เจตสิก ๕๒ เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต อาศัยวัตถุเดียวกับจิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 14 กรกฎาคม 2012.

  1. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    บ่นไรอ่ะ
    เยอะอีกแระ
    ใ่ส่ไปประโยคเดียว สวนมาซะเยอะเชียว

    เยอะนะเราอ่ะ
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    เอ..เอาซักประเด็น

    เอ้ย นี้รูป เอ้ย นี่นาม รู้แบบนี้ป่าว เรียกว่ารู้ความเป็นรูปนาม
     
  3. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    คำถามคล้ายกัน ขอตอบรวมเลยนะ

    พระอรหันต์สาวกรู้ธรรมเพราะฟังธรรมพระพุทธองค์

    หลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่ หลวงน้า หลวงอา ที่รู้เห็นธรรมก็มาจากธรรมพระพุทธองค์

    สาวกอาจรู้ธรรมถึงธรรม แต่ก็เป็นไปเฉพาะทาง แล้วเอาทางที่รู้เฉพาะมาสอนสาวกรุ่นหลัง

    ซึ่งอาจจะถูก หรืออาจจะถูกจริตบางคน กับบางคนอาจยิ่งหลงทาง

    ก็ในเมื่อเวลานี้ธรรมยังมีให้ศึกษาอยู่ ก็ควรศึกษาเถิด
     
  4. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    พูดมาก็ถูกอยู่ ไม่ใช่เรื่องที่ว่า ออกมาโจมตีให้พังไปข้าง1สักหน่อยนะ เเล้วก็ไม่ได้มีใครพูดออกว่านี้ไม่เป็นธรรม ไม่ใช่ธรรม ถ้าฟังเอามันอะใช่อยู่ก็ส่วนมากเเล้วคนเลวก็มักจะปนเข้ามาได้อยู่ คุณเคยได้ยินคำนี้มั้ยพระพุทธเจ้าพูดตรงกับบัณฑืต ส่วนบัณฑิตก็พูดเหมือนกับพระพุทธเจ้า พระอรหันสมัยก่อนท่านก็พูดคำของพระพุทธเจ้า สาวกก็จะพูดเหมือนกันหมด ส่วนฆราวาส ที่ฟังคำสอนก็คือฟังคำของพระพุทธเจ้า ก็จะเข้าใจตรงกัน ส่วนพระธรรม ก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ถ้าคิดเเบบนี้ก็ไม่ผิดประการใดใช่มั้ย ก็ไม่ได้เป็นการกล่าวตู่ว่าไม่ใช่ธรรมอะไร
    เเต่ถ้าพูดสิ้งที่ไม่ได้ทรงตรัสไว้ เเละสั่งห้ามนั้น หรือว่าพูดเกินจากที่ทรงตรัสไว้
    เป้นสิ่งที่ไม่บัญญัติมาก่อน ไม่มีมาเเล้วไม่สามารถตรวจสอบได้ ตรงนี้ละก็คือ สาวกบัญญัติ ก็คือธรรมอยู่ เเต่จะฟังข้างใครเท่านั้น ถ้าจะบอกว่ามาชี้ผิด ชี้ถูก
    เเต่ต้องดูที่พระองค์ทรงสั่งไว้ เป็นพระราชดำรัสที่พระองค์ให้ทำ ให้เช็ค ให้ดู เเละให้ศึกษาคำของตถาคต จะได้เป็นประโยชน์ ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็ทำให้
    ปรากฏได้ เพื่อกันพระสัทธรรมไม่ให้เสื่อมหาย บิดเบือน
    ถ้าเกิดว่าชาวพุทธะไม่มีใครทำตามตามพระราชดำรัส เเล้วใครกันละที่จะทำ ก็จะมีพวกไปประกาศ ว่าไม่ศึกษานี้ไม่รอดเเน่ ไปโยงกับวิปัสสนา อะไรต่างๆ พวกนี้จะเป็นพวกเชื่อคนง่าย เช่นมีคนมาบอกว่าเป็นพระศรีอริยเมตไตร ก็เชื่อเเบบหูตามิดบอด ถ้าเป็นมดมาอ้างก็คงลงไปกราบขอเป็นสรณะไปเเล้ว เราจึงต้องมีสติตรองดูก่อนถ้าให้ทำอะไรก็ทำไป ให้เเก้ที่คนไม่ได้ใช้ว้าไปเเก้ที่สูตร นั้นสรุปเรื่องนี้ ก็ดูให้รอบก่อนว่าจะไปทางไหน ถ้าโลเลอยู่ มันก็จะอาจจะถูกทาง ก็ที่เดียวกัน เเต่ถ้าผิดหน่อยตรงนี้ก็เเล้วเเต่กรรมนั้นละ
     
  5. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เห็นมันบ้างไหม
     
  6. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    เห็นมันบ้างไหมล่ะ

    รู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้

    รู้ขณะคิด รู้ขณะกระทบ รู้ขณะที่รู้สึก ฯลฯ ไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่รู้อยู่ขณะนี้ ^^
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เอ่า น้องโหน่งก็บอกมาซิ ว่าทำยังไง
    ไปอ่านเอา จำอักษร สภาวะธรรมให้ได้ทุกคำ ทุกความหมาย
    นั่นเรียกว่า สัญญาเป็นเหตุให้ให้สติอ๊ะป่าว

    โอ้วฉันจำได้แล้ว นี่เวทนาเจตสิก นี่โมหะมูลจิต นี่ธาตุ 4
    แล้วต้องมาอ่านซ้ำให้จำได้อีกไหม เมื่อจำได้แล้ว

    หรือต้องมาอ่านซ้ำอีก อ่านอักษรซ้ำ จำอักษรได้หลายๆเที่ยว แล้วบอกว่า มีสติ อย่างนั้นป่าว แบบนั้นเรียกสัญญาเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติอ๊ะป่าว
     
  8. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    รู้ขณะคิด กับ รู้ขณะกระทบ มันอันเดียวกันป่ะ

    กระทบได้ตั้ง 6 คู่ 12 ทาง
     
  9. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075

    เอางี้สิคุณเหมียว

    เขาว่า ธรรมที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก จะสูญหายก่อน เพราะบริษัทล่ะเลยมุ่งคำสากวรุ่นหลังเป็นส่วนใหญ่

    ซึ่งอภิธรรมจะสูญก่อน ต่อมาคือพระสูตร ต่อมาคือพระวินัย

    จนเหลือแต่ ปาราชิก ๔ ก็ถือกันแล้วว่านั้นคือพุทธศาสนา


    ขณะนี้พระไครปิฏกอยู่ครบรุ่งเรืองดี มีหลายแหล่งให้เลือกศึกษา

    มีอรรถกถาคอยขยายความให้

    แต่ด้วยอาจจะเจตนาดีของคุณเหมียว ที่พยายยามเอาอภิธรรมออกไป

    เอาอรรถกถาออกไป เอาพระสูตรที่มีคำพระอรหันต์สาวกออกไป

    จนเหลือพระไตรปิกฏขนาดพกพา อุดมไปด้วยอักขระที่ตนอยากเห็น

    จนไม่อาจเรียกได้ว่า สามปิฏก ก็ไม่ว่ากันครับ

    เพราะผู้เห็นความสำคัญในพระไตรปิฏก เขารู้ว่า หัวใจพุทธศาสนา คือพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ก็มีอยู่

    นั้นแลพระธรรม จักเป็นศาสดาแทนเราตถาคต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2012
  10. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    คล้ายน้าปราบเปิดเทป ทั้งฟัง ทั้งจำ ทั้งพิมพ์ ทั้งเผยแพร่ ทั้งถาม ทั้งตอบ

    ขณะปรากฏสภาวะธรรม ขณะนั้นมีสติระลึกได้ในสิ่งที่พิจารณามาบ้างไหม

    หรือต้องกลับไปเปิดเทปก่อน ^^
     
  11. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ตรงนี้ รู้สึกจิตตินนท์จะล้ำน้าปราบแล้วล่ะ ^^

    สภาวะธรรมที่ปัญญาแยกได้ รู้ได้มันเฉือนกันนิดเดียว มันบางมากน่ะจ๊ะ ^^


    เดี๋ยวจะว่าพูดกั๊ก บอกให้ก็ได้

    อายตนะภายนอกก็สิ่งหนึ่ง อายตนะภายในก็สิ่งหนึ่ง

    โดยสภาวะนั้น เกิดพร้อมกันหมด แต่ปัญญาเข้าไปรู้ได้ แยกออกมาเป็นกองๆ เป็นขันธ์ เป็นธาตุ เป็นอายตนะได้ในขณะนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2012
  12. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ไม่คล้ายหรอก เพราะ วิธีเข้าแค่ แค่รู้

    ไม่ได้ไปนั่งแยก ว่านี่รูป นี่นาม นี่ธาตุแข็งอ่อน
     
  13. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ยินดีเสมอล่ะ :cool:
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แล้วเคยได้ยินหรือเปล่าหละว่า

    คนที่ทำให้ สูญหายหนะใคร

    พระพุทธองค์ตรัสชัดเจนว่า บุคคลภายนอกทำให้สูญไม่ได้ เพราะ ไม่รู้จักแต่ต้น

    ดังนั้น คนที่ทำให้สูญหายเนี่ยะ ก็ คือ คนในทีแจ้วๆ อยู่นี่แหละ ทำให้
    สูญหายฉับพลันทันทีที่อ้างว่ารู้ถ้วนในสิ่งที่กล่าว

    ถ้า กล่าวออกมาแล้ว บอกต่อสาธุชนเขาว่า จำเขามานะ ไม่ใช่ รู้ถ้วน แบบนี้
    ก็จะพอรักษาไว้ได้

    แต่ถ้า มีใครสักคนบอกล่าวว่า รู้ถ้วนในสิ่งที่กล่าว ทั้งๆที่ ยังไม่ได้ทำให้
    เกิด เห็นแจ้ง เห็นจริง ไอ้อันนี้ พระพุทธองค์ บอกตรง อันตรธานสูตรว่า

    เมื่อภิกษุรูปสุดท้ายละเมิดศีล พระศาสนาก็อันตรธาน ทันที !!!

    ดังนั้น

    พิจารณาเอาเองว่า ซักซ้อม อะไรอยู่
     
  15. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    แตกไปเถิด นิจจัง ฆนะสัญญา ความเห็นว่าเป็นคนสัตว์ ตัวตนบุคคลน่ะ
     
  16. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    เอาอย่างนี้นี้ดีกว่า จะบอกอะไรให้สั่นๆนะ เป็นตัวอย่าง ไม่พูดอะไรเเละ เเต่อย่าไปก้าวก่ายท่านเหมือนอย่างที่ อภิธรรมพวกอื่นชอบทำนะ เดียวจะเป็นเปรต คุณก็ต้องลองไปหาดูว่าทำไม
    ท่านพุทธทาส ทำไมท่านถึงได้เป็นบุคคลสำคัญของโลก เพราะท่านได้เเยกคำของสาวกที่อรรถกาออกจากพระสูตรไง ... เรื่องง่ายๆ
    ใช้เวลาในการทำ ด้วยความเพียร คนเดียว 22ปี ถึงเสร้จ ในการเเยกคำออกเเล้ว ทรงนำคำที่ตถาคตตรัสไว้ดีเเล้วนั้นเก็บไวอย่างเดียว ไม่มีอะไรมาผสม เป็นเเนวทางที่ดีทำให้ อาจารย์ใหม่ๆก็เริ่มที่จะทำเเละศึกษาเเต่คำตถาคตเเบบท่านเเละ
    5เล่มของพระพุทธทาส ผู้ที่ศึกษาบอกกันว่า ก็จะเข้าใจได้ด้วยดี เพราะคำพระองค์หมด จะสอดรับกันไปหมด
    เเต่ก็ว่าไม่ใช่ว่าทำนทำจนหมดนะ ยังเหลือที่ไม่ได้ทำนั้นมีอยู่ ส่วนมากก็มีเเต่อรรถกาทั่งนั้น
    ในแผนผังที่เเสดง ก็มีคำพระองค์ส่วน1 อถกาถาส่วน1 นั้นละ ครึ่งต่อครึ่ง เลยไม่อยากเอามาให้ดู เดียวจะงงไปใหญ่ เพราะ ต้องมีผู้ที่เค้าดูเป็นถึงจะดูออก
     
  17. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    วิปัสสนาภูมิหก
    ขันธ์5 อายตนะ12 ธาตุ18 อินทรีย์22 อริยสัจ4 ปฏิจจฯ12

    การเรียนวิปัสสนากรรมฐานนั้น ต้องเรียนศีลและสมาธิจนปฏิบัติได้มาก่อน หรืออาจเรียนไปพร้อมกันก็ได้ ซึ่งอาจจัดช่วงของการเรียนตามมหาสติปัฏฐานสูตรอรรถกถาได้เป็น 2 ช่วงใหญ่ คือ
    1. ช่วงปริยัตติ
      1. อุคคหะ คือ การท่อง เพื่อทำให้จำวิปัสสนาภูมิ อันได้แก่ ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท อาหาร เป็นต้นได้ โดยเลือกท่องเฉพาะส่วนที่สนใจก่อนก็ได้และต้องจำให้คล่องปากขึ้นใจพอที่จะคิดได้เองโดยไม่ต้องเปิดหนังสือ.
      2. ปริปุจฉา คือ การหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ได้รายละเอียดของวิปัสสนาภูมินั้น ๆ เพิ่ม ซึ่งอาจจะสงสัย หรือ ติดขัดอยู่ โดยอาจจะเปิดหนังสือค้น หรือไปสอบถามจากอาจารย์ผู้เชียวชาญชำนาญในสาขานั้น ๆ ก็ได้.
      3. สวนะ คือ การฟัง หรือ อ่านคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก เพื่อทำความเข้าใจหลักธรรมะโดยรวม ให้สามารถมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน.
      4. ธารณะ คือ การจำธรรมะ ตามที่ได้อุคคหะ ปริปุจฉา สวนะมาได้ เพื่อจะนำไปพิจารณาในช่วงปฏิบัติต่อไป.
    2. ช่วงปฏิบัติ
      1. สังวระ คือ การปฏิบัติศีล.
      2. สมาปัตติ คือ การปฏิบัติสมาธิให้ได้ อุปจาระหรืออัปปนา.
      3. สัมมสนะ คือ การปฏิบัติวิปัสสนา คือ พิจารณาปัจจัตตลักษณะและสามัญญลักษณะด้วยการคิดหน่วงเอาธรรมะที่ได้ปริยัตติมานั้นมาแยกแยะหาความสัมพันธ์กันด้วยปัจจัตลักษณะ และเพ่งไตรลักษณ์ ในธรรมะที่ได้ปริยัตติมานั้นอีก ด้วยวิปัสสนาญาณซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า ธัมมนิชฌานักขันติญาณ. ในที่นี้ เฉพาะสัมมสนะนี้เท่านั้นที่เป็นช่วงปฏิบัติวิปัสสนา.
    สถานที่สำหรับเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ตามมหาสติปัฏฐานสูตรบรรยายไว้สามแห่ง คือ ป่า โคนต้นไม้ ที่ว่างเปล่า (สุญญาคาร เรือนว่าง) แต่พึงทราบว่า ตามกัมมัฏฐานคหณนิทเทส ในวิสุทธิมรรคนั้น เนื่อจากท่านกล่าวอุปสรรคของวิปัสสนาให้มีแค่อย่างเดียว คือ การฝึกทำฤทธิ์เดชมีการเหาะเหิรเดินอากาศเป็นต้น (ถ้าแค่ฌานนั้นไม่นับเพราะง่ายกว่าฤทธิ์มาก) ฉะนั้น วิปัสสนาจึงปฏิบัติได้ทุกที่ แต่ที่ๆเหมาะสมที่สุด และควรจะหาให้ได้ ก็คือ ป่า โคนไม้ เรือนว่าง ห่างไกลคน โล่ง ๆ นั่นเอง เพราะจะทำให้ศีลและสมาธิดีกว่ามากมายยิ่งนัก ปัญญาก็จะกล้าขึ้นได้ไวไปด้วยเช่นกัน.

    วิปัสสนากรรมฐาน - วิกิพีเดีย
     
  18. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ก็คงจะเข้าทางน้าเอก สำหรับการนิ่งเงียบไม่ต้องบอกไปกล่าวอะไร

    ใจความหลักคือ ไม่จำเป็นต้องไปแยกพระไตรปิฏกเลย

    หากสนใจพระพุทธพจน์ ก็พิจารณาในส่วนพุทธพจน์ก็ได้

    หรือศึกษาคู่ไปอรรถกถาเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นก็ได้



    ถ้าน้าเอกเห็นดีกับการแยกเหล่านี้ ก็เป็นทางของน้าเอกไป
     
  19. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    จะขอยกตัวอย่างสัก ๑ ประเด็น แต่จะเข้าใจได้หรือป่าวไม่รู้ เช่น ทางทวารตานะ
    ๑. จักขุปสาท เป็น รูป
    ๒. รูปารมณ์ หรือสี เป็น รูป
    ๓. จักขุวิญญาน เป็นนาม

    ๑.๒. กระทบกันย่อมไม่รู้อะไรเลย เพราะทั้งสองเป็นรูป

    ๑.๒.๓. กระทบกันจึงจักขุวิญญานเกิดขึ้น ตรงนี้ทั้งสามมาประชุมพร้อมกันเรียกว่าผัสสะ(พักไว้ก่อน)

    จักขุวิญญานเกิดขึ้นเพื่อรู้รูปารมณ์ที่กระทบที่จักขุปสาท ที่นี้เจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตปรุงแต่งรูปารมณ์ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
    เช่นเห็น เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ จิตรู้ดังที่เจตสิกปรุงแต่ง ว่า คน สัตว์ สิ่งของ (พักไว้ก่อน)

    จักขุปสาท(ตา)ก็ไม่เห็น ที่เห็นคือ จักขุวิญญาน (จิต) ทั้งสองนี้ได้แก่ รูปกับนาม
    อธิบาย ที่บอกว่าตาไม่เห็นรูป ที่เห็นรูปได้คือจิตนั้น
    เช่น คนนอนหลับแต่ลืมตาอยู่ ขณะนั้นถามว่าตามีไหม ? (ตอบว่ามี)
    รูปารมณ์มีไหม ?(ตอบว่ามี) ถามว่าตาเห็นรูปไหม?(ตอบว่าไม่เห็น)
    แล้วทำไมไม่เห็น (ตอบว่าเพราะไม่มีจิต) แล้วจิตตอนนั้นอยู่ไหน?(ตอบว่าจิตไปอาศัยภวังคจิต เพราะจิตไม่ได้อาศัยตาจึงไม่เห็น)
    พอจะเห็นได้บ้างไหมว่าการเห็นเกิดขึ้นครั้งหนึ่งจึงมีรูปนามเกิดขึ้นพร้อมกัน หรือเรียกว่ารูปนามเกิดทางตา
    ที่จะให้ละเอียดขึ้นไปอีกก็คือขันธ์ ๕ ก็เกิดที่ตาเช่นกัน
    อธิบายว่า
    รูป ได้แก่ จักขุปสาทกับรูปารมณ์ที่กระทบกัน
    นาม ก็ได้แก่จิตที่มีขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาน
    การอธิบายแบบเขียนขึ้นอาจเข้าใจยากไม่เหมือนสนทนากันในห้องเรียน อันนี้ง่ายพูดซ้ำๆก็ได้ไม่เข้าใจถามกันเดียวนั้นเลย

    ไม่รู้จะเข้าใจได้หรือป่าว ส่วนทวารอื่นก็ทำนองเดียวกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กรกฎาคม 2012
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้

    อนึ่ง กูลสีอารยะบุตร พึงทราบว่า ถอยคำที่เป็น บัญญัติที่ปรากฏ ย่อมปรากฏ
    พร้อมทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง และ อย่างที่สุด ในกาลปรากฏของบัญยัตินั้นๆ

    ดังนั้น

    พึงทราบว่า

    ป่า หมายถึง ทิฏฐิ

    โคนไม้ หมายถึง สังโยชน์5

    เรือนว่าง หมายถึง สังโยชน์เบื้องปลาย

    -**********

    ปล.ลิง : เอามาจาก เซ็งประถมเถรอาราวาท F=9E ( รู้จักเป่าหว่า คนนะ เขาเป็นคน
    แต่ด้วย oral-b จึงเขียนให้แปลกๆ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...