เชิญช่วยกันระดมความคิดเห็นเรื่อง"จิต" เพื่อสัจธรรมความจริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 17 มิถุนายน 2013.

  1. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เด็กมหาลัยเค้าเอา เรื่อง แคลคูลัส มาพูดทั้งที่อยู่ในบทเรียนของเค้า
    เด็กอนุบาลมันบอกหน้าตาเฉยว่า เด็กมหาลัยพูดเกิดภูมิตน
    มันไม่ดูตัวเองเลยนะ ไอ้เด็กอนุบาลนี่
     
  2. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เอาดูกันชัด ๆ อีกที
    มันมีเหรอ เห็นเกิดดับ แล้วไปเห็นสันตติต่อเนื่องจากเกิดดับอีก
    เมื่อเห็นเกิดดับ สันตติที่ปิดไปไว้ก็ถูกเปิดแล้ว มันจะมาสันตติอะไรอีก
    ถ้าสันตติปิดไว้ มันก็เห็นเกิดดับ

    พวกที่เอามาพูดนี่ว่า เกิดดับต่อเนื่องเป็นสันตติ มันจำมาพูด
    เอาสัญญามาพูด ไม่ใช่ปัญญา

    ถ้าเห็นด้วยปัญญา ก็คือเปิดของที่ปิดออก หงายของที่คว่ำขึ้น
    สันตติปิด อนิจจังคือความเกิดดับไว้
    เมื่อเปิดออก สันตติก็ปิดบังความเกิดดับไม่ได้
    มันเห็นด้วยใจกระเทือนถึงใจนี่คือปัญญา

    เกินภูมิไม่เกินภูมิก็ดูเอาสิ
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    ยินดีที่เตือนด้วยความปรารถนาดี เพื่อไม่ให้ใครต้องขุ่นใจ

    แต่รู้มั้ยว่า เรื่องอัสมิมานะนั้น ไม่ใช่เรื่องจะวางกันง่ายๆ

    แม้พระอริยเจ้าบางระดับท่านยังติดอยู่เลย

    แล้ว"ธรรมภูติ"เป็นใคร มีหรือจะข้ามได้ง่ายๆ

    เอาเป็นว่า ถ้าคุณขันธ์ ไม่ติดเพราะคำพูดตนเอง

    เชื่อว่า ต้องเข้ามาร่วมวงไพบูลย์นี้แน่นอน

    เพราะอะไร? เพราะเรื่อง"จิต"นั้น

    เป็นเรื่องหลัก และเรื่องแรกที่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง

    ถ้าเห็น"ผิด" เสียแล้ว ก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผลที่ได้(ผิดตลอดแนว)

    เพราะการเห็น"ผิด"นั้น นำไปสู่ความหลงตนเองได้ง่าย(งมงาย)

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ!!!

    รู้มั้ยว่า คุยกับคนที่พอรู้อยู่บ้างยังพอคุยรู้เรื่อง

    แต่คุยอยู่กับคนหลงที่ไม่รู้เรื่องภาวนาเลย แต่หลงคิดว่าตนเองเก่งแล้ว เหนื่อยจริงๆ

    ขนาดเก่งเกินยังกล้าอวดดี วิจารณ์ว่าคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ว่า "มีถูกอยู่บ้าง"

    เชื่อมั้ยว่า เท่าที่สนทนามา มีคุณนี่แหล่ะ ที่น่าเบื่อหน่าย และดื้อตาใส ทั้งอวดรู้มาก

    มีใครที่บอกหรือว่าต้องบังคับลม จึงจะรู้ลม

    คำว่า "รู้ชัดว่า" ไม่ต้องคิด

    มันรู้เห็น เพราะมีสติสัมปชัญญะกำกับเท่านั้น

    รู้ กับ คิด มันคนละเรื่องกัน รู้ได้โดยไม่ต้อง"คิด" จึง "รู้ชัด"ได้

    แม้พระพุทธพจน์ก็ไม่ได้ตรัสไว้ตรงไหนเลย

    อย่ามั่วแบบคิดเองเออเอง ถ้าไม่เข้าจริงๆถามสิ อย่ารีบอยากจะอวดรู้ไปถึงไหน

    ลมหายใจที่เป็นกายสังขารนั้น ก็ชัดอยู่แล้วว่ามันปรุงแต่งกายให้เป็นไป

    เมื่อจิตที่ยังโง่อยู่ ที่ยึดร่างกายนั้นเป็นตน ก็เป็นไปกับกายสังขารนั้นด้วยใช่หรือไม่?

    อย่าบอกนะว่าตนเองฉลาดแล้ว ที่โชว์มานั้น "โง่ล้วนๆ"

    ที่ชวนให้คนอื่นคิดไปว่า "ต้องบังคับลม" จึงจะรู้ลม

    ลมหายใจนี้แปลก ยิ่งบังคับยิ่งอึดอัด(พวกภาวนาไม่เป็น)

    ถ้าประคอง"จิต"เป็น มาระลึกรู้อยู่ที่ลม เดี๋ยวลมก็จะละเอียดให้เห็นเอง

    เท่าที่อวดมานั้น ก่็โชว์ให้เห็นว่า "ภาวนาไม่เป็น"เอาเสียเลย

    ที่ถามมานั้น ธรรมภูตไม่เคยเลี่ยงที่จะตอบเลย แต่ถามไปไม่เคยได้รับคำตอบแบบชัดๆ

    การระงับกายสังขารนั้น ทำไม"จิตถึงจะมีสติสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่ได้หละ?(อย่าลืมตอบนะ)

    เมื่อ"จิต"มีสติสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว จิตไม่ยึดมั่นกายสังขารนั้น สิ่งปรุงแต่งนั้นย่อมระงับไปจากจิตของตน

    มันคนละเรื่องกันจำเอาไว้นะ กายส่วนกาย จิตส่วนจิต สังขารจะปรุงแต่งกายยังไง ก็เรื่องของกาย

    แปลกนะ ที่คิดเองเออเองขึ้นมาได้ขนาดนี้ ทำไมต้องคิดหรือ ลมหายใจมันถึงยาว ถึงสั้นได้

    ก็คนมัน"ภาวนา"ไม่เป็น แต่ต้องการอวดไปงั้นๆเอง

    ที่ตอบไปก็ชัดๆแล้วนะ ว่า"รู้ชัดว่า" ไม่ใช่ "คิดไปว่า" จะมั่วอะไรเกรงใจคนอ่านบ้าง

    อะไรที่ไม่รู้จริง หรือ ยังไม่เคยผ่าน ก็อย่าอวดมันมากหนัก จะปล่อยไก่ให้คนเห็นได้ง่ายๆ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ!!!
    ทำไงดี พวกโง่แล้วยังไม่ยอมรับว่าโง่ โง่จพำพวกที่สี่นี้ แก้ยากมาก

    ก็อย่างที่คุณพูดเองนะว่า "อะไรที่สงสัยก็ต้องถามมา ถ้าคิดเอาเองมันก็ไม่ดีอย่างนี้"

    ลมหายใจที่นิ่มนวล กับ จิตอ่อนควรแก่การงานนั้นมันคนละเรื่อง อย่ามั่วเอาสิ

    มันน่าอายจริงๆนะ ทีมั่วได้แบบ"ด้านๆ" กำลังพูดถึง"ลมหายใจ" แต่ กลับไพล่ไปพูดถึง"จิต"

    ถ้าหมดมุขจริง ก็ควรหยุดพิจารณาตนเองบ้าง

    ไม่ใช่ยังจะดันไปให้ได้ คนอะไร"ขาดความซื่อสัตย์ต่อตนเองเลย"

    ที่พูดมาหนะ ก็แสดงว่า "จิต" มันวิปัสสนามันเอง

    โดยที่ไม่ต้องมี"อานาปานสติ" ที่ทำให้"จิต"รู้จักกายสังขารดีเลยหรือ?

    จำไว้นะ ถ้ายังไม่รู้จักเรื่องฐานที่ตั้งของสติ เกิดขึ้นได้เพราะอะไร?

    ก็อย่าอวดรู้หรือสู่รู้ไปถึงเรื่องจิตวิมุตติหลุดพ้นหรือสิ้นอาสวะเลย

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน


     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ!!!...ยังอยากไม่เลิกเลยจริงๆ

    คนอะไรไปน้ำขุนๆก็ได้ ก็ถามไปว่า หัวเราะโดยไม่มีความสุขได้มั้ย? ทำไมไม่ตอบ

    อ้าว ในเมื่อมันคนละขบวนการกัน ต้องทำได้สิ ทำไมมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ทำได้ล่ะ

    รถไฟขบวนหนึ่ง มีหลายโบกี้ได้ แล้วทำไมขณะจิตที่มีความสุข

    จึงมีการแสดงออกทางร่างกายออกมาหลายลักษณะไม่ได้หละ?

    ก็อย่างที่คุณเตชะพโลพูดนะถูกแล้ว คุณยังแยกแยะไม่เป็น ยึดติดตำรา

    ในเรื่อง"กายในกาย" กับเรื่อง "ความเป็นไปของร่างกาย"มันคนละเรื่อง

    เมื่อ"ธรรมภูต"ถามไปไม่เคยได้รับคำตอบแบบตรงไปตรงมาสักที

    เพราะคุณเองกลัวความจริง ที่ตริตรองตามได้ ก็ขอยืมคำพูดคุณเองว่า

    "หากไม่ติดทิฏฐิมานะ จนย่ำอยู่กับที่ สักวันนึงในอนาคต จะเห็นเอง"

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  7. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    แต่เหตุที่ เตชพโล เห็นเป็นผัสสะตัวเดียว เพราะจิตที่ฝึกยังไม่ดี มันมีความสามารถเห็นได้แค่นั้น

    จะพูดไป มันก็เหมือนเรื่อง จอทีวี จอคอมพิวเตอร์ นั่นแหละ
    ในความเป็นจริง ภาพ มันเกิดดับ ถี่ๆๆๆ ต่อเนื่องกันตลอดเวลา เปลี่ยนไปทีละเฟรมๆๆ
    ผู้ที่จิตละเอียดพอ จะเข้าไปเห็นความเกิดดับถี่ๆ ตรงนี้ได้
    แต่จะพยายามอธิบายให้ผู้ที่ยังไม่ละเอียด เช่น ธรรมภูต กับ เตชพโล เข้าใจ ยังไงเสีย เขาก็ยืนกรานแบบของเขา

    ก็เพราะเขามีความสามารถแค่นั้น ภาพที่เขาเห็น มันก็เป็นภาพที่ไม่เกิดดับ เพราะจิตเขาเห็นไม่ทัน ก็เท่านั้นเอง

    คำกล่าวของคุณอินทรบุตรนี้น่าสนใจครับ
    เป็นการเปรียบเทียบได้ดีครับ แต่ในทางกลับกัน ถ้าตัวจอเองคือจิตละ คนจะมองเฉพาะภาพที่เกิดขึ้นและรู้เพียงมันเกิดขึ้นสับไปมาอย่างนั้น แต่ถ้ามองอีกทาง จอภาพมันก็คือจอภาพ มันส่งแสงกระพริบได้เพราะมันมีการให้พลังงาน และมันแปรเปลี่ยนไปได้เพราะระบบการทำงานหรือฟังก์ชั่น ดังนั้น ถ้าจอภาพไม่มีอะไรมาทำให้มันมีภาพยังไงๆมันก็เป็นเพียงแค่จอภาพ นี่เป็นอีกแง่มุมที่ดูน่าสนใจคั๊บ
     
  8. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เลอะเทอะ เอาจอมาเป็นจิต
    แล้วคนที่ดูที่วีนี่เป็นอะไรล่ะ

    ทีวีมันไม่มีคนดู แล้วอะไรจะไปรู้ว่ามันเกิดมันดับ

    พอกันนะพวกนี้ เลอะเทอะ
     
  9. MindSoul1

    MindSoul1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2012
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +496
    ก็เห็นอนัตตา นะสิ
    แล้วตามไปด้วย
    เนตังมะมะ เนโสหะมัสมิ : นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    <table width=100% style='font-size:10pt;' ><tr bgcolor=blue><td><font color=white>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 6 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]</font></td></tr>
    <tr><td><font color=blue>
    ธธธธ*, วิมุตติ, อินทรบุตร, จิตสิงห์ </font></td></tr>
    </table>
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    จิตของเตชพโล ยังหยาบอยู่มาก เห็นสภาวะเกิด ดับ ในชั้นสมมติ อุปาทานเกิด ดับ แบบไม่ถี่

    ในเมื่อเห็นลักษณะของ "ผู้พูด" โดยไม่ชัดเจน ยังแยกสภาวะเบลอเลือน ของการยึดอุปาทาน กับการเกิดจริง ของ"ผู้พูด" ไม่ออก

    แล้วตัว "ผู้พูด" นี่แหละ ที่เป็นผู้บัง "ผู้ฟัง"
    แล้วเตชพโล จะเอาอะไรไปเห็น "ผู้ฟัง" ในเมื่อการเห็น "ผู้พูด" เตชพโล ยังทำแทบไม่ได้เลย

    ในเมื่อไม่มีทางเห็น ก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่า "ผู้ฟัง" เป็นลักษณะอย่างไร ดังนั้น การมากล่าว่าผู้ฟังเป็นลักษณะอย่างไร มันก็เป็นแค่จินตนาการ ของเตชพโล เท่านั้นเอง

    ถ้าเตชพโล กับ ธรรมภูต จะแย้งว่า พระพุทธองค์ได้กล่าวสอนไว้ จะยกพระไตรปิฏกขึ้นมา ถ้าจะทำเช่นนั้น

    ผมก็จะต้องอุปมาเรื่องนี้ เหมือน การค้นพบภาพเขียนของมนุษย์โบราณ บนผนังถ้ำ

    ภาพเขียนเหล่านี้ มันก็จะวาดถึงสัตว์ในยุคนั้น แต่ภาพนั้น ก็เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ตัวแทนของสิ่งนั้น หากไม่ค้นพบซากในน้ำแข็ง ก็จะไม่มีวันรู้ว่าสิ่งนั้นที่แท้จริงหน้าตาเป็นเช่นไร ก็จะทำได้แค่จินตนาการเอาเฉยๆ

    ในเมื่อปริยัติ ยังเข้าใจผิด ปฏิบัติยังเหลว จะเอาอะไรมาเป็นปฏิเวธ?
     
  12. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    เกิดดับ ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ไม่ใช่นิมิตใปรู้ภาพหรือสี

    แต่รู้ได้ที่ทวารใจ หมายถึงสภาวะมีอยู่ ปัญญาเป็นตัวเข้าใจสภาวะนั้น

    อันที่จริง คำว่าเกิดดับ ใช้กันมากในวงการวิปัสสนา แต่สภาวะจริง เป็รเรื่อง อุปาท ฐีติ ภังค

    คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป


    หากใช้ความคิดเยอะ ความคิดนั้นก็จะปกปิดปรมัตถ์ ความเป็นรูปนาม

    แล้วก็อนุมานเอา โดยเข้าใจเอา เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวคิด เด๊๋ยวชอบ เดี๋ยวชัง

    ซึ่งเป็นสภาวะที่เป็นอดีตผ่านไปแล้ว แล้วมาระลึกได้ภายหลัง มาเข้าใจเอาว่า นี้คือความเกิดดับ

    ตรงนี้ไม่ถือว่าประจักษ์ประสพการณ์ การเห็น


    อันที่จริงปัญญาในเบื้องต้น ยังติดนิมิต ยังพะวงถึงสัณฐานต่างๆในกาย หรือเรื่องราวคิดนึกอยู่

    เห็นเป็นเรากำหนด เรารู้สึก รู้สึกว่าเราเดิน นี้คือเท้า นี้คือเรายินดี

    เมื่อกำหนดรู้อย่างต่อเนื่องในสภาวะอารมณ์ที่ปรากฏ

    ไม่นานก็สามารถเพิกบัญญัติไปรู้ที่ความรู้สึก

    ก็ในความรู้สึกนี้ ยังฉาบทาด้วยเป็นบัญญัติ เช่น ขณะภาวนา รู้สึกสุข

    ขณะนั้นความเคยชินในเวทนา เห็นสภาวะสุขนั้นเป็นเราสุข แล้วเสพคุ้นในความรู้สึกนั้นๆ

    โดยไม่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นของที่ถูกรู้อยู่

    ทีนี้เมื่อสูงขึ้นไปอีก จากความรู้สึกเป็นอาการปรมัตถ์ คือ ระหว่างเห็นและสี เสียงและได้ยิน แข็งและรู้แข็ง

    สุขและรู้สุข ปัญญาขณะนี้เข้าเขตปรมัตถ์เพิกบัญญัติ มีนามรูปเป็นอารมณ์

    ขณะนั้นหมายรู้ และสิ่งที่ถูกรู้ ไม่มีนิมิต ความเป็นคนสัตว์ เป็นเราของเรา ให้รู้สึก

    ให้กำหนดรู้ต่อเนื่อง มีความเพียรรู้ไปให้ตลอดสาย ตรงนี้สัมปธานจะเริ่มมีบทบาทชัดในการกำหนด

    ด้วยความเพียรไม่ขาดสาย กำหนดอย่างต่อเนื่อง สติ สมาธิก็ตั้งมั่นอยู่ในขณะนั้น

    ปัญญาจะเห็นสภาวะธรรมที่ถูกกำหนดรู้ในขณะนั้น โดยลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

    เมื่อตามดูอย่างต่อเนื่อง เช่นสภาวะกำหนดอิริยาบถ

    ขณะเอื้อมมือจะเห็นการเกิดดับอย่างถี่ยิบของลักษณะวาโยธาตุที่เคลื่อนไป

    จิตที่รู้เคลื่อนก็เป็นคนละขณะกับวาโยธาตุ ก็เกิดดับไปพร้อมกันไม่ขาดสาย

    ขณะประจักษ์ประสบการณ์เห็นเกิดดับไม่ขาดสาย ในช่วงเวลาสั้นๆ

    สำหรับครั้งแรก ผู้กำหนดอาจเกิดปิติขึ้นมา ก็ให้กำหนดรู้ปิติจนดับไป คลายไป

    การเห็นในชั้นนี้ จะเพิ่มศรัทธา เพิ่มความมั่นใจรู้ว่าอะไรคือทาง อะไรไม่ใช่ทาง

    ขณะนั้น สติ สมาธิ ความเพียร ศรัทธา ปัญญา ยิ่งคมกล้า

    กำหนดรู้เนืองๆ เห็นการเกิดดับเช่นนั้นเนืองๆ ปัญญาจะประจักษ์ขึ้นไปอีกสภาวะ

    คือเห็นถึงลักษณะ ความไม่เที่ยง ความมีอยู่ไม่นานก็เสื่อม ไม่สามารถบังคับนามรูปได้เลย

    สภาวะเช่นนี้เป็นการเห็นไตรลักษณ์ แต่เป็นไตรลักษณ์ในระดับเข้าใจสภาวะ

    แต่ยังไม่มีกำลังมากพอที่จะเพิกรูปนาม


    ใครที่เห็นการเกิดดับในระดับนี้ จะมีอนิจจัง ทุกขัง หรืออนัตตาเป็นอารมณ์

    เมื่อสติระลึกได้ ก็จะเห็นธรรมโดยลักษณะปรมัตถ์ เห็นโดยรู้และสิ่งที่ถูกรู้

    ดูไปก็เห็นมันดับ มันดับ สิ่งที่ถูกรู้ดับ รู้ก็ดับ ยิ่งกำหนด ยิ่งเห็นความดับชัดขึ้น มากขึ้น ถี่ขึ้น นานขึ้น

    ในระดับนี้ เห็นความดับอยู่ส่วนเดียว



    สังเกตุดีๆ ปัญญาจะประจักษ์การเกิดดับ

    โดยสภาวะตัวมันเองที่ทนต่อสภาวะตัวเองก็ไม่ได้ และ โดยปัจจัย สิ่งหนึ่งเกิด สิ่งหนึ่งดับ

    เป็นปัยญาในระดับ ปัจจยปริเฉทญาณ เพื่อคลายความเห็นผิดกายเที่ยง จิตเที่ยง

    ในชั้นนี้ จัดเป็นทิฏฐิวิสุทธิ
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ^^ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    จริงๆ ที่ผมไม่ตอบเพราะว่า นักปฏิบัติ เอาแค่ขั้นกลาง เขาก็เห็น และทำได้นะ ไอ้กายหัวเราะไป แต่ใจมันเฉยๆ เนี่ย

    คือ มันพื้นฐานมากๆ จนไม่จำเป็นต้องพูดนะ ไอ้เรื่องการที่จิตนิ่งอยู่ในอารมณ์แห่งการระลึกอยู่ แต่ใจไม่ได้ไหลเข้าไปจับสภาวะใด
    แค่ทรงสมาธิให้ได้ตลอดในชีวิตประจำวัน มันก็เป็นเช่นนี้แล้ว

    ถ้าธรรมภูต คิดว่ามันแปลกประหลาดมาก แสดงว่า ไม่เคยทำมันได้หนะสิ ถึงคิดว่ามันแปลกประหลาด

    ผมก็ว่าอยู่นะ ทำไมคุยกับธรรมภูต คุยกับเตชพโล แล้วรู้สึกเหมือนคุยกับเด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาลนี่ เวลาเราพูดอะไรที่เขายังไม่เคยเห็นนะ แล้วเขาคิดว่าเป็นเรื่องแปลก เขาจะทำท่าประหลาดใจมากเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  14. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    โพสต์ที่ถูกอ้างถึงนี่
    มันกล่าวถึงผู้พูด ผู้ฟังอะไรที่ไหน
    กล่าวถึง สันตติ ปิดบัง อนิจจังไม่ใช่เหรอ

    มันมีผู้พูด ผู้ฟัง มาบังอะไรกันเหรอ
    ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจก็ถาม

    ุคุยยังไงมันก็ไม่รู้เรื่องหรอกอย่างนี้
    เอ้าดูกันจะจะ เลย
    ในโพสต์มันมีผู้พูด ผู้ฟังมั้ย
    แล้วผู้พูด ผู้ฟังนี่ มาบังอะไรกันมั้ย

    เอ้า ดูเอา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  15. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุ ขอบคุณครับ ผมว่าอธิบายได้ดีเลยครับ ใช้อุปมาอธิบายในส่วนสมมติบัญญัติของสภาวะ ที่รวมเอาผัสสะย่อยๆ เข้ามาเป็น 1 หน่วยสมมติ ที่จิตรับรู้ได้เลยนี่ครับ
     
  16. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    ถึงบอกไง ว่ายังไงก็ต้องรู้รูปนามเป็นอารมณ์ก่อน

    อะไรไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล

    ถ้าไปรู้ความไม่เที่ยงเลย ย่อมไม่ใช่ฐานะ

    จิตผู้ก็จะน้อมไปที่สัณฐาน นิมิต บัญญัติมาเป็นอารมณ์

    ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงธรรมชาติวิปัสสนา ประจักษ์ความเกิดดับได้ ^^
     
  17. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ก็รูปนามมันเกิดมันดับ
    ถ้าไม่ดูรูปนามจะให้ดูอะไรล่ะ
     
  18. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เตชพโล พูดถึงเรื่อง จิต ไม่เกิดไม่ดับ ไม่ใช่หรือ ใน post แรกสุดของกระทู้นี้

    แล้วจิต ใน post นั้น เตชพโล ก็หมายถึง "ผู้ฟัง"

    ดังนั้นแล้ว ที่ผม post นี่ ย้อนความไปถึงกระทู้นั้น ว่า การที่ เตชพโล จะมาบอกคนอื่นว่า "ผู้ฟัง" หรือ จิต ที่แท้จริง นี่มีลักษณะยังไง เตชพโล ทำไม่ได้ เพราะ เตชพโล ยังเห็นสิ่งที่บดบังจิตแท้จริง ยังเห็นไม่ละเอียด ยังเบลอๆ อยู่เลย ในเมื่อแค่สิ่งที่ปกปิด ยังเห็นไม่ละเอียด จะเห็นภายในได้อย่างไร

    รบกวน เตชพโล บอกหน่อยนะครับ ว่าช่วงเวลาเก็บความทรงจำ (memory span) ของเตชพโล สั้นขนาดไหน คราวหลัง ผมจะได้ยกเรื่องมาคุยได้ถูก เรื่องอะไรที่มันผ่านไปนานเกิน 24 ชั่วโมง เตชพโล อาจจะลืมไปหมด

    ก็ไม่ได้ว่าอะไร อาจจะเป็นกรรมเก่าของเตชพโล ที่เกิดมาชาตินี้ สมองไม่สามารถเก็บความทรงจำได้นาน ตรงนั้นไม่ว่ากัน แต่ขอให้บอกว่า เก็บความทรงจำได้นานเท่าไหร่ คราวหน้าจะได้คุยกันได้สะดวกไม่ต้องย้อนความไปมา
     
  19. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เลอะเทอะไปใหญ่แล้ว
    ไปอ่านดูให้ดีไป

    แต่ละโพสต์มันก็คนละเรื่องกัน

    เอานะผมขอตัวแ้ล้ว คุยกับคนเลอะเทอะมันไม่ได้เรื่องอะไรล่ะ
    เอานะขอตัวก่อน
     
  20. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    จะบอกว่าแต่ละ post มันคนละเรื่องกัน ก็คงไม่ได้หรอก

    เพราะทั้งหมดนี้ มันอยู่ภายใต้ หมวดหัวข้อการพยายามชักชวนให้ จินตนาการ ของธรรมภูต ภายใต้กระทู้ "เชิญช่วยกันระดมความคิดเห็นเรื่อง"จิต" เพื่อสัจธรรมความจริง"

    อีกอย่างหนึ่งนะ

    เวลาเตชพโล คุยกับคนรอบข้าง เตชพโล บอกว่า การคุยนี่ มันต้องจบ หนึ่งเรื่อง ในการพูดครั้งเดียวหรือ?

    ถ้าเช่นนั้น เวลาเตชพโล สื่อสารกับใคร เตชพโล ก็ต้องพูดยาวๆ ไม่หยุดเลยถูกต้องไหม?
    ถ้าเตชพโลหยุดพูดครั้งหนึ่ง เตชพโล ก็ไม่สามารถพูดต่อเรื่องเดิมได้เลย เตชพโลไม่สามารถหยุดพักหายใจระหว่างการพูดได้เลย ถูกต้องไหม?

    การสื่อสาร ที่ มนุษย์ปกติ เขาทำกัน เป็นการสื่อสารสองทางหรือเปล่า? มีการพูด หยุด ฟัง คิด แล้วพูดสื่อสารใหม่ เป็นเช่นนี้ไหม?

    คนรอบข้างเตชพโล เคยบอกบ้างไหม ว่าเตชพโล มีอะไรบางอย่างผิดปกติ?
    PM มาคุยกับผมก็ได้ ผมยินดีช่วยเท่าที่ทำได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...