วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ครับคุณจันทร์เจ้า ผมก็มีอาการแบบนี้บ่อยๆครับขณะที่นั่งสมาธิไปสักพัก ทำให้นั่งไม่ทน และลำบากมาก พยายามไม่ใส่ใจกับอาการนั้นอยู่น่ะครับ..(ต้องลองทำแบบที่คุณคนานันท์แนะนำดูก่อนครับ) ตอนหลังผมก็ไม่เน้นนั่งนานๆแต่อาศัยช่วงสั้นๆทำจิตให้เป็นกลาง เชื่อมต่อกับจิตวิญญาณโดยตรง และฝึกฝนคิดรู้ไปกับจิตวิญญาณที่เป็นตัวรู้ไปเลยครับ..ขอบคุณคุณคนานันท์สำหรับความรู้ครับ..

    ถ้าจะอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ให้เห็นภาพเกี่ยวกับเทคนิคสมาธิก็จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ 3ส่วนนี้ กาย จิต จิตวิญญาณ ที่รวมกันเป็นหนึ่ง

    ส่วนเรื่อง"ต่อมไพนีล"(ตาที่สาม) ที่คุณจันทร์เจ้าเอ่ยถึงนั้น เป็นช่องทางเข้าออกของคลื่นพลังงานจะเป็นเสมือนที่ตั้งของจิตหยาบครับ ส่วนที่ตั้งของจิตวิญญาณจะอยู่บริเวณ "ต่อมพิทูอิทารี่" ซึ่งมีตำแหน่งอยู่ตรงกับหว่างคิ้วพอดีครับ

    จิตวิญญาณที่เป็นประธานและเป็นแก่นแท้ตัวตนที่แท้จริง เมื่อมาอยู่ในกายเราจะถูกแบ่งภาคออกมาเป็น จิตหยาบหรือจิตปัจจุบัน ให้มาทำหน้าที่แทน (เหมือนคนขับรถ) ในการคิดรู้และกระทำหน้าที่ต่างๆในมิติทางกายภาพและมิติทางพลังงาน จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาที่เราละสังขารไปจิตหยาบจะมอบคุณสมบัติทั้งหลายที่สร้างไว้ให้กับจิตวิญญาณรับภาระต่อไป และจิตหยาบก็จะสลายไปกับกายสังขารนี้ด้วยทันที

    จิตวิญญาณจะเป็นรับผิดชอบการกระทำเหล่านั้นทั้งหมด ที่จะต้องชดใช้ผลการกระทำต่างๆและรอการปลดปล่อยไปสู่อิสระภาพในท้ายที่สุดเมื่อกลับมามีคุณสมบัติเป็นกลางได้เหมือนเดิม

    ที่นี้การจะเชื่อมโยงจิตทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้อีกครั้ง ก็คือการทำให้จิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นคลื่นพลังด้านบวกออกมา โดยใช้ "กลไกสมอง"เป็นตัวช่วยสร้างสะพานเชื่อมสมองทั้งสองซีกเข้าด้วยกัน เมื่อฝึกการคิดรู้ใดๆที่เป็นนามธรรม สิ่งที่ไร้รูป ไร้ตัวตนไม่ยึดติดหรือคิดหาตัวตน จนสมองเกิดความชำนาญ สมองซีกขวาจะทำหน้าที่นำสมองซีกซ้ายทันที (กระแสไฟฟ้าจะสลับขั้วใหม่)

    จากนั้นเราจะต้องเลื่อนระดับความสำเร็จขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยการเพิ่มความรู้และการสร้างสรรค์ การกระทำดังกล่าว จะทำให้เราเข้าใจตัวตนสามมิติของเรามากขึ้น และมันจะทำให้จิตวิญญาณรวมแข็งแกร่งขึ้น และบางส่วนของจิตวิญญาณรวมก็จะตระหนัก และรู้จริงถึงภาวะความเป็นร่างกายสามมิติในโลกสามมิติ ความรู้นี้ก็จะเพิ่มเติมคุณภาพให้กับธรรมชาติตัวตนของเรา ความรู้จะหลั่งไหลมาเองโดยอัตโนมัติจากจิตวิญญาณของเราเอง และเมื่อสมองเราถูกฝึกจนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ หรือสั่นสะเทือนสูงสุดจนดูเหมือนไม่สั่นสะเทือนแล้ว สมองส่วนกลางของเราจะทำหน้าที่หลักเต็มประสิทธิภาพ จนสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อเชื่อมโยงติดต่อกับรูปธรรมอื่นๆได้ทั้งในแนวดิ่งและแนวระนาบได้ สมองกับจิตที่ถูกยกระดับขึ้น จะทำหน้าที่สัมพันธ์กับอยู่ตลอดเวลาครับ

    จิตวิญญาณจึงให้ลมหายใจแก่ร่างกายตัวตนสามมิติซึ่งสถิตย์ในร่างกาย ในการเชี่อมโยงระหว่างกัน เพื่อการสื่อสารกันด้วยข้อมูลของโลกแห่งความจริง ที่ไม่ใช่มายา ในยามที่เรามีสติอยู่เมื่อเราจะตัดสินใจสิ่งใดๆ แวปแรกที่เราสัมผัสได้นั่นคือจิตวิญญาณกำลังสื่อสารกับเรา หรือแม้ในตอนที่เราฝันก็ตาม

    เมื่อเรียนรู้โลกสามมิติไปพร้อมๆกับจิตวิญญาณแล้วจนเข้าใจถ่องแท้แล้ว ก็พร้อมจะเรียนรู้ธรรมชาติของจิตต่อไป รู้ในความสามารถของจิตในระดับสูงขึ้นต่อไปได้

    และเรี่องที่ กายทิพย์เราออกจากร่างนั้นไม่ได้ออกไปทั้งหมดนะครับ จะพุ่งออกไปบางส่วนไปปรากฎอยู่ในสถานที่แห่งนั้น แต่เชี่อมโยงกันอยู่กับร่างกายเราตลอดเวลาครับ ไม่งั้นคงกลับไม่ถูกแน่ครับต้องอาศัยบารมีแห่งองค์พุทธะนำพาไปจะดีที่สุดปลอดภัยกว่านะครับ..แต่อย่าไปยึดติดอารมณ์เหล่านี้มากเกินไปครับ ใช้ปฎิบัติการทางจิต ชำระจิตใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ เข้าหาความเป็นจิตเดิมแท้ให้ได้มากที่สุดก่อน ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ตอนนี้ดีที่สุดครับ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1039017246.jpg
      1039017246.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.1 KB
      เปิดดู:
      739
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2006
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ถูกทั้งความเข้าใจของคุณจันทร์เจ้า และคุณ Mead ครับ เป็นการอธิบายกลไกของกายและจิต ที่อ้างอิงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ครับ มีข้อดีคือทำให้ คนในยุคนี้เข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ เพราะ คนเรามีหลายวิสัยหลายจริต จำเป็นต้องมีการอธิบายที่หลากหลายเหมาะสมกับภูมิ พื้นฐานความรู้และจริตครับ
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ส่วนความรู้บทต่อไปเรื่องอรูปฌานนะครับ ตรงจุดนี้ ขอย้ำว่า มีคุณอนันต์และโทษมหันต์ครับ เพราะ อานิสงค์ของท่านที่ได้ อรูปฌานและพิจารณาในวิปัสนาญาณต่อจนบรรลุธรรม จะมีผลทำให้ได้ปฏิสัมภิทาญาณโดยอัตโนมัติครับ ตั้งแต่ อนาคาจนถึงอรหันตผลครับ การได้ปฏิสัมภิทาญาณนั้นมีผลทำให้
    1.มีอภิญญาใหญ่ปรากฏเต็มรูปแบบ
    2.มีความสามารถรู้ภาษามนุษย์และสัตว์ได้ทุกภาษา
    3.ทรงพระไตรปิฏกได้ทั้งหมดแม้ไม่เคยเรียน เคยศึกษา
    4.สามารถสอนธรรมมะที่ง่ายๆ มาแจงให้พิศดาร
    5.สามารถสอนธรรมมะที่ยากลึกซึ้งให้กลายเป็นง่ายดาย เข้าใจง่าย

    ---ส่วนเหตุผลที่ทำให้ การฝึกอรูปฌานแล้วทำให้มีผลแห่งปฏิสัมภิทาญาณนั้นเป็นเพราะ ในองค์หนึ่งในอรูปนั้น มีการลบสัญญาความทรงจำ การล้าง ผัสสะจากอายตนะทั้งห้า มีการล้างการปรุงแต่งทางจิตและอารมณ์กระทบทั้งหมด ดังนั้น จึงเปรียบให้เข้าใจง่ายก็คือเมื่อจิตของเราเหมือนฮาร์ดดิสส์ที่มีข้อมูลขยะจาก เรื่องราวต่างๆ ที่มากระทบ ทั้งดี ทั้งร้าย ทั้งมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ บางครั้งทำให้เกิด การ Over Information โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยนี้ ยิ่งมีมหาศาล การเคลื่อนจิตเข้าสู่อรูปฌานได้นั้น เปรียบเหมือน การฟอร์แมตดิสส์ ล้างข้อมูลขยะ และบักของโปรแกรมเสียๆออกไปจนหมด จนจิตเราใสสะอาด ว่างเปล่า และมีเนื้อที่มากพอที่จะบรรจุข้อมูลใหม่ๆที่ดีเข้าไปได้ นั่นคือวิปัสนาญาณ ซึ่งจะทำให้ปฏิสัมภิทาญาณบังเกิดเป็นผลแห่งการปฏิบัตินั่นเอง

    ----ส่วนที่ว่ามีโทษมหันต์ ก็คือ หากแม้น จิตเราติดหรือพอใจ หรือหลงว่าอรูปนี้คือ นิพพาน (โดยเฉพาะที่เชื่อว่านิพพานคือความว่าง) เมื่อตายไปจิตเราจะไปเกิดเป็นอรูปพรหม ซึ่งไม่มีสัญญา ไม่มีการติดต่อ ไม่สามารถคิด หรือสร้างบุญใหม่ หรืออธิฐานไปเกิดเพื่อ สร้างบารมีต่อไปได้ ดังนั้นถึง เสวยบุญนานแต่ก็เสวยบุญหรือความดีจนหมดสิ้น จนหมดบุญก็ต้องเสวยกรรมคือนรกทันที ไม่สามารถใช้เทคนิคแบบเทพพรหมชั้นอื่นที่พอใกล้หมดบุญก็รีบย่องไปสร้างบารมีเพิ่ม หรืออธิฐานลงมาเกิดเพื่อสร้างบุญ เติมบุญไม่ให้พร่องในขณะที่มีพลังบุญพอที่จะทำได้ ดังนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ และระลึกรู้ว่าอ.ทั้งสองของท่านได้ตายและไปติดยังอรูปพรหม จึงได้อุทานว่า อ.ของท่านทั้งสองได้ฉิบหายเสียจากความดีเสียแล้ว ด้วยอาการฉะนี้

    ---ดังนั้น พระท่านและหลวงพ่อจึงสอนอรูปและสอนการยกอารมณ์วิปัสนาญาณต่อเนื่องไปจนถึง อารมณ์นิพพานเสมอ เพื่อป้องกันศิษย์ของท่านให้เข้าถึงความดีสูงสุดในพระพุทธศาสนาครับ
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ------เริ่มการปฏิบัติกันเลยครับ

    ------ เริ่มต้นที่จับลมสบายครับ ต่อด้วยระลึกถึงคุณพระรัตนไตย ระลึกถึงศีล ระลึกถึงบุญความดี ระลึกถึงเมตตา พรหมวิหารสี่ ระลึกถึงวิปัสนาญาณตัดขันธ์ห้าให้ใจละเอียด เบาบาง ปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายของเราและของบุคคลอื่น

    --- จากนั้นจับภาพพระให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก เปร่งรัศมีสว่างไสวแพรวพราว ขอบารมีพระท่านยกจิตอาทิสมานกายของเรา ขึ้นสู่พระนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แยกกายออกไปกราบทุกท่านทุกพระองค์และน้อมถวาย ดอกบัวแก้วอันเกิดจากอำนาจบุญกุศลของเรา น้อมถวายท่านทุกพระองค์ด้วยเทอญ.

    ----จากนั้นให้กำหนดจิตพิจารณาวิปัสนาญาณให้เห็นความทุกข์ ความเสื่อม ความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความสกปรกในร่างกาย อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า บนพระนิพพาน ให้จิตสะอาดและคลายจากความยึดมั่นในร่างกาย

    ----กราบขอบารมี พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ ขอให้ จิตของข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์สูงสุดของอรูปฌาน และได้ วสี ความชำนาญในการเข้าออกฌานของอรูปฌานด้วยเทอญ

    ----------ต่อไปกราบขอบารมีพระท่านให้เมตตา ปรากฏ ครูบาอาจารย์ของเราในอดีตชาติและท่านที่มีวาสนา เกี่ยวพันกันมา รวมทั้งหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ท่านได้โปรดเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเราบนพระนิพพานนี้เพื่ออบรมสั่งสอน ฌานและอรูปฌาน สมาธิจิต ที่ถูกต้องตามแบบแผนและที่ลึกซึ้งพิศดารด้วยเทอญ

    ----ขอให้เริ่มการเข้าฌานสี่ โดยการจับภาพพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสติกรรมฐาน ควบกับกสิณแสงสว่าง โดยการ จับภาพพระพุทธเจ้า ที่ใสสว่างและค่อยๆขาวขึ้น สว่างขึ้น จนเปร่งแสง สว่างเต็มที่เหมือนพระอาทิตย์ทรงกรด และยังเปร่งรัศมีเป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราว เป็นแก้วประกายพรึก

    ----จากนั้นเข้าอรูปฌานที่หนึ่ง ชื่อ อากาสานัญจายตนะ โดยการเพิก ถอนภาพพระพุทธรูปออกจากจิต แต่ให้จิตตั้งมั่นในสภาวะที่เป็นอากาศที่เว้งว้าง ว่างเปล่า เห็นเมือน จิตเราลอยอยู่ในที่โล่งขาว ว่างเปล่าไปหมด กำหนดในจิตว่าอากาสเหล่านี้ว่างมากไม่มีนิมิตรเครื่องหมายอะไร มีแต่ความว่างไร้แก่นสารใดๆ จนอารมณ์ทรงตัว หยุดนิ่งอยู่กับอากาศที่เว้งว้างนี้ เมื่อจิตทรงตัวดีจัดว่าเป็น อรูปฌานที่ 1.

    ----กลับมาจับภาพพระพุทธรูปที่ใสเป็นแก้วประกายพรึกจากนั้น เพิกภาพนิมิตรออกไป จากนั้นเคลื่อนจิตเข้าสู่ วิญญานัญจายตนะ พิจารณาว่า วิญญานก็คือจิต ที่ไม่เที่ยงมีอาการคิด ไปๆมาๆหาที่สุดที่หยุดไม่ได้ ไปยึดติดกับวัตถุ บ้าง คนบ้าง ไม่มีความแน่นอนเดี๋ยวก็ชอบ เดี๋ยวก็เกลียด ไม่มีความเที่ยงแท้ เราไม่สนใจในจิต ที่กวัดแกว่งไปมา เราต้องการคืออากาศที่เว้งว้างว่างเปล่าหาขอบเขตไม่ได้ ให้จิตทรงตัวกับอารมณ์ที่ว่างจากความคิดมีเพียงสภาวะแห่งความว่างเว้งว้างว่างเปล่า เมื่อจิตทรงตัว ก็ถือว่า ได้อรูปฌานที่ 2

    -----จับภาพพระพุทธรูปใสเป็นแก้วประกายพรึก จากนั้นเคลื่อนจิตสู่อากิญจัญญายตนะฌาน พิจารณาเห็นว่า วัตถุ สิ่งของทุกอย่างในโลกล้วนแตกสลาย ผุพังไปหมด บ้านเรือน ภูเขา กำแพง รวมทั้งร่างกายเรา ล้วนผุพังแตกสลายจนหมด วัตถุและดลกนี้ล้วนไร้แก่นสาร สุดท้ายย่อมกลายเป็นอากาศที่เว้งว้างว่างเปล่า เมื่ออารมณ์ ทรงตัว จิตก็เข้าสู่อรูปฌานที่ 3

    ----จิตจับภาพพระพุทธรูปใสเป็นแก้วประกายพรึก และเพิกนิมิตรออกจากจิต พิจารณา เนวสัญญานาสัญญายตนะฌาน ว่า อันสัญญา ความรู้สึก ความจำได้หมายรู้นั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์เพราะเราไปปรุงแต่ง ดังนั้น ร้อนก็ช่าง หิวก็ช่าง หนาวก็ช่าง คนด่าก็ช่างคนชมก็ช่าง ไม่ใส่ใจปรุงแต่งในผัสสะทั้งห้า มีสัญญาก็เหมือนไม่มีสัญญา เฉยๆไปในทุกสิ่ง มีเพียงความว่างเว้งว้างจิตไม่รับรู้ในอายตนะ และไม่ปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น จิตทรงตัวอยู่กับความเว้งว้างว่างเปล่า ไม่มีพื้น ไม่มีเพดาน ไม่มีขอบเขตใดๆ เมื่อจิตทรงตัว ก็ได้ชื่อว่าได้อรูปฌานที่ 4 จบสมาบัติแปด

    ---จากนั้น ใช้กำลังของสมาบัติแปด ยกอารมณ์จิตในวิปัสนาฌานมาพิจารณา สังโยชน์สิบ
    ไล่ตั้งแต่พิจารณาร่างกายเราว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของสกปรก เป็นรังของโรค
    จากนั้นพิจารณาว่าเรามีความมั่นคงในพระรัตนไตย และตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ
    พิจารณาว่า ศีลของเราบริสุทธ์ และจิตเราเปี่ยมไปด้วยพรหมวิหารสี่
    พิจารณาว่า จิตใจเราเห็นโทษในกามคุณห้า จากสิ่งล่อคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ว่าเป็นเครื่องล่อหรือกับดักให้เราหลงพอใจในชาติภพ ติดอยู่ในสังสารวัฏนี้ เราจะเพิกทิ้งเสีย
    พิจารณาต่อไปว่าเมื่อกามฉันทะเรายังละได้ พยาบาท ความโกรธ ปฏิฆะ ความหงุดหงิด จึ๊กจั๊ก รำคาญใจเราย่อมตัดทิ้งไม่ยึดถือ ให้จิตดองอยู่กับยาพิษแห่งจิตแบบนั้นอีกต่อไป
    พิจารณาต่อไปว่า พรหมก็ดี อรูปพรหมก็ดียังไม่เป็นที่สุดแห่งทุกข์ ที่เดียวที่เราต้องการคือพระนิพพาน ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงเมตตาสั่งสอนเรามานั่นเอง
    ใช้กำลังฌานแปดตัดความมานะถือตัวว่าเราดีกว่าเราเก่งกว่าเราโง่กว่า เราฉลาดกว่าออกไปจากจิต
    จิตไม่มีความฟุ้งซ่านรำคาญใจ จิตมั่นคงอยู่จุดเดียวคือพระนิพพานเป็นอารมณ์
    จากนั้นใช้กำลังฌานทำลายอวิชชา อันคือความโง่ความไม่รู้ ความหลง ความยึดติด ทั้งมวล ล้างออกไปจากจิต จิตรู้เท่าทันภาวะความเป็นไปในร่างกายขันธ์ห้าทั้งของเราและของบุคคลอื่น ปล่อยวางจากการยึดติดในชาติภพ เบื่อหน่าบในร่างกาย เบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิดจิตต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน เมื่อจิตรู้เท่าทันความเป็นจริงของอริยสัจสี่ จิตก็เข้าถึงความเป็นธรรมดาในทุกสิ่ง ยอมรับกฏแห่งกรรมโดยไม่มีความทุกข์ใดเกาะใจเราได้อีก เป็นปรกติ และธรรมชาติสูงสุดในธรรม

    ----จากนั้นยกจิตขึ้นสู่พระนิพพาน จะสังเกตุเห็นว่าอาทิสมานกายของเราสว่างไสว กว่าปรกติขึ้นอย่างมาก แยกจิตออกกราบพระ และทุกท่านผู้มีพระคุณ จากนั้นอธิฐานกำกับว่าขอให้เราจำอารมณ์และใช้กำลังของสมาบัติแปดนี้ได้ทุกครั้งที่ต้องการเพื่อใช้ตัดกิเลสได้ด้วยเทอญ
    ----จากนั้นกราบลาทุกๆพระองค์และแผ่เมตตาอัปปันนาณฌาน ด้วยกำลังของสมาบัติแปด บนพระนิพพาน แล้วจึงทิ้งอาทิสมานกายไว้ ที่วิมานของตนบนพระนิพพานครับ

    ----ขอกราบโมทนาท่านที่ทำได้ทุกท่านครับ ขอให้ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2006
  5. jeesuz

    jeesuz สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +14
    ผมพึ่งเข้าเวบนี้ครั้งแรกรู้สึกประทับใจมาก อยากเรียนรู้ อยากปฏิบัติ แต่ผมคงทำได้ไม่ทั้งหมด แต่อยากทราบว่า ถ้าผมจะเข้าสมาธิ ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิใช่มั้ยคับ ยืน เดิน นอน นั่งได้หมดรึป่าว แล้วถ้าผมยัง รักษาศีล5ไม่ได้หมด ผมจะสามารถเข้าฌานเห็นสิ่ง ต่างๆได้รึป่าวคับ

    เรื่องทุกอย่างเป็นประโยชน์กับผมมาก อยากให้มีการเผยแพร่ให้คนอื่นรู้มากๆจังคับ
     
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    คุณ Mead ทราบวิธีการทำงานของสมองหรือไม่ครับ?
    หากทราบแล้วพอจะอธิบายให้ฟังได้หรือไม่ ผมอยากรู้เรื่องนี้ครับ
    หรือหากมีเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถอธิบายในที่นี่ได้ (กรณีที่คุณทราบ)
    รบกวนช่วยบอกเหตุผลว่าทำไมคุณถึงไม่อยากอธิบายได้หรือไม่ครับ
    (ผมเดาว่าก่อนจะทราบวิธีการใช้กลไกของสมอง ต้องทราบถึงวิธีการทำงานของสมองเสียก่อน)
    ----------------------------------------------คุณจันทร์เจ้า

    รบกวนขอพื้นที่คุณคนานันท์ สักเล็กน้อยครับ เนื่องจากส่งข้อความส่วนตัวให้คุณจันทร์เจ้าไม่ได้เลยครับ เรื่องนี้เป็นความรู้ใหม่ๆที่เกรงว่าจะยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่เห็นว่าสามารถเติมเต็มความรู้เดิมได้ด้วย ขอเอามาลงไว้ด้วยนะครับ

    เรื่องกลไกจิต + สมอง ที่มีความสัมพันธ์กัน มีองค์ประกอบหลักๆดังนี้
    เมื่อเกิดการรับรู้ใดๆขึ้น จุดแรกที่รับรู้ก็คือจิตปัจจุบันบริเวณตาที่สาม

    ต่อมไพนีล เป็นศูนย์รวมการรับรู้ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) มีช่องทางเข้าออกของคลื่นพลังงาน มีคุณสมบัติไวต่อคลื่นความถี่ทุชนิดโดยเฉพาะพลังงานแสง เมื่อเกิดการรับรู้สิ่งใดๆขึ้น จะสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้า

    คอพัสคอลอซั่ม เป็นต่อมไร้ท่อใต้สมอง มีหน้าที่ขยายคลื่นสัญญาณ และสร้างสายธารประจุไฟฟ้าที่เป็น (+) หรือ (-) ตามอารมณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยการแผ่รังสี (radiation) ไปสู่ต่อม "เทรเนี่ยม"

    เทรเนี่ยม ทำหน้าที่ตรวจสอบ,คัดแยก,แปลงสัญญาณคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้า ให้เป็นคลื่นความถี่ไฟฟ้าทางเคมี ผ่านไปทางเม็ดเลือดแดงในเส้นเลือดส่งต่อไปให้ต่อมใต้สมองทั้งสองซีก

    ต่อมทาลามัส (สมองซีกขวา) เป็นต่อมไร้ท่อที่เชี่ยวชาญในการรับคลื่นความถี่ด้านบวก (+)
    ต่อมไฮโปทาลามัส (สมองซีกซ้าย) เป็นต่อมไร้ท่อที่เชี่ยวชาญในการรับคลื่นความถี่ด้านลบ (-) และจะส่งข้อมูลต่อไปที่จิตวิญญาณคือ ที่ต่อมพิทูอิทารี่

    ต่อมพิทูอิทารี่ เป็นที่ตั้งของจิตญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นประธานหรือแก่นแท้
    เปรียบได้กับลักษณะของไข่แดงที่เป็นนิวเคลียส มีฉนวนหรือพี่เลี้ยงปกป้องอยู่รอบรอบ และมีเปลือกนอกของจิตวิญญาณเป็นพลังงานที่เข้มข้นห่อหุ้มอยู่ (เป็นเหมือนยานพาหนะของจิต) แล้วข้อมูลนั้นจะส่งไปสู่สมองเป็นการกระทำทั้งมิติทางพลังงาน และมิติทางกายภาพ ทั้งสองด้านไปพร้อมๆกัน

    ถ้าคิดเป็นบวก (+) หมายถึง ความรัก ความเมตตา กรุณา อุเบกขา และความสงบในจิตการฝึกสมาธิ ก็จะตรงตามคุณสมบัติที่จิตวิญญาณต้องการ จิตจะนำไปเติมเต็มและ modify ประจุไฟฟ้าเดิม และสร้างพลังงานขึ้นใหม่ และเหวี่ยวออกมาทางตาที่สามมอบให้กับมนุษย์หรือสัตว์ รวมทั้งโลกใบนี้ให้สมดุลยิ่งขึ้น

    ถ้าคิดเป็นลบ (-) หมายถึงคิดในตรงกันข้ามกัน(โลภ โกรธ หลง งมงาย) จะถูกบันทึกไว้ที่เปลือกนอกของจิตวิญญาณ (เมอร์คะบาร์) บันทึกเป็นรหัสบุพรกรรมแม่เหล็ก (วิบากกรรม)ที่ต้องรอการแก้ไข ชดใช้ ขจัดออกไปให้หมดสิ้นด้วยตนเอง ด้วยการสร้างประจุบวกแทนที่ เพื่อทำให้อนุภาคประจุลบเป็นกลาง

    เมื่อสร้างประจุบวกออกมามากๆแล้ว ความเป็นบวกจะล้นออกมาจากจิต จนเป็นกลางไม่มีทั้งบวกและลบหลงเหลืออยู่ มีแต่พลังแห่งบารมีที่สูงส่งแผ่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แบบจิตพระอรหันต์ ที่สว่างใสบริสุทธ์ เมื่อพบเห็นที่ใดๆก็จะรู้สึกปิติสุขบอกไม่ถูกน่ะครับ

    ข้อมูลนี้ไปอ่านเพิ่มเติมจากหนังสืออาจารย์ปริญญา ตันสกุล ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • tu_1.jpg
      tu_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.9 KB
      เปิดดู:
      751
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2006
  7. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    สมาธิทำได้ทุกอิริยาบถครับ สำหรับผู้เริ่มต้นให้ฝึกอาปานสติก่อนนะครับเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ปฎิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา สติอยู่กับลมหายใจเข้าออก
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ความรู้ที่ได้จากคุณคนานันท์ เป็นประโยชน์มากครับ..โดนส่วนต้วไม่เคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อนเลยครับ..อาศัยอ่านจากหนังสือแบบสายพระป่า แนวลมปราณของทิเบต แต่น่าจะเอาไปประยุกต์ใช้ต่อยอดกันได้นะครับ..ถ้าหากเรามีสติและสมาธิทุกลมหายใจ ทุกอริยบทได้ก็นับว่าได้เริ่มปูทางเดิน เพื่อก้าวเข้าสู่ประตูธรรมแห่งพุทธะได้แล้ว ..(ส่วนตัวผมยังต้องฝึกอีกเยอะครับ..)
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ตอบคุณ mead ครับ ได้เลยครับ และขอขอบคุณมากๆสำหรับคำแนะนำเพื่อความรู้ของอีกหลายๆท่านครับ

    คุณ Jeesuz การทำสมาธินั้นไม่ จำกัด อิริยาบทครับ ยืนเดิน นั่งนอนวิ่งว่ายน้ำ ที่จริงทำได้ทุกอิริยาบทครับ หลักสำคัญก็อย่างที่ น้องนาคาช่วยตอบครับคือ ควรเริ่มที่อานาปานสติ ก่อน และจับลมหายใจสบายให้ได้ เมื่อได้ลมและอารมณ์สบายแล้วก็จำอารมณ์และรักษาไว้เพื่อเป็นฐานของสมาธิที่สูงขึ้นไปครับ ส่วนใหญ่ที่ผมแนะนำให้นี่เหมือนบันได ก้าวทีละขั้น วันละก้าวอยู่แล้วครับ เหมือนเริ่มต้นจาก หนึ่งได้เลยครับ ขอให้ก้าวหน้าในการปฏิบัตินะครับ
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สำหรับวันนี้ผมขอให้เป็นการบ้านครับ ขอแบ่งเป็นสามกลุ่มตามระดับของกำลังใจครับ

    1. ยังไม่ได้สมาบัติแปด (อรูปฌาน) ให้ลองทบทวนและฝึกใหม่ รวมทั้งย้อนไปพิจารณาวิปัสนาญาณให้มากขึ้น
    2. ได้สมาบัติแปดแล้ว ทำให้คล่องตัวในทุกๆฌาน จนจบถึงอารมณ์พระนิพพาน

    3. ท่านที่เป็นพุทธภูมิและกำลังใจสูงให้ ฝึกพิเศษ โดย เริ่มต้นจากกสิณทุกกองไล่อารมณ์ฌาน 1,2,3,4 และอรูป 1-2-3-4 จนถึงอารมณ์ พระนิพพาน ไล่ตั้งแต่ กสิณดินจนถึงอารมณ์พระนิพพาน และไล่กองกสิณ ทั้งสิบกองให้จบครับ ไม่ยากเกินกำลังใจท่านครับ

    ทำได้ หรือไม่ได้อย่างไร ติดขัดตรงจุดไหน ส่งข่าวบอกถามตอบในกระทู้นี้ครับ แล้ววันจันทร์พบกันอีกทีนะครับ สาธุ สำหรับท่านที่ตั้งใจว่าจะทำให้ได้ครับ
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอทบทวนและเน้นหลักของอรูปฌานก่อนนะครับ โดยหลักการแล้วผมยึดแนวคำสอนของทางหลวงพ่อฤาษีลิงดำครับ และอธิบายตามที่พระข้างบนท่านบอกและตามอารมณ์ที่ตนเองทำได้ครับ

    หลักของอรูปฌาน หรือการวางอารมณ์ในอรูปฌาน
    1.อรูปฌานนั้นต้องใช้พื้นฐานของฌานสี่ และยกจิตขึ้น คล้ายอารมณ์วิปัสนาญาน แต่ยังไม่ใช่วิปัสนาญาน
    2.นิมิตรของอรูปฌานทั้งสี่ คล้ายกัน คือ เหมือนจิตลอยอยู่ในที่ว่าง เว้งว้างว่างเปล่า สี่ขาว สุดสายตา แต่ อารมณ์พิจารณาของฌานแต่ละฌานแตกต่างกัน
    3.เมื่อใช้มโนมยิทธิ ขึ้นไปดูสภาวะของท่านที่อยู่ในอรูปพรหมแล้ว จะมีสภาวะ เหมือนดวงสว่างมีหยักแบบลูกฟัก (โบราณจึงเรียกว่าพรหมลูกฟัก) ลอยนิ่งๆอยู่เต็มไปหมด ในภพนั้น ไม่มีรูป ไม่มีการรับรู้ รับส่งญาณใดๆ กล่าวคือท่านที่ได้ อรูปฌาน เป็นอรูปพรหมนี้พอใจในภาวะที่ไร้รูป ไร้อายตนะ ไร้การปรุงแต่ง จิตจึงเหมือนตลบกลับมาห่อหุ้มดวงจิตของตนเองเอาไว้จากสภาวะภายนอกทั้งปวง ส่วนคล้ายเปลือกของจิตที่หุ้มนี้ จึงมีลักษณะ เป็นหยัก เป็นลอน ต่างจากจิตทั่วไปที่เป็นดวงกลม
    4. เมื่อได้อรูปฌาน ครบหรือได้สมาบัติแปด แล้วควรใช้กำลังจากสมาบัติแปด เป็นฐานในการวิปัสนา ตัดสังโยชน์สิบ ให้ขาดเพื่อยกจิตขึ้นสู่ โลกุตร โดย สังโยชน์สิบนั้นเป็นเครื่องร้อยรัดจิตเราให้มีกิเลสเครื่องเศร้าหมอง เปรียบเหมือนเชือกเส้นใหญ่ วิปัสนาญาณเปรียบเหมือนดาบที่มีความคม กล้าตามกำลังปัญญาในธรรมของเรา ส่วน กำลังสมาธิและสมาบัติที่ได้นั้นเหมือนกำลังกายที่แข็งแกร่งของผู้ใช้ดาบ ตัดสังโยชน์สิบและกองกิเลส ให้เด็ดขาด เป็น สมุทเฉทประหาร กำลังทั้งของสมถะและวิปัสนา ต้องมีกำลังเพียงพอครับ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้

    นี่คือประโยชน์และการนำสมาบัติแปดมาใช้ครับ ขอให้ก้าวหน้าในธรรมนะครับ
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วันนี้เรามาคุยกันต่อเรื่องการฝึกจิต ให้บริสุทธิ์กันครับ ที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้ ทั้งพื้นฐาน ทั้งสมถะและวิปัสนากรรมฐานไปได้ มากพอสมควรแล้ว ต่อไปเราลองมามองย้อน ถึงเป้าหมายและภาระกิจที่ทำให้เรามาฝึก มาปฏิบัติจิตกันครับ

    ผมเชื่อว่า เป้าหมายสูงสุดของทุกท่านทั้งที่ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดี ไม่ว่าจะเป็นวิสัย ของพุทธภูมิก็ดี สาวกภูมิก็ดี และไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ท้ายสุดก็ต้องเข้าสู่พระนิพพานทุกท่าน เพียงแต่ท่านที่กำลังใจสูง และบารมีเต็ม ก็สามารถไปนิพพานได้ในชาตินี้ สูงท่านที่มีกำลังใจรองลงมา หรือมีภาะกิจอื่นก็เข้าสู่พระนิพพาน เร็วช้า ลดหลั่นกันไป ตามเหตุตามปัจจัย แต่ท้ายที่สุด ทุกท่านก็ต้องถึงซึ่งพระนิพพานครับ เป้าหมายสูงสุดนี้ ทุกท่านได้บำเพ็ญบารมีกันมาเป็นเวลายาวนาน นับอสงไขยกัลปป์กันมาแล้วครับ ดังนั้นย่อมไม่ใช่ง่ายเลยที่ท่านจะมาสนใจในธรรมมะ และตั้งใจปฏิบัติได้ขนาดนี้ ดังนั้นขอให้ทุกท่านอย่าคลาดจากพระนิพพานทุกเวลา ทุกอารมณ์ ทุกๆท่านนะครับ

    ส่วนภาระกิจนั้น เป็น สิ่งที่เราได้รับมอบหมายมาให้ทำในอันตภาพนี้ก็ดี สิ่งที่เราตั้งจิตเจตนาอธิฐานลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีก็ดี สิ่งที่เราทำไปด้วยผลของกรรมก็ดี ขอให้ท่านใช้พลังแห่งอภิญญา สมาบัติ และความบริสุทธ์ของจิต ถามพระท่านดูครับ และทำภาระกิจนั้นให้เต็มกำลัง พร้อมด้วย บารมีทั้งสามสิบทัศน์ครับ เชื่อมั่นในความดีที่อยู่ภายในใจของท่านทุกคน อิ่มใจทุกครั้งที่ท่านได้ทำความดี เมื่อเห็นความดีของท่านผู้อื่นครับ ผมเชื่อมั่นในจิตใจที่งดงามของทุกๆท่านครับ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคหรือสิ่งใดมาขัดขวางหรือชักจูงอย่างใด ก็ไม่สามารถทำให้ทุกท่านหวั่นไหวไปได้ ความดีและความเมตตาเป็นเนื้อแท้ เนื้อเดียวกับจิตใจของท่านครับ

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมในการปฏิบัติ ในการทำความดีที่ยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    นำความรู้เพิ่มเติม จากอ.ปริญญา เรื่องของการทำสมาธิมาลงที่นี่ ด้วยนะครับ

    หนทางที่จะทำให้เราเป็นผู้มี "ปัญญาวิมุติ" คือการที่เราต้องรู้จักหัดเป็นครูของตนเอง คือการเป็นครูคนแรกและเป็นครูคนสุดท้ายของตนเองให้จงได้ ครูอาจารย์และพระพุทธเจ้า ทุกๆท่านเพียงช่วยชี้แนวและทางสร้างแนวคิดให้เท่านั้น ไม่อาจนำพาจิตวิญญาณของเราไปนิพพานได้ ต้องลงมือทำและปฎิบัติด้วยตนเอง

    อย่าคิดว่าการ"การประพฤติศีล ปฎิบัติธรรม"เท่านั้นจะทำให้เรานิพพานได้ สิ่งนั้นเป็นเพียงก้าวแรก ต้องรู้จัก"ละวางกิเลส ปฎิเสธตัญหา ไม่คิดหาตัวตน หรือหลงเงามายา" อันจะเป็นการขัดเกลาดวงจิต ที่ทำให้จิตใจเราพิสุทธิ์ผ่องใสยิ่งขึ้น

    ***ฝึกกำหนดจิต ให้มีทิศทางที่ถูกต้อง
    การทำสมาธินั่งกรรมฐาน คือ การฝึกกำหนดจิต อย่าให้จิตกำหนดเรา โดยการฝึกให้จิตยึดมั่นอะไรสักสิ่งหนึ่ง เช่นลมหายใจ หรือคำภาวนา เพื่อให้จิตไม่แกว่งไปมา หรือจะนั่งนิ่งหรือเดินก้าวย่างแล้วภาวนายุบหนอ-พองหนอก็ตาม จะได้ผลดีมากน้อย ขึ้นอยู่กับใจเป็นหลักว่านิ่งสงบดีหรือไม่ เป้าหมายเพื่อ การรู้เท่าทันอารมณ์ เรื่องความสุข-ความทุกข์ ความดี -ความชั่ว

    จากนั้นจึงฝึก วิปัสนากรรมฐาน เพื่อให้เกิดผลด้านปัญญา จากการพิจารณาเรื่องใกล้ตัวและไกลตัว ฝึกให้เกิดความเคยชิน จนสามารถ เป็นนายเหนือจิต ควบคุมจิตได้ จนเกิดปัญญาวิมุติในการพิจารณาเหตุต่างๆ ได้ด้วยตนเอง

    แต่การฝึกของฆราวาส จะให้ฝึกกรรมฐานกันทั้งวันหรือเอาอย่างพระสงฆ์ทุกประการนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะเรามีหน้าที่ต้องทำงานและดูแลครอบครัว แต่พระท่านมีเวลาว่างมากกว่าจึงพิจารณาได้ตลอดทั้งวัน ส่วนเราต้องพบเจอเรื่องราวมากมายในการดำเนินชีวิตประจำวัน จึงต้องฝึก"มหาสติ"เอาไว้เพื่อไปใช้ในชิวิตประจำวัน เพื่อการไม่สร้างเงื่อนไขใดๆ ในอันจะก่อให้เกิด"ผลกรรม"เกิดขึ้น

    มหาสติ คิอ
    - มีสติ
    - รู้สติ
    - ใช้สติ
    ปฎิบัติมหาสติ ในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง

    ***ฝึกอบรมจิต ให้มีพลังอำนาจที่แข็งแกร่ง เพื่อการใช้งาน (สอนจิต)

    ต้องอาศัยความ "ตั้งมั่นอยู่"จากภายในมาสร้างชีวิต สร้างตนเองให้สมดุล มีอุเบกขา ทนต่อสิ่งยั่วยุที่เข้ามากระทบ ถ้าใครมายั่วเรา เราจะจิตตกไหม?
    ใครนินทา ว่าร้าย ต้องไม่ตกเป็นทาสของเงื่อนไขใดๆนั้น ต้องสงบ นิ่ง อิ่มเอิบ เบิกบาน อยู่เช่นนั้น สามารถวางเฉยได้ แต่ไม่ใช่การไม่สนใจใดๆในชีวิต

    ***ต้องฝึกจิตตนเองให้มีความบริสุทธิ์
    ---บริสุทธิ์เข้าไว้ ไม่มีขยะ กิเลสตัณหา
    ---มีสติปัญญา คิดรู้ด้วยตนเองใหได้
    ---อย่านำไปใช้ด้านมืด ซึ่งไม่ใช่หนทาง

    ไม่ให้แปดเปื้อน อย่าข้องแวะ เรื่องโลภะ โทสะ โมหะ
    ฝึกการใช้จิตที่มีความใสพิสุทธิ์นั้น ฝึกการคิดรู้ด้วยตนเองให้ได้ สามารถคิดหลายๆเรื่องพร้อมกันได้ (เพราะเวลามีน้อยแล้ว)
    ใช้ปัญญาวิมุตินั้น ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้ ชวนพี่ น้องๆคนอื่นๆ "นิพพาน"ด้วย

    ถ้าเป็นมนุษย์ที่ไม่สมดุล ก็คือขยะชิ้นหนึ่งที่รกโลก ขยะอยู่ตรงไหนเขาก็เห็นและตามไปเก็บได้
    ส่วนผู้ที่เป็น "คนดี" ก็จะอยู่ยาก ถ้าไปอยู่ในพิกัดนั้น ก็มีโอกาสถูกลูกหลงได้เช่นกัน




    สำหรับผู้ที่นั่งกรรมฐาน ต่อจากนี้มิติจะเปิดให้ได้รับข่าวสารที่จำเป็น ให้รู้เท่าทันหายนะภัย ด้วยตนเองจาก จิตจักรวาลและช่างเทคนิคที่เกี่ยวข้อง (หย่อนข่าวสารมาให้ ใครที่นั่งสมาธิสามารถรับได้โดยตรง)


    ในอนาคต การนั่งกรรมฐาน ในยุคพลังงานใหม่ "แปลว่าการรับฟังข่าวสารจากจักรวาล" จะเกิดขึ้นในยุคพระศรีอารเมตตรัย โดยการยกระดับค่าพลังงานของโลก จาก333 เป็น 666


    มนุษย์--เป็นผู้พิทักษ์ความสมดุล ค้ำจุนทุกสิ่ง
    รหัสเปลี่ยนใหม่แล้ว
    ไม่ได้เกิดมาเพื่อ "ชดใช้กรรม"
    แต่เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ "สร้างสมดุล และค้ำจุนระบบโลก"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2006
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    สวัสดีครับ ทุกๆท่าน ตอนนี้ เราก็ได้เรียนรู้ วิชชา สมาธิกันมาจนแทบจะครบถ้วนแล้ว เริ่มตั้งแต่ สมาธิขั้นต้น ไล่ขึ้นมาจนถึงสมาบัติแปด ซึ่งเป็นอารมณ์ฌานในสมถะที่มีกำลังสูงที่สุด มีอานิสงค์ในการปฏิบัติได้ถึง การได้ปฏิสัมภิทาญาณ ส่วนวิปัสนาญาณนั้น เราก็ได้เรียนรู้กัน ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึง การตัดสังโยชน์สิบและอารมณ์นิพพาน

    --สิ่งที่ท่านต้องเรียนรู้ต่อไปนั้น เป็นหน้าที่ที่ตัวท่านเองต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ตั้งใจ ด้วยตัวเอง นำความรู้ที่ได้มาใช้เพื่อคุณธรรม การช่วยเหลือ ตัวท่านเอง เพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ ทั้งหลายให้ ตื่นขึ้น พ้นจากความทุกข์ และเข้าถึงธรรมในที่สุด ครูบาอาจารย์ของท่านต่อไปนั้น ท่านจะมาสอนท่านจากภายใน จิตของท่านเอง อภิญญา สมาบัติจะบังเกิดขึ้นกับท่านได้ก็ด้วยความดี คุณธรรม สัมมาทิษฐิของจิตใจท่านเอง ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายวางจิตอยู่ในมหาสติปัฏฐานสี่อัน ประกอบด้วย
    การพิจารณากาย ว่า เป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่เที่ยง มีความตายในที่สุด
    การพิจารณาเวทนา ว่า ความรู้สึกในอิริยาบทต่างๆ ความรู้สึกที่มากระทบ ว่าไม่เที่ยง
    การพิจารณาจิต ของเราเอง ว่า จิตสะอาด หรือไม่สะอาด มีกิเลสหรือไม่ และประคองจิตไว้กับพระพุทธเจ้าและอารมณ์นิพพานไว้เสมอ
    การพิจารณาธรรม ว่าธรรมใดที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้เจริญขึ้น ธรรมใด คุณธรรมใด ศีลข้อใด ที่ยังไม่เต็มก็จงทำให้เต็ม วิปัสนาญาณที่ยังไม่ปรากฏก็ขอให้ปรากฏขึ้นในจิตของเรา

    ---ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ อย่าทิ้งพระพุทธเจ้าและคำสอนของพระองค์ท่านไปจากใจของเรา รวมทั้งให้อธิฐานให้ท่านคุ้มครองกาย วาจา ใจ ของเราให้ตั้งมั่นอยู่ใน สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ อยู่เสมอทุกๆวัน

    ---ความก้าวหน้าในสมาธิจิตนั้นขึ้นอยู่กับพลังแห่งการเรียนรู้ และพลังแห่งการพัฒนาตัวเองของท่านแต่ละคนว่า มีอิทธิบาทสี่มากน้อยเพียงไร รวมถึงวาสนาบารมีในอดีตชาติด้วย

    ---ขอให้ทุกท่านก้าวหน้าและเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ ผมขอกราบโมทนาบุญด้วยทุกท่านทุกประการครับ
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วันนี้เรามาคุยในเรื่องของการโมทนาบุญกันครับ

    ---การโมทนาบุญนั้น เป็นบุญเป็นกุศลในสายพรหมวิหารสี่ใน มุทิตาจิต และผลของการโมทนาบุญนั้นจะบังเกิด ผลบุญที่เรียกกันว่า โมทนามัย ซึ่งมีผลหย่อนจากตัวผู้ทำบุญ กุศลนั้นเองบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับผู้ขอโมทนานั้นได้โมทนาเต็มหัวจิตหัวใจเพียงไร ในขณะเดียวกันศัตรูของการโมทนาบุญนั้น ได้แก่ ความอิจฉา ริษยา เห็นผู้อื่นได้ทำบุญทำกุศล เกรงว่าจะได้ดีกว่าตน สิ่งนี้เป็นโทษต่อความดีที่จะพึงเกิดขึ้นในจิตของตนเอง ทั้งๆที่บุญจากโมทนามัยนี้เป็นสิ่งที่เราได้มาเปล่าๆไม่ต้องลงแรงลงทรัพย์เพื่อการทำบุญ แค่เพียงจิตเรายินดีอย่างบริสุทธิ์ใจต่อความดี ต่อกุศลที่ท่านผู้อื่นได้ ลงมือกระทำและบำเพ็ญด้วยความเต็มใจเท่านนั้น ส่วนผู้ที่ท่านได้เป็นต้นบุญต้นกุศลนั้นเล่า ควรวางกำลังใจในสัมมาทิษฐิว่าอันบุญ อันกุศลที่เราได้บำเพ็ญแล้วนั้น มีท่านผู้อื่นได้โมทนาและยินดีในบุญกุศลและความดีนี้แล้ว ย่อมทำให้กระแสแห่งบุญแห่งกุศลนี้ งอกงามเพิ่มขึ้น สืบต่อกันไปประดุจ เปลวเทียนที่จุดต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด และเมื่อนั้นเราก็ยินดีในบุญจากโมทนามัยของท่านผู้ขอโมทนาบุญกับเราด้วย ซึ่งหมายความว่ารวมแล้วเราได้บุญ จากกุศลที่เราได้ทำได้บำเพ็ญโดยตรงแล้วเรายังได้บุญจากการโมทนาบุญ ของท่านผู้ขอโมทนาบุญกับเราทุกๆท่านอีกด้วย แต่หากท่านมีมิจฉาทิษฐิคิดไปเองว่า หากมีผู้มาโมทนาบุญกับเราเดี๋ยวบุญเราจะหมดเราไม่ให้หรอก เมื่อนั้นจิตท่านก็จะปรากฏความเศร้าหมองทำให้บุญที่เราทำมีผลย่อหย่อนลงไป และทำให้เราไม่ได้กุศลจาก การโมทนาบุญของผู้ขอโมทนาบุญจากเรา
    ดังนั้นเราจึงควรวางกำลังใจและอธิฐานจิตเราเมื่อมีผู้ขอโมทนาบุญจากเราว่า

    "เราขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ให้กับท่านทั้งหลายที่ขอโมทนาบุญกับเราในทุกครั้งทุกโอกาส ไม่ว่าเราจะทำในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี และที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคตก็ดี ที่เราได้ทราบก็ดี ไม่ทราบก็ดี จะเป็น มนุษย์หรือเทพพรหม เทวา พญานาค ก็ดี ที่มีกายเนื้อก็ดี ไม่มีกายเนื้อก็ดี ขอให้เขาเหล่านี้ จงประสพแต่ความสุขพ้นจากความทุกข์พ้นภัยจากวัฏสงสาร สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ"

    ส่วนการโมทนาบุญนั้น แบ่งออกได้ตามขนาดและวาระได้สามประการคือ
    1. การอนุโมทนา หมายถึงการโมทนาบุญ ของบุคคลใด ในการทำบุญเฉพาะครั้งใดครั้งหนึ่ง เช่น พี่เราได้เลี้ยงพระเพลที่วัด เราก็ได้อนุโมทนาบุญด้วยครั้งหนึ่ง
    2.การโมทนาบุญ หมายถึงการโมทนาบุญในกองกุศล ที่หมู่คณะนั้นได้บำเพ็ญ เช่นการโมทนาบุญกฐินที่เวบพลังจิตได้จะเป็นเจ้าภาพร่วม หรือการโมทนาบุญของบุคคลใด บุคคลหนึ่งโดยเฉพาะในบุญที่เขาบำเพ็ญมาตลอด เป็นต้น
    3.การมหาโมทนาบุญ นั้นหมายถึงการ โมทนาความดี กุศล ผลบุญทั้งปวงที่ได้ปรากฏขึ้น ทั่วอนันต์จักวาล ทั้งสามไตรภูมิ หนึ่งนิพพาน ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต ซึ่งล่วงข้ามมิติของสถานที่และกาลเวลา เป็นมหากุศลที่ จะไหลรวมมาหล่อเลี้ยง ดวงจิตของพระโพธิสัตว์ทุกดวงให้สว่างไสว การมหาโมทนาบุญนี้ เป็น การปฏิบัติ มุทิตาอัปปันณานฌาน นั่นเอง พระโพธิสัตว์และท่านผู้ฉลาดในการโมทนาย่อมเข้าใจในการทำมหาโมทนาเป็นปรกติ ธรรมดา


    หวังว่าท่านทั้งหลาย จะได้ความรู้ในเรื่องการโมทนาบุญเพิ่มขึ้น และได้ใช้เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติ ต่อไปครับ
     
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *******************
    หลักสัจจะธรรม...ความจริง
    *******************
    แก่นสาร
    คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง
    จะสามารถ เบี่ยงเบนกรรม
    ก่อนที่จะมาถึงตัวได้ !!!

    สิ่งนั้น คือ "สัจจะ"
    เป็นสิ่งที่ "โลกุตตระ" ส่งมอบให้...พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ได้ปฏิบัติ


    ค้นหา...ความจริง ที่ไม่ใช่ความเห็น (ของมนุษย์)
    ใน กระทู้ ...
    "ที่พึ่งสุดท้าย คือ สัจจะ...กับ....โลกุตตระ"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จิตเจตนาที่ผมได้ลงเรื่องราวในการปฏิบัติธรรมเพื่อการพัฒนาจิตและสมาธิในชื่อว่า "วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ"นี้ ก็เพื่อที่จะเป็นการช่วยยกระดับและความสามารถทางจิตใจของผู้คนให้สูงขึ้น เพราะ ณ เวลานี้ ภัยพิบัติทางธรรมชาติได้เกิดขึ้นทั่วโลกแล้วและมีแนวโน้มที่จะรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงขีดการทำลายล้างสูงสุด เพื่อเป็นการปรับสมดุลคืนสู่ธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกัน อารยะธรรมของมนุษย์ซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นความเจริญทางวัตถุอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดก็กลับส่งผลให้ระดับคุณธรรมทางด้านจิตใจของมวลมนุษย์ก็ตกต่ำเลวร้ายลงอย่างน่าตกใจ ด้านชาชินชากับความเลวความชั่ว หิริโอตปะ ไม่เป็นที่รู้จักกันอีกต่อไป

    ---แต่ในยุคสมัยแห่งกลียุคนี้ก็ยังมีความหวังที่ปลายอุโมงค์อยู่ ในกลุ่มคนที่จมอยู่ในอวิชชา ก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ มีธรรมมะในจิตใจ และรอการฟื้นตื่นขึ้นมาจากภายใน ยังมี เมล็ดพันธุ์แห่งโพธิจิต ที่กำลังจะแตกหน่อออกเพื่อขยายความรู้แห่งธรรมและนำความเจริญทางด้านจิตใจมาสู่หัวใจของหมู่ชน ดังที่มีคำทำนายไว้ว่า หลังยุคสมัยจากภัยพิบัติ แล้ว พระพุทธศาสนาจะกลับมาเจริญรุ่งเรืองคล้ายในสมัยพุทธกาล มากด้วยท่านผู้เข้าใจในธรรมและท่านผู้บรรลุธรรม

    ---ตัวผมเองนั้น เป็นคนธรรมดาๆ เพียงคนหนึ่งซึ่งเชื่อและเคารพในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าผลแห่งการปฏิบัติมีจริง อริยมรรค อริยผลมีจริง ท่านบอกให้ผมทำ ผมปฏิบัติผมก็ทำ ตามที่ท่านบอก ท่านสอน สิ่งที่ปรากฏในกระทู้นี้ เป็นเหมือนการรวบรวมสิ่งที่ท่านถ่ายทอด ท่านได้สั่งสอนเอาไว้ ตามที่ผมทำได้ ปฏิบัติได้ และในขณะเดียวกันในขณะที่ผมได้แนะนำในการปฏิบัติในกระทู้นี้ บางส่วนผมก็ได้ทบทวนและได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆไปพร้อมๆกับท่านทุกๆครั้งครับ ดังนั้นหากแม้นความรู้ที่ได้ปรากฏนี้ ขอให้ท่านได้เข้าใจว่าเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าท่านได้สั่งสอนสืบทอดกันต่อๆมามีหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด หาได้ เป็นความรู้ของผมครับ ผมมีหน้าที่ถ่ายทอด และเล่าประสบการณ์ในการปฏิบัติที่ทำที่ได้ครับตามที่พระท่านสั่งมา ส่วนอภิญญาใหญ่นั้น เมื่อถึงวาระจึงจะปรากฏขึ้นครับแต่ก็ใกล้มากๆแล้ว

    ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจปฏิบัติ เพื่อเร่งยกระดับ ภูมิจิต ภูมิธรรมให้ ก้าวหน้าขึ้น และขอให้ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิทั้งหลายได้ ยกจิตขึ้นสู่สัมมาทิษฐิ ก้าวขึ้นสู่จิตของพระโพธิสัตว์ และส่วนท่านที่ เข้าถึงความเป็นพระโพธิสัตว์แล้วก็จงขอให้ยกจิตขึ้นสู่ความเป็นพระอริยโพธิสัตว์ (ความบริสุทธ์ของจิตคล้ายพระอริยะ) ด้วยเทอญ
     
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอโทษทีครับ หายไปหลายวันเนื่องจากภาระทางโลกและงานของทางโครงการซ่อมแซมบูรณะพระพุทธรูปทั่วพุทธอาณาจักรครับ

    ---วันนี้เรามาคุยกัน ในหมวดการปฏิบัติ ภาค อภิญญา ในญาณแปดเรื่อง "ศาสตร์ว่าด้วยการระลึกชาติ" กันดีกว่าครับ

    ---"ศาสตร์ว่าด้วยการระลึกชาติ" นั้นแบ่งออกได้เป็น สองประเภทใหญ่คือ
    การระลึกชาติได้เอง ซึ่งแบ่งออกเป็น การระลึกชาติได้ตั้งแต่กำเนิด กล่าวคือ พอโตรู้ความได้ พูดได้ การระลึกชาติก็จะปรากฏขึ้น กรณีนี้เกิดขึ้นจาก การที่บุคคลผู้นั้น เมื่อตายจากชาติที่แล้วก็มาจุติเกิดเป็นมนุษย์ในชาติใหม่ทันที ไม่ได้ผ่าน การเสวยผลบุญผลกรรมก่อน ทำให้สัญญา ความจำเก่าในจิตยังไม่ทันจางจากใจไปหมด
    กรณีต่อไปเกิดจากการอธิฐานไว้ ในอดีตชาติ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ได้ เรื่องดี ก็อย่างเช่นท่านที่ได้อธิฐานว่าจะมาเกิดเพื่อทำหน้าที่ประโยชน์ ต่อ แผ่นดินไทย ต่อพระศาสนา กรณีนี้ เป็นการสร้างการบำเพ็ญบารมี นับว่ามีคุณ ควรทำให้ยิ่งๆขึ้นไป
    ส่วนอย่างร้าย ก็เช่นท่านที่อธิฐานด้วยแรงอาฆาต แรงพยาบาท และระลึกชาติเพื่อการจองเวรก่อเวรเป็นต้น หากมีสติรู้ทันในกรรมนี้ได้ก็ควรเร่งทำการอธิฐานล้าง โดยการ อโหสิกรรมโดยเร็วเพื่อไม่ให้ เกิดเวรกับทั้งทุกฝ่าย
    การระลึกชาติแบบนี้ อาจ จะรู้ เฉพาะเรื่องหรือ ทราบเรื่องตลอดทั้งชาติก็ได้

    ---การระลึกชาติได้ด้วยการฝึกจิตฝึกสมาธิ
    ประเภทนี้ แบ่งออกเป็น ท่านที่เคยได้ในอดีตชาติ เมื่อมาฝึกใหม่ ได้รับการกระตุ้นเล็กน้อยก็ทำได้ไม่ยากเกินวิสัย เนื่องจากเคยจำอารมณ์นั้นได้มาแล้ว
    ส่วนอีกประเภท คือท่านที่ยังไม่เคยได้ในอดีตชาติ ประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาฝึกฝนนานกว่าประเภทแรก แต่หากท่านผู้นั้นมีบารมีหรือหน้าที่จำเป็นที่สมควรได้ก็อาจจะทำให้การฝึกฝนง่ายขึ้น
    การระลึกชาติจากการฝึกจิตนั้น ส่วนใหญ่โดยพื้นฐานแล้ว จะใช้อำนาจของกสิณเป็นหลักอันได้แก่ อาโลกสิณ กสิณไฟ และกสิณน้ำ โดยการเข้า สมาธิให้สุด ฌานสี่แล้วจึงอธิฐานจิตให้ ภาพของอดีตชาติปรากฏขึ้นในสมาธิ ส่วนใหญ่วิธีนี้ จะระลึกชาติได้ไม่มากอาจจะเพียงชาติเดียว เนื่องจากใช้กำลังฌาน กำลังสมาธิของตัวเอง
    ส่วนที่ใช้การฝึกจิตและระลึกชาติได้นั้น มีผลจากการฝึกวิชามโนมยิทธิใน การใช้ญาณแปด ที่ชื่อว่า บุพเพนิวาสานุสติญาณ ทำให้ระลึกชาติในอดีตได้ วิธีนี้ ฝึกได้ไม่ยากจนเกินไป และได้เร็ว ระลึกชาติย้อนกลับไปได้หลายชาติ เนื่องจาก เป็นการขอบารมีจากพระท่านให้มาช่วย ไม่ใช้กำลังฌาน กำลังสมาธิของตนเพียงอย่างเดียว

    ---ระลึกชาติไปเพื่ออะไร ? การระลึกชาตินั้น เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายคลายจางในการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อความเห็นทุกข์ในการเกิดของเราในแต่ละชาติ เพื่อให้รู้ว่าไม่ว่าเราจะเกิดเป็นใคร จะสูงจะต่ำเพียงไรก็ทุกข์ เพื่อให้เข้าใจสมมติในทรัพย์ในสมบัติที่เคย เป็นของเราแต่พอตาย ทุกสิ่งก็เปลี่ยนเจ้าของ ไม่ใช่ทรัพย์สินของเราอีก ส่วนตัวเราก็ไม่อาจเอาสิ่งใดไปได้นอกจากความดีงามของจิตใจ บุญกุศล บารมี และความดีที่เราได้สั่งสอนถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานให้เป็นสกุลสัมมาทิษฐิสืบต่อไป
    ขอให้ท่านทั้งหลายที่ตั้งใจฝึกการระลึกชาติ แล้วขอให้เจริญวิปัสนาญาณต่อจนจิตเกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดจนจิตยกขึ้นสู่ อารมณ์นิพพานด้วยเทอญ
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ต่อไปเป็นข้อแนะนำในการฝึกการระลึกชาติให้ได้ผลดี กล่าวคือมีความถูกต้องแม่นยำสูง ระลึกชาติย้อนกลับไปได้ จำนวนหลายชาติ และย้อนถอยกลับออกไปได้ไกล

    ข้อแนะนำในการฝึกการระลึกชาติ มีดังนี้

    1. ต้องรู้จักธรรมชาติของจิตก่อนว่า จิตนั้นมีการบันทึกเรื่องราว รวมทั้งกรรมดี กรรมชั่วไว้ในทุกๆดวงจิต เป็นปรกติ เรื่องราวของชาติภพ ในชาติที่อยู่ใกล้ก็จะอยู่ด้านบนของจิต และถูกบันทึกทับซ้อนขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นชั้นๆ (layer)โดยในความเป็นจริงนั้นเรื่องราวในแต่ละชาติ จะถูกร้อยเรียงเหมือนเส้นไข่มุกที่มีความยาวไม่สิ้นสุด และในไข่มุกแต่ละเม็ด(ขอเปรียบเทียบว่าเหมือนเม็ดไข่มุกเนื่องจากมีลักษณะเช่นนั้น คือเป็นทรงกลมขาวสว่าง) ก็จะบรรจุเรื่องราวที่ปรากฏขึ้นในแต่ละชาติ ดังนั้นเรื่องราวของชาติภพที่อยู่ไกลมากๆ ก็จะระลึกได้ยากกว่าชาติภพที่อยู่ใกล้ เป็นธรรมดา และความยาวของเส้นไข่มุกแห่งชาติภพนี้ มีความยาวไม่สิ้นสุดเป็น infinity และมีเพียงวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านนั้นจึงจะระลึกได้สูงสุดจนถึงจุดเริ่มต้น ส่วนรองลงมา ก็ได้แก่พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณผู้เป็นเอกทัคคะทางด้านการระลึกชาติ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณผู้ตั้งจิตอธิฐานเรื่องการระลึกชาติไว้ พระโพธิสัตว์ ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ผู้มีวิสัยสาวกภูมิและเป็นผู้ทรงฌานสมาบัติตามลำดับไป

    2.ความถูกต้องชัดเจนและสว่างแจ่มใส ของญาณที่ปรากฏนั้น ขึ้นอยู่กับ
    --ความสะอาดของจิตในการใช้วิปัสนาญาณชำระล้างกิเลสออกไปจากจิต ถ้าจิตสะอาดมากความถูกต้องและความสว่างชัดเจนของภาพในสมาธิก็มีมากตามไปด้วย

    --ความศรัทธาไม่ลังเลสงสัยในพระรัตนไตยและผลในการปฏิบัติ ถ้ามีความสงสัยและไม่ชัดเจนในการปฏิบัติ ไม่มีผลในการปฏิบัติเลย ถึงมีภาพปรากฏในจิตก็ผิดถึง 90 % เป็นเหตุผลที่ มีท่านที่ไม่เชื่อในการปฏิบัติกล่าวโจมตีการปฏิบัติว่าไม่จริงบ้างเป็นอุปาทานบ้าง เพราะตนเองไม่มีผลในการปฏิบัติตั้งแต่ต้นนั่นเอง ส่วนท่านที่ทำได้ปฏิบัติได้ เมื่อรู้เมื่อเห็นแล้ว ก็จงวางใจให้เป็นกลางๆเป็นอุเบกขา เหมือนเรื่องที่ปรากฏเป็นเรื่องราวของคนอื่น เป็นเรื่องราวที่ทราบเพื่อปลง ให้เข้าใจในกฏของกรรม และผลของกรรม อย่าได้ไปปรุงแต่งเพื่อยึดติดต่อไป และที่สำคัญจงอย่าได้เล่าเรื่องราวในอดีตชาติให้ผู้ที่ไม่เชื่อไม่ปฏิบัติฟังเนื่องจากจะเป็นการปรามาสผลในการปฏิบัติของผู้ฟังที่ไม่เชื่อ อาจทำให้เขากลายเป็นมิจฉาทิษฐิได้

    --ระดับและกำลังของสมาธิและฌานสมาบัติ ยิ่งสมาธิสูงก็ยิ่งทำให้ยิ่งมีความถูกต้องชัดเจน

    3.เทคนิคในการระลึกชาติให้ได้นั้น เรามักเริ่มจากการอธิฐานเพื่อระลึกชาติที่ผ่านมาให้ได้ก่อน
    จากนั้นใช้เทคนิคที่เรียกว่า "สื่อ"การสืบค้น มาประกอบการฝึกระลึกชาติ เช่น การใช้สถานที่สืบค้น การใช้บุคคล การใช้เหตุการณ์ และที่มีผลและอยากแนะนำที่สุดคือการใช้การ สร้างกุศล และการบำเพ็ญบารมี เพื่อเป็นสื่อในการระลึกชาติ ซึ่งจะมีผลเป็นอานิสงค์ช่วยดึงผลบุญเก่าในอดีตชาติของเราให้กลับมาปรากฏและส่งผลในปัจจุบันได้ด้วย
    --ขอแนะนำวิธีการไว้ดังนี้ ใช้กำลังของมโนมยิทธิ ทรงอารมณ์นิพพานและ" ให้อธิฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านให้เมตตาสงเคราะห์ ขอให้ ข้าพเจ้าได้เห็นชาติภพที่ข้าพเจ้าได้สร้าง หรือร่วมสร้างพระพุทธรูปไว้ในพระพุทธศาสนาด้วยเถิด " จากนั้นก็จงไล่ดูในแต่ละชาติ จะปรากฏภาพของอดีตชาติขึ้นในจิต บางท่านเฉพาะเรื่องเดียวปรากฏถึง สิบถึงร้อยชาติก็มี เมื่อดูจบในแต่ละชาติให้อธิฐานว่า "ขอให้ผลบุญในอดีตชาตินี้จงส่งผลมีอานิสงค์ต่อข้าพเจ้าในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ"

    4.บางท่านที่ระลึกชาติได้บ่อยเป็นปรกติแล้วญาณตัวรู้ก็จะปรากฏขึ้นเป็นอัตโนมัติ เช่นเมื่อไปในสถานที่ที่เกี่ยวพันกับเราในอดีต เราก็จะเกิดรู้เห็นเรื่องราวในอดีตนั้นๆ หรือเกิดปรากฏการณ์ "เดจาวู" ขึ้น บางครั้งเราได้รู้จักใครใหม่ๆแต่ก็จะรู้สึกคุ้นเคยและ เกิดมีตัวรู้ เรื่องราวความเกี่ยวพันในอดีตชาติของเรากับเขาขึ้น ซึ่งอาจจะมีทั้งที่ดี คือการร่วมทำบุญสร้างกุศลกันมา และที่ร้ายคือ มีเวรมีกรรมต่อกันมา เมื่อได้รู้ได้ทราบเรื่องในอดีตชาติ ถ้าเป็นบุญก็จงโมทนาของทั้งเราทั้งเขาให้บุญนั้นเจริญยิ่งๆขึ้นไป แต่ถ้าเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมก็จง รีบอโหสิกรรมให้กันและกันเพื่อให้กรรมในอดีตชาตินั้นเป็นโมฆะกรรม ไม่ส่งผลในปัจจุบันและอนาคตต่อไป

    โดยสรุป การฝึกการระลึกชาติ นั้น เพื่อ
    1.เพื่อให้เกิดนิพภิทาญาณในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
    2.เพื่อให้เราได้ทราบในบุญบารมีที่เราเคยได้บำเพ็ญเพื่อความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
    3.เพื่อให้เราได้ทราบเหตุของกรรมในอดีต และดับผลของกรรมปัจจุบัน ที่ทำให้เราได้เกิดทุกข์ในปัจจุบัน โดยการอโหสิกรรมและการยอมรับความเป็นธรรมดาของผลแห่งกรรมที่เราได้กระทำนั้น เพราะกรรมหลายๆอย่างนั้น เมื่อ เราได้รู้ต้นเหตุที่มาที่ไป ความทุกข์และผลของกรรมนั้นก็จะคลายตัวไปเอง เนื่องจากเราดับอวิชชา ความไม่รู้นั้นลงไปได้แล้วนั่นเอง
    4.เพื่อให้เราได้ทราบหน้าที่ที่เราได้ตั้งจิตอธิฐานก่อนลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีในฐานะผู้ปรารถนาพุทธภูมิก็ดี พระโพธิสัตว์ก็ดี หรือท่านผู้ปรารถนาความหลุดพ้น ได้บำเพ็ญบารมีเพื่อไปนิพพานก็ดี จะพึงได้ บรรลุผลและหน้าที่ที่ตนได้อธิฐานไว้

    ขอให้ได้จำไว้ว่าการระลึกชาตินั้น เป็นเรื่องปัจจัตตัง รู้เห็นได้เฉพาะตนเอง เรื่องที่รู้ เรื่องที่เห็น ล้วนจบลงไปหมดแล้วนานแล้ว คงเหลือแต่บุญกุศลที่เราได้ทำมาในอดีต ที่เราได้รู้เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างความดี บำเพ็ญบารมีต่อไปในปัจจุบันและอนาคต

    ขอกราบโมทนาในกุศลที่จะบังเกิดขึ้นจากการฝึกการระลึกชาติของทุกท่าน เพื่อความเจริญในธรรมของท่านด้วยเทอญ
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    การบ้านของวันนี้นะครับ
    1. ให้ลองระลึกชาติ ที่ผ่านมาชาติแรกในอดีต
    2. ให้ลองอธิฐานขอดูชาติที่เราได้เคยสร้างบุญ สร้างวิหารทานที่เป็นครั้งสำคัญ ที่ส่งผลเปิติสูงที่สุดในจิตของเรา
    3. ให้ลองอธิฐานขอดูชาติที่เราได้เคยถวายทานโดยตรงต่อพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ในอดีตหรือไม่ อย่างไร

    ขอเพียงสามข้อก่อนครับ เมื่อรู้แล้วให้วางอุเบกขา ไว้ในข้อหนึ่ง ส่วน ข้อสองและสามเมื่อรู้แล้วให้ อธิฐานให้ผลบุญที่ปรากฏมาส่งผลยังชาติปัจจุบันให้ เราผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคทั้งปวงให้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นโดยฉับพลันทันใดและให้เราคล่องตัวขึ้น และเจริญพร้อมทั้งทางโลกทางธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...