อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์. พระบรมศาสดา และเหล่าผู้พระสาวก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 11 ตุลาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]



    บอกคนอื่นผู้อื่น สอนผู้อื่นคนอื่น มันพอสอนได้บอกได้
    แต่...พอมาบอกตน สอนตน บังคับตน มันกลับเป็นของยากยิ่งนัก
    พระพุทธเจ้าจึงว่าให้
    "สอนตนให้ได้เสียก่อน สอนตนได้แล้ว จึงสอนผู้อื่นให้ตามต่อไป"
    ให้เข้าใจว่า "ธรรมดาจิตนี้มันหยาบ พร่ำสอนได้ยาก" แต่..สอนได้ ทำได้


    หลวงปู่จาม มหาปุญโญ
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    อาหารของอวิชชา

    [​IMG]




    "ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวดังนี้ว่า:- อวิชชาก็อีกนั่นแล
    มีสิ่งนี้เป็นปัจจัย จึงปรากฏ
    เรากล่าวว่า

    ๑. อวิชชา มีอาหาร
    อาหารของอวิชชา คือ นิวรณ์ ๕

    ๒. นิวรณ์ ๕ มีอาหาร คือ ทุจริต ๓

    ๓. ทุจริต ๓ มีอาหาร คือ การไม่สำรวมอินทรีย์

    ๔. การไม่สำรวมอินทรีย์ มีอาหาร คือความขาดสติสัมปชัญญะ

    ๕. ความขาดสติสัมปชัญญะ มีอาหาร คือความขาดโยนิโสมนสิการ

    ๖. ความขาดโยนิโสมนสิการ มีอาหาร คือความขาดศรัทธา

    ๗. ความขาดศรัทธา มีอาหาร คือการไม่ได้สดับสัทธรรม

    ๘. การไม่ได้สดับสัทธรรม มีอาหาร คือการไม่ได้เสวนาสัปบุรุษ

    การไม่ได้เสวนาสัปบุรุษอย่างบริบูรณ์ย่อมยังการไม่ได้ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์


    การไม่ได้ฟังสัทธรรมอย่างบริบูรณ์ย่อมทำความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์

    ฯลฯ

    นิวรณ์ ๕ บริบูรณ์ ย่อมทำอวิชชาให้บริบูรณ์

    อวิชชามีอาหาร และมีความบริบูรณ์อย่างนี้."


    (องฺ. ทสก. ๒๔/๖๑/๑๒๑)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 เมษายน 2015
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ครั้นนั้นพระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารถพระเถระรูปหนึ่ง ชื่ออุชฌานสัญญี

    คุณวิเศษไม่เกิดแก่ผู้เพ่งโทษผู้อื่น
    ได้ยินว่า พระเถระรูปนั้นเที่ยวแส่หาความผิดของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นว่า “ภิกษุนี้ก็นุ่งผิดอย่างนี้ ภิกษุนี้ก็ห่มผิดอย่างนี้.” พวกภิกษุกราบทูลแด่พระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเถระชื่อโน้นชอบทำแบบนี้.”
    พระศาสดาตรัสว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในข้อปฏิบัติแล้วกล่าวสอนอยู่อย่างนี้ใครๆ ก็ไม่ควรติดเตียน, ส่วนภิกษุใดแสวงหาโทษของชนเหล่าอื่น เพราะความมุ่งหมายที่จะจับผิด พูดแบบนี้ไปอยู่, บรรดาคุณวิเศษมีฌานเป็นต้น คุณวิเศษแม้อย่างหนึ่ง ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น, อาสวะทั้งหลายเท่านั้น ย่อมเจริญอย่างเดียว”


    ดังนี้แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ว่า

    “อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ผู้คอยดูความผิดของบุคคลอื่น ผู้มีความมุ่งหมายในอันจับผิดเป็นนิตย์ บุคคลนั้น เป็นผู้ไกลจากความสิ้นไปแห่งอาสวะ”
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจนี้แล คือ

    ความเกิดก็เป็นทุกข์
    ความแก่ก็เป็นทุกข์
    ความเจ็บก็เป็นทุกข์
    ความตายก็เป็นทุกข์
    ความประจวบด้วยสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์
    ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์
    ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้แม้ข้อนั้น ก็เป็นทุกข์

    โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 เมษายน 2015
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
      อุปาทานขันธ์  ขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทาน ได้แก่ เบญจขันธ์หรือขันธ์ ๕ ที่ประกอบด้วยอุปาทาน คือ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณที่ประกอบด้วยอาสวะ,  ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า รูปูปาทานขันธ์,  เวทนูปาทานขันธ์,  สัญญูปาทานขันธ์,  สังขารูปาทานขันธ์  วิญญาณูปาทานขันธ์

    อุปาทานขันธสูตร

            [๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการ เป็นไฉน คือ รูปูปาทานักขันธ์ ๑   เวทนูปาทานักขันธ์ ๑    สัญญูปาทานักขันธ์ ๑   สังขารูปาทานักขันธ์ ๑   วิญญาณูปาทานักขันธ์ ๑   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯลฯ   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละ อุปาทานักขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯ  

    (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓)



    พุทธพจน์ แสดงขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕
    ปัญจขันธสูตร
            [๙๕] ....."ภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงขันธ์ ๕  และอุปาทานขันธ์ ๕    เธอทั้งหลายจงฟัง"
            "ขันธ์ ๕  เป็นไฉน ?    รูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ    อันใดอันหนึ่ง   ทั้งที่เป็นอดีต    อนาคต    ปัจจุบัน    เป็นภายในก็ตาม    ภายนอกก็ตาม    หยาบก็ตาม    ละเอียดก็ตาม    ทรามก็ตาม    ประณีตก็ตาม    ไกลหรือใกล้ก็ตาม   เหล่านี้  เรียกว่า  ขันธ์ ๕".....
             [๙๖] ....."อุปาทานขันธ์ ๕  เป็นไฉน ?    รูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ    อันใดอันหนึ่ง    ทั้งที่เป็นอดีต    อนาคต    ปัจจุบัน    เป็นภายในก็ตาม    ภายนอกก็ตาม    หยาบก็ตาม    ละเอียดก็ตาม    ทรามก็ตาม    ประณีตก็ตาม    ไกลหรือใกล้ก็ตาม    ที่ประกอบด้วยอาสวะ  เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน(หรือถูกอุปาทานครอบงำในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง)...เหล่านี้  เรียกว่า    อุปาทานขันธ์ ๕"....
    (สํ.ข. ๑๗ / ๙๕-๙๖ /๕๘-๖๐)

             "ภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน   และตัวอุปาทาน   เธอทั้งหลายจงฟัง.
             "รูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ   คือ ธรรม(สิ่ง)อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน     (ส่วน)ฉันทราคะ(ก็คือตัณหา) ในรูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ  นั้นคือ  อุปาทานในสิ่งนั้นๆ"
    (ฉันทะราคะ คือความชอบใจจนติด  หรืออยากอย่างแรงจนยึดติด  กล่าวคือตัณหา  จึงเป็นเหตุปัจจัยจึงมีอุปาทานครอบงำ)
    (สํ.ข. ๑๗ / ๓๐๙ / ๒๐๒)
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]


    [​IMG]


    หลวงปู่อ่อนท่านถามปัญหาหลวงปู่ตื้อว่า...
    “ท่านตื้อ ถ้าไม่รักษาศีล ไม่เจริญสมาธิไม่บำเพ็ญปัญญา จะไป นิพพานได้ไหม ตอบหน่อย”
    พระอย่างหลวงปู่ตื้อ ปฏิภาณไหวพริบท่านดีมาก ท่านจึงตอบหลวงปู่อ่อนว่า ... “มี ก็จะเป็นอะไรไป ถ้าไม่รักษาศีล ก็ให้รักษาผ้าถุง ไม่เจริญสมาธิ ก็ให้รักษา รูเข้า ไม่เจริญไม่บำเพ็ญปัญญา ก็ให้รักษา รูขี้ ...เท่านั้นแหละ”
    -หลวงปู่อ่อน ท่านก็ว่า “โอ...ท่านตื้อนี้พูดหยาบคาย”
    “ไม่หยาบหรอกหลวงพ่อ” ผมจะอธิบายให้ฟัง คืออย่างนี้...
    ๑. ก็ธรรมดา ร่างกายสังขารของเรานี้ ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ก็ตาม เครื่องนุ่งเครื่องห่มก็ต้องรักษาให้สะอาด สังขารร่างกายก็เปรียบเหมือนผ้าเหมือนผ้าถุง ต้องรักษาให้สะอาดอย่าให้มัวหมอง
    ๒. ไม่บำเพ็ญสมาธิ ให้รักษารูเข้า ก็อะไรเล่า กิเลสมันเข้าทางไหน มันเข้า รูตา รูหู รูจมูก รูปาก ลิ้น กาย และใจ ใช่ไหม? รูเข้าเหล่านี้เราต้องรักษาไว้ อย่าให้กิเลสมันเข้า มันจึงจะเกิดความสะอาดบริสุทธิ์ได้ จริงไหม
    ๓. ไม่บำเพ็ญปัญญา ให้รักษารูขี้ ก็ขี้ทุกขี้ ขี้ยาก ขี้ลำบาก ยากจนขี้คร้าน ขี้เกียจ ขี้คุก ขี้ตะราง ขี้อิจฉาริษยา ขี้โกรธ ขี้หึง ไล่มันออกไปให้หมด อย่าให้มันเข้ามารังควานซี เท่านี้ ทำได้มั้ย
    [/B]

    หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 เมษายน 2015
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ยมกสูตร
     
    สมัยหนึ่ง   ท่านพระสารีบุตรอยู่ที่วิหารเชตวัน  อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี  ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล   ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า “เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่มีอีก”
    ภิกษุหลายรูปได้ฟังแล้วว่า  ได้ยินว่า ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า  “เรารู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า  พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่มีอีก”

    ครั้งนั้น  ภิกษุเหล่านั้นจึงพากันเข้าไปหาท่านยมกภิกษุถึงที่อยู่  ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกภิกษุ ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัยชวนให้ระลึกถึงกันไปแล้ว  จึงนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง   ครั้นแล้วจึงถามท่าน ยมกภิกษุว่า

    “ท่านยมกะ   ทราบว่าท่านเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า  เรารู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วว่า  พระขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่มีอีก จริงหรือ?

    ท่านยมกะ กล่าวว่า “อย่างนั้น อาวุโส”.

    (ภิ.) “อาวุโส ยมกะ   ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น   อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค เพราะการกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค  ไม่ดีเลย   เพราะพระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่มีอีก”.

    ท่านยมกะ เมื่อถูกภิกษุเหล่านั้นกล่าวแม้อย่างนี้ ยังขืนกล่าวถือทิฏฐิอันชั่วช้านั้นอย่างหนักแน่นอย่างนั้นว่า “เรารู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้ มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่มีอีก”.

    ภิกษุเหล่านั้นย่อมไม่อาจเพื่อจะยังท่านยมกะให้ถอนทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้ จึงลุกจากอาสนะเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่   ครั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า “ข้าแต่ท่านสารีบุตร ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิชั่วเห็นปานนี้ว่า ‘เรารู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้วย่อมขาดสูญ  ย่อมพินาศ ย่อมไม่มีอีก’   ขอโอกาสนิมนต์ท่านพระสารีบุตรไปหายมกภิกษุถึงที่อยู่  เพื่ออนุเคราะห์เถิด”   ท่านพระสารีบุตรรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ. (รับโดยการนิ่ง)

    ครั้งนั้นเวลาเย็น  ท่านพระสารีบุตรออกจากที่พักผ่อนแล้วเข้าไปหาท่านยมกะถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกะ   ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว  จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  แล้วได้ถามท่านยมกะว่า

    “อาวุโส ยมกะ   ทราบว่าท่านเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า  พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่มีอีก ดังนี้ จริงหรือ?”

    ท่านยมกะตอบว่า “อย่างนั้นแล ท่านพระสารีบุตร”.

    ท่านพระสารีบุตรจึงถามพระยมกะ มีข้อความ 2 ตอน (ข้อ 202-203) ว่า

    “ท่านสำคัญอย่างไรท่านยมกะ ท่านมองเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นตถาคตหรือ?”

    พระยมกะตอบว่า : “มิใช่เช่นนั้น ผู้มีอายุ”

    พระสารีบุตรถามต่อไปอีกว่า :

    “ท่านสำคัญอย่างไรท่านยมกะ ท่านมองเห็นว่าตถาคต นั้นเป็นสภาวะไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณหรือ?”

    พระยมกะก็ตอบไปว่า : “มิใช่เช่นนั้นท่านผู้มีอายุ” [พระยมกะตอบหมายความว่า พระตถาคตนั้นเป็น สภาวะมีเบญจขันธ์]

    พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า :

    “ท่านยมกะ ในปัจจุบันนี้เองที่ตรงนี้ ท่านยังหาตถาคต ที่แท้จริงไม่ได้ ควรหรือที่ท่านกล่าวแถลงว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง ธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้แล้วว่า พระภิกษุผู้เป็น ขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ก็จะขาดสูญหายสิ้น ไม่มีอยู่อีก”

    พระยมกะได้สติว่า พระตถาคต พระอรหันต์ มิใช่เบญจขันธ์ จึงได้บรรลุธรรมในบัดนั้นเอง และกล่าวว่า :

    “ข้าแต่พระสารีบุตร แต่ก่อนเมื่อยังไม่รู้  กระผมจึงมีความเห็นอันชั่วร้ายนั้น แต่เพราะได้สดับธรรมเทศนาของท่านสารีบุตรนี้   กระผมจึงละความเห็นชั่วร้ายนั้นได้แล้ว  และกระผมได้บรรลุธรรมแล้ว” สํ. ข. ยมกสูตร 17/198-199, 202-203/132-136)

    เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า ผู้ที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมตามสมควร แก่ธรรมนั้น ยังมีทิฏฐิชั่ว (ปาปกํ ทิฏฺฐิคตํ) ด้วยสำคัญว่า พระตถาคต พระอรหันต์ ท่านมี (หรือเป็น) แต่เพียงเบญจขันธ์เท่านั้น เมื่อตายแล้วจึง ขาดสูญ หายสิ้น ไม่มีอะไรอยู่อีก --นี่แหละคือ พวกสุญญะ หรือ อนัตตาตกขอบ กล่าวคือ มีแต่สุญญสัญญา หรือ อนัตตสัญญายิ่งเกิน โดยที่ยังไม่มีญาณหยั่งถึงพระนิพพานธาตุ ซึ่งเป็นผู้ทรงสภาวะนิพพานที่เป็น อมตธรรม ณ ภายใน พระพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า อันท่านได้บรรลุแล้ว.
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]



    คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่น
    กรรมจะให้ผลเร็วมาก



    โดย หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก


    -----------------------------------
    หลวงปู่ท่านมักกล่าวถึงมงคลที่สำคัญ
    ที่ท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้นำไปปฏิบัติ
    คือ มงคล 38 ประการ
    มงคลที่ท่านพูดถึงบ่อย ๆ นั่นคือ
    สัมมาวาจาชอบ คือ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล
    ท่านว่าคนส่วนมากมัก สร้างกรรมทางวาจา
    เพราะกรรมนี้สร้างได้ง่าย แต่เขาไม่รู้หรอกว่า
    ผลของกรรมเมื่อส่งผลจะร้ายแรงเพียงไร
    คำพูดนั้นสำคัญมาก บางคนพูดไม่ดีกับผู้อื่น
    จนเป็นเหตุถึงโกรธเกลียดกันชั่วชีวิตก็มี
    บางรายคำพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้ไม่พูดกัน
    ไปหลายปี คนส่วนมากที่ขึ้นโรงขึ้นศาล
    หรือทะเลาะกันจนไปถึงฆ่ากันตายก็เพราะ
    คำพูดที่ไม่ดีนี่แหละ ทำให้มีเรื่องเดือดร้อน
    หลวงปู่ท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดี
    กับใครเขา ถ้ามีคนมาว่าหรือด่าเราแต่เราไม่ว่า
    หรือด่าเขาตอบ มันก็จะไม่มีเรื่องกันแต่ถ้าแก
    ไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่
    ท่านสอนศิษย์เสมอว่า อย่าไปพูดทำลาย
    ความหวังของใครเขาเพราะนั่นอาจจะเป็น
    ความหวังเดียวที่เขามีอยู่ถ้าแกไปพูดเข้า
    เมื่อไหร่ กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเอง
    ท่านบอกไว้อีกว่า คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้าย
    ผู้อื่นรวมไปถึงการพูดไม่ดีต่าง ๆ กับคนอื่นนั้น
    กรรมจะมาเร็วมาก เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรู
    ทั้งภายนอกและภายใน ไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป
    ตรงกันข้ามกับเป็นคนที่น่ารังเกียจแก่คนทั้งหลาย
    กรรมนี้จะทำให้เขามีเรื่องและเดือดร้อนอยู่เสมอ ๆ
    ทั้งทางกายและทางใจ บางคนทำกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ
    อย่างไม่รู้ตัว พอกรรมดีที่ตนเคยสร้างมาแต่ปางก่อน
    หมดหรือเหลือน้อยลง กรรมชั่วที่สร้างนี้ก็จะสนอง
    เขาอย่างหนักทั้งในภพนี้และภพหน้า ในภพนี้เวลา
    ที่กรรมดีแต่ปางก่อนจะส่งผลให้มีความสุขหรือมี
    โชคลาภกรรมชั่วก็จะเข้ามาตัดรอนกรรมดี
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,556
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...