หน้าสุดท้าย เปิดจองหลายอย่าง เครื่องรางมหาเสนห่์ชุดใหม่ อ.ติ้ก ฆราวาสสายเสน่ห์

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย kingking01, 8 มิถุนายน 2013.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. clubzaleng

    clubzaleng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,482
    ได้รับลูกอมแล้วนะครับ
    ขอบคุณมากครับ
     
  2. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    ประวัติ อ.ฟ้อน ครับ เด๋วผมจะมาอัพเดทเลื่อยๆเพราะยาวมาก

    ประวัติและอภินิหาร
    อาจารย์ ฟ้อน ดีสว่าง(โดย ทม ภูธร)
    กราบมนัสการพระอาจารย์ อ๊อด วัดบุญรอดที่มอบหน้งสือเล่มนี้มาให้เผรแพร่ครับ
    คฤหัสถ์เพศผุ้ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นคนดีศรีอยุะยา เป็นหนึ่งในบรรดาเกจิอาจารย์ในรุ่นคราวเดียวกัน ทรงความเข้มขลังในพระเวทวิทยาคมเป็นอมตะตลอดกาล แม้นแต่ขุนแผนอันยิ่งยงยังเป็นรอง อดีตชาติคงงสร้างกรรมไว้หนักจึงบันดาลให้รูปชั่วตัวดำ แต่ไม่ไร่ซึ่งนารีมีให้ชม ชีวิตประจำวันมีความเป็นอยู่อย่างสมถ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง บางครั้งสุขบางครั้งทุกข์วนเวียนเป็นวัฎจักรชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะชาติศาสน์กษัตริย์ขอเทิดไว้เหนือสิ่งอื่นใด
    "เกริ่น"
    ในบรรดาคฤหัสถ์เพศผู้มีความเข้มขลังทางพระเวทวิทยาคมอย่างยอดเยี่ยม คงจะเป็นท่านอาจารญ ฟ้อน ดีสว่าง สุภาพบุรุษแห่งเมืองคนดีศรีอยุธยา ท่านผ็นี้เป็นผู้ที่ได้รับยกย่องว่ามีความเข้มขลังเป็นอมะตลอดกาล จะมีความเข้มขลังขนาดไหนนั้นผูเขียนใคร่จะพาผู้อ่านไปศึกษาเรื่องราวต่างๆของท่านโดยละเอียด
    เรื่องราวของอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ใคร่จะทำความเข้าใจในเรื่องสิ่งรี้ลับสักเล้กน้อย ทั้งนี้จากประวัติความเป้นมาของอาจารย์ฟ้อน ดีสว่างคนนี้มีเรื่องราวค่อนข้างพิลึกพิลั่นเป็นอย่างยิ่งอย่างเช่นอาจารย์ฟ้อน ดักไซบนต้นไม้ติดเป็นปลา เสกผ้าขาวม้าเป็นกระต่าย เสกใบใม้เป็นต่อเป็นแตน เสกน้ำในขันเป้นปลานานาชนิด เสกก้อนหินเป็นเต่าเดินได้อย่างนี้เป็นต้นซึ่งเป็นเรื่องแปลกแหวกแนวมีความเล้นลับยากที่จะอะิบายให้แจ่มแจ้งได้(เป็นฆาราคนเดียวในยุคนั้นที่ทำเช่นนี้ได้)
    ความพิศดารดังกล่าวฝังจากคำเล่าของคณะศิษยืและคนรุ่นเก่าๆชาวจังหวัดนครศรีอยุธยา มีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆดังนั้นเมื่อท่านทั้งหลายได้อ่านคำเกริ่นของผู้เขียน(ทมภูธร)คงจะหาว่าตานี้น่าจะโกหกยกเมฆเสียหละกระมั้ง
    เรื่องราวต่างๆเหล่านี้ไม่ได้ยกเมฆอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าอาจารย์ฟ้อนคนนี้มีอิิธิฤทธิ์อิทธิเดชที่พิร่ำพิเรนเกินปัญญาชนคนทั้งหลายนี่เอง จึงทำให้ผู้เขียนมีความสนใจเรื่องราวต่างๆของทานเป็นกรณีพิเศษ จึงได้ทำการสืบเซาะค้นหาข้อเท็จจริงมานานนับแรมปีเลยทีเดียว โดยไม่ใส่ใจว่าประวัติและข้อมูลต่างๆของอาจารยืฟ้อนจะอยู่ที่แห่งหนตำบลใด ใกล้หรือไกลแค่ไหน ผุ้เขียนไม่เคยย่นย่อท้อถอย สู้มานะบากบั่นไปจนถึงต้นตอแห่งข้อมูลนั้นๆ
    อย่างเช่นทีจังหวัดอยุธยา นครราชสีมา นครนายก ลพบุรีและกรุงเทพเป้นต้นทั้งห้าแห่งผูเขียนได้จาริกพลิกฟื้นทำการสืบเสาะค้นหามาแล้วทั้งสิ้น
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดลพบุรี มีความเกี่ยวพันกับประวัติของอาจารยืฟ้อนอยู่มาก อาจกล่าวได้ว่าตลอดสายแม่น้ำลพบุรี"ตั่งแต่ท่าขุนนางจนถึงจังหวัดอยุธยา"ล้วนเป็นแหล่งกำเนิดประวัติท่านอาจารย์ฟ้อนมาแล้วแต่ในอดีต
    และที่จังหวัดนครนายกผู้เขียนได้มีโอกาสพบศิษย์เอกอาจารย์ฟ้อนอีกท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสมณะเพศคือ พระเดชพระคุณท่านหลวงพ่อหนู เกศโล อีดีตเจ้าอาวาสวัดบึงพระอาจารย์
    ท่านพระครูหลวงพ่อหนู รูปนี้ไม่ให้ความสว่างมากนักทั้งที่ท่านทราบเรื่องราวต่างๆของอาจารย์ฟ้อนอยู่เต็มอก ท่านพูดว่าเรื่องอภินิหารของท่านอาจารย์ฟ้อน เป็นสิ่งลี้ลับและปาฏิหารย์ยากที่คนทั้งหลายในสมัยใหม่จะเชื่อถือไ้ด้ อาตมะเป็นบรรพชิตเป็นการไม่ดี ถ้าคนเชื่อถือไม่เป็นไร ถ้าไม่เชื่อเป็นการเข้าข่ายการหลอกลวง ความเสียหายย่อมเกิดขึ้นกับอาตมะได้
    ผู้เขียนยังไม่สิ้นพยายาม เพราะได้บุกบั่นมาไกลโขอยู่ จึงได้กราบเรียนถามท่านอีกครั้งหนึ่งว่า"พระเดชพระคุณครับมีคนเขาเล่าลือกันว่า ท่านอาจารย์ฟ้อนเป็นขุนแผนคนที่สองเท็จจริงประการใดครับ
    ได้ผลครับ ท่านพลั้งเผลอปากบอกมาว่าอาจารย์ฟ้อน(เก่งยิ่งกว่าขุนแผนเสียอีก) ท่านว่า่อย่างนั้น
    กล่าวจบเมื่อท่านรู้ท่านเผลอพูดออกมาไม่ตั้งใจท่านไม่พูดอะไรอีกเลย ท่านยืนคำอยู่อย่างเดียวว่าให้ไปถามอาารย์ประยูร จิตโสภี ศิษย์เอกอาจารย์ฟ้อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา คราวนี้เล่นเอาผู้เขียน(ทม ภูทร)จนแต้มเอาง่ายๆ
    อ่านต่อตอนหน้าครับ วันนี้แอดมินได้ไปถ่ายรูปที่วัดไก่มาในสมัยที่พ่อฟ้อน บวชและเคยไปจำพรรษาที่วัดไก่ แล้วคราวหน้าจะเอารูปมาลงให้ดูกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. seekerpunch

    seekerpunch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,028
    ค่าพลัง:
    +3,114
    ประสบการณ์เยี่ยมครับ
     
  4. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    พบสิ่งเร้นลับ
    "เกริ่น"คฤหัสถ์เพศ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีศรีอยุทธยา
    หนึ่งในบรรดาเกจิอาจารย์รุ่นราวคราวเดียวกัน ทรงความเข้มขลังในพระเวทวิทยาคม เป็นอมตะตลอดกาล แม้แต่ขุนแผนผูยิ่งยงยังเป็นรอง อดีตชาติคงสร้างกรรมไว้หนักดาลให้รูปชั่วตัวดำ แต่ไม่ไร้ผู้นารีมีให้ชม ชีวิตประจำวันมีความเป็นอยู่อย่างสมถะ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งกลับกลายมาเป็น(จอมขมังเวทย์)มีวิชาคงกระพันชาตรีไม่เป็นสองรองใคร มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทุกภาคของประเทศ เป็นเรื่องราวน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
    ณ ที่วัดไก่อันร่มรื่น พระภิกษุฟ้อนพบกับสิ่งเร้นลับที่สุด ยิ่งกว่านั้นท่านยังได้พบอภินิหารของพระภิกษุชรารูปหนึ่งซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดไก่ชื่อ"หลวงปู่ดี"
    หลวงปู่ดีรูปนี้ ท่านมีอภินิหารเป็นอัศจรรย์ยิ่ง ท่านมีดีสมชื่อจริงๆเมื่อพระภิกษุฟ้อนจาริกมาถึงวัดไก่ในตอนเย็นวันหนึ่งจึงเข้าไปกราบท่านเพื่อขอจำพรรษา

    หลวงปู่ดีให้พระภิกษุฟ้อนไปพักในพระอุโบสถเก่าแก่หลังหนึ่งเพราะว่าวัดไก่ฟ้าในช่วงนั้นอาคารเสนสสนะต่างๆได้ชำรุดทรุดโทรมและปรักพังเกือบหมดสิ้น เหลือแต่กุฏิหลวงปู่ดีเพียงหลังเดียว
    เมื่อพระภิกษุฟ้อนเข้ามาอยู่ในอุโบสถ ท่านก็ถือปฏิบัติในกิจวัตรต่างๆอย่างเคร่งครัดและเมื่อท่านมีเวลาว่างก็จะขึ้นมารับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่ดีอยู่เป็นประจำเพราะเห็นว่าท่านมีวัยชราภาพมากแล้ว มีอยู่คืนหนึ่งเวลาประมาณสองท่มเศษ พระภิกษุฟ้อนได้มารับใช้หลวงปู่ดีเหมือนเช่นเคย แต่ครั้งนี้ไ่ม่พบท่าน มีแต่กะเกียงลานแสงริบหรี่จุดไว้ในกุฏิ
    เพียงชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงลมพัดถูกฝากุฏิดังเสียงสนั่น พระภิกษุฟ้อนเหลียวหันไปดู ทันใดนั้นเห็นหลวงปู่ดี ได้แสดงอภินิหารออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ที่แขวนไว้ข้างฝา และเข้านั่งยังอาสนะพูดคุยตามปกติ ทำประหนึ่งเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ
    ปรากฏการณ์เร้นลับซึ่งอุบัติขึ้นต่อหน้า ทำเอาพระภิกษุฟ้อน ตกตลึงไปชั่วขณะ เมื่อได้สติก็เข้าไปกราบท่านอย่างใกล้ชิดพร้อมนึกศรัทธาอิทธิคุณของท่านอยู่ในใจว่า "พระภิกษุชรารูปนี้เป็นผู้เรืองอิธิคุณยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน ตัวเราก็ได้ศึกษาวิทยาคมจากตำรับตำราของพระหลวงน้าอย่างเชี่ยวชาญ แต่หาเทียมทันภิกษุชรารูปนี้ไม่
    เมืื่อกลับลงมาอยู่ในอุโบสถแล้ว คืนนั้นพระภิกษุฟ้อนไม่สามารถจำวัดได้เลย เพราะเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำได้เป็นมโนภาพติดตาอยู่ทุกขณะจิต ถึงกับตั้งจิตอธิฐานว่า'ชาตินี้หากเราอยู่ในเพศสมณต่อไปจะขอเจริญภาวนาจนบรรลุธรรมขั้นสูงให้จงได้" วันเวลาผ่านไปหนึ่งพรรษาในราตรีหนึ่ง ขณะที่พระภิกษุฟ้อนกำลังเจริญสมณธรรม ท่านได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้อยู่หลังพระประธานท่านรีบลุกขึ้นไปดูตามเสียงนั้น
    อาศัยแสงเทียนที่มีอยู่ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งได้ร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น ท่านจึงถามขึ้นว่า" มีความทุก๘์ด้วยสิ่งใดหรือโยมถึงได้มาร้องได้อยู่ที่นี่ ทำไมมาหาอาตมาในเวลาค่ำคืนออกมาคุยกันข้างนอกเถอะโยม บางทีอาตมาอาจช่วยแบ่งเบาความทุกข์ได้บ้าง" หญิงคนนั้นลุกขึ้นเดินออกมา แล้วนั่งลงกราบพระภิกษุฟ้อน3ครั้ง เสร็จแล้วได้เล่าความทุกข์ให้ท่านฟังว่า "ดิฉันอาศัยอยู่ที่ต้นตะเคียนใหญ่หน้าอุโบสถนี้"เมื่อหญิงคนนั้นแนะนำตัวเองว่าอยู่ที่ต้นตะเคียน พระภิกษุฟ้อนก็ตระหนักแน่แก่ใจว่า"ต้องเป็นนางตะเคียนอย่างแน่นอน'จึงสำรวมจิตมั่นนั่งฟังความต่อไป
    นางตะเคียนระบายความทุกข์ต่อไปว่า "การที่ดิฉันมาห่ท่านอาจารย์ในยามคํ่าคืนเช่นนี้ก็หวังไห้ท่านช่วยอนุเคราะห์ความทุกข์ของดิฉันสักครั้ง จะไปหาท่านสมภารเจ้าวัด คงจะไม่เป็นผลสำเร็จเพราะท่านเป็นพระที่เคร็งสมถ ไม่ใส่ใจในสิ่งแวกล้อมทั้งปวง ท่านคงไม่เป็นธุระไห้ดิฉันแน่ เห็นมีแต่ท่านอาจารย์เท่านั้นที่พอจะช่วยทุกข์ของดิฉันได้" พระภิกษุฟ้อน พูดว่า " โยมจะไห้อาตมาช่วยสิ่งใดหรอ" นางตะเคียนบอกว่า " วันพรุ้งนี้ชาวบ้านจะมาล่มต้นตะเคียนที่ดิฉันอาศัยอยู่ เขาทำพิธีบวงสรวงดิฉันแล้ว ดิฉันไม่สามารถขัดขืนได้ ถ้าท่านอาจารย์ยับยั้ง ดิฉันจะถวายของสมนาคุณไห้จุใจ " พระภิกษุฟ้อน บอก"อาตมาจะช่วยพูดให้ แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น ยังไม่กล้ารับรอง " นางตะเคียนได้ยินพระภิกษุฟ้อนรับปากว่าจะช่วยก็ได้ก้มลงกราบ แล้่วเดินหายไปทางประตูอุโบสถ(ปรากฏการณ์นี้ท่านอาจารย์ฟ้อนบันทึกไว้เมื่อครั้งกระนู่น) หลังจากนั้นพระภิกษุฟ้อนยังนึกสงสัยอยู่ ครั้นจะไม่เชื่อแต่ก็ได้ฟังและเห็นกับตาแล้ว อีกทั้ง หนึ่งใจก็คิดว่าหลวงปู่ดีท่านสำแดงอภินิหารไห้เราเห็นอีก ขณธนั้นจิตใจของพระภิกษุฟ้อนเกิดความสับสนอย่างหนักไม่รุ้ว่าจะปักใจเชื่อทางไหนดี วันรุ่งขึ้นเมื่อเช้าแล้วท่านออกมาพบชาวบ้านที่ต้นตะเคียนหน้าอุโบสถ เพียงชั่วครู่ก็เห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเดินชักแถวมาหน้าอุโบสถ เมื่อถึงต้นตะเคียนมิได้รีรอแต่อย่างไร ต่างคนต่างถือมีดพร่ากะท้าขวานเตรียมถล่มต้นตะเคียนใหญ่ทันที พระภิกษุฟ้อนเห็นดังนั้นถึงพูดขึ้นว่า "ช้าก่อน โยมตะเคียนต้นนี้มีอายุนับ 100 ปี อย่าไปโค่นเขาเรย อาตมาขอบิณฑบาตร เถอะ พวกที่จะโค่นต้นตะเคียน ได้ฟังภิกษุฟ้อน กล่าวเช่นนั้น ก็รุ้สึกไม่พอใจ บางคนที่มีคารมกล้าหน้าทน ก็พูดกล่าวขึ้นมาด้วยความคะนองปากว่า "ภิกษุหนุ่มจมูกโหว่นี้มาจากไหนกัน ถือดีอะไรถึงได้มาหวงห้ามพวกเรา แม้แต่ท่านสมภารเจ้าอาวาสยังไม่ว่าอะไร ภิกษูฟ้อนเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยจะเข้าท่า จึงสำรวมจิตภวานาเวทมนต์เข้าดลใจคนเหล่านั้นทันที แล้วกล่าวห้ามปรามอีกครั้ง "นึกว่าเห็นแก่อาตมาเถอะโยม อย่าทำลายต้นตะเคียนนี้เรย เพราะอาตมารับปากเขาไว้ " ได้ผลทันตา คนกลุ่มนั้นเกิดใจอ่อนนั้งทำตาปริบๆ และในที่สุดก็ได้ลากลับไป เราทั้งหลายคงทราบกันแล้วว่า อันเวทมนต์คาถาหรือมงคลวัตถุต่างๆ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์นั้นถ้าเรามีความศรัทธาเชื่อมั่นแล้วย่อมต้องปกป้องรักษา หรือพาไห้เรารอดพ้นสถานการณ์เลวร้ายไปได้อย่างแน่นอน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    ตอน พบคัมภีร์พระเวท วิเศษสุด
    เมื่อเหมดพันธะที่ได้รับปากกับนางตะเคียนไว้แล้ว พระภิกษุฟ้อนเริ่มโล่งใจเสมือนขุนเขาใหญ่ได้ออกมาจากอก แต่ยังมีข้อผูกพันที่คิดไม่ตกว่านางตะเคียนจะถวายของสมนาคุณด้วยสิ่งอันใด จะเท็จจริงหรืออย่างไร ก็ยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ครั้นล่วงเข้าราตรีนั้น พระภิกษุฟ้อนก็ได้เจริญวิปัสสนาธรรมอันเป็นกิจวัตรเช่นเคยจนเวลาผ่านไปหลายยามก็ยังไม่ปรากฏสิ่งใดไห้เห็น พระภิกษุฟ้อนจึงได้เข้าจำวัด ในขณะครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นนางตะเคียนได้เข้ามาเรียกอยู่ปลายเท้า ท่านจึงลุกขึ้นอย่างฉลับพัน นางตะเคียนได้กล่าวว่า “ดิฉันมาตามสัญญาแล้ว ของที่จะถวายสมนาคุณไห้ท่านอาจารย์นั้นอยู่ใต้พระประธานด้านหลังดิฉันทำเครื่องหมายไว้ถ้วนถี่ เพียงแค่งัดอิฐแผ่นเล็กก็จะพบของ 3 สิ่ง แต่ขอไห้ท่านอาจารย์เลือกอย่างเดียว” กล่าวเสร็จนางตะเคียนก็กราบลาเดินลับหายไปทางอุโบสถเหมือนปาฎิหาริย์ ด้วยความอยากรุ้อยากเห็นไห้เป็นประจักษ์ พระภิกษุฟ้อนจึงขุดค้นหาของวิเศษในคืนนั้นก็เป็นไปตามที่นางตะเคียนได้บอกไว้ทุกประการ เมื่องัดแผ่นอิฐออกก็เจอโอ่ง2ใบตั้งคู่กัน บาปากโอ่งมีหีบไม้ใบย่อมลวดลายสวยงามวางทับอยู่ พระภิกษุฟ้อนหยิบหีบออกมาก่อน เมื่อเปิดดูจึงพบ คัมภีร์พระเวทย์วางซ้อนกันอยู่หลายเล่ม โดยเฉพาะเล่มบน ลวดลายสวยงามเป็นพิเศษ เสร็จแล้วก็เปิดฝาโอ่งแล้วใช้เทียนส่องดู โองใบหนึ่งเห็นมีเงินกลมบรรจุเต็มและโอ่งอีกใบมีทองคำบรรจุเต็มเหมือนกัน ขณะนั้นภิกษุฟ้อนตื่นเต้นมาก แต่ก็นึกถึงคำของนางตะเคียนว่าไห้เลือกเอาเพียงอย่างเดียว ม่านก็ทำจิตไม่ไห้เกิดความโลภ และคิดปราถณาในใจว่า “ตัวเราอยู่ในสมณะเพศเงินทองย่อมไม่เกื้อกูลแก่เรามากนักจึงของรับคัมภีร์พระเวทย์เล่มบนอย่างเดียว รุ่งเช้าท่านเปิดคัมภีร์ดูเห็นตัวอักขระจารึกเวทย์มนต์คาถาต่างๆในคัมภีย์สีทองมองดูเหลืองอร่ามทั้งเล่ม นอกจากนั้นยังพบวัตถุสิ่งเห็นคล้ายเม็ดถั่วเขียว 2 เม็ดมีสีแดง ซุกซ่อนอยู่มุมคัมภีร์แต่ไม่ทราบว่าเป็นเม็ดอะไร ท่านจึงนำมาห่อไว้ในย่าม วันรุ่งขึ้นท่านจึงนำคัมภีร์พระเวทย์ เดินทางลัดตัดทุ่งมาที่วัดกลาง อ.นครหลวง เพื่อไห้พระภิกษุตาบอ่านไห้ฟัง เมื่อพระภิกษูตาบเห็นอักขระในคัมภีย์เป็นสีทองก็เกิดศรัทธามาหาคัมภีร์เล่มนี้ทันทีเมื่อได้อ่านอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ได้ทราบว่ามีเวทย์มนต์คาถาหลายบท ที่มีอนุภาพมาก อาทิเช่น วิชาเหาะเหินเดินอากาศ วิชาล่องหนหายตัว วิชาเสกใบไม้เป็นต่อแตน วิชานะจังงัง วิชาสมานบาดแผล วิชาถอนพิษงู วิชาผูกปากงู คลายปากงู เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีวิชาอีกหลายวิชาซึ่งมีค่าควรเมืองยิ่ง แล้วยังได้พบหนังสือขอมแถวหนึ่ง มีข้อความว่า “เม็ดโลหิตของบุรพาจารย์ผู้ใดได้ไว้เป็นกรรมสิทธิ์ย่อมสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่ปราถนาทุกประการ เมื่อพระภิกษุฟ้อนทราบว่า วัตถุที่มีสีแดงเป็นเม็ดโลหิตของบูรพาจารย์ ก็พาไห้เกิดความศรัทธามากขึ้นจึงสำรวมจิตตั้งใจฟังคำอ่านอักขระแต่ละบทจากพระภิกษุตาบอย่างนิ่งสนิททั้งความเพียรและความอุสาหะอย่างกล้าทำให้สิ้นเวลาการศึกษาเพียงไม่กี่วันมากนักพระภิกษุฟ้อนก็สามารถจดจำอักขระเวทยืมนต์คาถาต่างๆกว่า10บท แม้ว่ายังไม่เจนจบครบคัมภีร์ก็ตามแต่วิชาทั้งหมดที่จดจำได้ก็มีคุณวิเศษสุดล่ำเลิศเป็น1ในธรณี เสร็จแล้วจึงลาพระภิกษุตาบกลับไปทบทวนภาวนาต่อที่อุปสถวัดไก่ฟ้า อีกครั้งหนึ่ง อาศัยที่ท่านรอบรุ้หลักปฎิบัติในวิชาการต่างๆ มาก่อนจึงทำไห้พระคาถาทุกบทที่ท่านนำมาปฏิบัติเกิดความศักดิ์สิทธิอย่างรวดเร็วทันใจเกินความคาดหมาย เริ่มเริ่มทดสอบวิชาสมานแผลเป็นลำดับแรกโดยใช้มีดโกนกรีดต้นแขน ไห้เป็นแผลลึก แล้วนำเม็ดโลหิตท่านบูรพาจารย์ฝังไว้ที่แขนท่านสามารถสมานแผลไห้สนิทได้เหมือนเดิม ซึ่งวิชาอันนี้ได้สืบทอดมาถึงลูกศิษย์รุ่นหลัง ครั้นท่านลองไปทดลองวิชาจับงูเห่าคือการบังคับงูพิษทุกชนิดไห้อยู่โดยที่จำกัด โดยขีดเป็นเส้นวงกลมที่ลานดิน แล้วนำงูมาใส่ไว้ในเส้นวงกลมนั้น งูพิษไม่สามารถเคลื่อนที่ออกจากเส้นวงกลมได้ ต่อมาภายหลังพระภิกษุฟ้อนมีนิสัยไม่ชอบอยู่สุข ชอบอวดอุตริมมนุสธรรมคือ หมายถึงการแสดงอภินิหารต่างๆไห้ผู้คนทั้งหลายได้เห็นเป็นปรากฏอยู่บ่อยครั้ง อาทิเช่น ไปนอนอยู่บนในกล้วยแต่ก้านกล้วยไม่หักบ้าง เสกประคตคาดเอวเป็รกระต่ายบ้าง โดยเฉพาะพวกเด็กท่านอาจารย์ฟ้อนจะแสดงอภินิหารไห้เห็นเป็นประจำ อิทธิคุณของท่านเล่าลือจนเป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวางบางคนถึงกับพูดว่า “ พระภิกษุหนุ่มจมูกโหว่ที่อยู่ในโบสถวัดไก่ฟ้าท่านมีวิชาเข้มขลังยิ่งนัก แต่มีบางคนพูดว่าท่านเล่นกลไม่พวกเราดูรู้จริงไม่จริง ก็พูดกันไปตามถนัดปากของแต่ล่ะคนดังนั้นมาในระยะหลังจึงมีเด็กๆและพวกไม่เด็กมาขลุกอยู่กับท่านไม่เว้นแต่ละวัน โดยมีอยู่วัดหนึ่งพระภิกษุฟ้อนแสดงปาฏิหาริย์ขึ้นไปบนยอดต้นตาล ซึ่งมีความสูงลิบลิ่วท่านไปนั้งเจริญสมาธิอยู่บนใบต้นตาลดูเป็นที่น่าหวาดเสียวยิ่งนัก บังเอิญวันนั้นพวกเด็กๆมาหาท่านที่โบสถ ไม่พบท่านเหมือนเช่นเคยเมื่อไม่พบท่านจึงต่างพากันช่วยตามหากันเป็นจ้าละหวั่น ท่านเห้นพวกเด็กๆค้นหาจนเหนื่อยอ่อนจึงพูดลงมาว่า “อยู่บนนี้” พวกเด็กๆเห็นพระภิกษุฟ้อนแสดงปฎิหาริย์ เช่นนั้น จริงรุ้สึกแปลกใจไปตามๆกัน พวกเด็กเหล่านั้นมีความห่วงใยจึงพูดขึ้นว่า “ท่านอาจารย์จะลงมาได้อย่างไร” ทันที่นั้นพระภิกษุฟ้อนจึงสำแดงฤทธิ์เหาะเหินลงมาจากยอดตาลดูเสมือนนกร่อนลงสู่ที่ต่ำถึงพื้นปกติ เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อแต่เป็นเรื่องจริง …..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    พระภิกษุฟ้อน มาอยู่วัดสระเกศ
    พระภิกษุฟ้อนอยู่ที่วัดไก่ฟ้า3พรรษา พรรษา4ก็กราบลาหลวงปู่ดีจารึกกล่องลงมา จ.พระนครมาอยู่ที่วัดสระเกศ ดังได้กล่าวมาแล้วว่าพระภิกษุฟ้อนท่านจะอยู่ที่ไหนก้ตามท่านมักสำแดงคุณวิเศษต่างๆ ไห้เป็นที่ปรากฎแก่มหาชนอยู่เนื่องๆ ครั้งนี้ก็เช่นกันท่านได้อวดอุตริมมนุสธรรมไห้คนกรุงได้เห็นอีกตามเคยซึ่งเป็นเรื่องที่ล่าลึกยิ่งกว่าที่แล้วๆมาเป็นต้น ว่าท่านทำการฝังตัวเองเป้นเวลานานหลาย ชั่วโมงซึ่งมนุษย์เดินดินทั้งหลายไม่สามารถทำได้มหาชนทั้งหลายได้ทราบในคุณวิเศษต่างพากันมา มาตัวเป้นสิบมากมาย มีตั้งแต่ชั้นเจ้านายจนถึงบุถุชนคนสามัญในช่วงนี้ที่วัดสระเกศมีความครึกโครมพอดูเรยที่เดียวเรียกได้ว่ามีทุกเชื้อชาติศาสนาเมื่อมีความพรุพรานมากขึ้นก็มีเรื่องยุ่งๆตามมาพระเดชพระคุณพระผู้ไหญ่ท่านสั่งไห้ศิษย์ผู้มีบันดาศักดิ์คนหนึ่งมาบอกพระภิกษุฟ้อนว่าไห้เพลาๆการแสดงอภินิหาร ลงๆบ้าง พระภิกษุฟ้อนพูดว่า “วิทยาคมของอตามาที่ได้ร่ำเรียนมานี้เป็นของสูงค่าและล่ำเลิศประเสิศยิ่งอาตมาไม่ได้มาหลอกไห้ผู้ใดเสียหายตรงข้ามมีแต่ช่วยอนุเคราะห์ญาติโยมมาโดยตลอด ปัจจัยที่ได้มาจากความศรัทธาของสาธุชนทั้งหลายก็มอบไห้ไว้เพื่อบำรุงศาสนา ไม่เคยเอาไปเข้าพกเข้าห่อ ก็ในเมื่อเราไม่ทำไห้สาธุชนทั้งหลายได้เกิดศรัทธาในตัวเราแล้วจะหาโยมญาติที่ไหนเข้ามาหาเรา ครับผู้เขียนเห็นว่าพระภิกษุฟ้อนท่านพูดมาเหตุผลซึ่งท่านมีความมุ่งหมายไปทางดีมีประโยชน์ แต่การอวดอุตริมนุสธรรมซึ่งเป็นคุณอย่างยิ่งยวดของท่านจะเป็นเรื่องผิดหรือถูกผู้เขียนไม่ทราบได้ ขอท่านผู้อ่านพิจารราด้วยครับ
    สิ้นสุดการสนทนา (ทมภูทร)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    ชีวิตในเพศคฤหัสถ์
    หลังจากลาสิกขาบทแล้วชีวิตของท่านอาจารย์ฟ้อนก็ลุ่มๆดอนๆเป็นไปตามวิถีทางดวงชะตาซึ่งกฎแห่งกรรมข้อนี้ไม่มีใครฝืนได้ และก็ต้องเป็นไปตามกาลเวลาเพราะกรรมของแต่ล้ะคนที่สร้างเอาไว้นั้นไม่เหมือนกันดังนั้นท่านอาจารย์ฟ้อนก็ต้องระหกระเหเร่ร่อนไปทุกหนทุกแห่ง บางครั้งสุข บางครั้งทุกข์ วนเวียนเป็นวัฏจักรไม่รุ้จบไม่รุ้สิ้น จนอายุประมาณ30ปี เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ท่านก็ได้กลับไปอยู่บ้านโพธิ์เก้าต้นอีกครั้ง ในช่วงนี้ท่านใช้ชีวิตเพศคฤหัสถ์อย่างคุ้มค่า
    ตอนคำภีร์พระเวทสุดพิเศษสุด
    (ถึงแม้นท่านอาจารย์ฟ้อน จะถูกดูหมิ่น ดูแคลน จากคนทั่วไปว่าท่านหน้าอัปลักษณ์ แต่ก็ไม่ไร้นารีมาให้เชยชม แม้นแต่นางเอกลิเก เพียงแค่ท่านสบตาเท่านั้น ยังต้องหอบเสื้อผ้าหนีลงโรงลิเกมาอยู่กับท่าน จนลูกศิษย์ยังพูดว่าท่านเก่งกว่าขุนแผนซะอีก ขุนแผนนั้นยั้งต้องร่ายมนต์ ร่ายคาถา แต่ท่านอาจารย์ ฟ้อน เพียงแต่ประสบเนตรเท่านั้น)

    ต่อไปนี้ผู้เขียนใคร่เท้าความแต่หนหลังอาจจะผิดพลั้นหรือกระทบกระเทือนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่หรือมรณะกรรมแล้วก็ตามผู้เขียนกราบขออภัยท่านมาที่นี้ด้วยครับ

    ลุงปั่น สุคันธจันทร์ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกน้องอาจารย์ฟ้อน เล่าชีวิตในคฤหัสถ์เพศของอาจารย์ฟ้อนไว้ว่า เต็มไปด้วยความโลดโพนโจนทะยานเป้นที่สุด โดยเฉพาะวิชาอาคมที่มีความความศักดิ์สิทธิ์ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ ลุงปั่นเล่าว่า มีอยู่คร่าวหนึ่งที่หมู่บ้านบางขันหมาก จังหวัดลพบุรี ชาวบ้านได้หาลิเกมาแสดงในงานอุปสมบท ซึ่งลิเกคณะนี้มีนางเอก เป็นสาวสวยมาก ชื่อ นางสาวทองขาว ซึ่งการแสดงแต่ล่ะครั้งของเธอนั้นทำเอาหนุ่มๆที่มาดูคลั้งไคล้ไปตามๆกัน บังเอิญคืนนั้นท่าน อาจารย์ฟ้อนได้มาชมอยู่ด้วย

    เมื่อถึงบทของ นาง ทองขาว ออกมาแสดงเพียงแย้มฉากให้เห็นรำไรเท่านั้นพวกหนุ่มๆต่างลุกฮือขึ้นทันที ต่างเบียดเสียดยัดเยียดเป็นโกลาหน เพื่อจะได้ยลโฉมเธอ ไกล้ๆ หนุ่มใหญ่คนดีมีวิชา เองก็ได้ลุกขึ้นเหมือนกันทั้งๆที่ยังไม่เห็นต้นสายปรายเหตุ แต่เมื่อเห็นนางสาวทองขาวออกกรีดกรายร่ายร่ำอยู่หน้าเวทีก็ถึงกับสดุ้งยืนตลึง เหมือนถูกมนต์สะกด ในความสวยของเธอได้ พยามข่มใจซักเพียงไรแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อนางทองขวาได้แสดงจนจบฉากแรก เธอได้ลุกขึ้นมารำร่ายชายหางตาอีกครั้งหนึ่งในขณะที่เธอส่งยิ้มไปไห้ผู้ชมทั้งหลายอยู่นั้น หนุ่มฟ้อนได้ภาวนาคาถา พระเวทย์วิเศษสุด “ฝากสายตาไปประสบกับนางทองขวาทันที” เสร็จแล้วออกมานั้งรอนางทองขาวอยู่ในเหงามืดหลังโรงลิเก

    หลังจากนั้น นางสาวทองขาวได้ประสานสายตากับหนุ่มใหญ่หน้าเวทีแล้ว ก็กลับเข้าไปนั้งพักอยู่หลังโรง เพื่อรอการแสดงฉากต่อไป ในขณะที่นั้งอยู่นั้น ความร่าเริงแจ่มใส พลันหายไปสิ้นเพราะว่าใจเฝ้าฝักใฝ่ถึงหนุ่มฟ้อนอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ทำให้เพื่อนสนิทที่ร่วมคณะอดที่จะแปลกใจเสียไม่ได้ แต่มิได้มีผู้ใดซักไซร้ไถ่ถาม เมื่อถึงการแสดงฉากใหม่ก็นั้งใจเหม่อลอยอยู่หลังโรงลิเก ถึงกับต้องไห้หัวหน้าคณะมาเตือนเมื่อออกมาหน้าเวทีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่เห็นหนุ่มฟ้อนก็ทำให้ร้อนรุ่มกลุ้มทรวงมากขึ้น ถึงบทร้องบทรำก็แข็งเป็นทื่อเป็นเรือเกลือลีลาการแสดงที่เคยอ่อนช้อย ซึ่งเคยเป็นที่ประทับใจของผู้ชมทั้งหลายมาเก่าก่อนก็ดูเก้งกางเหมือนลิเกหัดใหม่ก็ไม่ปาน เมื่อเสร็จสิ้นการแสดงคณะลิเกเลิก หนุ่มฟ้อนก็ออกมาปรากฏตัวให้ นางสาวทองขาวเห็น เธอรีบเป็นเครื่องแต่งตัวทันทีความที่เร่งร้อนถึงไม่ทันได้ล้างหน้า ออกมาก็รีบไปหาหนุ่มฟ้อนชนิดที่ว่าไม่ต้องรอถามชื่อแซ่กันไห้ช้าการ รีบพากันหนีไปเลยทีเดียว

    ความศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์เวทย์วิเศษสุดนั้น ลุงปั่นได้เล่าไห้ฟังว่า อาจทำให้ผู้อ่านทั้งหลายมีความกังขาอยู่บ้าง ท่านคงคิดว่า อาจารย์คนนี้มีความเข้มขลังขนาดนั้นเชียวหรอครับ ก็อาจจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อไปหน่อยแต่ทว่า ลุงปั่น สุคธจันทร์ได้จดบันทึกไว้ทุกขั้นตอน ซึ่งเป็นเรื่องหน้าเหลือเชื่อทั้งสิ้น เรื่องความเข้มขลังของพระเวทย์สูงสุด ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งที่วัดธรรมดาเจดีย์ในเขตละแวกไกล้เคียงกันนั้นเอง แต่เป็นปี พ.ศ.เท่าไหร่ลุงปั่นไมได้บันทึกไว้ เรื่องมีอยู่ว่า ทางสัดธรรมเจดีย์ได้จัดงานประจำปีขึ้นมา ย่อมต้องมีผู้คนมาเที่ยวในงานเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกพ่อค้าแม่ค้าต่างออกมากันเป็นมากมาย ยังมีแม่ค้าขายกล้วยแขกคนหนึ่ง ซึ่งมีรูปโฉมเป้นที่ต้องตาต้องใจของพวกหนุ่มๆ ทั้งหลายยิ่งนัก เมื่อหนุ่มฟ้อนมาพบ ท่านก็นึกชอบทันที แต่ทว่าหาโอกาสเข้าไปพูดจาปราศัยไม่ได้ จึงได้แต่เมียงมองอยู่อย่างนั้น เมื่อเห้นว่าแม่ค้าไม่สนใจจึงเดินเกร่เข้าไปไกล้กะทะกล้วยแขก ทำยิ้มน้อยยิ้มไหญ่อยู่หน้ากระทะ นั้นแหละ แม่ค้าแกคงนึกรำคาญจึงพูดขึ้นว่า “ตาคนนี้จะไปทางไหนก็ไม่ไปมายืนขวางหน้ากะทะอยู่ได้” แม่ค้าพูดเพียงเท่านั้นแหละครับ เห็นอภินิหารทันทีหนุ่มฟ้อนเอามือลงไปคนน้ำมันเดือดพล่าน พร้อมกันนั้นก็ใช้ฝ่ามือกลับกล้วยแขกไห้เสร็จ ทำให้แม่ค้าซึ่งเป็นเจ้าของกระทะนั้นเกิดความทุกข์ใจอย่างหนัก เพราะกลัวเสียเงินค่ายา แต่ทว่าหนุ่มฟ้อนทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เมื่อเห็นว่าผู้คนพากันมาดูมากขึ้นก็ถือโอกาสหลบออกไป ปล่อยไห้แม่ค้าแบกความทุกข์ใจไว้แต่ผู้เดียวตกเย็นแม่ค้า คนนั้นเพียรตามหา หนุ่มฟ้อนเป็นจ้าละวั่นไม่ได้ตามไปต่อว่าต่อขานอะไรหรอกครับ ตามไปเพื่อเป็นศรีภรรยา ความเข้มขลังของอาจารย์ฟ้อนตามที่กล่าวมานี้นั้น ชาวอำเภอนครหลวงและผู้ที่เป็นศิษย์ไกล้ชิดย่อมรู้ดี ลุงปั่นยังเล่าอีกว่า เรื่องชู้สาวแบบนี้ท่านอาจารย์ฟ้อนจะไม่ปฏิษัติบ่อยหนักเพราะท่านเป็นผู้ที่มีศีลธรรมประจำใจอยู่มากเหมือนกันจะเลือกแต่คนที่ท่านรักจริงๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่ทองขาวและแม่พนอเป็นต้นซึ่งสุภาพสตรีทั้ง2ท่านได้มีบุตรชายหญิงกับท่านอาจารย์ฟ้อนหลายคน สำหรับภรรยานอกบัญชีอาจารย์ฟ้อนยังมีอีกมากมายที่ไม่ได้นำมากล่าวนั้น เพราะท่านเหล่านั้นอดีตเคยเหยียบหยามอาจารย์ฟ้อนไห้เจ็บช่ำน้ำใจมาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นท่านจึงแก้ลำทำไห้สาสมทุกรายไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    พรุ้งนี้ ส่งของทุกรายการครับ
    ประวัติท่านอาจารย์ฟ้อนผมนำมาลงแล้วครับ ตามคำเรียกร้องแค่บางส่วนน้ะครับ ยังเหลืออีกเยอะอย่าลืมติดตามกันน้ะครับ
     
  9. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    ใครยังไม่ได้รับติดต่อมาได้น้ะครับบบบ
     
  10. ทโนรส

    ทโนรส Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +29
    ลูกอม เสน่ห์จับช้าง...ยังมีอยู่ไหมหนอท่านพี่...ทั้งหลาย..
    มีก็เอามา...รับนะครับ
     
  11. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    พลาดไปนิดเดียวเองครับ พี่ ตอนนี้หมดสำนักแล้วด้วย แจกอย่างเดียวเรยครับ ^^
     
  12. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    ถ่ายทอดคัมภีร์พระเวทย์วิเศษสุดให้ศิษย์รุ่นแรก
    ในราว พ.ศ. 2473 อาจารย์ฟ้อนได้ทำการถ่ายทอดวิทยาคมต่างๆให้ศิษย์รุ่นแรกหลายคน อาทิ เช่น นายเกิด เสือสง่า นายชื้น ยิ้มสวัสดิ์ นายเต็งยิ้มสวัสดิ์ เป็นต้น
    โดยเฉพาะนายเกิด เสือสง่า ได้ถอดพิมพ์จากครูบาอาจารย์มาอย่างแท้จริง คือมีภรรยา รวมกันอยู่ 13 คน คนสุดท้ายชื่อสุ่ม เป็นคนบ้านโก่งธนู จังหวัดลพบุรี ปัจจุบันป้าสุ่ม เสือสง่ายังมีชีวิตอยู่
    ลุงสายหยุดกระจ่างฤกษ์ ชาวบ้านสามเรือน จังหวัดลพบุรี กรุณาเล่าไห้ผู้เขียนฟังว่า ศิษย์เอกทั้ง3คนนี้ของท่านอาจารย์ฟ้อนมีความเข้มขลังในพระเวทย์วิทยาคมอย่างยิ่ง นอกจากนี้เป็นเป็นนักแสดงชื่อดังอีกด้วย
    ลุงสายหยุด เล่าต่อไปว่า มีอยู่คร่าวหนึ่ง คณะลิเกคณะ “สมาสหาย” เปิดการแสดงในงานบวชนาคที่หมู่บ้านสามเรือน คืนนั้นสามสหายทำการแสดงจึงใจพระเดชพระคุณคนดูยิ่งนัก ผู้แสดงนำมีรายชื่อดังนี้
    1.นายเกิด เสือสง่า แสดงเป็นพระอาจารย์ 2.นายชื้น ยิ้มสวัสดิ์รับบทเป็นตัวเสนา 3.นายเต็ง ยิ้มยสวัสดิ์แสดงเป็นตัวเอก ในท้องเรื่องการแสดงคืนนั้นมีบทของพระเอกตอนหนึ่งซึ่งพระเอกจะต้องไปขอความรักจากนางเอก แต่นางเอกไม่ยอมรับรัก พระเอกจึงทำการตัดลิ้นตัวเองเพื่อประท้วงนางเอกจน ลิ้นเกือบขาด เลือดไหลเปื้อนเสื้อผ้าแดงฉานไปหมดทำไห้นางเอกเกิดความเห้นใจยอมรับรัก แล้วพระเอกก็เชิดฉิ่งเดินลิ้นห้อยร่อนแร่งไปหาพระอาจารย์ไห้ช่วยสมานแผล เพียงอมน้ำมนต์ของพระอาจารย์เท่านั้น บาดแผลที่ลิ้นก็หายสนิท ซึ่งการแสดงของคณะ “สามสหาย” คืนนั้นทำกันไห้เห็นจริงๆ ตามที่เล่า ในขณะที่คุณลุงสายหยุดเล่าผู้เขียนรู้สึกงุนงงที่สุดเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงถามคุณลุงต่อว่า
    “คนที่เป็นพระเอกเฉือนลิ้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”
    คุณลุงบอกว่า ยังอยู่ ชื่อเต็ง อยู่บ้านคลองน้อย อำเภอบ้านแพรก พระนครศรีอยุธยา อยู่ใต้ตัวอำเภอไปประมาณ 3 กิโลเมตร ด้วยความสงสัย ผู้เขียนจึงพยามสืบเสาะจนเจอลุง เต็ง ยิ้มสวัสดิ์ เมื่อแนะนำตัวจนเป็นที่เข้าใจแล้วก็ป้อนคำถามทันที
    ผู้เขียน “ ลุงครับ ลุงตัดลิ้นตัวเองในการแสดงลิเก เมื่อครั้งกระโน่นเป็นจริงประการใด ตัดจริงๆหรือตัดเล่นๆ มายากลหรือเปล่าครับ”

    ลุงเต็ง “ไม่ใช่เล่นกลหริเป้นมายากลแต่อย่างใด การเฉือนลิ้นก็เฉือนจริงๆ การสมานบาดแผลก็ทำตามด้วยพระเวทย์ที่ได้ร่ำเรียนจาก อาจารย์ฟ้อน ดีสว่างทั้งสิ้น

    ผู้เขียน “พระคาถาที่อาจารย์ได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ฟ้อนขอนำไปเผยแพร่ในนิตยสารต่างๆบ้างจะขัดข้องหรือไม่ครับ

    ลุงเต็ง “พระเวทย์วิเศษสุดของท่านบุรพาจารย์ฟ้อนไม่หวงห้าม ผู้ใดอยากเรียนก็เรียนได้ ตาการนำไปเผยแพร่ในนิตยสารต่างๆนั้นไม่สมควรเรย เพราะไม่ใช่ของที่จะนำไปอ่านกันโดยที่ไม่มีการบอกกล่าวครูบาอาจารย์กันก่อน ผลเสีย นอกจากผู้อ่านจะไปสัมฤทธิ์ผลแล้วความไม่เป็นมงคลอาจเกิดขึ้นกับผู้อ่านได้”

    ผู้เขียน “ การเรียนมีวิธีการอย่างไรบ้าง มีศาสนะพิธีอะไรบ้างครับ”

    ลุงเต็ง “ การยกครูมีหัวหมู ซ้าย ขวา เป็ด ไก่ ฯลฯ การยกครูสมัยก่อนโน่น ท่านอาจารย์ฟ้อนต้องไห้ไปนอนในหลุมฝังตัวเองแต่ในระยะหลังไม่ต้องฝังตัวเองก็ได้”

    ผู้เขียน “ การขุดหลุมฝังตัวเองจะหายใจออกหรอครับ”

    ลุงเต็ง “เริ่มแรกนอนลงในหลุมดิน อาจารย์ฟ้อนท่านจะเริ่มภวานาคาถาแล้วกลบดินจนมิดแล้วเหยียบจนแน่น นอนอยู่ในหลุใประมาณ20นาที แล้วท่านไห้ดันดินขึ้นมาเอง การหายใจปกติไม่รู้สึกอึดอัด”

    ผู้เขียน “ก่อนภวานาคาถาต้องมีพิธีอะไรบ้างครับ”

    ลุงเต็ง “ก่อนที่จะภวานาคาถาทุกบท จะต้องทำจิตไห้สงบหรือทำจิตไห้เป็นสมาธิ เสร็จแล้วไห้รำลึกถึงพระรัตนตรัย คุณบิดา คุณมารดา ครูอาจารย์แล้วเสกตั้งธาตุ ตั้ง นะโม3จบ เสร็จแล้วจึงทำการเจริญพระคาถา การเจริญพระคาถาเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ท่านบุรพาจารย์ฟ้อนกล่าวไว้ว่า “ตับคาบปลา กาคาบ

    ไข่” อย่างนี้เป็นต้น

    ผู้เขียน “ตับคาบปลา กาคาบไข่ หมายถึงอะไรครับ

    ลุงเต็ง “หมายถึง คาบลมของเรา เช่นคำว่า หนึ่งคาบ หนึ่งจบ มีวิธีเจริญพระคาถาไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นคำว่า “นะโมพุทธายะ” มีคำอุปเท่ห์กล่าวไว้ว่า ให้เจริญพระคาถานะโมพุทธายะ3จบ จบละหนึ่งคาบ เราภวานานะโมพุทธายะ 3 จบ แต่ละจบไม่ต้องหายใจ คือในขณะภาวนาคาถาแต่ล้ะคาบต้องกลั้นหายใจเอาไว้ “เรียกคาบลม” “
    ไห้กล่าวเจริญนะโมพุทธายะ 3 จบ แต่ล่ะจบจะหายใจหรือไม่ก็ได้ แต่จะต้องภวานาไห้ได้คาบลม ถึงจะศํกดิ์สิทธิ์

    ตามที่คุณลุงเต็ง ยิ้มสวัสดิ์กล่าวแนะนำมานี้ เราคงเข้าใจในคำว่าคาบลมอย่างดีแล้วหากท่านใดบกพร่องความศํกดิ์สิทธิ์ก็ลองจำนำไปปฏิบัติดู แล้วท่านจะทราบด้วยตัวท่านเองครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2014
  13. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    สีผึ้ง ไกล้ออกแล้วครับ ลงวิชาสายเสน่ห์ หลายยันต์เรยทีเดียว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    ใครโอนเงินค่างั่งมาอย่าลืมส่งชื่อที่อยู่มาน้ะครับ

    วันที่ 10 นี้แล้ว
     
  15. InnerVoice

    InnerVoice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +152
    จองสีผึ้งสักตลับครับ ขอแบบที่จารยันต์มหาเสน่ห์แบบสุดๆเลยครับ
     
  16. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    https://www.facebook.com/ajantikbp

    เพจอาจารย์ติ้กครับใครมีปัญหาอะไรลองโพสดู เด๋วท่านมาตอบไห้ครับ
     
  17. Chiodos

    Chiodos สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +23
    กดถูกใจเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ รอมานานมากสำหรับ Page อาจารย์ติ้ก ^^
     
  18. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    ลองทำขึ้นมาดูน้ะครับ ใครสงสัยตรงไหนสอบถามหรือโพสได้เรย ท่านจะเข้ามาอ่านทุกวัน ^^
     
  19. kingking01

    kingking01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    685
    ค่าพลัง:
    +209
    บำเพ็ญประโยชน์
    หลังจากที่ท่านอาจารย์ฟ้อนได้ทำการถ่ายทอดวิชาอาคมไห้กับศิษย์รุ่นแรกแล้ว ท่านก็ได้หันมาบำเพ็ญประโยชน์ในสังคมทางโลกมาโดยลำดับการบำเพ็ญประโยชน์ของท่านจะหนักไปที่การรักษาพยาบาลเสียส่วนไหญ่ เมื่อมหาชนคนใดเจ็บไข้ได้ป่วย จะเป็นด้วยโรคหัวฝี หัวพิษต่างๆที่ขึ้นตามร่างกายก็ดีหรือจะเป็นโรคเคล็ดปวด บวมตามร่างกายก็ดีหรือจะถูกคุณผี ไสยเวทย์ต่างๆก็ดีใครเป็นโรคตามที่กล่าวนี้ท่านจะใช้น้ำมนต์พ่นเป่าและบีบนวด หรือบางทีก็ใช้ปูนขาวหรือปูนแดงทำการศูนย์และพอกตามอวัยวะที่เจ็บปวดนั้น บางครั้งท่านก็รดน้ำมนต์ไห้ ซึ่งแต่ล้ะโรคท่านจะวินิจฉัยรวมความแล้วท่านจะรักษาด้วยเวทยืมนต์คาถาทั้งสิน เรื่องเงินเรื่องทองท่านไม่เรียกร้อง เมื่อมีผู้ศรัทธาท่านก็รับหรือไม่ศัรทธาท่านก็ไม่ว่าเพราะจิตท่านหวังเป็นทานแก่ประชาชน โดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ต่อมาท่านก็เห็นว่าการรักษาพยาบาลยังเข้าไม่ทั่วถึง ท่านจึงรวบรวมลูกศิษย์ขึ้นเป็นหมู่คณะเพื่อจักหวังนำคุณวิเศษมาแสดงสลับฉากกับการโฆษณาควบคู่กันไป
    กล่าวกันว่าแผนการของท่านในคล่าวนี้ ยึดเป็นอาชีพเรยทีเดียว แต่ท่านก็ยังยึดหลักเดิมคือใครมาขอทาน ท่านก็ไห้ ใครจะมาขอซื้อน้ำมันมนต์ท่านก็ไม่ขัด แล้วแต่มหาชนจะบริจาค ส่วนมากจะได้รับการบริจาคอย่างทั่วถึง การที่ท่านอาจารย์ฟ้อนโฆษณาในการประกอบอาชีพของท่านแต่ล้ะครั้งนับว่าเป็นอภินิหารมีความพิศดารอยู่ไม่น้อย อาทิเช่น จับงูเห่ามาพาดที่คอ แล้วไห้งูเห่ากัดโดยที่ไม่ได้ทำการรักษาเยียวยาแต่อย่างไร แต่ท่านจะขับพิษร้ายด้วยวิทยาคมหรือบางครั้งจะไห้ศิษย์ตัดลิ้นจนเลือดแดงฉานท่านเป็นผู้สมานบาดแผลไห้หายทันตา ซึ่งเป็นศรัทธาของมหาชนทั้งสิ้น การสำแดงคุณวิเศษของท่านนั้นนับเป็นปรากฏการที่หน้าหวาดเสียวยิ่งนัก ท่านจะนำลูกศิษย์ไปทำการแสดงทุกหนทุกแห่งในประเทศ จนเป็นที่กล่าวขานของคนทั้งหลายว่า “ท่านอาจารย์ฟ้อนเล่นกลเก่งชะมัด”
    เรื่องการแสดงกลเราท่านทั้งหลายคนพอได้รู้เห็นกันมาบ้างแล้ว อย่างเช่นในท้องที่ชุมชนต่างๆหรือใต้ต้นมะขามริมสนามหลวงกรุงเทพ ซึ่งเคยมีอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเวลาแดดร่มลมตก เราจะเห็นการแสดงกลนำงูเห่าใส่ลังมาตั้งไว้เฉยๆบางครั้งก็ปล่อยไห้งูออกมาแผ่แม่เบี้ยเป็นบางครั้งบางคราวหรือบางทีก็เอางุเห่าไปกัดกับพังพอนไห้พวกเราได้ดูกันแต่เขาเหล่านั้นไม่ได้นำงูมากัดเขาเอง หรือทำการเฉือนลิ้นไห้เลือดมันไหลแดงฉานเหมือนเช่น อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ก็หาไม่อย่างดีก็แสดงการตัดคอไห้พวกเราได้ดูกันบ้าง แต่ทว่าเขาทำไม่เปิดเผยนะครับเขาใช้ผ้าคลุม เขามีวิธีการอย่างไรไม่มีโอกาสได้เห็นเรยหรือถ้าจะมีการตัดคอกันจริงๆต้องเห็นรอยเลือดบ้าง แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ได้มาโกหกหลอกลวงพวกเรา เพราะเขามาแสดงวิทยากลเท่านั้นเขาก็ประกาศอยู่ปาวๆว่าเป็นของโกหกไม่ใช่ของจริง แต่การแสดงของท่านอาจารย์ฟ้อน ท่านแสดงไห้เห็นจริงๆไม่มีการปิดบังคือท่านไห้งูกัดจริงๆการเฉือนลิ้นก็เฉือนจริงๆรอยเลือดก็รอยเลือดจริงๆการสมานบาดแผลก็ทำไห้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง กล่าวคือท่านอาจารย์ฟ้อนแสดงคุณวิเศษพระเวทย์วิทยาคม ส่วนนักแสดงกลนั้นแสดงด้วยความชำนาญ ที่กล่าวมานี้ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอ้ะไร แต่เพื่อเป้นการจรรโลงประวัติความจริงของท่านอาจารย์ฟ้อนไห้จารึกถูกต้องตามความเป็นจริง
     
  20. Fedor

    Fedor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +112
    ประวัติสุดยอดจริงๆครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...