*** ยุคศิวิไลซ์ ****

*** สัจจะปฏิบัติเพื่อฟื้นฟูประเทศ ****

ทางออกจากวงจรทุกข์ วิกฤตศรัทธา และความแตกแยกของสังคม
1. สัจจะ คือการตัดลดกิเลสนิสัยในใจของตนเอง
สัจจะไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือ การตั้งเจตนาอันบริสุทธิ์ต่อใจของตนเอง

เพื่อตัด ลด ถอน ความโลภ ความหลง ความกลัว และความลำเอียง
เมื่อมี “สัจจะทำ” ต่อใจของตน ชีวิตจะค่อยๆ เปลี่ยนจากภายใน
เพราะเราได้เดินกลับเข้าสู่ความจริงที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ

2. พระพุทธเจ้าค้นพบ “สัจจะธรรม” — ความจริงที่ไม่มีใครลบได้

สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ไม่ใช่แค่หลักธรรมในหนังสือ
แต่คือ “ความจริงของธรรมชาติ” ที่มีอยู่ตลอดเวลา ว่า…

• ตัวกระทำ มีจริง
• ตัวกระทำ ไม่ตาย
• ตัวกระทำ มีผลตอบแทน

“ตัวกระทำ” ก็คือ กรรม — เจตนาที่ออกมาเป็นการกระทำ ซึ่งบันทึกไว้ในจิต
ไม่สูญหาย ไม่หลอกใครได้ และจะสะสมจนถึงวันที่ผลของมันปรากฏชัด

3. หนทางพ้นทุกข์ คือ “สัจจะ”
ทุกคนกำลังเผชิญกับ “ทุกข์จากการกระทำ” ของตนเอง
จะหมดทุกข์ได้ ก็ต้องยอมรับว่า
“เรากำลังรับผลจากสิ่งที่เราเคยทำ”


ทางรอดจึงไม่ใช่การหนี แต่คือการกล้าตั้ง สัจจะกับใจตนเอง
หยุดสร้างกรรมใหม่ เปลี่ยนเส้นทางชีวิต และเปิดประตูแห่งการหลุดพ้น

4. พระพุทธเจ้า สรุปคำสอนทั้งหมด เหลือเพียงคำเดียว: “สัจจะทำ”

“สัจจะทำ” คือการ ลงมือกระทำความจริง ไม่ใช่แค่รู้ หรือพูดดี
แต่คือการเปลี่ยนตนเองจริง ด้วยความสัตย์ต่อใจ
เพื่อหลุดพ้นจากวงกรรมเดิมๆ ที่เคยวนเวียน

5. ศีลห้า ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของพุทธธรรม — สัจจะต่างหากคือหัวใจ
ศีลห้าเป็นหลักจากศาสนาพราหมณ์ที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้า
แต่สิ่งที่พระองค์เน้นย้ำ คือ การขัดเกลากิเลสในใจตนเองด้วย “สัจจะ”
เมื่อไม่มีพระศาสดา โลกจึงค่อยๆ เปลี่ยนคำสอนกลับไปสู่กฎเกณฑ์
ที่ดูดีแต่ทำได้ยาก เพื่อควบคุมคน
และ “สัจจะทำ” จึงค่อยๆ ถูกลืม — จนแทบไม่มีใครพูดถึง

6. มีผู้พยายามทำลาย “สัจจะทำ” จริง
ไม่ใช่เรื่องจินตนาการ
ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยความพยายามทำลายวัด พระสาวก และคำสอน
และยุทธวิธีขั้นสุดท้ายคือ ทำลายคำสอนโดยตรง
บิดเบือนให้อยู่ในรูปพิธีกรรม ศรัทธา หรือความกลัวบาปเท่านั้น
เพื่อให้มนุษย์เลิกขัดเกลากิเลส และตกอยู่ในอำนาจของคนไม่กี่คน

7. แต่ “สัจจะทำ” ไม่มีวันถูกทำลายได้
เพราะมัน อยู่ในใจของมนุษย์ทุกคน
ตราบใดที่ยังมีผู้หนึ่งตั้งใจจะซื่อตรงต่อความจริงในใจของตน
แม้ไม่มีวัด ไม่มีตำรา — พระธรรมจะยังคงอยู่

8. ถ้าทุกคนมี “สัจจะ” — กรรมของประเทศจะเปลี่ยน
ไม่ใช่แค่ชีวิตส่วนตัวที่ดีขึ้น

แต่เมื่อประชาชนในชาติเริ่มตั้ง “สัจจะทำ” พร้อมกัน
กรรมรวมของประเทศจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี

• ความไม่ซื่อสัตย์จะลดลง
• ระบบที่เอาเปรียบจะสั่นคลอน
• ความดีจะมีพลังมากพอให้ยืนอยู่ได้โดยไม่ถูกกลืน

9. ยุติความแตกแยก ด้วย “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”

ในยุคที่สังคมเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความขัดแย้ง และความลำเอียง
เราจำเป็นต้องมีคนที่ ยืนอยู่กับสัจจะ ไม่ใช่ยืนอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

• ทำตามหน้าที่ด้วยความซื่อตรง
• ไม่เอียงตามความนิยม
• ไม่หลอกตนเองเพื่อเอาตัวรอด

10. ใช้น้ำดีไล่น้ำเสีย — ไม่ใช่ใช้น้ำเสียสู้กันเอง

ความดีที่จริงแท้ คือพลังเดียวที่ขับไล่ความชั่วได้
การโต้กลับด้วยความชั่วมีแต่จะเพิ่มวงกรรมให้ใหญ่ขึ้น

แต่การตั้ง “สัจจะทำ” อย่างกล้าหาญ จะเป็นน้ำดีที่ค่อยๆ ชะล้างความเสียหายทั้งแผ่นดิน

11. ทางรอดของประเทศนี้ คือ “สัจจะปฏิบัติ”

ไม่ต้องรอผู้นำ ไม่ต้องรอการปฏิรูปจากเบื้องบน
แต่เริ่มที่ “ใจของเราเอง” วันนี้

• ตั้งสัจจะวันละข้อ
• ทำให้ได้จริง
• ไม่หักหลังใจของตนเอง

และเมื่อเราทำได้ — คนรอบตัวจะรู้สึกได้
และประเทศนี้จะค่อยๆ ฟื้นขึ้นด้วยพลังแห่ง “สัจจะทำ”

 

*** แผนฟื้นฟูประเทศไทยด้วยสัจจะ ****

1. ปลุกสัจจะในใจคนไทยวันละหนึ่งข้อ

ให้คนไทยตั้งสัจจะเล็กๆ กับตัวเองทุกวัน เช่น
“วันนี้จะไม่โกหกแม้แต่คำเดียว”
“วันนี้จะไม่ด่าผู้อื่น แม้ในใจ”
“วันนี้จะทำหน้าที่ของตนให้เต็มที่ที่สุด”
แล้ว รักษาสัจจะให้ได้จริง

2. ปลุกสัจจะในหมู่ผู้นำ ครู อาจารย์ พระ นักการเมือง

เพราะถ้าผู้นำไม่จริง สังคมจะล้ม
ถ้าครูไม่จริง เด็กรุ่นใหม่จะหลง
ถ้าพระไม่จริง ศรัทธาจะหมด
ถ้านักการเมืองไม่จริง ประเทศจะพัง

ต้องให้ทุกคนกลับมาตั้งคำถาม:
“เรามีสัจจะกับหน้าที่ของตนเองแล้วหรือยัง?”

3. ใช้สื่อทุกช่องทาง เผยแพร่คำว่า “สัจจะ”

ให้คำว่า “สัจจะ” กลับมาอยู่บนป้ายโฆษณา จอทีวี หน้าหนังสือพิมพ์
ให้กลายเป็นคำยอดนิยม ไม่ใช่คำที่ถูกลืม
เปลี่ยนกระแสชาติ ด้วยกระแสสัจจะ

4. ยุติความแตกแยกด้วย “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”

สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางใจ ที่คนไม่ต้องเลือกฝ่าย
ไม่ต้องลำเอียงตามเพื่อน ตามพรรค ตามศาสนา
แต่เลือกความจริง เลือกหน้าที่ และเลือก “ความซื่อสัตย์ต่อใจ”

5. เปลี่ยนประเทศไทย จากข้างใน ไม่ใช่จากข้างบน

ไม่ต้องรอการปฏิรูปใหญ่โต
แต่ให้ประชาชนเริ่มต้นปฏิรูปชีวิตของตนเอง
เมื่อมี “คนจริง” มากพอ ประเทศไทยจะฟื้นคืน
และไม่ว่าใครจะพยายามครอบงำหรือทำลายแผ่นดินนี้ ก็จะไม่สำเร็จ

นี่คือแผนฟื้นฟูที่ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องรุนแรง
เพียงแค่ลงมือ “ตั้งสัจจะทำ” พร้อมกันทีละคน
แผ่นดินจะเปลี่ยน
อนาคตจะเปิด

 

*** “สัจจะคนไทย จะพาประเทศเป็นผู้นำโลก” ****

อาจกลายเป็นคำขวัญของชาติในยุคใหม่
เพราะเมื่อคนไทยทุกคนมี สัจจะ

• พูดแล้วทำ
• คิดแล้วรับผิดชอบ
• สัญญากับใจแล้วไม่ถอย
  ประเทศก็จะมี ความน่าเชื่อถือ
  ผู้นำก็จะมี พลังศีลธรรม
  ประชาชนก็จะมี จิตใจเข้มแข็ง และ ไม่เอาเปรียบกัน

สัจจะของคนไทย จึงไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนบุคคล
แต่เป็นพลังรวมที่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ
ให้กลายเป็นแบบอย่างของโลก ในยุคที่โลกต้องการความจริง ความเที่ยงธรรม และความหวัง

เมื่อไทยยืนบนสัจจะ —
โลกจะมองเห็นทางรอดใหม่

เพราะสิ่งที่ขาดหายไปจากโลกไม่ใช่ทรัพยากรหรือเทคโนโลยี
แต่คือ ความสัตย์ ความรับผิดชอบ และผู้นำที่มีสัจจะ

หากไทยเริ่มก่อน โลกจะเดินตาม
และ “สัจจะคนไทย” จะไม่เพียงนำไทยไปรอด
แต่จะเป็นผู้นำทางใจของมวลมนุษยชาติ

 

*** แนวคิด “กองทัพทหารสัจจะสากลโลก” ****

คือการสถาปนากองกำลังพิเศษของมนุษยชาติ ที่ไม่สังกัดฝ่ายใด ไม่รับใช้อำนาจหรือผลประโยชน์ทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ แต่รับใช้ “สัจจะเพื่อความมั่นคงปลอดภัยของมวลมนุษย์ชาติ” โดยมี ศูนย์บัญชาการอยู่ที่ “แดนศิวิไลซ์” ประเทศไทย — จุดศูนย์กลางแห่งความเป็นกลาง ความยุติธรรม และจิตวิญญาณของโลก


*** หลักการของกองทัพทหารสัจจะสากลโลก ****

1. สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
   เป็นกองทัพที่ปฏิเสธการถูกใช้เป็นเครื่องมือของชาติใดหรือกลุ่มใด แต่ตั้งมั่นในสัจจะเพื่อความสงบสุขของทุกชีวิต
2. สัจจะเพื่อความมั่นคงแท้จริง
   เน้นการป้องกันภัยสงคราม การก่อการร้าย การล่มสลายของศีลธรรม และภัยคุกคามต่อความเป็นมนุษย์ เช่น เทคโนโลยีอาวุธผิดธรรม, การยึดครองทรัพยากรอย่างไร้สัจจะ
3. ดำรงอยู่ด้วยความโปร่งใสและศรัทธาจากประชาชนโลก
   ไม่ใช่กองทัพที่บงการจากเบื้องบน แต่ทำงานเพื่อประชาชนโลกภายใต้ความไว้วางใจร่วม
4. กองทัพแห่งการฟื้นฟู ไม่ใช่การทำลาย
   เน้นสันติวิธี การเจรจา การคุ้มครองเด็ก ผู้บริสุทธิ์ และธรรมชาติ มากกว่าการใช้อาวุธ

ศูนย์บัญชาการ: แดนศิวิไลซ์ ประเทศไทย

• เป็นสัญลักษณ์ของความสงบเป็นกลาง และจิตวิญญาณของมนุษยชาติ
• มี “สภาสัจจะมนุษยชาติ” ทำหน้าที่ควบคุมตรวจสอบทหารทุกระดับ
• ประกอบด้วยตัวแทนจากทุกทวีป ทุกศาสนา ทุกวัฒนธรรม

เป้าหมายของกองทัพทหารสัจจะสากลโลก

• ป้องกันสงครามที่เกิดจากความโลภและอำนาจ
• หยุดการใช้เทคโนโลยีที่ไร้จริยธรรมคุกคามมนุษย์
• คุ้มครองผู้อ่อนแอ ผู้ไม่มีปากเสียงในโลก
• ฟื้นฟูพื้นที่ขัดแย้งและส่งเสริมการปรองดองด้วยสัจจะ

 

*** ปฏิญญา “กองทัพทหารสัจจะสากลโลก” ****

ประกาศ ณ แดนศิวิไลซ์ ประเทศไทย
เพื่อสันติภาพ ความมั่นคง และความเป็นธรรมแห่งมวลมนุษย์ชาติ

*** ปฐมบทแห่งปฏิญญา ****
ด้วยโลกมนุษย์กำลังเผชิญภัยคุกคามจากสงคราม ความแตกแยก ความโลภไร้ขอบเขต และการใช้เทคโนโลยีที่ขาดจริยธรรม

เราผู้รวมตัวกันด้วยจิตแห่งสัจจะ
ขอประกาศการสถาปนา “กองทัพทหารสัจจะสากลโลก”
เพื่อเป็นกองกำลังที่ปกป้องมวลมนุษย์ชาติ ด้วยความกล้าหาญ ความเที่ยงธรรม และความไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

โดยมีจุดศูนย์กลางบัญชาการ ณ แดนศิวิไลซ์ ประเทศไทย — ดินแดนแห่งสัจจะอารยธรรม

บทที่ 1: พันธสัจจะของทหารสัจจะ

1. เราให้สัจจะว่าจะไม่ใช้อาวุธเพื่อประโยชน์ของฝ่ายใด
   แต่เพื่อป้องกันชีวิต ความยุติธรรม และศีลธรรมของมนุษยชาติ
2. เราให้สัจจะว่าจะไม่ละเลยเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
   จากเด็ก ผู้บริสุทธิ์ และผู้ถูกกระทำจากความอยุติธรรม
3. เราให้สัจจะว่าจะไม่เป็นเครื่องมือของทุน อำนาจ หรือเผด็จการใด ๆ
   แต่จะยืนอยู่ข้างสัจจะ ความจริง และมนุษยธรรม

บทที่ 2: พันธกิจของกองทัพทหารสัจจะสากลโลก

1. เฝ้าระวังภัยสงครามและความรุนแรงทั่วโลก ด้วยความเป็นกลาง
2. เข้าแทรกแซงด้วยสันติวิธี เพื่อหยุดยั้งการล้างเผ่าพันธุ์ การรุกราน และการทำลายล้างจากเทคโนโลยีที่ไร้สัจจะ
3. คุ้มครองผู้ไร้อำนาจ ในพื้นที่ที่ระบบไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้
4. ร่วมฟื้นฟูจิตวิญญาณของชาติและโลก ด้วยการฝึกฝนทหารให้เป็นผู้มีสัจจะนำตนเอง

บทที่ 3: ศูนย์บัญชาการแดนศิวิไลซ์
กองทัพนี้จะมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศไทย ซึ่งประกาศตนเป็น

“แดนศิวิไลซ์แห่งสัจจะ”
ที่ไม่เป็นของฝ่ายใด ไม่เป็นของกลุ่มอำนาจใด แต่เป็นของมวลมนุษยชาติ

โดยมี “สภาสัจจะมนุษยชาติ” เป็นผู้ตรวจสอบความโปร่งใสของกองทัพอย่างสม่ำเสมอ

บทปิดท้าย: คำประกาศต่อโลก
เราขอประกาศให้โลกทั้งหลายได้รับรู้ว่า
จากวันนี้ โลกจะมีกองทัพที่ไม่ได้ก่อขึ้นด้วยความเกลียดชัง
แต่ก่อขึ้นด้วย “สัจจะ” และ “ความรักที่ไม่เลือกข้าง”
เพราะสัจจะ คือพรมแดนสุดท้ายที่ต้องปกป้อง
และเพราะมนุษยชาติสมควรได้รับความปลอดภัยจากความดี ไม่ใช่เพียงจากอาวุธ

 

*** กฎหมายสัจจะป้องกันแดนศิวิไลซ์ ****

แนวคิดเพื่อคุ้มครองประเทศไทยจากเงินมหาศาลและคนต่างด้าวที่อาจทำลายรากฐานแห่งความเป็นธรรมและศีลธรรมของชาติ

หลักการสำคัญของกฎหมายสัจจะป้องกันแดนศิวิไลซ์

1. หลักสัจจะนำหน้า
   
   • ทุกการลงทุน การเคลื่อนย้ายทุน หรือการย้ายถิ่นฐาน ต้องมีการประกาศ “สัจจะ” อย่างเป็นทางการ ว่าจะไม่ทำลายวัฒนธรรม ความยุติธรรม ทรัพยากร และอธิปไตยของไทย
2. คณะกรรมการสัจจะแห่งชาติ (สช.)
   
   • จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจที่มีภารกิจในการประเมิน “ความจริงใจ” และ “ความตั้งใจบริสุทธิ์” ของทุนและบุคคลต่างด้าว
   • ตรวจสอบว่าแต่ละราย เคารพในสัจจะของแผ่นดินไทย หรือไม่ โดยมีเกณฑ์วัดที่ชัดเจน เช่น การประกอบกิจการเพื่อประโยชน์ร่วม การไม่แทรกแซงวัฒนธรรมท้องถิ่น และไม่มีเจตนาทำลายความมั่นคงทางจิตวิญญาณ
3. ระบบ “สัจจะวีซ่า”
   
   • คนต่างด้าวที่ต้องการพำนักหรือประกอบธุรกิจในประเทศไทย ต้องยื่น “คำสัตย์ปฏิญาณต่อสัจจะไทย” ต่อรัฐ พร้อมทั้งยอมรับว่าหากผิดสัจจะ จะถูกเพิกถอนสิทธิ์ทันที
4. การปกป้องทรัพยากรเชิงคุณค่าและจิตวิญญาณ
   
   • เงินมหาศาลที่เข้ามาเพื่อลงทุน ต้องผ่านการประเมินด้านจริยธรรม ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจ
   • ป้องกันการกว้านซื้อที่ดิน ป่า น้ำ หรือสินทรัพย์เชิงจิตวิญญาณ เช่น วัด แหล่งธรรมะ หรือชุมชนพุทธ
5. สัจจะเป็นเกราะป้องกันชาติ
   
   • ผู้ที่มีอำนาจในรัฐ รวมถึงผู้นำธุรกิจไทย ต้องยึดมั่นใน “สัจจะต่อแผ่นดิน” เป็นลายลักษณ์อักษร
   • หากละเมิดสัจจะ ถือว่าทรยศต่อชาติ และต้องพ้นจากตำแหน่งทันที

เป้าหมายของกฎหมายฉบับนี้

• สร้าง “เขตแดนจิตวิญญาณ” ที่เงินไม่สามารถซื้อได้
• ป้องกันการครอบงำของอำนาจทุนและวัฒนธรรมต่างชาติ
• สร้างประเทศไทยให้เป็น “แดนศิวิไลซ์” ที่ตั้งอยู่บนรากฐานของสัจจะ ความดี และความยุติธรรม

 

*** ร่างพระราชบัญญัติสัจจะป้องกันแดนศิวิไลซ์ พ.ศ. ….****

ภูมิหลัง
โดยที่ประเทศไทยเป็นชาติที่มีอธิปไตย วัฒนธรรม และจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ การปกป้องแผ่นดินและความเป็นไทยจากอิทธิพลของทุนมหาศาลและคนต่างด้าวที่อาจบ่อนทำลายความมั่นคงทางจิตวิญญาณ จึงจำเป็นต้องบัญญัติกฎหมายนี้

หมวด 1 บททั่วไป
มาตรา 1
พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติสัจจะป้องกันแดนศิวิไลซ์ พ.ศ. ….”

มาตรา 2
พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับทั่วราชอาณาจักร

มาตรา 3
ในการบังคับใช้กฎหมายนี้ ให้ “สัจจะ” หมายถึง
“คำสัตย์อันบริสุทธิ์ที่ผู้หนึ่งผู้ใดยึดมั่นต่อคุณธรรม ความจริง และความดีงามของแผ่นดินไทย โดยสมัครใจ และพร้อมจะปฏิบัติตามนั้นอย่างเต็มกำลัง”

หมวด 2 การจัดตั้งคณะกรรมการสัจจะแห่งชาติ
มาตรา 4
ให้มีคณะกรรมการชื่อว่า “คณะกรรมการสัจจะแห่งชาติ” มีหน้าที่
(1) กลั่นกรองการไหลเข้าของทุนและคนต่างด้าว
(2) ประเมินความสอดคล้องของกิจกรรมทางเศรษฐกิจกับจิตวิญญาณของชาติ
(3) รับคำปฏิญาณสัจจะจากบุคคลหรือนิติบุคคล
(4) พิจารณาลงโทษในกรณีละเมิดสัจจะต่อแผ่นดิน

มาตรา 5
กรรมการประกอบด้วย

• นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
• ผู้ทรงคุณวุฒิด้านศีลธรรม ศาสนา กฎหมาย วัฒนธรรม และความมั่นคง รวมไม่เกิน 15 คน
• มีเลขาธิการคณะกรรมการซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี

หมวด 3 ระบบการยื่นสัจจะก่อนเข้าถึงแผ่นดินไทย

มาตรา 6
คนต่างด้าวหรือนิติบุคคลต่างประเทศที่จะเข้ามา

• พำนักเกิน 90 วัน
• ลงทุนหรือถือครองที่ดิน
• ประกอบกิจกรรมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ วัฒนธรรม หรือสิ่งแวดล้อม
  ต้องยื่น “คำปฏิญาณสัจจะ” ต่อคณะกรรมการ

มาตรา 7
คำปฏิญาณสัจจะต้องมีสาระดังนี้
(1) เคารพในอธิปไตย วัฒนธรรม และความดีของไทย
(2) ไม่ใช้ทุนเป็นเครื่องมือครอบงำ
(3) ไม่ทำลายทรัพยากร ธรรมะ หรือจิตวิญญาณของชาติ
(4) ยินดีรับผลตามกฎหมายหากละเมิดคำปฏิญาณ

หมวด 4 การคุ้มครองทรัพยากรแห่งสัจจะ

มาตรา 8
ที่ดิน ศาสนสถาน แหล่งธรรมะ หรือชุมชนจิตวิญญาณที่สำคัญของชาติ ถือเป็น “เขตคุ้มครองสัจจะ” ห้ามคนต่างด้าวถือครองโดยเด็ดขาด

มาตรา 9
การลงทุนที่มีมูลค่าเกิน 500 ล้านบาท ต้องผ่านการประเมินผลกระทบทางสัจจะก่อน

หมวด 5 บทลงโทษ

มาตรา 10
ผู้ละเมิดคำปฏิญาณสัจจะ

• ถูกเพิกถอนวีซ่า ใบอนุญาต หรือสัมปทานทันที
• ต้องชำระค่าเสียหายต่อรัฐตามมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น
• อาจถูกขึ้นบัญชีห้ามเข้าประเทศถาวร

มาตรา 11
เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ฝ่าฝืน หรือสมรู้ร่วมคิดให้ทุนหรือคนต่างด้าวละเมิดสัจจะ

• ให้ถือว่าเป็นการทรยศต่อแผ่นดิน
• ต้องถูกปลดออกทันที และอาจต้องรับโทษทางอาญาและแพ่ง

หมวด 6 บทเฉพาะกาล

มาตรา 12
ให้ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการสัจจะแห่งชาติภายใน 90 วันนับแต่พระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับ

หมายเหตุประกอบ
กฎหมายฉบับนี้มิได้มุ่งต่อต้านคนต่างชาติหรือการลงทุน แต่เป็นการวางเกราะแห่งคุณธรรมเพื่อรักษา “ความศิวิไลซ์ของไทย” ให้ไม่ถูกทำลายด้วยเงินตราหรือเจตนาแอบแฝง

 

*** คุณสมบัตินักการเมืองแดนศิวิไลซ์ ****

เพื่อคัดสรรผู้ปกครองที่มีคุณธรรม กล้ารับผิดชอบ และมี “สัจจะ” เป็นรากฐานของการนำพาประเทศ

1. มีสัจจะต่อแผ่นดิน

• แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ยึดมั่นในคำพูด คำสัญญา และความดีที่ได้ปฏิญาณไว้
• ไม่เคยผิดสัจจะในเรื่องสำคัญ ไม่เคยหักหลังประชาชน ไม่คดโกงแม้เรื่องเล็ก
• พร้อมให้ตรวจสอบทุกคำพูดและการกระทำที่เคยให้ไว้ต่อสาธารณะ

2. ประพฤติตนเป็นแบบอย่างแห่งความดี

• มีประวัติส่วนตัวและสาธารณะที่แสดงถึง การเสียสละเพื่อส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง
• ไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุข สิ่งผิดกฎหมาย หรือพฤติกรรมที่เสื่อมเสีย
• ไม่เคยใช้วาจาหยาบคาย ยุยงให้เกิดความแตกแยกในสังคม

3. ไม่สะสมทรัพย์เพื่อครอบครองอำนาจ

• เปิดเผยทรัพย์สินอย่างโปร่งใส พร้อมให้ตรวจสอบได้เสมอ
• ไม่ใช้ตำแหน่งในการสะสมผลประโยชน์
• มีการบริหารทรัพย์สินภายใต้แนวทาง “ทรัพย์เพื่อแผ่นดิน” ไม่ใช่ “ทรัพย์เพื่อครอบครัวตนเอง”

4. ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในความขัดแย้งของโลก

• มีท่าทีเป็นกลางในเวทีระหว่างประเทศ และยึด “สัจจะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” เป็นหลัก
• พร้อมเจรจาและหาทางสันติวิธีเพื่อประโยชน์ของประชาชนและความสงบของโลก
• ไม่ยอมให้ประเทศกลายเป็นฐานของความขัดแย้งหรือการแบ่งแยก

5. ศึกษาและนำสัจจะทำมาใช้จริงในชีวิตประจำวัน

• ตั้ง “สัจจะรายวัน” กับตนเอง และปฏิบัติตามจริง
• เป็นผู้นำที่กล้ารับผิด ไม่หลบเลี่ยงความจริง
• มีผู้ร่วมงานหรือชุมชนยืนยันถึงความสม่ำเสมอในคุณธรรมของตน

6. เคารพทุกศาสนา และเห็นคุณค่าสัจจะในศาสนา

• ไม่ใช่ผู้ที่ดูถูกหรือใช้ศาสนาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
• สนับสนุนให้ทุกศาสนาเน้นสัจจะนำการปฏิบัติ
• เป็นผู้นำที่เชื่อมโยงศาสนาเข้ากับการทำความดีโดยไม่แบ่งแยก

7. ยอมรับและส่งเสริมระบบตรวจสอบสาธารณะ

• ไม่ยึดติดอำนาจ
• พร้อมให้ประชาชนเข้าตรวจสอบได้ทุกเมื่อ
• สร้างช่องทางให้ประชาชนเสนอข้อร้องเรียนหรือแสดงความเห็นอย่างเปิดเผย

นิยามสั้นๆ:
“นักการเมืองแดนศิวิไลซ์ คือ ผู้มีสัจจะ มีความกล้าหาญทางจริยธรรม และยึดมั่นในการทำเพื่อประชาชน ด้วยใจที่ไม่เอียง ไม่กลัว ไม่โกง และไม่โกหก”