อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์. พระบรมศาสดา และเหล่าผู้พระสาวก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 11 ตุลาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]


    คุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรม

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ท่านจะบรรลุธรรมไว้กับพระรูปหนึ่ง (หลวงตาสุวรรณ) อันมีนัยยะอันสำคัญตอนหนึ่งว่า “ตั้งใจจะขอปฎิบัติธรรมให้สำเร็จอยู่ที่ศาลาวัดสัมพันธวงศ์ เป็นเวลา 90 วัน โดยถือศีล 8 บวชเป็นชี นั่งสวดมนต์ภาวนา เจริญวิปัสสนาตามแนวทางของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) การปฏิบัติธรรมดำเนินไปจนล่วงเข้าวันที่ 89 ก็ยังไม่สำเร็จธรรมหรือเห็นธรรมแต่ประการใด จึงคิดท้อใจกลับบ้านที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน ได้พบกับสิบตำรวจโทจ้อย ผู้เป็นสามี ซึ่งได้ทักมาว่า “กลับมาแล้วหรือ ? เมื่อกลับมาแล้วก็อยู่บ้านเถิด...”

    คุณแม่บุญเรือนจึงว่า “เมื่อจะให้อยู่บ้าน ก็ขอให้โยมจ้อยถือศีล 8 เลิกยุ่งเกี่ยวฉันสามีภรรยาจะได้ไหม ?” สิบตำรวจโทจ้อยก็รับคำ จากนั้นสิบตำรวจโทจ้อย ก็ขอตัวออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ที่บ้านคงเหลือแต่โยมมารดาของคุณแม่บุญเรือน และหลานๆ 2-3 คน คุณแม่บุญเรือนจึงอาบน้ำ นุ่งขาวห่มขาว เตรียมตัวไหว้พระสวดมนต์ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 21.00 นาฬิกา เดือน 6 ขึ้น 14 ค่ำ ปี พ.ศ. 2470

    จากนั้น คุณแม่บุญเรือนก็ได้แลเห็นโยมมารดาและหลานๆ นอนหลับกันหมดแล้ว โยมมารดานั้นมีอาการกรน ส่วนหลานๆ ก็มีอาการละเมอบ่นพึมพำ และกัดฟันกรอดๆ รู้สึกเกิดธรรมสังเวชเบื่อหน่ายต่อสภาพอย่างนั้นขึ้นมาในขณะนั้นทีเดียวว่า “เออ.....สังขารร่างกายนี้ ถึงแม้จะหลับใหลไปแล้ว แต่ก็ยังมีเวทนาผุดซ้อนขึ้นมาอีกนะนี่...”

    ท่านจึงคิดอยากหลีกหนีเสียชั่วคราว ครั้นแล้วคุณแม่บุญเรือน ก็ได้นั่งสมาธิกรรมฐานในห้องพระ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตี 2 ก็มีอาการแน่นหน้าอก อึดอัด หายใจไม่ออก คล้ายกำลังจะตาย จึงตั้งสติว่า “ถ้าจะตายก็ขอให้ตายในตอนนี้เถิด จะได้หมดเวรหมดกรรม ธรรมก็ยังไม่ได้บรรลุเลย” น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เมื่อคุณแม่บุญเรือนคิดดังนี้เท่านั้น อาการทุกขเวทนาทั้งปวงก็พลันหายไปสิ้น บังเกิดความสว่างขึ้นมาทั้งตัว มีความใสสว่างอย่างสุดที่จะประมาณ รู้ชัดว่าตนเองบรรลุอภิญญาถึง 5 อย่าง มีพระธรรมเข้าประทับ เมื่อนึกอยากรู้อยากเห็นอะไร ก็รู้แจ้งแทงตลอดสว่างไสวไปหมด และยังได้อิทธิปาฏิหาริย์อีกด้วย !”
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092


    *** นิทาน สอนใจ เรื่อง " อยากเป็น ..."

    โดยหลวงปู่ก้าน ฐิตธัมโม ***





    ก่อนเข้าพรรษาได้ไม่กี่วัน พระหนุ่มรูปหนึ่งเข้าไปกราบลาหลวงปู่ เพื่อขอลาสึก ด้วยตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย และได้พูดถึงอนาคตไว้ต่างๆนานา อย่างสวยหรู ว่าจบออกมาแล้ว อยากจะทำนั่นทำนี่อยากประกอบอาชีพนั้นอาชีพนี้ ไม่ก็อยากเรียนต่อให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก จนดูเหมือนจะอยากทำอยากเป็นไปเสียทุกอย่าง
    หลวงปู่นิ่งเงียบ นั่งฟังจนพระรูปนั้นร่ายยาวจนจบ แล้วจึงเริ่มเล่าขึ้นว่า
    มีสุนัขอยู่ตัวหนึ่ง มันเบื่อการเป็นสุนัขเหลือเกิน และมักคิดว่าการเป็นสุนัขนี่มันต้อยต่ำ มันเดินเหงาหงอยไปเรื่อยๆ จนถึงเที่ยงวัน พระอาทิตย์สาดส่องลงมา ประกายเจิดจ้า มันเงยหน้ามองพระอาทิตย์อย่างชื่นชม และคิดในใจว่า เป็นพระอาทิตย์นี่ช่างสง่างามดีเหลือเกิน มีแสงเจิดจ้าและมีอานุภาพมากสามารถทำให้สว่างไปได้ทุกที่ จะแผดเผาอะไรด้วยความร้อนก็ได้ จึงเห่าออกมาดังๆว่า “ข้าจะเป็นพระอาทิตย์นี่แหละ ไม่เป็นสุนัขมันแล้ว” ว่าแล้วก็เงยหน้าชื่นชมพระอาทิตย์ อยู่ตรงนั้นเอง
    ซักพักมีเมฆลอยมาบดบังพระอาทิตย์เสียมิด ทำให้แสงสว่างจ้านั้นหายไป เจ้าสุนัขตัวเดิมก็ทำท่าเป็นหมาสงสัย พร้อมคิดในใจว่า “เมฆนี่ดูท่าจะมีอานุภาพกว่าดวงอาทิตย์นะ เพราะมันสามารถบดบังดวงอาทิตย์ไม่ให้ส่องแสงได้ ดังนั้นเมฆจะต้องยิ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์แน่นอน”
    ว่าแล้วก็เห่าออกมา ดังๆอีกว่า “ข้าไม่เป็นแล้วพระอาทิตย์อะไรนั่นน่ะ ข้าจะเป็นเมฆนี่แหละ ยิ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์เสียอีก” แล้วก็นั่งชื่นชมอยู่ได้เป็นนาน
    อากาศเริ่มแปรเปลี่ยนไป มีลมพัดมาวูบใหญ่ หอบเอาเจ้าเมฆกลุ่มนั้น ลอยตามลมไป เจ้าสุนัขตื่นตะลึงตกใจและออกวิ่งตามลม ลมพัดไปทางไหน ต้นไม้ใบหญ้าก็โอนลู่หลีกแหวกไปเป็นทาง เจ้าสุนัขตัวนั้นวิ่งไปพลางคิดในใจว่า “ลมนี่ช่างมีกำลังแรงนัก ขนาดเมฆที่มีอานุภาพบดบังดวงอาทิตย์ มันยังหอบเอามาได้แล้วพัดไปทางไหน ใครๆก็ต้องหลบหลีกให้หมด”
    จึงเห่าไปในขณะที่ยังวิ่งตามลมอยู่นั่นแหละ ว่า “ลมจ๋า รอด้วย ข้าอยากเป็นลมเหมือนอย่างท่าน ช่วยสอนวิชาให้ข้าด้วยเถิด” มันวิ่งเห่าไปอย่างนี้ตลอดทางโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
    จนไปสังเกตุเห็นลมกระแทกเข้ากับจอมปลวกใหญ่มหึมาตั้งขวาง ทางแยกอยู่ในป่าใหญ่ ลมพัดแรงเท่าไหร่ จอมปลวกนั้นก็ไม่สะทกสะท้าน เจ้าสุนัขหยุดมองอย่างตะลึงงัน
    พลางคิดว่า “แม้แต่ลมที่มีอานุภาพมาก สามารถจัดการเมฆที่บดบังพระอาทิตย์ได้ ต้นไม้ใหญ่แค่ไหนก้ต้องหลบหลีกเป็นพัลวัน แต่จอมปลวกนี่ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ลมนั้นไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย”
    จึงตัดสินใจเห่าขึ้นดังๆว่า “เอาล่ะข้าไม่ปงไม่เป็นแล้วลม จะเป็นจอมปลวกนี่แหละ ช่างใหญ่โตแข็งแรงบึกบึนเสียนี่กะไร"
    ยังไม่ทันที่เจ้าสุนัขจะเข้าไปฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ กับจอมปลวก ก็มีควายตัวหนึ่งหลุดจากหลักวิ่งมาจากไหนก็ไม่ทราบ ว่าแล้วก็มาหยุดเอาสีข้างถูไถเข้ากับจอมปลวกด้วยความคันคะเยอ แรงเสียดทานทำให้จอมปลวกพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่า
    เจ้าสุนัขเห่าอย่าง สะใจเหมือนได้ดูมวยคู่เอกอย่างไรอย่างนั้น พร้อมป่าวประกาศว่า “ข้าจะเป็นควายนี่แหละ แม้แต่จอมปลวกที่เอาชนะลมที่มีอานุภาพร้ายแรงมาได้ ก็ยังพ่ายแพ้แก่เจ้า”
    เจ้าควายยังคงยืนเอาสีข้างถูไถต่อไปและหันหน้ามา มองเจ้าสุนัขอย่างงงๆ สักพักเจ้าของควายวิ่งเอาเชือกมาคล้องจมูก พร้อมลากจูงไป เจ้าสุนัขมองดูเชือกเส้นบางๆ พร้อมคิดในใจว่า “แม้แต่ควายยังต้องยอมให้เจ้าเชือกเส้นนี้ แสดงว่า เชือกนี้ต้องศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์มากมายเป็นแน่แท้”
    แต่ยังไม่ทันจะเห่าร้องป่าวประกาศใดออกมา เจ้าควายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อนว่า “เจ้าหมาน้อยช่วยกัดเชือกให้ข้าที”
    เจ้าสุนัขตัวนั้นไม่เห่าพล่ามทำเพลง กระโดดเข้ากัดเชือกจนขาดวิ่น ปล่อยควายให้เป็นอิสระวิ่งหนีหายไป
    แล้วจึงคิดขึ้นได้ ว่าแม้แต่เชือกที่ล่ามควายได้ยังแพ้เรา แม้แต่ควายที่เอาชนะจอมปลวกได้ ยังต้องให้เราช่วย....
    ถ้าอย่างนั้นเราเป็นสุนัขอย่างนี้ ก็ดีอยู่แล้ว จะไปเป็นนั่นเป็นนี่ทำไมอีก ว่าแล้วก็เดินจากไป



    ***********************************





    หลวงปู่ก้าน ก็ทิ้งท้ายไว้ให้พระรูปนั้นคิดเอง
    ในตอนท้าย ว่านิทานเรื่องนี้ ตกลงสอนว่าอะไร...??
    หลวงปู่ก้าน ฐิตธัมโม วัดราชายตนบรรพต อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์





    [​IMG]
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]



    ขอให้ทายกทายิกาศรัทธาทั้งหลายจงเชื่อเถิดว่า บาปบุญมีจริง
    เวลามีชีวิตอยู่ นรก สวรรค์อยู่ในอกในใจ แต่เวลาตายไปแล้ว จิตวิญญาณก็พาไปพบสวรรค์จริงๆ นรกจริงๆ อีกภพภูมิต่างหาก ตายไปแล้วยังจดจำตัวเองได้หมดทุกอย่าง

    ฉะนั้นขอให้ทายกทายิกาศรัทธาทั้งหลายอย่าได้ประมาทอย่าได้ประพฤติชั่วผิดศีลธรรมเลย เพราะถ้าประพฤติผิดศีลธรรม ทำแต่กรรมชั่วแล้ว จะไปถูกลงโทษในแดนนรกจริงๆ เพราะหลวงปู่ไปเห็นมาแล้ว

    ขอให้ทุกคนเร่งรีบทำความดี ประพฤติอยู่ในศีล กินในธรรมเร็วๆ เข้าจะได้ไปสวรรค์ชั้นฟ้าเมื่อเราตายไปแล้ว อย่าผัดวันประกันพรุ่งในการประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะความตายอาจจู่โจมมากะทันหันเมื่อไรก็ได้ ขณะมีชีวิตอยู่จงรีบเร่งให้ทาน ปฏิบัติในศีล และเจริญภาวนาเสียเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวจะไม่ได้ทำเพราะเกิดตายกะทันหันเสียก่อน


    หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]



    “ในการปฎิบัติธรรมนั้น ยากก็ทน ลำบากก็ทำ ทุกข์ก็ต้องสู้
    เพื่อกอบกู้พระศาสนา บูชาพระศาสดา กู้เพศแห่งสมณะ กู้ผ้าเหลือง
    ซึ่งเป็นเครื่องหมายของผู้ชนะมาร”


    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    หลง

    ผู้มีโมหะมาก คือมีความหลงมาก
    มีความรู้สึกที่ไม่ถูก ไม่ชอบ ไม่ควร
    ในตน ในคน ในอำนาจ
    คนหลงตน เป็นคนมีโมหะ มีความรู้สึกที่ไม่ถูก ไม่ชอบ ไม่ควรในตนเอง
    คนหลงตน จะมีความรู้สึกว่าตนเป็นผู้มีความดี ความสามารถ
    ความพิเศษเหนือใครทั้งหลาย เกินความจริง
    เป็นความรู้สึกในตนที่ไม่ถูก ไม่ชอบ ไม่ควร
    เมื่อมีความรู้สึกอันเป็นโมหะ ความหลง
    ราคะ หรือโลภะและโทสะก็จะเกิดตามมาได้โดยไม่ยาก


    เมื่อหลงตนว่า ดีวิเศษเหนือคนทั้งหลาย
    ความโลภให้ได้มา ซึ่งสิ่งอันสมควรแก่ความดี ความวิเศษของตน
    ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
    ความโกรธด้วยไม่ต้องการให้ความดี ความวิเศษนั้นถูกเปรียบ ถูกลบล้าง
    ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา




    สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มีนาคม 2016
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ข้ออ้าง ไม่มีเวลา สวดมนต์ภาวนา



    เมื่อความเจ็บ ความตาย มาถึงโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า จะเอาเวลาที่ไหนหละ มาฝึกได้ทัน


    นึกได้ ตอนยืน เดิน นั่ง นอน ทำอะไรในชีวิต ก็เก็บทีละน้อยไป ให้จิตคุ้นเคยบ้าง ก็ยังดี มีภูมิคุ้มกันบ้าง
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    "ธรรมของจริงก็อยู่กับบุคคลทุกคน เว้นไว้แต่ไม่ทำ"

    .....หลวงปู่สาม อกิญจโน





    [​IMG]
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    วัตถุมงคลไม่มีวันพอสำหรับคนที่มีความโลภ
    แต่ใครจะมีมากหรือน้อย
    ได้รุ่นนั้นก็ต้องการรุ่นนี้ไม่มีขอบเขต
    ความโลภ โกรธ หลง ทำให้เกิดความขัดแย้งไม่มีที่สิ้นสุด
    วัตถุมงคลเป็นสิ่งที่ให้ระลึกถึงคุณงามความดีองค์ที่ท่านสร้าง
    ท่านสร้างด้วยความดี ท่านจะคุ้มครองคนทำดี
    ท่านเตือนให้กำหนดพุทโธตลอดเวลา
    ไม่มีอะไรเหนือกรรม กรรมดีพระคุ้มครอง
    ไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่ากรรม กรรมดีพระคุ้มครอง
    ไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่ากรรมได้เลย
    หมดอายุขัยก็คุ้มครองไม่ได้ แรงอะไรก็ไม่เท่าแรงกรรม
    วัตถุมงคลท่านจะช่วยได้บางโอกาสเท่านั้น
    อย่าประมาทกรรม ไม่มีอะไรเหนือกรรม จงทำดีให้มาก


    หลวงปู่เนย สมจิตโต




    [​IMG]


    https://www.facebook.com/photo.php?...146.1073741883.100000590302892&type=3&theater
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    ทำกรรมฐาน รักษาอารมณ์ใจนี้ให้จริง คือ
    นึกถึงความตายให้ทรงตัว เคารพในพระพุทธเจ้า
    พระธรรม พระอริยสงฆ์ให้มั่นคง มีศีลให้บริสุทธิ์
    มีจิตรักพระนิพพาน ถ้าทุกคนมีอารมณ์อย่างนี้
    การเจริญพระกรรมฐานในวันเดียวมีผล


    ... ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง



    [​IMG]


    https://www.facebook.com/บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน-236949933026682/?fref=photo
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    เวลาไหนเหมาะที่สุดในการเจริญพระกรรมฐาน
    ถ้าถามว่า วันหนึ่งจะใช้เวลาไหนที่เหมาะที่สุด ก็ต้องตอบว่า เวลาไหนสบายที่สุดเวลานั้น เหมาะที่สุด ถูกไหม ในวันหนึ่งจะนั่งทำหลายครั้ง หลายสิบครั้งก็ได้ โดยที่ไม่ต้องนั่งขัดสมาธิ ถ้าทำงานทำการไปด้วย ถ้าจิตมันว่างนิดหนึ่ง จับคำภาวนา หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ หรือภาวนาอย่างใดก็ได้ หรือจับลมหายใจเข้าออกเฉย ๆ ชั่วขณะ ๒-๓ ครั้ง ทำอย่างนี้เรื่อยๆไป โดยไม่ต้องกำหนดเวลา
    ถ้าหากทุกท่านที่เคยเจริญมโนมยิทธิมาแล้ว ถ้าทำอย่างนี้เป็นปกติ ทำแบบกระจุ๋มกระจิ๋มอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป นั่งเฉย ๆ ก็ภาวนาไปบ้าง ให้จิตมันสบาย จิตไม่วุ่น ใครเขาคุยก็คุย เลิกคุยนึกขึ้นมาได้ก็ภาวนาไป ไม่ต้องนั่งหลับตา หรือว่านั่งรถนั่งเรือไป นึกขึ้นมาได้ก็ภาวนา เดินไปด้วยก็ภาวนาด้วย ตามสบายนิดๆ หน่อย ไม่ต้องมาก ถ้าทำอย่างนี้ได้ทุกคน กำลังของมโนมยิทธิจะใช้ได้ทุกเวลา ต้องการรู้อะไรเมื่อไร จะรู้ จะพบได้ทันที เป็นประโยชน์ใหญ่มาก ให้เข้าใจตามนี้นะ

    ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง




    [​IMG]


    https://www.facebook.com/2369499330...6949933026682/948229358565399/?type=3&theater
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    "จิตประภัสสร" เป็น จิตดั้งเดิม "ปภัสสรมิทัง ภิกขเว จิตตัง" เป็นจิตสะอาด ไม่ถึงความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง

    เป็น "สมาธิ" ถึงจุดที่ “ไม่มีอารมณ์จิต” มีแต่ “จิตนิ่ง สว่างไสวอยู่” รู้ตื่น เบิกบาน ก็เพื่อที่จะให้เรารู้ว่า “จิตแท้ จิตดั้งเดิม” ของเรานั้นเป็นอย่างไร

    “จิตเก่าแก่แท้ดั้งเดิม” ของเรานั้นเป็น “จิตที่ประภัสสร” เป็น “จิตที่เป็นปกติ” เป็นจิตที่ค่อนข้างจะสะอาด แต่ “ไม่ถึงบริสุทธิ์” โดยสิ้นเชิง ที่ว่าไม่บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงนั้น ก็เพราะเหตุว่า

    มันจะ “สะอาดบริสุทธิ์เฉพาะ” ในขณะที่ “อยู่ในสมาธิ ที่ไม่มีอารมณ์” “ไม่มีร่างกายตัวตน”

    แต่เมื่อ ออกมาจากสมาธิมาแล้ว มามีตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ มันก็สร้างความยินดียินร้าย ไปตามอารมณ์ที่ผ่านเข้ามา จึงทำให้จิตเศร้าหมองบ้างผ่องแผ้วบ้าง สลับกันไปเป็นช่วงๆ

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา




    [​IMG]

    https://www.facebook.com/5474849252...484925274505/1090871840935808/?type=3&theater
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    [​IMG]
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,034
    ค่าพลัง:
    +70,092
    บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน

    ผู้ถาม : กระผมสังเกตดู อย่างวิมานของหลวงปู่ก็ดี ของพระพุทธเจ้าก็ดี ปรากฏเห็นชัดดี แจ่มใสดี เวลาไม่ต้องการเห็นก็หายไป
    หลวงพ่อ : ใช่...ถ้าจิตเราไม่ต้องการเห็น แป๊บเดียวก็หายมันเป็นไปตามกำลังของจิต แต่ความจริงไม่ใช่วิมานหายนะจิตเราไม่เห็นเอง ถ้าเราไม่ต้องการมันก็ไม่เห็น ไม่ใช่เราไปรื้อวิมานเขานะ ถ้าโยมไปรื้อวิมาน เทวดาตีตาย
    ผู้ถาม : เรื่องนี้องค์อื่นผมก็ไม่กล้าคุยครับ
    หลวงพ่อ : อาตมาไม่เป็นไรหรอกโยม ความจริงพระที่ท่านเข้าถึงไม่มีองค์ไหนบอกนิพพานสูญ เรื่องของนิพพานมันมีอยู่อย่างนี้ เราจะเห็นได้หรือไม่ได้มันมีอารมณ์ของจิตตามขั้น ถ้าจิตของเราเป็นฌานโลกีย์ล้วน ไม่มีทางเห็นได้เลย
    สมมุติว่าเราไม่ เป็นพระอริยเจ้าจริง เวลานั้นจิตมันต้องว่างจากกิเลสชั่วเวลาหนึ่ง อันนี้จึงจะเห็นนิพพานถ้าตามเกณฑ์ที่จะเห็นนิพพานได้ ถ้าสุกขวิปัสสโกนี่ท่านไม่เห็นเลยนะ ไม่เห็นผีไม่เห็นเทวดา ไม่เห็นนรกสวรรค์ ไม่เห็นอะไรทั้งหมด ก็ชื่อว่า ตัดกิเลสได้ ถ้าเตวิชโช เขามีสองในวิชชาสาม คือ ทิพจักขุญาณ กับ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ถ้า ยังเป็นฌานโลกีย์อยู่ ทิพจักขุญาณ ตัวนี้จะไม่สามารถเห็นนิพพานได้เลย จะเห็นได้แค่พรหมโลก นรกทุกขุมเห็นได้ สวรรค์ขึ้นไปถึง พรหมโลกเห็น ถ้าจิตเข้าถึงโคตรภูญาณ เป็นอย่างต่ำ อันนี้จึงจะเห็นนิพพาน ไม่ใช่ว่าทำทิพจักขุญาณได้จะเห็นอะไรทั้งหมด ถ้าหากว่าเราปฏิบัติกันแล้วไปถึงนิพพานได้ แสดงว่าจิตเวลานั้น ว่างพอ สะอาดพอ
    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ เวลาขึ้นไปแล้ว แต่ว่าทรงอารมณ์อยู่ไม่นานก็กลับมาใหม่ อันนี้เป็นเพราะเหตุใดคะ ขอให้หลวงพ่อชี้ข้อผิดพลาดด้วยค่ะ...?
    หลวงพ่อ : มันไม่ผิดหรอก เวลาตั้งอารมณ์ จิตไม่ตั้งเป็นฌานเพราะว่าอารมณ์ที่เป็นฌานมันน้อยเกินไป มันเป็นอุปจารสมาธิเสียมาก วิธีที่ฝึกเวลานี้ไม่ใช่ไปแก้จุดนั้น ไปแก้อีกจุดหนึ่งเมื่อยามว่างเราควรจะตั้งเวลาสัก ๓ นาที ๕ นาที จับลมหายใจเข้าออก แล้วว่า นะ มะ พะ ธะ เราจะนั่งท่าไหนก็ได้ ให้จิตมันอยู่ช่วงนี้ เฉพาะคำภาวนากับลมหายใจนะ แต่ว่าอาการอย่างนั้นจะมีได้ในบางขณะ บางทีเราเริ่มจับปั๊บจิตมันตกต่ำลงไปเลย ถ้าหากว่ามันทรงไม่อยู่ไปแล้วกลับมา พอกลับมาก็ทรงอารมณ์ให้สบาย ไม่ไปไหนละ นั่งอยู่ภาวนาให้สบาย ๆ ให้จิตมันเป็นสุข พอจิตมีกำลังปั๊บ ขึ้นไปใหม่ มันอยู่ได้ ไอ้นี่เรื่องธรรมดา
    ผู้ถาม : แต่บางครั้งในขณะที่ครูเขาทดสอบ มีความรู้สึกว่าจะตายค่ะ
    หลวงพ่อ : จะตายหรือ ดี คือ มีความรู้สึกว่าจะตาย ถ้ามันจะตายเวลานี้เราขออยู่ที่นิพพาน
    ผู้ถาม : พอมีความรู้สึกว่าจะตายเลยไม่ยอมไป
    หลวงพ่อ : ไม่เป็นไรนะ นั่นเป็นอารมณ์อันหนึ่ง ถือว่าเป็นอารมณ์แทรกเข้ามา คือว่ากำลังใจเราจะมั่นคงไหม แต่การแทรกเข้ามารู้สึกว่าจะตาย จะดูว่าเรามั่นใจในพระนิพพานไหม หรือเราจะไปยุ่งกับทุกขเวทนา ทีนี้ถ้าจิตมันตัด ตายก็ตาย ถ้าตายเราไปนิพพาน แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว
    คือว่าอาการที่เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่อาการของร่างกาย เป็นอาการถูกทดสอบจากพระอริยะ ถ้าเวทนาแบบนี้เข้ามา กำลังใจเราเป็นอย่างไร ถ้ากำลังใจเราตัดสินใจว่า ถ้าเราตายเวลานี้เราไปนิพพานช่วงนี้ และตอนนั้นเราดีดตัวถึงพระนิพพานได้ ลงมาเราก็ไม่เป็นไร ถืออารมณ์อย่างเดียว คือว่า เราห่วงตัวหรือห่วงนิพพาน เขาต้องการเท่านี้แหละ........
    การเจริญพระกรรมฐาน มักจะมีเทวดา ครูบาอาจารย์และพระอริยะ มาทดลองเสมอ เพราะฉะนั้นอย่าได้กลัว ท่านต้องการให้เราได้ดี
    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ ตอนที่ฝึกมโนมยิทธินะคะ เมื่อขึ้นไปบนสวรรค์แล้ว เห็นใส่เสื้อผ้าเป็นธรรมดาค่ะ อันนี้เป็นภาพจริงหรือเปล่าคะ..?
    หลวงพ่อ : ภาพน่ะเป็นภาพจริง แต่ไม่ตรงความจริง
    ผู้ถาม : แล้วยังเห็นคนที่เขาอยู่บนสวรรค์ เขาก็แต่งตัวไม่เหมือนชาวสวรรค์ เราเป็นมนุษย์ยังแต่งตัวสวยกว่าตั้งเยอะ
    หลวงพ่อ : ที่เราเห็นเขาอย่างนั้นน่ะ เขาทำภาพเดิมให้ดู คือว่าเขาเกรงว่าเราจะจำเขาไม่ได้ อันดับแรกเขา ต้องแสดงแบบนั้นก่อน ถ้าเราเห็นแบบนั้น เราควรจะถามเขาว่า เวลานี้ภาพความเป็นจริงของท่านมีรูปร่างเป็นอย่างไร ขอให้แสดงความเป็นจริง
    ผู้ถาม : อยากถามเขาเหมือนกันค่ะ แต่ดูหน้าตาเขาแล้วไม่อยากจะพูดกับเขาเลย ตอนนี้พยายามฝึกให้ได้ฌาน ๔ ก่อน เผื่อจะได้ถอดจิตไปถึงอินเดียบ้าง
    หลวงพ่อ : ฌาน ๔ เป็นอย่างไร..?
    ผู้ถาม : ไม่ทราบซิคะ
    หลวงพ่อ : นี่กินขนมอยู่แล้วยังนึกว่ายังไม่ได้กิน ไอ้การไปสวรรค์ได้ ไปพรหมได้ นี่มันเป็นกำลังของฌาน ๔ ถ้ากำลังไม่ถึงฌาน ๔ มันจะไปถึงจุฬามณีไม่ได้ จำให้ดีว่าขณะที่เราเห็นภาพครั้งแรกที่ครูเขาฝึก อันนี้เป็นทิพจักขุญาณ ตอนนี้เป็นอุปจารสมาธิ ถ้าเห็นภาพแล้วภาพเริ่มแจ่มใส ตอนนี้เป็นฌาน แต่ถ้าไม่ถึงฌาน ๔ จะเคลื่อนจิตไม่ได้ ถ้าจิตเคลื่อนไปถึงพระจุฬามณีได้ จงทราบว่าระหว่างนั้นเป็น ฌาน ๔ หมด เป็นฌาน ๔ สำหรับใช้งาน
    ผู้ถาม : เป็นยังไงคะฌาน ๔ ใช้งาน...?
    หลวงพ่อ : ฌานมันมี ๒ ลักษณะ ที่เขานั่งเข้าฌาน นั่งเฉย ๆ เป็นการฝึกให้ฌานมันเกิดขึ้น แล้วก็ทรงฌาน ทีนี้ฌาน ๔ สำหรับใช้งานก็คือจิตเคลื่อนไปสู่ภพต่าง ๆ หรือไปที่ต่าง ๆ อย่างเรานั่งอยู่ตรงนี้คนที่นั่งอยู่ข้างหลังคิดอะไรอยู่เราอยากรู้เราก็รู้ หรือเขาทำอะไรเราอยากรู้เราก็รู้ได้ แล้วเป็นฌาน ๔ ประกอบไปด้วยอภิญญา ถ้าฌาน ๔ เฉย ๆ มันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าไม่เคยได้อภิญญา
    ความจริงถ้าฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มอัตรา ที่ฝึกกันนี่ใช้กำลังเพียงครึ่งหนึ่ง ถ้าแบบเต็มอัตรามีสภาพเหมือนฝัน คือไปได้แบบตัวเราไปเที่ยวธรรมดา รู้สึกได้เต็มที่ ก็บังคับให้กำลังภาพมันหยาบหน่อย ที่เราฝึกนี่ใช้กำลังเพียงครึ่งเดียว คือกำลังที่เราใช้แค่วิชชาสาม เนื้อแท้จริง ๆ ของมโนมยิทธิต้องเป็นกำลังของอภิญญา
    แต่ว่าถ้าจะหันเข้าไปฝึกอภิญญา มันเป็นของไม่ยาก อภิญญาต้องตั้งต้นด้วยกสิณ ๑๐ มี เตโชกสิณ อาโปกสิณ เป็นต้น แต่ว่าได้มโนมยิทธิแบบนี้แล้ว ก็ใช้จับภาพกสิณได้ทันที เพราะว่าตัวที่ได้มโนมยิทธิ ถ้าเราไปเริ่มต้นกสิณจริง ๆ เราก็ถอยหลังเข้าคลองคือจับผลของกสิณเลย กสิณถ้ามันได้ผลจริง ๆ มันมีสีเหมือนกันหมด มีสีใสเป็นประกายแพรวเหมือนกันหมด เดิมจะเป็นสีอะไรก็ช่าง
    อย่างโลหิตกสิณ (กสิณสีแดง) จับภาพทีแรกมันเป็นสีแดงเขาต้องภาวนา "โลหิตกสิณัง" แต่ว่าถ้าทำไป ๆ สีแดงมันจะกลายจนกระทั่งขาว พอขาวแล้วก็เป็นประกายแพรวเต็มที่ ถ้าจิตมีกำลังถึงฌาน ๔ กสิณจะเป็นประกายแพรว ฉะนั้นกสิณทุกกองจะมีภาพเหมือนกัน เมื่อถึงฌาน ๔ เราจับกสิณก็เป็นประกายให้หมดใช้กำลังมโนยิทธิที่เราได้ จับปลายของกสิณเลย แล้วมันจะคล่องตัว ปุ๊บ ๆ จับได้หมด จับได้ก็ย้อนไปย้อนมาจนชิน จนกระทั่งอารมณ์เราจะใช้เวลาไหนก็ได้ กำลังปวดท้องขี้เต็มที่จับภาพกสิณก็ได้ ต้องได้จริง ๆ นะ ไม่ใช่ล้อเล่น ต้องได้จริง ๆ จึงจะฝึกอภิญญาได้
    ผู้ถาม : ถ้าฝึกอภิญญาได้ก็แสดงฤทธิ์ได้ใช่ไหมคะ....?
    หลวงพ่อ : แสดงฤทธิ์ได้ แสดงไปเดี๋ยวก็หลงตัวเอง ความสำคัญมีอยู่ว่า ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจว่าสวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง พวกเปรต อสุรกายมีจริง ความสำคัญมันมีอยู่แค่นี้เอง วิชานี้ที่เรามีอยู่แล้วทำเสียให้เต็มที่ ทำให้พอใจเพราะว่าถ้าเราเป็นมโนมยิทธิเต็มที่ เต็มกำลัง เราก็รู้อะไรทั้งหมดเวลานี้เราก็รู้หมดอยู่แล้ว กำลังอ่อนหน่อยก็ไม่แปลก รู้ได้เหมือนกัน เราก็ใช้กำลังส่วนนี้รู้จักพระนิพพาน จิตก็จับพระนิพพานเป็นอามรณ์ มันก็แค่นื้ ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อนิพพานอย่างเดียว ไม่ใช่ทำเพื่ออวดชาวบ้าน
    ผู้ถาม : ถ้าหากเราฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ต้องการดูกระแสจิตของเราเอง จะได้ไหมคะ.......?
    หลวงพ่อ : ได้........การดูใจเขาดูแบบนี้ คือดูแสดงสว่างของใจที่มันออกมา กระแสจิตของนักปฏิบัติเป็นสีเนื้อหรือสีเคลือบแก้ว ถ้ายังเป็นสีเนื้ออยู่ก็แสดงว่า บุคคลนั้นเป็นปุถุชนเต็มอัตรา ถ้าเป็นแก้วเคลือบหนาขึ้นไปทีละหน่อย ๆ จนกระทั่งเป็นแก้วใสสะอาด อย่างนี้ใช้ได้ในด้านสมถภาวนา ต่อไปอีกขั้นหนึ่ง ถ้าเป็นประกายแพรวพราว อันนี้เขาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ถ้าจะดีจริง ๆ มันเป็นแสงละเอียด เหมือนประกายแว้บ ๆ เหมือนกระจกน่ะดี แต่ยังดีไม่เต็มที่ ถ้าจะดูว่าอารมณ์จิตละเอียดไหม ถ้าวิปัสสนาญาณมาก จิตจะเป็นประกายมาก ถ้าประกายน้อย จิตมีวิปัสสนาญาณน้อย
    ทีนี้กระแสจิตที่ออกมาน่ะ ออกเรียบร้อยดีไหม........หรือว่าลุ่ม ๆ ดอน ๆ ถ้ากระแสจิตเรียบร้อยดี อย่างนี้มีหวังไม่มีทางพลาดหวังพระนิพพาน ท่านบอกไว้เลยนะ
    การเห็นกระแสจิต เรียกว่า เจโตปริยญาณ เป็นญาณหนึ่งในญาณ ๘ ถ้าฝึกมโนมยิทธิได้ฝึกญาณ ๘ ได้ง่ายมาก
    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ ครั้งแรกที่ฝึกมโนมยิทธิ เวลาที่ขึ้นไปพระนิพพานแล้ว ครูก็จะปล่อยให้นั่งชมบารมีของพระพุทธองค์ พอกลับไปบ้านก็นึกถึงภาพนี้อยู่เสมอ บางครั้งจะเห็นว่า ที่ขึ้นไปอีกคน ไม่ใช่ภาพที่เห็นค่ะ?
    หลวงพ่อ : ตัวเรามีคนเดียว
    ผู้ถาม : แต่ทำไมถึงเห็น ๒ คนเล่าคะ......?
    หลวงพ่อ : เห็นได้ เพราะสภาพความเป็นทิพย์ เห็นกี่แสนคนก็ได้ รวมได้เป็นคนเดียวเสียเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ถ้าใช้มันจะใช้กี่แสนคนก็ได้ ทำงานเหมือนกันหมด ทำงานคนละอย่าง คนทั้งหมดโลกนี้ต่างคนต่างพูดกันคนละเรื่อง เขายังทำกันได้ เพราะสภาพความเป็นทิพย์ ไม่งั้นเขาจะเรียกความเป็นทิพย์ทำไม.....?
    ผู้ถาม : คือสงสัยค่ะ ปกติเห็นแต่ตัวเราคนเดียว.......
    หลวงพ่อ : นี่เขาทำให้ดูอย่างนั้นแหละ อะไรบ้างที่เราผูกพันเขาต้องสภาวะอย่างนั้นให้ดู ถ้าเราเห็นอย่างนั้น จิตมันก็ผูกพันอยู่กับสิ่งนั้น ถ้าตายปุ๊บมันก็ไปอยู่ที่นั่น ท่านหาทางให้จิตไปอยู่ที่นั่น
    ผู้ถาม : บางทีขออาราธนาบารมีท่านให้พาไปที่อื่น ท่านก็เกาะหัวจุกไปเลย บางทีก็เกาะพระบาท บางทีก็เกาะบั้นเอว
    หลวงพ่อ : จะถามอะไรก็ตาม ถ้าทำให้เราดึงดูดใจ ท่านก็ทำภาพนั้น ท่านดีใจจะตาย โดยมากท่านต้องการให้คนของท่าน คำว่า "คนของท่าน" หมายถึง ลูกก็ดี หลายก็ดี บริวารก็ดี อย่างน้อยต้องขึ้นดาวดึงส์ให้หมด
    เวลานี้คนของฉันไม่มี เพราะว่าตัดสินใจแล้ว เพราะถ้าตัดไปกันหมดแล้ว แสดงว่าไม่ค้าง ถ้ายังค้างอยู่ ยังไปไม่ได้ ก็ไปสมัยพระศรีอาริย์


    โดย หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี



    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...