เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลีลาจบ "บินลาดิน" ?​


    3 พฤษภาคม 2554 - 00:00

    เป็น "สหรัฐอเมริกา" นี่ก็ดีอย่าง คือทำอะไรไม่เคยผิดเลย จะฆ่ากัดดาฟีคนเดียว ส่งเรือบินไปทิ้งระเบิดจนลิเบียพรุนไปทั้งประเทศ ก็ไม่ผิด ส่งเงิน-ส่งคนไปตั้งกองกำลังยึดประเทศเขาเพื่อครอบครองน้ำมัน ก็ไม่ผิด ใช้กองกำลังนาโตถล่มแทนจนชาวบ้านตายยับ-ตายเยิน ก็ไม่ผิด แถมอ้างหน้าตาเฉย นี่คือการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินพลเรือน
    แล้วเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามเวลาในสหรัฐ โอบามาก็มาในมุกใหม่ แถลงว่า.....
    "ฆ่าบินลาดินได้แล้ว"!
    สหรัฐทำถูกอีกแล้ว.....วุ้ย!
    ดูเหมือนว่าบิ๊กๆ ทั่วโลกจะได้รับการขอร้องให้ "ช่วยกันเชียร์หน่อย" เพื่อสร้างกระแสนำโลกว่า การฆ่าบินลาดินเป็นความถูกต้อง-ชอบธรรม เป็นการช่วยโลกให้เกิดสันติสุขอะไรประมาณนั้น ทั้ง CNN BBC CNBC พาดหัวคาจอ OSAMA BIN LADEN IS DEAD. เย่อกันอยู่ข่าวเดียว ๒๔ ชั่วโมง
    เรียกว่า โลกวันนี้...มีเรื่องเดียวที่ "เป็นข่าว"!
    จากเรื่องนี้ ทำให้รับรู้ทัศนคติ "สังคมอเมริกัน" ชัดเจนขึ้นอย่างหนึ่งคือ ในขณะที่ประเทศสหรัฐเจริญด้วยวิวัฒนาการทางวัตถุและเทคโนโลยีสูงสุด
    แต่ด้านจิตใจ คนอเมริกันยังคงดิบเหมือนเดิม ทัศนคติเดิมๆ เหมือนก่อนจะมารวมกันเป็นชาติสหรัฐอเมริกา คือยังนิยมใช้กำลัง ใช้การฆ่าระงับการฆ่า เหมือนหนังจีนโบราณที่ว่า "เลือดต้องล้างด้วยเลือด"!
    ดังนั้น จึงไม่แปลกที่โอบามา-ประธานาธิบดีแท้ๆ ชิงเอาหน้า-เอาตา ถึงขนาดแย่งหน้าที่ "โฆษกทำเนียบขาว" ออกมาแถลงด้วยตัวเองว่า
    ใช้หน่วยรบพิเศษจู่โจมสังหารบินลาดิน ผู้มีค่าหัว ๒๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หัวเละตายคาบ้านอันเป็นที่หลบซ่อนใกล้เมืองแอ็บบอตตาบัด ห่างจากเมืองหลวง "กรุงอิสลามาบัด" ของปากีสถาน ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๖๐ กิโลเมตร
    ตามข่าวบอกว่า นอกจากบินลาดินแล้ว ยังมีผู้เสียชีวิตในปฏิบัติการนี้อีก ๔ คน เป็นชาย ๓ หญิง ๑ รวมถึงลูกชายบินลาดินด้วยคนหนึ่ง รายละเอียดคิดว่าท่านคงหาอ่านได้จากข่าวเขย่าโลกแตกอยู่ตอนนี้แล้ว ผมคงไม่ต้องนำมาจาระไนอีก
    ในทันทีที่คนอเมริกันทราบข่าว นับเป็นหมื่นๆ ออกไปรวมตัวกันบริเวณที่ตั้งอาคารเวิลด์เทรดเซนเตอร์ ที่บินลาดินส่งคนไปปฏิบัติการช็อกโลก ขับเรือบินพุ่งชนอาคารแฝด จนมีคนตายไปร่วม ๓,๐๐๐ คน เมื่อ ๑๑ กันยา ๔๔ ต่างกระโดดโลดเต้น ส่งเสียงไชโยโห่ร้อง โบกธงชาติสหรัฐ แสดงความดีใจกันยกใหญ่ที่
    ฆ่าบินลาดินได้แล้ว...
    นี่คือ...ชัยชนะของประเทศสหรัฐอเมริกา!?
    ข่าวบอกด้วยว่า นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กดีใจถึงขนาดออกปาก "การตายของนายบินลาดิน เป็นจุดจบที่นำความสบายใจมาสู่ครอบครัวของผู้เสียชีวิต"
    เอาหละ..ผมก็ดีใจด้วยที่สหรัฐยึดคำว่า "เวรต้องระงับด้วยการจองเวร" สร้างความสุขใจ-สบายใจให้กับคนสหรัฐ ให้กับสังคมโลกด้วยการตามล้าง-ตามฆ่าบินลาดินได้สำเร็จ ความจริงบินลาดินกับสหรัฐก็มิใช่อื่นไกล เป็นพันธมิตร เป็นหุ้นส่วนปฏิบัติการครองโลกย่านตะวันออกกลาง โดยเฉพาะซาอุฯ มาด้วยกัน
    ถึงขั้นผูกเสี่ยว ดื่มน้ำสาบานเป็นญาติ เป็นพี่น้องกับตระกูลบุชด้วยซ้ำ!
    เอาหละครับ...ธรรมชาติสร้างมนุษย์ให้มีหู ๒ หู แต่ในยุคเทคโนโลยีครองโลก ฟังอะไรก็ฟังได้ แต่ควร "ฟังหู-ไว้หู" ก่อน ถึงแม้จะมีการนำภาพใบหน้าศพบินลาดินในสภาพหนวดเคราอาบไปด้วยเลือด เหยเกค้างด้วยความเจ็บปวดมาเผยแพร่ทางสื่อทั่วไปก็ตาม แถลงว่าตรวจดีเอ็นเอแล้วเป็นบินลาดินจริงก็ตาม
    แต่โชว์นี้ "คอปเปอร์ฟีลด์" บอกว่า...เด็กๆ?
    ได้ยินข่าว ศพบินลาดินถูกสหรัฐนำไปทิ้งทะเลแล้วบ้าง นำไปฝังไว้ริมฝั่งทะเลแห่งหนึ่งบ้าง หมายความว่า โลกรับรู้การตายของบินลาดินจากคำแถลงประธานาธิบดีสหรัฐเท่านั้น
    ไม่มีคนภายนอกได้เห็น ได้พิสูจน์ว่า บินลาดินตายจริง และคนที่ตายนั้น ใช่บินลาดินจริง!?
    บินลาดินกับสหรัฐนั้น ในข้อเท็จจริง มีความสัมพันธ์และประสานบทบาททั้งลึกซึ้งและทั้งลึกลับต่อกันมาก่อน หลบซ่อนอยู่ได้ตั้ง ๑๐ ปี ในขณะที่สหรัฐมีเทคโนโลยีหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร มองทะลุโลก ทะลุแผ่นดิน ไม่ว่าใคร-อะไรอยู่ตรงไหน ถ้าต้องการทราบสแกนหาแพล็บเดียวก็เจอ ดูอย่าง "ซัดดัม" มุดดินอยู่เป็นดักแด้ เอาเครื่องมือแหย่ๆ ก็เจอตัว
    แต่กับบินลาดิน เป็นสิบปี แหย่ไม่เจอซักที!?
    กับซัดดัม สหรัฐไม่ฆ่า แต่นำตัวไปขึ้นศาล ยืมมือศาลฆ่าแทน ทั้งการฆ่าและศพ สหรัฐเปิดเผยให้คนทั้งโลกเห็น และได้พิสูจน์ว่าเป็นอดีตประธานาธิบดีซัดดัมแห่งอิรักจริง
    แล้วทำไมล่ะ กับบินลาดิน ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ตกต่ำของโอบามา ท่ามกลางการเพ่งเล็งของหลายๆ ประเทศว่าใช้อำนาจไม่ชอบธรรม เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นชนิดมีประโยชน์แอบแฝง ในความเจ๋งแต่พูด เจ๊งในการทำหลายๆ อย่าง แล้วจู่ๆ โอบามาก็กลายเป็นฮีโร่ ด้วยข่าว
    ฆ่าบินลาดินได้แล้ว....
    แล้วไหนล่ะ "ศพบินลาดิน"?
    ทำไมเพิ่งมาเก่ง เพิ่งมาค้นหาที่หลบซ่อนพบล่ะ ถ้าสังหารได้จริง มันควรจะนำศพมาดีแคลร์ต่อสังคมโลก เพื่อความเป็นฮีโร่ที่ขาวสะอาด ที่ปราศจากข้อเคลือบแคลงสงสัย เหมือนกรณีซัดดัม จริงไหม?
    หรือนี่คือ "ละครโลกฉากสุดท้าย" ส่งบินลาดินขึ้นไปดังด้วยเป้าหมายหนึ่งแล้ว เมื่อถึงตาจำเป็นก็ให้ "บินลาดิน-ดับ" หายไปจากโลกนี้ ชนิดที่ตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีใครเห็น และตอนตายก็ไม่มีใครเห็นอีกเหมือนกัน นอกจาก....
    สหรัฐคนเดียว!?
    สรุปแล้ว "บินลาดิน" มีตัวตนหรือเปล่า หรือแค่ฉากหนึ่งของ "คอปเปอร์ฟีลด์" เท่านั้น?
    ขนาดประธานาธิบดีลินคอล์น ประธานาธิบดีเคนเนดี แม้กระทั่งมหาตมะ คานธี ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งความรัก ความดีที่คนทั้งโลกยกย่อง เมื่อท่านถูกยิงสิ้นชีวิต ร่างของท่านยังถูกนำมาให้ประชาชนได้คารวะ ได้พิสูจน์ด้วยตาว่า...ใช่
    แต่บินลาดิน บทบาทในสายตาโลก และภาพพจน์ที่ชาวโลกประทับรับรู้คือ ตัวแทนแห่งความเกลียดชัง ตัวแทนแห่งความเลวร้ายในด้านทำลายล้าง แล้วทำไมล่ะ....เมื่อตาย จะต้องถนอม หวงแหน ปกปิด ซุกซ่อนแบบลุกลี้-ลุกลน ไม่ยอมนำมาให้ผู้คนได้เห็น ได้สาปแช่งให้สมกับที่ชิงชัง และที่สำคัญ
    จะได้สบายใจกันจริงๆ ว่า....ใช่บินลาดินของแท้!
    ผมก็พูดให้หายคันใจบ้างเท่านั้น บินลาดินจะอยู่-จะตาย ไม่เกี่ยวกับผม และที่สำคัญ ใช่ว่าบินลาดิน คือสัญลักษณ์ "สงคราม-สันติภาพ" ของโลกวันนี้ ถึงตายไปจริงอย่างที่สหรัฐต้องการให้เชื่อ ก็ไม่มีอะไรค้ำประกันได้ว่า เมื่อสิ้นบินลาดิน ขบวนการก่อการร้ายของโลกจะสิ้นไปด้วย?
    ถ้าพูดถึงก่อการร้าย โดยใช้การทำลายล้างและการแทรกซึมเป็นตัวกำหนด ใช่ว่าอย่างบินลาดินทำเท่านั้นเป็นการก่อการร้าย มองจากอีกมุมหนึ่ง และใช้ความรู้สึกนึกคิดของคนอีกส่วนหนึ่งเป็นที่ตั้ง เขาก็อาจพูดได้ว่า
    อย่างที่สหรัฐ-ฝรั่งเศส-อังกฤษทำ ที่ยูเอ็น ที่ยูเอ็นเอสซี ที่นาโตทำอยู่เวลานี้ ทั้งที่ตะวันออกกลาง ที่แอฟริกาเหนือ นั่นก็คือการก่อการร้ายรูปแบบหนึ่ง ในทัศนคติของเขา!
    โลกนับวันจะซับซ้อนในพฤติกรรมที่สนองตัณหาขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยทัศนคติสังคมตะวันตกที่ใช้หลัก "เวรระงับด้วยการจองเวร" จึงไม่น่าแปลกใจที่สังคมโลกคาดหมายว่าสู่ศตวรรษใหม่ สังคมโลกซีกตะวันตกจะเข้าสู่มุมมืด ในขณะเดียวกัน สังคมโลกซีกตะวันออกจะเปิดรับแสงด้วย "วิถีบูรพา"
    วิถีบูรพา คือมนุษย์ในซีกโลกที่ยึดถือคุณธรรม-น้ำใจ ใช้ศาสนาเป็นหลักยึดใจ เมตตา-กตัญญู-อภัย ให้สติต่อกัน ระงับเวรด้วยการไม่ผูกเวร กรรมเก่าชดใช้ กรรมใหม่ไม่ก่อ
    ใครทำกรรมอย่างใดไว้ ก็เป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ในเมื่อสหรัฐยึดคติ "ถูกฆ่าก็ต้องฆ่าตอบ" ฉะนั้น เมื่อ "ฆ่าตอบ" บินลาดินสำเร็จแล้ว สหรัฐก็ต้องรับการผูกแค้นจากขบวนการ "อัลกออิดะห์" เพื่อสหรัฐจะต้อง "ถูกฆ่าตอบ" ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่กันไปอย่างนี้ไม่สิ้น-ไม่สุด
    "บินลาดิน" ถูกสหรัฐใช้วิธี "ฆ่าตอบ"

    เครดิต คุณตีโฉบฉวย
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รู้จัก “อัยมาน ซอวาฮิรี” ผู้ที่จะก้าวขึ้นมาแทนที่ “บิน ลาดิน”

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 พฤษภาคม 2554 05:32 น.


    [​IMG]



    อัยมาน อัล ซอวาฮิรี


    เอเอฟพี - ไม่น่ามีปัญหา คนที่จะก้าวขึ้นสู่ฐานะการเป็นผู้ถูกหมายหัวต้องการตัวเป็นอันดับหนึ่งของโลก สืบต่อจากอุซามะห์ บิน ลาดิน คงจะเป็นบุรุษหมายเลขสองของอัลกออิดะห์ในเวลานี้ ซึ่งก็คือ อัยมาน อัล ซอวาฮิรี (Ayman al-Zawahiri) ศัลยแพทย์ชาวอียิปต์ผู้ได้รับการจับตามองว่าเป็นจอมบงการตัวจริงของเครือข่ายก่อการร้ายเขย่าโลกกลุ่มนี้ด้วยซ้ำ

    ซอวาฮิรี ก็เฉกเช่นเดียวกับ บิน ลาดิน ต้องหลบเร้นซ่อนตัวนับตั้งแต่ที่สหรัฐฯ ประกาศทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ภายหลังเหตุวินาศกรรมในวันที่ 11 กันยายน 2001

    แต่ขณะที่ สหายชาวซาอุดีอาระเบียของเขาถูกหน่วย “ซีลส์” หน่วยทหารปฏิบัติการพิเศษแห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ จู่โจมปลิดชีพไปแล้วในช่วงคืนวันอาทิตย์ (1) ต่อกับก่อนเช้ามืดวันจันทร์ (2) ซอวาฮิรียังดูเหมือนจะสามารถหลบหนีลอยนวล ด้วยทักษะทางด้านการจัดตั้งองค์การ, ความเจ้าเล่ห์หลักแหลม และการข่าวที่ว่ากันว่าเหนือกว่าบิน ลาดิน เสียอีก

    รายงานสุดท้ายที่มีผู้พบเห็นซอวาฮิริตัวเป็นๆ ก็คือในเดือนตุลาคม 2001 ที่บริเวณภาคตะวันออกของอัฟกานิสถาน ใกล้ๆ กับพรมแดนปากีสถาน แต่หลังจากนั้นมาเขาก็ได้ปล่อยวิดีโอหลายต่อหลายชุดจากที่ซ่อนตัวของเขา โดยมีเนื้อหาปลุกระดมให้ทำสงครามกับฝ่ายตะวันตก

    ขณะที่ บิน ลาดิน ถูกมองว่าเป็นแรงบันดาลใจของอัลกออิดะห์ ซอวาฮิรีก็ถูกจับตาว่าเป็นมันสมองตัวจริงในการชี้นำการปฏิบัติการต่างๆ ซึ่งรวมทั้งการโจมตีสหรัฐฯ ในเหตุการณ์ 11 กันยายนด้วย และดังนั้นจึงมีผู้เสนอความเห็นว่า บุคคลผู้นี้เป็นผู้มีอันตรายมากกว่า

    อดีตศัลยแพทย์ผ่าตัดตาวัย 59 ปีผู้นี้ ถูกตั้งค่าหัวเอาไว้ 25 ล้านดอลลาร์ เขามีตำแหน่งเป็นนักยุทธศาสตร์ตัวหลักและที่ปรึกษาแนะนำคนสำคัญของ บิน ลาดิน โดยที่ในบัญชีผู้ก่อการร้ายซึ่งเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดของสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ยังระบุด้วยว่า เขาเป็นหมอส่วนตัวที่คอยดูแลรักษา บิน ลาดิน อีกด้วย

    ขณะที่ บิน ลาดิน หายไปจากสายตาของสาธารณชนภายหลังปี 2004 ก็มักจะเป็น ซอวาฮิรี นี่เองซึ่งเป็นผู้ออกมาปลุกเร้าเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่สาวกผู้ติดตาม ด้วยการปรากฏตัวในวิดีโอชุดแล้วชุดเล่า

    ซอวาฮิรีน่าจะได้พบกับบิน ลาดินเป็นครั้งแรก เมื่อตอนที่นักรบอิสลามจำนวนนับพันนับหมื่นจากทั่วโลกพากันหลั่งไหลเข้าไปยังอัฟกานิสถานในช่วงทศวรรษ 1980 เพื่อทำ “ญิฮัด” หรือสงครามศักดิ์สิทธิ์กับกองทหารสหภาพโซเวียต

    ตัวซอวาฮิรีก็มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีเหมือนๆ บิน ลาดิน แตกต่างกันตรงที่ครอบครัวบิน ลาดิน คือนักธุรกิจเต็มขั้น แต่บิดาของซอวาฮิรีเป็นแพทย์ชาวอียิปต์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง นอกจากนั้น ญาติผู้ใหญ่ในชั้นปู่ของเขาคนหนึ่งยังเป็นหัวหน้าอิหม่ามคนหนึ่งในสถาบันอัล อัซฮาร์ (Al-Azhar) แห่งกรุงไคโร ซึ่งถือเป็นสถาบันการศึกษาฝ่ายอิสลามที่ได้รับความเคารพยอมรับมากที่สุดของพวกมุสลิมนิกายสุหนี่

    เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับชุมชนมุสลิมหัวรุนแรงของอียิปต์ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเยาว์ และมีรายงานว่าเคยถูกจับกุมตั้งแต่อายุ 15 ปี ด้วยข้อหาเป็นสมาชิกของกลุ่มภราดรภาพมุสลิม (Muslim Brotherhood) ซึ่งเป็นกลุ่มอิสลามเคร่งจารีตที่เก่าแก่ที่สุดของโลกอาหรับ แต่ได้ถูกทางการอียิปต์ตีตราเป็นองค์กรนอกกฎหมาย

    ซอวาฮิรีได้จัดพิมพ์หนังสือหลายๆ เล่ม และการศึกษาหลายๆ ชิ้นว่าด้วยแนวความคิดแบบอิสลามเคร่งจารีต ซึ่งสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้ว แนวความคิดเช่นนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของขบวนการชาวอิสลามหัวรุนแรง

    เขาแต่งงานมีครอบครัวในปี 1979 และก็เข้าศึกษาทางการแพทย์ในกรุงไคโร จนสำเร็จเป็นศัลยแพทย์

    ซอวาฮิรีถุกจำคุกเป็นเวลา 3 ปีในอียิปต์ด้วยข้อหาเป็นพวกมุสลิมหัวรุนแรง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนลอบสังหารประธานาธิบดีอันวาร์ ซาดัต ในปี 1981

    ภายหลังพ้นโทษ เขาได้เดินทางออกจากอียิปต์ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 โดยในช่วงแรกไปอยู่ที่ซาอุดีอาระเบีย แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็บ่ายหน้าไปยังเมืองเปชวาร์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน และก็เป็นฐานใหญ่ของฝ่ายต่อต้านสหภาพโซเวียตที่ส่งทหารเข้าไปยึดครองอัฟกานิสถาน

    เขาทำงานเป็นแพทย์ที่คอยรักษานักรบที่บาดเจ็บ และเข้าพัวพันคบหากับพวกอิสลามหัวรุนแรงชาวอาหรับซึ่งหลั่งไหลมาเข้าร่วมสงคราม “ญิฮัด” คราวนี้ โดยที่หนึ่งในจำนวนนี้ก็คือ บิน ลาดิน

    ช่วงต้นทศวรรษ 1990 เชื่อกันว่าซอวาฮิรีไปพำนักอยู่ในยุโรป ก่อนที่จะมีการเชื่อมโยงอีกครั้งกับ บิน ลาดิน ในซูดาน หรือไม่ก็ในอัฟกานิสถาน

    เขาถูกจับในปี 1996 ขณะอยู่ในรัสเซีย โดยที่ดูเหมือนว่าเขากำลังพยายามที่จะระดมหานักรบญิฮัดเพื่อทำศึกช่วยเชชเนียแยกตัวจากรัสเซีย

    ในปี 1998 เขาเป็น 1 ใน 5 ผู้ร่วมลงนามในข้อบัญญัติทางศาสนา (ฟัตวา) ของ บิน ลาดิน ที่เรียกร้องให้ทำการโจมตีพลเรือนอเมริกัน จากนั้นเขาก็เริ่มปรากฏตัวเคียงข้างผู้นำอัลกออิดะห์ผู้นี้อย่างสม่ำเสมอ

    เขาถูกระบุเป็นจำเลยผู้หนึ่งในคำฟ้องของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าด้วยเหตุระเบิดสถานทูตสหรัฐฯในเคนเยาและในแทนซาเนียเมื่อปี 1998 นอกจากนั้นในอีก 1 ปีต่อมา เขายังถูกศาลอียิปต์ตัดสินลงโทษประหารชีวิตโดยที่มิได้ไปปรากฏตัวในระหว่างการพิจารณาคดี

    เมื่อกำลังทหารที่นำโดยสหรัฐฯ เข้าโค่นล้มระบอบปกครองตอลิบานในอัฟกานิสถานตอนเช่วงปลายปี 2001 เขาก็เป็นผู้นำอัลกออิดะห์ผู้หนึ่งที่ต้องหลบซ่อนเร้นกาย

    เขากับ บิน ลาดิน ได้ออกวิดีโอเผยแพร่สู่โลกภายนอกจำนวนหนึ่ง หลายครั้งที่แสดงให้เห็นทั้งคู่นั่งอยู่เคียงข้างกัน โดยที่มีอยู่ชุดหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังเดินไปบนภูเขาอันรกร้างห่างไกล

    ในเดือนมกราคม 2006 มีรายงานว่าซอวาฮิรีสามารถหลบรอดการโจมตีด้วยขีปนาวุธของสหรัฐฯที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ชาวชนเผ่าอันห่างไกลของปากีสถาน การโจมตีคราวนั้นทำให้มีคนอื่นๆ เสียชีวิตไป 18 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ปฏิบัติการของอัลกออิดะห์ 4 คน และเป็นพลเรือนจำนวนมาก

    เมื่อเดือนธันวาคม 2001 มีรายงานหลายกระแสระบุว่า ภรรยา, บุตรชายคนหนึ่ง และบุตรสาวอีก 2 คน ของซอวาฮิรี ได้ถูกสังหารจากการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯต่อเมืองกันดาฮาร์ ในอัฟกานิสถาน ทั้งนี้ในขณะนั้นสหรัฐฯกำลังอยู่ระหว่างการปฏิบัติการทางทหารเพื่อโค่นล้มระบอบตอลิบาน

    ฮามิด มีร์ นักหนังสือพิมพ์และนักวิเคราะห์ชาวปากีสถาน ผู้ซึ่งได้พบกับซอวาฮิรีในปี 1998 และ 2001 ระบุว่า ต่อมาซอวาฮิรีได้แต่งงานใหม่ และได้บุตรสาวจากภรรยาใหม่ของเขาเมื่อตอนปลายปี 2005

    Around the World - Manager Online -
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 3 พฤษภาคม 2554 10:22ดีเอ็นเอ-วิเคราะห์ภาพถ่ายยันใช่บิน ลาเดน
    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    [​IMG]

    ผลตรวจสอบดีเอ็นเอ-วิเคราะห์ภาพถ่ายยันใช่บิน ลาเดน
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110420/r20110427/show_ads_impl.js"></SCRIPT> เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ระบุว่า ผลการตรวจดีเอ็นเอ ของศพ ก่อนจะหย่อนจากเรือ ยูเอสเอส คาร์ล ลงสู่ทะเล นอร์ธ อาระเบีย ยืนยันว่า เขาคือ บิน ลาเดน และจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายของสำนักข่าวกรองกลาง หรือซีไอเอ การได้รับการยืนยันจากผู้หญิงคนหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นหนึ่งในภรรยาของบิน ลาเดน และการเข้ากันได้ของรูปร่างหน้าตา เช่น ส่วนสูง ได้ช่วยยืนยันอัตลักษณ์ของเขา ทำเนียบขาวกำลังพิจารณาว่าจะเป็นการสมควรหรือไม่ที่เปิดเผยภาพศพของเขา ที่ถูก
    ยิงหนือตาซ้าย ทำให้บางส่วนของกระโหลกศีรษะหายไป
    นอกจากบิน ลาเดน แล้ว นายคาลิด หนึ่งในบุตรชายของเขา ก็ถูกสังหารในระหว่างการบุกจู่โจมครั้งนี้ด้วย เช่นเดียวกับภรรยาที่ช่วยปกป้องเขา ที่เหลือเป็นคนนำสารที่บิน ลาเดน ไว้ใจ และในจำนวนนี้ ใช้ชื่อเป็นเจ้าของบ้านที่ถูกบุกถล่มด้วย
    ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้ไฟเขียวให้ใช้ปฏิบัติการโจมตีตั้งแต่วันศุกร์ หรือในช่วงสั้น ๆ ก่อนเดินทางไปยังรัฐอลาบาม่า เพื่อลงพื้นที่ตรวจสภาพความเสียหายจากพายุทอร์นาโด ก่อนจะออกคำสั่งในขั้นสุดท้ายเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งเขาและทีมที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ได้ติดตามการใช้ปฏิบัติการโจมตีจากห้องสถานการณ์ในทำเนียบขาว และแสดงความผ่อนคลายที่กองกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษสามารถปลิดชีพบิน ลาเดน ได้ โดยที่ฝ่ายอเมริกันไม่สูญเสียชีวิต
    ความสำเร็จครั้งนี้ มีขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก่อนที่จะครบ 10 ปี เหตุวินาศกรรมโจมตีสหรัฐเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3 พันคน และนำไปสู่สงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน ทำลายความเชื่อที่ว่า ประเทศที่ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ จะไม่มีวันถูกโจมตีอย่างรุนแรงที่สุดขนาดนี้ได้
    เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนของซีไอเอ ในคุกลับในยุโรปตะวันออกได้รวบรวมข้อมูลในเบื้องต้น ที่นำไปสู่การสังหารบิน ลาเดน ขณะที่เจ้าหน้าที่ข่าวกรองทราบมานานแล้วว่า บิน ลาเดน ไว้ใจคนนำสารคนหนึ่ง และเชื่อว่า เขาอาจจะซ่อนตัวอยู่กับบิน ลาเดน ซึ่งสหรัฐเพิ่งจะรู้ตัวชายคนนี้ เมื่อ 4 ปีก่อน และอีก 2 ปีต่อมา ก็เริ่มทราบขอบข่ายการเคลื่อนไหวของคนนำสาร จนกระทั่งแกะรอยไปเจอที่อยู่เมื่อเดือนสิงหาคม
    จนกระทั่งกลางเดือนกุมภาพันธ์ ข่าวกรองที่รวบรวมได้จากหลายแหล่ง ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้ประธานาธิบดีโอบาม่า ต้องการให้ภารกิจนี้ลุล่วง และอีก 2 เดือนครึ่ง เขาก็เป็นประธานจัดการประชุมร่วมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ 5 ครั้ง ที่มุ่งเน้นในประเด็นที่ว่า บิน ลาเดน อยู่ในบ้านต้องสงสัยหรือไม่ และถ้าอยู่ จะเอาตัวเขาออกมาได้อย่างไร
    เมื่อได้ข้อสรุป เฮลิคอปเตอร์ 4 ลำ ได้นำกองกำลังสหรัฐไปยังเมืองอั๊บบอตตาบัด ส่งหน่วย เนวี ซีล ลงไปด้านหลังกำแพง และเริ่มลงจอด ไม่มีเสียงปืน แต่ในช่วงสั้น ๆ หลังจากหน่วยเนวี ซีลลงถึงพื้น เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งเกิดร่วงลงสู่พื้น โดยที่รัฐบาลสหรัฐไม่ได้อธิบายสาเหตุ แต่ไม่มีสมาชิกหน่วยเนวี ซีล คนใดได้รับบาดเจ็บ และภารกิจดำเนินต่อไปโดยไม่ถูกรบกวน เฮลิคอปเตอร์ที่ใช้การไม่ได้ถูกทำลายก่อนที่หน่วยเนวี ซีลจะกรูออกมาจากเฮลิคอปเตอร์อีก 3 ลำ
    ที่เหลือ
    เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐ ไม่ยอมเปิดเผยว่า ได้จัดการให้เฮลิคอปเตอร์ 4 ลำ บินข้ามชายแดนเข้าไปใกล้เมืองหลวงของปากีสถาน และใกล้กับสถาบันทหารได้อย่างไร โดยไม่มีใครล่วงรู้และหน่วยเนวี ซีล สามารถปฏิบัติการภารกิจอย่างรวดเร็วภายในเวลา 40 นาที ที่รวมถึงการยิงปะทะและการระเบิดทำลายเฮลิคอปเตอร์ โดยที่ทหารและตำรวจปากีสถาน ไม่ได้เข้าแทรกแซงได้อย่างไร

     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 3 พฤษภาคม 2554 10:14สหรัฐชั่งใจเผยแพร่ภาพศพบิน ลาเดน
    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    [​IMG]

    สหรัฐชั่งใจเผยแพร่ภาพศพบิน ลาเดน
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110420/r20110427/show_ads_impl.js"></SCRIPT> ทำเนียบขาวของสหรัฐ เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาว่าจะมีการเผยแพร่ภาพศพของโอซามา บิน ลาเดน ผู้นำเครือข่ายก่อการร้ายอัลไกด้าหรือไม่ หลังการแถลงข่าวว่าบิน ลาเดนถูกปลิดชีพแล้วในเมืองอับบอตตาบัดของปากีสถานเมื่อวานตามเวลาท้องถิ่น ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากนักการเมืองคนสำคัญบางคนที่ต้องการหลักฐานพิสูจน์ว่าบิน ลาเดนตายแล้วจริงๆ
    นายจอห์น เบรนนัน ที่ปรึกษาด้านการปราบปรามการก่อการร้ายของประธานาธิบดีบารัก โอบามา บอกว่า รัฐบาลจะทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครสามารถปฏิเสธเรื่องที่เราสามารถจัดการกับบิน ลาเดนได้แล้ว ดังนั้นการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งจะรวมถึงภาพถ่ายด้วยหรือไม่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
    ขณะที่นายโจเซฟ ลีเบอร์แมน ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงภายในของวุฒิสภา บอกว่า แม้ว่าภาพอาจจะไม่น่าดูนักเพราะเขาถูกยิงที่ศีรษะ แต่ก็จำเป็นต้องมีการเผยแพร่เพื่อให้สามารถคลายข้อสงสัยในเรื่องนี้ เพราะอาจมีบางคนที่ไม่ยอมรับผลการตรวจดีเอ็นเอ
    นอกจากนี้ นายไมค์ โรเจอร์ส ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาผู้แทนราษฎร บอกว่า การเผยแพร่ภาพศพหรือไม่จะต้องคำนึงถึงการเคารพเกียรติศักดิ์ศรีของผู้เสียชีวิต เพื่อไม่ก่อให้จุดชนวนปัญหาในที่อื่นๆทั่วโลก ขณะเดียวกันก็เพื่อพิสูจน์ว่าศพนั้นเป็นบิน ลาเดนจริงๆ
    ก่อนหน้านี้ เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2546 กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ได้เผยแพร่ภาพลูกชายสองคนของซัดดัม ฮุสเซน อดีตผู้นำอิรักเพื่อพิสูจน์ว่าเขาเสียชีวิตจากปฏิบัติการของกองกำลังสหรัฐจริง และในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน สหรัฐได้เผยแพร่ภาพการจับกุมซัดดัม
    แต่ปลายเดือนธันวาคม 2549 มีการลงโทษประหารชีวิตซัดดัมด้วยการแขวนคอ และภาพวิดีโอการแขวนคอที่หลุดออกมาถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ทำให้เกิดกระแสโกรธแค้นในหมู่ชาวมุสลิม

     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 3 พฤษภาคม 2554 01:00 กาแฟดำ
    จำนวนคนอ่าน 1452 คน โอบามากับโอซามา
    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    หากศพนั้นเป็นโอซามา บิน ลาเดน หัวหน้าองค์กร "อัล ไกดา" (หรือ "อัลกอร์อีดะ") จริง อย่างที่ประธานาธิบดี บารัก โอบามา อ้างในคำแถลงเมื่อวานนี้
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110420/r20110427/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ก็ต้องถือว่าเป็นผลงานปฏิบัติการลับกว่า 9 ปี ที่สหรัฐเกือบจะเสียฟอร์มไปเยอะทีเดียว

    หากการตรวจดีเอ็นเอยืนยันว่าศพอันเกิดจากการปะทะกัน ที่คฤหาสน์หลังใหญ่ห่างจากกรุงอิสลามาบัดของปากีสถานไปทางเหนือประมาณ 40 กิโลเมตรเป็นบิน ลาเดนจริง ก็เตรียมรับกับผลที่จะตามมาหลายทาง

    ผลประการแรก คือ สาวกของบิน ลาเดน ในหลายๆ จุดทั่วโลก จะต้องพยายามแก้แค้นแทนลูกพี่ที่เป็นเสมือน "ผู้นำจิตวิญญาณ" ของขบวนการต่อต้านสหรัฐในทุกรูปแบบ

    ความจริงในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น บิน ลาเดน ก็มิได้เป็นผู้สั่งการโดยตรงไปถึงหน่วยงานน้อยใหญ่ที่ก่อเหตุร้ายไปในจุดต่างๆ ทั่วโลกแล้ว เพราะการกระจายตัวออกเป็นเครือข่ายการก่อเหตุร้ายเป็นเซลล์ต่างๆ ไปทั่วโลกนั้น ทำให้บทบาทโดยตรงของบิน ลาเดน ลดน้อยถอยลงไปมาก

    แต่ความเป็น "สัญลักษณ์" ของเขาต่อการสร้าง "คลื่นลูกใหม่" ประกอบกับการส่งเสบียงในรูปเงินทองและความช่วยเหลือต่างๆ ของบิน ลาเดน นั้น ย่อมจะมีอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่น้อย

    ผลที่ตามมาทางด้านสหรัฐ ก็คือ "ความกร้าว" ของมหาอำนาจอเมริกาที่จะมีความฮึกเหิมมากขึ้น เพราะเมื่อสามารถเด็ดหัวขององค์กรอัล ไกดา ได้แล้ว กลไกการต่อต้านการก่อการร้ายสากลของสหรัฐ ที่มีทั้งเงิน ทรัพยากรบุคคล และเครือข่ายทางเมืองและการทูตไปทั่วโลก ก็จะต้องไล่ล่าเพื่อเก็บองค์กรอื่นๆ ที่เหลือให้หมดสภาพไปพร้อมๆ กัน

    นั่นย่อมแปลว่า สหรัฐจะ "กร่าง" หนักขึ้น และจะนิยามว่าใครเป็นกลุ่มก่อการร้ายหรือไม่ตามอุดมการณ์วิธีคิดทางการเมืองของเขามากขึ้น

    ซึ่งก็จะแปลว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะโดนแรงกดดันจากวอชิงตันหนักหน่วงขึ้น ในการที่จะต้องร่วมมือช่วยสหรัฐจัดการกับกลุ่มคนที่สหรัฐมองว่าเป็นศัตรูของตน

    การนิยามคำว่า "ก่อการร้าย" หรือ terrorism จากนี้ไปก็จะโอนเอียงไปทางอเมริกามากขึ้นกว่าเดิม เพราะอเมริกาถือว่าเป็นชัยชนะของเขาในการที่สามารถ "เก็บ" บิน ลาเดน ได้ศพมาเป็นหลักฐาน และประกาศกับชาวโลกว่าใครจะมาคุกคามข่มขู่หรือทำร้ายชีวิตและทรัพย์สินของสหรัฐไม่ได้อีกเป็นอันขาด

    ฟังโอบามา แถลงด้วยวาทะและจังหวะที่เข้มข้นและความสะใจของผู้คนบางส่วนต่อการที่ได้ตัวบิน ลาเดน ครั้งนี้ จะทำให้แรงกระเพื่อมหนักไปในทาง "ชาตินิยม" ของอเมริกา และจะเกิดกระแสที่โอนเอียงไปทางการใช้กำลังกับกลุ่มคนที่ยืนอยู่คนละข้างกับอเมริกาหนักหน่วงขึ้น

    กระแสเชียร์อเมริกาที่จะให้จัดการกับกลุ่มคนต่างๆ ที่ไม่อยู่ฝ่ายอเมริกา อันเกิดจากการ "วิสามัญ" บิน ลาเดน และคนใกล้ชิดคราวนี้ จะทำให้ดุลถ่วงอำนาจของโลกเอียงกลับไปอยู่ที่วอชิงตันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลดีนัก หากจะมองว่าโลกนี้ควรจะมีการถ่วงดุลของมหาอำนาจหลายๆ ขั้ว เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดอำนาจไปในขั้วใดขั้วหนึ่ง

    อีกทั้ง การที่ บิน ลาเดน เสียชีวิตก็ไม่ได้หมายความว่าเครือข่ายที่แน่นแฟ้นกับเขาและกิจกรรมของการก่อเหตุร้ายที่ให้โลกตะวันตกเป็นเป้าของการทำลายนั้นจะลดน้อยถอยลงไป ตรงกันข้าม จะต้องมองต่อว่าหากสหรัฐไม่สามารถแก้ภาพที่ว่าตั้งตนเป็นศัตรูกับศาสนาอิสลาม ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ที่เรียกว่า "การก่อการร้าย" ก็จะไม่ลดน้อยถอยลงแต่ประการใด

    โอบามา พยายามจะตอกย้ำว่าสหรัฐไม่ได้เป็นศัตรูกับอิสลาม หากแต่เป็นศัตรูกับ บิน ลาเดน ในฐานะหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่เป็นศัตรูกับทุกคน รวมถึงศาสนาอิสลามด้วย

    นี่คือ อีกฉากหนึ่งของการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกกับบิน ลาเดน ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวที่ก่อตั้งองค์กรเพื่อเผชิญหน้าด้วยวิธีการรุนแรงทุกด้าน

    ตราบเท่าที่อุดมการณ์และเป้าประสงค์แห่งมหาอำนาจยังถูกมองว่าจะครองโลกแต่เพียงคนเดียว โดยไม่เปิดพื้นที่ให้ความเห็นที่แตกต่างกับตน การก่อเหตุร้ายเช่นที่บิน ลาเดนได้ริเริ่มขึ้นและไปปรากฏโฉมในเหตุการณ์ 9/11 เมื่อเกือบสิบปีก่อนก็จะยังไม่หายไปหมดเสียเลยทีเดียว

     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การเมือง : สถานการณ์โลก
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2554 11:23ยูเอ็นเร่งถอนจนท.ออกจากตริโปลี
    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    [​IMG]

    ยูเอ็นเร่งถอนจนท.ออกจากตริโปลี หลังสถานทูตอิตาลีถูกเผา
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110420/r20110427/show_ads_impl.js"></SCRIPT> สหประชาชาติ (ยูเอ็น)ถอนเจ้าหน้าที่ออกจากกรุงตริโปลี เมืองหลวงของลิเบีย เมื่อวันอาทิตย์ (1 พ.ค.) ขณะที่สถานการณ์ความมั่นคงในเมืองหลวงของลิเบียเลวร้ายลงกว่าทุกครั้ง หลังจากมีการโจมตีทางอากาศ ซึ่งทำให้สมาชิกครอบครัวของพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี หลายคนต้องเสียชีวิต และจุดชนวนนำไปสู่การเผาสถานทูตอิตาลี รวมถึงที่พักของเจ้าหน้าที่ทูตอังกฤษและอิตาลี โดยกลุ่มประชาชนที่ไม่พอใจ
    ทั้งนี้ นายมาร์ติน เนซีร์กี โฆษกยูเอ็นในนิวยอร์ก แถลงว่า เจ้าหน้าที่ต่างต่างประเทศของยูเอ็นทั้ง 12 คนหลบหนีออกจากกรุงตริโปลีชั่วคราว โดยขณะนี้อยู่ในตูนิเซีย
    ด้านนายสตีเฟน บังเกอร์ โฆษกสำนักงานเพื่อความร่วมมือในกิจการด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ ระบุว่า มีการบุกรุกอาคารสำนักงานของยูเอ็นในกรุงตริโปลี หลังจากข่าวเกี่ยวกับการโจมตีแพร่ออกไป โดยมีการยึดยานพาหนะบางคันไปด้วย ขณะที่พนักงานของยูเอ็นปลอดภัยดี
    สถานทูตอิตาลี และบ้านพักของเจ้าหน้าที่การทูตอิตาลี และอังกฤษถูกเผาทำลาย ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนายเซอิฟ อัลอาหรับ ลูกชายของกัดดาฟีวัย 29 ปี และหลานของผู้นำลิเบียอีก 3 คนเสียชีวิตในการโจมตีทางอากาศของกองกำลังพันธมิตรองค์กรสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ(นาโต)
    อย่างไรก็ดี รายงานข่าวระบุว่า ในช่วงที่อาคารเหล่านั้นถูกเผาทำลาย ไม่มีผู้ใดอยู่ภายในอาคาร แต่สามารถมองเห็นควันไฟลอยขึ้นจากกลุ่มอาคารดังกล่าวในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่นได้
    อิตาลี และอังกฤษ ยืนยันว่า คณะผู้แทนทางการทูตตกเป็นเป้าหมาย โดยนายวิลเลียม เฮก รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ ประกาศขับทูตลิเบียออกจากประเทศเป็นการตอบโต้ ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศของอิตาลี ออกแถลงการณ์ประณามว่า เป็นการกระทำที่ร้ายแรง และเลวร้ายมาก
    ขณะที่ นายคอเล็ด คออิม รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของลิเบียอธิบายว่า การโจมตีคณะผู้แทนทางการทูตดังกล่าวเป็นเรื่องน่าเสียใจ และระบุว่าลิเบียจะรับผิดชอบในการซ่อมแซมสิ่งที่เสียหาย พร้อมกับชี้แจงว่า กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถควบคุมฝูงชน ซึ่งไม่พอใจการโจมตีของนาโตได้

     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 2 พฤษภาคม 2554 11:43สหรัฐเตือนอเมริกันทั่วโลก
    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    [​IMG]

    สหรัฐเตือนอเมริกันทั่วโลก เหยื่อแก้แค้นสังหารบิน ลาเดน
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110420/r20110427/show_ads_impl.js"></SCRIPT> กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ออกแถลงการณ์เตือนชาวอเมริกันทั่วโลกให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง หวั่นตกเป็นเหยื่อการถูกแก้แค้นโดยสมาชิกเครือข่ายก่อการร้ายอัล ไกด้า หลังจากสหรัฐสังหารนายบิน ลาเดน ผู้นำกลุ่มอัล ไกด้าเสียชีวิต
    "กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ ขอประกาศเตือนพลเมืองสหรัฐให้เพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง รวมทั้งชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศจะตกเป็นเหยื่อเหตุการณ์รุนแรงรูปแบบต่างๆที่มีที่มาจากกระแสต่อต้านอเมริกัน หลังจากสหรัฐได้โจมตีผู้นำกลุ่มก่อการร้ายอัล ไกด้าในปากีสถาน พร้อมทั้งแนะนำให้ชาวอเมริกันหลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกบ้าน โรงแรมที่พัก และหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนตามสถานที่ต่างๆ "
    คำประกาศเตือนนี้มีผลบังคับไปจนถึงวันที่ 1 ส.ค.

     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    “โอซามา บิน ลาเดน” ตายแล้ว! สหรัฐยืนยันปฏิบัติการสังหารในปากีสถาน
    ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่าสหรัฐอเมริกาสามารถ “จับตาย” โอซามา บิน ลาเดน ผู้ก่อการร้ายอันดับหนึ่งของโลก และผู้วางแผนก่อการร้ายถล่มตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมื่อ 10 ปีก่อน
    สังหาร “บิน ลาเดน” ในปากีสถาน

    โอบามาบอกว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนได้รับข่าวกรองจากซีไอเอในปากีสถานว่า ค้นพบบิน ลาเดน ในบ้านพักแห่งหนึ่งชานเมืองหลวงอิสลามาบัด ประเทศปากีสถาน จึงอนุมัติให้ทีมปฏิบัติการพิเศษเข้าโจมตีในวันนี้ (ตามเวลาสหรัฐ) ซึ่งทีมที่ส่งเข้าไปมีจำนวนไม่มากเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียต่อประชาชนอื่น ซึ่งบิน ลาเดน และคนสนิทเสียชีวิตจากปฏิบัติการของสหรัฐ และสหรัฐได้ศพของบิน ลาเดน กลับมา
    จุดจบของบิน ลาเดน ในครั้งนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุด “สงครามกับการก่อการร้าย” (War on Terrorism) ซึ่งประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นคนริเริ่มเมื่อปี 2001 หลังจากเหตุการณ์ 9/11 ที่นครนิวยอร์ก

    ในแถลงการณ์ของโอบามายังยืนยันว่า นี่เป็นการต่อสู้กับการก่อการร้าย ไม่ใช่ต่อสู้กับโลกอิสลาม และนี่เป็นสงครามที่อเมริกาไม่ได้เป็นคนต้องการเริ่ม สุดท้ายโอบามาได้ขอบคุณชาวอเมริกันทุกคนที่ช่วยเหลือให้อเมริกาผ่านพ้นช่วงเวลา 10 ปีนี้มาได้
    [​IMG] บิน ลาเดน กับนักข่าวปากีสถานในปี 1997

    ย้อนรอย “โอซามา บิน ลาเดน”

    โอซามา บิน ลาเดน เกิดในตระกูลเศรษฐีของซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 1957 (ปัจจุบันอายุ 54 ปี) พ่อของเขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ซาอุฯ ส่วนแม่ของเขาเป็นภรรยาคนที่สิบ ซึ่งภายหลังหย่ากับพ่อของเขาและไปแต่งงานใหม่
    บิน ลาเดน จบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยคิง อับดุลลาซิส (King Abdulaziz University) ในเมืองเจดดาห์ ซาอุดีอาระเบีย เขาแสดงความสนใจในศาสนามาตั้งแต่วัยรุ่น โดยมีรายงานว่าเขาศึกษาคัมภีร์อุลกุรอ่าน และแนวคิดของสงครามศาสนา “จิฮัด” มาตั้งแต่สมัยเรียน
    หลังจบการศึกษา เขาเข้าร่วมกับกองโจรมูจาฮีดีนของอัฟกานิสถาน เพื่อต่อต้านการรุกรานของโซเวียตในปี 1979 จากนั้นในปี 1984 บิน ลาเดนก็จัดตั้งเครือข่ายสนับสนุนอัฟกานิสถานโดยอาศัยทรัพย์สินส่วนตัวของเขา เอง ขยายเครือข่ายครอบคลุมโลกอาหรับทั้งหมด และโอนถ่ายเงิน อาวุธ ทรัพยากร เข้าไปยังอัฟกานิสถาน
    แต่บิน ลาเดน ก็ออกจากเครือข่ายนี้ในปี 1988 โดยให้เหตุผลว่าเขาต้องการบทบาททางการทหารมากกว่าการสนับสนุนจากภาคพลเรือน เขาจึงตั้งเครือข่ายติดอาวุธ อัล ไคด้า (Al Qaeda) ขึ้นมาในปีเดียวกัน เขาเปลี่ยนนโยบายมาเป็นต่อต้านสหรัฐหลังซาอุดีเปิดประเทศให้กองทัพสหรัฐเข้า มาในปี 1990 เขาถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในซูดานเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะกลับมายังอัฟกานิสถาน
    ช่วงทศวรรษ 1990s บิน ลาเดน และกลุ่มอัล ไคด้า ก็มีบทบาทอย่างมากในการก่อการร้ายตามจุดต่างๆ ของโลกตะวันตก รวมถึงชาติอาหรับที่สนับสนุนโลกตะวันตก ก่อนจะมาสร้างชื่อกระฉ่อนโลกจากเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 ซึ่งตามมาด้วยสงครามอัฟกานิสถานของสหรัฐอเมริกาในปีเดียวกัน และทำให้บิน ลาเดน ในฐานะ “ผู้ก่อการร้ายอันดับหนึ่งของโลก” ต้องหลบหนีและหายตัวไปเป็นเวลาถึงสิบปี!
    ตลอดสิบปีที่ผ่านมา เชื่อกันว่าบิน ลาเดน อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนระหว่างอัฟกานิสถาน-ปากีสถาน ซึ่งเป็นเทือกเขาสูงชัน มีภูมิประเทศยากแก่การเข้าถึง
    “บิน ลาเดน” ตายแล้ว แต่ “อัล ไคด้า” ยังไม่ตาย?

    คำถามที่สำคัญที่สุดหลังข่าว “บิน ลาเดน” เสียชีวิต ก็คือ “อัลไคด้า” จะเป็นอย่างไรต่อไป? สงครามในอัฟกานิสถาน และสงครามในอิรักที่ยืดเยื้อมานานสิบปี จะสิ้นสุดลงได้ง่ายๆ หรือไม่?
    หลังจากสหรัฐอเมริกาบุกเข้าไปยังอัฟกานิสถานในปี 2001 โค่นล้มรัฐบาลตาลีบัน ซึ่งเป็นมิตรใกล้ชิดกับอัลไคด้า กลุ่มอัลไคด้าก็ถูกจับกุมและสังหารเป็นจำนวนมาก ที่เหลืออยู่ก็แยกย้ายกันหลบหนี และเปลี่ยนวิธีปฏิบัติการเป็นกลุ่มย่อย ฐานปฏิบัติการของอัลไคด้าถูกทำลายเกือบหมด อย่างไรก็ตาม อัลไคด้า ยังมีเครือข่ายที่ปฏิบัติงานอยู่ในอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะโซมาเลียและเยเมนในรอบปีหลังๆ
    ณ ขณะนี้ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า บิน ลาเดน ยังมีอิทธิพลในอัลไคด้ามากน้อยแค่ไหน และปัจจุบันอัลไคด้าจัดองค์กรอย่างไร จะมีผู้นำคนใหม่ที่มาแทนบิน ลาเดน ได้หรือเปล่า
    แต่สิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้ในปัจจุบันคือ เครือข่ายของอัลไคด้าน่าจะยังคงอยู่ แต่จะไม่เข้มแข็งเท่าเดิม และความตายของบิน ลาเดน ทำให้อัลไคด้า ขาด “สัญลักษณ์” ในระดับโลก ที่ไม่สามารถผลิตซ้ำได้ง่ายนัก
    สิ่งที่ควรจับตาคือกลุ่มก่อการร้ายใหม่ๆ ในลักษณะเดียวกันกับอัลไคด้า ที่อาจผงาดขึ้นมาสร้างอิทธิพลแทนอัลไคด้าได้ในอนาคต
    จอร์จ ดับเบิลยู บุช แสดงความยินดี, สถานทูตสหรัฐทั่วโลกยกระดับการระวังภัย

    อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้เผชิญกับเหตุการณ์ 9/11 และเป็นคนสั่งให้บุกอัฟกานิสถานเพื่อตามล่าตัวบิน ลาเดน ได้แสดงความเห็นต่อข่าวการเสียชีวิตของบินลาเดนว่า “เป็นความสำเร็จครั้งใหญ่”
    ส่วนสถานทูตสหรัฐทั่วโลก ได้รับการแจ้งเตือนให้ยกระดับการระวังภัย เนื่องจากเกรงว่าจะมีกลุ่มที่โกรธแค้นกับการเสียชีวิตของบิน ลาเดน เข้าโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐที่ใดที่หนึ่งในโลก – CNN
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โอบามาเน้นฮา ส่งคลิป The President’s Speech ล้อหนังดัง

    ทีมงานทำเนียบขาวของประธานาธิบดีสหรัฐ บารัค โอบามา เผยวิดีโอคลิปตัวอย่างภาพยนตร์ “The President’s Speech” โดยนำประธานาธิบดีโอบามา และรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน มาสวมบทเป็นตัวละครเลียนแบบภาพยนตร์ดัง The King’s Speech
    [​IMG] บารัค โอบามา (ภาพจากทำเนียบขาว)

    The King’s Speech เป็นภาพยนตร์ที่เพิ่งชนะรางวัลออสการ์ปีล่าสุด มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร (พระบิดาของพระราชินีอลิซาเบธที่สอง) ผู้ซึ่งมีปัญหาในการพูดต่อที่สาธารณะ แต่ด้วยภาระหน้าที่ของการเป็นกษัตริย์ยามสงครามโลก พระเจ้าจอร์จต้องสู้กับอุปสรรคส่วนพระองค์เพื่อประเทศ โดยได้รับความช่วยเหลือจากนักรักษาการพูดชาวออสเตรเลีย (นำแสดงโดยเจฟรีย์ รัช)
    บารัค โอบามานำพล็อตของภาพยนตร์ The King Speech มาล้อเลียน โดยเปลี่ยนชื่อเป็น The President’s Speech เนื้อหาคือประธานาธิบดี (รับบทโดยโอบามา) ที่พูดไม่เก่ง แต่ต้องเป็นประธานาธิบดี และได้รับความช่วยเหลือจากรองประธานาธิบดีที่เก่งกาจ (รับบทโดยไบเดน) ในคลิปมีมุมสบายๆ ของคู่หูประธานาธิบดีที่หาดูได้ยากตามสื่อทั่วไป
    คลิป The President’s Speech นี้จัดทำโดยทำเนียบขาวโดยตรง และเผยแพร่ครั้งแรกที่งานเลี้ยงนักข่าวของทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ ก่อนจะถูกโพสต์ผ่านทวิตเตอร์ของทำเนียบขาว และเผยแพร่ต่อสาธารณะบน YouTube ของทำเนียบขาว
    นักวิเคราะห์การเมืองสหรัฐมองว่าคลิปนี้เป็นความพยายามเล็กๆ ของโอบามาในการเปิดมุมสบายๆ ตลกๆ ของประธานาธิบดี เพื่อเตรียมสู่ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2012
    <EMBED style="POSITION: relative" src=http://www.youtube.com/v/508aCh2eVOI?version=3 width=640 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED style="POSITION: relative">
    คลิปตัวอย่าง The President’s Speech
    <EMBED style="POSITION: relative" src=http://www.youtube.com/v/pzI4D6dyp_o?version=3 width=640 height=385 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED style="POSITION: relative">
    คลิปต้นฉบับ ตัวอย่างภาพยนตร์ The King’s Speech
    ที่มา – AllThingsD

    <!-- entry -->
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บทเรียนจากประวัติศาสตร์จีน 300 ปี ในนวนิยาย “มหากาพย์ภูผามหานที”

    ความสนุกของวิชาประวัติศาสตร์ มิได้อยู่ที่การจดจำวันเดือนปีและรายนามบุคคลที่แสนห่างไกลจากชีวิตเรา หากทว่าเป็นการแสวงหาบทเรียนแห่งความเป็นมนุษย์ ที่ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ก็ยังสามารถเข้าอกเข้าใจถึงกันได้
    มหากาพย์ภูผามหานที คือ นวนิยายกำลังภายในยุคใหม่ที่ผสานชะตากรรมชีวิตของเหล่าจอมยุทธ์เข้ากับบริบททางประวัติศาสตร์ที่แสนสลับซับซ้อน โดยสลัดละทิ้งแนวทางการเขียนนวนิยายกำลังภายในแบบเดิมที่เน้นแต่การบู๊ล้างผลาญหรือไม่ก็คุณธรรมเพ้อฝัน หากผูกโยงตัวละครหญิงชายให้เข้าถึงสัจธรรมชีวิตที่ว่า “ตั้งแต่ยาจกเข็ญใจถึงองค์จักรพรรดิยิ่งใหญ่ ก็ล้วนไม่อาจฝืนชะตากรรมของบริบททางสังคมแห่งยุคสมัยได้” ซึ่งแง่มุมนี้ถูกแสดงออกผ่านการต่อสู้ขับเคี่ยวกันระหว่างตัวละคร ค่ายพรรค ชนเผ่า ตลอดทั้งสามภาคของเรื่อง กินเวลา 3 ราชวงศ์ 300 ปี
    [​IMG]
    เริ่มจากภาคแรก “ปฐมบทผู้กล้า” สะท้อนบรรยากาศความงดงามแห่งทิวทัศน์ของขุนเขาสายน้ำที่เป็นลักษณะรสนิยมของผู้คนในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ (ค.ศ. 1127-1279) แต่ภายใต้ความสงบได้แฝงไว้ด้วยวิกฤตแห่งความล่มสลายของชาติบ้านเมือง เมื่อกษัตริย์หนุ่มแห่งมองโกลได้กรีฑาทัพเข้าประชิดชายแดนในราวปี ค.ศ. 1258
    ความอ่อนแอของชาวจีนในการรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ ได้สะท้อนออกมาอย่างเต็มที่ในนวนิยาย ตั้งแต่นโยบายการปกครองที่ดูแคลนและกดขี่วิชาทหาร ความรุ่มรวยด้านวัฒนธรรมและความบันเทิงในนครหลวงหลินอาน ซึ่งกล่อมเกล่าให้ชาวจีนที่เคยเหี้ยมหาญในสมัยราชวงศ์ฮั่นและถัง ต้องกลายเป็นนักศึกษารักสงบ ยินยอมให้ชาติบ้านเมืองล่มสลาย แต่ไม่ยินดีสละชีวิตอันแสนสุขสบายของพวกตน
    เหลียงเหวินจิ้ง พระเอกของเรื่องนี้ ก็เริ่มต้นด้วยการเป็นนักศึกษาอ่อนแอ หมกมุ่นอยู่ในความรุ่มรวยทางปัญญามากกว่าจะแสวงหาพลังฝีมือและวิชายุทธ์ แต่ภายใต้วิกฤตแห่งชาติบ้านเมืองและสถานการณ์พิสดาร กลับดลบันดาลให้หนุ่มน้อยอ่อนหัดกลายเป็นวีรบุรุษผู้ห้าวหาญ ทำหน้าที่พิทักษ์ชาติบ้านเมืองได้อย่างสมศักดิ์ศรี
    ความแยบยลของผู้ประพันธ์คือการสอดใส่วิชาคณิตศาสตร์และพิชัยสงครามจีนโบราณลงในการวางแผนพิชิตศึกของพระเอก ส่งผลให้ราชวงศ์ซ่งใต้ซึ่งอ่อนแอฟอนเฟะ สามารถยึดชีวิตตนเองไปได้อีกเฮือกหนึ่ง
    หากพิเคราะห์ตามบริบททางประวัติศาสตร์แล้ว ราชวงศ์ซ่งมิได้อ่อนแอมากมายอย่างที่คนส่วนใหญ่เชื่อกัน ในยุคนี้ยังมีการคิดค้นพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนหนึ่งได้กลายเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ล้ำยุค ซึ่งพระเอกของเรื่องนำมาใช้ในการสังหารกษัตริย์มองโกล
    บุคลิกเลือดร้อนของมองเคอข่านในนวนิยาย ก็ได้สะท้อนความใจเร็วด่วนได้ของกษัตริย์องค์นี้ตามประวัติศาสตร์ มองเคอข่านไม่ฟังคำทัดทานของเหล่าแม่ทัพนายกองที่เป็นห่วงเรื่องภูมิอากาศร้อนชื้นของแดนใต้ ทำให้เหล่าทหารได้รับโรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ทรมาน ยิ่งกว่านั้น ความรุ่งเรืองมั่งคั่งของอาณาจักรซ่งใต้ ทำให้เกิดเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่นกำแพงเมืองสูงชัน การรบจึงต้องเปลี่ยนรูปแบบจากทหารม้าเกรียงไกรที่ชาวมองโกลคุ้นเคย มาเป็นการใช้ทหารราบ อาวุธหนักทั้งปืนใหญ่ เครื่องยิงลูกหิน ที่ทหารมองโกลขาดความชำนาญเชี่ยวชาญ
    ปฐมบทผู้กล้า ได้ปิดฉากลงด้วยการสวรรคตของกษัตริย์มองเคอข่าน งานเลี้ยงฉลองชัยชนะของเหล่าขุนนางผู้พิทักษ์ราชวงศ์ และการพรอดรักรำพันของพระเอกนางเอก ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำที่งดงามแห่งยุคปลายอาณาจักรซ่งใต้
    [​IMG]
    ภาคสอง “วีรกรรมผู้กล้า” ย่อมตามติดมาอย่างกระชั้นชิด ภายในเวลาสิบปีที่ลูกผู้ชายได้ครบกำหนดล้างแค้น จึงกลายเป็นความสูญเสียที่น่าเศร้าใจของวีรบุรุษที่เคยกอบกู้ราชวงศ์ซ่งใต้
    ความตายของเหลียงเหวินจิ้ง อาจเป็นความเหี้ยมโหดของผู้ประพันธ์ที่ทำร้ายจิตใจของแฟนนักอ่านตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง แต่ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะบรรยากาศของยุคสมัยกำลังจะเปลี่ยนจากราชวงศ์ซ่งใต้ที่อ่อนโยนลึกซึ้งมาเป็นสมัยราชวงศ์หยวนที่แข็งแกร่งเกรียงไกร
    ชะตาชีวิตของ “เหลียงเซียว” พระเอกในภาคสองนี้ จึงไม่อาจเริ่มต้นชีวิตวัยรุ่นอันแสนสุขสบายชวนฝันเหมือนพระเอกในภาคแรก ทว่าเหลียงเซียวน้อยต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตและการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดตลอดเวลา เพาะบ่มเป็นความแข็งแกร่งทั้งภูมิปัญญาและพลังฝีมืออันน่าตระหนก ซึ่งท้ายที่สุด ราชวงศ์หยวนของชาวมองโกลจะดึงตัวไปใช้จัดการกับราชวงศ์ซ่งใต้
    ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรมองโกลตั้งแต่ยุคเจงกีสข่านถึงกุบไลข่าน มักตกอยู่ภายใต้ภาพลวงแห่งความแข็งแกร่งเหี้ยมหาญของการศึก เช่นเดียวกับภาพลวงเรื่องความอ่อนแอของทหารซ่งใต้ที่กลับทำให้มองเคอข่านต้องปราชัย แท้จริงแล้ว ความแข็งแกร่งของราชวงศ์หยวนตอนต้นอยู่ที่ความสามารถในการเฟ้นหา พัฒนา และบริหารจัดการคนเก่งจากทั่วทุกสารทิศ โดยไม่จำกัดว่าเป็นมองโกล จีน ฝรั่ง หรือมุสลิม
    “กุบไลข่าน” ทรงเป็นกษัตริย์และนักรบที่ปรีชาสามารถ แวดล้อมพระองค์ด้วยนักปราชญ์และแม่ทัพที่เก่งฉกาจอย่างหาตัวจับได้ กระนั้นพระองค์กลับไม่รีบร้อนในการบุกซ่งใต้เหมือนพระเชษฐา หากทว่าสรุปบทเรียนแห่งความพ่ายแพ้และเตรียมแผนการรบมาเป็นอย่างดี แม้แผนนี้จะช่วยยืดลมหายใจของราชวงศ์ซ่งใต้ไปอีกนับสิบปี แต่การอดทนรอคอยที่แสนเยือกเย็น ก็ช่วยให้พระองค์ทรงได้รับสิ่งที่ปรารถนาสมใจ
    ตลอดเรื่องราวของ “วีรกรรมผู้กล้า” จึงเต็มไปด้วยการฝึกฝนพัฒนาตนเองของตัวเอก ที่สะท้อนบรรยากาศในยุคเปลี่ยนผ่านจากราชวงศ์ซ่งใต้ไปเป็นราชวงศ์หยวน แม้ว่าพระเอกได้ใช้วิชาฝีมือที่เคี่ยวกรำฝึกฝนมาพิชิตราชวงศ์ซ่งใต้ได้สำเร็จ เขาก็ยังคงหมกมุ่นในการแสวงหาความรู้ไม่สิ้นสุด ตั้งแต่การช่วยเหลือกังโส่วจิ้งในการปรับปรุงปฏิทิน เดินทางไปเยือนลังหยาเพื่อเรียนรู้วิชาของโลกมุสลิม และบุกบั่นไปถึงดินแดนยุโรปเพื่อเปิดหูเปิดตา
    การเดินทางของเหลียวเซียวอาจดูเหมือนไม่สอดคล้องกับโครงเรื่องหลักและประเพณีของนิยายกำลังภายในทั่วไป หากทว่าได้สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งยุคสมัย เฉกเช่นเดียวกับการกรีฑาทัพไปกำราบยุโรปของมหาบุรุษเจงกีสข่าน แม้สุดท้ายไม่สามารถครอบงำปกครองได้ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเปิดพรมแดนการค้าและการแลกเปลี่ยนสรรพความรู้ระหว่างโลกตะวันตกตะวันออก ที่จะหาอาณาจักรใดของชาวจีนทัดเทียมได้ยากยิ่ง แม้แต่ราชวงศ์ฮั่นและถังที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่เคยไปได้ไกลถึงปานนี้
    เคล็ดลับในชัยชนะของกุบไลข่านที่มีเหนือราชวงศ์ซ่งใต้ก็คือ การเปิดหูเปิดตาเพื่อเรียนรู้โลกกว้าง จึงทำให้สามารถผสมผสานภูมิปัญญาจากอารยธรรมที่แตกต่างหลากหลายให้กลายเป็นนวัตกรรมที่สั่นสะเทือนโลก โดยเฉพาะการพัฒนาค้นคว้าปืนใหญ่ที่มีอานุภาพและวีถีการยิงซึ่งเหนือกว่าเดิม นี่คือส่วนผสมทางปัญญาระหว่างจีนผู้บุกเบิกและมุสลิมผู้ต่อยอด โดยมีจักรพรรดิมองโกลเป็นผู้ได้ประโยชน์สูงสุด
    ชีวิตของเหลียงเซียวคล้ายคลึงชาวมองโกลมากกว่าชาวจีน การเดินทางเพื่อแสวงหาความรู้และภูมิปัญญาสุดขอบโลกของเขาได้สร้างบาปรักขึ้นไว้มากมาย และที่สุดท้ายก็ไม่สามารถคลี่คลายด้วยดีดังเช่นความรักของ “เตียบ่อกี้” ในบทประพันธ์อมตะของกิมย้ง ในที่สุดแล้วเหลียงเซียวต้องตัดสินใจเลือกเพียงหนึ่งเดียว และหญิงสาวผู้ใชคดีคนนั้นคือฮัวเสี่ยวซวง เพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเยาว์ที่คอยดูแลผูกพันกันอย่างใกล้ชิด หากทว่าหัวใจของเขากลับผูกพันเพียงหลิวอิงอิง รักแรกในวัยหนุ่ม
    บางที ราชวงศ์มองโกลก็เปรียบได้กับชีวิตของเหลียงเซียว แม้ในตอนเริ่มต้นตั้งราชวงศ์ได้แสวงหานักปราชญ์จากทั่วทุกสารทิศโดยไม่จำกัดชาติพันธุ์ แต่ครั้นตั้งมั่นได้แล้ว ก็มุ่งมั่นแต่เสพสุข โดยละเลยชาวจีนส่วนใหญ่ที่เคยถูกเกลี้ยกล่อมให้ยอมรับการยึดครองของมองโกล เมื่อชาวจีนสำนึกตัวว่าถูกทอดทิ้งจากผู้ปกครองต่างชาติ จึงได้เกิดอุดมการณ์ร่วมกันเพื่อปลดแอกตนเอง และนำมาซึ่งการล่มสลายอย่างรวดเร็วของมหาอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
    [​IMG]
    ภาคสุดท้าย “ปาฏิหาริย์ผู้กล้า” เริ่มต้นในยุคกลางราชวงศ์หมิง ที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรด้วยแสนยานุภาพทางทะเลของแม่ทัพขันทีเจิ้งเหอ แต่บัดนี้กลับถูกโจรสลัดจากญี่ปุ่นมาลูบคม ปล้นฆ่าชิงทรัพย์ชาวจีนเป็นระยะ และอาศัยเคล็ดวิชาทางเรือหลบหนีตีจากไป
    หลังจากราชวงศ์มองโกลล่มสลาย ราชวงศ์หมิงได้รับการสถาปนา ปฐมกษัตริย์ได้ทรงปรับปรุงด้านการทหารครั้งใหญ่ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์แห่งราชวงศ์ซ่งใต้เกิดซ้ำรอย หากทว่าสงครามกลางเมืองและการย้ายเมืองหลวงจากนานกิงไปยังปักกิ่งทางตอนเหนือ กลับทำให้ราชวงศ์หมิงเหินห่างจากคุณค่าของการค้าทางเรือ แม้จักรพรรดิจูตี้ผู้เกรียงไกรจะได้ทรงดำริให้เจิ้งเหอเดินทางไกลไปยังเจ็ดคาบสมุทร แต่ครั้นเมื่อพระองค์สวรรคต กลุ่มอำนาจต่างๆ เริ่มแย่งชิงความเป็นใหญ่ ประเด็นเรื่องความฟุ่มเฟือยของการเดินเรือเพื่อแสดงแสนยานุภาพของอาณาจักร ได้ถูกนำมาใช้ทิ่มแทงเหล่าขันทีที่กุมอำนาจทางเรือ จนในที่สุดวิทยาการเดินเรือก็ได้เสื่อมถอยลง อาณาจักรหมิงจึงต้องกลับไปอิงการเกษตรเป็นหลักเหมือนดั่งสมัยก่อนราชวงศ์ซ่งใต้
    อุปสรรคของการค้าขายทางเรือ ไม่ว่าจะมีที่มาจาการย้ายราชธานีหรือการชิงอำนาจภายในของเหล่าขุนนางก็ตามที ส่งผลให้ราชวงศ์หมิงและชาวจีนเสื่อมการแสวงหาความรู้และวิทยาการใหม่ๆ เมื่อเทียบกับราชวงศ์ทั้งหลายก่อนหน้านี้ และสุดท้ายจะกลายเป็นเหตุให้ชาวตะวันตกที่เคยอ่อนแอล้าหลังกว่า ก้าวขึ้นมาแซงหน้าเป็นมหาอำนาจของโลกได้ในอีกหลายร้อยปีต่อมา
    ความยิ่งใหญ่ตระการตาของนครตะวันตกและเกาะตะวันออกนั้นสะท้อนถึงความเกรียงไกรของราชวงศ์หมิงอย่างเต็มที่ แต่ภายใต้ความอลังการนี้แฝงไว้ด้วยความเสื่อมถอยหยุดนิ่งทางภูมิปัญญา ดังจะเห็นว่าวิชาฝีมือของทั้งสองค่ายสำนักล้วนเป็นเพียงการต่อยอดจากภูมิปัญญาล้ำลึกของเหลียงเซียวและลูกศิษย์รุ่นแรกๆเท่านั้น โดยแทบไม่มีการคิดค้นยอดวิชาใหม่ที่หลุดพ้นจากร่มเงาของปรมาจารย์แม้แต่น้อย
    ที่แย่ยิ่งกว่า ในภาคสุดท้ายนี้ “จิตวิญญาณแห่งการแสวงหาความรู้” อันเป็นรากฐานของวิชาฝีมือทั้งหมดกลับเลือนหายไป การช่วงชิงของทั้งสองกลุ่มอำนาจได้เน้นหนักไปที่วิทยายุทธ์เท่านั้น สุดจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุใดหลายร้อยปีให้หลัง ผู้สืบทอดจึงไม่มีนวัตกรรมวิชาฝีมือที่เชิดหน้าชูตาได้
    ที่ลักลั่นย้อนแย้งที่สุดก็คือ หลักการค้าที่ว่านกุยฉังบัญญัติและกู่เจินนำไปประยุกต์ใช้นั้น สอดคล้องกับภูมิปัญญาของชาวมองโกลที่เน้นการค้าขายอย่างเสรี มากกว่าราชวงศ์หมิงที่เป็นสังคมเกษตรและการค้าแบบผูกขาด ทำให้เห็นว่าราชวงศ์หมิงนั้นขาดแคลนการริเริ่มสร้างสรรค์เพียงใด
    หากทว่า เพื่อความเป็นธรรมกับผู้ประพันธ์ ก็ต้องขอยอมรับว่า “ปาฏิหาริย์ผู้กล้า” กลับเป็นภาคที่ลึกซึ้งและสามารถสลัดหลุดพ้นจากเงาของปรมาจารย์กิมย้งและหวงอี้มากที่สุด นี่อาจเป็นสุดยอดแห่งความย้อนแย้งของมหากาพย์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้
    การต่อสู้ของตัวละครในภาคนี้ไม่มีลักษณะอ่อนช้อยงดงามเหมือนในภาคแรกที่เป็นบรรยากาศแห่งยุคซ่งใต้ ยิ่งไม่มีลักษณะแข็งกร้าวช่วงชิงเหมือนในภาคที่สองที่เป็นบรรยากาศแห่งยุคมองโกล หากทว่าเป็นการชิงไหวชิงพริบทางการเมืองของทั้งสองค่ายสำนัก ที่สอดคล้องกับบรรยากาศแห่งยุคราชวงศ์หมิง ที่ศึกภายนอกไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง หากทว่าศึกภายในกลับหนักหน่วงรุนแรงยิ่ง
    นอกจากบุคลิกของตัวละครที่เริ่มมีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าสองภาคแรก สิ่งที่น่าสนใจของภาคสุดท้ายนี้ คือการเดินทางรอบโลกของสองพระเอกคู่หู “กู่เจินและลู่เจี้ยน” ที่สะท้อนถึงปณิธานที่ยังไม่บรรลุของเจิ้งเหอ แม้กระนั้น ภารกิจการเดินเรือในครั้งนี้กลับแตกต่างจากการเดินทางของเหลียงเซียว ซึ่งเคยพูดไว้ในเรื่องว่า “ภูมิภาคยุโรปไม่มีภูมิความรู้ใดให้ศึกษาต่อยอด” หากทว่ากู่เจินและลู่เจี้ยนกลับพบพานยอดคนจากโลกตะวันตกมากมาย โดยเฉพาะฟรานซิส เดรก (Francis Drake) เด็กหนุ่มผู้กระหายการผจญภัยสุดขอบโลก นี่อาจสะท้อนถึงความปรารถนาของชาวยุโรปในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (ค.ศ. 1300-1600) ที่กินเวลายาวนาน 300 ปีเช่นเดียวกับมหากาพย์ไตรภาคนี้ หากทว่ากลับเป็นห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยความพิศวงแห่งภูมิปัญญา
    มหากาพย์ภูผามหานที จบลงด้วยการคืนดีกันของเกาะตะวันออกและนครตะวันตก แต่ต้นทุนแห่งการช่วงชิงอำนาจของทั้งสองฝ่ายก็นำมาซึ่งความสูญเสียสุดคณานับ โดยเฉพาะการละเลยรากฐานความรู้ลึกล้ำที่บรรพบุรุษได้คิดค้นไว้ ส่งผลให้ชนรุ่นหลังไม่สามารถต่อยอดเพื่อคิดค้นนวัตกรรมใหม่ได้อีก
    ความเสื่อมถอยของราชวงศ์หมิงที่ทำให้แผ่นดินจีนได้ถูกอนารยชนเข้ายึดครองอีกครั้งในสมัยราชวงศ์ชิง อาจไม่ได้มีสาเหตุมาจากการขาดแคลนนวัตกรรมและการคิดค้นทั้งหมด แต่ในปลายสมัยราชวงศ์ชิง ความล้าหลังทั้งด้านวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมได้กลายเป็นสาเหตุให้ประเทศจีนถูกแล่เนื้อเถือหนังจากฝรั่งตะวันตก ที่สามารถฟื้นฟูภูมิปัญญาเดิมกลับมาเป็นชาติที่ก้าวหน้าที่สุดของโลกได้
    อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นการกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งของคนจีนในฐานะมหาอำนาจใหม่ของโลก ต้องติดตามกันต่อไปว่าจีนจะสามารถกลับมายึดหัวหาดในการเป็นดินแดนศูนย์กลาง (จงกั๋ว) ของโลกอีกครั้งหนึ่งได้มากน้อยเพียงใด
    การสร้างสรรค์มหากาพย์ภูผามหานทีของเฟิ่งเกอ นักเขียนหนุ่มไฟแรงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ย่อมเป็นเสมือนสัญญาณการฟื้นตัวยิ่งใหญ่ของประเทศจีน เพราะในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นนักเขียนนิยายกำลังภายในจีนชื่อดังล้วนแล้วแต่มาจากฮ่องกงและไต้หวัน “มหากาพย์ภูผามหานที” ไม่ได้เพียงแค่เลียนแบบแนวทางของกิมย้งและหวงอี้เท่านั้น หากทว่ายังสามารถคิดค้นนวัตกรรมและสร้างแนวทางใหม่ที่เป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะการผสมผสานภูมิปัญญาคณิตศาสตร์โบราณของจีนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิชากำลังภายใน ซึ่งนับเป็นการริเริ่มที่น่าตื่นเต้นยิ่ง
    ขอขอบคุณ หนังสือวิเคราะห์นิยายกำลังภายในเรื่อง “ผู้กล้าในผู้กล้า หมื่นวิถีแห่งภูผามหานที” เขียนโดย เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์ และ อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผู้นำอิสลามจวกสหรัฐ ฝังร่างบินลาเดนในทะเลขัดหลักศาสนา

    มุสลิมไทยดอทคอม : วันนี้** 9:02:22


    ผู้นำอิสลามจวกสหรัฐ ฝังร่างบินลาเดนในทะเลขัดหลักศาสนา

    ผู้นำศาสนาอิสลามโจมตีสหรัฐฝังศพบิน ลาดิน ในทะเล

    บรรดาผู้นำศาสนาอิสลามออกมาโจมตีสหรัฐที่ฝังร่างของอุซามะห์ บินลาดิน ผู้นำอัลกออิดะห์ ในทะเล หลังจากสังหารเขา ระบุเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม

    เช้ค อาหมัด อัล-ทาเอ็บ ผู้นำศาสนาที่มัสยิดในกรุงไคโร อียิปต์ ระบุว่า การฝังร่างบินลาดินในทะเลขัดกับหลักปฏิบัติของชาวมุสลิม รวมถึงละเมิดธรรมเนียมด้านมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง แสดงให้เห็นว่าชาวอเมริกันต้องการทำให้ชาวมุสลิมอับอายด้วยการฝังศพบินลาดินในลักษณะดังกล่าว ซึ่งจะยิ่งทำให้กลุ่มติดอาวุธมุสลิมออกมาเรียกร้องให้มีการโจมตีเพื่อแก้แค้นให้บินลาดิน

    เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐเปิดเผยว่า ศพของบินลาดินถูกนำขึ้นบนเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส คาร์ล วินสัน โดยได้รับการชำระล้างอย่างสะอาด จากนั้นนำไปห่อบนผ้าขาวและถุงบรรจุศพ มีการอ่านบทไว้อาลัยเป็นภาษาอาหรับ ก่อนทิ้งร่างทะเลอาหรับ

    สหรัฐตัดสินใจทิ้งศพของบินลาดินลงทะเล เพราะเกรงว่าจะไม่มีประเทศใดยอมรับศพของเขา รวมถึงเพื่อให้มั่นใจว่าที่ฝังศพของเขาจะไม่กลายเป็นที่บูชาสักการะของสมุนต่อไป

    ที่มา : สนุกดอทคอม

     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ข่าววันนี้ ล่าสุด เกี่ยวกับภูมิภาคอาหรับ จนปัจจุบัน

    มุสลิมไทยดอทคอม : 1 พค. 54 23:20:18




    publicthaionline.com - ความสนใจของโลกจดจ่ออยู่ที่กลุ่ม ประเทศหนึ่ง ประกอบด้วยตูนีเซีย, อียิปต์, บาห์เรน และลิเบีย นับตั้งแต่มีการประท้วงของประชาชนเกิดขึ้นครั้งแรกในตูนีเซียเมื่อเดือน ธันวาคมที่ผ่านมา แต่อีกหลายสิบประเทศในภูมิภาคนี้ก็ได้เกิดมีความวุ่นวายทางการเมือง และการเคลื่อนไหวประท้วงที่ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลงได้

    ต่อไปนี้คือการสรุปเหตุการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้นจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้


    ลิเบีย

    มุ อัมมาร์ กัดดาฟี่ เผด็จการผู้ครองอำนาจมายาวนานได้เสียการควบคุมลิเบียตะวันออกไป และกองทัพของเขา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทหารรับจ้างต่างชาติ กำลังใช้การทำสงครามอย่างป่าเถื่อนกับประชาชน

    การประท้วงเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมได้นำไปสู่การชุมนุมเดินขบวนที่ใหญ่ขึ้นเมื่อ กลางเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ทางภาคตะวันออก ในเมืองเบนกาซี เมืองใหญ่อันดับสองของลิเบีย และเมืองอื่นๆ เช่นอัล-บัยดา การประท้วงขยายวงกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นไม่กี่วัน ประชาชนหลายพันคนหลั่งไหลออกมาตามท้องถนนเมื่อวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หลายคนถูกสังหารโดยมือปืนซุ่มยิง

    ไม่ถึง หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ก็มีรายงานว่าเบนกาซีตกอยู่ในมือของผู้ประท้วงแล้ว และการชุมนุมได้ลุกลามไปถึงเมืองหลวงทริโปลี ผู้เป็นเหตุการณ์รายงานว่า เมื่อบินไอพ่นของกองทัพลิเบียได้ยิงระเบิดใส่ประชาชน และกลุ่มทหารรับจ้างได้ไล่กราดยิงผู้ชุมนุมบนถนนอย่างไม่เลือกหน้า

    หลัง จากหลายสัปดาห์ของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ สหประชาชาติได้ผ่านความเห็นชอบต่อมติที่เรียกร้องให้มีการหยุดยิง และกำหนดใช้เขตห้ามบินเพื่อปกป้องพลเรือน หลายประเทศ ประกอบด้วยสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, อิตาลี่, กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้สนับสนุนกำลังทางทหารเพื่อบังคับใช้เขตห้ามบินและยิงระเบิดใส่เป้าหมาย ทางการทหารในกรุงทริโปลี

    รัฐบาลของกัดดาฟีที่ปกครองมา 42 ปี ยาวนานที่สุดในโลกอาหรับ ได้ใช้การปราบปรามทางการเมืองอย่างกว้างขวางและละเมิดสิทธิมนุษยชน ผู้ประท้วงยังโกรธแค้นเรื่องการบริหารจัดการเศรษฐกิจอย่างผิดพลาดของเขา ลิเบียมีทรัพยากรน้ำมันมหาศาล ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) มากกว่าครึ่งมาจากน้ำมัน แต่เงินจำนวนนั้นไม่กระจายลงมา การว่างงานยังมีสูง โดยเฉพาะคนวัยหนุ่มสาวของประเทศ ซึ่งมีมากกว่าหนึ่งในสามของจำนวนประชากรทั้งหมด


    ซีเรีย

    การ ประท้วงเริ่มต้นขึ้นกว่าในซีเรีย ซึ่งหลายคนยังมีความทรงจำอันขมขื่นเกี่ยวกับการปราบปรามอย่างป่าเถื่อน ของอดีตประธานาธิบดีฮาฟิซ อัล-อัสซาด ที่กระทำต่อกลุ่มภราดรภาพมุสลิม อัสซาดคนโตได้สังหารหมู่ประชาชนหลายหมื่นคนจนเมืองฮาม่าราบเป็นหน้ากลอง เพื่อปราบฝ่ายต่อต้านจากกลุ่มอิสลามต่างๆ

    แต่ซีเรียก็ไม่อาจต้านทาน ได้ : การประท้วงเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม เมื่อครอบครัวของนักโทษทางการเมืองได้รวมตัวกันประท้วงสองครั้งเมื่อวันที่ 15 และ 16 มีนาคม ติดตามมาด้วยการชุมนุมเดินขบวนในเมืองดีราทางภาคใต้ ที่ซึ่งมีการจับกุมเด็กสิบกว่าคนในข้อหาวาดภาพสนับสนุนประชาธิปไตย กองกำลังรักษาความมั่นคงของซีเรียปราบปรามการประท้วงที่เกิดขึ้นตามมาอย่าง โหดร้าย มีรายงานว่ามีการใช้เฮลิคอปเตอร์นำกองกำลังเข้ามาเสริมด้วย

    มี ผู้เสียชีวิตอย่างน้อยสามคนในเมืองดีรา เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ทำให้มีการรวมตัวกันเพิ่มมากขึ้นในพิธีศพของพวกเขา ซึ่งมีประชาชนหลายพันคนเรียกร้องให้ทำการปฏิวิ

    การประท้วงยังเกิดขึ้นที่เมืองบานิอัส ทางชายฝั่งของซีเรีย และในเมืองฮุมส์ทางภาคกลางด้วยเช่นกัน

    รัฐบาล ซีเรียพยายามสกัดกั้นไม่ให้เกิดความไม่สงบที่ลุกลามขึ้นโดยการประกาศว่าจะ ปฏิรูปเพียงเล็กน้อย และกล่าวหาว่าผู้ประท้วงทำการบ่อนทำลายซีเรีย รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาการเลิกใช้กฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉิน และในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 30 มีนาคม อัสซาดได้กล่าวโทษว่าการประท้วงเกิดจากผู้คบคิดชาวต่างชาติ


    เยเมน

    การ ชุมนุมในเยเมนดำเนินมาเกือบสองเดือนแล้ว โดยมีกลุ่มผู้ประท้วงรวมตัวกันในเมืองหลวงซานา เมืองเอเดนทางภาคใต้ และเมืองทาอิซ ทางตะวันออก ความไม่พอใจของพวกเขามีหลายเรื่อง เช่น การว่างงานที่มีมากถึงหนึ่งในสามของประเทศ และการทุจริตของรัฐบาลในการใช้จ่ายผลประโยชน์หลายพันล้านจากน้ำมัน

    การ ประท้วงยังคงเป็นไปโดยสงบ ถึงแม้จะมีการยกระดับความรุนแรงจากกองกำลังรักษาความมั่นคงของเยเมนก็ตาม มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายสิบคนเมื่อวันที่ 13 มีนาคม เมื่อตำรวจได้เปิดฉากยิงใส่ฝูงชนในเมืองซานา สี่วันหลังจากนั้นพวกเขาก็ยิงผู้ประท้วงในทาอิซ โดยใช้กระสุนจริงและแก้สน้ำตา

    แต่ความรุนแรงก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อ ผู้ประท้วง และมันยิ่งกระตุ้นให้เกิดคลื่นการตีตัวออกห่างจากรัฐบาลของประธานาธิบดีอะลี อับดุลลอฮ์ ซาเลห์ ทั้งเอกอัครราชทูตของเขาประจำเลบานอนและสหประชาชาติ, รัฐมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนและการท่องเที่ยว, และหัวหน้าสำนักข่าวของรัฐที่พากันลาออกจากตำแหน่งเพื่อประท้วง

    นาย ซอเลห์ ทำการยอมรับเพิ่มมากขึ้น ในการแถลงข่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เขาสัญญาว่าจะทำการปฏิรูป แต่ก็ได้เตือนถึงสิ่งที่เขาเรียกว่า “การยึดและคุมอำนาจด้วยความวุ่นวายและการเข่นฆ่า” เขายังได้เสนอให้มีการเจรจากับฝ่ายค้าน ซึ่งถูกปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

    เมื่อ วันที่ 20 มีนาคม เขาได้ปลดคณะรัฐมนตรีของเขาออกทั้งหมด แต่การทำเช่นนั้นก็ทำให้ผู้ประท้วงชื่นชมเขาเพียงเล็กน้อยเทานั้น เขาสูญเสียการสนับสนุนจากชนเผ่าที่มีอิทธิพลต่างๆ ในเยเมนอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลุ่มนี้เคยเป็นฐานอำนาจสำคัญของเขามานาน


    ตูนีเซีย

    ผู้ ประท้วงในตูนีเซียสามารถโค่นล้มนายไซน์ เอล อาบีดีน เบน อาลี ประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งมานานกว่า 23 ปี ลงได้สำเร็จ หลังจากประชาชนประท้วงนานเกือบหนึ่งเดือน

    การประท้วงเริ่มต้นขึ้น เมื่อนายมุฮัมมัด บูอาซีซี่ คนขายของข้างทางได้จุดไฟเผาตัวเองหลังจากรถเข็นของเขาถูกตำรวจยึดไป ความโกรธของเขาที่มีต่อการว่างงาน ความยากจน และการทุจริต สะท้อนก้องไปทั่วตูนีเซีย และนำไปสู่การประท้วงรัฐบาลที่กุมอำนาจใหญ่ของนายเบน อาลี บนท้องถนนหลายสัปดาห์ กองกำลังรักษาความมั่นคงได้ทำการปราบปรามผู้ประท้วงอย่างรุนแรงหลายครั้ง มีประชาชนเสียชีวิตไปมากกว่า 200 คน แต่การจลาจลยังดำเนินต่อไป และนายเบน อาลี จึงต้องหลบหนีออกนอกประเทศเพื่อลี้ภัยไปยังซาอุดิอารเบียในที่สุด

    การ เดินทางออกนอกประเทศของเขาเมื่อวันที่ 14 มกราคม ก็ยังไม่ทำให้ขบวนการประท้วงยุติลงได้ ชาวตูนีเซียจำนวนมากยังคงเรียกร้องต่อไปเพื่อขับไล่นายมุฮัมมัด กันนูชี นายกรัฐมนตรี และสมาชิกพรรคของนายเบน อาลี ที่ยังอยู่ในอำนาจ


    อียิปต์

    หลัง จากนายเบน อาลี ประธานาธิบดีฮุสนี มุบารัก ของอียิปต์ เป็นผู้นำเผด็จการของอาหรับคนที่สองที่ต้องลาออก การปกครองเกือบ 30 ปี ของเขา มาถึงวาระสิ้นสุดด้วยการประท้วง 18 วัน

    การจลาจลเริ่มต้นขึ้น เมื่อวันที่ 25 มกราคม เมื่อประชาชนหลายหมื่นคนได้ออกมาเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลของนายมุบารัก “วันแห่งความเดือดดาล” เมื่อวันที่ 28 มกราคม ยิ่งทำให้ฝูงชนจำนวนมากยิ่งขึ้นออกมาชุมนุมในกรุงไคโร ที่ซึ่งพวกเขาถูกปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมจากกองกำลังรักษาความมั่นคงของ อียิปต์ พวกเขายังยืนหยัดต่อไป และในที่สุด ตำรวจต้องล่าถอย ปล่อยให้จัตุรัสตาห์รีรฺตกอยู่ในการควบคุมของผู้ประท้วง

    เหตุการณ์ นี้ทำให้เกิดการดึงดันกันอยู่สองสัปดาห์ระหว่างผู้ประท้วงกับรัฐบาล ด้วยการยึดพื้นที่จัตุรัสตาห์รีรฺ และป้องกันตัวจากการจู่โจมของผู้ร้ายที่รัฐบาลสนับสนุน มุบารักมีท่าทีขึงขังในตอนแรกโดยให้คำมั่นว่าจะปฏิรูป เขาปลดคณะรัฐมนตรีและแต่งตั้งรองประธานาธิบดีโอมาร์ สุลัยมาน ที่เป็นหัวหน้าข่าวกรองมายาวนาน แต่เขาจะยังอยู่ในตำแหน่งต่อไป เขากล่าวออกรายการโทรทัศน์เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ โดยสัญญาว่าจะอยู่จนครบวาระ

    ถึงแม้ว่าเบื้องหลังฉาก มุบารักได้สูญเสียการสนับสนุนจากฝ่ายทหาร และนายสุลัยมานได้ประกาศถอนตัวในแถลงการณ์สั้นๆ ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงต่อมา

    ชาวอียิปต์ยังคงก่อการจลาจลกันต่อไป โดยผู้ประท้วงหลายหมื่นคนเรียกร้องให้รัฐบาลทหารชุดใหม่ปฏิบัติตามการปฏิรูปประชาธิปไตยที่แท้จริง


    แอลจีเรีย

    จนถึงปัจจุบันนี้ รัฐบาลแอลจีเรียยังไม่สนใจต่อการประท้วง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเมืองหลวงแอลเจียร์

    ผู้ ชุมนุมเดินขบวนกันหลายครั้งในเดือนมกราคม ส่วนใหญ่เนื่องจากการว่างงานและภาวะเงินเฟ้อ พวกเขาวางแผนการชุมนุมใหญ่ในเมืองหลวงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ซึ่งฝูงชนที่มีประมาณ 2,000 ถึง 10,000 คน ต้องเผชิญหน้ากับตำรวจปราบจลาจลเกือบ 30,000 นาย ที่เข้าควบคุมเมืองหลวง ประชาชนถูกจับกุมหลายสิบคน แต่การชุมนุมยังคงเป็นไปอย่างสงบ ผู้ชุมนุมตะโกนคำขวัญเช่น “บูเตฟลิกาออกไป” ซึ่งหลายถึงประธานาธิบดีอับเดลอาซีส บูเตฟลิกา ผู้ปกครองแอลจีเรียมานาน 12 ปี

    การเดินขบวนครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ดึงดูดฝูงชนได้เพียงน้อยนิด เพียงไม่กี่ร้อยคน ซึ่งก็แตกกระเจิงไปเพราะถูกตำรวจปราบปรามอีกครั้ง รัฐบาลยังได้ระงับการเดินรถไฟ และตั้งด่านบนถนนนอกเมืองหลวง ประชาชนถูกจับกุมหลายคน

    บูเตฟลิกาพยายามจะไม่ให้เกิดการประท้วงต่อไปโดยเขาได้สัญญาว่าจะยกเลิกกฎหมายภาวะฉุกเฉินที่ใช้มานานหลายทศวรรษ


    บาห์เรน

    การ ประท้วงต่อต้านรัฐบาลร่วมหนึ่งเดือนถูกปราบปราบขนานใหญ่โดยกองกำลังรักษา ความมั่นคงของบาห์เรน ผู้ซึ่งได้รับความช่วยเหลือด้านกำลังทหารจากประเทศเพื่อนๆ บ้าน โดยทำการสลายการชุมนุมรอบวงเวียนไข่มุม ศูนย์กลางแห่งสัญลักษณ์การเคลื่อนไหวประท้วงของบาห์เรน

    การชุมนุม เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เมื่อประชาชนหลายพันคนมารวมตัวกันที่วงเวียนไข่มุก เพื่อประท้วงต่อต้านรัฐบาล และถูกสลายการชุมนุมในเวลาต่อมาด้วยกองกำลังรักษาความมั่นคงที่ใช้กำลัง อย่างรุนแรง

    ในวันต่อๆ มา มีการเดินขบวนแห่ศพและการชุมนุมอื่นๆ ซึ่งก็ถูกตำรวจยิงอีกเช่นเดียวกัน พวกเขาล่าถอยไปนับตั้งแต่นั้น และกองทัพอนุญาตให้มีการชุมนุมกันอย่างสงบที่วงเวียนนั้นได้ต่อไป ผู้ประท้วงหลายหมื่นคนได้มารวมตัวกันหลังนมาซวันศุกร์เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์

    ผู้ประท้วงเริ่มออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และการเมือง แต่ตอนนี้ผู้ชุมนุมหลายคนกำลังเรียกร้องขับไล่กษัตริย์ฮามัด บิน อีซา อัลคอลิฟา

    หลังจากการประท้วงที่ยกระดับความรุนแรงขึ้น ดำเนินมาหลายสัปดาห์ ซึ่งมุ่งโจมตีไปที่สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาล พระราชวังและสัญลักษณ์อื่นๆ ของกษัตริย์ ประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งกำลังทหารของตนเข้ามาในบาห์เรนซึ่งนำโดยซาอุดิอาเบีย รัฐบาลประกาศใช้ภาวะสถานการณ์ฉุกเฉิน และทหารได้ใช้แก้สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุมที่วงเวียนไข่มุก มีประชาชนได้รับบาดเจ็บจำนวนมากในการสลายการชุมนุมครั้งนั้น

    ขบวนการ ประท้วงส่วนใหญ่มาจากประชากรชีอะฮ์ของบาห์เรน ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่มักจะถูกกดขี่จากผู้ปกครองของประเทศที่เป็นซุนนี พวกเขาอ้างเหตุผลว่านโยบายเศรษฐกิจของกษัตริย์เอื้อต่อชาวซุนนีที่เป็น ชนกลุ่มน้อย กษัตริย์คอลิฟาพยายามที่จะคลายความตึงเครียดด้วยการมอบของขวัญให้ชาวบาห์เรน ครอบครัวละ 1,000 ดีนาร์ (2,650 เหรียญสหรัฐฯ) แต่การแจกเงินนี้ทำให้พระองค์ได้การสนับสนุนเพียงน้อยนิดเท่านั้น


    โมรอคโค

    การ ประท้วงครั้งสำคัญครั้งแรกในโมรอคโคเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เมื่อประชาชนหลายหมื่นคน (กระทรวงมหาดไทยของประเทศอ้างว่า 37,000 คน) ออกมาชุมนุมบนท้องถนน การชุมนุมจัดขึ้นโดยกลุ่มสิทธิมนุษยชน กลุ่มนักหนังสือพิมพ์ และสหภาพแรงงาน

    ผู้ชุมนุมไม่ได้เรียกร้องเพื่อ ขับไล่กษัตริย์มุฮัมมัดที่สี่ แต่เรียกร้องให้เพิ่มการปฏิรูปที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น พวกเขาต้องการให้กษัตริย์มอบอำนาจบางส่วนให้ประชาชน ปัจจุบันนี้ พระองค์สามารถยุบสภาและประกาศภาวะฉุกเฉินได้ และเรียกร้องให้พระองค์ปลดคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันของพระองค์ ป้ายที่ผู้ประท้วงถือมีบางข้อความเขียนว่า “กษัตริย์ควรครองราชย์ ไม่ใช่ปกครองประเทศ”

    การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ แม้หลังจากนั้นจะมีการกระทำที่ป่าเถื่อนเกิดขึ้น ธนาคารหลายแห่งถูกเผา พร้อมกับอาคารอื่นๆ มากกว่า 50 แห่ง (โดยไม่รู้ตัวผู้ก่อเหตุ)

    ความ ไม่สงบที่คุกรุ่นได้พลุ่งถึงขีดสุดอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 มีนาคม เมื่อประชาชนหลายพันคนได้ออกมาชุมนุมกันในเมืองรอบัต, คาซาบลังก้า และเมืองอื่นๆ ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเหตุการณ์รุนแรงใดๆ ระหว่างการประท้วงเหล่านั้น
    กษัตริย์มุฮัมมัดสัญญาว่าจะมีการปฏิรูปทางการเมืองอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าพระองค์ยังไม่ได้ให้ความชัดเจนใดๆ


    เลบานอน

    ประชาชน หลายร้อยคนออกมาชุมนุมกันในวันที่ฝนตกและหนาวเย็นเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เรียกร้องให้ยุติระบบทางการเมืองที่แบ่งฝักฝ่ายของเลบานอน

    ระบบการ แบ่งปันอำนาจที่มีมานานนับทศวรรษกำหนดให้เลบานอนต้องมีประธานาธิบดีเป็น คริสเตียน มีนายกรัฐมนตรีเป็นซุนนี และโฆษกรัฐสภาเป็นชีอะฮ์ ผู้ประท้วงอ้างเหตุผลว่าระบบนี้ทำให้ความตึงเครียดทางฝักฝ่ายดำรงอยู่ตลอดไป ในเลบานอน

    ผู้ประท้วงต่อต้านการแบ่งฝักฝ่ายดำเนินการชุมนุมของพวกเขา ต่อไปด้วยการชุมนุมกันเมื่อวันที่ 6 มีนาคม และปักหลักประท้วงด้านหน้าอาคารที่ทำการของรัฐบาล และในการชุมนุมอีกแห่งหนึ่งที่เบรุตเมื่อวันที่ 20 มีนาคม มีผู้ประท้วงเข้าร่วมประมาณ 10,000 คน มากกว่าการเดินขบวนก่อนหน้านี้ถึงสามเท่า

    “สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสาเหตุนี้ และเราเพียงต้องการจะผลักดันเรื่องนี้ต่อไป” อุมัร ดีบ หนึ่งในผู้ดำเนินการประท้วงกล่าว


    จอร์แดน

    การ ประท้วงในจอร์แดนเริ่มต้นขึ้นเมื่อกลางเดือนมกราคม เมื่อผู้ชุมนุมหลายพันคนได้เดินขบวนในกรุงอัมมานและเมืองอื่นๆ อีกหกเมือง ความไม่พอใจของพวกเขาส่วนใหญ่อยู่ที่เรื่องเศรษฐกิจ เช่นราคาอาหารสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของประเทศก็สูงขึ้นเป็นเท่าตัว

    กษัตริย์อับดุลลา แห่งจอร์แดนพยายามที่จะปลดชนวนการประท้วงเมื่อต้นเดือนนี้ด้วยการปลดคณะ รัฐมนตรีของพระองค์ทั้งหมด นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นายมารูฟ บาคิต สัญญาว่าจะปฏิรูปทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างแท้จริง

    แต่การไล่ออก ที่กษัตริย์อับดุลลาใช้จัดการกับความไม่สงบภายในประเทศ มีผลเพียงน้อยนิดต่อการประท้วง ประชาชนหลายพันคนได้ออกมายังท้องถนนอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เพื่อเรียกร้องให้ปฏิรูปรัฐธรรมนูญและลดราคาอาหาร มีประชาชนอย่างน้อยแปดคนได้รับบาดเจ็บในระหว่างการจลาจลครั้งนั้น


    ซาอุดิอารเบีย

    กษัตริย์ อับดุลลอฮ์พยายามที่จะสกัดกั้นความไม่สงบภายในราชอาณาจักรด้วยการปฏิรูปทาง เศรษฐกิจหลายครั้ง ซึ่งมีมูลค่าถึง 135,000 ล้านเหรียญซาอุดี้ฯ (36,000 ล้านดอลล่าร์)

    โครงการริเริ่มใหม่ๆ มีเป้าหมายอยู่ที่พลเรือนของซาอุดี้ รวมทั้งการให้เงินอุดหนุนการสร้างบ้าน ผลประโยชน์ของคนว่างงาน และโครงการที่จะให้มีการทำสัญญาถาวรแก่พนักงานชั่วคราวของรัฐบาล ลูกจ้างของรัฐจะได้รับการขึ้นเงินเดือน 15 เปอร์เซ็นต์

    โครงการสร้าง ประกาศเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ เมื่อกษัตริย์อับดุลลอฮ์กลับถึงริยาดหลังจากการผ่าตัดหลังที่สหรัฐฯ และพักพื้นสี่สัปดาห์ในโมรอคโค

    ซาอุดิอารเบียไม่ได้เกิดการประท้วง ของประชาชนที่กวาดไปในหลายประเทศในแถบอาหรับ และยังคงมีการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการควบคุมที่เข้มงวดในราช อาณาจักร กลุ่มปัญญาชนและนักวิชาการที่โดดเด่นมากกว่า 100 คน ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เข้าถึง ได้โดยกว้างขวาง แถลงการณ์นี้เรียกร้องให้มี “คณะกรรมการสภาที่ปรึกษา” ที่มาจากการเลือกตั้ง คณะตุลาการที่เป็นอิสระ และการกวาดล้างการทุจริตอย่างจริงจัง

    คาดกันว่ากษัตริย์อับดุลลอฮ์จะปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีของพระองค์ในเร็ววันนี้



    โอมาน

    ประเทศ ในแถบอ่าวเปอร์เซียที่มักจะเซื่องซึมแห่งนี้ได้เกิดการประท้วงอย่างจริงจัง เมื่อวันที่ 27 เมื่อมีประชาชนอย่างน้อยสองคนถูกสังหารในระหว่างการชุมนุมในเมืองซอฮัร เมืองอุตสาหกรรม

    ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่ามีผู้เข้าร่วมการชุมนุมประมาณ 2,000 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก้สน้ำตา, ไม้ตะบอง และกระสุนยางในการสลายฝูงชน

    ผู้ ประท้วงโกรธเรื่องการทุจริต การว่างงาน และการขึ้นค่าครองชีพในโอมาน สุลต่านกอบูส บิน ซาอิด ผู้ปกครองประเทศมาตั้งแต่ปี 1970 พยายามสกัดกั้นการก่อความไม่สงบที่จะเกิดต่อไปด้วยการประกาศโครงการการสร้าง งานใหม่ และขยายการให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ว่างงาน

    การชุมนุมอีกแห่งหนึ่งยังเกิดขึ้นในเมืองซาลาลาห์ทางภาคใต้ด้วย


    อิรัก

    ประชาชน หลายพันคนได้ออกมาชุมนุมกันในจังหวัดสุลัยมานียาทางภาคเหนือในการชุมนุมกัน สี่วันเพื่อประท้วงการคอรัปชั่นและภาวะเศรษฐกิจ ประชาชนอย่างน้อยห้าคนถูกสังหาร และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยกองกำลังรักษาความมั่นคงฝ่ายเคิร์ดที่เปิดฉากยิงใส่ฝูงชน

    ได้เกิด การประท้วงประปรายหลายแห่งทั่วประเทศในช่วงหลายวันนี้ ประชาชนเกือบ 1,000 คน ในเมืองบัสราต้องการมีไฟฟ้าใช้รวมทั้งบริการอื่นๆ ด้วย ประชาชน 300 คน ในฟัลลูจา เรียกร้องให้ปลดผู้ว่าราชการจังหวัดออก ส่วนประชาชนหลายสิบคนในเมืองนัสสีรียาไม่พอใจเกี่ยวกับการว่างงาน

    การ ประท้วงยกระดับขึ้นตามลำดับเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ เมื่อประชาชนหลายพันคนมาชุมนุมกันในเมืองหลวงและที่อื่นๆ มีประชาชนอย่างน้อยหกคนเสียชีวิตในการชุมนุมทางภาคเหนือของอิรัก

    ผู้ ประท้วงในอิรัก ไม่เหมือนกับผู้ประท้วงในประเทศอื่นๆ คือพวกเขา(ยัง)ไม่ได้เรียกร้องเพื่อขับไล่รัฐบาล แต่พวกเขาต้องการให้มีบริการขั้นพื้นฐานที่ดีขึ้น เช่น ไฟฟ้า, อาหาร และการปราบปรามการทุจริต

    เพื่อตอบรับความไม่สงบ รัฐสภาอิรักได้เลื่อนการประชุมออกไปหนึ่งสัปดาห์ สมาชิกรัฐสภาได้รับคำแนะนำให้เดินทางกลับถิ่นฐานเพื่อพบปะกับประชาชนผู้มี สิทธิ์เลือกตั้ง การตอบรับที่แปลกประหลาดนี้ ซึ่งเหมือนกับว่ารัฐบาลยังไม่ได้ทำอะไร เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนโกรธเคือง


    อิหร่าน

    ขบวน การฝ่ายต่อต้านในอิหร่านได้พยายามทำการประท้วงหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมานี้ และแกนนำอย่างไม่เป็นทางการของขบวนการนี้ คือ มิร ฮุซเซน มุซาวี และเมห์ดี การ์รูบี ถูกจับกุมตัวอยู่ที่บ้าน

    การประท้วงรอบแรก เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ มีประชาชนออกมาบนท้องถนนเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน จากรายงานของเจ้าหน้าที่อิหร่าน ประชาชนอย่างน้อยสองคนเสียชีวิต และอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บ

    ประชาชนหลายหมื่นคนพยายามที่จะชุมนุมกัน อีกในวันอาทิตย์ แต่ก็พบกับตำรวจปราบจลาจลที่ถือกระบองเหล็ก ประชาชนเสียชีวิตเพิ่มอีกสามคน อาจมีการประท้วงเกิดขึ้นได้อีกในเร็วๆ นี้ และชาวอิหร่านใช้วิธีการ “ประท้วงเงียบ” และเดินขบวนเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับกองกำลังรักษาความมั่นคง

     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ข่าว เขมรปะทะไทย เกาะติด ไทยปะทะเขมรล่าสุด สรุป

    มุสลิมไทยดอทคอม : 1 พค. 54 16:02:44


    เขมรปะทะไทย เกาะติด ไทยปะทะเขมรล่าสุด
    [​IMG]

    สรุปปะทะ 9 วัน ทหารไทยพลีชีพ 7 นาย เจ็บ 96 นาย พลเรือนเสียชีวิต 1ราย เจ็บ 2 ยอดผู้อพยพรวม 52,438 คนแล้ว

    เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2554 สรุปการปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา 9 วัน ทหารไทย ได้รับบาดเจ็บขณะนี้จำนวน 96 นาย เสียชีวิต 7 นาย พลเรือนเสียชีวิต 1 ราย เจ็บ 2 ราย ส่วนยอดผู้อพยพรวม 52,438 คน มีศูนย์อพยพ 42 แห่ง ใน 2 จังหวัด คือ สุรินทร์ และบุรีรัมย์

    สำหรับรายชื่อทหารไทย ที่บาดเจ็บจากการปะทะกับทหารกัมพูชา เพิ่มเติม 11 คน ประกอบด้วย....

    1. ร.ท.โฆษิต ส่องแสงขจร สังกัด ร.8 พัน 2 อาการสาหัส ถูกสะเก็ดระเบิดที่กลางหลัง ถูกส่งตัวรักษาที่ ร.พ.พระมงกุฎเกล้าฯ แล้ว
    2. ร.ท.วีระ ชัชวาลย์ สังกัด ร.8 พัน.1
    3. พลทหาร กฤษดา พรหมจักร ร.8 พัน 1
    4. พลทหาร ดำรง บัวขาว สังกัด ร.13 พัน 2 ซึ่ง 3 คน หลังได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดตามร่างกาย
    5. จ.ส.ต.บุญเทียน ศรีจันทร์ โดนสะเก็ดระเบิดที่ขาซ้าย
    6. พลทหาร ไกรสร อินทร์เฉื่อย
    7. พลทหาร สราวุฒิ จู้จำรูญ
    8. ส.อ.พงศธร บางแก้ว
    9. พลทหาร วันชัย บัณฑิต
    10.พลทหาร สุเมธ ปานทอง
    11. พลทหาร ศราวุธ โพธิ์ศรี สังกัด ร. 1 พัน 3 ถูกสะเก็ดระเบิดตามลำตัว ได้รับบาดเจ็บสาหัส







    [​IMG]

    [30 เมษายน] กัมพูชาร้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แปลคำตัดสินขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร

    กัมพูชา ร้อง ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แปลคำตัดสินในปี 1962 เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร

    นายกอย เกือง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ประกาศวานนี้ (29 เมษายน) ในกรุงพนมเปญ หลังเกิดการปะทะครั้งใหม่ตามแนวชายแดน แม้จะมีการบรรลุข้อตกลงการหยุดยิงครั้งแรก จากผู้บัญชาการทหารระดับสูงของทั้งไทย และกัมพูชาเมื่อวันพฤหัสบดี

    โดย นายกอย เกือง กล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาต้องการให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แปลคำตัดสินเมื่อปี ค.ศ. 1962 ว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา และกล่าวว่า อำนาจการปกครองในพื้นที่จะขึ้นอยู่กับแผนที่ ที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ

    ขณะที่การปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ทหารไทย 2 นาย ได้ถูกทหารกัมพูชาซุ่มยิง ขณะเดินลาดตระเวนที่บริเวณปราสาทตาควาย ล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้นำตัวทหารไทยส่งโรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์แล้ว

    องอาจ เยี่ยมผู้อพยพ เชื่อ1-2 วันหยุดยิง

    รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางเยี่ยม และให้กำลังชาวบ้าน หนีการสู้รบปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เชื่อสถานการณ์ดีขึ้น 1-2 วันนี้

    นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรองนางสาวไทย ประจำปี 2553 และศิลปินจากอาร์สยาม เดินทางเข้าเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนที่ศูนย์อพยพโรงเรียนโสตศึกษา ต.เชื้อเพลิง อ.ปราสาท จ.สุรินทร์

    โดย นายองอาจ ได้กล่าวกับสื่อมวลชนถึงเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ที่ จ.สุรินทร์ เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ทางด้าน พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เจรจากับทางฝ่ายกัมพูชา ซึ่งคาดว่า วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ไม่น่าจะมีการปะทะกันเกิดขึ้นอีก แต่ประชาชนเองก็ยังไม่ไว้วางใจเท่าที่กองทัพมีการประชุมประเมินเหตุการณ์กัน คาดว่าการสื่อสารกับแนวหน้าที่มีการควบคุมกำลังพลทางฝ่ายกัมพูชายังไม่มีความชัดเจน ซึ่งตรงจุดนี้ไทยจึงเรียกร้องให้ทหารกัมพูชาหยุดยิงก่อน จึงให้ประชาชนอพยพ กลับเข้าที่พักได้ ซึ่งหากมีการยิงมาจากฝั่งกัมพูชา ทหารไทยจะยิงตอบโต้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น พร้อมยืนยันว่า ไม่เคยรุกรานทางกัมพูชาก่อน

    ขณะที่สถานการณ์ของผู้อพยพในศูนย์อพยพโรงเรียนโสตศึกษา ขณะนี้มียอดของประชาชนที่อพยพมายังศูนย์แห่งนี้ 2,923 คน และยังมีประชาชนทยอยเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงธารน้ำใจจากผู้ที่มีจิตศรัทรา ที่ยังคงร่วมบริจาคสิ่งของให้กับประชาชนเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

    วิทยุเขมร เผย ฮุน มาเนตขอกำลังรบเวียดนาม

    สื่อวิทยุเขมรออกอากาศระบุ ฮุน มาเนต ขอกำลังหน่วยรบพิเศษของเวียดนาม 4,500 นาย เตรียมเปิดศึกชิงปราสาทตาควาย หลังสภาสูงกัมพูชาเห็นชอบ

    วิทยุบายน เอฟเอ็ม 95 เมกกะเฮิรตซ์ ออกอากาศจากประเทศกัมพูชา รายงานว่า พล.ท.ฮุน มาเนต บุตรชายสมเด็จฮุน เซน ขอกำลังหน่วยรบเวียดกงที่เคยชนะทหารกัมพูชา จำนวน 4,500 นาย เข้าประจำการเสริมกับหน่วยรบพิเศษ 911

    โดยประชาชนชาวกัมพูชา ใน ต.สำโรง จ.อุดรมีชัย เล่าว่า พบเห็นรถบรรทุกทหารเวียดนาม จำนวนกว่า 20 คัน วิ่งเข้าไปในป่าลึกคาดว่า กองกำลังดังกล่าวจะเป็นหน่วยรบแนวหน้าเปิดศึกชิงปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม โดยการรบดังกล่าว ทางสภาสูงกัมพูชาเห็นชอบแล้ว

    เผยทหารไทยเจ็บอีก 10 จากเหตุปะทะเมื่อคืน

    มีรายงานว่า จากการปะทะกันเมื่อคืน ที่จุดปะทะปราสาทตาควาย ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 10 นาย ถูกนำส่งโรงพยาบาลพนมดงรัก และลำเลียงด้วยเฮลิคอปเตอร์ ส่งเข้ารักษาต่อที่โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดทหารบกสุรินทร์ และโรงพยาบาลสุรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ โดยผู้บาดเจ็บทั้ง 10 คน ประกอบด้วย

    1. ร.ท.โกสิทธิ์ ส่องแสง สังกัด ร.8 พัน 2 อาการสาหัสหนักสุด ถูกยิงที่ลำคอและหลัง รวม 2 นัด
    2. ร.ท.วีระ ชัยชวาลย์ สังกัด ร.8 พัน.1 ได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดตามร่างกาย
    3. พลทหาร กฤษดา พรหมจักร ร.8 พัน 1 ได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดตามร่างกาย
    4. พลทหารดำรง บัวขาว สังกัด ร.8 พัน 2 ได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดตามร่างกาย
    5.จ.ส.ต.บุญเทียน ศรีจันทร์ ถูกสะเก็ดระเบิดที่ขาซ้าย
    6.พลทหาร ไกรสร อินทร์เฉื่อย
    7.พลทหารสราวุฒิ จู้จำรูญ
    8.ส.อ.พงศธร บางแก้ว
    9.พลทหาร วันชัย บัณฑิต
    10.พลทหาร สุเมธ ปานทอง


    โฆษก ทภ.2 ยันทหารเขมรนอกแถวยิงไทย

    โฆษกกองทัพภาค 2 เผย กัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ทำให้ทหารไทยเจ็บเพิ่มอีก ระบุ การเจรจาไม่ได้ล้มเหลว แต่มีสัญญาณดีขึ้น

    พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาค 2 เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงสถานการณ์บริเวณริมชายแดนจังหวัดสุรินทร์ เมื่อช่วงคืนที่ผ่านมา ว่า ทหารกัมพูชาได้ยิงโจมตีเข้าฝั่งไทย เมื่อเวลา 19.45 น. ซึ่งฝ่ายไทยจึงต้องยิงตอบโต้ โดยใช้เวลาปะทะกันเพียง 4-6 นาทีเท่านั้น ก่อนจะหยุดปะทะกัน เนื่องจากเป็นความเข้าใจผิด แต่ต่อมาก็เกิดการปะทะกันขึ้นอีก ที่ตาเมือนธมกับปราสาทตาควาย เมื่อเวลา 3-4 ทุ่ม โดยการปะทะกันครั้งนี้ เกิดขึ้น 2 ช่วงเวลา ซึ่งใช้เวลาปะทะกันนาน 20-30 นาที ก่อนจะสงบลง

    ทั้งนี้ โฆษกกองทัพภาค 2 ยืนยันว่า การปะทะกันดังกล่าว เกิดจากทหารฝ่ายกัมพูชา เปิดฉากยิงฝ่ายไทยก่อน เราจึงจำเป็นต้องตอบโต้กลับ โดยไม่ได้ใช้อาวุธหนักแต่อย่างใด นอกจากนี้ โฆษกกองทัพภาค 2 เพิ่มเติมอีกว่า การปะทะกันหลังจากที่มีการเจรจากันแล้วนั้น ไม่ได้ล้มเหลวแต่อย่างใด เพราะจากภาพรวม สถานการณ์ดีขึ้นกว่าก่อนที่จะมีการเจรจาหยุดยิงกันเป็นอย่างมาก เพราะการปะทะกันล่าสุด เป็นเพียงการใช้อาวุธเบา

    ส่วนสาเหตุที่ยังมีการปะทะกัน คาดว่า อาจจะเกิดจากการที่ผู้บังคับบัญชาฝ่ายกัมพูชา ยังกำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ทั่วถึงเพราะการเจรจา เพิ่งพูดคุยทำข้อตกลงกันเมื่อ 10.00 น. ของวานนี้ หรืออาจจะเป็นพวกทหารนอกลู่ แต่ทั้งนี้ คาดว่า สถานการณ์จะคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น เพราะมีสัญญาณที่ดีขึ้น จากผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่าย

    อย่างไรก็ตาม ส่วนสถานการณ์บริเวณชายแดนสุรินทร์ จะยุติลงเมื่อใดนั้น โฆษกกองทัพภาค 2 กล่าวว่า วิเคราะห์ยาก เนื่องจากสถานการณ์ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึก



    [​IMG]

    ปภ.ได้งบ 19 ล้าน สร้างหลุมหลบภัยสุรินทร์

    อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประสาน ปภ.จังหวัด สำรวจจุดสร้างหลุมหลบภัยสุรินทร์ หลังกระทรวงการคลัง อนุมิติงบ 19 ล้านบาท

    นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงความคืบหน้าภายหลังกระทรวงการคลัง ได้อนุมัติงบประมาณในการสร้างหลุมหลบภัยเพิ่มเติม ในพื้นที่ของจังหวัดสุรินทร์ และอุบลราชธานี หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้อนุมัติ และให้เร่งดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่ของจังหวัดศรีสะเกษไปแล้ว โดยระบุว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการก่อสร้างในส่วนของจังหวัดศรีสะเกษ

    ส่วนในจังหวัดสุรินทร์ และอุบลราชธานี อยู่ระหว่างการประสานกับทางจังหวัด เพื่อให้สำรวจพื้นที่ และจำนวนหลุมหลบภัยที่ต้องจัดทำขึ้น แต่ยอมรับว่า เนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้ไม่สงบ การเข้าไปในพื้นที่จึงทำได้ลำบาก เพราะต้องคำนึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ด้วย

    อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า สำหรับงบประมาณในส่วนของการจัดทำที่จังหวัดสุรินทร์นั้น ได้กระทรวงการคลัง อนุมัติให้จำนวน 18-19 ล้านบาท ในส่วนของ จ.อุบลราชธานี จำนวน 20 ล้าน ตามที่เสนอ ส่วนรูปแบบและโครงการ การทำจะยึดแบบมาตรฐานทั้งหมด โดยกรมโยธาธิการจะเป็นคนออกแบบ

    [​IMG]


    จากกาปุก

     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    สื่อซาอุฯเผย “ซอวาฮิรี” ชี้ทางสหรัฐฯเด็ดหัว “บิน ลาดิน”

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤษภาคม 2554 18:56 น.

    [​IMG]


    อัยมาน อัล-ซอวาฮิรี แกนนำเบอร์ 2 ของอัลกออิดะห์

    เอเอฟพี - อัยมาน อัล-ซอวาฮิรี แกนนำเบอร์ 2 ของกลุ่มอัลกออิดะห์ เป็นผู้วางแผนชี้ทางให้สหรัฐฯเข้าถึงตัว บิน ลาดิน ด้วยเหตุความขัดแย้งภายใน หนังสือพิมพ์ อัล-วาตัน ของซาอุดีอาระเบีย เผยวันนี้ (5)

    อัล-วาตัน อ้างแหล่งข่าวในท้องถิ่นซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ โดยระบุว่า สองแกนนำสูงสุดของอัลกออิดะห์ มีแนวคิดที่แตกต่างกัน และคนส่งสารที่นำพาสหรัฐฯไปสู่การจับตาย บิน ลาดิน ก็เป็นคนของ ซอวาฮิรี ด้วย

    หนังสือพิมพ์ดังกล่าวระบุว่า คนส่งสารรายนี้เป็นชาวปากีสถาน ไม่ใช่ชาวคูเวตตามที่สหรัฐฯเข้าใจ และเขายังทราบดีด้วยว่า ถูกสหรัฐฯสะกดรอย แต่ก็ไม่แสดงท่าทีใดๆ

    “อัลกออิดะห์ในอียิปต์ เป็นฝ่ายควบคุมปฏิบัติการทั้งหมดแล้วในขณะนี้ นับตั้งแต่ บิน ลาดิน เริ่มป่วยในปี 2004 พวกเขาก็พยายามรวบอำนาจมาโดยตลอด” อัล-วาตัน รายงาน พร้อมระบุด้วยว่า กลุ่มของ ซอวาฮิรี โน้มน้าวให้ บิน ลาดิน ย้ายออกจากชนเผ่าบริเวณชายแดนปากีสถาน-อัฟกานิสถาน และมาพักอยู่ในเมืองอับบอตตาบัดใกล้กับกรุงอิสลามาบัดแทน จนกระทั่งถูกสหรัฐฯบุกสังหารในที่สุด

    เมื่อ ซาอิฟ อัล-อะเดล แกนนำอัลกออิดะห์ชาวอียิปต์ เดินทางกลับจากอิหร่านเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว กลุ่มอัลกออิดะห์ในอียิปต์จึงเริ่มวางแผนโค่นล้ม บิน ลาดิน ตั้งแต่นั้นมา

    Around the World - Manager Online -
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นานาชาติมีมติตั้ง “กองทุนกบฏลิเบีย” สหรัฐฯ พร้อมมอบเงินที่อายัดจาก “กัดดาฟี”

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤษภาคม 2554 20:45 น.

    [​IMG]

    รัฐมนตรีต่างประเทศจากชาติที่มีเอี่ยวกับสงครามลิเบียประชุมร่วมกันวันนี้ (5) ณ กรุงโรม





    เอเอฟพี - การประชุมนานาชาติว่าด้วยประเด็นลิเบียได้ข้อตกลงร่วมกันวันนี้ (5) ให้ตั้งกองทุนสนับสนุนฝ่ายกบฏด้านการเงิน ขณะเดียวกันฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าทางกรุงวอชิงตันจะนำทรัพย์สินของมูอัมมาร์ กัดดาฟี ซึ่งถูกอายัดบางส่วน ออกช่วยเหลือฝ่ายกบฏ

    อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เข้าร่วมการประชุมร่วมกับกลุ่มนานาชาติ ณ กรุงโรม วันนี้ระบุว่า ยุโรปและสหรัฐฯ อาจใช้ข้อบังคับทางกฏหมาย เพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือด้านการเงินกับกลุ่มกบฏลิเบีย โดยฟรันโก ฟรัตตินี รัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลี แถลงว่า กลไกด้านกองทุนนี้จะช่วยให้เงินก้อนต่างๆ ที่ให้กับฝ่ายกบฏถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

    นอกจากนี้ ฮิลลารี คลินตันกล่าวว่า สหรัฐฯ ได้ตัดสินใจมองหาลู่ทางด้านกกฎหมายที่จะทำให้สามารถนำทรัพย์สินบางส่วนที่ถูกอายัดของกัดดาฟี ส่งไปช่วยเหลือฝ่ายกบฏ

    ทั้งนี้มีรายงานว่า อียูและสหรัฐฯ ได้อายัดทรัพย์สินจากบัญชีธนาคาร และการลงทุนของชาวลิเบียในต่างแดนน มูลค่าประมาณ 60,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท)

    “สหรัฐฯ กำลังช่วยส่งเสริมการขายน้ำมันของกลุ่มกบฏ เมื่อเร็วๆ นี้กรมธนารักษ์ได้ขจัดอุปสรรคภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำมัน” ซึ่งสามารถช่วยฝ่ายกบฏลิเบียได้ รัฐมนตรีคลินตันกล่าว

    เธอสำทับว่า สหรัฐฯ จะให้เงินช่วยเหลือฝ่ายกบฏจำนวน 53 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,600 ล้านบาท) และประชาคมโลกต้องร่วมกันโดดเดี่ยวรัฐบาลของกัดดาฟียิ่งขึ้น โดยปฏิเสธการยอมรับตัวแทน และขับไล่นักการทูตที่สวามิภักดิ์ต่อกัดดาฟีออกจากประเทศ

    ด้านกบฏลิเบียที่ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมด้วยได้ประกาศว่า ต้องการเงินจำนวนมากถึง 3,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 90,000 ล้านบาท) ในทันที เพื่อยับยั้งไม่ให้เศรษฐกิจในดินแดนแถบตะวันออกที่กบกฏยึดครองพังทลาย โดยกล่าวถึงฝรั่งเศส อิตาลี และสหรัฐฯ ว่าอาจเป็นผู้บริจาคเงินจำนวนนี้

    การประชุมนานาชาติวันนี้ประกอบไปด้วยประเทศที่มีส่วนร่วมในปฏิบัติการโค่นล้มรัฐบาลกัดดาฟี ซึ่งมีนาโตเป็นแกนนำ และมีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่เดินมาถึงทางตัน โดยฝ่ายกบฏอ้างว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 10,000 ราย ขณะเดียวกัน สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในเมืองกบฏกำลังย่ำแย่ลงทุกขณะ โดนเฉพาะในพื้นที่ปะทะตามหุบเขาทางตะวันออก และเมืองมิสราตาที่ถูกกองกำลังฝ่ายรัฐบาลปิดล้อมมานาน

    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000055485
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    'คาสโตร'ประณามมะกันฆ่าบินลาดินต่อหน้าลูกๆ

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 พฤษภาคม 2554 02:00 น.

    [​IMG]

    ฟิเดล คาสโตร


    เอเอฟพี - ฟิเดล คาสโตร อดีตผู้นำของคิวบา เมื่อวันพฤหัสบดี(5) ขนานนามการตายของอุซามะห์ บินลาดิน ว่าเป็นปฏิบัติการลอบฆ่าที่ "น่ารังเกียจ" ชี้ยิ่งจะก่อความเกลียดชังและความอาฆาตต่อสหรัฐฯ โดยเฉพาะมันเกิดขึ้นต่อหน้าภรรยาและลูกๆของแกนนำอัลกออิดะห์รายนี้

    "ไม่ว่าปฏิบัติการใดก็ตามและไม่ว่าเขาคือบินลาดินหรือไม่ การฆาตกรรมคนมือเปล่าที่ห้อมล้อมด้วยครอบครัวของคนๆนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจสิ้นดี" คาสโตรเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์

    คาสโตร ผู้ปกครองคิวบามายาวนานหลายทศวรรษ ยังเตือนด้วยว่าหลังจากช่วงเวลาอิ่มเอิบในเบื้องต้นแล้ว สหรัฐฯจะถูกวิพาษณ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อวิธีสังหารบินลาดินและลงเอยด้วยความรู้สึกเกลียดชิงและความพยาบาทที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ

    "การฆ่าเขาและนำร่างของเขาทิ้งลงก้นทะเลแสดงให้เห็นถึงความหวั่นกลัวและอ่อนแอ และยิ่งจะทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่อันตรายมากขึ้นกว่าเดิม" คาสโตรระบุ

    ผู้บงการเหตุโจมตีวินาศกรรมสหรัฐฯ 11 กันยายน 2001 ถูกหน่วยคอมมานโดสหรัฐฯ ยิงเสียชีวิตเมื่อวันจันทร์(2) ระหว่างปฏิบัติการจู่โจมบ้านพักของเขาในปากีสถาน

    หลังจากรายงานเบื้องต้นระบุว่า บินลาดิน ใช้อาวุธตอบโต้ระหว่างถูกยิงเสียชีวิต อย่างไรก็ตามต่อมาเจ้าหน้าที่สหรัฐฯยืนยันว่าเวลานั้นแกนนำอัลกออิดะห์รายนี้ไม่มีอาวุธแต่มีท่าทีขัดขืนตอนที่หน่วยซีลยิงเขาบริเวณศีรษะและหน้าอก

    ภรรยาขาวเยเมนของเขาถูกยิงบริเวณขา ขณะที่คนอื่นๆเป็นชาย 3 คนและหญิง 1 คน ถูกสังหารระหว่างปฏิบัติการจู่โจมครั้งนี้ที่ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีและไม่ได้แจ้งต่อรัฐบาลปากีสถานก่อน

    คาสโตร วัย 84 ปี บอกต่อว่าบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่มีทางซ่อนความจริงว่าบินลาดิน ถูกประหัตประหารต่อหน้าลูกๆและภรรยา และปราศจากการพิจารณาคดี

    Around the World - Manager Online - '
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ชี้คอมพิวเตอร์ “บิน ลาดิน” แหล่งขุมทรัพย์ทางข้อมูลสำหรับสหรัฐฯ

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤษภาคม 2554 11:50 น.
    [​IMG]

    เด็กชายชาวปากีสถานนั่งอยู่บนกำแพงล้อมบ้านพัก ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของอุซามะห์ บิน ลาดิน


    เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ซึ่งตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เก็บข้อมูลต่างๆ ที่พบในบ้านพักของ อุซามะห์ บิน ลาดิน ชี้ สิ่งเหล่านั้นเป็นเสมือนแหล่งขุมทรัพย์ทางด้านข้อมูล ที่จะเปิดโปงแผนการก่อการร้าย สถานที่อยู่ของบุคคลสำคัญในเครือข่ายอัลกออิดะห์คนอื่นๆ รวมถึงแหล่งเงินทุนขององค์กรแห่งนี้ด้วย

    อดีตเจ้าหน้าที่ และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง เผยว่า ขุมทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งถูกขนออกมาหลังจาก บิน ลาดิน ถูกปลิดชีวิตในปฏิบัติการโจมตีของสหรัฐฯ เมื่อวันอาทิตย์ (1) ที่ผ่านมา ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ 5 เครื่อง ฮาร์ดดิสก์ 10 อัน และอุปกรณ์เก็บข้อมูลอีกร่วม 100 ชิ้น เป็นเสมือนการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ทางด้านข่าวกรองของสหรัฐฯ

    “ผมจะรู้สึกแปลกใจมาก หากสิ่งนี้ไม่ใช่ขุมทรัพย์สำหรับเรา” จอห์น แมคลาคลิน อดีตรองผู้อำนวยการซีไอเอ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น โดยว่าสหรัฐฯ น่าจะพบการวางแผน แหล่งเงินทุนในการก่อการร้าย และอาจทราบว่าแกนนำอัลกออิดะห์นั้นมีความสัมพันธ์ใดๆ กับปากีสถานหรือไม่ด้วย

    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า หน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ ซึ่งประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานอื่นๆ ได้เริ่มสืบเสาะหาข้อมูลในอุปกรณ์เหล่านั้นแล้ว โดยคาดว่าอาจต้องใช้เวลานานหลายเดือน หรืออาจหลายปี

    สำหรับการค้นหาเบื้องต้นนั้น จะเน้นไปที่การตรวจหาภัยคุกคามต่อเนื่อง และข้อมูลที่จะชี้ไปยังเป้าหมายสำคัญอื่นๆ ภายในอัลกออิดะห์ ตามคำบอกเล่าของไมเคิล ไลเตอร์ หัวหน้าศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติ

    ด้าน เอริก โฮลเดอร์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวในที่ประชุมวุฒิสภาในวันพุธ (4) ว่า รัฐบาลอาจจะเพิ่มรายชื่อในบัญชีผู้ก่อการร้ายที่ต้องจับตามอง จากข้อมูลในไฟล์คอมพิวเตอร์ของ บิน ลาดิน ด้วย

    ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์จะรื้อฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์เหล่านั้นก่อนเป็นอย่างแรก ซึ่งต้องระมัดระวังสายกับดัก หรือกลไก ที่อาจจะลบไฟล์ทิ้งไปได้ จากนั้นจึงจะดึง และคัดลอกข้อมูลที่เก็บไว้ทั้งหมดออกมา นักวิเคราะห์สำทับ

    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000055244
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ชี้คอมพิวเตอร์ “บิน ลาดิน” แหล่งขุมทรัพย์ทางข้อมูลสำหรับสหรัฐฯ

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤษภาคม 2554 11:50 น.
    [​IMG]

    เด็กชายชาวปากีสถานนั่งอยู่บนกำแพงล้อมบ้านพัก ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของอุซามะห์ บิน ลาดิน


    เอเอฟพี - เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ซึ่งตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์เก็บข้อมูลต่างๆ ที่พบในบ้านพักของ อุซามะห์ บิน ลาดิน ชี้ สิ่งเหล่านั้นเป็นเสมือนแหล่งขุมทรัพย์ทางด้านข้อมูล ที่จะเปิดโปงแผนการก่อการร้าย สถานที่อยู่ของบุคคลสำคัญในเครือข่ายอัลกออิดะห์คนอื่นๆ รวมถึงแหล่งเงินทุนขององค์กรแห่งนี้ด้วย

    อดีตเจ้าหน้าที่ และผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง เผยว่า ขุมทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งถูกขนออกมาหลังจาก บิน ลาดิน ถูกปลิดชีวิตในปฏิบัติการโจมตีของสหรัฐฯ เมื่อวันอาทิตย์ (1) ที่ผ่านมา ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ 5 เครื่อง ฮาร์ดดิสก์ 10 อัน และอุปกรณ์เก็บข้อมูลอีกร่วม 100 ชิ้น เป็นเสมือนการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ทางด้านข่าวกรองของสหรัฐฯ

    “ผมจะรู้สึกแปลกใจมาก หากสิ่งนี้ไม่ใช่ขุมทรัพย์สำหรับเรา” จอห์น แมคลาคลิน อดีตรองผู้อำนวยการซีไอเอ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น โดยว่าสหรัฐฯ น่าจะพบการวางแผน แหล่งเงินทุนในการก่อการร้าย และอาจทราบว่าแกนนำอัลกออิดะห์นั้นมีความสัมพันธ์ใดๆ กับปากีสถานหรือไม่ด้วย

    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า หน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ ซึ่งประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานอื่นๆ ได้เริ่มสืบเสาะหาข้อมูลในอุปกรณ์เหล่านั้นแล้ว โดยคาดว่าอาจต้องใช้เวลานานหลายเดือน หรืออาจหลายปี

    สำหรับการค้นหาเบื้องต้นนั้น จะเน้นไปที่การตรวจหาภัยคุกคามต่อเนื่อง และข้อมูลที่จะชี้ไปยังเป้าหมายสำคัญอื่นๆ ภายในอัลกออิดะห์ ตามคำบอกเล่าของไมเคิล ไลเตอร์ หัวหน้าศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติ

    ด้าน เอริก โฮลเดอร์ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวในที่ประชุมวุฒิสภาในวันพุธ (4) ว่า รัฐบาลอาจจะเพิ่มรายชื่อในบัญชีผู้ก่อการร้ายที่ต้องจับตามอง จากข้อมูลในไฟล์คอมพิวเตอร์ของ บิน ลาดิน ด้วย

    ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญไซเบอร์จะรื้อฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์เหล่านั้นก่อนเป็นอย่างแรก ซึ่งต้องระมัดระวังสายกับดัก หรือกลไก ที่อาจจะลบไฟล์ทิ้งไปได้ จากนั้นจึงจะดึง และคัดลอกข้อมูลที่เก็บไว้ทั้งหมดออกมา นักวิเคราะห์สำทับ

    Around the World - Manager Online -
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นาวิกฯ มะริกัน เสือสำนึกบาป เข้าเวียดนาม 50 ครั้ง ช่วยเหยื่อฝนเหลือง

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤษภาคม 2554 18:54 น.
    [​IMG]
    ภาพถ่ายของ เจมส์ จี ซัมวอลท์ พี่ชาย และบิดา เมื่อครั้งที่อยู่ร่วมกันปฏิบัติการสงครามเวียดนาม. --(ภาพ: vietnamnet).



    เวียดนามเอ็กซ์เพรส - ภายในเวลา 17 ปี พันโท เจมส์ จี ซัมวอลท์ (James G. Zumwalt) อดีตนาวิกโยธินของสหรัฐฯ ที่เข้าร่วมในสงครามเวียดนาม ได้เดินทางมาเวียดนามไม่ต่ำกว่า 50 ครั้ง และสัมภาษณ์ผู้คนมากกว่า 200 คน เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาฝนเหลืองในเวียดนาม

    ในการเดินทางเยือนเวียดนามครั้งที่ 51 ทหารผ่านศึกของสหรัฐฯผู้นี้ หวนคิดถึงความทรงจำของตัวเองในห้องเงียบๆ ห้องหนึ่งในเมืองไซ่ง่อน (นครโฮจิมินห์)

    ซัมวอลท์ เกิดในครอบครัวที่ราชการทหารกันเป็นประเพณีสืบต่อกันมา และเมื่อเขาอายุได้ 20 ปี ก็เจริญรอยตามบิดา คือ พลเรือเอก เอลโม รัสเซลล์ ซัมวอลท์ เดินทางมายังเวียดนาม ที่ในขณะนั้นบิดาของเขากำลังหาวิธีการกำจัดพุ่มไม้เตี้ยตามแนวแม่น้ำ หลังจากบุตรชายของเขาเดินทางมาสมทบ พลเรือเอก ซัมวอลท์ ออกคำสั่งให้บรรดาทหารใช้สารเคมีบางอย่างที่ทำให้ใบไม้หลุดร่วง

    ในเวลานั้น บิดาและบุตรชายตระกูลซัมวอลท์ เชื่อว่า สารเคมีดังกล่าวเป็นเพียงสารกำจัดวัชพืชที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ตามที่ผู้ผลิตยืนยัน แต่หลายปีต่อมา พวกเขารู้ว่า สารเคมีดังกล่าวคือ ฝนเหลือง ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และมีทหารอเมริกันหลายนายได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายนี้ จนในปี 2531 พี่ชายคนโตของซัมวอลท์เสียชีวิตจากสารเคมีชนิดนี้

    หลังการสูญเสียบุตรชายคนโต พลเรือเอก ซัมวอลท์ เริ่มโน้มน้าวรัฐบาลสหรัฐฯให้ยอมรับผลกระทบที่เกิดจากสารเคมีฝนเเหลืองที่มีต่อมนุษย์ และชดเชยค่าเสียหายให้กับทหารผ่านศึกชาวอเมริกันที่ได้รับสารเคมีนี้ด้วย

    ในปี 2537 ซัมวอลท์ และบิดาเดินทางมาเวียดนามเป็นครั้งแรก หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม เพื่อพบกับทหารผ่านศึกชาวเวียดนาม และหาทางร่วมมือกับรัฐบาลเวียดนามในการวิจัยและหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เป็นผลกระทบจากฝนเหลือง โดยในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา ซัมวอลท์เดินทางมาเวียดนามแล้วถึง 50 ครั้ง และสัมภาษณ์ทหารผ่านศึกแล้วมากกว่า 200 คน ทำให้มุมมองเกี่ยวกับสงครามเวียดนามของเขาเปลี่ยนไป

    “เมื่อตอนที่พ่อของผมบอกให้ผมเดินทางมาเวียดนามกับเขาในครั้งแรก ผมยืนยันหนักแน่นที่จะไม่มาที่นี่เพราะความเสียใจที่มีต่อการจากไปของพี่ชาย แต่เขาโน้มน้าวผมให้มาเรียนรู้ผู้คนที่อยู่ในแนวหน้า และการพบผู้คนเหล่านั้นทำให้ผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง" ซัมวอลท์ กล่าว และว่า นายแพทย์ 2 คน ที่เขาได้รู้จัก คือ พลตรี ดร.เหวียน ฮวี ฟาน (Nguyen Huy Phan) และดร.เล กาว ได๋ (Le Cao Dai) เป็นคนที่เปลี่ยนความเกลียดชังของเขาเป็นความเห็นอกเห็นใจ เพราะทั้งคู่ต่างประสบกับเหตุโศกเศร้าเช่นเดียวกันกับเขา คือ สูญเสียพี่ชายและน้องชาย

    “ผมโชคดีมากกว่าดร.ฟาน เพราะผมได้เจอกับพี่ชายก่อนที่เขาจะจากไป แต่ ดร.ฟาน ใช้เวลานานถึง 17 ปี ค้นหาอัฐิที่เหลืออยู่ของพี่ชาย” ซัมวอลท์ กล่าว


    [​IMG]

    ซัมวอลท์ ขณะเดินทางเยือนเวียดนามเป็นครั้งที่ 51 . --(ภาพ: vietnamnet).


    ซัมวอลท์ และบิดาเดินทางเยือนศูนย์ดูแลผู้พิการและเหยื่อสงคราม ได้พบกับผู้คนจำนวนมากที่สูญเสียอวัยวะเพราะระเบิดและกับระเบิด อดีตนายทหารตัดสินใจมอบอวัยวะเทียมและอุปกรณ์ช่วยเหลือให้กับทหารผ่านศึกชาวเวียดนามเหล่านี้

    ซัมวอลท์ ยังระลึกถึงเหตุการณ์ที่ได้พบกับ นางบุ่ย ถิ แม่ (Bui Thi Me) วีรสตรีชาวเวียดนามผู้หนึ่ง

    “ผมไม่เคยพบผู้หญิงเช่นเธอมาก่อน ใบหน้าที่อ่อนโยนของเธอช่างตรงข้ามกับเหตุเลวร้ายที่เธอต้องพบเจอ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกชายถึง 3 คน และอวัยวะบางส่วนที่ลูกชายคนที่ 4 ของเธอต้องเสียไป กลับไม่ทำให้เธอรู้สึกเกลียดชังชายชาวอเมริกันที่ยืนอยู่ต่อหน้าเธอเลย...” ซัมวอลท์ กล่าว และว่า ความยุติธรรมสำหรับผู้หญิงคนนี้อยู่ที่ไหน เมื่อเธอต้องทุกข์ทนกับความเจ็บปวดและการสูญเสียที่มากมายเช่นนี้

    ทหารผ่านศึกผู้นี้ได้พบปะกับทหารผ่านศึกชาวเวียดนามมากกว่า 200 คน และรู้สึกประทับใจอย่างมากในการพบกับพลตรีเจิ่น ฮาย ฝุ่ง (Tran Hai Phung) โดยกล่าวว่า ในการพบกันครั้งแรกกับพลตรีฝุ่งเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับปฏิบัติการและโครงสร้างของอุโมงค์กู่จี (Cu Chi) นั้น พลตรีฝุ่งเปิดเผยว่าเขาได้รับมอบหมายให้สังหารบิดาของซัมวอลท์ในปี 2512 แต่ปฏิบัติการล้มเหลว

    “ผมนั่งเผชิญหน้ากับคนที่คิดจะสังหารพ่อของผมในสงคราม แต่ผมสัมผัสมือกับเขาด้วยมิตรภาพ หลังจากพบกับพลตรีฝุ่ง ผมกลับไปที่โรงแรมและโทรศัพท์หาพ่อของผมเพื่อเล่าเรื่องดังกล่าวให้เขาฟัง” ซัมวอลท์ กล่าว

    ความเปลี่ยนแปลงในมุมมองที่มีต่อสงครามเวียดนาม จากทัศนคติที่แตกต่างหลากหลายและความขัดแย้งในมุมมองทางการเมือง ซัมวอลท์เข้าใจว่ามันคือส่วนหนึ่งในธรรมชาติของสงคราม เขาตัดสินใจที่จะเขียนบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับสงครามเวียดนามเพื่อช่วยให้ชาวอเมริกันมีมุมมองที่เป็นธรรมมากขึ้น

    หนังสือชื่อ “Bare Feet, Iron Will” วางจำหน่ายในสหรัฐเมื่อปี 2553 และนำมาวางจำหน่ายในเวียดนาม เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา มีเนื้อหาเกี่ยวกับทหารเวียดนามในสงครามเวียดนาม และในวันที่หนังสือวางจำหน่ายในเวียดนามครั้งแรก ซัมวอลท์ได้มอบเงินจำนวน 1,000 ดอลลาร์ให้กับเหยื่อฝนเหลืองชาวเวียดนาม และยังวางแผนที่จะทำสารคดีเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม ร่วมกับบริษัท Florentine film studio ซึ่งหากภาพยนตร์สารคดีชิ้นดังกล่าวถูกผลิตขึ้น เขาหวังให้ผลงานชิ้นนี้เป็นเสียงสำคัญในกระบวนการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับบรรดาเหยื่อฝนเหลือง

    IndoChina - Manager Online -
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันที่ 6 พฤษภาคม 2554 01:00 กาแฟดำ
    จำนวนคนอ่าน 1225 คน หน่วยรบพิเศษมะกันสังหารบิน ลาเดน: ตีความกฎหมายสากล ถูกหรือผิด?
    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    โฆษกทำเนียบขาวเจย์ คาร์เนย์ บอกว่า โอซามา บิน ลาเดน ไม่มีอาวุธตอนที่หน่วยรบพิเศษมะกันเผชิญหน้าเขาที่ชั้นบนของบ้านหลังนั้น
    <SCRIPT type=text/javascript> google_ad_channel = '8724309246'; //slot number google_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads //google_image_size = '338X280'; //google_skip = '3'; var ads_ID = 'Google-adsense-indetail'; // set ID for main Element div var displayBorderTop = false; // default = false; //var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type image var position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail </SCRIPT><SCRIPT src="http://www.bangkokbiznews.com/home/main/js/adsense/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110427/r20110427/show_ads_impl.js"></SCRIPT>ในเมือง Abbotabad ซึ่งห่างจากเมืองหลวงอิสลามาบัด ของปากีสถาน ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 60 กิโลเมตร

    แต่ "เขาแข็งขืนจะสู้" (ใช้คำว่า "resist") ซึ่งก็ไม่ชัดเจนว่าจะสู้ด้วยวิธีการอันใด

    สิ่งที่ชาวโลกรู้ตามมา ก็คือ ทหารหน่วยรบพิเศษของสหรัฐ ที่บุกเข้าไปถึงที่นั่นยิงบิน ลาเดน ที่หัวและเสียชีวิตตรงนั้น ก่อนที่จะเอาศพไปฝังทะเล (ที่กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำไม่เหมาะสมกับประเพณีอิสลาม)

    คำกล่าวเรื่องบิน ลาเดน มีอาวุธหรือไม่ขณะที่หน่วยรบพิเศษมะกันเข้าประจันหน้ากลายเป็นเรื่องถกเถียงไม่น้อย

    เพราะก่อนหน้านั้นวันเดียว นายยอห์น เบรนเนน หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐ บอกนักข่าวว่าหัวหน้าอัล ไกดา คนนี้ถืออาวุธอยู่ตอนที่ทหารมะกันเข้าไปประชิดตัว

    ประเด็นที่ถกเถียงกันก็คือว่าสหรัฐทำถูกกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ในการสังหารบิน ลาเดน

    รัฐมนตรียุติธรรมอเมริกา นายอิริค โฮลเดอร์ ยืนยันว่าถูกต้องด้วยกฎหมายสากลแน่นอน

    นักกฎหมายมะกันบางคนบอกว่าที่ว่าถูกต้องตามกฎหมายนั้นเพราะรัฐธรรมนูญสหรัฐ ให้อำนาจประธานาธิบดี ที่จะใช้กำลัง "ที่จำเป็นและเหมาะสม" (all necessary and appropriate force) ต่อประเทศหรือองค์กรหรือบุคคลที่มีส่วนในการโจมตีสหรัฐ ในเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งก็หมายถึงบิน ลาเดน ในกรณีนี้

    นักกฎหมายกลุ่มนี้เชื่อว่าทำเนียบขาวอ้างว่าการกระทำของหน่วยรบพิเศษครั้งนี้ ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศเพราะเป็นการป้องกันตนเอง (self-defence) เพราะอเมริกา ถือว่าบิน ลาเดน กำลังวางแผนจะโจมตีอเมริกาอีก

    อาจารย์ทางกฎหมายคนหนึ่งบอกว่าทหารอเมริกันในสถานการณ์เช่นนั้น สามารถจะสังหารบิน ลาเดน ได้ "แม้ว่าเขาจะพยายามหนีก็ตาม"

    แต่อาจารย์กฎหมายอีกบางสำนักบอกว่าปฏิบัติการของหน่วย SEALS ของสหรัฐ ครั้งนี้มีรูปแบบของ "วิสามัญฆาตกรรม" (extrajudicial killing) โดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้องของกฎหมาย (due process of law)

    นักกฎหมายซีกนี้อ้างว่าแม้แต่อาชญากรสงครามอย่างนาซี ก็ยังมีสิทธิที่จะได้รับการไต่สวนขึ้นศาลอย่างเป็นธรรม (fair trial)

    นักกฎหมายอังกฤษบางคนบอกว่ากรณีนี้ ทำให้เกิดความน่าเป็นห่วงว่า "การแก้แค้นจะถูกตีความเป็นความยุติธรรม" และ "การแก้แค้นจะมาแทนกระบวนการอันถูกต้องตามกฎหมาย" (revenge will supplant due process)

    นักวิเคราะห์อีกกลุ่มหนึ่งมองว่าทหารมะกัน ควรจะ "จับเป็น" บิน ลาเดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเขาไม่มีอาวุธอยู่ในครอบครองขณะที่เผชิญหน้า

    ดังนั้น ทางการสหรัฐ จึงต้องชี้แจงกับชาวโลกว่าบิน ลาเดน ถูกยิงที่หัวนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

    พูดง่ายๆ คือ หาก บิน ลาเดน ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ ทหารหน่วยรบพิเศษมะกัน ที่มีอาวุธครบมือก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องยิงบิน ลาเดน "ทิ้ง"

    การอ้างว่าเป็นการ "ป้องกันตัว" ของทหารมะกัน ในสถานการณ์เช่นนี้ จึงน่าสงสัยว่ามีส่วนของความจริงมากน้อยเพียงใด

    หากเป็นไปตามข้อเสนอของนักกฎหมายคนนี้ ทหารมะกันก็ควรจะจับบิน ลาเดน เพื่อเอาขึ้นศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ ที่กรุงเฮก ให้ศาลระหว่างประเทศตัดสิน และให้ผู้ต้องหาตั้งทนายมาต่อสู้คดีอย่างเปิดเผยได้ จึงจะเหมาะควร

    อีกประเด็นหนึ่งที่ส่อไปในทางไม่ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ การเปิดเผยว่ารัฐบาลปากีสถานไม่ได้อนุมัติให้สหรัฐ ปฏิบัติการพิเศษครั้งนี้ก่อนที่จะเกิดเหตุ

    ดังนั้น จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ "ละเมิดอธิปไตย" และ "เอกราชทางการเมือง" ของประเทศอื่นหรือไม่ (against the territorial integrity and political independence of a foreign state)

    แต่นักกฎหมายอีกคนหนึ่งก็สามารถแย้งได้ว่ารัฐบาลปากีสถานไม่ได้แสดงออกถึงการคัดค้านปฏิบัติการครั้งนี้ แม้จะได้รับแจ้งหลังเกิดเหตุการณ์แล้วแต่อย่างใด แสดงว่าปากีสถานไม่ได้ถือว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยของตน

    ข้อโต้แย้งอีกด้านหนึ่งในแง่กฎหมายระหว่างประเทศก็คือว่าหาก บิน ลาเดน ไม่ได้มีอิทธิพลเหนือองค์กรอัล ไกดา เหมือนอย่างที่เคยมีในช่วง 9/11 ก็ย่อมจะแปลความได้ว่าเขาไม่ใช่ "ศัตรูนักรบ" (enemy combatant) อย่างที่อเมริกานิยามเอาไว้...จึงไม่ควรที่สหรัฐ จะมีสิทธิฆ่าเขาทิ้งต่อหน้าต่อตา

    อีกประเด็นหนึ่งก็คือว่าสหรัฐ เชื่อว่าสงครามของตนกับอัล ไกดา นั้น สามารถจะปะทะกันไปในทุกจุดทั่วโลก แต่ความจริงสมรภูมิที่แท้จริงของปฏิบัติการที่วอชิงตันเรียกว่า "Operation Enduring Freedom in Afghanistan" นั้น อยู่ในอัฟกานิสถานเท่านั้น

    "ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่จะพิสูจน์ว่าในขณะที่เขาถูกสังหารนั้น บิน ลาเดน เป็นคนบงการองค์กรที่มีความขัดแย้งกับสหรัฐ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในปากีสถานหรือสั่งการจากปากีสถานแต่อย่างใด..." นักกฎหมายเยอรมันคนหนึ่งแย้ง

    ความน่ากลัวจากนี้ไป ก็คือ การที่สหรัฐ จะ "กร่าง" และ "กร้าว" ยิ่งขึ้น ไม่สนใจกติการะหว่างประเทศ เพราะถือว่าตน คือ "มหาอำนาจแต่เพียงผู้เดียว"

    และสามารถตีความกฎหมายสากล จากมุมมองของตนแต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น

    ˹
     

แชร์หน้านี้

Loading...