วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kowmoo

    kowmoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,896
    น้องซันพี่ส่งเอกสารไปให้แล้ว ไม่ทราบได้รับหรือยังคะ
     
  2. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    ค่ะ อารมณ์โกรธดิฉันก็เป็นเหมือนกันบังเอิญได้เจอ ไฟล์หนึ่งเป็นการสอนของคุณ kananun เรื่องการทำสมาธิแบบแผ่เมตตาซึ่งได้ก้อบมาใส่เอ็มพีสามเวลาทำงานไป ก็ฟังไปทำงานไปด้วย ยิ่งรู้สึกว่าอารมณ์เมตตาของตัวเอง ทำไมมันยิ่งแห้งลงๆๆ แล้วอารมณ์ขี้โมโหมันก็มีเป็นระยะๆ..เวลาที่เกิดอารมณ์นี้ขึ้นมาแบบ โมโหมาก ดิฉันจะเปิดเสียงพี่เค้าขึ้นมาเลย..แล้วท่องไว้ว่า เราจะไม่มีหลุมดำในอารมณ์..พยายามขุดความรักความเมตตาขึ้นมา หามันให้พบ..ที่เขียนมานี่คงยังทำไม่ได้ดีซักเท่าไร..แต่ก็อยากแชร์ประสบการณ์ด้วยคนน่ะค่ะ..แต่ถ้าคุณkananun มีการสอนที่ไหนอีกก็อย่าลืมเอามาลงในนี้อีกนะคะ...ถึงดิฉันจะไปฝึกสมาธิด้วยไม่ได้ แต่ก็จะทำตามที่สอนค่ะ..พอทำแล้วถึงได้รู้ว่าอ้อ เป็นอย่างงี้นี่เอง..และคำตอบของแต่ละท่านดิฉันก็ขอถือว่าเป็นคำสอนนะคะ..ขออนุญาติเอาไปใช้ด้วยคนค่ะ....อยากได้อารมณ์แบบใครด่าด่าไป ใครโกรธโกรธไป ตัวเราไม่มีอารมณ์ใดๆมาทำให้ใจกระตุกอ่ะค่ะ..ไม่รู้เค้าเรียกว่าอะไร
     
  3. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    โกรธ โกรธ โกรธ
    ไม่รู้โกรธอะไร

    บ่ายนี้พ่อบ้านบอกว่าไม่มีอะไรทำ ลงไปเดินเล่นแถวบ้าน ไม่เอากุญแจไปด้วย
    รู้ว่าลูกต้องไปธุระข้างนอกเรื่องสำัคัญ
    โทรหาแล้วไม่รับสาย
    ลูกต้องไปธุระ พ่อยังไม่่กลับบ้าน เลยต้องทิ้งบ้านไ่ม่ล็อกกุญแจแล้วออกไป
    โทรเจอตัวทีหลัง ถามเรื่องโทรศัพท์บอกไม่ได้ยิน (ทั้งที่อยู่กับตัวตลอดเวลา)

    ฝนตกหนัก พ่อบ้านกลับมาแล้วอยู่บ้านคนเดียวเฉยๆ มีผ้าตากที่ระเบียงก็ไม่่คิดจะเก็บ
    กลับมาถึง ประตูตู้เย็นแง้มอยู่หนึ่งนิ้ว
    คนเปิดทิ้งไว้ไม่รู้เรื่องเลย

    ถามว่านี่จะไปทำงานต่างเมืองคนเดียวได้หรือ เขาบอกเขาไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย
    แถมหันมาถามว่าเราไปโกรธอะไรใครมา

    ปรุงเอง โกรธเอง กลัวเอง ทุกข์เอง
    ถ้ารู้อย่างนี้ก่อนหน้านี้จะแต่งงานเพื่อแบกไว้ไหมนี่
     
  4. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    วิธีเอาชนะความโกรธ
    <!-- Main -->[SIZE=-1]คัดลอกมาอีกที ครับ

    วิธีเอาชนะความโกรธ
    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

    1.ให้นึกถึงผลเสียของคนมักโกรธ

    พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า คนที่โกรธคนอื่นนับว่าเป็นคนเลวอยู่แล้ว แต่ใครโกรธตอบเขากลับเป็นคนเลวกว่า พระองค์ทรงสรรเสริญเมตตา ความรักและความปรารถนาดีต่อกัน ถ้าเรามัวเป็นคนมักโกรธ ไม่รู้จักเมตตารักใคร่คนอื่นบ้างเลย จะนับว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร

    เวลาเขาโกรธเรามา เราไม่โกรธตอบ นับว่าเป็นผู้เอาชนะใจคนได้ เอาชนะสงครามที่ชนะได้แสนยากและยิ่งรู้ว่าเขาโกรธและ ขุ่นเคืองเรา เราไม่แสดงอาการโกรธและขุ่นเคืองออกมา นับว่าได้ทำประโยชน์ทั้งสองฝ่ายคือ ทั้งแก่ตนเองและแก่คนที่โกรธเรา(การทะเลาะเบาะแว้ง หรือลงไม้ลงมือประหัตประหารกันก็จะไม่เกิดเพราะเราตัดไฟแต่ต้นลม)


    2.ให้พิจารณาโทษของความโกรธ

    คนเราเวลาไม่โกรธก็ดูดี ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่พอโกรธขึ้นมาก็กลายเป็นคนละคน หน้าตาจะบูดเบี้ยวแดงก่ำ บางคนมือไม้สั่นยังกับเจ้าเข้า เต้นแรงเต้นกา ปากก็กล่าวคำหยาบ ไม่รู้ไปสรรค์หาคำด่ามาจากไหน ไม่มีความสง่า สวยงามเหลือแม้แต่นิดเดียว เรียกว่าเป็นนางฟ้าอยู่หยกๆ กลายเป็นนังยักษ์ขมูขีทันที

    หรือถ้าจะให้ชัดเวลาที่เราโกรธ ลองส่องกระจกดูก็แล้วกัน หน้าที่ที่สวยงามยิ้มแย้มแจ่มใส มีเสน่ห์น่ารักนั้น ไม่รู้มันหายไปไหนกลายเป็นหน้ายักษ์หน้ามาร น่าเกลียดน่าชัง เมื่อพิจารณาเห็นความน่าเกลียดน่ากลัวของตนเองอย่างน ี้แล้ว ความโกรธที่มีมาก็อาจหายไปได้


    3.นึกถึงความดีของคนที่เราโกรธ

    เวลาเราโกรธใครส่วนมากก็ขุดเอาแต่เรื้องที่ไม่ดีมาด่ าว่า ทีนี้ลองพยายามคิดถึงความดีของเขาดูสิ ว่าเขามีดีอะไรบ้าง เพราะตามธรรมดานั้น คนเราย่อมมีดีและไม่ดีเหมือนๆ กันต่างแต่ว่าใครจะดีมากดีน้อยเท่านั้น ไม่มีใครดอกที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์หรือชั่วร้อยเปอร์เซ ็นต์ เพราะฉะนั้น ถ้าใครมาทำให้เราโกรธไม่พอใจ นั่นเป็นจุดที่ไม่ดีของเขา เราก็ไม่ควรมองแต่จุดนั้น ลองหันไปดูจุดดีของเขาบ้าง เมื่อมองหาจุดดีก็อาจประหลาดใจว่า แท้ที่จริงแล้วเขามีความดีมากมาย "เขามีความไม่ดีบ้างก็ช่างเขา..." อะไรประมาณนั้น

    นึกได้อย่างนี้แล้วความโกรธที่มีอยู่อาจหายไปได้


    4.ความโกรธทำให้ศัตรูสมใจ

    นอกจากทำให้ตัวเองทุกข์แล้วยังสาสมใจศัตรูด้วย เวลาถูกความโกรธครอบงำ จิตใจเรามักร้อนรุ่มยังกับหอบกองไฟลุกโชนไว้ในอก หาความสุขไม่ได้ ที่สำคัญคือเรากำลังทำตนให้เป็นที่สะใจแก่ศัตรูผู้มุ ่งร้ายแก่เรา โดยที่เขามิได้ลงทุนเลย เราทำให้เขาแท้ๆ

    คนที่ไม่ชอบเรา เขามักคิดภาวนาในใจ(พูดให้ชัดคือสาปแช่ง) ว่า "เจ้าประคุณ ขอให้ไอ้/อี...มันพินาศฉิบหายในเร็ววันเถิด" ถ้าเราเป็นคนมักโกรธ ก็เท่ากับเรากระทำการต่างๆ เข้าทางศัตรู โดยที่เขาไม่ต้องเสียแรงเสียเวลามาทำให้เราเลย

    ให้สอนตนเสมอว่า "คนอื่นอยากให้เจ้าโกรธ จึงแกล้งทำสิ่งไม่ถูกใจให้เจ้า แล้วไฉนเจ้าจึงช่วยให้เขาสมปรารถนา ด้วยการปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นเล่า"

    " เวลาเจ้าโกรธขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถทำทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่เขา มิหนำซ้ำ เจ้าได้ทำร้ายตัวเองเข้าแล้ว ด้วยความทุกข์เพราะความโกรธนั้น"


    5.พิจารณาความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน

    ให้คิดว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน ต่างก็จะได้รับผลแห่งกรรมที่ตนทำ เราโกรธเขา แสดงว่าเราได้ทำอกุศลคือกรรมชั่ว กรรมชั่วที่เราทำลงไปมันก็จะมีผลร้าย ก่อความเสียหายขึ้น เราก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น ดุจเอามือทั้งสองกอบถ่านที่ลุกโชน มือทั้งสองของเราก็ไหม้เอง หรือดุจเอามือกอบอุจจาระไปโปะคนอื่น ตัวนั้นแหละย่อมเปรอะอุจาระก่อน

    เมื่อพิจารณาเห็นว่าทุกคนต่างก็มีกรรมเป็นของตนเช่นนี้ ี้ก็จะเห็นในฝ่ายเขาเช่นเดียวกันว่า ถ้าเขาโกรธเขาก็ได้ทำกรรมไม่ดี และจะได้รับผลแห่งกรรมไม่ดีเช่นเดียวกัน เมื่อต่างคนต่างมีกรรมเป็นของตน เก็บเกี่ยวผลแห่งกรรมของตนอยู่แล้ว เรื่องอะไรมามัววุ่นวายโกรธกันอยู่ทำไม ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่กรรมดีมิดีกว่าหรือ


    6.พิจารณาพระจริยวัตรของพระพุทธเจ้า

    พระจริยวัตรของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าพิจารณาจากช่วงไหน ก็จะเห็นชัดเหมือนกันว่า พระองค์ทรงมีเมตตา ไม่โกรธใคร ขณะทรงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ก็ทรงเอาความดีชนะความชั่วตลอดมา แม้จะถูกกลั่นแกล้งโดยผู้ไม่ปรารถนาดี ก็ไม่ถือโทษ ดังเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นภูริทัต จะถูกศัตรูทรมานอย่างไรก็ไม่โกรธไม่ทำร้ายตอบ ทั้งๆ ที่อยู่ในฐานะจะทำได้

    เมื่อพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ถูกเทวทัตจองล้างจองผลาญต่างๆ นานา ขนาดกลิ้งก้อนหินหมายประหารชีวิตพระองค์ แต่ก้อนหินปะทะง่อนผา สะเก็ดหินกระเด็นไปต้องพระบาท ได้รับทุกขเวทนาอย่างกล้า อีกครั้งหนึ่งสั่งให้ปล่อยช้างตกมันเพื่อทำร้ายพระพุ ทธองค์ถึงแก่ชีวิต ขณะเสด็จออกโปรดสัตว์ในเมือง พระองค์ก็ไม่ทรงถือสา กลับมีเมตตาต่อเทวทัตผู้มุ่งร้ายพระองค์สารพัด

    บางครั้งถูกอันธพาลที่ได้รับจ้างจากผู้มุ่งร้ายพระองค์ตามด่า ตลอดเจ็ดวัน พระองค์ก็ทรงสงบนิ่ง แผ่เมตตาจิตให้พวกเขา ไม่ทรงโกรธตอบ จนพระอานนท์ทูลให้เสด็จไปที่อื่นที่ไม่มีคนด่า พระองค์ตรัสสอนพระอานนท์ว่า ถ้าจะแก้ปัญหาโดยการหนี ก็คงหนีไปไม่มีที่สุด เพราะคนส่วนมากทุศีล ที่ถูกคือให้อดทนต่อคำล่วงเกิน ด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา

    เมื่อพิจารณาถึงพระจริยวัตรของพระพุทธเจ้าอย่างนี้แล้ว ได้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงเผชิญเรื่องที่เลวร้ายกว่าเรา พระองค์ยังทนได้ เมื่อเราปฏิญาณว่าเป็นสาวกของพระองค์ ไฉนไยไม่ดำเนินตามรอยยุคลบาทเล่า เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว ความโกรธอาจหายไปได้


    7.พิจารณาความเกี่ยวพันกันในสังสารวัฏ

    นี่ก็เป็นวิธีที่หนึ่งที่จะดับความโกรธได้ คือให้คิดว่าในโลกนี้ ไม่มีใครที่ไม่เคยเป็นญาติพี่น้องกันมาก่อน หากใครมาทำให้ท่านเกิดความโกรธ ก็ให้พิจารณาว่า คนๆ นี้อาจเคยเป็นบิดามารดาเรามาก่อน ในชาติใดชาติหนึ่งที่ล่วงมาแล้วก็ได้ หรืออาจเป็นแฟนเป็นกิ๊กที่เรารักสุดชีวิตมาก่อนก็เป็ นได้ แล้วเรื่องอะไรเราจะมาโกรธพ่อเรา แม่เรา หรือคนรักของเรา ถ้าพิจารณาอย่างนี้แล้วความโกรธที่มีก็อาจสงบได้


    8.พิจารณาอานิสงส์ของเมตตา

    ความโกรธเป็นปฏิปักษ์ของเมตตา ขณะใดความโกรธเกิดขึ้น ลองหันมาพิจารณาถึงคุณประโยชน์ของเมตตาดูสิว่า เมตตาความรักความปรารถนาดีต่อกันนั้น เป็นสิ่งที่ดีงามอย่างไร เมื่อพิจารณาถึงความดีงามของเมตตา ก็อาจระงับความโกรธได้

    ความดีงามหรืออานิสงส์ของเมตตา พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่ามี 11 ประการคือ

    1.คนที่มีเมตตานอนหลับก็เป็นสุข

    2.ตื่นขึ้นมาก็เป็นสุข คือหน้าตาสดใสเบิกบาน

    3.ไม่ฝันร้าย

    4.เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย ใครเห็นใครก็รัก มีเสน่ห์

    5.เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย อย่าว่าแต่มนุษย์ด้วยกัน ภูตผีเทวดาก็รัก คนมีเมตตาผีไม่หลอกหลอน แทนที่จะหลอกหลอนกลับให้อารักขา อยู่อย่างปลอดภัยเสียอีก

    6.เทวดาอารักขา

    7.ปลอดภัยจากอัคคีภัย ยาพิษ และศาสตราอาวุธ

    8.จิตเป็นสมาธิได้เร็ว

    9.สีหน้าผ่องใสเบิกบาน

    10.ถึงคราวตายก็ตายอย่างมีสติ

    11.ถ้ายังไม่บรรลุคุณธรรมสูงกว่า ตายไปก็เข้าถึงพรหมโลกแน่นอน

    ถ้าอยากมีคุณสมบัติดังกล่าวนี้ ก็พึงพยายามเป็นคนไม่โกรธ หัดเป็นคนมีเมตตาเป็นธรรมประจำใจให้ได้


    9.ให้แยกธาตุ

    วิธีแยกธาตุนี้เป็นวิธีที่ได้ผลชงัดนัก เพราะตราบใดเรายังมองเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นตัวเป็นคนเป็นนายนั่นนางนี่อยู่ ความโกรธก็เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเราแยกธาตุเสีย ทั้งธาตุเขาและธาตุเรานั้นแหละ ความโกรธก็อาจหายไป เพราะไม่รู้ว่าจะไปโกรธส่วนไหน เพราะแต่ละส่วนก็ไม่ใช่ตัวตน หากเป็นเพียงธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แค่นั้นเอง ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) แค่นั้นเอง

    เช่น เพราะคิดว่านายแมวมันด่ากูจึงโกรธ แต่ถ้าคิดแยกธาตุเสียว่า ส่วนไหนเป็นนายแมว รูปหรือเวทนาหรือ สัญญาหรือ วิญญาณหรือ ดินหรือ น้ำหรือ ไฟหรือ ลมหรือ ก็เปล่าทั้งเพ มันเพียงแค่ธาตุสี่ ขันธ์ห้าเท่านั้นเอง นายแมวนายหมูอะไรหามีไม่ เมื่อไม่มีนายแมวนายหมู คำด่ามันจะมีได้อย่างไร เมื่อไม่มีคำด่าแล้วจะโกรธทำไม

    ในทำนองเดียวกัน ที่เรียกว่า "กู" ก็เพียงประชุมแห่งธาตุสี่ขันธ์ห้าเท่านั้นเอง เมื่อแยกส่วนจนหมดแล้ว ก็ไม่มี "กู" ที่ไหน แล้วเราจะโกรธอยู่ทำไม

    พูดถึงตอนนี้ นึกถึงหลวงพ่อคูณสมัยท่านยังไม่ดังเปรี้ยงปร้างอย่าง สมัยนี้ หลวงพ่อท่านเดินทางไปกับศิษย์สองสามรูป ผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ญาติโยมก็ยกมือไหว้ นั่งยองๆ แล้วถามว่า "หลวงพ่อไปไหนมาคร้าบ" หลวงพ่อคูณก็เดินเฉย ไปได้อีกหน่อย โยมคนหนึ่งก็ถามอีกว่า "หลวงพ่อไปไหนมาค่ะ" หลวงพ่อก็เฉยเช่นเดียวกันจนลูกศิษย์ถามว่า "หลวงพ่อ โยมถาม ทำไมไม่ตอบ"

    หลวงพ่อพูดว่า "กูไม่มา แม่มันจะถามใครหว่า" (ถ้ากูไม่มาเสียแล้ว จะถามใครเล่า) เออจริงสินะ ถ้าไม่มีกู แล้วคำถามมันจะมีได้อย่างไร ก็ให้คิดเสียว่า กูไม่มาก็แล้วกัน คำถามจะได้ไม่มี

    เวลาโกรธใครสักคน ก็ให้พิจารณาแยกธาตุดังว่ามาข้างต้นนั้น ความโกรธอาจหายไปได้
    [/SIZE]
    [SIZE=-1][/SIZE]
    [SIZE=-1]คัดลอกมาจากเวปครับ เป็นกำลังให้ทุกคนเอาชนะกิเลสของตน สู้ไปด้วยกันครับ



    [/SIZE]
     
  5. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    ขอเป็นกำลังใจให้อีกคนครับ เหล่านักรบธรรม(สู้กิเลส)
    ยังไงก็ขอให้สู้ครับ แม้บางครั้งเหนื่อยก็พักและสู้ต่อ
    ท้อบ้างอย่าถอยครับ อย่างมากก็แค่ตาย คิดซะว่าชาติสุดท้ายแล้วทำให้เต็มที่ครับ เพื่อพระนิพพาน เพื่อพระศาสนาและคนโดยมากครับ
    อย่าลืมใช้หลักอิทธิบาท4ครับ
    ฉันทะ-พอใจการปฏิบัติอย่างยิ่ง
    จิตตะ-จดจ่อการปฏิบัติอยู่เสมอ
    วิริยะ-สู้แหลกไม่ท้อ-จนถอย
    ปัญญา-ใคร่ครวญถูก ผิด
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนตั้งมั่นอยู่ในความดีครับ

    ช่วงนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการก้าวสู่ระดับจิตที่สูงขึ้นครับ ขอให้ผ่านกันให้ได้

    -จิตที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา พรหมวิหารสี่
    -ความตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิ
    -ความตั้งมั่นในไตรสรณะคมม์
    -ความมีจิตที่เปี่ยมไปด้วยธรรมฉันทะ ความปรารถนาในการเข้าถึงธรรม ปรารถนาเพื่อให้จิตใจของเราได้เข้าถึงซึ่งความดี มีพระนิพพานเป็นที่สุด
     
  7. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    ผมได้อบรมวัฒนธรรมองค์กร เป็นการปรับตัว ปรับวิธีคิดในการทำงาน เมื่อ วันที่ 13-15 มิ.ย.2551โดย พ.อ.นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ ตังคณา ท่านก็สอดแทรกธรรมเป็นระยะๆ แต่มีหลายประเด็นที่ผมข้องใจ
    1.ท่านบอกว่า ทำบุญได้ชาติหน้า ทำทานได้ชาตินี้
    2.ห้ามเขียนชื่อตน/บุคคลใดที่กระเบื้องมุงหลังคาโบสถ์ วิหาร เพราะไปอยู่เหนือพระพุทธรูป
    3.ห้ามเขียนชื่อตน/บุคคลใดที่ฐานองค์พระที่สร้างถวายวัด เพราะกลายเป็นพระสงฆ์ต้องมา กราบชื่อเรา/บุคคลทั่วไปด้วย
    - แล้วที่ฐานพระ มีเครื่องหมาย ภปร. ?
    4.ห้ามเขียนตน/บุคคลใดในแผ่นทองเหลืองที่หล่อพระ เพราะเราไม่บริสุทธิพอที่จะไปอยู่ในองค์พระ
    ผมจึงแปลกใจ เพราะถ้าการเขียนชื่อในแผ่นทองเหลืองที่หล่อพระเป็นการกระทำที่ผิด ไม่น่าจะมีกระทำแบบนี้เป็นเวลาที่นานมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่เรา แม้แต่ที่ผมไปหล่อพระที่วัดท่าซุงหรือที่วัดอื่นเขาก็ทำกัน
    แต่ผมยังไม่แสดงความเห็นที่คัดค้านอะไรไป เพราะผมยังไม่แตกฉาน จึงทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ขอท่านผู้รู้ ช่วยแนะนำด้วย
     
  8. monsodsai

    monsodsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +570

    คิดได้อย่างนี้ ก็สายไปแล้วล่ะค่ะ อ.ไก่ อิ..อิ. (ขอแซวเล่นนะคะ ) แต่เอาเถอะ...ถือว่า ลงทุนคุ้มกำไรงามแล้ว...ที่ได้พี่น้องแอนและน้องแอนแสนดีและน่ารักมาด้วย (good)
     
  9. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    "ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า"

    เอามาฝากครับ ^^
     
  10. Lazaza

    Lazaza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +5,549

    อาจารย์คะ ดิฉันกลับมองมันอีกอย่างหนึ่ง
    ก่อนที่จะโกรธเขา หรือโกรธตัวเอง
    หากมองอีกอย่าง อาจหายโกรธเป็นปลิดทิ้งก็ได้

    ก็ไม่รู้ว่าปกติ คุณพ่อบ้าน มีอาการอย่างนี้
    อยู่เป็นประจำหรือไม่ หากไม่ใช่ ก็เป็นอาการ
    ที่คนใกล้ชิด ควรให้ความใส่ใจนะคะ

    อาจมีความกังวล มีเรื่องต้องคิด
    เหนื่อยล้าอ่อนใจ เลยทำให้หลงๆลืมๆ

    ขอยืมคำพูดของแม่ชีศันสนีย์มาหน่อยนะคะ
    เวลาที่คนใกล้ตัว แสดงอาการใดๆออกมา
    อาจเป็นไปได้ว่าเขา ก็ทุกข์อยู่
    เรา ในฐานะคนใกล้ตัว หากเราไม่รับฟังเขาแล้ว
    เขาก็คงไม่รู้จะไปอธิบายให้ใครฟัง

    แค่พยามที่จะเข้าใจ ความโกรธก็ระงับไม่ยากเลยนะคะ
    ^_^ พยามฝึกอยู่เหมือนกันค่ะ ต้องฝึกอย่างมีสัจจะ
    อย่างคุณหนุมารว่านะคะ ลองแล้วใช้ได้ดี
     
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขออนุญาตตอบนะคะคุณมารีน... ไม่ได้คิดจะคัดค้านท่านนายแพทย์นะคะ... ขอตอบตามความเข้าใจของธรค่ะ...

    1. จากที่ได้ศึกษาปฏิบัติมา... ทำบุญ ทำทานตอนไหน ผลเกิดทันทีที่เราทำ... จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ค่ะ...

    - ถ้าก่อนทำบุญ ทำทาน จิตเราตั้งใจที่จะทำ... ผลของบุญและทานได้เกิดขึ้นแล้วหนึ่งขั้น...

    เช่น ในสมัยพุทธกาล มีหญิงสาวนางหนึ่งตั้งใจจะนำดอกไม้สีเหลืองทองไปบูชาพระธาตุเจดีย์ เมื่อเก็บดอกไม้เสร็จ กำลังเดินไป... ยังไม่ทันถึง... ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเสียก่อน... เธอกลายเป็นเทพธิดาอยู่บนสวรรค์ ที่วิมานของเธอมีดอกไม้สีเหลืองทองประดับประดาอยู่เต็มไปหมด แถมเธอมีรัศมีกายสว่างไสวกว่าเทวดานางฟ้าอื่นๆ เพราะจิตตั้งใจจะบูชา พระ ค่ะ...

    - ในขณะที่ทำบุญ ทำทาน จิตเราตั้งมั่นในการทำนั้น ผลเกิดอีกขั้นที่ดวงจิตของเราแล้ว จิตเราจะพิสุทธิ์ผ่องใส ปราศจากกิเลส (ณ ขณะนั้น)...

    - หลังจากทำบุญ บุญทำทานแล้ว... เมื่อเราย้อนนึกถึงการทำนั้นๆ เรารู้สึกสบายใจ ดีใจที่ได้ทำไปแล้ว... จิตเราก็จะอิ่มเอิ่บ ผ่องใส... ได้บุญอีกครั้งหนึ่ง... ยิ่งถ้าเราคิดถึงการสร้างบุญ ให้ทานจนเป็นปกติ... เวลาตายจิตติดอยู่ที่บุญ และทานที่ทำ... ตายไปก็ไปสุคติภูมิเป็นที่สุดค่ะ...

    ส่วนข้อ 2 3 และ 4 นั้น... พระท่านต้องการสงเคราะห์ เป็นอุบายดึงกำลังใจคนให้เข้ามาสนใจในการทำบุญค่ะ... และตามความเป็นจริงแล้ว...

    ทุกครั้งที่มีคนเข้ามากราบไหว้พระ... ท่านเหล่านั้น ล้วนได้รับความร่มเย็น กันหนาว กันร้อน กันฝน จากกระเบื้องมุงหลังคา... ทุกท่านที่ช่วยกันสร้างโบสถ์ สร้างหลังคา ย่อมได้รับอานิสงค์นั้นๆ ไปด้วยค่ะ... ยิ่งถ้ามีคนอนุโมทนาว่า ขอให้ผู้ร่วมสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาเหล่านี้ เจริญๆ ด้วยเถิด... อานิสงค์ก็ยิ่งเพิ่มพูน...

    เช่นเดียวกับการจารชื่อผู้สร้างไว้ที่ฐานพระ หรือแผ่นทองสำหรับหล่อพระ...

    สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นกำลังใจให้ผู้ทำ ได้มีจิตใจเกิดปีติสุข อิ่มใจในการทำความดีค่ะ... ทุกครั้งที่มีคนมากราบไหว้บูชาพระที่เราสร้าง... กุศลผลบุญก็จะยิ่งเพิ่มพูนทับเท่าทวีคูณค่ะ... เพราะเป็นการน้อมนำให้คนละจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน ในขณะที่กราบพระ จิตนึกถึงพระ จิตนึกโมทนากับผู้สร้างพระ ฯลฯ

    คนที่ตั้งใจสร้างวิหารทาน สร้างพระ นั้น โดยปกติจะมีความเคารพนอบน้อมต่อองค์พระรัตนตรัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วค่ะ... คงไม่มีใครคิดจะลบหลู่องค์พระท่านหรอกค่ะ... อย่างดีก็ขอแค่เกาะวัด เกาะโบสถ์ เกาะชายผ้าเหลือง เกาะพระพุทธรูป ขึ้นสวรรค์ เข้าพระนิพพานกันเท่านั้นเองค่ะ...
     
  12. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    โมทนาจ้ากร สู้ๆนะ(good)
     
  13. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ที่พูดถึงคนข้างตัว ก็ด้วยสองสาเหตุ

    ๑) แต่่ก่อนไม่รู้จักธรรมะของพระพุทธองค์ เห็นอะไรที่เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุขก็ว่าดีไปหมด ปัจจุบันรู้แล้วว่าไม่จีรัง ในกลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัตินี้มีหลายท่านที่ยังไม่ครองเรือน เลยเล่าให้ฟังว่า เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ก่อทุกข์ให้เราได้

    ๒) พยายามคิดว่า ที่โกรธนั้นเพราะไปปรุงสิ่งที่เกิดขึ้นหรือเปล่า หรือโกรธเพื่อกลบเกลื่อนความกลัวความเปลี่ยนแปลง (เช่นคนข้างตัวแก่ลง เริ่มหลงลืม ฯลฯ) ไม่ทันพบคำตอบเพราะวางเสียก่อน (ไปนอน)

    ข่าวดีืคือตอนนี้ไม่โกรธแล้ว เพราะวาง

    ขอบคุณนากามูระสำหรับข้อเตือนใจค่ะ
    ขอบคุณคุณมนสดใสที่แซวมา
    ขอบคุณท่านอื่นที่คุยกันเรื่องความโกรธ

    วานนี้และวันนี้ฝนตกใหญ่ เหมือนฟ้าโกรธใคร
    หรือเป็นฝนไล่ม็อบ
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775

    อันที่จริงนั้น เราลองมาดูจากโบราณ ท่านทำสืบต่อกันมาครับ

    ท่านได้สร้างถาวรวัตถุและทำแผ่นจารบ้าง จารึกไว้บ้างมาตลอด ในชื่อผู้สร้างและจิตเจตนาคำอธิฐาน

    ดังนั้นเรื่องแบบนี้เราอย่าได้ไปกังวลใจครับเรามีจิตเจตนาเป็นกุศลเป็นสำคัญ ไม่เช่นนั้นเราก็จะมีจิตเศร้าหมองเสียเปล่าๆ

    ทานคือการให้ การสร้างเพื่อ เกื้อกูลสงเคราะห์

    จาคะคือการให้ เพื่อลด เพื่อละเพื่อปล่อยวาง การเห็นแก่ตัว หรือความโลภ หากเราตั้งกำลังใจเพื่อจาคะ การละวางจากความยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์สิน ก็ยิ่งทำให้จิตเราใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น

    หากเราตั้งใจในการสร้างพระพุทธรูปและ วิหารทาน โดยตั้งกำลังใจถวายเอาไว้ในพระพุทธศาสนา และเพื่อ ทำนุบำรุงสืบต่อพระพุทธศาสนาให้ครบ ห้าพันปี ก็จะยิ่ง เกิดอานิสงค์ทั้งต่อตนเองในด้านจาคะก็ดี ต่อส่วนรวมในด้านเมตตาพรหมวิหารก็ดี ด้านพุทธานุสติก็ดี มากยิ่งขึ้น

    ดังนั้นการทำทาน การสร้างถาวรวัตถุ เราจงรักษากำลังใจของเราให้ดี ให้สูงดีกว่า
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <INPUT class=inlinemod_checkbox id=vmessagelist_6778 title="" type=checkbox value=0 name=vmessagelist[6778] inlineModID="inlineMod_comment"> วันนี้ 07:52 AM
    สันโดษ

    สร้างบารมีให้ตัวเองด้วย กัน ตอนเช้า นะคะ

    จะสวดมนต์ หรือ จะฟัง ก็ได้คะ เเล้วเเต่ จริตนะคะ

    ทำวัตรเช้า แผ่เมตตาไม่มีประมาณ นะคะ

    http://www.oknation.net/blog/buddhamantra/video/6876

    แผ่เตตา ไม่มี ประมาณคะ

    http://www.oknation.net/blog/buddhamantra/video/5968
     
  16. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    เมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้แค่ "พ้นทุกข์" ต่อเมื่อดับขันธ์แล้วถึงจะเรียกว่า "ดับทุกข์"

    โดยหลวงพ่อปราโมทย์

    เอามาฝากครับ ^^
     
  17. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    สัมผัสธรรม

    [​IMG]

    ...คว่ำตลบซึมซีดกรีดใจเจ็บ<O:p</O:p
    จะช่วยเก็บใจหงายคลายเศร้าหมอง
    เลือดใจท่วมทนทุกข์น้ำตานอง<O:p</O:p
    จะเก็บกองรวมใจใส่ที่เดิม
    ...โรยราแห้งเหี่ยวเฉาเงาดำมืด<O:p</O:p
    จะส่งยืดใจยื่นใจช่วยเสริม
    ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวมาลามเลิม<O:p</O:p
    จะต่อเติมกำลังใจส่งให้เธอ
    ...อกอึดอัดสับสนอลหม่าน<O:p</O:p
    จะถักสานส่งใจไปเสนอ
    สั่นสะท้านหนาวเหน็บเจ็บที่เจอ<O:p</O:p
    จะปลอบเธอด้วยใจที่หวังดี
    ...น้ำตาไหลอ่อนแอท้อแท้นัก<O:p</O:p
    จะแบ่งมอบความรักที่มีนี้
    ตรอมตรมโศกระทมเศร้าชีวี<O:p</O:p
    จะแบ่งปันไมตรีนี้แด่เธอ
    ...ขอเธอจงรับเอาความเข้มแข็ง<O:p</O:p
    ขอเธอจงกร้าวแกร่งอยู่เสมอ
    ขอเธอจงพ้นผ่านสิ่งที่เจอ<O:p</O:p
    ขอเธอจงพบเจอเส้นทางดี
    ...มีเพียงแค่ถ้อยคำที่พร่ำกล่าว<O:p</O:p
    มีเพียงแค่เรื่องราวเฝ้าห่วงนี้
    มีเพียงแค่ใจรักร่วมหวังดี<O:p</O:p
    มีเพียงแค่เท่านี้ที่ให้เธอ<O:p</O:p
    ................ธรรมดา(ฯ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2008
  18. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    สัมผัสธรรม

    [​IMG]

    ...ในท่ามกลางสังคมไฟแสงสี
    มีบ่อยครั้งชีวีแสนสับสน
    ในท่ามกลางสังคมของผู้คน<O:p
    มีบ่อยครั้งวกวนปนเปไป
    ...ในท่ามกลางป่าดงพงไพรสัณฑ์<O:p</O:p
    ช่วยชุบฟื้นชีวันให้สดใส
    ในท่ามกลางสายน้ำร่องรินไหล<O:p</O:p
    ช่วยชุบฟื้นหัวใจให้กลับคืน
    ...บาดเจ็บปวดชอกช้ำระกำจิต<O:p</O:p
    ธรรมชาติเลิศฤทธิ์ปลอบปลุกฟื้น
    แทบปางตายทุกข์ถมสุดกล้ำกลืน<O:p</O:p
    ธรรมชาติหยิบยื่นความจริงใจ
    ...ธรรมชาติครรลองที่เป็นจริง<O:p</O:p
    ธรรมชาติคือสิ่งพิสุทธิ์ใส
    ธรรมชาติชาติแห่งความเป็นไป<O:p</O:p
    ธรรมชาติมีไว้รักษาตน<O:p</O:p
    ...............ธรรมดา(ฯ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2008
  19. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    วันนี้อ่านหนังสือธรรมะของครูบาอาจารย์หลายท่าน ไปเปิดเจอเกี่ยวกับกิเลส
    พอดีน้องพัฒนาตนโทรมาคุยก็อ่านให้น้องเขาฟัง เขาเลยบอกให้นำมาลงในกระทู้วิชชาเผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อท่านอื่น

    กิเลส ๓ ชั้น
    ๑. อนุสัยกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดที่ตกตะกอนนอนอยู่ก้นบึ้งส่วนลึกของจิต กิเลสชั้นนี้มักไม่ปรากฏเด่นชัด เหมือนตะกอนที่นอนอยู่ก้นตุ่มน้ำ
    แต่เมื่อใครไปกวนเข้า ตะกอนข้างล่างจะฟุ้งขึ้นมาน้ำก็ขุ่น จิตก็เหมือนกันเมื่อยังไม่ถูกอารมณ์ภายนอกมากระทบจิตจะสงบอยู่ได้อนุสัยกิเลสก็ไม่ฟุ้ง อนุสัยกิเลสมี๓ชนิดคือ ๑.ราคานุสัย คือเชื้อแห่งกำหนัดหรือความอยากได้
    ๒.ปฏิฆานุสัย คือเชื้อของความชัง ๓. อวิชชานุสัย คือ เชื้อแห่งความหลง
    ๒. ปริยุฏฐานกิเลส หมายถึง กิเลสอย่างกลางที่กลุ้มรุมจิตให้อยู่ไม่เป็นสุข
    ได้แก่ กิเลสที่ถูกกวนให้ฟุ้งขึ้นมาในระดับหนึ่งนั่นคือ ราคานุสัยฟุ้งออกมาเป็นราคะ ปฏิฆานุสัยฟุ้งออกมาเป็นโทสะ และอวิชชานุสัยฟุ้งออกมาเป็นโมหะ
    กิเลสทั้ง ๓ นี้ฟุ้งทำให้หงุดหงิดนอนไม่หลับ มีสภาพเช่นเดียวกับน้ำเดือดที่มีตะกอนหมุนวนอยู่ภายในหม้อน้ำ แต่ถ้าควบคุมไม่ได้ กิเลสก็กระฉอกออกมาเป็นเหตุให้ประกอบกรรมชั่วต่างๆกลายเป็นกิเลสขั้นที่๓
    ๓. วีติกกมกิเลส คือกิเลสอย่างหยาบที่ควบคุมไม่ได้จึงกระฉอกออกมาทำการล่วงละเมิดศีลธรรม หมายถึงว่าเมื่อราคะมีกำลังแรงขึ้น กลายเป็นอภิชฌา ความเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น เมื่อโทสะมีกำลังแรงขึ้น ก็กลายเป็นพยาบาท
    คือคิดทำร้ายผู้อื่น ลำพังโทสะยังไม่คิดทำร้ายใครเป็นแต่ความขัดเคืองอยู่ในใจ
    เมื่อใดโมหะมีกำลังแรงมากขึ้นก็กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือเห็นผิดเป็นชอบ
    อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ ทั้ง๓อย่างนี้ เป็นวีติกกมกิเลส คือเป็นกิเลสที่จะละเมิดศีลธรรมทางกายและทางวาจา โดยสรุปก็คือกิเลสที่กระฉอกออกมาแปดเปื้อนรบกวนคนอื่น(*)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2008
  20. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    " ทางเลือกระหว่าง พุทธภูมิ และ สาวกภูมิ "

    วิสัชนา โดยท่าน สันตินันท์
    (พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในปัจจุบัน)




    "......พวกเราหลายท่านมีจิตใจฝักใฝ่ไปในทางจะเป็นพระโพธิสัตว์บ้าง หรือยังลังเลว่าตนกำลังเดินไปสู่พุทธภูมิ หรือสาวกภูมิ กันแน่บ้าง
    (เช่นจะไปสู่พุทธภูมิก็กลัวภัยในสังสารวัฏ เบื่อหน่ายที่ต้องเดินทางไกลบ้าง
    ครั้นจะดำเนินไปสู่สาวกภูมิ ก็สงสารสัตว์โลกบ้าง เสียดายว่ามีความรู้น้อยไปบ้าง เสียดายความอหังการ์ในอันที่จะเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง)


    เป็นการยากที่เราจะทราบว่า เราบำเพ็ญบารมีมาในเส้นทางใด และที่ว่าเป็นพระโพธิสัตว์นั้น ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง ในเมื่อเราไม่มีญาณที่จะระลึกรู้ได้ ก็จำเป็นต้องสังเกตจิตตนเองเอาครับ


    จากประสบการณ์ของผม คนที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เพราะความอยากใหญ่ก็ดี เพราะปรารถนาในความรอบรู้ก็ดี หรือด้วยเหตุอื่น นอกเหนือจากมหากรุณาของจิตต่อสรรพสัตว์ก็ดี มักจะเดินแนวพุทธภูมิไม่ตลอดรอดฝั่ง


    ความอยากใหญ่ อยากรู้ ฯลฯ มันมีรากฐานอยู่บนโลภะและตัณหา ซึ่งเป็นของร้อน
    ส่วนมหากรุณามีรากฐานอยู่บนกุศลจิต ซึ่งเป็นความชุ่มเย็นที่หล่อเลี้ยงจิต คุณภาพของจิตจึงแตกต่างกันมาก

    ความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าด้วยแรงขับของอกุศลนั้น เมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์ที่เผ็ดร้อนแล้ว ก็มักจะท้อถอย ดังนั้น ถ้าสำรวจจิตตนเองพบว่าปรารถนาพุทธภูมิด้วยแรงขับของอกุศล ก็เลิกคิดเถอะครับ เพราะจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ ไม่เลิกวันนี้ ก็ต้องไปเลิกในวันหนึ่งข้างหน้าอยู่ดี


    เราคงได้ยินบ่อยๆ ว่า พระโพธิสัตว์ไม่กลัวนรก อันนั้นท่านไม่กลัวเพราะมหากรุณาครับ ไม่ใช่ว่าไม่กลัวเพราะกิเลสหนาปัญญาหยาบ เหมือนเมื่อหลายปีก่อน แถวๆ ปิ่นเกล้า รถรับส่งนักเรียนเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ มีตำรวจคนหนึ่งพยายามช่วยเด็กจนตัวเองถูกไฟลวกยับเยิน และหยุดช่วย เมื่อคิดว่าช่วยเด็กออกมาหมดแล้ว โดยไม่ทราบว่า มีเด็กติดค้างอีก 2 คน ตำรวจนี้ให้สัมภาษณ์ด้วยความเสียใจว่า นึกว่าช่วยเด็กออกมาหมดแล้ว ถ้าทราบ ก็จะต้องพยายามช่วยต่อไปอีก เพราะ "สงสารเด็ก" มหากรุณาชนิดนี้แหละครับ ที่ทำให้กล้าฝ่าไฟนรกได้


    ลองวัดใจตนเองดูเถิดครับว่า ปรารถนาพุทธภูมิเพราะอะไรแน่ ถ้าไม่ใช่เพราะมหากรุณาแล้วละก็ อย่าไปคิดถึงพุทธภูมิเลยครับ จะเนิ่นช้า แล้วก็ไปไม่รอดในภายหลัง


    อีกประการหนึ่ง หากยังไม่แน่ใจว่า เราเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่ ก็ไม่ควรลังเลใจที่จะเร่งปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ เพราะถ้าเป็นพระโพธิสัตว์จริง ก็จะได้มีบารมีเต็มเปี่ยมเร็วๆ ถ้าไม่เป็นพระโพธิสัตว์ จิตก็จะได้เข้าถึงวิมุตติหลุดพ้นเร็วๆ


    เร่งปฏิบัติเข้า มีแต่ได้กับได้ครับ ......."

    http://www.budpage.com/forum/view.php?id=3129
     

แชร์หน้านี้

Loading...