วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ คุณรัศมีดารา...

    ธรขอร่วมโมทนาด้วยซ้ำไปค่ะ ที่คุณมีจิตเจตนาที่ดีที่จะช่วยกันเผยแพร่พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านค่ะ...

    ท่านอื่นใดที่สนใจจะนำเนื้อหาในวิชชานี้ไปรวมเล่ม หรือพิมพ์เผยแพร่ (แต่ขอความกรุณาอย่านำเอาไปดัดแปลง หรือต่อเติมเอาเองนะคะ) เชิญเลยนะคะ ทั้งอาจารย์คณานันท์ และธร ยินดีร่วมโมทนาด้วยค่ะ

    เท่ากับว่าพวกเราทุกๆ คนในที่นี้ (ในเว็ปพลังจิตนี้) ได้ช่วยกันสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปีค่ะ...

    มหาโมทนากับทุกๆ ท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2008
  2. kumpeang

    kumpeang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    546
    ค่าพลัง:
    +1,984

    มีภาพ แบบองค์พระท่านเป็นแก้วใสไหมครับ (แบบนี้มัวไปนิด) ผมรบกวนขอไว้เพ่งจดจำองค์ท่านหน่อยสิครับ

    ขอบุญรักษา โมทนาสาธุ ครับ
     
  3. ju ju

    ju ju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +87

    ขอบคุณค่ะ ดิฉันคงไม่เปลี่ยนแปลงคำใดๆเลย ก๊อปมาอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นทั้งชื่อของท่านที่ให้ความรุ้ด้วย เพราะบทสนทนาในแต่ละครั้งมันมีประโยชน์ต่อชนรุ่นหลังปฏิบัติแล้วถ้าไม่เข้าใจสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น ดิฉันติดตามอ่านตั้งแต่คุณ มณ(อาจจะจำชื่อผิดหรือพิมพ์ผิดน่ะค่ะ แต่ท่านออกจากกระทู้ไปแล้ว เห็นว่าไปปฏิบัติอย่างจิงจัง )
    ขอร่วมอนุโมทนากับคุณๆๆทุกท่านที่ช่วยส่งเสริมพระพุทธศาสนานะค่ะ กุศลอันใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วก็ขอให้ครอบครัวและประเทศไทยจงพบแต่ความสุข สงบ เทอญ
     
  4. ju ju

    ju ju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +87
    ดิฉันเก็บไว้อ่านเองกับให้เพื่อนสนิท คนสองคนเอง รอคุณไก่รวมเล่มแล้วเรียบเรียงให้ดีก่อน ถึงเวลานั้นดิฉันจะช่วยเผยแพร่เต็มที่อีกทีนะค่ะ เป็นอีกคนที่อยากให้มีคนดีปฏิบัติดีกันเยอะๆ อยากให้คนเชื่อการเวียนว่ายตายเกิด ว่ามันมีจริงๆๆ
     
  5. ju ju

    ju ju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +87

    ขอบคุณค่ะ ที่ดิฉันใช้ชื่อนี้ก็เพราะอยากระลึกถึงท่านจะได้ไม่ลืมแผ่กุศลผลบุญให้ท่านนะค่ะ ชื่อรัศมีดารา เป็น มเหสีของเจ้าเมืองเชียงใหม่ และเป็นมารดาขององค์หญิง....ที่มีส่วนร่วมสร้างพระธาตุดอยสุเทพ เมื่อสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ชื่อขององค์หญิงและท่านเจ้าเมือง นั้นยังมีจารึกอยู่ที่พระธาตุดอยสุเทพ (ที่ไม่ใส่พระนามเพราะกลัวอ่ะ) ส่วนชื่อของอาจารย์คุณ เป็นชื่อเดียวกันกับพระสนมของรัชกาลที่ ห้า ถูกต้องไหมค่ะ ขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยน่ะค่ะ ด้วยใจอันเป็นกุศล
     
  6. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969

    ได้ค่ะ ขอเวลาถ่ายใหม่ซักหน่อยนะคะ
    ช่วงนี้ต้องออกทำงานข้างนอกตลอดทั้งวัน
    ลองเข้ามาดูวันพฤหัสนะคะ
     
  7. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    คุณรัศมีดารา และทุกๆ ท่านเลยนะคะ...

    ตอนนี้ธรกำลังพยายามรวบรวมเนื้อหาวิชชาฯ (ฉบับก้าวหน้า) อยู่ค่ะ... แต่คงต้องขอเวลาสักพักใหญ่ๆ... เพราะเนื้อหาเยอะมากเลยค่ะ...

    ถ้าใกล้เสร็จ... หรือเสร็จเมื่อไหร่จะแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งนะคะ... เพราะตั้งใจกันว่าจะพิมพ์ไว้แจกเป็นธรรมทานเหมือนเดิมค่ะ...
     
  8. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    อาจารย์ชื่อรัศมีดารา เหมือนคุณเลยค่ะ
     
  9. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขอประทานโทษนะคะ...เว้นระยะการฝึกไปเสียหลายวันเลย...

    หวังว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาแต่ละท่านคงจะจับลมสบายกันได้... ทันที ณ ขณะนี้เลยนะคะ... จับลมสบายเอาไว้เบาๆ ให้จิตโล่ง โปร่ง สบาย อย่าเครียด อย่าเกร็งนะคะ...

    ทุกครั้งที่ธรพิมพ์ข้อความไปด้วย ธรก็จะทำตามไปด้วยเช่นกันค่ะ... เรามาปฏิบัติไปพร้อมๆ กันเลยนะคะ...

    การจับภาพพระ

    - สำหรับผู้เริ่มต้น คือ การน้อมนึกให้เห็นภาพพระพุทธรูป หรือพระอริยสงฆ์องค์ที่เราชื่นชอบ และเคารพนบนอบท่านมากที่สุด... จำภาพท่านได้ชัดเจน แจ่มใสที่สุด... นึกให้เห็นองค์ท่านได้ชัดเจนทั้งยามลืมตา หลับตา... ถ้าเป็นไปได้ขอแนะนำให้หาพระพุทธูปที่เป็นแก้วใสมาฝึกเพ่งฝึกมองจนจิตชินค่ะ...
    หลังจากนั้นค่อยๆ นึกน้อมให้เห็นองค์พระพุทธรูปท่านใส สว่าง เหมือนแก้วเนื้อดีที่ใสสะอาดที่สุดเท่าที่ท่านเคยเห็น... เมื่อได้แล้ว... ค่อยๆ นึกต่อไป ขอให้องค์พระท่านใส สว่างเจิดจ้า จนเปล่งประกายระยิบระยับ เหมือนเพชรชั้นดีที่เล่นไฟวิบวับๆ...

    การทรงอารมณ์ (คือ การพยายามประคองจิตให้เห็นภาพตามที่ต้องการ อย่างเบาๆ สบายๆ ที่สุด) ของผู้ที่เริ่มต้นนี้อาจจะกระทำได้เพียงแค่เสี้ยววินาที แล้วก็หายไป... ก็อย่าตกใจ หรือเสียใจ... ค่อยๆ เริ่มทำใหม่... ฝึกไปครั้งละเล็กละน้อย... แต่พยายามทำให้ได้วันละหลายๆ ครั้ง... ไม่นานจิตเขาจะชิน และเริ่มจับภาพพระได้นานขึ้น ใสมากขึ้น... จนบางครั้งจิตเขาจะจับภาพพระขึ้นมาเองโดยที่เรายังไม่ต้องตั้งท่าจะทำ... หรือบางครั้งยังไม่ทันนึกที่จะทำด้วยซ้ำ...

    - สำหรับผู้ที่ทำได้มาก่อนแล้ว ขอนึกให้เห็นภาพพระพุทธรูปที่ใสสว่างจนเปล่งประกายเพชรระยิบระยับนี้ให้ได้ในทันทีที่ต้องการ... เพียงแค่นึกจะจับภาพพระปั๊บ... ต้องเห็นได้ปุ๊ปในทันที... และควรจะต้องทำได้ทั้งยามลืมตา และหลับตา... เพราะเวลาที่ลืมตา แล้วยังจับภาพพระได้นั้น อารมณ์จะแนบสนิทได้มั่นคงกว่า และดีกว่าตอนหลับตาเพียงอย่างเดียว
    ถ้ายังทำไม่ได้ ก็ขอให้ท่านหมั่นฝึกซ้อมการจับภาพพระ ทุกที่ ทุกเวลา ที่โอกาสของท่านอำนวยให้...
    ส่วนท่านที่ทำได้แล้ว... ก็ขอโมทนาด้วยค่ะ...

    - สำหรับผู้ที่ได้มโนมยิทธิ ทุกครั้งเมื่อพูดถึงการจับภาพพระ... ขอให้ท่านแยกอทิสมานกายขึ้นไปกราบเบื้องพระบาทองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบนพระนิพพานให้ได้ในทันทีค่ะ...


    สำหรับผู้ปฏิบัติทั้งสามระดับ... เมื่อทำจนชำนาญดีแล้ว... ขอให้ฝึกนึกเห็นภาพพระให้ได้ในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็น นั่ง นอน ยืน เดิน วิ่ง ออกกำลังกาย... เพื่อเป็นการฝึกให้จิตของท่านชิน และมีความรวดเร็วคล่องตัว... เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น... เช่น ถ้าท่านกำลังอยู่ในรถ แล้วเห็นรถอีกคันกำลังพุ่งเข้ามาทางรถของท่านด้วยความเร็วสูง... เมื่อท่านฝึกจิตของท่านจนชำนาญ... นึกจับภาพพระได้ทันทีในเสี้ยววินาทีนั้น... ผลที่ตามมามีได้ ที่เด่นชัดอยู่สองประการ คือ...
    - ถ้าท่านยังไม่ถึงอายุขัย... พระบารมีแห่งองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าท่าน จะช่วยปกปักรักษา กำจัดภัยพาลให้ท่านได้... ถ้าท่านมีกรรมหนัก กรรมนั้นก็จะเบาบางลง... ถ้าท่านมีกรรมเบาอยู่แล้ว ท่านก็อาจจะแค่ถลอกปอกเปิด หรืออาจจะแคล้วคลาดปลอดภัยไม่เป็นอะไรเลย
    - แต่ถ้าท่านถึงอายุขัย... อย่างน้อยก่อนตาย จิตท่านจับที่พุทธานุสติ ท่านก็มีสุขคติภูมิเป็นที่ไป...
    และถ้าท่านพิจารณาตัดขันธ์ 5 พิจารณาความตาย ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ความสกปรกโสโครกของสังขารร่างกาย และจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์... ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น ไม่ขอไปที่อื่นใดอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโลกมนุษย์ สวรรค์ พรหม หรืออรูปพรหมก็แล้วแต่ ฯลฯ พิจารณาจนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว... ท่านก็หวังได้ซึ่งพระนิพพานเป็นที่สุด


    เมื่อทุกท่านจับลมสบาย และจับภาพพระกันได้แล้ว ขอให้ทรงอารมณ์สบายพร้อมประคองภาพพระให้ใสสว่างกระจ่างตาเป็นประกายระยิบระยับแพรวพราว... แล้วเรามาไหว้ครูกันค่ะ...

    การไหว้ครู

    สิ่งที่จำเป็นต้องมีในการไหว้ครู คือ...
    ดอกไม้ 3 สี ธูป เทียน พร้อมเงิน 9 บาท

    น้อมนึกให้เห็นภาพพระใสสว่างนั้นอยู่ตรงหน้าของท่าน... แล้วน้อมนำพานดอกไม้ธูปเทียนที่ท่านถืออยู่... นึกให้เห็นภาพว่าท่านกำลังบรรจงวางพานแก้ว ดอกไม้แก้ว ธูปแก้ว เทียนแก้วนั้นไว้เบื้องหน้าองค์สมเด็จพระสุคตบรมศาสดาท่าน...

    เสร็จแล้ว... สวดนะโม 3 จบ

    แล้วกราบขอขมากรรมต่อองค์พระรัตนตรัย โดยการอธิษฐานว่า...
    "- ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ ต่อกันมา มีองค์หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และองค์หลวงพ่อฤาษีเป็นที่สุด... ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี... ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี... ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี...
    - ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆ พระองค์ ทุกๆ องค์ ทุกๆ ท่าน... ได้โปรดอดโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"
    เสร็จแล้วนึกน้อมก้มลงกราบลงที่พระบาทพระองค์ท่าน...

    ต่อมาพิจารณาวางอารมณ์ใจว่า...
    "ณ ขณะนี้ ศีล ๕ (๘) ของข้าพเจ้าสมบูรณ์ บริบูรณ์ดีทุกประการ... ข้าพเจ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ได้ลักขโมยผู้ใด ไม่ได้ผิดลูกผัว - เมียใคร ไม่ได้พูดโกหกมดเท็จใดๆ ไม่ได้เสพสุราของมึนเมา หรือเล่นการพนันแต่อย่างใด... (ไม่ได้ทานอาหารหลังเที่ยง, ไม่ได้ใช้เครื่องไล้ของหอม เว้นจากการฟ้อนรำ ดูสิ่งบันเทิงเริงรมย์ ไม่ได้ใช้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ, ไม่ได้นอนบนที่นอนสูงใหญ่)... ศีลของข้าพเจ้าบริสุทธิ์... ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเรียนวิชชานี้ด้วยจิตเมตตา ปรารถนาในการช่วยเหลือสัตว์โลกทั้งมวล... พรหมวิหารสี่ของข้าพเจ้าพร้อมบริบูรณ์... ข้าพเจ้าขอน้อมจิตยึดถือพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งที่อาศัยสูงสุด ไม่มีที่พึ่งอื่นใดยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว ตลอดชีวิตของข้าพระพุทธเจ้าตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน"

    ต่อจากนั้นให้เปิดซีดีคำสมาทานพระกรรมฐานของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง... ถ้าไม่มีซีดี ให้อาราธนาพระกรรมฐานดังนี้

    ( นำ ) หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส ฯ
    ( รับ ) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( ๓ จบ )

    อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจัจชามิ
    ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอมอบกาย ถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขออาราธนาบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย สืบๆ กันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงเป็นที่สุด
    ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะพระกรรมฐานทั้ง ๔๐ ทัศ พระปีติทั้ง ๕ และ วิปัสสนาญาณทั้ง ๙ ขอพระกรรมฐาน ทั้ง ๔๐ ทัศ พระปีติทั้ง ๕ และวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ จงมาบังเกิดปรากฏ ในกายทวาร ในวจีทวาร ในมโนทวาร ของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะแห่งเมฆจิต สามารถกำหนดจิต รู้ภาวการณ์ต่างๆ ทั้งเหตุ ผล อดีต และปัจจุบัน ได้ทุกขณะจิต ที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้ว ขอให้เห็นภาพนั้น ได้ชัดเจนแจ่มใส่ และพยากรณ์ได้ ตามความเป็นจริงทุกประการ เหตุใดที่พึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น ได้โดยมิต้องกำหนดจิต แม้แต่ประการใด ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    เมื่อสมาทานพระกรรมฐานเสร็จแล้ว ให้ตั้งจิตอธิษฐานต่อไปว่า...
    "ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเรียนวิชชานี้ เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ และบำเพ็ญบารมีด้วยความจริงใจ... หากแม้นข้าพเจ้ามีจิตคิดร้ายนำวิชชาเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ผิดต่อ ชาติ ศาสนา พ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชชาแล้วไซร้... ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เรียนวิชชานี้สำเร็จ... ถึงสำเร็จ ก็ขอให้วิชชาที่ได้มานี้ถูกส่งกลับคืนไปจนหมดสิ้นเมื่อข้าพเจ้าผิดสัจจะ... แต่หากข้าพเจ้าใช้วิชชาเหล่านี้ในทางที่ถูกที่ควร... ขอให้ข้าพเจ้าจงเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ"

    เมื่อไหว้ครูเสร็จแล้ว... ให้นำดอกไม้ ธูป เทียนไปบูชาพระ และนำเงิน 9 บาทนั้นไปทำบุญตักบาตร หรือจะนำไปหยอดตามตู้รับบริจาคของวัดต่างๆ ก็ได้...

    หากไม่มีดอกไม้ ธูป เทียน เงินบูชาครูในตอนนี้... ให้รีบกระทำการไหว้ครูใหม่ภายใน 3 วัน... หากพ้น 3 วันไปแล้ว ยังไม่บูชาครู แล้วเกิดมีอาการเจ็บป่วย ขอให้รีบขอขมาพระรัตนตรัย บูชาครูใหม่ แล้วตักบาตร อาการป่วยจะหายไป...

    สาเหตุที่ต้องมีการไหว้ครู คือ
    1. องค์สมเด็จพระประทีปแก้วท่านสั่งให้ทำด้วยเหตุผลที่ว่า...
    2. เพื่อเป็นเครื่องแสดงความยอมรับนับถือครูบาอาจารย์ และให้บารมี หรือแรงครูบาอาจารย์ (ทั้งที่มีกายเนื้อ และไม่มีกายเนื้อ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชชาสืบต่อกันมา) ได้ช่วยลงมาคุ้มครองลูกศิษย์ได้
    3. เพื่อความเจริญรุ่งเรืองในวิชชา และชีวิตของลูกศิษย์นั้นๆ เอง


    สำหรับตอนนี้... อย่าลืมฝึกจับลมสบาย พร้อมจับภาพพระให้ใสสว่างเป็นประกายให้คล่องนะคะ...

    ขอโมทนากับทุกๆ ท่านที่ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ...

    ขอให้ทุกๆ ท่านมีดวงตาเห็นธรรม และเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลันด้วยเทอญ...
     
  10. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    มาถึงขั้นนี้ อาจจะยังมีอยู่หลายท่านด้วยกันที่เวลาจะจับลมสบายแล้ว... ลมนั้นไม่สบายอย่างที่ใจต้องการ... ดังนั้นอาจารย์คณานันท์ท่านได้แนะนำวิธีล้างลมหยาบ เพื่อให้ลมนั้นละเอียดขึ้น ดังนี้ค่ะ...

    ล้างลมหยาบ จำอารมณ์ละเอียด

    การล้างลมหยาบนั้นเป็นวิธีการที่ใช้เฉพาะครั้งคราวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำทุกครั้งค่ะ... เพราะสิ่งที่เราต้องการจากตรงนี้ คือ ฌาน 4 ละเอียด ซึ่งเป็นฌาน 4 สำหรับใช้งาน นั่นคือ ความเป็นทิพย์ของจิตได้บังเกิดขึ้นแล้ว... ซึ่งวิธีการทำนั้นถือเป็นหลักสูตรเร่งรัด ให้จิตใช้งานได้ดีขึ้น เร็วขึ้นค่ะ...

    การฝึกนี้แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ด้วยกัน คือ
    1. การกักลม - เก็บลม
    2. การติดตามลม

    1.การกักลม - เก็บลม

    มีลักษณะที่เราต้องบังคับลมหายใจ... ในช่วงนี้ถ้าลมหายใจหายไปนานๆ เป็นนาทีๆ ก็ไม่ต้องตกใจนะค่ะ... มันเป็นเพียงสภาวะหนึ่งที่หลายๆ ท่านไม่เคยสัมผัสมาก่อนเท่านั้นเองค่ะ...

    ทุกครั้งที่ฝึกให้ตั้งกำลังใจและอธิษฐานว่า...
    "ขณะที่ข้าพเจ้าตั้งใจปฏิบัติสมาธิอยู่นี้ ศีลของข้าพเจ้าบริสุทธิ์บริบูรณ์ ... ข้าพเจ้ามีความเคารพในพระรัตนตรัยและขอถึงซึ่งไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งสูงสุด... ข้าพเจ้าขอน้อมเคารพนับถือบิดา - มารดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย... ขอให้ข้าพเจ้ามีความเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยเทอญ"

    หลังจากนั้นให้นั่งสบายๆ หายใจเข้า ช้าๆ ลึกๆ จนรู้สึกว่าลมหายใจลงไปถึงท้องจนเต็ม... กักลมหายใจไว้แบบนั้น สบายๆ (อย่ากลั้นจนหน้าเขียวหน้าเหลือง)... ในใจภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ วนไปเรื่อยๆ (อย่าเร่ง อย่าร้อน แต่ก็อย่าช้ามาก ท่องไปพอสบายๆ)... ทำจนรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว ให้ค่อยๆ ปล่อยลมหายใจออก (อย่าปล่อยพรวดออกมาทีเดียวพร้อมกันหมด)... เสร็จแล้วสูดลมเข้าไปใหม่ช้าๆ ภาวนาใหม่จนรู้สึกว่าไม่ไหว แล้วค่อยๆ ปล่อย... ทำไปเรื่อยๆ ... ทำให้ได้สัก 10 - 20 ครั้ง จนกว่าท่านจะพอใจ...

    เมื่อทำไปสักพักจะเห็นเลยว่า เราสามารถกัก และ เก็บลมได้นานขึ้นๆ... ซึ่งนั่นจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของปอด รวมทั้งเป็นการเพิ่มพลังลมปราณในร่างกายด้วย...

    2.การติดตามลม

    ในขั้นนี้ให้เราเปลี่ยนจากการเป็นผู้บังคับลมหายใจ มาเป็นผู้ติดตามลมหายใจ ในช่วงนี้ถ้าจิตไม่ต้องการการภาวนาใดๆ ให้ทิ้งคำภาวนาได้...

    ไม่ว่าร่างกายจะหายใจอย่างไร สั้น ยาว หยาบ ละเอียด... ก็ปล่อยเขาตามสบาย... หน้าที่อย่างเดียวที่จิตต้องทำ คือ ติดตามดูลมนั้นตลอดสาย ตั้งแต่เข้าจนออก... ลมหายใจสั้นก็รู้ ยาวก็รู้ ดูไปเรื่อยๆ... ลมหายใจจะค่อยๆ ละเอียดขึ้นๆ และจะหายใจช้าลงๆ... จนลมหายใจเกือบจะหายไป เหลือการหายใจ เข้า - ออก เพียงแค่เมล็ดถั่ว หรือถ้าหยาบๆ ก็เท่ากับปลายนิ้วก้อย... (โดยส่วนตัวของธรแล้ว... เมื่อหายใจมาถึงขั้นนี้... จิตเขาจะไม่รู้สึกถึงลมหายใจแล้ว คือ ลมเหมือนกับจะหายไปเลยจนจิตเขาลืมนึกถึงมันไป... ดังนั้นธรจึงไม่ทราบว่าตัวเองหายใจเพียงแค่เมล็ดถั่วหรือไม่...)... ตอนนี้สภาพร่างกายจะอยู่นิ่งๆ ...สำหรับบางท่านจะรู้สึกเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่... จิตใจแช่มชื่น และมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา... บางท่านจะมีสภาวะเหมือนดวงจิตลอยอยู่เพียงดวงเดียวในที่เวิ้งว้างว่างเปล่า... บางคนลมหายใจหายไป ก็ไม่ต้องสนใจใดๆ... ให้สนใจอยู่กับจิตที่หยุดนิ่งนี้เพียงอย่างเดียว... ให้จำอารมณ์ใจ ความรู้สึก และเสวยสุขในฌานนี้ให้เต็มที่... แต่อย่าให้นานเกินไป เพราะจิตจะติดกับความสุขจนไม่อยากจะพัฒนาไปที่ใดต่อ...

    จากนั้นให้ถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ โดยการหายใจเข้า ช้าๆ ลึกๆ 3 ครั้ง พร้อมกับภาวนา พุทโธ ในครั้งที่ 1... ธัมโม ในครั้งที่ 2... และสังโฆ ในครั้งที่ 3... ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ จิตจะค่อยๆ ถอนออกจากฌาน...

    ซึ่งการถอนจิตจากฌานนี้ต้องจำไว้เลยว่า อย่าออกจากสมาธิแบบพรวดพราดเด็ดขาด เพราะจะทำให้กายทิพย์สะเทือน และทำให้กลับมาทำให้จิตเป็นสมาธิอีกทีได้ยากมากๆ ... (ของธรใช้เวลานานหลายเดือนมากๆ กว่าจิตเขาจะค่อยๆ ยอมนิ่ง และกลับมายอมสงบราบคาบอีกครั้งค่ะ)

    เมื่อถอนสมาธิออกมาแล้ว...

    ให้ใช้จิตเข้าสู้สภาวะเดิมที่มีอาการนิ่ง ลมหายใจแค่นิดเดียว หรือไม่หายใจใหม่ในทันที ในสภาพที่ลืมตา... ขอให้ทุกๆ ท่านจำอารมณ์ใจขณะนี้ไว้ เพราะนี่ คือ ลมสบาย ที่เราได้ฝึกปฏิบัติกันมาแล้ว... เสร็จแล้วให้อธิษฐานในฌานว่า...
    "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งฌานนี้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ทั้งยามหลับ ยามตื่น ตามที่ข้าพเจ้าต้องการเป็นวสี ติดตัวข้าพเจ้าไปทุกภพทุกชาติ ตราบจนถึงซึ่งพระนิพพานเทอญ"


    หวังว่าการปฏิบัติในวันนี้คงไม่หนักเกินกำลังใจของทุกท่านนะคะ...

    ขอโมทนากับทุกๆ ท่านด้วยค่ะ...
     
  11. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    ขอขมานะค่ะ อย่าหาว่าสอนเลย แลกเปลียนทัศนะนะค่ะ ข้าพเจ้าก็โง่ๆอยู่ ถ้าผิดไปจากที่รู้ก็ขอขมาค่ะแต่ที่อ่านๆมามันประมาณนี้ค่ะ

    รูป คือสสาร องค์ประชุม ดิน น้ำ ไฟ ลม ค่ะ
    เวทนา คือ อารมณ์ ความรู้สึก
    สัญญา คือ ความจำได้ หมายรู้ จำกัดความ ให้ชื่ออันนั้นๆนี้ๆค่ะ
    สังขาร คือระบบ ความคิด ความปรุงแต่ง ค่ะ
    วิญญาณ คือ ตัวที่วิ่งไปรับ รูป อารมณ์ ความจำ ความคิด ค่ะ หรืิอตัวรับรู้ทางอายตนะหก คือ ตาหูจมูก ลิ้น กายใจค่ะ

    จิต คือธาตุรู้พิเศษชนิดหนึ่ง(อันนี้ห้ามปรามาสเพราะอ่านของหลวงพ่อฤๅษีมา)

    (อันนี้อ่านที่อื่นผสมกับความคิดตัวเองนิดหน่อย) เวลาจิตมันดับ คือมันไปหลบในช่อง(ภาษาอภิธรรมใช้ คำว่า นอนเนื่อง) เวลามันเกิด คือมันวิ่งไปรับอารมณ์ทางอายตนะ เรียกตามประตูที่วิ่งไปรับ(ปัญจวิญญาณ) การทำหน้าที่ของจิตมีตัวปรุงคือ ตัวจิต( กรรมและวิบาก) อุณหภูมิ อาหาร ตัวปรุงที่เข้าไปรวมกับจิตเพื่อให้จิตทำหน้าที่ เรียก อารมณ์จิต หรือ เจตสิก ค่ะ (เจตสิกมันเป็นตัวที่เกิดพร้อมจิตให้จิตทำหน้าที่นั่นเอง)

    รูปพูดแล้วอ่ะ คือ สสารอันเป็นธาตุสี่ เวลา จิตมันทำหน้าที่ มันก็ต้องวิ่งไปปรุงรวมกับธาตุ

    นิพพาน เป็นของจริง อยากรู้ว่าจริงยังไงก็หาพระอาจารย์ดีๆฝึกให้เข้าถึงเอง เพราะข้าพเจ้าตอบไม่ได้อ่ะ
    พระพุทธท่านว่า ขัณฑ์ ห้าไม่ใช่ตัวตนบุลคลเราเขา จิตก็เช่นกัน ไม่มีตัวตนบุคคลเราเขาในจิต การวางสลัดออกซึ่งความรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของเราละความยึดถืออะไรๆๆในโลกด้วย สววค์ พรหม มนุษย์ อบาย ไม่เอา ไม่เป็นสาระ นั่นเรียกอารมณ์แตะนิพพาน

    (หรือ ขออนุญาตยืมคำหลวงพี่เล็กนะเจ้าค่ะ)
    "นิพพานมีทั้งเป็นแดนและไม่เป็นแดนแล้วแต่อารมณ์จิตที่เข้าถึง(หลวงพี่เล็ก)"


    พุทโธอัปปมาโน พระพุทธเป็นที่สุดสุดจะประมาณได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 เมษายน 2008
  12. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418

    ก่่อนอื่นต้องขอขมานะ ค่ะ ที่เสือกตอบทั้งที่เห็นอาจารย์ถามเจาะจงแต่เห็นบทความแล้วอดนึกถึงบทความดีๆของหลวงพ่อไม่ได้จึงต้องเอามาลง
    ให้อ่าน สรุปคือหากเราไม่ตายเข้าสู่นิพพานเพียงใดก็ยังต้องอยูภายใต้กรรมและวิบากเพียงนั้นค่ะ


    คนที่ตั้งหน้าทำแต่ความดีทำไมจึงไม่ได้ดีเหมือนคนชั่วบางคน?
    (จากหนังสือ แสงสู่ธรรมของ ท่าน มนูญ ชมพูทีป สนทนากับหลวงพ่อ)
    หลังจากที่หลวงพ่อได้เมตตา คลี่คลายความเคลือบแคลงสงสัยในการเจริญพระกรรมฐานให้ข้าพเจ้า จนเกิดความกระจ่างแล้วข้าพเจ้าก็ได้พยายามฝึกฝนตนเองไปเรื่อยๆ โดยมิได้ว่างเว้นจนสามารถที่จะทรงฌาน 2 ได้ในทันทีที่คิดจะเจริญพระกรรมฐานกล่าวคือเพียงแค่คิดแล้วสูดลมหายใจเข้ายังมิทันจะออกก็สามารถเข้าสู่ฌาน 2 ได้แล้ว และต่อจากนั้นเพียงแค่ 2-3 นาที ก็จะสามารถเข้าสู่ฌาน 3 ได้แล้ว ก็ทรงอยู่เช่นนั้นได้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากพอสมควรแต่ยังไม่สามารถทรงฌาน 4 ได้ตามกำหนดระยะเวลาที่ตั้งใจไว้

    และในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังมุ ที่จะเจริญพระกรรมฐานอยู่นั้นก็บังเอิญมีเรื่องๆ หนึ่งเข้ามาขัดจังหวะ ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในผลการปฏิบัติ ว่าจะไม่มีผลดีจริงตามที่คิด กล่าวคือในขณะนั้นมีการฝึกซ้อมรบที่กองบิน 4 ถึงสามวัน สามคืน และในช่วงระยะเวลาดังกล่าวข้าพเจ้าและบรรดาผู้ที่เข้ารับการฝึกทั้งหมดก็จะต้องอยู่ ณ ที่ตั้งกองบัญชาการฝึกตลอดเวลาอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานของศูนย์ข่าวที่ข้าพเจ้าต้องรับผิดชอบนั้น หนักมากเพราะเป็นการฝึกรบกันทางกระดาษมิได้รบจริง ดังนั้นข่าวที่ทางหน่วยเหนือส่งมาก็ดี และการปฏิบัติที่ทางกองบิน 4 จะต้องรายงานผลย้อยกลับไปยังหน่วยเหนือก็ดี จึงมีมากมาย จนข้าพเจ้าต้องโดดเข้าไปช่วยเจ้าพนักงานศูนย์ข่าวซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้า รับส่งข่าวด้วยตนเองอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นข่ายการติดต่อสื่อสารไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ก็ดี โทรคมนาคมก็ดี มักจะเกิดปัญหา

    ในทุกครั้งที่ฝนตก ซึ่งข้าพเจ้าก็จะต้องควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาออกตรวจซ่อม

    หนาวสั่นกันอยู่หลายฝนอีกด้วยในขณะที่นายทหารสัญญาบัตรของกองบิน 4 ทั้งหลายนั่งล้อมวงจิบกาแฟคุยกันบ้าง เล่นไพ่ เล่นโดมิโนกันบ้างนานๆ ครั้งจะชะโงกหน้ามาขอดูข่าวที่รับ ที่ส่งบ้างเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาเหล่านั้นระวังกันมากที่สุดก็คือผลัดกันคอยดูว่ารถผู้บังคับการกองบิน 4 จะเข้ามาที่กองบัญชาการฝึกหรือยังหากเห็นรถมาแต่ไกล วงสนทานา วงไพ่ วงโดมิโน จะแตกทันทีและทุกคนจะรีบเข้าประจำที่ ดึงเอกสารต่างๆ ออกมาวางกันอย่างล้นเหลือและบางคนยิ่งกว่านั้น วิ่งออกไปรับหน้าผู้บังคับการกองบินถึงที่รถพร้อมกับรายงานผลการปฏิบัติในการฝึกที่ผ่านมาทั้งหมดให้ผู้บังคับการกองบินทราบทั้งๆ ที่หาใช่หน้าที่ของตนแต่อย่างใดไม่ ทั้งนี้เพราะหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละสายงานก็ได้แบ่งกันไว้โดยชัดเจนแล้วหน้าที่ผู้รับผิดชอบในแต่ละสายงานจะต้องเป็นผู้รายงานเอง จึงจะถูกต้อง

    เมื่อการฝึกซ้อมรบเสร็จสิ้น ก็มีการสรุปผลและติชม ผลที่ออกมาก็คือ ทุกสายงานได้รับคำชมเชยหมดยกเว้นในสายงานสื่อสารที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบเพียงงานเดียวที่ถูกตำหนิว่า ยังมีขีดความสามารถต่ำไม่สามารถสนับสนุนแผนการยุทธการ และหน่วยงานอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรอันเป็นผลให้ในปีนั้นข้าพเจ้าเกือบจะถูกงดบำเหน็จในขณะที่เพื่อนๆ ในสายงานอื่นเขาได้บำเหน็จกัน 2 ขั้นกันทุกคนโดยถ้วนหน้า

    เรื่องนี้ได้ประทับรอยแห่งความผิดหวังท้อแท้เกลียดชังและไขว้เขวลงในใจข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก นี่หรือคือความยุติธรรม ข้าพเจ้าอยากจะหัวเราะเยาฟ้าดินให้ก้องโลก คนนั่งคุยกันนั่งเล่นไพ่เล่นโดมิโนต่างพากันได้รับคำชมเชย และได้บำเหน็จ 2 ขั้นเป็นการตอบแทนส่วนข้าพเจ้าซึ่งทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ให้กับงาน กลับถูกตำหนิ และเกือบถูกงดบำเหน็จ นี่หรือทำดีได้ดี ทำชั่ว?

    การที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ทำให้ข้าพเจ้าต้องคิดหนัก และยิ่งคิดหนักก็ยิ่งเกิดความไขว้เขว และไม่สนใจในผลปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยิ่งขึ้น กล่าวคือในระยะเวลานั้น กองบิน 4 มีทหารอเมริกันเข้ามาตั้งฐานทัพอยู่ด้วย ทำให้มีพ่อค้านักธุรกิจเข้ามาประมูลงานกันอย่างคับคั่ง ทั้งงานสร้างอาคารสำนักงาน ถนน สนามบิน ตัดหญ้า ขนขยะ รถเช่า ร้านอาหาร ร้านขายของต่างๆ ตลอดจนในด้านบันเทิงไม่ว่าจะเป็น เรื่องนักร้อง นักดนตรี ตามสโมสรของอเมริกาด้วย ปรากฏว่าข้าราชการกองบิน 4 ที่ร่ำรวยกัน ขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตาก็คือ บรรดาข้าราชการที่หลบเลี่ยงงานราชการแล้วใช้อำนาจหน้าที่ของตนวิ่งเต้นช่วยเหลือบรรดาพ่อค้าบ้าง ร่วมมือกับทหารอเมริกาเอาของในพีเอ๊กซ์ เช่นเหล้าบุหรี่ เครื่องเสียง ที.วี ตู้เย็นไปขายบ้าง
    ข่มขู่ผู้ที่เข้ามาประมูลขอค่าคุ้มครองบ้างเป็นต้น และนอกจากเขาเหล่านั้นจะพากันร่ำรวยด้วยการเลี่ยงงานราชการแล้ว แทนที่ผู้บังคับจะตำหนิหรือลงโทษกลับได้รับการสนับสนุน ยกย่อง และให้ความเกรงอกเกรงใจเป็นพิเศษเสียอีกด้วยซ้ำไปด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเหล่านั้นมีบุญคุณหาเงินมาช่วยสวัสดิการของหน่วย สิ้นปีเผลอๆ ยังแอบให้บำเหน็จ 2 ขั้นอีกด้วยซ้ำไปส่วนข้าราชการดีๆ ที่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ ทำงานให้หน่วยนั้นอย่าว่าแต่ถึงขั้นเลี่ยงงานเลย เพียงแค่มาทำงานสาย หรือช้าไปเพียง 5 นาทีก็ถูกลงโทษแล้ว นี่หรือความยุติธรรมนี่หรือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

    นอกจากนี้ยังมีคนเลวๆ อีกมากมายที่ส่อให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดแจ้งว่าคดโกงประชาชน โกงกินบ้านกินเมือง ลบหลู่ศาสนาและกระทำตนเป็นมารสังคม ตลอดมา โดยที่หาได้สนใจในเรื่องของทาน ศีล ภาวนาไม่แม้สักน้อยนิด แต่ก็ได้ดิบได้ดีร่ำรวยเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงเกียรติยศ จนเป็นถึงรัฐมนตรีก็มีไม่น้อย

    เมื่อข้าพเจ้าบังเกิดความเคลือบแคลงสงสัยขึ้นมาเช่นนี้ และได้พิจารณาแล้วเห็นว่าหากไม่สามารถคลี่คลายความเคลือบแคลงสงสัยในข้อนี้ได้ ก็จะเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงในการเจริญพระกรรมฐานได้ ดังนั้นในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อแล้วเล่าเรื่องต่างๆ ที่ข้าพเจ้าข้องใจดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นทั้งหมดให้หลวงพ่อฟังแล้วเน้นถามว่า

    “หลวงพ่อครับ คนที่ตั้งหน้าตั้งตากระทำแต่ความดีทำไมจึงไม่ได้ดีเหมือนคนชั่วบางคนเล่าครับ

    “ถ้าคุณเริ่มปลูกต้นมะม่วงในวันนี้ คุณจะเก็บมะม่วงกินได้สักเมื่อใด?” หลวงพ่อย้อนถาม

    “เอ ผมก็ไม่ค่อยจะมีความรู้ในเรื่องของมะม่วง แต่ที่บ้านผมปลูกไว้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี จึงจะออกผลครับ”ข้าพเจ้าตอบ ชักลังเลไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อฟังเรื่องที่ข้าพเจ้าหรือฟังคำถามของข้าพเจ้าหรือเปล่า

    “เอ้อ ตอนปลูกคุณเหนื่อยไหม?” หลวงพ่อถามเรื่อยๆ

    “เหนื่อยสิครับ เพราะดินที่บ้านผมเป็นดินเปรี้ยว ต้องขุดหลุมกว้างถึง 1 เมตร ยาว 1 เมตร ลึก 1 เมตรแล้วหาดินใหม่มาใส่แทนอีกทั้งต้องให้ปุ๋ยและเอาปูนขาวลงไว้รอบๆ หลุมอีกด้วยครับ” ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง

    “ปลูกต้นมะม่วงเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ได้กินผลในทันทีแล้วตอนนี้คุฯต้องคอยดูแลต้นมะม่วงของคุณอีกหรือไม่?” หลวงพ่อยังถามเรื่อยๆ

    “ไม่แล้วครับ ปล่อยทิ้งๆ ขว้างๆ หากเกิดขยันเมื่อไรผมจึงรดน้ำให้บ้าง แต่ก็นานๆทีครับ”ข้าพเจ้าตอบ

    “แล้วมันออกลูกให้คุณกินทุกปีไหม?” หลวงพ่อถามยิ้มๆ

    “ทุกปีแหละครับ มากบ้างน้อยบ้าง สุดแล้วแต่ว่าเพลี้ยจะลงหรือไม่ครับ”ข้าพเจ้าตอบตามความเป็นจริง

    “คุณคิดบ้างไหมว่า ในขณะนี้คนอื่นๆที่เขาเพิ่งเริ่มปลูกมะม่วงน่ะเขาอิจฉาคุณนะ เพราะเขาคิดว่าเขาต้องลงทุนลงแรงเหน็ดเหนื่อยถางหญ้า ขุดหลุม รดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย ฉีดยาฆ่าแมลง เพื่อทำนุบำรุงต้นมะม่วงของเขาอยู่ทุกวี่ทุกวัน มิหนำซ้ำมะม่วงก็หาได้อกผลมาให้เขาได้ชื่นชม เก็บมาได้บ้างเลย ผิดกับคุณซึ่งนั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ มะม่วงของคุณก็ออกผลมาให้คุณกินอยู่ทุกปี มิได้ขาด” หลวงพ่อพูดเรื่อยๆ

    “อ้าว เขาจะมาคิดอิจฉาผมอย่างนั้นก็ไม่ถูกซิครับ เขาน่าจะคิดว่าย้อนกลับไปเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วซิว่า ในขณะที่เขามัวแต่เที่ยวเตรีหาความสุขอยู่นั้นน่ะ ผมต้องงลงทุนลงแรงอาบเหงื่อต่างน้ำมากับเจ้าต้นมะม่วงของผม มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาเลยนะครับ หนอยแน่ พอเริ่มลงมือปลูกก็จะกินผลเลยเป็นไปได้ยังไงกัน ก็ต้องเหนื่อยไปก่อนซิครับ อีก 5-6 ปีโน่นจึงค่อยคิดจะกินมะม่วงที่ปลูก ผมก็เองต้องรอมาก่อนเหมือนกันนะครับ” ข้าพเจ้าตอบด้วยเหตุด้วยผล

    “นี่คุณกำลังตอบคำถามของคุณเอง แทนฉันไปหมดสิ้นแล้วนะ”หลวงพ่อพูดยิ้มๆ และเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังนั่งงงอยู่ก็อธิบายว่า “คนที่เขาร่ำรวยมั่งมีศรีสุข หรือประสบความสำเร็จในอดีตชาตินั่นเอง ดังนั้นเมื่อเขามา

    เกิดในชาตินี้บุญที่เขาได้สร้างสมมา จึงมาตอบสนองให้เขามีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย แต่ถ้าเขาคอบนั่งกินบุญเก่าอยู่ โดยไม่สร้างบุญใหม่เพิ่มเติมในชาตินี้ มิหนำซ้ำกลับสร้างแต่ความชั่ว ดังที่คุณเล่ามาแล้ว ก็นับว่าเขาเหล่านั้นตกอยู่ในความประมาทอย่างมากแบะเป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก เพราะถ้าเมื่อใดบุญเก่าหมด กรรมชั่วจะมาตอบสนองเขาทันที อาจจะได้รับผลกรรมทันตาเห็นในชาติปัจจุบันก็ได้นะ แต่ถ้าบุญกุศลที่เขาสร้างสมมาแต่อดีตมีมากผลของกรรมชั่วแม้จะตามมาตอบสนองไม่ทันในชาตินี้ เขาก็ต้องไปรับกรรมชั่วในชาติหน้า ภพหน้าอยู่ดี หนีไม่พ้นหรอกนะ เหมือนเช่นคุณ ถ้ามัวแต่นั่งนอนรอกินมะม่วงที่คุณลงทุนลงแรงปลูกไว้เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว โดยไม่ยอมรดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย หรือปลูกต้นมะม่วงใหม่เพิ่มเติมแล้ว ผลมะม่วงจากต้นเก่าที่จะออกผลให้คุณก็จะน้อยลงๆและลูกผลก็จะเล็กลงไปทุกทีๆ ในที่สุดสักวันหนึ่ง คุณก็จะไม่มีมะม่วงกินเช่นกันนะ” หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด และเมื่อเห็นข้าพเจ้ายังตั้งใจฟังอยู่ก็พูดต่อว่า

    “มนุษย์และสัตว์โลก ล้วนถูกลิขิตให้เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมจากในอดีตชาติทั้งสิ้น ใครทำกรรมดีมา ก็ได้เกิดมาเสวยสุขและใครทำกรรมชั่วมาก็ต้องชดใช้กรรมชั่วนั้น ๆ หลีกเหลี่ยงไม่ได้ ส่วนเมื่อเกิดมาแล้ว หากผู้ใดสร้างแต่คุณงามความดี ก็จะไปได้รับส่วนกุศลผลบุญตอบสนองเอาในชาติหน้า เหมือนเช่นคนที่เริ่มปลูกมะม่วงในขณะนี้ ก็จะไปได้กินมะม่วงในอีก 5-6 ปีข้างหน้านั่นแหละส่วนผู้ใดแม้ร่ำรวย มั่งมีศรีสุข หากประกอบแต่กรรมชั่วไว้ในชาตินี้ก็จะต้องชดใช้ดรรมชั่วในชาติหน้า เช่นกันนะ ด้วยเหตุนี้ องค์สมเด็จพระศาสดาจึงได้จำแนกผู้คนออกไว้เป็น 4 จำพวกด้วยกันคือ

    1.มาสว่างไปมืด ได้แก่บุคคลประเภทที่คุณได้เล่ามาคือในอดีตชาติสั่งสมบุญเอาไว้มาก พอมาเกิดในชาตินี้ก็มั่งมีศรีสุข และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่มิได้สร้างสมบุญกุศลเพิ่มเติม หรือกระทำแต่ความชั่วในชาตินี้ เมื่อตายไปก็จะต้องไปชดใช้กรรมในอบายภูมิทั้ง 4 คือนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือแม้นหากเกิดเป็นมนุษย์ก็จะยากจนข้นแค้นแสนสาหัสนะ

    2.มามืดไปมืด ได้แก่บุคคลที่เกิดมาชดใช้กรรมชั่วที่ได้กระทำไว้ในอดีตชาติ มิหนำซ้ำเมื่อเกิดมาแล้วกลับกระทำแต่ความชั่วอีก เมื่อตายไปก็จะต้องไปชดใช้ความชั่วในอบายภูมิ สถานเดียว

    3.มามืดไปสว่าง ได้แก่บุคคลที่เกิดมาชดใช้กรรมชั่วที่ได้กระทำมาแล้วในอดีตชาติและแม้เมื่อเกิดมาในชาตินี้ จะมีฐานะความเป็นอยู่ที่ยากจนข้นแค้นแสนสาหัสสักเพียงไร หรือประสบแต่ความผิดหวังล้มเหลว ซ้ำแล้วซ้ำเล่าสักเพียงไหน ก็ตั้งหน้าตั้งตาประกอบแต่คุณงามความดีโดยไม่ท้อถอย เมื่อตายไปก็จักได้ไปเสวยสุขตามกุศลผลบุญที่ได้กระทำนั้น ดังเช่นเจ้าแดงสุนัขของฉันซึ่งถูกรถบรรทุกทรายทับตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดานั่นแหละ จำได้ไหม?

    4.มาสว่างไปสว่าง ได้แก่บุคคลที่ในอดีตชาติสั่งสมบุญไว้มากเมื่อมาเกิดในชาตินี้ก็มั่งมีศรีสุขและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมิหนำซ้ำ กลับตั้งหน้าตั้งตาประกอบแต่คุณงามความดีเพิ่มเติมโดยไม่หยุดยั้ง เมื่อตายไปก็จักไปเสวยสุขในภพที่สูงกว่ามนุษย์นะ หรือแม้นเกิดเป็นมนุษย์ก็จะร่ำรวย มั่งมีศรีสุขยิ่งกว่าเก่า ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานยิ่งกว่าเก่านะ เข้าใจหรือยัง?

    “รวมความว่า ทุกคนเกิดมาเพื่อใช้กรรมเก่าที่ได้กระทำมาแต่อดีตชาติทั้งสิ้น หากทำดีมากก็ได้เสวยสุข หากทำชั่วก็ต้องทนทุกข์ชดใช้กรรมไปส่วนจะกระทำความดีหรือกระทำความชั่วในชาตินี้ ก็ต้องว่ากันในชาติหน้าใช่ไหมครับ?”ข้าพเจ้าเน้นถามเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง

    “ถูกต้องแล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกเสียทั้งหมดทีเดียวนะ เพราะการกระทำชั่วบางอย่าง เป็นบาปมหันต์ อาจต้องรับกรรมชั่วอย่างทันตาเห็นโดยไม่จำเป็นต้องไปรอถึงชาติหน้าก็มี เช่น เถนเทวทัต ถูกธรณีสูบเป็นต้น ขอให้จำไว้นะ ของสูงเช่นพระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี อย่าได้ไปลบลู่ดูหมิ่นเป็นอันขาดนะเพราะเป็นบาปมหันต์รับผลทันตาเห็นในชาตินี้ทันที และแม้ตายแล้วบาปนั้นก็ยังจะติดตามไปถึงชาติหน้าภพหน้าอีกด้วยนะ” หลวงพ่ออธิบายย้ำแล้วพูดต่อว่า
    “ความจริงชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก ตามสถิติแล้ว เขาเฉลี่ยอายุของคนไทยทั่วประเทศก็แค่ 55-60 ปีตายมิใช่หรือ? ดังนั้นถ้าหากเอาเวลาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (สวรรค์ชั้นที่ 2 )มาเทียบคือ 1 วันในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งเท่ากับ 100 ปีของมนุษย์แล้ว ก็จะเห็นได้ชัดว่าในชั่วชีวิตหนึ่ง ๆ ของพวกคุณนั้นมีความหมายนานเพียงแค่ครึ่งวันของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้นเองนะ คราวนี้ถ้าสมมุติว่าคุณหนีมาเที่ยวในโลกมนุษย์เพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้นนะ และถ้าครึ่งวันนี้คุณเอาแต่กอบโกยใฝ่หาแต่ความสุขทุกรูปแบบโดยไม่คำนึงถึงความถูก ความควรหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นมาเป็นของตนก็ดี ผิดลูกผิดเมียเขาก็ดี หรือกล่าววาจาเท็จหลอกหลวงผู้อื่นก็ดี หรือเสพย์สุรายาเมาก่อความเดือนร้อนรบกวน คุณก็จะต้องรับผลแห่งกรรมชั่วที่คุณได้กระทำอีกไม่รู้กี่กัลป์ กี่ภพ กี่ชาตินะ เปรียบเสมือนเช่นในวันรับเงินเดือนหากคุณนำเงินนั้นไปเที่ยวเตร่ หาความสนุกสนานอย่างเต็มที่ด้วยการตั้งวงเสพย์สุรา เที่ยวบาร์ เที่ยวคลับ เล่นการพนันหรือหลับนอนกับหญิงโสเภณี จนเงินเดือนหมด คุณก็สนุกของคุณอยู่แค่วันเดียวนะแต่อีก 29 วันที่เหลือคุณจะต้องเกิดทุกข์ใช่ไหม? แต่ในทางตรงกันข้ามหากคุณเวลาครึ่งวันนี้ ตั้งหน้าปฏิบัติแต่คุณงามความดีโดยไม่ท้อถอยแม้จะยากดีมีจนประสพแต่ความทุกข์เข็ญปานใดก็ยึดมั่นในทาน ศีล ภาวนา ให้ได้ตลอดไปแล้วคุณก็จะได้เสวยผลแห่งกรรมดีอีกหลายภพหลายชาติ เช่นกันนะ ในขณะนี้คุณก็โชคดีแล้วที่เกิดมาเป็นมนุษย์ดังนั้นจงใช้ระยะเวลาอันสั้นของชีวิตนี้ ประกอบแต่กุศล ผลบุญเถิด” หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด

    “หลวงพ่อครับ สมมติว่า หากผมได้สร้างกรรมชั่วมาแต่อดีตและเมื่อได้เกิดในชาตินี้ ผมก็จะรีบบวชทันทีเมื่อมีอายุครบบวชแล้วเร่งปฏิบัติแต่คุณงามความดี ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาอย่างครบถ้วนโดยมิได้ขาดตกบกพร่องเลย ผมยังจะต้องชดใช้กรรมชั่วที่ได้กระทำมาแต่ในอดีตชาติอีกหรือไม่ครับ? ข้าพเจ้าถาม เพรายังติดใจสงสัยอยู่

    “ถ้าคุณไปหยิบยืมเงินจากคนอื่นเขามาสัก 10 รายแต่ยังไม่สามารถจะหาเงินมาใช้หนี้ให้เขาได้เลยสักรายเดียว แล้วคุณใช้วิธีทำดีกับเขาด้วยวิธีอื่นในทุกวิถีทางเช่นคอยรับใช้ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกต่างๆ ให้เขาและลูกเมียที่เขารักบ้าง เอาอกเอาใจเขาด้วยการขวนขวายหาสิ่งของที่เขารัก เขาชอบโดนคุณไม่ต้องใช้เงินใช้ทองมากมายนักมาให้บ้างหรือเอาตัวคุณเข้าเสี่ยงภัยปกป้องคุ้มครองเขาบ้าง คุณคิดว่าเจ้าหนี้ทั้ง 10 รายของคุณนั้นเขาจะเห็นอกเห็นใจ เห็นในคุณงามความดีของคุณแล้วยอมยกหนี้สินทั้งหมดให้คุณโดยที่คุณไม่ต้องหาเงินมาชดใช้เขาเลยหรือไม่ล่ะ? หลวงพ่อย้อนถามยิ้มๆ เล่นเอาข้าพเจ้าต้องคิดหนักสักครู่หนึ่งจึงตอบไปว่า

    “ก็คงมีเจ้าหนี้บางรายแหละครับที่มีจิตใจเมตตากรุณาแล้วเห็นในคุณงามความดีของผมบ้าง แล้วยอมยกหนี้สินให้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ผมไปยืมเขามาว่ามากน้อยแค่ไหนด้วย ส่วนบรรดาเจ้าหนี้บางรายที่ทั้งงก ทั้งหน้าเลือด แล้วผมคิดว่าแม้ผมจะทำดีกับเขาสักเพียงไรเขาก็คงไม่ยกหนี้สินให้ผมหรอกครับ คงต้องตามทวงเช้าทวงเย็นเอาเงินของเขาคืนจากผมให้ได้”

    “เออ ตอบตรงดีนี่” หลวงพ่อชมแล้วพูดต่อว่า”บรรดาเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่คุณไปก่อกรรมทำเข็ญกับเขาไว้ในอดีตชาติ ก็เหมือนเจ้าหนีที่คุณพูดมานั่นแหละ แม้คุณจะถือบวชบำเพ็ญทาน ศีลภาวนา แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เขาอยู่ดี มีสุขขึ้นก็ตามที เจ้ากรรมนายเวรบางรายที่เขารู้คุณ เขาก็อาจอภัยไม่คิดตามทวงหนี้กรรมจากคุณอีก แต่เจ้ากรรมนายเวรบางรายแม้คุณจะทำดีสักปานใดเขาก็ยังผูกพยาบาท อาฆาตจองเวรกับคุณ ติดตามจองล้างจองผลาญคุณไม่รู้จบสิ้นก็มีนะ แม้ตามทวงหนี้กรรมจากคุณไม่ได้ในชาตินี้ เขาก็จะติดตามทวงหนี้กรรมจากคุณต่อไปในชาติหน้า ภพหน้าไม่มีสิ้นสุดยิ่งคุณไปก่อบาปมหันต์ด้วยการลบหลู่ดูหมิ่นหรือกระทำความชั่วร้ายต่อพระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี บิดา มารดาก็ดี ครูบาอาจารย์ตลอดจนผู้มีพระคุณทั้งหลาย แม้ท่านจะให้อภัยก็ตามแต่กฎแห่งกรรมจะไม่มีการอภัยให้เป็นอันขาดนะคุณต้องชดใช้กรรมชั่วที่คุณได้กระทำมาอย่างแน่นอน หลบเลี่ยงไม่ได้เลยนะ แม้แต่พระโมคคัลลาน์ ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้าซึ่งได้รับสมญาว่า “เลิศด้วยอิทธิฤทธิ์” ท่านก็ยังต้องชดใช้กรรมที่ได้ก่อมาแล้วในอดีต โดยยอมให้โจรทุบตาย ในชาติสุดท้ายนั่นเอง” หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียดและกระจ่างชัดเจนยิ่งนัก

    ข้าพเจ้ากราบลาหลวงพ่อกลับบ้าน ด้วยจิตที่ปลอดโปร่งความเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องของกรรมดี กรรมชั่วหมดไปโดยสิ้นเชิงอีกทั้งเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าได้ประสบพบเห็นในกาลต่อมาก็ยิ่งประจักษ์ชัดในจิตให้เห็นถึงผลแห่งกรรมยิ่งขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าจะหยิบยกมาเล่า
     
  13. ตาหมู

    ตาหมู สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +6
    กราบนมัสการพระทุกรูปและขอกล่าวคำว่าสวัสดีเพื่อนๆสมาชิกทุกๆท่าน ผมพึ่งจะสมัครเป็นสมาชิกเมื่อ 10 นาทีที่ผ่านมานี่เอง ตอนนี้มีปัญหาเข้ามาหลายเรื่องอยากหาทางสงบ ไม่ทราบว่าสมาชิกท่านใดมีข้อแนะนำอะไรบ้าง ตอนนี้ก้อสวดมนต์ทุกคืน เวลานั่งสมธิจิตใจไม่สงบใครมีวิธีที่ทำให้จิตใจสงบบ้างโปรดช่วยแนะนำด้วย muu030908@thaimail.com ขอขอบพระคุณ
     
  14. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    น้อง xorce พอแนะนำได้ครับผม ลองถามในกระทู้เลยก็ได้ครับ
     
  15. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    คุณตาหมูคะ...

    ถ้าจิตยังกระสับกระส่าย วุ่นวายด้วยปัญหาร้อยแปดพันเก้าอยู่... ลองมาปฏิบัติตามนี้ดูดีไหมคะ...

    การจับลมสบาย
    หมายถึง - อาการที่ร่างกายของเรามีลมหายใจที่ละเอียด เบา โล่งที่สุด
    ในขณะที่จิตของเราก็จะ นิ่ง เบา สบาย ปลอดโปร่งที่สุดเช่นกัน...

    การจับลมสบาย เป็นผลมาจากการที่เราฝึกสังเกตลมหายใจตามฐานต่างๆ ซึ่งเรียกกันว่า การฝึกอานาปานสติ (เบื้องต้น) ในที่นี่จะขอแนะนำเพียง 3 ฐานเท่านั้น...

    ๑. การจับลมหายใจ ๑ ฐาน (ปลายจมูก)

    สำหรับผู้ที่เริ่มฝึกใหม่ ให้ท่านนั่งสบายๆ อย่าเครียด อย่าเกร็ง ปล่อยลมหายใจตามสบาย คอยดูลมหายใจ เข้า - ออก (อย่าบังคับลมหายใจให้ เข้า - ออก ตามที่เราต้องการ) เมื่อหายใจ เข้า ภาวนา "พุท" เมื่อหายใจ ออก ภาวนา "โธ" วางอารมณ์ใจเบาๆ สบายๆ ไม่ต้องอยากรู้ อยากเห็น หรือคาดหวังใดๆ ทั้งสิ้น ให้เป็นเพียง "ผู้ดู" เพียงอย่างเดียว

    ดูลมหายใจที่กระทบตรงปลายจมูก (สำหรับบางท่าน ลมจะกระทบตรงริมฝีปากบน) ตามดูลมจนใจเบา สบาย รู้สึกโล่ง โปร่ง ไม่ว่าจะเกิดอาการอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แสง สี หรือนิมิตใดๆ ไม่ต้องสนใจ สิ่งที่ต้องทำเพียงอย่างเดียว คือ ดูตรงจุดที่ลมกระทบ ถ้าคำภาวนาจะหายไปก็ไม่เป็นไร ปล่อยคำภาวนาทิ้งไป ไม่ต้องกังวล

    เมื่อทำได้แล้วให้อธิษฐานว่า
    "ขอให้ข้าพเจ้าได้ และเข้าถึง ซึ่งอานาปานสติ ลมหนึ่งฐานนี้ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ ทุกชาติไป นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"



    ๒. การจับลมหายใจ ๓ ฐาน (ปลายจมูก หน้าอก ท้อง)

    วิธีการปฏิบัติเหมือนการจับลม ๑ ฐาน เพียงแต่คราวนี้เราใช้จิตสังเกตุจับดูลมหายใจ...
    - ที่ผ่านปลายจมูก ไหลเรื่อยมากระทบตรงหน้าอก แล้วไปสุดที่ท้อง เวลาหายใจเข้า พร้อมกับภาวนา "พุท"
    - เมื่อหายใจออก ให้ตามดูลมที่เคลื่อนที่ย้อนกลับขึ้นมา จากท้อง มายังอก แล้วผ่านปลายจมูกออกไป พร้อมกับภาวนา "โธ"... ทำจนจิตเบาสบาย

    เมื่อทำได้แล้วให้อธิษฐานว่า
    "ขอให้ข้าพเจ้าได้ และเข้าถึง ซึ่งอานาปานสติ ลมสามฐานนี้ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ ทุกชาติไป นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"



    ๓. การจับลมหายใจตลอดสาย

    เมื่อผ่านการจับลมสามฐานมาจนชำนาญสักระยะ... จิตจะเริ่มเห็นว่าแท้ที่จริงแล้ว ลมหายใจของเรามีการไหลผ่าน เข้า - ออก เป็นสาย (คล้ายสายน้ำไหล) และอาการที่เราเคยจดจ้องกับฐานทั้งสามนั้นจะค่อยๆ เบาลงๆ เป็นการเห็นแค่เพียงลมไหลผ่านไปเท่านั้น...

    ให้ตามดูลมที่ไหลพลิ้วผ่านเหมือนเส้นไหม หรือสายน้ำนั้นไปเรื่อยๆ ทั้งเข้าและออก จนใจสบาย เบา โล่ง โปร่ง

    เมื่อทำได้แล้วให้อธิษฐานว่า
    "ขอให้ข้าพเจ้าได้ และเข้าถึง ซึ่งอานาปานสติ ลมปราณตลอดสายนี้ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ ทุกชาติไป นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"



    การฝึกจับลมอานาปานสตินี้ ขอให้ทุกท่านพยายามทำในอิริยาบถทั้งสี่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน... หรือถ้าท่านใดใช้ฝึกจับลมขณะที่กำลังออกกำลังกายได้จะยิ่งเป็นการดีมาก เพราะสมาธิจะคงตัว ไม่เสื่อมง่ายๆ อีกทั้งเวลาที่ใช้งานจริง เราต้องทำให้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ทุกอิริยาบถ ทั้งหลับตา ลืมตา ไม่ต้องตั้งท่าหลับตานั่งทำสมาธิเพียงอย่างเดียว... เพราะในยามคับขันจะเข้าสมาธิไม่ทัน...

    ส่วนสาเหตุที่ต้องนำอธิษฐานกำกับไว้ทุกครั้งนั้นก็เพื่อเป็นการ "ปักหมุด" จารึกไว้ในจิตให้ติดตัวไปทุกภพทุกชาติ... ถ้าไม่มีการอธิษฐานกำกับแล้ว ถึงแม้เราจะเป็นพุทธภูมิที่บำเพ็ญบารมีมามากมายก็เถอะ แต่วิชชาที่เคยได้ในอดีตชาติกลับไม่สามารถมารวมตัวกันได้ในชาตินี้ เพราะไม่ได้ตั้งจิตอธิษฐานกำกับเอาไว้เพื่อนำกลับมาใช้ต่อไปนั่นเอง...

    อาการที่อาจเกิดขึ้นเมื่อจับลมแต่ละฐาน

    - ลมหนึ่งฐาน
    ... สำหรับบางท่านลมหายใจจะนิ่ง เบา สบาย ลมหายใจจะทิ้งช่วงนานขึ้น อารมณใจเบาสบาย
    ... ในขณะที่บางท่านอาจรู้สึกว่ามีช่องว่างระหว่าง พุท - โธ (ลมเข้า - ออก) กว้างมากเกินไป ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จิตฟุ้งซ่านได้ง่าย... ขอให้ลองพยายามตั้งใจ (แต่ไม่ใช่เกร็ง หรือไปบังคับลมหายใจ) ตั้งสติดูจิตที่ลมกระทบให้แน่วแน่... แต่ถ้าซัดซ่ายจริงๆ ให้จับลมสามฐานแทน... จิตจะแนบกับลมหายได้มากกว่า

    - ลมสามฐาน
    ... บางท่านจิตจะรัดตัวขึ้น สติตามลมได้กระชับขึ้น แต่จะมีอาการสะดุดของจิตในจุดกระทบของลมแต่ละฐาน... แต่จิตจะตัดความสนใจภายนอกได้มากกว่า และดีกว่าการจับลมหนึ่งฐาน เนื่องจากต้องใช้อารมณ์ที่ตั้งมั่น และใช้กำลังใจในการจับลมมากกว่านั่นเอง
    ... สำหรับบางท่านเมื่อจับๆ ไป อาจจับลมได้เพียงแค่สองฐาน ก็ไม่เป็นไร ขอให้ทำต่อไปเรื่อยๆ จิตก็จะค่อยๆ เบาสบายขึ้นเอง

    - ลมตลอดสาย
    ... จิตจะมีความเพลิดเพลินกับลมหายใจมากกว่าสองวิธีแรก ลมหายใจจะละเอียด ประณีต เบา สบาย เรียบเนียนมากกว่าด้วย


    ค่อยๆ ทำตามไปตั้งแต่ลมฐานแรกดูดีไหมคะ... ถ้าหลุด จิตฟุ้งซ่าน แล้วรู้ตัวเมื่อไหร่ ให้รีบดึงสติมาดูลมหายใจใหม่ค่ะ...

    เมื่อจับลมที่กระทบจมูกได้พอสบายๆ แล้ว ค่อยตามดูลมกระทบสามฐานค่ะ...
    แล้วค่อยเป็นตลอดสาย...

    ได้ผลอย่างไรช่วยกลับมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังบ้างนะคะ...

    ด้วยกุศลผลบุญที่คุณสนใจอยากจะปฏิบัติธรรมนี้... ขอจงมารวมตัวกัน แล้วส่งผลให้ปัญหา อุปสรรค และ ความขุ่นข้องหมองใจทั้งหลายที่อยู่ในดวงจิตของคุณ คลายตัวลง และสลายตัวลงเป็นอนัตตาในที่สุดค่ะ
     
  16. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ขอบคุณคุณ dearest guardian ค่ะที่เมตตา ไม่ต้องขอขมาเลยนะคะ
    กลัวว่าถ้าไม่เจาะจงอาจไม่มีคนตอบน่ะค่ะ
    เดี๋ยวจะอ่านทวนอีกครั้งช้าๆเพื่อย่อยสาระค่ะ อนุโมทนาบุญค่ะ

    อยากอ่านต่อน่ะค่ะ เห้นว่าท่านเขียนอีก พอจะแจ้งลิ้งค์ได้ไหมคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2008
  17. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    สวัสดีค่ะทุกๆคน...

    เมื่อวานนี้... ตั้งใจเอาไว้ว่าจะแนะนำการปฏิบัติธรรมต่อจนถึงการแผ่เมตตาอัปปมาณฌาน... แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ กลับมีภาวการณ์ที่เราควบคุมไม่ได้แทรกเข้ามา...

    จึงมานั่งพิจารณาว่า ไม่มีอะไรเลยหนอที่เที่ยงแท้...

    แม้แต่ความตั้งใจของเราเอง ในหลายๆ ครั้ง หลายๆ กรณี เราก็ทำตามนั้นไม่ได้... ไม่ว่า ณ ขณะนั้นเราตั้งใจที่จะกระทำอะไรอยู่ หรือกำลังกระทำอะไรอยู่ก็ตาม...

    แล้วถ้าเราตายลงไปอย่างปัจจุบันทันด่วนล่ะ... ภาระหน้าที่ที่เราต้องกระทำอย่างหนักมาทั้งชีวิต มันก็จบลง ณ ตรงช่วงเวลานั้นเช่นกัน ไม่ว่ามันจะเสร็จหรือไม่ก็ตาม...

    แต่สำหรับดวงจิตทุกดวงจิตที่ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด อย่างไม่รู้จบรู้สิ้นนั้น... เป็นเพียงเพราะดวงจิตทั้งหลายนั้น... ไม่ยอมให้ภาระหน้าที่ทั้งหลายนั้นจบลงตามที่มันเป็นจริง... ยังคงพยายามหน่วงเหนี่ยว ยื้อยุดฉุดกระชากสิ่งที่เชื่อมั่นว่าเป็นภาระหน้าที่ ที่ต้องทำให้เสร็จนั้นเอาไว้สุดกำลังแรง... ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม... เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในมโนสำนึกของแต่ละชีวิต ในแต่ละภพชาตินั้นล้วนถูกบันทึกไว้จนหมดสิ้นภายในดวงจิตแต่ละดวง...

    เพราะภาระหน้าที่ที่เอ่ยถึงนี้ มิใช่แค่หน้าที่การงาน หรือกิจกรรมที่แต่ละชีวิตกำลังกระทำอยู่... แต่รวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่แต่ละดวงจิตได้รับรู้ ผ่านทางอายตนะทั้ง 6 (อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)...

    ถ้า... เพียงแค่ถ้าเท่านั้นนะคะ... ถ้าเรายอมให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันจบอย่างที่มันควรจะเป็น... จิตของเราจะเบา สบาย โล่ง โปร่ง... และขึ้นสู่พระนิพพานได้ในทันที...

    สมดังคำที่ว่า... พระวิสุทธิเทพ หรือพระอรหันตเจ้า แต่ละพระองค์นั้น ท่านทรงจบกิจแล้ว... ไม่มีสิ่งใดเหลือค้างให้ต้องกระทำอีกต่อไปแล้ว...

    สาธุ สาธุ สาธุ...


    นอกจากการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวแล้ว...

    ในช่วง 2 - 3 วันที่ผ่านมานี้... โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้เกือบตลอดทั้งวัน... มีอารมณ์ ของอาการเบื่อเกิดขึ้น... แต่เป็นความเบื่อที่แตกต่างจากความเบื่อที่เคยรู้สึกมา...

    เบื่อในครั้งนี้... เป็นความเบื่อที่สงบ สงัด ไม่มีอาการทุรนทุราย หงุดหงิดรำคาญใจแต่อย่างใด... เป็นความเบื่อ ที่ดวงจิตแยกออกมาต่างหาก และมองกลับเข้าไปดูที่ความเบื่อนั้นได้อย่างชัดเจน...

    และเมื่อใช้การพิจารณาเข้ามาช่วย... ทำให้พบคำตอบได้ว่า... อาการที่เบื่อนั้น มิใช่เป็นการเบื่อแค่สถานการณ์ คน ชีวิต สังขารร่างกาย หรือสิ่งอื่นใด... แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันคือความว่างเปล่า... มิใช่ว่างในรูปแบบของอรูปฌานที่ 4... เป็นความว่างที่ถ้าไม่ใช้กำลังแห่งการพิจารณาเข้ามากำกับให้ดี...
    คงหาเหตุผลของการที่จะยังต้องดำรงธาตุขันธ์ต่อไปไม่ได้...

    แต่จิตก็รู้ว่า... อาการเบื่อนี้ยังเป็นแค่ฌานโลกีย์... เป็นแค่ตัวอย่างของอารมณ์ระดับต้นๆของการเบื่อจริงเท่านั้น... ความรู้สึกที่เกิดขึ้นย่อมมีการคลายตัวลงในที่สุด...

    ดังนั้นทำให้ยิ่งย้ำชัดว่า... ตราบใดที่ยังไม่ก้าวล้ำผ่านเข้าสู่โลกุตรภูมิ... ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้จริงๆ...

    ด้วยพระบารมีแห่งองค์พระรัตนตรัย และกุศลผลบุญที่บังเกิดขึ้นนี้... ขอได้โปรดมารวมตัวกันและส่งผลให้ทุกๆ ท่าน เป็นสัมมาทิฐิ... มีดวงตาเห็นธรรม... เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป... เข้าถึงที่สุดแห่งธรรมโดยฉับพลัน... และมีพระนิพพานเป็นหลักชัยโดยถ้วนทั่วกันด้วยเทอญ
     
  18. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    อนุโมทนากับความก้าวหน้าเพิ่มเติมของคุณธรค่ะ (ก่อนหน้านี้ก็มีมากแล้ว)
     
  19. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    นำข้อธรรมดีๆมาฝากค่ะ
    มีเทวดา ถามพระพุทธเจ้าว่า พระสมณโคดม สิ่งทั้งปวงอยู่ธรรมอันใด พระพุทธเจ้าบอกว่า

    "โลกอันจิตนำไปอยู่ เป็นไปตามจิต สิ่งทั้งปวงตกอยู่ในอำนาจแห่งธรรมอันเดียวคือจิต"


    จิตเป็นตัวกระทำ ตัวสร้าง ตัวเก็บข้อมูล ตัวประมวลผล จิตสร้างโลกให้เป็นไปจริงๆค่ะ
    คำตอบนี้ ถ้าไม่ใช่พระบรมสุคต จะมีใครตอบได้ไหมค่ะ(หาหนวดเต่าไปเหอะ)
    พุทโธ อัปปมาโน



    เอาไฟล์หนังสือ สู่แสงธรรม มาฝากค่ะ

    ขอถือโอกาสอนุโมทนาบุญกับอาจารย์สุธาทิพย์และทุกท่านในทุกบุญทุกหยดอยาดของกุศลจิตล้วนๆที่เกิดในทุกขณะด้วยค่ะ

    สู่แสงธรรมที่เซฟมาให้อ่านพอดีก้อปไว้เป็นtext file นะค่ะ อาจไม่เรียงตามหน้าหนังสือค่ะ หรือ หาอ่านได้จากดีวีดี หลวงพ่อฤๅษีที่เวปพลังจิตแจกๆไปนะค่ะ

    อาจารย์ค่ะ อย่าใช้คำว่าเมตตากับข้าพเจ้าเลยนะค่ะ มันดูสูงเกินไปสำหรับการใช้กับผู้น้อยอย่างข้าพเจ้า เรียกว่ามีน้ำใจดีกว่าค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    เมื่อวาน วันพุธ ในวิชาศาสนา
    อาจารย์ที่ประจำวิชาให้ผมออกมาสอนแทน
    เอ้าก็เข้าทาง อิอิ
    เลยอธิบายเรื่องภพภูมิ แล้วต่อเรื่องมรรค8
    พอมรรค8มาข้อสัมมาสมาธิปุ้ป
    ผมก็สอนลมสบาย กับเมตตาอัปปนาณฌาณ
    ด้วยความที่อาจารย์เขาเป็นคนที่มีเมตตาอยู่แล้ว จึงทำได้ผลดีมาก
    ทำให้เขาพอใจมาก ก็เลยจะจัดคอร์สสมาธิให้ผมสอน
    ทำให้งานก้าวหน้าขึ้นอีกระดับหนึ่ง เพราะว่าจะได้สอนกลุ่มเด็กๆอย่างจริงจัง
    แต่ว่าเด็กสมัยนี้ก็ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ โดนฟอกย้อมมาไม่ต่างกัน
    ทั้งกินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวผู้หญิง มีอีกเยอะ เละเทะสุดๆ
    แถมยังมีศาสนาอื่นๆด้วย
    คิดว่าผมคงจะต้องเจออุปสรรคอีกมาก แต่ว่าก็จะพยายามสอนให้ได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
    ผมรู้สึกว่านี่เป็นบททดสอบครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว
    เพราะว่าจะต้องโดนกระทบกระทั่งอีกเยอะ แถมยังมีตัวฟูอีก
    ตัวฟูนี่หน้ากลัวมากๆ ฟูมากๆจะลงนรก เพราะฉะนั้นมาช่วยกันดี จะดีกว่า ดีอยู่คนเดียว
    แต่ว่าหากผมยึดครูบาอาจารย์เอาไว้ตลอดเวลาก็คงจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 เมษายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...