วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,349
    ค่าพลัง:
    +3,864


    (kiss) น่ารักจัง..
     
  2. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,632
    (ต่อ) ใต้อุ้งปีกกา


    (นักรบเวียงกาหลง)


    โดย นักรบธรรม<O:p</O:p

    พวกของหลานมันมาจากที่อื่นไม่ใช่หรือ (หลวงพ่อแกล้งถาม)เจ้ายอดเมืองยังไม่ทันเข้าใจระหว่างคำสอนกับคำถามของหลวงพ่อ นั่งตรองพักหนึ่ง ได้คิดขึ้นมาจึงพูดกับหลวงพ่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  3. Khunkik

    Khunkik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2006
    โพสต์:
    2,150
    ค่าพลัง:
    +18,072
    การขุดน้ำมันยาง โดย...บรรจง ศรีตระกูล




    การขุดน้ำมัน (ยาง) <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>

    โดย...บรรจง ศรีตระกูล<O:p></O:p>
    จาก ต่วยตูนพิเศษ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร ฟังอะไร เปิดหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุก็มักจะได้ยินอยู่เสามอถึงการไปขุดทอง (ที่แท้ขุดทรายจะถูกกว่าเพราะทรายเขามันมีทอง) ที่ประเทศตะวันออกกลางหรือที่เรียกจนติดปากว่าซาอุไม่ว่าจะเป็นประเทศใดชาวบ้านมักจะบอกว่าไปซาอุ



    ถ้าพวกเขาเหล่านั้นรู้ว่าเมืองไทยก็มีการขุดน้ำมันหลายพันปีมาแล้วเหตุการณ์ย่างนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่ คือ น้ำมันยางนั่นไง เราได้พัฒนา (ใช้ศัพท์ทันสมัย) น้ำมันยางมาใช้แล้วหลายชั่วอายุคน เช่นนำมาทำกระบองหรือทางภาคอื่นๆ เรียกว่าไต้ สำหรับให้แสงสว่าง ทำวัสดุกันซึม ซึ่งจะเล่าให้ฟังภายหลัง ที่อยากจะเล่าการขุดน้ำมันยางให้ฟังในคราวนี้ก็เพื่อให้ลูกหลาน หรือคนที่อยู่แต่ในเมืองทราบว่า เราเป็นหนี้บุญคุณของน้ำมันชนิดนี้มานานแล้วไม่แพ้น้ำมันพราย น้ำมันจิ้งเหลน หรือน้ำมันอื่นๆที่นำมาใช้ในวาระโอกาสและประโยชน์ต่างกัน ถึงจะอยู่ในเมืองก็อย่าลืมว่าบรรพบุรุษก็ต้องเป็นคนบ้านนอกมาก่อนทั้งนั้น



    ขั้นแรกในการที่จะขุดเอาน้ำมันยางมาใช้ก็ต้องสำรวจก่อน (โก้ไม่แพ้น้ำมันอื่นๆ) คือสำรวจหาต้นยางที่จะได้น้ำมัน ต้องให้เป็นต้นใหญ่พอสมควร อย่าดีใจที่ท่านไปเจอต้นยางมากมายที่โรงเลื่อย จงสำนึกว่าต้นยางชนิดนั้นใช้ไม่ได้ ถ้าท่านไปยุ่งกับมันมากเกินไปอาจถูกฝากรักด้วยลูกเอ็มสิบหกหรือเอ็มอื่นๆ ที่ท่านไม่มีโอกาสพิจารณาฐานสำรวจผิดที่ ท่านที่เป็นข้าราชการอาจเด้งปานติดสปริง



    บรรพบุรุษของเราคงไม่ยุ่งยากกับปัญหานี้ที่ท่านมีต้นไม้เยอะแยะพอที่จะเจาะเอาน้ำมันมาใช้ง่ายๆ ถ้าท่านกลับฟื้นคืนชีวิตมาในระยะของบรรพบุลูกของท่าน ท่านคงหลงบ้านแน่แท้ (หมายถึงท่านไม่หลงป่าเพราะป่ามันกลายสภาพเป็นบ้านหมดแล้วจึงหลงบ้าน) และถ้าท่านสำรวจต้นยางไปพบแต่ตอ ก็ขอให้รู้อย่างนักสำรวจที่ชาญฉลาดว่านั่นก็ใช้ประโยชน์นี้ไม่ได้เช่นกัน นอกจากจะมีเห็ดที่กินได้อยู่บ้างก็ขอให้เปลี่ยนสภาพตนเองเป็นนักเก็บเห็ดซะเพื่อจะได้มีชีวิตนานไปอีกด้วยการเก็บเห็ดมาแกงหรือขายก็ได้ แล้วแต่เห็นควรก่อนที่จะมีผู้มาตัด
    <O:p></O:p>
    ถ้าท่านโชคดีไปพบหมู่ไม้ยางเข้าต้องรีบกลับบ้านทันที อย่ารั้งรอก่อนที่จะมีผู้มาตัดไปแปรเป็นเงินเสียก่อนเตรียมอุปกรณ์ขุดไปในทันที บรรพบุรุษของเราได้ใช้อุปกรณ์ขุดเจาะไว้นานแล้ว ลูกหลานพยายามพัฒนามันต่อไป อย่ามัวไปคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ เช่นทำยังไงวัวถึงจะออกลูกเป็นควาย ทั้งๆที่ก็ไม่เห็นว่าจะได้ประโยชน์ตรงไหนสู้ให้วัววออกลูกเป็นวัว หรือควายออกลูกเป็นควายดีกว่า ถ้าควายออกลูกเป็นช้าง อันนี้คงไม่เสียเวลาเปล่า
    <O:p></O:p>
    ขวานหนึ่งเล่ม ไฟ (จะฉลาดน้อยขนาดไหนถือดุ้นไฟไปด้วยก็คงไม่มีใครว่าอะไร) คืออุปกรณ์ที่จะต้องนำไป จะห่อข้าวไปด้วยใส่เสื้อผ้ายังไงคงไม่เป็นปัญหาที่จะนำมาคิดกัน และที่สำคัญไม่ต้องทำพาสปอร์ต วีซ่า<O:p></O:p>
    ขอออกตัวว่าผู้เขียนเป็นนักวิชาการน้อยมาก ดังนั้นจึงจะขอเล่าวิธีการขุดเจาะน้ำมันยางอย่างง่ายๆ (อาจจะไม่ง่ายนักจะได้ให้ท่านที่เป็นนักต่างๆ อย่างนักวิทยาศาสตร์ศิลปะศาสตร์ไปจนถึงโหราศาสตร์ได้ใช้ความคิดเล่นกันบ้าง คิดเสียว่าดีกว่าหายใจเอาอากาศเข้าออกทิ้งไปเฉยๆ)
    <O:p></O:p>
    เมื่อไปถึงต้นยาง (ใหญ่) ที่หมายตาไว้ จัดการใช้ขวานขุดทันที การขุดนั้นที่เห็นและเคยทำจะขุดสูงจากโคนต้นยางขนาดเอวของผู้ขุด ด้วยเหตุผลสองประการคือเป็นการสะดวกที่จะฟันขวาน หนึ่ง และจะง่ายในการเก็บน้ำมันต่อไป การขุดเขาขุดให้เป็นโพรงเข้าไปไม่ลึกนักกว้างประมาณสองคืบให้ก้นแหลมเข้าไปในต้นยางคือให้เป็นแอ่งพอที่จะขังน้ำได้ ถ้าแกล้งโง่เจาะต้นยางโค่นก็ขอให้ทราบว่าท่านก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในมุ้งสายบัวแล้วขนไม้หนีเร็วๆในกรณีที่ท่านมีเส้นบะหมี่
    <O:p></O:p>
    ผู้อ่านอาจจะไม่เข้าใจ ซึ่งผู้เขียนก็จนด้วยเกล้าที่จะอธิบายให้มากกว่านี้ ถ้าสนใจก็ขอให้โทรศัพท์ เอ้ยร่อนจดหมายมาจะตอบให้ทราบเจ๋งๆมีภาพประกอบให้ทราบก็ได้
    <O:p></O:p>
    ปล่อยไว้สักครู่จะมียางของต้นไม้ซึมออกมา การที่ยางของต้นไม้ติดเสื้อผ้าจะเป็นปัญหาที่จะซักล้างมาก จะใช้น้ำมันที่ขุดเจาะได้ล้างคงไม่เกิดผล นอกจากจะพึ่งน้ำมันจากซาอุ ซึ่งขอให้เราหลีกเลี่ยงเพราะได้ภูมิใจแต่แรกแล้วว่าประเทศเราก็มีน้ำมัน จากนั้นใช้ไฟขุดยางที่ซึมออกมาทันที ปล่อยให้ลุกอยู่นานพอสมควร แต่ห้ามนอนเพราะการนอนหลับไฟอาจจะทำหน้าที่เกินกว่าเหตุ ทำให้ต้นยางล้ม นอกจากจะไม่ได้น้ำมันยางแล้วต้นของมันอาจจะทับเราตายก็ได้
    <O:p></O:p>
    เมื่อเห็นว่าไฟไหม้น้ำมันที่ซึมออกมาจนหมดแล้วจัดการดับ การดับไฟห้ามใช้ทรายเด็ดขาดเพราะจะทำให้น้ำมันที่ออกมาไม่บริสุทธิ์ จะใช้น้ำก็ไม่ได้ ชาวบ้านเขาใช้วิธีหักกิ่งไม้แล้วตีกลบจนไฟมอดไป
    <O:p></O:p>
    ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย เตรียมตัวเก็บน้ำมันได้คงเป็นธรรมชาติของต้นไม้ที่มีแผลบริเวณลำต้นของมันทั้งถูกไฟไหม้ซ้ำ มันจึงขับน้ำมันออกมาเพื่อจะประสานแผล มันจึงขับน้ำมันออกมาเสียเต็มโพรงในตอนเช้าวันต่อมา
    <O:p></O:p>
    สิ่งที่ชาวบ้านนำไปบรรจุนั้นส่วนมากเห็นเขาใช้บ้องไม้ไผ่ขนาดบ้องเดียวใช้เชือกผูกให้เป็นหูหิ้วเจาะรูทะลุปล้องข้างบน ถ้าเจาะไว้หลายโพรงเขาก็ใช้หลายบ้องจะคอนจะหาบก็แล้วแต่สะดวกต้องทำที่ตักไว้ด้วย<O:p></O:p>
    ในบางครั้งก็มีปัญหาเหมือนกันตรงที่มีนักขโมยน้ำมัน คือไม่ทำอะไรทั้งนั้น คอยมองๆว่ามีใครเขาเจาะน้ำมันไว้ เพียงแต่จะตื่นก่อนชาวบ้านเขาเท่านั้นก็พอ ถือโอกาสไปตักใส่กระบอกไม้ไผ่ของตนเองสบายใจเฉิบ คนพวกนี้นับเป็นภัยต่อชาวบ้านร้านตลาดบ้านนอกมากกว่าแชร์น้ำมันแม่ต่างๆเสียอีก
    <O:p></O:p>
    เมื่อไปถึงโพรงที่เราเจาะต้นยางไว้ในตอนเช้าบรรจงใช้ที่ตัก ตักน้ำมันที่ออกมาใส่ในกระบอกเป็นอันเสร็จสิ้น ถ้าทำไว้มากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อย จากนั้นก็เก็บทุกวันโดยไม่ต้องทำอะไรอีกจนกว่าจะได้น้ำมันพอหรือขี้เกียจไปเอง<O:p></O:p>
    ทีนี้ก็เป็นประโยชน์ของน้ำมันยางที่ได้มา ซึ่งชาวบ้านบางท้องถิ่นเขายังทำใช้อยู่ตามที่บอกไว้ว่าบรรพบุรุษของเราใช้น้ำมันยางมานานแล้ว มีในประวัติศาสตร์ด้วย
    <O:p></O:p>
    ประโยชน์แรกคือใช้ทำครุขนน้ำ ทุกวันนี้เกือบจะหาครุแบบนี้ไม่มีแล้ว ชาวบ้านเขาจะใช้ไม้ไผ่สานเป็นตะกร้าก่อน จากนั้นก็ใช้น้ำมันยางผสมชันที่ทางภาคอีสานเรียกว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • k09.jpg
      k09.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.7 KB
      เปิดดู:
      35
    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57 KB
      เปิดดู:
      40
    • 49-3_b.jpg
      49-3_b.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.5 KB
      เปิดดู:
      35
    • DSC00392.jpg
      DSC00392.jpg
      ขนาดไฟล์:
      184.5 KB
      เปิดดู:
      26
    • DSC00435-1.jpg
      DSC00435-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148 KB
      เปิดดู:
      28
    • DSC00374.jpg
      DSC00374.jpg
      ขนาดไฟล์:
      148.3 KB
      เปิดดู:
      32
    • DSC00385.jpg
      DSC00385.jpg
      ขนาดไฟล์:
      195.6 KB
      เปิดดู:
      30
    • DSC00387.jpg
      DSC00387.jpg
      ขนาดไฟล์:
      214.3 KB
      เปิดดู:
      32
    • DSC00388.jpg
      DSC00388.jpg
      ขนาดไฟล์:
      187.2 KB
      เปิดดู:
      32
    • leucadendron.jpg
      leucadendron.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30 KB
      เปิดดู:
      29
  4. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    สัมมาทิฐิคืออะไร

    ปัญหา (พระกัจจานโคตรทูลถาม ที่เรียกว่า สัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิ ดังนี้ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอจึงชื่อว่า สัมมาทิฐิ ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนกัจจานะ โลกนี้โดยมากอาศัยส่วนสุด ๒ อย่าง คือ ความมี (สัสสตทิฏฐิ-ความเห็นว่าสิ่งทั้งปวงเที่ยง - มีอยู่ตลอดไป) ๑ ความไม่มี (อุจเฉททิฏฐิ ความเป็นว่าสิ่งทั้งปวงขาดสูญไม่มี) ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ (เห็นว่า) ไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความ (เห็นว่า) มีในโลกย่อมไม่มี
    “โลกนี้โดยมาก ยังพัวพันด้วย อุบาย อุปาทาน และอภินิเวส แต่พระอริยสาวกย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเราดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า ทุกข์นั้นแหละเมื่อบังเกิดขึ้นย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.... จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ
    “ดูก่อนกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่หนึ่งนี้มีว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่สองมีอยู่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ.... นามรูป... สฬายตนะ.... ผัสสะ.... เวทนา.... อุปาทาน.... ภพ....
    ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้.....”
    กัจจานโคตตสูตร นิ. สํ. (๔๓-๔๔)
    ตบ. ๑๖ : ๒๑ ตท. ๑๖ : ๑๗
    ตอ. K.S. II : ๑๓
     
  5. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    พระพุทธศาสนาก็ส่งเสริมทรัพย์

    ปัญหา มีบางคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาสอนจะให้คนออกจากโลกท่าเดียว ไม่ส่งเสริมการมีโภคทรัพย์ จริงหรือไม่ ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลสองตาเป็นไฉน บุคลบางคนในโลกนี้ มีนัยน์ตาเป็นเหตุได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ ทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น ทั้งมีนัยน์ตาเป็นเครื่องรู้ธรรมทั้งที่เป็นกุศล และอกุศล รู้ธรรมที่มีโทษและไม่มีโทษ รู้ธรรมที่เลวและประณีต รู้ธรรมที่มีส่วนเปรียบด้วยธรรมฝ่ายดำและฝ่ายขาว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าคนสองตา.....”
    อันธสูตร ติ. อํ. (๔๖๘)
    ตบ. ๒๐ : ๑๖๓ ตท. ๒๐ : ๑๔๖
    ตอ. G.S. I : ๑๑๒
     
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    nova_analai<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1254772", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม

    [​IMG] ขอนำมาฝากกระทู้นี้ เห็นว่ามีประโยชน์ครับ

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ kindred [​IMG]
    ค่ะ...คุณขจรวรรณ ขอบคุณค่ะที่มาคุยให้ฟัง

    ...ไม่ทราบจะเรียกการทำสมาธิที่ว่านี้แบบไหนดี...อาจารย์ที่สอน ท่านสอนว่าทำยังไงก็ได้ ไม่ให้มีภาษาในสมอง...คือไม่เล่าเรื่อง หรือคุยให้ตัวเองฟัง อาจจะดูอึดอัดนะค่ะ แต่มันทำให้สงบได้ดีทีเดียว
    ...หลังจากนั้น ใช้วิธีกำหนดลมหายใจ กำหนดจุตไว้ที่หว่างคิ้ว (มันไปเองทุกทีค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ เลยเข้ามาถามไงค่ะ) ...ไม่กำหนดท่านั่ง ไม่กำหนดท่านอน ให้อยู่ในอิริยาบทแบบสบาย และผ่อนคลายที่สุด ทำได้ตลอดเวลา ว่างเมื่อไหร่เป็นทำ บางครั้งเพลิดเพลิน เป็นชั่วโมงค่ะ สบายจังค่ะ...อ่านแล้วรู้สึกยังไงค่ะ(เพี้ยนดีมั๊ยค่ะ ถึงบอกว่าอ่อนหัดไงค่ะ)
    ...ถึงบอกว่าทุกท่าน ในห้องวิทย์ฯเนี่ย เป็นผู้เชี่ยวชาญไงค่ะ เลยอยากขอ share ความรู้บ้าง...เผื่อจะเก่งบ้าง





    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พี่นักเขียนเรียนสมาธิมาก่อนด้วยวิธีกำหนดลมหายใจ หรือ อาณาปาณสติ และหลังจากนั้นได้หันไปศึกษาลัทธิเต๋า ทดลองการทำสมาธิแบบธิเบต แบบคริสต์ หลังจากที่ฝึกมานานหลายปี พบว่า ขั้นตอนการฝึกสมาธิตามแบบศาสนาหรือลัทธิต่างๆที่เกี่ยวกับภาวะทางกายภาพ อันได้ การบริกรรม การกำหนดจุดวางจิต ตลอดจนการวางท่า การนั่งขัดสมาธิ และ การวางลิ้น การแต่งกาย ฯลฯ ล้วนมีเหตุผลที่เกี่่่่ยวพันกับประสาทสัมผัสทั้งห้าทั้งสิ้น โดยเป็นส่ิงที่กำหนดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องอยู่ หรือจุดจ่อจ่อเพียงอย่างเดียวของประสาทสัมผัสนั้น ได้แก่:

    1. ตา
    การกำหนดจุดวางจิต ณ จุดใดๆที่เป็นศูนย์กลางกาย เช่น กลางกระหม่อม หว่างคิ้ว กลางอก เหนือสะดือ ล้วนเป็นการกำหนดเพื่อควบคุมประสาทสัมผัสคือตา เพราะเมื่อเราหลับตา เรามองไม่เห็นสภาพแวดล้อมภายนอก ที่จะทำให้เราเกิดความสมดุลย์กับอิริยาบททางกายของเราได้ เช่น มองไม่เห็นพื้น ผนัง มองไม่เห็นแขนขาเนื้อตัวของตนเอง เราจะรู้สึกขาดความสมดุลย์ เหมือนคนที่ถูกผ้าผูกตาแล้วให้เดิน มักจะเดินไม่ตรง ไม่ balance และกลัวล้ม การกำหนดกึ่งกลางกายช่วยให้เกิดความรู้สึกสมดุลย์ และทำให้อิริยาบททางกายของเราอยู่ในภาวะที่หยุดนิ่งได้ดีขึ้น คือ ไม่เอนเอียงไปโดยขาดจุดยืน หรือจุดจดจ่อ

    หากไม่หลับตา ก็จะใช้การจดจ่อกับ ไฟ เช่นการเพ่งกสิน การจดจ่อกับจุดใดจุดหนึ่ง
    หรือหลับตาแต่ใช้การกำหนดลูกแก้ว หรือจินตภาพใดๆเพียงภาพเดียว เพื่อเป็นเครื่องอยู่ของประสาทตา

    2. หู
    การบริกรรม คือ กล่าวคำ หรือ วลีสั้นๆ สัมพันธ์กับลมหายใจ เช่น
    กล่าวว่า พุทธ เมื่อหายใจเข้า
    กล่าวว่า โท เมื่อหายใจออก

    กล่าวว่า หนึ่ง เมื่อหายใจเข้า
    กล่าวว่า สอง เมื่อหายใจออก

    เป้าหมายของการบริกรรมคือ การนำเสียงมาใช้เป็นเครื่องอยู่ของประสาทหู เพื่อควบคุมเสียงของความคิดภายใน ช่วยไม่ให้คิดเรื่องอื่น หรือ พูดเรื่องอื่นจนฟุ้งซ่าน

    โบสถ์คริสต์ ใช้เสียงดนตรีเป็นเครื่องอยู่แทนการบริกรรม โดยเปิดเพลง หรือ เพลงสวดมนต์เบาๆ
    ธิเบตใช้เสียงฆ้อง กระดิ่ง ระฆัง หรือ singing bowl เป็นเครื่องอยู่ของประสาทหู

    3. จมูก
    การกำหนดลมหายใจ ทำให้เราจดจ่อกับการหายใจเข้า-หายใจออก จนในที่สุดประสาทการรับกลิ่นของเราจะข้ามการรับรู้กลิ่นออกไป เหลือแต่การจดจ่อกับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น
    บางลัทธิ เช่น?โยคี ใช้การกลั้นลมหายใจแทนที่จะหายใจตามปกติ ไม่ว่าจะใช้การหายใจตามปกติ หรือ การกลั้นลมหายใจ ก็ล้วนเป็นการใช้ลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ของประสาทการรับกลิ่น

    4.ลิ้น
    การฝึกสมาธิ จะกำหนดให้วางลิ้นด้วยการกระดกปลายลิ้นขึ้นนิดหนึ่ง ให้ปลายลิ้นแตะระหว่างแนวเหงือกกับฟันบน การกระทำดังกล่าวทำให้ด้านข้างของลิ้นงอเล็กน้อย ทำให้ต่อมน้ำลายถูกบีบและปิดลง ช่วยให้ไม่ต้องกลืนน้ำลายบ่อยๆ การวางลิ้นเป็นส่ิงที่ต้องฝึก แต่ก็จะใช้เวลาไม่นานที่จะทำได้ผล และพบว่า หากกระดกลิ้นได้พอเหมาะแล้ว ต่อมน้ำลายจะปิดลง ทำให้ไม่มีการต้องกลืนน้ำลายเลยแม้ว่าจะนั่งสมาธินานเป็นชั่วโมงก็ตาม ทำให้ละประสาทสัมผัสไปได้โดยปริยาย อันเนื่องมาจากการกลืนน้ำลาย และการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อคอที่จะเกิดจากการกลืนน้ำลาย

    เรื่องลิ้นหรือประสาทรับรส มีมากมายหลายวิธีการที่แตกต่างกันไปตามลัทธิความเชื่ เช่น แลบล้ิน ใช้ตะปูตำลิ้น ฯลฯ แต่ไม่ว่าเขาจะใช้อะไร ก็ล้วนเป็นการกระทำต่อประสาทรับรส เพื่อเป็นเครื่องอยู่โดยไม่ให้ใส่ใจต่อการรับรู้รสและการกลืน

    5.กาย
    การสวมเสื้อผ้าที่หลวมสบาย การนั่ง หรือ นอน ในท่าที่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ทุกส่วนของร่างกาย ทำให้เราไม่ต้องจดจ่อกับประสาทสัมผัสทางกาย บางสายนิยมให้ใช้ผ้าคั่นระหว่างมือ และทุกส่วนของร่างกาย ไม่ให้เนื้อถูกเนื้อ ทุกตำแหน่ง เพื่อทำให้ประสาทสัมผัสไม่ถูกกระตุ้น ไม่ว่าจะทำสมาธิใน อิริยาบท ยืน เดิน นั่ง หรือ นอน ก็ล้วนเป็นการกำหนดอิริยาบทนั้น เพื่อเป็นเครื่องอยู่ของประสาททางกาย

    เมื่อเรากำหนดเครื่องอยู่แล้ว ประสาทสัมผัสทั้งห้าก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมได้ไม่มากก็น้อย ทำให้เราไม่แทรกแทรงความคิดด้วยสาระอื่นๆ หรือจะมีการแทรกแซงบ้าง เช่น แลเห็นภาพ แสง สี ผุดขึ้นในมโนภาพ ได้ยินเสียงรบกวนจากภายนอก - ภายใน ได้กลิ่นจากภายนอก รู้สึกหิว กระหาย อยากลิ้มรส หนาว ร้อน หรือ คัน ปวดเมื่อยกาย หรือ ฯลฯ เราก็มีจุดจดจ่อ หรือเครื่องอยู่ที่ช่วยให้กลับไปจดจ่อได้อีกครั้งหนึ่งโดยไม่ตะเลิดเปิดเปิงหรือจดจ่อไปในทิศทางอื่นๆโดยหาที่กลับไม่ได้

    ช่วงแรกของการทำสมาธิ เราจะพบว่า ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ถูกควบคุมจะทำหน้าที่อย่างคมชัดมากขึ้นกว่าปกติ เช่น
    ตา แม้จะหลับตาอยู่ แต่ก็มีความไวที่จะ เห็น แสง หรือ การเคลื่อนไหวในสภาพแวดล้อมผ่านหนังตา
    หู หากมีใครไอ จาม หรือทำเสียงเบาๆ เราจะรู้สึกเสมือนว่าเสียงนั้นดังกว่าปกติ จนทำให้สะดุ้ง
    จมูก หากมีกลิ่นใดๆในสภาพแวดล้อม แม้จะอยู่ไกล จมูกก็ไวได้กลิ่น
    ลิ้น หากภาพที่ผุดขึ้นมาในจินตภาพเกี่่่ยวพันกับอาหาร ลิ้นของเราก็แทบจะรู้รสได้อย่างฉับพลัน และระยะแรกแทนที่จะไม่มีน้ำลาย หรือไม่ต้องกลืนน้ำลาย กลับตรงกันข้าม ต้องกลืนน้ำลายบ่อยกว่าปกติ
    กาย เราจะรู้สึกคัน หนาว ร้อน หรือปวดเมื่อย เมื่อนั่งสมาธิช่วงแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ฝึกใหม่ จะคัน หนาว ร้อน หรือปวดเมื่อยมากมายกว่าปกติ ต่อเมื่อฝึกไปนานๆ อาการเหล่านี้จะลดลงจนหายไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ

    เมื่อพ้นวาระที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าตื่นตัวและทำงานอย่างคมชัดกว่าปกติไปแล้ว เราจะพบว่าประสาทสัมผัสที่ถูกควบคุมและฝึกฝนให้จดจ่อกับเครื่องอยู่ ที่ล้วนแต่มีอยู่ภายใน จะละจากเครื่องอยู่เหล่านั้นไปโดยอัตโนมัติ เพราะธรรมชาติของประสาทสัมผัสทั้งห้าคือ การรับรู้จากภายนอก เมื่อมันถูกควบคุมให้ทำหน้าที่ที่สวนทางกับธรรมชาติ คือหันการจดจ่อเข้าสู่ภายใน มันจะหมดความสนใจและหยุดทำหน้าที่ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของมัน ทำให้ประสาทสัมผัสภายในเริ่มทำหน้าที่แทน

    เมื่อถึงจุดนี้ เราจะพบว่า ไม่ว่าเราจะกำหนดจุดวางจิตไว้ ณ ตำแหน่งใดๆของร่างกาย เช่น หว่างคิ้ว กลางอก กลางกระหม่อม ฯลฯ มันจะกลายเป็นเพียงภาวะจิต ที่คงความสมดุลย์ให้ดำเนินต่อไปในระดับจินตภาพ จุดต่างๆที่สัมพันธ์กับภาวะทางกายภาพหรือร่างกาย จะเหมือนกับว่าหายไปหมด เหลือแต่เพียงสิ่งเดียวคือลมหายใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราทุกคนตระหนักว่า สำคัญต่อชีวิตเป็นที่สุด แต่ในที่สุดลมหายใจก็จะหายไปด้วย หากเราสามารถประคองจิตอันเป็นสมาธิต่อไปได้ เพราะในที่สุดแล้วจิตวิญญาณจะตระหนักว่า มันมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินต่อไปได้ และรู้เห็นได้โดยปราศจากประสาทสัมผัสทั้งห้า หรือประสาทสัมผัสภายนอก และลมหายใจเพียงเบาบางที่สุด ก็ยังคงทำให้มันดำเนินชีวิตเป็นร่างกายเนื้อหนังต่อไปได้

    กล่าวได้ว่า การเข้าสู่ภาวะของการเป็นสมาธิอันลุ่มลึก คือการก้าวล่วงไปสู่ภาวะของการมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินต่อไป ด้วยการเป็นจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของตัวตน โดยอาศัยปัจจัยจากภายนอกน้อยที่สุด อันได้แก่ลมหายใจ เพื่อเชื่อมโยงภาวะอันเป็นกายภาพกับจินตภาพไว้เท่านั้น

    เราจะตระหนักได้ว่า เราเป็นตัวตนอยู่ได้นั้น ไม่ใช่ด้วยปัจจัยภายนอก แต่ด้วยปัจจัยภายใน

    พี่นักเขียนใช้การฝึกสมาธิด้วยการแนะนำนักเรียนชาวอเมริกันให้กำหนดจุดวางจิต และส่วนต่างๆของร่างกายตามนี้ และบอกเป้าหมายกับนักเรียนว่า ในที่สุดแล้ว เราจะพยายามละจากประสาทสัมผัสทั้งห้าทั้งหมด เพื่อเข้าถึงภาวะของการเป็นสมาธิที่เปรียบได้กับ ฌาน 4

    เมื่อบอกเป้าหมายพวกเขาแล้ว ทำให้หลายๆคนเข้าถึงภาวะดังกล่าวได้อย่างง่ายดายค่ะ นักเรียนที่มาเรียนหลักสูตรเพียงหกสัปดาห์จะเข้าสมาธิได้ง่ายและเกิดความชำนาญได้อย่างรวดเร็ว ลองดูนะคะ และหากใครมีวิธีการอื่นๆ ก็ขอให้นำมาแลกเปลี่ยนถ่ายทอดกันอีก พวกเราชาวห้องวิทย์เรียนรู้กันมาหลายสาย มีอะไรดีๆนำมาส่งเสริมกันได้เสมอค่ะ(rose)

    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
    นักเขียน
    http://www.novaanalai.com/novaanalai/index.html
    http://palungjit.org/showthread.php?t=86527&page=228
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2008
  7. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    วันนี้ได้ดูละครเรื่องหนึ่ง ในเนื้อเรื่องนั้นเสนอแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันไม่ว่า
    จะเป็นเรื่องทรัพย์สมบัติ หรือความรัก ส่วนมากจะได้ยินคำพูดประโยคนี้บ่อยๆว่า
    "ถ้าฉันไม่ได้อย่างที่หวัง อย่าคิดว่าคนอื่นจะได้เช่นกัน" คำพูดคำนี้ได้ฟังแล้วรู้สึกถึงอารมณ์ที่พูดนั้นได้เป็นอย่างดี ถ้าเปรียบเทียบถึงคนใช้ชีวิตอย่างปกติล่ะ คงมีอย่างในละครแน่นอนหรืออาจยิ่งกว่าในละครก็ได้ ระหว่างที่ได้ดูนั้นได้ย้อนขึ้นมาพิจารณาว่าสาเหตุที่คนเขาเป็นแบบนั้นเพราะมาจาก ความโลภ
    ความโกรธ ความหลงและยังมีกิเลสอย่างละเอียดอีก ที่คนเรามักมองข้ามสิ่งนี้ไป เพราะมันเป็นความเคยชินที่เราทำอยู่บ่อยๆและแนบเนื่องในจิตใจมานาน
    กิเลสที่สะสมในใจพระท่านเรียกว่า อุปกิเลส

    อุปกิเลสแปลว่า ธรรมชาติที่เข้าไปทำให้ใจเศร้าหมองไม่แจ่มใส ท่านได้แสดงไว้๑๖ประการ
    1.ความเพ่งเล็งอยากได้ไม่เลือกที่ 2.ความพยาบาท
    3.ความโกรธ 4.ความผูกเจ็บใจ
    5.ความลบหลู่บุญคุณ 6.ความตีเสมอ
    7.ความริษยา 8.ความตระหนี่
    9.ความเจ้าเล่ห์ 10.ความโอ้อวด
    11.ความหัวดื้อถือรั้น 12.ความแข่งดี
    13.ความถือตัว 14.ความดูหมิ่น
    15.ความมัวเมา 16.ความประมาทเลินเล่อ

    อุปกิเลสทั้ง16 ประการนี้ แม้ประการใดประการหนึ่งเมื่อเกิดขึ้นในใจแล้ว ก็จะทำให้ใจสกปรกไม่ผ่องใสทันทีและจะส่งผลให้เจ้าของใจหมดความสุขกายสบายใจ เกิดความเร่าร้อนหรือเกิดความฮึกเหิมทะนงตัว เต้นไปตามจังหวะที่อุปกิเลสนั้นๆบงการให้เป็นไป สิ่งที่ได้เอามาฝากให้ทุกท่านได้อ่านนั้น เพื่อที่จะได้ลองค้นใจของตนเองดูว่าเรามีอุปกิเลสข้อไหนบ้าง เพื่อที่จะได้ขัดเกลาให้เบาบางลง แม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็ต้องพยายามขัดเกลาเช่นกัน^-^:boo:
     
  8. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    โมทนาด้วยจ้ะปู...

    อ่านแล้วทำให้มาคิดได้ว่า...

    ตามปกติคนส่วนใหญ่จะต้องทำความสะอาดบ้านกันเป็นประจำ อาจจะทุกวันบ้าง วันเว้นวันบ้าง อาทิตย์ละครั้งบ้าง หรืออาจจะกว่านั้น...

    นอกจากที่อยู่อาศัยแล้วก็มีสังขารร่างกายนี่แหละที่ต้องทำความสะอาดกันเป็นประจำวัน วันละครั้งบ้าง สองครั้งบ้าง หรือจะนานๆ ครั้ง?...

    เมื่อเราทำความสะอาดร่างกาย และสถานที่อยู่กันเป็นเรื่องปกติ มากบ้าง น้อยบ้าง... สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นความเคยชินของแต่ละคน แต่ละบ้านไป...

    ถ้าให้คนที่ทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดร่างกายทุกวันมาเยี่ยมบ้านของคนที่ทำความสะอาดเดือนละครั้ง... อะไรจะเกิดขึ้น...

    ความรู้สึกของคนที่ทำความสะอาดทุกวัน จะคิดว่า ทำไมบ้านนี้รก สกปรกจัง ในขณะที่เจ้าของบ้านไม่รู้สึกอะไร... เพราะนั่น คือความธรรมดาของเขา

    ในทางกลับกัน ถ้าให้คนที่ทำความสะอาดบ้านแบบนานๆ ครั้ง มาเยี่ยมบ้านที่ทำความสะอาดทุกวัน... คนมาเยี่ยมคงอุทาน... โอ้โฮ! บ้านเรียบจัง น่าอยู่น่าอาศัยเหลือเกิน... ในขณะที่เจ้าของบ้าน ยิ้มแฉ่ง แต่ก็รู้สึกว่า เอ! มันก็เรื่องธรรมดานะ...

    อุปกิเลสทั้งหลายก็เปรียบได้กับความสกปรกที่บังเกิดขึ้น...

    มันอยู่ภายในจิตในใจของแต่ละคน มาก - น้อย ไม่เท่ากัน... แต่ละคนล้วนเคยชินกับสิ่งเหล่านั้น จนไม่รู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่ดี หรือไม่ดี... เป็นสิ่งที่สะอาด หรือ สกปรก...

    สำหรับคนที่ไม่ได้คิดจะสำรวจตัวเอง... ก็คงต้องอาศัยอยู่กับสิ่งเหล่านั้นไปจนตาย เกิดใหม่กับมัน ตายอีกกับมัน เกิด และ ตาย วนเวียนไปเรื่อยๆ...

    แต่สำหรับคนที่ฝึกตัวเอง ฝึกสติ ฝึกธรรม ฝึกกาย ฝึกใจ ของตัวเอง... คงต้องใช้ความมานะพยายามไม่น้อยที่จะขจัดสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่ดีนั้นออกไป...

    เพราะสิ่งเหล่านี้... ตราบใดที่เรายังมีอวิชชาอยู่... เช้านี้ขจัดออกไปได้ 10% พอตกบ่ายอาจจะเพิ่มกลับเข้ามา 20 หรืออาจจะมาก - น้อย กว่านั้น... บางทีเราก็เหนื่อย ก็ท้อ ไม่รู้ว่า ทำไมนะ เราจะต้องมานั่งขัด นั่งถูบ้านเรือนอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ในเมื่อถ้าไม่ทำเราก็อยู่ไปได้ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรเลย... แถมมีเวลาไปทำอย่างอื่นที่สนุกสนานกว่าได้ตั้งมากมาย... คนอื่นเขายังอยู่กันได้เลย... ใครๆ เขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น...

    แต่อย่างน้อย สิ่งที่เราจะได้จากการดูตัวเอง ขัดจิตขัดใจตัวเอง ก็คือ เรามีสติมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น... และในครั้งต่อๆ ไป ทุกๆ ครั้งที่เราขัดตัวเอง... เราจะไม่ต้องใช้ความพยายามมากเหมือนกับการที่จะต้องมาทำความสะอาดใหม่ๆ... บางทีแค่ใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ดเพียงแผ่วเบา... สิ่งสกปรกทั้งหลายเหล่านั้นก็หายไปจนหมดสิ้นแล้ว...

    ดังนั้น จึงเหมือนอย่างที่น้องปูสรุปไว้ว่า...

    "...ลองค้นใจของตนเองดูว่าเรามีอุปกิเลสข้อไหนบ้าง เพื่อที่จะได้ขัดเกลาให้เบาบางลง แม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็ต้องพยายามขัดเกลาเช่นกัน^-^:boo:"

    ถ้าเราอยากได้ดี... เราก็ต้องหมั่นขัด หมั่นถู ไป จนกว่าจะเข้าพระนิพพานกันไปข้างหนึ่งนั่นแหละ...

    ...................หน้าที่ของเรา กิจของเรา จึงหมดลง จบลง...............
     
  9. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    เรื่องอุกิเื่ลศผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจมากอาจเพราะตัวใหญ่(กิเลส)มันยังอยู่
    และเห็นด้วยต้องใคร่ครวญ ฟัดกับมันอยู่ตลอดทุกลมหายใจ
    ผมเองจะขัดมัน
    โดยพิจารณาใคร่ครวญตามความจริง(พิจารณากายหรืออริยสัจ4)ให้เห็นอนัตตา(เมื่อคนเราตายสลายไป)
    อนิจจัง(มีการเปลี่ยนแปลงเสมอทุกสรรพสิ่งในโลกร่างกายเรา, ร่างกายของพ่อเราแม่เราก็ตายได้ทุกเวลา ลาภยศทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงเสมอ) ความทุกข(ของคนเรามากๆๆๆๆจนสารยายไม่หมด เช่นร่างกายต้องตายสลายอยู่เสมอสุข? มีการพลัดพลากอยูเสมอ ต้องปรนนิบัติมันอยู่ตลอด ปวดท้องเข้าส้วม ปวดประจำดือนมันมีแต่ทุกข์ทรมานกันตลอด)จนไม่ปารถนาการเกิดและสามโลกอีก
    และพิจารณาให้เห็นความสกปรกอสุภ ธาตุ4 กายคตานุสติ ดูคนสวยใกล้มากๆในใบหน้า จะเห็นขน ผิวหนัง,
    และลองูไม่อาบนำ้ชักเดือนจะสะอาดหรือสกปรก ,ข้างในมีแต่นำ้เลือด นำ้เหลือง นำ้หนองตับ ไต ไส้ ปอดมันสะอาดไหม พิจารณาจนไม่เหลืออะไรให้จับ ถือ วาง ว่างปราศจากกิเลส
    และผมจะสู้กับมัน ขัดเกลามันอย่างเต็มที่ เป็นชาติสุดท้าย ไม่ขอโง่มาทุกข์แบบนี้อีกครับ(deejai)
     
  10. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ได้ฝึกสมาธิวันนี้ มีคุณคณานันท์นำสอน

    ล้างลมหยาบก่อนเริ่มต้น
    พบว่าวันนี้สงบเป็นพิเศษ
    ได้ลมสบายโดยง่าย ไม่โงกหลับ
    พอถึงเมตตาอัปมาณฌาณ ตอนแรกก็ติดขัด
    ช่วงท้ายๆเห็นเท้าใครบางคน นุ่งผ้าสีทองชายพริ้วไหว
    เมื่อมองสูงขึ้นมาเห็นร่างสีทองทรงเครื่องจักรพรรดิืพริ้วไหว บ่าตั้งงอน มีขฏาสีทอง เห็นร่างตรงแต่หน้าเบือนข้าง
    อยู่ในวิหารสีทองหลังคาโปร่ง
    ฉากหลังเป็นสีน้ำเงินเข้ม
    รอบๆปราสาทมีวงรัศมีสีทองแผ่กระแสไปรอบๆ
    เห็นแล้วรู้สึกเป็นสุขและอบอุ่น

    รอบหลังเป็นกสิณ ๑๐ และอรูปฌาณทั้งสี่
    ดูความว่าง ดูร่างกายให้กลับเป็นไม่มี ดูโลกธาตุและจักรวาลเป็นภัสธุมลี และตัดสัญญาให้ปลาสนาสิ้น
    จากนี้ก็ไม่เหลืออะไรอีก..นอกจากเล่นละครโรงนี้จนกว่าจะหมดฤดูการแสดง (สุดท้ายแห่งชีวิต)
    แล้วขอไปที่พระนิพพานแห่งเดียว

    แล้วที่ผ่านมากี่แสนกี่หมื่นชาติ..เราไปหลงอะไรอยู่เล่า..

    สงสัยจริงหนอว่าเห็นใครในปราสาทสีทอง
    อนุโมทนาบุญอ. คณานันท์ผู้ฝึกสอนค่ะ
    อนุโมทนาบุญคุณธรและคุณฤกษ์ด้วยค่ะ
     
  11. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะคะ
    รวมทั้งขอขอบพระคุณ คุณธร และครอบครัว สำหรับความกรุณาในเรื่องสถานที่ และ อาหาร และขอขอบพระคุณ อ.คณานันท์ ผู้ฝึกสอนด้วยค่ะ จะนำไปปฎิบัติเพื่อเป็นพื้นฐานต่อไปค่ะ (ตอนแรกนึกว่าอ.คงอายุประมาณ 50-60 ปีค่ะ ผิดคาด แหะๆ)
     
  12. ปาฏิหาริย์

    ปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +3,516
    ธรรมาจารย์ ผู้ให้แสงแห่งธรรมนั้น

    มิจำเป็นที่จะวัดจากวัยสังขาร

    ฤาวัดจากนามเพศฆราวาสแลบรรพชิต

    ผู้ใดสะกิดจิตหลงใหลให้ตื่นขึ้นแม้เพียงชั่วครู่

    ผู้นั้นสมควรเรียกว่าเป็นครูแห่งตนได้ครับ
     
  13. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368

    ^-^ เห็นด้วยทุกประการค่ะ ^-^
     
  14. ปาฏิหาริย์

    ปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +3,516
    นรชนตายเกิดแล้ว กี่ภพ
    กี่ชาติจักรู้จบ หมดสิ้น
    เวลาล่วงเลยลบ กรรมก่อ ฤาแม่
    วัฏฏะเกิดดับดิ้น กี่ซ้ำ อสงไขย




     
  15. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ
    เรื่อง วนิษา เรซ คัดลอกจาก Post Today <O:p></O:p>
    บางครั้งในชีวิตประจำวัน เรารู้สึกว่ามีหน้าที่หลายอย่างที่เรา "ต้อง" ทำ ทั้งๆที่ขี้เกียจแสนขี้เกียจ หรือเหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วจากการทำงาน เช่น การล้างจานการท่องหนังสือ การจดจ่ออยู่หน้า คอมพิวเตอร์แถมพ่อแม่หลายท่านในปัจจุบันนอกจากทำงานเหนื่อยแล้วยังต้องมานั่งรับส่งลูกเรียนพิเศษ เสาร์อาทิตย์อีก...เวลานั่งรอบางครั้งก็เหนื่อยจนลืมชื่นใจความเก่งความน่ารักของลูกสิ่งของเหล่านี้ดูธรรมดาและดูเหมือนเป็น "หน้าที่" ที่เราต้องกระทำ ทั้งๆที่บางครั้งทำให้เราหงุดหงิด พอควรเลย...ตัวหนูดีเป็นคนเกลียดการล้างจานมากเพราะไม่ชอบความเหนอะของคราบอาหาร และ ความสากมือหลังจากล้างจานเสร็จถึงขนาดมีกฎประจำ ใจเลยว่า ผู้ชายคนไหนจะมาขอหนูดีแต่งงานหนูดีจะให้ล้างจานให้ดูก่อน...แถมอาจมีการเซ็นสัญญากัน ว่าหนูดียินดีทำอาหารทุกชนิด แต่ฝ่ายชายต้องรับอาสาเป็นผู้ล้างจาน...จนกระทั่งวันหนึ่งหนูดีได้ไปปฏิบัติธรรมในวิถีเซนการไปอยู่วัดครั้งนั้นทุกคนต้องล้างจานเอง...พระสอน ว่าเวลาล้างจานเราต้องการอะไรจากการล้างจาน...คำตอบของพวกหนูดี คือ เราต้องการให้จานสะอาด (แหม ถามอะไรตอบง่ายอย่างนี้ ก็มันชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหมคะ)...แต่ท่านบอกว่าตอบผิดค่ะ ...อ้าว ถ้าไม่อยากให้จานสะอาดแล้วจะล้างไปทำไมคะหนูดีงงมาก...ท่านตอบว่า จากนี้ไป ขอให้ ล้างจานเพื่อล้างจานได้ไหม... ทำไมต้อง"ล้างจานเพื่อล้างจาน" กว่าหนูดีจะเข้าใจและทำได้ก็ผ่านไปจากนั้นนานแสนนานและทุกวันนี้ หนูดีก็ยังฝึกเป็นประจำ...เคล็ดอยู่ตรงนี้เองค่ะหากเราล้างจานเพื่อต้องการให้จานสะอาด ก็เหมือนกับเราโยนทิ้งปัจจุบันแล้วรอให้ความสุขเกิด ขึ้นในอนาคตแต่ปัจจุบันคือความทุกข์ที่ต้องอยู่กับจานสกปรกเราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อจานสะอาดแล้วเท่า นั้น ...สรุปว่าใช้ชีวิตแค่กับเป้าหมายรอให้เป้าหมายเป็นผลแล้วค่อยยอมปล่อยใจให้เป็นสุขแต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นทำใจให้สุขกับปัจจุบัน ในขณะล้างจาน จิตจดจ่ออยู่กับน้ำฟองน้ำ และจาน...เป็นสุขอยู่ตรงนั้นซึ่งหลังจากครั้งแรกพระท่านก็สอนที่สูงขึ้นไปอีกว่า จินตนาการดูสิว่า จานเป็นพระพุทธรูปและเรากำลังชำระล้างท่านให้สะอาดอยู่...ไม่เห็นต้องรอวันสงกรานต์แล้วค่อยสรงน้ำ พระ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ความสุขเล็กๆก็เกิดขึ้นได้ตลอดวัน (การคิดในแง่บวก คิดสิ่งดีๆ)ในการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข...หนูดีคิดว่า เราต้อง "แยกให้ออกระหว่าง...วิถี...และ... เป้าหมาย...ก่อน" ...คนส่วนใหญ่มักเอาความสุขไปผูกไว้กับ "เป้าหมาย" แต่....หลงลืมว่าเวลาเกือบทั้งหมดในชีวิต อยู่ที่ "วิถี" ในการไปถึงเป้าหมายนั้นเหมือนเมื่อก่อนหนูดีตั้งเป้าไว้ว่า จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ ให้ได้เกียรตินิยม...และระหว่างภาคเรียนจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหนหนูดีไม่มีหวั่นเพราะเรามีเป้า หมายที่ชัดเจนมาก...พอสอบเสร็จโล่งอกสบายใจ ได้เกรดดีๆก็ดีใจอยู่แผล็บเดียวเดี๋ยวก็เปิดเทอมอีกแล้ว...จะเป็นจะตายต่อไปอีกเทอม...พอมาดูจริงๆแล้วเรียนปริญญาตรีเราจะได้เห็นเกรดตัวเอง หลักๆ ก็ 8 ครั้ง โอ้โห เวลา 4 ปีจะยอมให้ตัวเองมีความสุขใหญ่ๆ แค่ 8 ครั้ง ก็ดูเป็นชีวิตที่เศร้า สร้อยไปหน่อยนะคะดังนั้น การกลับมาปรับ "วิถี"ให้เรามีสุขขึ้นในระหว่างทางกลับทำให้ดัชนีความสุขมวลรวมของชีวิตเราพุ่งสูงขึ้นอีกมาก เมื่อหารเฉลี่ยแล้วทั้งชีวิตเราน่าจะมีความสุขขึ้นอีกมากนะคะ ...เดี๋ยวนี้หนูดีเลยมีกฎใน การใช้ชีวิตว่า "วิถี คือ เป้าหมาย" พูดง่ายๆ ว่าการทำใจให้เป็นสุขเป็นประจำวัน มีสุขในทุกวิถี นั่นแหละคือเป้าหมายส่วนเป้าหมายใหญ่ๆ ภายนอก ก็ยังมีอยู่ค่ะ ไม่ได้ทิ้งหายไปไหนหนูดียังคงวางแผนชีวิตและมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม...อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวหนูดีคนเดียวอีกต่อไปแล้วแต่ยัง รวมคนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาอีกด้วย และหนูดีไม่รอให้ "เป้าหมายสำเร็จ" แล้วค่อยเป็นสุข...ไม่มีกฎอะไรกำหนดนี่คะว่าต้องรอ ก็เลยขอเเรื่อยๆ ดีกว่า ท่าน ติช นัทฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมาก...หนูดีเอามาเขียนเตือนใจตัวเองหน้าหนังสือ "ขอบคุณสรรพสิ่ง" ที่เขียนก่อนนอนเลยค่ะว่า "ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำหรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์ คือ การเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว" หนูดีเห็นด้วยอย่างมากเพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง "ธรรมดา" เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงานกินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็น กลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ...ใช่ค่ะ เรา ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆมีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น แต่ถ้าความ "ธรรมดา" นี้หมดไปล่ะคะ เช่น อยู่ดีๆลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเรา ถูกรถชนตายหรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ...เรื่องก็จะ "ไม่ธรรมดา" ไปในทันที และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ "ธรรมดา"จนใจแทบจะขาด...หนูดีไม่ได้พูดเองเออ เองนะคะแต่เพราะหนูดีอยู่ในอาชีพที่ได้เห็นความพลัดพรากสูญเสียในครอบครัวมาเยอะมากจนเกิดเป็น กฎประจำใจเลยว่า ให้เรารีบชื่นชมกับความ "ธรรมดา"ที่เรามีและใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือ สิ่ง มหัศจรรย์ของจักรวาลเพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือสิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ วันนี้ หนูดีขอชวนทุกๆคนลองมองหาสิ่งธรรมดาๆ สักสองสามสิ่งที่เรามองข้ามไปแล้วลองคิดขอบคุณ เขาไหมคะ เช่นวันนี้เราไม่ปวดฟันเลย ขอบคุณฟันที่อยู่อย่างปกติหรือวันนี้ลูกของเรายังคงมีรอยยิ้มอยู่ บนใบหน้า เรามีความสุขจัง หรือแม้แต่วันนี้รถของเรายังไม่ถูกชน โชคดีจังเลย...เรื่องสุดท้ายนี่หนูดี คิดเป็นประจำเลยค่ะเพราะในโลกนี้ หนูดีเป็นหนึ่งในคนที่รถชอบโดนชนประจำขนาดขับช้าเหมือนเต่า คลานดังนั้น หากวันไหนรถหนูดีอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แค่ได้มองเห็น ก็เป็นสุขแล้วค่ะ .สุขสันต์วันธรรมดาๆ อีกวันหนึ่งนะคะ ขอให้ทำงานอย่างเป็นสุขค่ะ<O:p></O:p>
    (deejai)(deejai)(deejai)
     
  16. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้
     
  17. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

    ใช่แล่วค่ะ
    เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ใต้บวรพระพุทธศาสนานี้ยิ่งพิเศษใหญ่
    ขออนุโมทนาบุญชาววิชชาฯกัลยาณธรรมทุกท่านค่ะ
     
  18. annita

    annita สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +3
    อ่านๆ แล้วน่ากลัวๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ แบบนี้ยอมตายไปเลยดีกว่าถึงมีชีวิตอยู่ก็ลำบากอ่ะคะ
     
  19. amm.

    amm. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2008
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +613
    ความเสื่อมทางโลกจะทำให้เราเจริญทางธรรม...
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <TABLE class=tborder id=post1265260 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>annita<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1265260", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งล่าสุด: วันนี้ 02:23 PM
    วันที่สมัคร: Apr 2008
    ข้อความ: 32
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 41
    ได้รับอนุโมทนา 69 ครั้ง ใน 25 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1265260 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ่านๆ แล้วน่ากลัวๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ แบบนี้ยอมตายไปเลยดีกว่าถึงมีชีวิตอยู่ก็ลำบากอ่ะคะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    แล้วหากเกิดใหม่ มาเกิดในฐานะที่ทุกข์ยากลำบากกว่า ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะทำอย่างไรดีล่ะครับ

    ตอนนี้เราเกิดเป็นคนมีอาการครบ 32 ประการ หากเกิดเป็นคนพิการ หูหนวกตาบอด แขนขาพิการจะทำอย่างไรดี

    หากเกิดมาเป็นยาจกเข็ญใจ เป็นทาส อดมื้อกินมื้อจะทำอย่างไรดี

    หากไปเกิดเป็นสัตว์บ้าง เกิดเป็นเปรตบ้าง เกิดไปเสวยกรรมในนรกบ้าง จะทำอย่างไรดี

    หาเส้นทางแห่งการไม่เกิด จะดีกว่าไหม
     

แชร์หน้านี้

Loading...