เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. Soul Collector

    Soul Collector เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +610
    อ่านแล้วได้ความรู้เยอะแยะมากมายเลยครับน้าขวัญ ตอนนี้ผมกำลังอมยิ้มอย่างมีความสุขเพราะเคยบอกผู้คนไปเยอะแล้วว่าทองจะแพงแล้วจะแพงไปสุดกู่เลย ดีที่ผมช้อนเก็บของจริงมิใช่เศษกระดาษเอาไว้พอสมควร ไม่มากเพราะเงินของบุพการีครับ ^_^ ผมนั่งดูดีวีดีของปู่ลินซีย์วิลเลี่ยมสามแผ่นสองวันครึ่ง นอนสะลึมสะลือตาปรือมาหลายวันแระ อิอิ
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทัพเรือพร้อมขนอาวุธนำวิถีฝึกซ้อมรบติดชายแดนไทย-กัมพูชา

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>24 กุมภาพันธ์ 2554 05:27 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>พล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ทหารเรือฝึกความพร้อมกำลังพลให้เป็นหนึ่งเดียว ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ให้เกิดความคุ้นเคย ไว้รองรับสถานการณ์อันจะเกิดได้ในปัจจุบัน เตรียมขนเรือหลวง ปืนใหญ่ เครื่องบิน ยิงจริง 4-8 เม.ย.นี้ เผยเขี้ยวเล็บใหม่อาวุธนำวิถี IGLA-S และอาวุธนำวิถีแบบประทับบ่ายิง QW-18

    เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2554 พล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธาน ในพิธีเปิดการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2554 ที่สนามหน้ากองบัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงชุมพร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นการฝึกที่กองทัพเรือได้จัดให้มีขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยได้บูรณาการการฝึกของหน่วยต่างๆ ในกองทัพเรือเข้าไว้ด้วยกัน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การประสานงานการปฏิบัติด้านการฝึกให้เป็นหนึ่งเดียว ด้วยการนำสาขาการปฏิบัติการต่างๆ ในส่วนของกำลังรบ และการปฏิบัติการสนับสนุนของกรมในส่วนบัญชาการ รวมทั้งส่วนยุทธบริการ และส่วนการศึกษา ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน มาทำการฝึกภายใต้สถานการณ์ฝึกห้วงเวลาเดียวกันและใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยเน้นไปที่การทดสอบ แผนเผชิญเหตุที่ กองทัพเรือได้อนุมัติไว้แล้ว ทดสอบขีดความสามารถของหน่วยต่างๆ ที่จัดกำลังไว้รองรับสถานการณ์อันจะเกิดได้ในปัจจุบัน หรือการปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุได้ รวมไปถึงการทดสอบระบบการควบคุมระบบการบังคับบัญชาของกองทัพเรือ การสั่งการ อำนวยการด้านการส่งกำลังบำรุงตามสถานการณ์ในการฝึก โดยใช้ข้อมูลและทรัพยากรที่มีอยู่จริงของหน่วย ทั้งนี้ ได้มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมการฝึกทุกคนได้ “ฝึกให้เหมือนจริงและปฏิบัติให้เหมือนฝึก” เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย ทั้ง การควบคุมบังคับบัญชา ระบบสื่อสาร การใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เพื่อสร้างความมั่นใจ และมีความพร้อมในการเผชิญ กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

    สำหรับการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2554 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 29 เมษายน 2554 แบ่งการฝึกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของการฝึกปัญหาที่บังคับการ ทำการฝึกระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2554 และ ส่วนของการฝึกภาคสนาม/ทะเล ทำการฝึกระหว่างวันที่ 21 ถึงวันที่ 28 เมษายน 2554 โดยจะทำการฝึกภาคสนามในระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 8 เมษายน 2554 ในส่วนการฝึกภาคสนาม/ทะเล นั้นมีหัวข้อการฝึกที่สำคัญ คือ การฝึกต่อต้านการก่อการร้ายบริเวณแท่นผลิตก๊าซธรรมชาติ ใช้พื้นที่ฝึกบริเวณแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท.สผ.จำกัด บริเวณอ่าวไทยตอนล่าง จัดกำลังที่เข้าร่วมฝึก ประกอบด้วย เรือหลวงกันตัง เรือ ต.11 เครื่องบินลำเลียง แบบ F-27 MK-400 (ฟอกเกอร์) เครื่องบินลาดตระเวน ทางทะเลแบบ DO-228 (ดอร์เนีย) เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงแบบ S-76 B ชุดปฏิบัติการพิเศษจาก หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ ชุดถอดทำลายอมภัณฑ์ ชุดปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ และชุดปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน การฝึกยุทธวิธีทางบก ใช้พื้นที่ฝึกบริเวณสนามฝึกยิงอาวุธกองทัพเรือ บ้านจันทเขลม และ บ้านพังงอน กิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี จัดกำลังที่เข้าร่วมการฝึกจาก กรมทหารราบที่ 1 กองพลนาวิกโยธิน

    ส่วนการฝึกสาขาปฏิบัติการทางเรือ มีหัวข้อการฝึกที่สำคัญ คือ การฝึกการควบคุมทะเล การรักษาเส้นทางคมนาคมทางทะเล การปฏิบัติการร่วมระหว่างหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งกับกำลัง ทางเรือ การปฏิบัติการตามลำน้ำ การปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก การฝึกป้องกันพื้นที่ของทัพเรือภาค การฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี และการฝึกยิงปืนรักษาฝั่ง ขนาด 155 มิลลิเมตร ใช้พื้นที่ฝึกทั้งในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน โดยมีกำลังที่เข้าร่วมการฝึก เช่น เรือฟริเกต ชุดเรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และชุดเรือหลวงตาปี เรือหลวงรัตนโกสินทร์ เรือหลวงสุโขทัย เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ชุด เรือหลวงนราธิวาส เรือยกพลขึ้นบก ชุด เรือหลวงสีชัง เรือล่าทำลายทุ่นระเบิด ชุด เรือหลวงบางระจัน เรือเร็วโจมตีติดอาวุธปล่อยนำวิถีชุด เรือหลวงราชฤทธิ์ และชุดเรือหลวงปราบปรปักษ์ เรือตรวจการณ์ปืน ชุด เรือหลวงสัตหีบ เรือเร็วโจมตีปืน ชุดเรือหลวงชลบุรี เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ชุด เรือ ต.991 และชุดเรือ ต.91 เรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ปืนใหญ่รักษาฝั่ง ขนาด 155 มิลลิเมตร ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 37 มิลลิเมตร เครื่องบินลำเลียง แบบ F-27 MK-400 (ฟอกเกอร์) เครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลแบบ DO - 228 (ดอร์เนีย) เครื่องบินลาดตระเวนปราบเรือดำน้ำ แบบ P - 3 เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ แบบ S-70 B (ซีฮอว์ก) เฮลิคอปเตอร์ตรวจการณ์ต่อต้านเรือผิวน้ำ/ปราบเรือดำน้ำ แบบ SUPER LYNX 300 พร้อมกำลังพลจากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ

    ด้าน พล.ร.ต.ธราธร ขจิตสุวรรณ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และ พล.ท.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ผู้บัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก ก็ได้มาร่วมสังเกตการณ์ในการทดสอบยิงอาวุธต่อสู้อากาศยาน ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ร่วมกับกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบกโดยมี พล.อ.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะในการสังเกตการณ์ฝึก ที่สนามฝึกยิงอาวุธหาดยาวทุ่งโปรง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ทั้งนี้ในการทดสอบอาวุธครั้งนี้เพื่อตรวจสอบความพร้อมของกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ให้มีความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยของชาติ

    สำหรับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทำการทดสอบจัดจากกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 23 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กองทัพเรือ ซึ่งมีอาวุธยุทโธปกรณ์ประกอบไปด้วย ปืนต่อสู้อากาศยาน 40 มิลลิเมตร แอล 70 จำนวน 4 กระบอก พร้อมเครื่องควบคุมการยิงฟลายแคทเชอร์ 2 ระบบ ปืนต่อสู้อากาศยาน 40/60 มิลลิเมตร จำนวน 3 กระบอก และอาวุธปล่อยวิถีแบบประทับบ่ายิง QW-18 จำนวน 1 ชุดยิง หรือ 2 ท่อยิง ในส่วนกำลังของกองทัพบกที่ร่วมทดสอบจัดจากกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ที่ 5 กรมทหารต่อสู้อากาศยานที่ 1 กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน หน่วย บัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก ซึ่งมีอาวุธยุทโธปกรณ์ประกอบด้วย ปืนต่อสู้อากาศยาน 40 มิลลิเมตร แอล 70 จำนวน 4 กระบอก พร้อมเครื่องควบคุมยิงฟลายแคทเชอร์ 2 ระบบ อาวุธ นำวิถี IGLS-S จำนวน 2 ลูก และอาวุธนำวิถี NH-5A (M) จำนวน 2 ลูก ในการทดสอบยิงอาวุธยุทโธปกรณ์ครั้งนี้ ทั้งสองกองทัพมีเขี้ยวเล็บใหม่มาทำการทดสอบด้วยคือ อาวุธนำวิถี IGLA-S ของกองทัพบกและอาวุธนำวิถีแบบประทับบ่ายิง QW-18 ของกองทัพเรือ

    อย่าง ไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่า พื้นที่การฝึกจะอยู่ในพื้นที่จันทบุรี ตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนทางบกและทางทะเลที่ติดกับบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาด้วยเช่นกัน

    Politics - Manager Online -
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปธน.ลิเบียเจอนักบินขัดขืนคำสั่งทิ้งบอมบ์ประชาชน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>24 กุมภาพันธ์ 2554 02:34 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ผู้ชุมนุม ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้เมืองเบนกาซี อันเป็นเป้าหมายปราบปรามฝ่ายต่อต้านของปธน.ลิเบีย

    เอเอฟพี - รัฐบาลลิเบียส่งเครื่องบินรบลำหนึ่งเข้าทิ้งบอมบ์ถล่มที่มั่นของฝ่ายต่อต้านประธานาธิบดีมูอัมมาร์ กัดดาฟี ในเมืองเบนกาซีเมื่อวันพุธ(23) แต่นักบินและผู้ช่วยนักบินใจไม่เหี้ยมพอ ขัดขืนคำสั่งยอมสละเครื่องบินดีดตัวออกมา ขณะที่มีรายงานว่าลูกสาวของผู้นำที่กำลังถูกขับไล่ขึ้นเครื่องหลบหนีไปมอลตา ทว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจอด

    แหล่งข่าวทางทหารบอกกับหนังสือพิมพ์กูรีนาว่าเครื่องบินรบ Sukhoi 22 ผลิตในรัสเซีย ตกลงใกล้กับเขตอาดาบิเยาะห์ ดินแดนที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ห่างจากเมืองเบนกาซี ไปทางตะวันตกราว 160 กิโลเมตร "นักบินและผู้ช่วยนักบิน ดีดตัวออกมาพร้อมร่มชูชีพหลังปฏิเสธคำสั่งทิ้งระเบิดเมืองเบนกาซี"

    ก่อนหน้านี้รายงานจากสื่อหลายสำนัก อาทิ อัลญะซีเราะห์, รอยเตอร์และเอเอฟพี ที่ต่างก็ระบุตรงกันว่า กัดดาฟี ได้สั่งการให้รถถัง, เครื่องบินรบ และเฮลิคอปเตอร์ พร้อมด้วยทหารรับจ้างออกบดขยี้กลุ่มผู้ประท้วงอย่างโหดร้ายทารุณ ด้วยการทิ้งบอมบ์ และกราดยิงแบบไม่เลือกหน้า ซึ่งต่อมาข้อมูลเหล่านี้ก็ได้รับการยืนยันโดยบี. ลินเน ปาสกาว รองเลขาธิการยูเอ็นด้านกิจการการเมือง ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมวิสามัญว่าด้วยสถานการณ์ความไม่สงบในลิเบียเมื่อช่วงเช้าวันอังคาร (22) ตามเวลาในนิวยอร์ก โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติและพยานผู้ในอยู่ในเหตุการณ์หลายคนในลิเบียได้พบเห็นกิจกรรมการปราบปรามผู้ประท้วงของกองทัพด้วยตาตัวเอง

    เมื่อวันจันทร์(21) มีรายงานว่านักบินเครื่องบินรบลิเบีย 2 ลำลงจอดในมอลตาและทิ้งเครื่องบินแล้วหลบหนีไป หลังได้รับคำสั่งให้โจมตีผู้ประท้วงในเบนกาซีเช่นกัน

    ทั้งนี้นักบินทั้ง 2 คนบอกกับทางเจ้าหน้าที่ทหารของมอลตาว่าพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพอากาศลิเบียยศนาวาอากาศเอก และหนึ่งในนั้นได้ยื่นขอลี้ภัยในมอลตา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากแนวชายฝั่งทางเหนือของลิเบียดเพียง 340 กิโลเมตร

    ขณะเดียวกันแหล่งข่าวทางทหารระบุด้วยว่ายังมีเฮลิคอปเตอร์อีกหลายลำที่พยายามหลบหนีออกจากลิเบียและขอลงจอดในมอลตา ทว่าไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากลิเบีย

    กระนั้นก็ดีมีเครื่องบินลำหนึ่งของสายการบินลิเบียอาหรับ ที่ขึ้นบินมาจากลิเบียแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจอด ณ ท่าอากาศยานนานาชาติของมอลตา เนื่องจากไม่มีการแจ้งล้วงหน้าท่ามกลางข่าวลือว่าหนึ่งในผู้โดยสารของเครื่องบินลำนี้คือลูกสาวของประธานาธิบดีกัดดาฟี

    แหล่งข่าวบอกว่าเครื่องบินลำนี้บินมายังมอลตาโดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า โดยขณะขอลงจอดนั้นทางนักบินบอกแต่เพียงรายละเอียดเที่ยวบินและพูดถึงความจำเป็นที่ต้องจอดเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังจากบินวนรอคำตอบราว 20 นาที เครื่องบินลำนี้ก็ถูกปฏิเสธทำให้นักบินต้องนำเครื่องกลับไปยังลิเบีย

    ยังไม่แน่ชัดว่ามีบุคคลใดบ้างอยู่บนเครื่องบินลำนี้ แต่สำนักข่าวอัลญาซีเราะห์รายงานจากมอลตาว่าเชื่อว่าหนึ่งในผู้โดยสารของเครื่องบินลำดังกล่าวคือลูกสาวของประธานาธิบดีกัดดาฟี ผู้ถูกต่อต้านอย่างหนักหลังปกครองประเทศแห่งนี้มากว่า 4 ทศวรรษ

    Around the World - Manager Online -
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    “ฮุนเซน” ไม่สนยูเอ็น-อาเซียน ส่งศาลโลกตีความคำพิพากษาปราสาทพระวิหาร

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 กุมภาพันธ์ 2554 20:26 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ฮุนเซนประกาศอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันอังคาร 22 ก.พ.2554 กัมพูชาได้ส่งเอกสารถึงศาลระหว่างประเทศกรุงเฮกแล้ว ขอให้ตีความคำพิพากษาเมื่อ 49 ปีก่อน เพื่อชี้ขาดว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบๆ ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาไปด้วยหรือไม่ ขณะที่รัฐบาลไทยได้ยื่นคัดค้านเรื่องนี้เอาไว้เมื่อ 49 ปีที่แล้วเช่นกัน.-- ภาพ: AKP.

    ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- รัฐบาลกัมพูชาได้ส่ง “เอกสาร” ไปให้ศาลระหว่างประเทศ กรุงเฮก แล้ว ตามที่นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ประกาศในวันอังคาร 22 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า มีแต่ศาลระหว่างประเทศเท่านั้น ที่จะแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งชายแดนกัมพูชากับไทยได้ คณะสังเกตการณ์จากอินโดนีเซีย หรือกลุ่มอาเซียน แม้กระทั่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) ไม่อาจจะแก้ไขได้

    ฮุนเซน ระบุดังกล่าวระหว่างปราศรัยในงานประทานปริญญาบัตร ให้แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยโรยัลแคมโบเดีย ทั้งนี้ เป็นรายงานของสำนักข่าวเอเคพี (Agence Kampuchean-Presse) ซึ่งเป็นของรัฐบาล

    ฮุนเซนเคยพูดถึงเรื่องนี้ครั้งแรกวันศุกร์สัปดาห์ที่แล้ว โดยระบุว่า ครั้งนี้ไม่ใช่การขอให้ศาลระหว่างประเทศพิจารณาปัญหาเดิม แต่จะขอให้พิจารณาปัญหาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร โดยรอบ ว่า ตกเป็นของกัมพูชาพร้อมกับปราสาทพระวิหาร ตามคำพิพากษาในเดือน มี.ค.2505 หรือไม่

    ฮุนเซน กล่าวในวันอังคาร ว่า คณะสังเกตการณ์ของอินโดนีเซีย อาจจะช่วยลดความตึงเครียดได้ แต่จะไม่สามารถช่วยแก้ไขความขัดแย้งใดๆ ได้

    สำนักข่าวของทางการ กล่าวว่า ปัญหาเกิดขึ้นจากการตีความ และการใช้แผนที่กันคนละฉบับ ขณะที่กัมพูชาใช้แผนที่ที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ และกล่าวหาว่าฝ่ายไทยใช้แผนที่ที่จัดทำขึ้นเอง

    ความขัดแย้งเกี่ยวกับพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร เริ่มมาตั้งแต่ศาลโลกพิพากษาให้ปราสาทตกเป็นของกัมพูชา

    รัฐบาลไทยสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งแม้จะยอมรับการพิพากษา แต่ก็ได้ทำหนังสือถึงศาลระหว่างประเทศกรุงเฮก คัดค้านอย่างเป็นทางการ การรวมเอาดินแดนรอบๆ ประสาทเข้าไปด้วย และยังไม่เคยมีการพิจารณาเรื่องนี้มาเป็นเวลาเกือบ 50 ปีแล้ว

    [​IMG]

    นักศึกษามหาวิทยาลัยโรยัลแคมโบเดีย เข้ารับปริญญาบัตรจากมือผู้นำในวันอังคาร 22 ก.พ.2554 ทุกความเคลื่อนไหวมีความหมาย ฮุนเซนจะเลือกกลุ่มเป้าหมายนี้ทุกครั้งเมื่อพูดถึงผลประโยชน์ของประเทศ เพื่อเก็บคะแนนไปเรื่อยๆ สำหรับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นปีหน้า. -- ภาพ: AKP.

    IndoChina - Manager Online -
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ศรีสะเกษทำบุญ “เอิ้นขวัญ” ชาวชายแดน “เขาวิหาร” -จี้ “มาร์ค” ฟ้องศาลโลกให้เขมรชดใช้ 3,000 ล้าน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 กุมภาพันธ์ 2554 16:15 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    [​IMG]

    ผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ นำขรก.- ปชช. ร่วมทำบุญตักบาตรและบายศรีเรียกขวัญชาวบ้านชายแดนเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ผู้ประสบภัยสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา วันนี้ ( 23 ก.พ.)

    ศรีสะเกษ - ผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ นำ ขรก.-ปชช.ทำบุญตักบาตรบายศรี “เอิ้นขวัญ” ชาวชายแดน “เขาพระวิหาร” เหยื่อกระสุนปืนใหญ่-ลูกจรวดเขมร ขณะกำนัน ต.เสาธงชัย เดินหน้าจี้รัฐบาล “นายกฯมาร์ค” ฟ้องศาลโลกเรียกค่าเสียหายกัมพูชา 3,000 ล้าน ให้ ปชช.ทุกหมู่บ้านที่สูญเสียชีวิต ทรัพย์สินบ้านเรือนพังเสียหาย ส่วนผู้นำท้องถิ่น อ้างอุ่นใจจะมีผู้สังเกตการณ์อาเซียนมาเฝ้าจับตาพฤติกรรมทหารเขมรโหดยิงถล่มพลเรือน

    วันนี้ (23 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 07.30 น.ที่ศาลาประชาคมบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วย พล.ต.ชวลิต ชุนประสาร ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี (ผบ.กกล.สุรนารี) นายวินัย สิทธิมณฑล รองผู้ว่าฯศรีสะเกษ นายวรรณะ บุญสุข ผอ.สพป.ศรีสะเกษ เขต 4 ได้นำข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ร่วมกันประกอบพิธีทำบุญตักบาตรและบายศรีสู่ขวัญ หรือ “เอิ้นขวัญ” ชาวบ้านภูมิซรอลและประชาชนหมู่บ้านชายแดนในเขต ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณเขาพระวิหาร ระหว่างวันที่ 4-16 ก.พ.ที่ผ่านมา

    โดยได้นิมนต์พระสงฆ์มาประกอบพิธีทางศาสนา ซึ่ง นายวีรยุทธ ดวงแก้ว กำนัน ต.เสาธงชัยและ นายโชคชัย สายแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เสาธงชัย นำประชาชนเข้าร่วมพิธีทำบุญตักบาตรและบายศรีสู่ขวัญเป็นจำนวนมาก

    นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และในวันนี้ชาวบ้านภูมิซรอล และทุกหมู่บ้านชายแดนในเขต ต.เสาธงชัย ได้มาร่วมกันประกอบพิธีทำบุญตักบาตรบายศรีสู่ขวัญ เพื่อความเป็นสิริมงคลของหมู่บ้านที่ผ่านพ้นภาวะภัยสงครามมาแล้ว รวมทั้งเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา และที่สำคัญเพื่อเป็นการเอิ้นขวัญ หรือเรียกขวัญของประชาชนที่เสียขวัญกำลังใจ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ขวัญกลับมาอยู่บ้านเรือนตามความเชื่อมาแต่โบราณของชาวอีสาน

    ในส่วนของการฟื้นฟูเยียวยาซ่อมแซมบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากกระสุนปืนใหญ่ และจรวดของทหารกัมพูชานั้น ขณะนี้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งรัดดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างบ้านเรือนให้กับชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากถูกกระสุนปืนใหญ่พังเสียหายทั้งหลัง กลุ่มอาชีวศึกษาศรีสะเกษ ประกอบด้วย วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ วิทยาลัยการอาชีพศรีสะเกษ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ และวิทยาลัยการอาชีพกันทรลักษ์ กำลังเร่งดำเนินการก่อสร้างบ้านเรือนให้กับชาวบ้านทั้ง 7 หลัง รวมมูลค่าบ้านหลังละ 500,000 บาท โดยจะใช้เวลาในก่อสร้างประมาณ 35 วันจะแล้วเสร็จ ซึ่งล่าสุดการก่อสร้างมีความคืบหน้าไปเป็นอย่างมาก

    นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการก่อสร้างหลุมหลบภัยเพื่อเป็นที่หลบภัยหากเกิดการสู้รบระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา ขึ้นอีกนั้น ได้เริ่มทำการก่อสร้างแล้วตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยจะทำการก่อสร้างหลุมหลบภัยทุกหมู่บ้านที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้าน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จำนวนทั้งสิ้น 451 แห่ง และซ่อมแซมหลุมหลบภัยเดิมที่ชำรุดจำนวน 297 แห่ง ซึ่งต้องขอขอบรัฐบาล ที่ได้ให้สนับสนุนงบประมาณดูแลเยียวยาประชาชนชาวศรีสะเกษทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สู้รบครั้งนี้

    ด้าน นายวีรยุทธ ดวงแก้ว กำนันตำบลเสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า จากเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา ซึ่งจากประจักษ์พยานความเสียหาย และมีชาวบ้านเสียชีวิต ทำให้เชื่อได้ว่าผู้ที่ก่อเหตุสงครามในครั้งนี้ คือ ฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นฝ่ายกระหายสงคราม ระดมยิงอาวุธร้ายแรงเข้าใส่ที่พื้นที่พลเรือน ทำให้บ้านเรือนประชาชนไทยพังเสียหาย ไร่นา สวนยางพารา ไม่สามารถเข้าไปประกอบการเกษตรได้ ทำให้ขาดรายได้สูญเสียประโยชน์ และประชาชนเสียขวัญกำลังใจเป็นจำนวนมาก เฉพาะในเขตพื้นที่ ต.เสาธงชัย มีหมู่บ้านได้รับความเสียหายจำนวนทั้งสิ้น 11 หมู่บ้าน 177 ครัวเรือน พื้นที่ทางการเกษตรเสียหาย 664 ไร่

    ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาลไทย ได้เป็นตัวแทนของประชาชน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และทุกตำบลของ จ.ศรีสะเกษที่ได้รับความเสียหาย และได้รับผลกระทบจากการสู้รบกันในครั้งนี้ ได้ฟ้องศาลโลกหรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อเรียกค่าเสียหายจำนวน 3,000 ล้านบาท จากรัฐบาลกัมพูชาให้กับประชาชนไทยทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากภัยการสู้รบและอาวุธสงครามของทหารกัมพูชาโดยด่วน

    ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลกัมพูชาก้าวร้าว กระทำการอย่างโหดร้ายรุนแรงกับชาวบ้านภูมิซรอล และประชาชนไทยชายแดนด้านเขาพระวิหาร ซึ่งพยานหลักฐานต่างๆ นั้น ไม่ต้องหายากเพราะภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนอยู่แล้ว เรื่องนี้รัฐบาลไทยต้องปกป้องรักษาผลประโยชน์ให้กับชาวบ้านภูมิซรอลและประชาชนชายแดนทุกหมู่บ้านในเขต ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

    “ควรต้องเอาเดือดร้อนของประชาชนไทยครั้งนี้ นำเสนอให้ศาลโลกได้รับทราบถึงความโหดเหี้ยมของฝ่ายกัมพูชา ที่ยิงถล่มใส่บ้านเรือนของประชาชน จนทำให้ชาวบ้านเสียชีวิต 1 รายและบ้านพังเสียหายยับเยินจำนวนมาก” นายวีรยุทธ กล่าว

    นางบิน ดอกดวง อายุ 87 ปี อยู่บ้านเลขที่ 291 ม.12 บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และกำนัน ต.เสาธงชัย ร่วมกับทางฝ่ายทหารที่ได้จัดพิธีทำบุญตักบาตร บายศรีสู่ขวัญ เพื่อเอิ้นขวัญ หรือเรียกขวัญ ให้กับชาวบ้านทุกคนในครั้งนี้ เพราะทำให้ชาวบ้านทุกคนได้รับขวัญกำลังใจและมีความอุ่นใจว่า ได้รับการดูแลจากทุกส่วนราชการเป็นอย่างดี ซึ่งขณะนี้ตนและครอบครัวได้กลับเข้ามาอยู่บ้านภูมิซรอลแล้ว หลังจากที่ต้องทิ้งร้างไว้ เพราะต้องอพยพหนีภัยการสู้รบไปนานกว่า 10 วัน

    ด้าน นายโชคชัย สายแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เสาธงชัย กล่าวว่า กรณีที่กลุ่มอาเซียนจะส่งทหารผู้สังเกตการณ์จากประเทศอินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ไทยและกัมพูชา ที่บริเวณเขาพระวิหาร ฝ่ายละ 15 คน นั้น เห็นว่า เป็นการดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะชาวบ้านทุกคนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร จะได้รู้สึกอุ่นใจว่า ต่อไปทหารกัมพูชาจะได้ไม่ยิงปืนใหญ่ หรือยิงจรวดเข้ามาในเขตแดนไทยอีก หากกัมพูชายิงปืนใหญ่หรือจรวดเข้ามา ก็จะทำให้มีพยานรู้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายก่อสงคราม ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ตนและชาวบ้านชาว ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ รู้สึกอบอุ่นใจมากขึ้น

    Local - Manager Online -
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    “อภิสิทธิ์”คุย ผล“เลือกตั้ง”ปชป.จะเป็นฝ่าย“นำหน้าเล็กน้อย”แม้คงต้องตั้งรบ.ผสมอีก
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>24 กุมภาพันธ์ 2554 04:39 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เอเจนซี - นายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์” ใหัสัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันพุธ(23) คาดการเลือกตั้งที่จะจัดขั้นภายในกลางปีนี้ ผลออกมาคู่คี่แต่พรรคประชาธิปัตย์จะนำนิดหน่อย และรัฐบาลใหม่คงจะต้องเป็นรัฐบาลผสมอีก พร้อมกันนั้นก็บอกว่า จากการที่ตนเองได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันอังคาร(22)นั้น พระองค์มีพระพลานามัยดี

    “เรากำลังพิจาณาช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งในครึ่งแรกของปีนี้” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในการให้สัมภาษณ์ พร้อมกับคาดหมายผลการเลือกตั้งว่า “มันจะเป็นการเลือกตั้งที่คู่คี่เหมือนกับในครั้งที่แล้ว ยกเว้นแต่ว่าเราจะเป็นฝ่ายนำหน้าเล็กน้อย ผลโพลครั้งหลังๆ มานี้ แสดงให้เห็นว่าเรากำลังนำหน้าในทุกๆ โพลยกเว้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”

    “ความท้าทายสำหรับเราก็คือ การหาผู้สมัครที่ดีไปลงแข่งขันชิงในพื้นที่ที่เราไม่มี ส.ส.มาระยะหนึ่งแล้วในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ผมมั่นใจว่าเราสามารถที่จะรักษาที่นั่งเดิมของเราไว้ได้แทบทั้งหมด โดยที่เราจะได้ที่นั่งเพิ่มในภาคกลาง และได้ที่นั่งเป็นกอบเป็นกำในภาคเหนือ” นายอภิสิทธิ์คาดการณ์ และบอกด้วยว่า “ภาพสถานการณ์ที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดคือ การมีรัฐบาลผสม”

    นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดูมีพระพลานามัยดี เมื่อตอนที่เขาไปเข้าเฝ้าพระองค์ที่โรงพยาบาลศิริราชเมื่อวันอังคาร “ผมได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่านเมื่อคืนนี้เป็นเวลาราวหนึ่งชั่วโมงเศษๆ พระองค์ท่านทรงมีพระราชดำรัส และพระองค์ท่านทรงทราบประเด็นปัญหาต่างๆ ทั้งหมดอย่างดีเยี่ยม”

    นายอภิสิทธิ์ผู้อยู่ในวัย 46 ปีและจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แสดงความคาดหมายว่า เมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว จะทำให้ประเทศไทยมีเสถียรภาพ ไม่มีใครจะเป็นผู้ชนะก็ตาม นอกจากนั้นเขายังเห็นว่า การเลือกตั้งจะไม่ทำให้เศรษฐกิจของไทยต้องเสียกระบวน ทั้งนี้เขาเชื่อว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ในอัตรา 3 - 5%

    เขามองว่าปัจจัยที่ไม่มีความแน่นอนสำหรับเศรษฐกิจไทย ยังคงเป็นเรื่องภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะจากการที่ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ กำลังพุ่งสูง เขาจึงปรารถนาที่จะให้พวกกลุ่มจี-20 หารือและเพิ่มความร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหานี้

    นอกจากนั้น นายอภิสิทธิ์บอกด้วยว่า การประท้วงของ “เสื้อแดง” หรือ “เสื้อเหลือง” เท่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ยังคงเป็นไปอย่างสงบ และไม่น่าที่จะเป็นอุปสรรคต่อแผนการจัดการเลือกตั้งในปีนี้

    ทั้งนี้ ในวันพุธเช่นกัน สำนักข่าวรอยเตอร์ได้ไปสัมภาษณ์ นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธาน นปช.ซึ่งบอกว่า เธอมองไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะจัดให้มีการประท้วงอย่างยืดเยื้อ หลังจากที่ศาลสั่งให้ประกันตัวแกนนำเสื้อแดงแล้ว

    นางธิดากล่าวด้วยว่าทาง “เสื้อแดง” จะไม่ประกาศรับรองสนับสนุนพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่ผู้สนับสนุน นปช.คงจะเลือกพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม ถ้าการเลือกตั้งเป็นไปยังยุติธรรม นปช.ก็จะเคารพผลการเลือกตั้ง แม้เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ชนะ ก็จะเคารพ “แต่เราจะต่อสู้คัดค้านการก่อรัฐประหาร หรือถ้าหากเกิดมีอะไรที่ไม่เป็นธรรม” นางธิดาบอก ด้วยท่าทีข่มขู่ที่จะจัดการประท้วงอีก ถ้าหากมีสัญญาณชัดแจ้งว่าทหารเข้าแทรกแซงการเมือง

    อนึ่ง นายอภิสิทธิ์ยังคงปฏิเสธคำยืนยันของขบวนการเสื้อแดงที่ว่า ทหารเปิดฉากยิงใส่พลเรือนปราศจากอาวุธในเหตุการณ์ไม่สงบเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมปีที่แล้ว และกล่าวว่าเขาต้องการให้การสอบสวนของภาครัฐเกี่ยวกับเหตุรุนแรงคราวนี้ เสร็จสิ้นลง “โดยเร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้”

    “ไม่มีช่วงไหนเลยที่เราได้ส่งทหารหรือตำรวจเข้าไปใช้อาวุธปืนต่อผู้ประท้วงที่ชุมนุมอย่างสงบ” เขาบอก

    สำนักข่าวรอยเตอร์บอกว่า เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ทางสำนักข่าวได้เห็นรายงานการสอบสวนเบื้องต้นของภาครัฐเกี่ยวกับความรุนแรงคราวนี้ ซึ่งมีข้อสรุปว่า กองกำลังพิเศษที่ได้ขึ้นไปอยู่บนทางรถไฟฟ้ายกระดับ ได้ยิงลงมายังพื้นที่ของวัดปทุมวานาราม ที่มีผู้ประท้วงหลายพันคนเข้าไปหลบภัยกันอยู่เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม

    รายงานการสอบสวนเบื้องต้นกล่าวว่า ในจำนวน 6 คนที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดดังกล่าว มี 3 คนที่อาจจะถูกทหารสังหาร เรื่องนี้ขัดแย้งกับคำแถลงหลายฉบับของฝ่ายทหารที่ปฏิเสธว่าทหารไม่มีส่วนรับผิดชอบใดๆ กับการสังหารนี้ ต่อมารายงานนี้ได้ถูกส่งไปให้ตำรวจทำการสอบสวนเพิ่มเติม

    ในการให้สัมภาษณ์คราวนี้ รอยเตอร์บอกว่านายอภิสิทธิ์พูดถึงเรื่องนี้ว่า “เหตุการณ์เพียงเหตุการณ์เดียวที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่ คือเหตุการณ์ซี่งเกิดขึ้นที่วัด (ปทุมวนาราม)” เขาบอกว่า “ผมมองไม่เห็นเลยว่ากองทัพหรือตัวทหารเองจะมีแรงจูงใจใดๆ ในการยิงเข้าไปในวัด”

    “อาคารหลายหลังกำลังถูกจุดไฟเผา และตำรวจกับตำรวจก็ต้องคอยป้องกันรถดับเพลิง” เขากล่าวต่อ “คำสั่งต่างๆ เหล่านั้นจะมีการนำไปปฏิบัติโดยที่ไม่มีข้อผิดพลาดเลยใช่หรือไม่ เป็นอะไรที่เราจำเป็นจะต้องทำการสอบสวน”

    Around the World - Manager Online -
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ร.ร.สอนภาษาแดนกีวี่ระบุ นร.-พนง.หาย 48 รายหลังแผ่นดินไหว
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>24 กุมภาพันธ์ 2554 09:32 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    อาคารซีทีวี ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่พังถล่มลงมาหลังแผ่นดินไหว

    เอเอฟพี - โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษแห่งหนึ่งในเมืองไครสต์เชิร์ช ซึ่งประสบเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง เผยวันนี้ (24) นักเรียน และพนักงานรวม 48 รายหายไปหลังเกิดหายนะ โดยในจำนวนนั้นเป็นชาวญี่ปุ่นอย่างน้อย 10 คน

    โรงเรียนคิงส์ เอดูเคชัน ซึ่งเป็น 1 ในอาคารที่พังถล่มจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวระดับ 6.3 เมื่อวันอังคาร (22) ที่ผ่านมา ได้โพสต์รายชื่อของพนักงาน และนักเรียน ที่สูญหายไปบนเว็บไซต์ โดยระบุว่ารายชื่อดังกล่าวได้รับการรวบรวมโดยเจ้าหน้าที่ของสถาบัน และผู้อยู่ในเหตุการณ์

    ในจำนวนผู้สูญหายนั้นเป็นกลุ่มนักศึกษาโทยามะจากญี่ปุ่นจำนวน 10 คน นักเรียนอีก 5 คน ที่เพิ่งเข้าโรงเรียนแห่งนี้ได้เพียง 2 วันเท่านั้น รวมถึงนักศึกษาจากเกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศ ซึ่งเดินทางไปยังเมืองไครสต์เชิร์ชเพื่อศึกษาภาษาอังกฤษ

    สำหรับรายชื่อผู้สูญหายส่วนใหญ่นั้นเชื่อว่าอยู่ภายในอาคารซีทีวี อันเป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนดังกล่าว ซึ่งในวันพุธ (23) ที่ผ่านมา ทางตำรวจชี้ว่าไม่น่าจะมีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่แล้ว

    นอกจากนี้ ยังมีนักเรียนอีก 40 คน ที่ถูกระบุว่า "ไม่ทราบสถานะ" และก็ไม่มีการให้รายละเอียดเพิ่มเติมใดเกี่ยวกับชะตาชีวิตของพวกเขา
    Around the World - Manager Online -
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แผ่นดินไหว'กีวี'ตาย-หายร่วม400 รร.สอนอังกฤษใจกลางนคร'ยับเยิน'
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 กุมภาพันธ์ 2554 22:27 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เอเจนซี - หน่วยกู้ภัยของนิวซีแลนด์ พยายามตรวจดูซากปรักหักพังของอาคารต่างๆ ในเมืองไครสต์เชิร์ชอย่างละเอียด เพื่อค้นหาผู้ที่ยังรอดชีวิตจากแผ่นดินไหวจนกระทั่งถึงเวลาค่ำคืนของวันพุธ(23) ทว่าความหวังที่จะพบผู้รอดชีวิตเพิ่มขึ้นจากบางจุดบางพื้นที่กำลังลดน้อยลงเรื่อยๆ โดยที่การค้นหาในย่านใจกลางเมืองใหญ่อันดับสองของแดนกีวีแห่งนี้ได้หยุดชะงักลงแล้ว เนื่องจากกลัวเกรงกันว่าพวกอาคารที่ได้รับความเสียหายหนัก อาจจะพังถล่มลงมา

    ทางการตำรวจแจ้งว่า จำนวนผู้เสียชีวิตที่ยืนยันแน่นอนแล้วยังคงอยู่ที่ 75 คน ถึงแม้เป็นที่คาดหมายกันว่าน่าจะเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก เนื่องจากมีคนกว่า 300 ชีวิตที่ยังสูญหาย ภายหลังเหตุแผ่นดินไหวความรุนแรง 6.3 ในช่วงอาหารกลางวันของวันอังคาร(22)คราวนี้ ซึ่งทำให้หลายบริเวณของเมืองไครสต์เชิร์ชพินาศย่อยยับเป็นวงกว้าง

    พวกเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้ยุติการค้นหาผู้รอดชีวิตที่อาคารสถานีโทรทัศน์แคนเทอร์เบอรี ซึ่งอยู่ในสภาพพังยุบราบลงมา เพื่อหันไปค้นหาอาคารหลังอื่นๆ ที่น่าจะยังมีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่มากกว่า อาคารสถานีทีวีแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนนักศึกษาชาวต่างประเทศ ซึ่งจำนวนมากเป็นชาวญี่ปุ่น ทั้งนี้ในบรรดาผู้ที่ยังตามหาตัวไม่พบนั้น เป็นนักเรียนชาวญี่ปุ่นที่เรียนอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้อย่างน้อย 11 คน

    “เราไม่ได้พบเห็นสัญญาณยืนยันใดๆ เลยว่าเวลานี้ยังมีชีวิตใดๆ อยู่ในพื้นที่ตรงนั้น ขณะที่ทรัพยากรช่วยเหลือก็มีอยู่ในจำนวนที่จำกัด นอกจากนั้นยังมีพื้นที่อื่นๆ ที่ต้องทำการค้นหากันอย่างเต็มที่ โดยเป็นจุดที่เราได้รับการยืนยันว่ามีคนที่ยังมีชีวิตอยู่” จิม สจวร์ต-แบล็ก หัวหน้าฝ่ายค้นหาและกู้ภัยของกองดับเพลิง แจกแจง

    ขณะที่ ผู้บังคับการตำรวจ เดฟ คลิฟฟ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาจมีศพมากถึง 100 ศพอยู่ใต้ซากอาคารสถานีทีวีแห่งนี้ แล้วยังอาจมีอีกหลายสิบศพอยู่ใต้กองปรักหักพังของมหาวิหารประจำเมืองที่พังลงมาเป็นบางส่วน ตลอดจนอาคารอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง แต่ในเวลานี้ ส่วนใหญ่แล้วเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องทิ้งศพผู้เสียชีวิตที่ติดอยู่ในกองอิฐกองปูนเอาไว้ก่อน และมุ่งเน้นการค้นหาและช่วยเหลือผู้ที่ยังรอดอยู่

    “ตรงนั้นมีอารมณ์ความรู้สึกสะเทือนใจกันอย่างลึกซึ้ง พวกเขากำลังสัมผัสกับผู้เสียชีวิตบางคนแล้ว แต่ก็ต้องเดินผละจากไป” เขาบอก

    นอกจากอาคารสถานีโทรทัศน์แล้ว อีกจุดหนึ่งที่สร้างความหวั่นเกรงกันมาก ได้แก่ อาคารโรงแรม โฮเท็ล แกรนด์ แชนเชเชลเลอร์ ความสูง 26 ชั้นที่อยู่ในอาการโงนเงนใกล้จะทลายลงมา โดยที่ผู้บังคับการตำรวจ คลิฟฟ์ระบุว่า วิศวกร 3 คนมีความห็นว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่มันจะพังครืน และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ มันก็อาจจะทำให้อาคารที่ไม่มั่นคงอื่นๆ ในย่านใจกลางเมืองด้วยกัน พังต่อๆ กันแบบตัวโดมิโนก็ได้ และนั่นจะเป็นความหายนะอันใหญ่โตมาก

    เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น และเป็นการสกัดกั้นอาชญากรรม ตำรวจได้ประกาศห้ามออกนอกอาคารในช่วงกลางคืนในบริเวณเขตใจกลางเมือง โดยที่มีกำลังทหารในรถลำเลียงพลหุ้มเกราะคอยลาดตระเวน เพื่อกันให้ผู้คนถอยห่างออกไป ในขณะที่ภาวะอาฟเตอร์ช็อกยังคงเกิดขึ้นเป็นระลอก โดยแต่ละครั้งที่เกิดก็ทำเอาพื้นที่แถบนี้สั่นไหวอย่างน่าเสียวไส้

    จนกระทั่งถึงช่วงคืนวันพุธ(23) หน่วยกู้ภัยสามารถช่วยเหลือผู้รอดชีวิตขึ้นมาจากกองปรักหักพังได้ 120 ชีวิต โดยบางคนก็ต้องตัดแขนตัดขาที่ติดแน่นอยู่ในซากอาคาร

    เมืองไครสต์เชิร์ช เพิ่งเผชิญภัยแผ่นดินไหวเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยมีความรุนแรงถึง 7.0 ทว่าไม่มีผู้เสียชีวิตเลยแม้จะทำให้บ้านเรือนเสียหาย 100,000 หลัง สำหรับเหตุธรณีพิบัติภัยคราวนี้ คาดกันว่าน่าจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

    ถึงแม้นายกรัฐมนตรี จอห์น คีย์ ของนิวซีแลนด์ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ยังไม่มีใครที่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้อย่างถูกต้องก็ตามที แต่ เจ.พี. มอร์แกน ได้ออกรายงานวิจัยคาดการณ์ว่า ความสูญเสียที่มีการประกันภัยเอาไว้อาจจะอยู่ที่ 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ แอร์ เวิลด์ไวด์ เอสทิเมตส์ บริษัทจัดทำแบบจำลองหายนภัย แถลงว่าอุตสาหกรรมประกันภัยอาจถูกผู้เอาประกันเรียกค่าสินไหมทดแทนในระหว่าง 3,500 - 8,000 ล้านดอลลาร์

    Around the World - Manager Online -
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    น้ำมันทะยานแรง-หุ้นสหรัฐฯดิ่งหนัก กังวลความไม่สงบในลิเบีย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>24 กุมภาพันธ์ 2554 05:18 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    เอเอฟพี/เอเจนซี - ราคาน้ำมันตลาดนิวยอร์กวานนี้(23) พุ่งแตะระดับสูงสุดรอบ 28 เดือนช่วงหนึ่งของการซื้อขายจากความกังวลว่าวิกฤตความไม่สงบในลิเบียอาจลุกลามสู่ชาติส่งออกพลังงานรายใหญ่อื่นๆอาทิซาอุดีอาระเบีย ขณะที่ปัจจัยนี้ฉุดให้วอลล์สตรีท ปิดลบเป็นวันที่สองติดต่อกัน

    สัญญาล่วงหน้าน้ำมันไลต์สวีตครูตของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 2.68 ดอลลาร์ ปิดที่ 98.10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากช่วงหนึ่งพุ่งทะลุ 100 ดอลลาร์ สูงสุดตั้งแต่ตุลาคม 2008 ขณะที่เบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 5.47 ดอลลาร์ ปิดที่ 111.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2008 ไม่นานก่อนการล่มสลายของเลห์แมน บราเธอร์ส อันจุดชนวนวิกฤตการเงินโลก

    ทั้งนี้ปัญหาความไม่สงบในลิเบีย ได้ก่อความกังวลแก่นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้วอลล์สตรีทวานนี้(23) ปิดลบอย่างแรงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันแล้ว

    ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 107.01 จุด (0.88 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 12,105.78 จุด แนสแดค ลดลง 33.43 จุด (1.21 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,722.99 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 8.04 จุด (0.61 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,307.40 จุด
    Around the World - Manager Online -
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปธน.แคเมอรูนผวา ฝ่ายค้านลั่นชุมนุมขับไล่ตามอย่างอียิปต์
    [​IMG]

    ประธานาธิบดีพอล บิย่า ของแคเมอรูน

    ซีเอ็นเอ็น - กลุ่มฝ่ายค้านต่างๆของแคเมอรูน เมื่อวันพุธ(23) วางแผนชุมนุมประท้วงเลียนแบบอียิปต์ เพื่อขับไล่ พอล บิยา ประธานาธิบดีที่ครองอำนาจมายาวนานเกือบ 3 ทศวรรษ และมีแผนลงสู้ศึกเลือกตั้งอีกสมัยในช่วงปลายปีนี้

    "ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล เขาอยู่ในตำแหน่งนี้มานานกว่า 28 ปีแล้ว" คำกล่าวของ คาห์ วัลลา สมาชิกฝ่ายค้านวัย 45 ปี ที่ก็ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเช่นกัน

    วัลลา หนึ่งในแกนนำผู้ชุมนุมบอกว่ามีแผนจัดการประท้วงทั้งในเมืองดูอาลาและที่กรุงยาอุนเด "เหตุผลหลักของเราคือเรียกร้องจัดการเลือกตั้งที่อิสระและยุติธรรม" เธอกล่าว "แต่เราก็มีข้อเรียกร้องอื่นๆ อาทิกรณีที่แคเมอรูนมีทรัพยากรมากมายแต่ทำไมประชาชนของเราถึงยากจนนัก"

    คาห์ วัลลา บอกว่าแรงบันดาลใจของการชุมนุมมาจากเหตุจลาจลในตูนิเซียและอียิปต์ ที่นำไปสู่การขับไล่ประธานาธิบดีผู้ปกครองประเทศมายาวนานและการประท้วงดังกล่าวได้ส่งปฏิกิริยาลูกโซ่ลุกลามไปยังชาติอื่นๆ อาทิลิเบียและแคเมอรูน "เราต้องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเราเหมือนอย่างที่ประชาชนในอียิปต์และตูนิเซียทำ"

    แม้โฆษกของนายกรัฐมนตรีแคเมอรูน ยังปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต้องเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามสถานทูตสหรัฐฯในกรุงยาอุนเด แนะนำพลเรือนอเมริกาที่พำนักอยู่ในแคเมอรูนให้อยู่ในความระมัดระวัง

    Around the World - Manager Online -
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    'กัดดาฟี'ลั่นสู้จนเลือดหยดสุดท้าย แต่ฝ่ายลุกฮือยึดภาคตะวันออกแล้ว

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 กุมภาพันธ์ 2554 23:30 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    การลุกฮือขับไล่ประธานาธิบดีมูอัมมาร์ กัดดาฟี แห่งลิเบีย

    เอเจนซี/เอเอฟพี - ประธานาธิบดีมูอัมมาร์ กัดดาฟี แห่งลิเบีย ประกาศกร้าวพร้อมตายคาเก้าอี้ และจะต่อสู้ยิบตาเพื่อปราบปรามพวกลุกฮือโค่นล้มอำนาจปกครองของเขาไปจนถึงที่สุด ถึงแม้ระบอบกฎเหล็กอันยาวนาน 41 ปีของกัดดาฟีกำลังถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลกหรือแม้แต่กระทั่งจากพวกพ้องของเขาเองมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการลุกฮือของผู้ประท้วงยังได้ขับไล่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลออกไปจากเบงซากี ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ ตลอดจนเมื่องอื่นๆ ทางภาคตะวันออกแล้ว ขณะเดียวกัน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นและนานาชาติได้ออกแถลงประณามพฤติการณ์ที่รัฐบาลสังหารพลเรือนอย่างโหดเหี้ยมด้วยฝูงบินรบและขบวนรถถัง โดยที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลีระบุวันพุธ(23) มีประชาชนลิเบียถูกสังหารโหดถึง 1,000 คน

    กัดดาฟี ปรากฏตัวต่อสาธารณชนผ่านสื่อโทรทัศน์ทางการอีกครั้งเมื่อช่วงค่ำวันอังคาร (22) ประกาศก้องด้วยน้ำเสียงอันเด็ดเดี่ยวระคนอารมณ์เกรี้ยวกราดตามแบบฉบับของเขา ระบุว่า “ที่นี่เป็นประเทศของผม ประเทศของผม ผมจะต่อสู้ไปจนกระทั่งเหลือเลือดหยดสุดท้าย”

    อดีตนายทหารชั้นยศพันเอกผู้นี้ซึ่งยึดอำนาจด้วยการทำรัฐประหารและปกครองลิเบียมาตั้งแต่ปี 1969 ยังประกาศลั่นด้วยว่า “ผมจะเสียสละชีวิตในดินแดนบรรพบุรุษของผม” พร้อมกันนี้กัดดาฟียังเรียกร้องให้พวกที่ภักดีต่อเขาออกมาชุมนุมให้การสนับสนุนระบอบของเขาตั้งแต่วันพุธ (23) เป็นต้นไป

    นอกจากนี้ กัดดาฟี ยังขู่ด้วยว่าจะตามล่ากวาดล้างพวกต่อต้านระบอบไปทุกซอกทุกมุม ไม่เว้นแม้กระทั่งบ้านหลังไหน และจะค้นหาทุกตารางนิ้ว พร้อมกับเตือนให้ผู้ประท้วงวางอาวุธและยอมแพ้เสีย มิเช่นนั้นพวกเขาจะได้ลิ้มรสการถูก “สังหารหมู่”

    “จับพวกหนู” เขากล่าวโดยที่หมายถึงเหล่าผู้ประท้วง “ออกมาจากบ้าน และถล่มใส่พวกมันให้สิ้นซากไม่ว่าพวกมันจะอยู่ที่ไหนก็ตาม”

    ก่อนหน้านี้มีรายงานจากสื่อหลายสำนัก อาทิ อัลญะซีเราะห์, รอยเตอร์และเอเอฟพี ที่ต่างก็ระบุตรงกันว่า กัดดาฟี ได้สั่งการให้รถถัง, เครื่องบินรบ และเฮลิคอปเตอร์ พร้อมด้วยทหารรับจ้างออกบดขยี้กลุ่มผู้ประท้วงอย่างโหดร้ายทารุณ ด้วยการทิ้งบอมบ์ และกราดยิงแบบไม่เลือกหน้า ซึ่งต่อมาข้อมูลเหล่านี้ก็ได้รับการยืนยันโดยบี. ลินเน ปาสกาว รองเลขาธิการยูเอ็นด้านกิจการการเมือง ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมวิสามัญว่าด้วยสถานการณ์ความไม่สงบในลิเบียเมื่อช่วงเช้าวันอังคาร (22) ตามเวลาในนิวยอร์ก โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติและพยานผู้ในอยู่ในเหตุการณ์หลายคนในลิเบียได้พบเห็นกิจกรรมการปราบปรามผู้ประท้วงของกองทัพด้วยตาตัวเอง

    “พวกเขาเห็นเครื่องบินรบหลายลำบินโฉบอยู่เหนือศีรษะ พวกเขาพบเห็นเฮลิคอปเตอร์หลายลำบินวนอยู่เหนือหัว พวกเขาเห็นขบวนรถถัง พวกเขาเห็นทหารบางคนไล่ยิงผู้คนไม่หยุดบนพื้นดิน รวมทั้งยังมีผู้ที่พบเห็นพวกสไนเปอร์ดักซุ่มอยู่อีกด้วย” ปาสกาว บอก

    ทั้งนี้ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม คณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ได้ออกคำแถลงประณามผู้นำลิเบียแม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อของกัดดาฟีโดยตรงก็ตาม

    “ทางคณะมนตรีฯ ประณามเหตุความรุนแรงและการใช้กำลังเข้าปราบปรามพลเรือน ขณะเดียวกันก็แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อพลเรือนลิเบียหลายร้อยคนที่เสียชีวิต”

    คำแถลงโดยสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง 15 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วยมหาอำนาจตะวันตกหลายประเทศ, รัสเซีย, จีน และอินเดีย ยังเน้นย้ำให้รัฐบาลลิเบียออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่กระทำกับพลเรือน ซึ่งรวมทั้งการเอาผิดกับกลุ่มกองกำลังที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาให้กระทำการปราบปรามโหดอีกด้วย “

    ลงท้าย ถ้อยแถลงของยูเอ็นเอสซี ยังระบุว่า รัฐบาลลิเบียจักต้อง “ปกป้องประชากรของตน” และอนุญาตให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและหน่วยงานด้านมนุษยธรรมเข้าไปในลิเบียได้ ตลอดจนรับประกันความปลอดภัยของชาวต่างชาติในลิเบียและให้ความช่วยเหลือแก่คนเหล่านี้หากพวกเขาต้องการจะออกนอกประเทศ

    อย่างไรก็ตาม อิบรอฮิม ดับบาชี รองเอกอัครราชทูตลิเบียประจำยูเอ็น ซึ่งประกาศประณามกัดดาฟี ระบุว่า คำแถลงของคณะมนตรีความมั่นคงคราวนี้ ยังไม่รุนแรงเพียงพอ โดยที่บอกด้วยว่า ทหารลิเบียหน่วยต่างๆ ตอนนี้ได้โจมตีใส่พลเรือนระลอกใหม่หลังจากที่กัดดาฟีออกมาประกาศทางทีวี

    ทางด้าน บัน คีมูน เลขาธิการยูเอ็น ยังเรียกร้องให้นานาชาติร่วมมือร่วมใจกันกดดันให้ลิเบียทำการถ่ายโอนอำนาจผู้นำทันทีและโดยสันติวิธี

    “สถานการณ์ ณ ปัจจุบันยังคาดการณ์อะไรไม่ได้ และอาจมีความเป็นไปได้ในหลายทิศทาง ด้วยเหตุนี้ประชาชนจำนวนมากจึงกำลังตกอยู่ในภยันตราย” บัน กล่าวที่นครลอสแองเจลิสเมื่อค่ำวันอังคาร (22) ก่อนที่จะบินกลับสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก

    “ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญยิ่งเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งจำเป็นที่ประชาคมโลกจะต้องรักษาความเป็นเอกภาพเอาไว้และตอบโต้ไปด้วยกันเพื่อรับประกันว่าจะเกิดการเปลี่ยนผ่านของระบอบขึ้นในลิเบียโดยทันทีและด้วยสันติวิธี”

    ขณะที่องค์การสันนิบาตชาติอาหรับ ซึ่งได้ประชุมวาระเร่งด่วนกรณีลิเบียในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกับคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น ก็ได้มีมติออกมาให้ระงับความเป็นสมาชิกภาพของลิเบียชั่วคราว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่องค์การดังกล่าวลงโทษขับประเทศสมาชิกด้วยเหตุผลด้านกิจการภายในของประเทศนั้นๆ

    นอกจากนี้ ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี ของฝรั่งเศส ยังออกมาเรียกร้องวันพุธ (23) ให้สหภาพยุโรปออกมาตรการคว่ำบาตรลิเบีย ด้วยการตัดสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการเงินกับลิเบียเป็นการชั่วคราว

    ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศ ฟรังโก ฟราตตินี ของอิตาลี แถลงวานนี้ว่า เขาไม่แน่ใจว่าการปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดของทางการลิเบีย ทำให้มีประชาชนถูกสังหารไปมากแค่ไหน แต่ “เราเชื่อว่าการประเมินที่ราว 1,000 คนเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ”

    เขาบอกด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลลิเบียไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในจังหวัดซีเรไนกา ที่อยู่ทางภาคตะวันออกได้แล้ว

    ขณะที่ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพีรายงานจากภาคสนามว่า การลุกฮือของประชาชนได้ขับไล่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลออกไปจากภาคตะวันออกของประเทศเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ รวมทั้งเมืองเบงกาซี ที่เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ และเมืองโตบรูก

    สำหรับความเคลื่อนไหวทั่วไปของชาติต่างๆ ปรากฏว่า ทั้งจีน, รัสเซีย, อินเดีย, เกาหลีใต้, ฝรั่งเศส และสหรัฐฯ ซึ่งต่างหวาดวิตกต่อสถานการณ์ความไม่สงบในลิเบียและเป็นห่วงในสถานภาพความปลอดภัยของพลเรือนตนในประเทศดังกล่าว ต่างก็ได้ทยอยส่งเครื่องบินหรือจัดหาเรือมารับพลเรือนของตนกลับประเทศ

    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000024235
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ประท้วง'บาห์เรน'ดำเนินต่อแม้รบ.ปล่อยนักโทษการเมือง23คน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 กุมภาพันธ์ 2554 21:33 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    นักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านบาห์เรนได้รับการต้อนรับจากผู้ชุมนุม หลังถูกปล่อยตัวตามรับสั่งของกษัตริย์ฮาหมัด บิน อิสซา อัล-คอลิฟะห์

    เอเอฟพี - ผู้ประท้วงบาห์เรนยืนกรานวันพุธ (23) จะไม่สลายตัวจากจัตุรัสเพิร์ลในกรุงมานามาอย่างแน่นอน แม้ว่าทางการได้ปล่อยตัวนักเคลื่อนไหวฝ่ายค้านนิกายชีอะห์จำนวน 23 คนตามรับสั่งของกษัตริย์ฮาหมัด บิน อิสซา อัล-คอลิฟะห์ อันเป็นความพยายามหนึ่งที่จะเอาใจฝ่ายค้านเพื่อหวังให้พวกเขายอมนั่งลงเจรจากับรัฐบาล

    ก่อนหน้านี้กษัตริย์ฮาหมัดได้พระราชทานอภัยโทษแด่นักโทษการเมืองหลายคน ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงซาอิด อัล-ชิฮาบี เลขาธิการกลุ่มเคลื่อนไหวฟรีดอม อิสลามมิก และฮัสซาน มาชออีมา ผู้นำขบวนการฮาก ซึ่งเป็นกลุ่มชีอะห์สุดโต่ง โดยทั้งคู่ถูกทางการระบุเป็นพวกนอกกฎหมาย และที่ผ่านมาทั้งสองก็ได้พำนักอยู่ในลอนดอน

    Around the World - Manager Online -
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ชาวไครสต์เชิร์ช 80% ไม่มีน้ำใช้ หลังแผ่นดินไหวทำลายสิ้น

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กุมภาพันธ์ 2554 19:20 น.



    [​IMG]


    สภาพอาคารที่โดนแผ่นดินไหวเล่นงาน





    นิวซีแลนด์ เฮรัลด์ - ชาวเมืองไครสต์เชิร์ช ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องใช้ชีวิตโดยปราศจากน้ำในค่ำคืนนี้ (23) หลังจากวิกฤตธรณีพิโรธ ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 75 ราย

    สำนักป้องกันภัยพลเรือนและสถานการณ์ฉุกเฉินไครสต์เชิร์ช (ซีดีอีเอ็ม) ได้เรียกร้องให้ประชาชนพักอยู่ในสถานที่ปลอดภัย และเดินทางเมื่อจำเป็นเท่านั้น สำนักซีดีอีเอ็ม ได้ระบุเพิ่มเติมว่า โรงเรียน และสถานประกอบการต่างๆ ในเมืองประสบภัยแห่งนี้จะปิดทำการไปตลอดสัปดาห์

    ส่วนปัญหาที่ประชาชนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของเมืองขาดน้ำอุปโภค ทางการแนะนำให้ชาวเมืองช่วยกันประหยัดน้ำให้มากที่สุดในช่วงนี้ อาทิ การใช้ห้องน้ำเมื่อจำเป็น และเตรียมถังไว้รองน้ำ หากฝนตกในช่วงนี้ อีกทั้งยังได้เน้นย้ำให้มีการต้มน้ำเสียก่อนนำมาอุปโภคบริโภค

    แหล่งน้ำสะอาด

    ณ ตอนนี้ทั่วเมืองไครสต์เชิร์ช มีสถานที่ 14 แห่ง ซึ่งผู้ประสบภัยสามารถหาน้ำสะอาดได้ ซึ่งรวมถึงโรงเรียน 6 แห่ง โดยตั้งแต่ 06.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น พรุ่งนี้ (24) จะมีสถานที่เพิ่มเติมอีก 9 แห่ง ซึ่งผู้ประสบภัยสามารถรับน้ำที่ผ่านการต้มฆ่าเชื้อแล้วได้ และวันพรุ่งนี้เช่นกันจะมีรถบรรทุกน้ำสะอาดจำนวน 34 คัน เข้าไปให้บริการประชาชนในเมืองไครสต์เชิร์ช

    ส่วนเรื่องกระแสไฟฟ้า เจ้าหน้าที่สามารถกู้คืนมาได้เพียง 60 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น โดยบริเวณทางตะวันออกของเมืองไครสต์เชิร์ช มีความคืบหน้าในการซ่อมแซมระบบไฟฟ้าไม่มากนัก เนื่องจากสภาพถนน และระบบเครือข่ายไฟฟ้าล้วนถูกทำลาย การประเมินความเสียหายอาจต้องใช้เวลาอีกหลายวัน เนื่องจากสายเคเบิลไฟฟ้าส่วนมากฝังไว้ใต้ดิน

    ศูนย์บรรเทาทุกข์

    ศูนย์ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์กำลังแจกจ่ายทั้งผ้าห่ม อาหาร และการสุขาภิบาลให้กับผู้ประสบภัย โดยศูนย์ช่วยเหลือที่สวนสาธารณะแฮกลีย์ พาร์ก ได้รับดูแลผู้ประสบภัยเต็มกำลังแล้ว จึงต้องได้ส่งผู้เคราะห์ร้ายบางส่วนไปยังศูนย์ช่วยเหลือที่ สนามโควเลส สเตเดียม ซึ่งเพิ่งเปิดรับผู้ประสบภัยในวันนี้

    ทั้งนี้ ศูนย์ป้องกันภัยพลเรือนไครสต์เชิร์ชกำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อเปิดศูนย์บรรเทาทุกข์เพิ่มเติม โดยขณะนี้ศูนย์ช่วยเหลือที่โรงเรียนเบิร์นไซด์ไฮกำลังรับดูแลผู้ประสบภัยราว 700 คน และสภาเทศบาลเขตไวมาคารีรี ก็ได้ตั้งศูนย์บรรเทาทุกข์ขึ้นที่โบสถ์ แบปทิสต์เชิร์ช เพิ่มเติม

    ภายในเที่ยงวันพรุ่งนี้ เจ้าหน้าที่หน่วยค้นหาและกู้ภัย (ยูเอสเออาร์) จำนวน 220 คน จะเข้าประจำการในเมืองไครสต์เชิร์ช และจะมีเจ้าหน้าที่ยูเอสเออาร์อีกประมาณ 700 คน ร่วมปฏิบัติการช่วยเหลือในอีก 48 ชั่วโมงข้างหน้า

    เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครกำลังช่วยกันเก็บกวาดซากปรักหักพังบนถนน ซึ่งมีสภาพเป็นหลุม รอยแยกทั่วทั้งเมือง ขณะนี้มีหน่วยทำงานฉุกเฉิน 4 ทีม กำลังตระเวนตรวจสอบความเสียหายของอาคารสำคัญ อาทิ ร้านซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า และสถานีต่างๆ ทั่วเมือง

    [​IMG]

    เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังวางแผนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยวันนี้ (23)




    [​IMG]

    มหาวิหารไครสต์เชิร์ช ภาพนี้บันทึกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1995 มหาวิหารแห่งนี้เป็นเสมือนสัญลักษณ์สำคัญของเมือง




    [​IMG]

    สภาพของมหาวิหารไครสต์เชิร์ชในวันนี้

    Around the World - Manager Online -
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทูตลิเบียประจำ อินโดฯ-สิงคโปร์-บรูไน “ลาออกยกแผง” ร่วมกดดัน กัดดาฟี

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กุมภาพันธ์ 2554 17:42 น.


    [​IMG]



    ชาวลิเบียในสหรัฐฯ รวมตัวประท้วงเช่นกัน โดยเปรียบเทียบ กัดดาฟี ว่าไม่ต่างอะไรกับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว





    เอเอฟพี - เอกอัครราชทูตลิเบีย ประจำอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และ บรูไน พร้อมใจกันลาออกจากตำแหน่ง เพื่อประท้วงการสลายฝูงชนของ มูอัมมาร์ กัดดาฟี กระทรวงต่างประเทศอิเหนา เปิดเผยวันนี้ (23)

    ซาเลเฮดดิน เอ็ม.เอล บิชารี ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์จาการ์ตา โพสต์ ว่า การลาออกดังกล่าวเป็น “การตัดสินใจส่วนตัว” นักการทูตลิเบียผู้นี้ยังได้แสดงความกังวลถึงความปลอดภัยของครอบครัวในลิเบีย

    “ทหารกำลังฆ่าประชาชนผู้ไร้อาวุธอย่างเลือดเย็น มีการใช้อาวุธหนัก เครื่องบินรบ และทหารรับจ้าง เพื่อปราบปรามประชาชนในชาติตัวเอง มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ผมทนมาพอแล้ว และจะไม่ทนอีกต่อไป” เอกอัครราชทูตลิเบียประจำอินโดนีเซีย กล่าว

    “ผมได้ยื่นในลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาประชาชนลิเบียประจำอินโดนีเซีย เพื่อคัดค้านต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศของผม”

    นักข่าวเอเอฟพีไม่สามารถติดต่อนัการทูตท่านนี้ เพื่อสอบถามถึงเรื่องดังกล่าวได้ ทว่า โฆษกกระทรวงต่างประเทศอินโดนีเซีย ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ซาเลเฮดดิน เอ็ม.เอล บิชารี ได้แจ้งเรื่องการลาออกจากตำแหน่งเอกอัครราชทูตกับรัฐบาลกรุงจาการ์ตา

    วานนี้ (22) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ประณามความรุนแรง และการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมโดยสันติของประชาชน และได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อชีวิตผู้คนจำนวนมากที่ต้องสังเวยให้กับความลุแก่อำนาจของ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี

    รัฐบาลลิเบีย ยอมรับว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 300 รายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนทั้งหลายระบุตรงกันว่า ยอดผู้เสียชีวิตอาจมีมากกว่า 400 ราย

    ประธานาธิบดี กัดดาฟี สั่งการให้กองกำลังของรัฐกำจัด “หนูสกปรก” ออกจากท้องถนน และฝากคำเตือนไปถึงผู้ประท้วงที่มีอาวุธว่า พวกเขาจะได้รับโทษประหารชีวิต ผู้นำลิเบียรายนี้ยังประกาศสู้จนตัวตาย

    มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้ครองอำนาจยาวนานที่สุดในบรรดาชาติอาหรับ กล่าวว่า เขายอมพลีชีพ แต่ไม่มีวันสละอำนาจ

    [​IMG]

    ประชาชนชาวลิเบียในญี่ปุ่นรวมตัวประท้วงการใช้กำลังปราบปรามฝูงชนของ มูอัมมาร์ กัดดาฟี วันนี้ (23)



    [​IMG]


    ภาพใบหน้าของผู้นำเผด็จการลิเบีย ถูกเหยียบซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการประท้วง บนถนนกรุงโตเกียว



    [​IMG]


    ชาวเกาหลีใต้ผู้รักประชาธิปไตยก็ช่วยประท้วงขับไล่ กัดดาฟี ด้วยอีกแรง



    [​IMG]


    นักเคลื่อนไหวชาวเกาหลีใต้รวมตัวประท้วงบริเวณหน้าสำนักงานประสานงานธุรกิจลิเบียในกรุงโซล วันนี้ (23)



    [​IMG]


    ชาวลิเบียในมาเลเซีย ชุมนุมขับไล่กัดดาฟีในกรุงกัวลาลัมเปอร์วันนี้เช่นกัน



    [​IMG]


    มูอัมมาร์ กัดดาฟี อาจกลายเป็นผู้นำ ที่มีคนต้องการเหยียบหน้ามากที่สุดในขณะนี้

    Around the World - Manager Online -
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    “อิตาลี” เตรียมใจรับผู้ลี้ภัยลิเบียราว 300,000 คน หาก “กัดดาฟี” ถูกโค่น

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 กุมภาพันธ์ 2554 16:26 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    ฟรังโก แฟรตตินี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี

    เอเจนซี - ผู้อพยพราว 300,000 คน จากลิเบียอาจหลบหนีการประท้วงเข้ามายังอิตาลี ฟรังโก แฟรตตินี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิตาลี กล่าวในการสัมภาษณ์ซึ่งเผยแพร่วันนี้ (23)

    ประชาชนราว 2.5 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของพลเมืองลิเบียทั้งหมด เป็นผู้อพยพจากประเทศทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา และอาจหลบหนีออกจากลิเบียหากรัฐบาลของ มูอัมมาร์ กัดดาฟี ถูกโค่นล้ม แฟรตตินี ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ กอร์ริเอเร เดลลา เซรา

    “เราคาดเดาได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อระบอบการปกครองในลิเบียล่มสลาย นั่นหมายถึงคลื่นผู้อพยพประมาณ 200,000-300,000 คน หรือราวๆ 10 เท่าของผู้อพยพชาวแอลเบเนียที่เราต้องรับไว้ในทศวรรษที่ 1990” แฟรตตินี กล่าว

    “นี่คือ การประมาณอย่างต่ำเท่านั้น มันอาจเหมือนการอพยพครั้งใหญ่ในพระคัมภีร์ไบเบิลเลยทีเดียว”

    รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของอิตาลี, ไซปรัส, ฝรั่งเศส, กรีซ, มอลตา และ สเปน จะประชุมร่วมกันวันนี้ (23) ที่กรุงโรม เพื่อกำหนดนโยบายรับมือการประท้วงในแอฟริกาเหนือ และให้คำแนะนำแก่คณะกรรมาธิการยุโรป”

    ทุกปีจะมีผู้อพยพผิดกฎหมายหลายหมื่นคนเดินทางจากชายฝั่งตอนเหนือของตูนิเซีย และลิเบีย มายังอิตาลี

    Around the World - Manager Online -
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อาร์เจนตินา “ระงับ” ฝึกร่วมกองทัพมะกัน หลังสัมพันธ์ทูต “ถอยหลังเข้าคลอง”

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 กุมภาพันธ์ 2554 16:04 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เครื่องบินลำเลียง ซี 17 ของกองทัพสหรัฐฯ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เอเอฟพี - อาร์เจนตินาระงับแผนการฝึกร่วมกับทหารสหรัฐฯ หลังเกิดความขัดแย้งทางการทูต กรณีการตรวจยึดยุทโธปกรณ์ และยาเสพติดจากเครื่องบินลำเลียงของกองทัพพญาอินทรี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรุงบัวโนสไอเรสเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (20)

    นิลดา การ์เร รัฐมนตรีความมั่นคงอาร์เจนตินา ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ปากีนา 12 ว่า รัฐบาลกรุงบัวโนสไอเรสจะไม่อนุมัติการทำงานของหน่วยความมั่นคงต่างชาติตลอดช่วงปี 2011 ซึ่งจะประกอบไปด้วย “การฝึกร่วม หรือการสัมมนา ซึ่งวิทยากรเป็นกำลังทหาร”

    การตัดสินใจดังกล่าวอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการทูตให้รุนแรงยิ่งขึ้น หลังจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรอาร์เจนตินาได้ตรวจยึด “เครื่องมืออันตราย” ที่ซุกซ่อนมากับการขนส่งของทางการสหรัฐฯ ระหว่างการตรวจค้นเครื่องบินลำเลียง ซี 17 ของกองทัพพญาอินทรี เครื่องบินลำนี้เดินทางเข้าไปยังกรุงบัวโนสไอเรส เมืองหลวงอาร์เจนตินา เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญและอุปกรณ์พิเศษสำหรับการฝึกช่วยเหลือตัวประกันร่วมกันระหว่างทั้ง 2 ประเทศ

    ทางการอาร์เจนตินาแถลงว่า เครื่องคาร์โก ซี 17 ของกองทัพสหรัฐฯ ลำนี้บรรทุกอาวุธที่ไม่ได้จดทะเบียน รวมทั้งยาเสพติด อย่างมอร์ฟีน ส่วนเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อธิบายว่า อุปกรณ์เหล่านั้นเป็นเครื่องมือทั่วไป สำหรับการฝึกสอนตำรวจรัฐบาลกลางอาร์เจนตินา โดยระบุว่าอุปกรณ์ที่ถูกยึดไปประกอบด้วย แบตเตอรี่ ยารักษาโรค ปืนไรเฟิล และเครื่องมือสื่อสาร

    “เราแปลกใจมากที่อาร์เจนตินาไม่รู้จักแยกแยะปัญหาง่ายๆ เรื่องอุปกรณ์การฝึก เราต้องการเครื่องมือของเราคืน” ฟีลิป ครอว์ลีย์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์

    ด้านรัฐมนตรีความมั่นคงอาร์เจนตินา นิลดา การ์เร ยังได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ติเอมโป อาร์เจนติโน ว่ารัฐบาลบัวโนสไอเรส มีความกังวลเกี่ยวกับการฝึกสอนโดยครูทหารของต่างชาติ “มันดูไม่สมเหตุสมผลที่จะให้กองทัพชาติอื่น มาฝึกสอนกองกำลังความมั่นคงของอาร์เจนตินา”

    เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อาร์เจนตินากล่าวหาสหรัฐฯ ว่า ไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน กระทรวงต่างประเทศของอาร์เจนตินาเองกลับแถลงว่า รู้สึก “งุนงงและกระวนกระวาย” กับการตรวจค้นเครื่องบินลำเลียง ซี 17 ลำดังกล่าว

    ความสัมพันธ์ระหว่างอาร์เจนตินา-สหรัฐฯ เย็นชาลง ตั้งแต่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา คัดชื่ออาร์เจนตินาออกจากกำหนดการเดินทางเยือนละตินอเมริกาเป็นครั้งแรก โดยผู้นำสหรัฐฯ เลือกเยือน เอลซัลวาดอร์ บราซิล และชิลี ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนหน้า

    Around the World - Manager Online -
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    3 เดือนจีนทุ่มลงทุนพม่ากว่า $3,000 ล้าน เฉือนไทยขึ้นเบอร์ 1
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>23 กุมภาพันธ์ 2554 23:19 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    ภาพแฟ้ม 21 ส.ค.2553 ชาวพม่าในท้องถิ่นพยายามเบียดเสียดแย่งกันขึ้นรถไฟที่สถานีทองโบน (Taungbyone) ใกล้กับเมืองมัณฑะเลย์ เมื่อมีเทศกาลก็มักจะเป็นแบบนี้ พม่ากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงอันสำคัญ การเมืองภายในเริ่มนิ่งภายใต้ระบอบทหารที่แปลงร่างเข้าปกครองประเทศในคราบพลเรือน เดือน พ.ย.2553-ม.ค.2554 เงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าไปกว่า 3,500 ล้านดอลลาร์ เป็นทุนจากจีนมากที่สุด ซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 แทนทุนไทย.-- REUTERS/Soe Zeya Tun.

    ASTVผู้จัดการออนไลน์-- ในช่วงเดือน พ.ย.2553- ม.ค.2554 ต่างชาติเข้าลงทุนในพม่าเป็นเงินทั้งสิ้น 3,560 ล้านดอลลาร์ ทำให้เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) เพิ่มขึ้นเป็นทั้งหมด 35,406 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่รัฐบาลทหารเปิดรับการลงทุนในปี 2531 เป็นต้นมา

    เงินลงทุนในช่วง 3 เดือนดังกล่าวนี้ ไปจากจีนมากที่สุดถึง 3,180 ล้านดอลลาร์ จากสิงคโปร์ 186 ล้าน เกาหลี 183 ล้าน และ ดินแดนฮ่องกงอีก 3 ล้านดอลลาร์ นิตยสารข่าวป็อปปูลาร์นิวส์ภาษาพม่ารายงานในฉบับล่าสุดโดยอ้างตัวเลขกระทรวงวางแผนและพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ

    หากนับตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เงินลงทุนจากจีนมีมูลค่ารวมกันถึง 9,603 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นผู้ลงทุนมากที่สุด แทนที่ประเทศไทยที่มีเงินลงทุนในประเทศนี้รวม 9,568 ล้านดอลลาร์ สื่อกึ่งทางการกล่าว

    เงินทุนจากจีนเพิ่มขึ้นสูงมาก เนื่องจากบริษัทจีนเข้าลงทุนในแขนงก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก (ชายฝั่งทะเลเบงกอล) สร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้า สำรวจและผลิตน้ำมันดิบและก๊าซ รวมทั้งในการสำรวจแหล่งแร่ล้ำค่าด้วย

    แม้จะถูกสหรัฐฯ กับโลกตะวันตกคว่ำบาตร แต่จนถึงปัจจุบันมีบริษัทเอกชนและของรัฐบาล 433 แห่งจาก 31 ประเทศและดินแดน เข้าลงทุนใน 12 แขนงเศรษฐกิจในพม่า ตั้งแต่การสำรวจพลังงาน ผลิตไฟฟ้า การผลิต การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและการท่องเที่ยว เหมืองแร่ การโทรคมนาคมและขนส่ง การเลี้ยงสัตว์ ประมง อุตสาหกรรม ก่อสร้าง การเกษตรและบริการต่างๆ

    ปัจจุบันจีนกำลังเร่งก่อสร้างท่าเรือที่เกาะจ๊อกเปียว ใกล้กับเมืองสิตเตว เมืองเอกของรัฐระไค (ยะไข่) เพื่อให้เป็นท่าเรือน้ำลึกสำหรับขนถ่ายน้ำมันและสินค้าในทะเลเบงกอล และ ที่นั่นกำลังจะเป็นศูนย์การสำรวจและผลิตน้ำมันดิบและก๊าซใหญ่ที่สุดในประเทศ

    จีนกำลังเร่งก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำมันกับท่อส่งก๊าซคู่ขนานผ่านดินแดนพม่าไปยังชายแดนจีนมณฑลหยุนหนัน ในปี 2552 พม่าได้เซ็นสัญญาจำหน่ายก๊าซปริมาณมหาศาลในแปลงสำรวจ A-1 กับ A-3 ให้แก่จีนทั้งหมด แม้ว่ากลุ่มบริษัทเกาหลี-อินเดีย จะเป็นผู้ลงทุนสำรวจขุดค้นจนพบก็ตาม ทั้งหมดจะถูกส่งผ่านระบบท่อที่กำลังก่อสร้าง

    ขณะเดียวกันการมีท่อส่งน้ำมันดิบผ่านพม่าทำให้จีนลดการพึ่งพาการขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางผ่านช่องแคบมะละกา ที่เสี่ยงต่อการถูกปิดกั้นในสภาวะสงคราม

    ปัจจุบันบริษัทรัฐบาลจีนกำลังเร่งก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าหลายแห่ง รวมทั้งเขื่อนมี๊ตโสน (Myitsone) ขนาด 6,000 เมกะวัตต์ กั้นลำน้ำสาขาของแม่น้ำอิรวดีในรัฐกะฉิ่น ซึ่งเป็นโครงการเขื่อนใหญ่ที่สุดในพม่าขณะนี้.

    IndoChina - Manager Online - 3
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เงินเฟ้อพุ่งสูง ปัญหาท้าทายฮ่องกง

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>24 กุมภาพันธ์ 2554 09:15 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    นาย จอห์น เจิง จวิ้นหวา รัฐมนตรีคลังของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง - เอเจนซี่

    เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์/ เอเอฟพี - ขุนคลังฮ่องกงเตือน การพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อเป็นปัญหาใหญ่สุดที่ฮ่องกงกำลังเผชิญขณะนี้ พร้อมกับประกาศจัดหาที่ดินให้แก่ชาวฮ่องกงเพิ่มขึ้น อันเป็นมาตรการล่าสุดในการแก้ไขปัญหาราคาอสังหาริมทรัพย์แพงลิ่ว จนชาวฮ่องกงไม่สามารถหาซื้อได้

    นาย จอห์น เจิง จวิ้นหวา รัฐมนตรีคลังของเขตปกครองพิเศษฮ่องกงกล่าวในการแถลงงบประมาณประจำปีต่อสภานิติบัญญัติฮ่องกง(23 ก.พ.) ว่า เศรษฐกิจแผ่นดินใหญ่และเอเชีย ที่เติบโตแข็งแกร่งมีส่วนหนุนให้เศรษฐกิจของฮ่องกงในปี2553 ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์จากวิกฤตเศรษฐกิจโลกเมื่อปี 2551 และด้วยย่างก้าว ที่รวดเร็วเกินคาด โดยเศรษฐกิจฮ่องกงในปีที่แล้วโตถึงร้อยละ 6.8 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4.0-5.0

    อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของฮ่องกงยังเผชิญปัญหาท้าทาย ที่สำคัญอีกหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งกำลังพุ่งสูงขึ้น โดยเขาเตือนว่า เงินเฟ้ออาจพุ่งถึงร้อยละ 4.5 ในปีนี้ ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจฮ่องกงจะโตถึงร้อยละ 5.0

    นอกจากนั้น การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และแนวโน้ม ที่ราคาอาหารและสินค้าโภคภัณฑ์ในโลกปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อของฮ่องกง

    ขณะเดียวกัน วิกฤตหนี้สินภาครัฐในยุโรปยังไม่หมดไปอย่างสิ้นเชิงจึงอาจทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของฮ่องกงในปีนี้พร่ามัวไปบ้าง นอกจากนั้น เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างเปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปยังจะทำให้ในปีนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบสำหรับการส่งออกของชาติในเอเชียและฮ่องกง

    อย่างไรก็ตาม ข่าวดีสำหรับฮ่องกงก็คืออัตราการว่างงานในฮ่องกงลดลงร้อยละ 1.7 จากช่วงที่มีการว่างงานสูงสุดเมื่อกลางปี 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.8 เมื่อเร็ว ๆ นี้

    ขุนคลังฮ่องกงยังได้ประกาศมาตรการผ่อนคลายภาระของประชาชนในการแบกรับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ที่แพงขึ้น เช่นการให้เงินอุดหนุนด้านพลังงานและค่าเช่าบ้าน

    สำหรับการแก้ปัญหาฟองสบู่ราคาบ้านและที่ดินบนเกาะฮ่องกงนั้น เขาให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนการจัดหาที่ดินให้แก่ประชาชนมากขึ้น โดยทางการจะทยอยจัดการประมูลขายที่ดินเป็นลำดับในปีนี้ เพื่อเพิ่มอุปทานและสร้างเสถียรภาพในตลาดอสังหาริมทรัพย์

    ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา คณะผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงได้ประกาศมาตรการต่าง ๆ เพื่อสกัดราคาอสังหาริมทรัพย์ ที่พุ่งทะยานบนเกาะ ซึ่งมีประชากรอาศัยกันอย่างแออัด 7 ล้านคนแห่งนี้ อาทิ การขายทอดตลาดที่ดิน และควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารอย่างเข้มงวด แต่ก็ไม่สามารถสกัดราคาที่ดิน ที่แพงขึ้นได้

    ชาวฮ่องกงจำนวนมากถูกบีบให้ต้องซื้อที่อยู่อาศัยราคาแพง หรือไม่มีเงินพอ ที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง จึงก่อความโกรธแค้นในหมู่ประชาชนบนเกาะฮ่องกง ที่มีสภาพเศรษฐกิจแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา ขณะเดียวกันยังมีเสียงเตือนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟอีกด้วยว่า ให้ฮ่องกงระวังการเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์

    China - Manager Online -
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 09:07
    ยูเอ็นถอดตำแหน่งทูตสันถวไมตรีลูกสาวกัดดาฟี

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    [​IMG]

    ยูเอ็นถอดตำแหน่งทูตสันถวไมตรีลูกสาวกัดดาฟีขณะสถานการณ์รุนแรงไม่มีแนวโน้มว่าจะจบลงเร็ววัน

    นายมาร์ติน เนเซอร์กี โฆษกสหประชาชาติ(ยูเอ็น)เปิดเผยว่า โครงการพัฒนาของสหประชาชาติ(ยูเอ็นดีพี) ได้ตัดสินใจถอด ไอชา อัล-กัดดาฟี บุตรสาวของพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ออกจากตำแหน่งทูตสันถวไมตรีของโครงการ หลังจากสถานการณ์ใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามประชาชนที่ชุมนุมประท้วงของทางการลิเบีย รุนแรงขึ้นเรื่อยๆและไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงง่ายๆ
    ทั้งนี้ ไอชา อัล-กัดดาฟี ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตสันถวไมตรีของลิเบีย ประจำยูเอ็นดีพี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ปี 2552 ที่เน้นทำงานด้านต่างๆมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาความยากจนในลิเบีย โดยเฉพาะต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเอชไอวี/เอดส์ รวมทั้งรณรงค์ต่อสู้เพื่อป้องกันการใช้ความรุนแรงต่อสตรี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นละเอียดอ่อนในสังคมลิเบีย


    ไอชา อัล-กัดดาฟี เป็นอาจารย์ด้านกฏหมาย และมีรายงานข่าวว่าเธอเคยเป็นหนึ่งในคณะทนายฝ่ายจำเลย สู้คดีให้กับซัดดัม ฮุสเซน อดีตผู้นำเผด็จการของอิรัก หลังจากถูกโค่นอำนาจ และตำแหน่งทูตสันถวไมตรีเป็นตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งด้วยความสมัครใจของผู้ได้รับการแต่งตั้งและไม่มีเอกสารทางการทูตของยูเอ็นรองรับ

     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 01:00

    <DD class=columnist-name>กาแฟดำ </DD>ส่งคณะสังเกตการณ์มาชายแดน ไทย-กัมพูชาแค่ ‘พักยก’ เท่านั้น

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    “พี่เลี้ยง” ชื่อ “อาเซียน” ถือว่าได้ทำหน้าที่อย่างสมความคาดหวังแล้ว เมื่อทั้งไทยและกัมพูชายอมให้อินโดนีเซีย ในฐานะประธานปีนี้

    ส่ง “ผู้สังเกตการณ์” มา "ฝังตัว" อยู่ข้างละ 15 คน...แต่ผมมองว่านี่เป็นแค่ “พักยก” เท่านั้น
    แถลงการณ์ของอาเซียนบอกว่าการประชุมครั้งนี้ถือเป็น “ประวัติศาสตร์” ของอาเซียน เพราะสามารถใช้กฎบัตรขององค์กรนี้ช่วยในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างสองสมาชิก
    น่าสนใจคือประโยคที่ว่าการที่อินโดนีเซีย จะส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังชายแดนของสองประเทศครั้งนี้เป็นการ “ร้องขอ” ของสองประเทศนี้เอง มิใช่ข้อเสนอของอาเซียนหรือประธานอินโดฯ
    ที่น่าสนใจอีกข้อหนึ่งในแถลงการณ์นี้ บอกว่าไทยและกัมพูชาได้แจ้งกับที่ประชุม ของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนว่า ได้บรรลุความตกลงที่จะหลีกเลี่ยงความรุนแรง ตรงชายแดนของสองประเทศรอบๆ เขาพระวิหาร
    และทั้งสองประเทศรับปากว่าจะฟื้นคืนการเจรจาทวิภาคีอีกครั้ง
    “Cambodia and Thailand reported to the ADEAN Foreign Ministers Meeting this afternoon at Gedung Pancasila that they had mutually achieved an agreement to avoid further violence along their common border in the area of the Hindu Temple of Preah Vihear. They pledged to resume their bilateral negotiations…”
    ขอให้สังเกตว่าเป็นการใช้ภาษาการทูต ให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าไม่ได้เสียท่าต่อกันและกัน
    ไม่มีคำว่า “ลงนามในสัญญาหยุดยิง” อย่างที่เคยเข้าใจว่ากัมพูชาจะยืนยันเป็นเงื่อนไข
    แต่ก็มีคำว่า “ความตกลงที่จะหลีกเลี่ยงความรุนแรงเพิ่มเติมตรงชายแดน...”
    เป็น “agreement to avoid further violence along their common border...” แต่ไม่มีคำว่า “cease-fire” ซึ่งทำให้ทั้งไทยและกัมพูชาไม่ต้องเสียหน้า
    เพราะเดิมกัมพูชา ต้องการให้ลงนามในสัญญาหยุดยิง แต่ฝ่ายไทยบอกจะไม่เซ็น (เพราะถ้ามี “cease-fire” ก็แปลว่ามี “war” แต่ฝ่ายไทยยืนยันว่าไม่ใช่ war เป็นแค่ skirmishes คือไม่ใช่สงคราม เป็นแต่เพียงการปะทะกันเท่านั้น)
    การส่งผู้สังเกตการณ์ของอาเซียนไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเมื่อปี 1999 ก็เคยส่งไปติมอร์ตะวันออก และปี 2003-2005 ก็ส่งไปอาเจะห์ ของอินโดนีเซีย เหมือนกัน นอกนั้นอินโดฯ เองก็เคยส่งคณะผู้สังเกตการณ์ของตนไปฟิลิปปินส์ทางใต้
    แต่แค่การตกลงอย่างนี้ไม่ได้แปลว่า ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาจะจบลง ตรงกันข้ามกลับเป็นเพียง “จุดเริ่มต้นเท่านั้น” เพราะแถลงการณ์นี้ก็ยอมรับว่า อาเซียนยังจะต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายเพิ่มเติม ที่จะต้องฟันฝ่าอีกในกระบวนการสร้างประชาคมอาเซียนในปี 2015
    การตกลงว่าจะส่งคณะผู้สังเกตการณ์ของอินโดนีเซียไปชายแดนไทย-กัมพูชา ยังต้องลงรายละเอียดอีกว่าจะทำกันอย่างไร และบทบาทหน้าที่ของ “ผู้สังเกตการณ์” นั้นคืออะไร?
    รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดฯ มาตี้ นาตาเลกาวา ประกาศว่าอินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนจะ “ช่วยและสนับสนุน” ทั้งสองประเทศในการเคารพต่อข้อผูกพัน ในอันที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะทางทหารในอนาคต... ด้วยการสังเกตและรายงานอย่างแม่นมั่นและไร้อคติ ต่อการร้องเรียนว่าด้วยการฝ่าฝืนข้อตกลง และส่งรายงานของการสืบสวนข้อเท็จจริงไปให้แต่ละฝ่ายผ่านอินโดนีเซีย
    แต่ต้องไม่ลืมว่า แม้ว่าคณะผู้สังเกตการณ์จะมีเจตนาและต้องการจะสานสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่ก็ไม่มีอำนาจในการกำหนดว่าเส้นชายแดนระหว่างสองประเทศคู่กรณีอยู่ตรงไหน และหากต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิของตนเหนือจุดใดจุดหนึ่งของดินแดนที่เป็นข้อพิพาท ก็ยังบอกไม่ได้ว่าคณะผู้สังเกตการณ์นี้จะตัดสินได้อย่างไรว่าใครถูกใครผิด
    ผมยังไม่เชื่อว่ากัมพูชา จะจบลงตรงอินโดฯ ส่งคณะผู้สังเกตการณ์มาที่ชายแดน เพราะแผนของนายกฯ ฮุน เซน คือการหาเหตุที่จะเอาเรื่องนี้กลับไปสู่ศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ตีความว่าบริเวณ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบๆ ปราสาทพระวิหารนั้นเป็นของใคร?
    เพราะเขามีความมั่นใจว่าเขาได้เปรียบไทย จึงพยายามจะให้เรื่องนี้กลับไปสู่ศาลระหว่างประเทศอีกรอบหนึ่ง ขณะที่ไทยยืนยันจะสงวนสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อตามที่ศาลโลกได้ตัดสินเอาไว้ในเรื่องนี้
    สรุปว่าการที่ไทยกับกัมพูชา ขอให้อินโดฯ ส่งคณะผู้สังเกตการณ์มาประจำทั้งสองฝั่งของชายแดนนั้น เป็นเพียงการ “พักยก” ของข้อพิพาทเท่านั้น....
    ความขัดแย้งยังต้องยืดต่อไปอีกหลายเพลา และไทยเราไม่อาจจะตายใจหรือลดการ์ดเป็นอันขาดในทุกกรณี

     

แชร์หน้านี้

Loading...