอินเดียไปยังฟากตะวันตห ด้วยเหตุนี้เองอินเดียจึงมีผู้คนอยู่มากมายหลายเชื้อชาติปนกัน ประกอบกับวัฒนธรรม และ สถานที่มหัศจรรย์มากมายที่แต่ละที่ให้กลิ่นไอ แตกต่างกัน

    ตามลำดับจากกลุ่มที่ไกลจากเชื้อชาติศากยะวงค์ไปยังกลุ่มที่ใกล้

    กลุ่มแรกที่จะกล่าวถึง คือ ชาวอินเดีย อารยัน พวกนี้อาศัย อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ รูปภาพประกอบตามด้านล่าง ทิศที่อยู่ไกลจากถิ่นกำเนิดของราชวงค์ศากยะมากที่สุดในบรรดากลุ่มอื่น อยู่ ออกไปทางตะวันตก มีเมืองสำคัญทางพระพุทธศาสนาคือ " ตักศิลา"เมืองตักศิลาถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เป็นนครหลวงแห่งแคว้นคันธาระ เป็นหนึ่งในบรรดา 16 แคว้นของชมพูทวีป ที่สถาปนาขึ้นโดยชาวอารยัน มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำแคว้นและรุ่งเรืองมานับพันปี ก่อนพุทธกาลนั้นมีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ได้สร้างตักศิลาให้มีชื่อเสียงกิตติศัพท์ขจรขจายไปทั่ว พร้อมๆกับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ต่อมาตักศิลาก็ต้องตกอยู่ภายใต้อารยธรรมอีกมากมายต่อๆ มา เช่น อารยธรรมกรีก โดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช และอารยธรรมฮินดูอีกหลายราชวงศ์ แต่กระนั้นเลย ตักศิลาก็ยังแสดงความเจิดจรัสแห่งพระพุทธศาสนา

    ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ชนชาติเฮพธาไลต์ (Hephthalite) ได้ยกทัพมาตีอินเดียและทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้เมืองตักศิลาพินาศสาบสูญแต่บัดนั้น

    ชาวตักศิลา จะมีหน้าตางดงาม แบบตะวันตก, ตักศิลา กินอาณาเขตจากปากีสถาน ตะวันออกอัฟกานีสถาน ไปยังแคว้นปัญจาป ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย

    แต่ ที่ตั้งของกรุงเทวะทะที่พระพุทธเจ้าปะสูติอยู่ทางตะวันออกเฉียงเนือขงอินเดีย ดังนั้นความน่จะเป็นี่ท่านเป็นชาวอารยัน นั้นตัดออกไปได้เลย เพราะอยู่คนละทิศ


    [​IMG]


    กลุ่มที่สอง จากแคว้นทางตะวันตกเฉียงใต้ ก็ห่างออกไปจากที่ตั้งราชวงค์ศากยะเช่นกัน แต่ในย่านทิศตะวันตกเฉียงใต้นี้มีสถานที่ทางพุทธศาสนาที่สำคัญปรากฏให้เห็นสองแห่งคือ ถ้ำเอลโรร่า และอชันตา
    [​IMG]

    กลุ่มที่สาม อินเดียใต้ เป็นกลุ่มที่ตามพุทธประวัติ มีการเดินทางไปยังแทบนี้บ่อย จัดเป็นพวกลูกผสม คอร์เคซอย และนิกรอยด์ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นนิกรอยด์ครึ่งมองโกลลอยด์ และชาว เกาะอันดามันนิกรอยด์แท้

    [​IMG]

    ภาพหญิงชาวอินเดียใต้ ลูกผสม

    [​IMG]


    กลุ่มที่สี่ ตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย ก็เป็นย้านพุทธศาสนอีกเช่นกัน มีเมืองหลายเมืองที่ทรงผ่านไปเทศนาธรรม เช่นแคว้นมคธ, พารานาสี จัดเป็นพวกลูกผสม มองโกลลอยด์ กับ คอร์เคซอย และนิกรอยด์

    [​IMG]

    กลุ่มที่ห้า ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เป็นสถานที่ติดกับเนปาลเช่น กุสินารา เวสาลี ปาตลีบุตร ฯลฯ จัดเป็น ลูกผสม มองโกลลอยด์ กับ คอร์เคซอยด์
    [​IMG]

    กลุ่มที่หก ตะวันออกสุดของอินเดีย รัฐอัสสัม ปัจจุบันอยู่ในเขตแดน บังกลาเทศ เป็นที่อยู่ของชาวไท อาหม ซึ่งนับเป็นชนชาติไทยกลุ่มหนึ่งแต่นับถือศาสนาฮินดู ชนชาติไทย แต่เนื่องด้วยแม้ว่าจะอยู่ตะวันออกสุดของชมพูทวีปแต่อยู่ในอานาเขตกรปกครองของอินเดียมาช้านาน คนไทยที่นี้จึงผสมไปกับแขกบังกลาเทศ ทำให้มีหน้าตาคมคายขึ้นกว่าคนไทยทั่วไป จัดเป็นมองโกลลอยด์ ที่มีสายเลืดคอร์เคซอยด์ผสมอยู่กรายๆ แต่ถูกมองว่าเป็นชาวตะวันออกในสายตา แขกอินเดียสายเลือดร้อยเปอร์เซนต์อย่างพวก อารยันในตักศิลา และ ปัญจาป

    [​IMG]

    ในประเทศเนปาล ชนดั้งเดิมของเนปาลนั้นเป็นชาวมองโกลลอยด์ มีชนหลักๆคือ ชาวเนปาลมองโกลลอยด์ และชาวเนปาลลูกผสมจีน หรือ ธิเบต ตลอดจนคอเคซอยด์กับนิกรอยด์ที่มาจากชมพูทวีป

    จากที่ตั้งของกรุงเทวทหะที่ประสูติของพระพุทธเจ้านั้นอยู่ติดไปทางชายแดนของดินเดียมากกว่าจะอยู่กเข้าไปในเนปาล ดังนั้นความน่าจะเป็นที่พระองค์ทรงมีพระวรกายไปทางลูกครึ่งอินเดียเนปาล ตะวันออก คือ เนปาลมองโกลลอยด์ กับ คอร์เคซอยด์ และชนพื้นเมือง นิกรอยด์อันดามันซึ่งเป็นคนท้องถิ่นของชมพูทวีป กลุ่มที่ห้า ตามภาพ[/quote]


    -v9v[obfsojvp8iy[ ขอตอบนิดหน่อย ครับ ขออ้างอิง คำพูด ของหลวงพ่อครับ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ท่านก็พูดไว้ พระพุทธองค์ คือไทยอาหม ซึ่งตั้ง อยู่ในประเทศ อินเดีย

    และพระพุทธองค์ ก็ถาม หมอชีวก ตอนท่านมา เมือง ทวารวดี หรือ สุวัณภูมิ ชีวก เธอไปเที่ยว เมือง ทวาราวดี เขาพูดกันอย่างไร หมอ ชีวก ตอบว่า ภันเตภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เจริญ พระเจ้าข้า เมือง ทวาราวดี พูดแบบง่าย ๆ ภาษาโดดๆ กินก็กิน นอนก็นอน ไปไหนมาไหน หมอชีวก พูดตอบกับพระพุทธเจ้า อย่างสนุกสนาน เมื่อสมควรแก่เวลา

    หมอชีวกจึง ถาม พระพุทธองค์ว่า พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ พูดภาษา ทวาราวดีได้ เพราะ ความเป็นพระพุทธเจ้า หรือด้วย ปฏิสัมภิทาญาณ หรือเรียนมา

    พระพุทธองค์ ตอบว่า ชีวก ตถาคตนี้ หาได้พูด เพราะการเรียน หรือ เพราะ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็หาไม่ เราตถาคต พูดภาษา ทวาราวดีได้ เพราะ ด้วยโคตร ตระกูลของเราเอง ภาษาทวาราวดีนี้ เป็นภาษา ที่ พูดได้ไพรเราะ เสนาะโสต ไพรเราะที่สุดในโลก เอาแค่นี้แหละครับผม
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:โอมมะโรมกึงกักพี่น้องเจ้า เข้ามาทายทัก ตามบทบาทวิถี ถึงเวลาจรมาให้พาที

    จะเข้ามาบอกน้องเจ้าเล่าให้ฟัง จะลึกลับขนาดไหนหนอน้องเฮา มีดีขนาดไหนพี่อยากอ่านอ่ะ

    จะคอยจรจับจ้องเข้าไปอ่าน ได้เวลาจรรีต้องหนีจาก ได้พบปะเจอะกันในวันนี้

    ทุกอย่างมีมาและจากไป ตามกาลเวลาของมันที่มีอยู่ ต้องขอลาก่อนจรจาก ที่นี่เอย:cool:



    แหมไม่ได้เข้ามาที่นี่นานแล้ว กระทู้นี้ รู้สึก สลบไปนานเป็นเดือนๆ แล้วครับเข้ามาทักครับ อ,ติงๆ ผมเข้าไป เล่า เก็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ในกระทู้ของ ในหัวข้อ (เชิญเล่าประสบการณ์ ในการสร้างบารมีของท่าน)
     
  19. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    สวัสดีค่ะพี่บุญทรง
    กระทู้นี้สลบไปนานค่ะ^^
    เงียบเหงาไปเลยค่ะพี่
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...