พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เห็น"รัก"ที่ชิ้นหยกนี้แล้วพาให้นึกถึง"รัก"ที่ติดในพระโบราณของกรุ"วัดเชิงท่า"มาก จากกระทู้.
    [​IMG] พระเครื่องโบราณอายุ ๒๓๐ ปี กรุวัดเชิงท่า ปากเกล็ด จ.นนทบุรี http://palungjit.org/showthread.php?t=82996
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2007
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พี่..พี่..ระวังหยกผมเปียกนะ..พี่...หักห้ามใจหน่อยนะ..:555:
     
  4. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    "รัก"สีนี้เขามีมาตั้งแต่สมัยไหนหรือครับ คุณหนุ่ม ขอเป็นความรู้หน่อยครับ..
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    งามตาจริงๆ ต้องนับว่าเป็นบุญตาที่ได้เห็น
    เยี่ยมจริงๆคุณเพชร

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รัก จะมีอยู่สามสีครับ

    1.รักไทย สีดำ เป็นรักที่มีมาแต่สมัยโบราณ ในการสร้างพระสมัยอยุธยาก็ใช้รักในการสร้างพระพิมพ์หรือพระบูชา มีความหนืดมากที่สุด

    2.รักจีน (ชาดจอแส) สีแดง เท่าที่ความรู้ของผมในตอนนี้ เป็นรักที่นำเข้ามาจากประเทศจีน เริ่มในสมัยรัชกาลที่ 4 มีความหนืดรองลงมา

    3.รักพม่า (รักสมุ) สีน้ำเงิน เท่าที่ความรู้ของผมในตอนนี้ เป็นรักที่นำเข้ามาจากประเทศพม่า เริ่มในสมัยรัชกาลที่ 4 เช่นกัน มีความหนืดน้อยที่สุดในบรรดารักทุกประเภท

    การที่บางครั้งเห็นรักเป็นสีอื่นๆ อาจจะเป็นไปได้ว่า ในการทารัก บางครั้งอาจจะมีการทารัก 2 ครั้งหรือมากกว่านั้น การทาครั้งแรกต้องให้รักแห้งสนิทก่อน จึงจะสามารถทารักสีอื่นลงไป แต่ถ้าในการทารักครั้งแรกยังไม่แห้งดี เช่นทาสีดำลงไปก่อน แล้วทาสีแดงในครั้งที่สอง หากรักสีดำยังไม่แห้งดี สีของรักที่ทาครั้งที่สองก็จะไปผสมกับรักที่ทาครั้งแรกได้

    อีกเรื่อง พระพิมพ์ไม่สามารถนำไปจุ่มรักได้นะครับ เพราะว่ารักจะมีความหนืด จุ่มไปเมื่อไร ก็จะได้รักขึ้นมาเป็นก้อนกลมครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2007
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ (28 ธันวาคม 2550) ผมได้โอนเงินของคุณchaipat และคุณใจสติปัญญา จำนวน 4 รายการ

    1.โอนเงินของคุณ chaipat เข้าบช.ออมทรัพย์ 2030-06304-5 บัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม จำนวน 300 บาท เพื่อทำบุญชำระหนี้สงฆ์ (ปิดทองพระพุทธรูป)

    2.โอนเงินของคุณ chaipat เข้าบัญชีคุณอภิวัฒน์ ชัฎอนันต์ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาซอยไชยยศ บช.ออมทรัพย์ เลขที่ 040-2-25999-6 จำนวน 200 บาท เพื่อร่วมพิมพ์หนังสือ"พระราชประวัติกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท"

    3.โอนเงินของคุณใจสติปัญญา เข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาบางกระบือ บช.ออมทรัพย์หมายเลขบัญชี 007-250-2248 ชื่อบัญชี กฤตพล เกิดผล จำนวน 300 บาท เพื่อร่วมบูรณะพระอุโบสถเก่าวัดทอง และสร้างพระถวายหลวงพ่อสิริ รับพระสมเด็จผงเก่าสมเด็จโต


    4.โอนเงินของคุณchaipat โดยโอนเงินเข้าบัญชี "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร"(pratom foundation) บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนวิภาวดีรังสิต (ซันทาวเวอร์ส) บัญชีออมทรัพย์ หมายเลข 348-1-23245-9 จำนวน 999 บาท เพื่อร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

    โมทนาบุญทุกประการครับ
    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ผมได้โทร.ไปกราบเรียนหลวงพ่อแผนเรียบร้อยแล้วครับ

    โมทนาบุญทุกประการครับ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เปิดตำนาน “Happy New Year”
    http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9500000154454
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>27 ธันวาคม 2550 23:16 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=166 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=166>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>รูปปั้นเหมือน Julius Caesar </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>“Happy New Year” หรือ “โชคดีปีใหม่” คือคำพูดที่ใครๆ ก็ต้องพูดเป็นประโยคแรกของปี ไม่ว่าจะพูดกับคนที่รักและหรือเพื่อนฝูงที่ร่วมฉลองคืนส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ด้วยกัน ในคืนของวันส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ นั่นคือคืนของวันที่ 31 ธันวาคมของแต่ละปีนั่นเอง

    เคยสงสัยไหมว่าทำไมจะต้องฉลองปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคมของทุกปีด้วย ???

    การฉลองวันขึ้นปีใหม่นั้นอันที่จริงมีมาตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ในยุคของบาบิโลเนีย เมื่อกว่า 4,000 ปีมาแล้ว โดยยึดเอาวันแรกของฤดูใบไม้ผลิเป็นวันขึ้นปีใหม่ ไม่ใช่วันที่ 1 มกราคมเช่นการฉลองในยุคปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นวันสำคัญวันแรกที่จะเริ่มต้นการเพาะปลูกของปี และการเฉลิมฉลองในยุคนั้นใช้เวลากันยาวนานถึง 11 วัน ด้วยถือว่าเป็นการเริ่มชีวิตใหม่ ในวันแรกของการผลิบานของพืชพันธุ์ธัญญาหาร รวมถึงการเริ่มงานใหม่ของปี ซึ่งการฉลองในแต่ละวันก็ไม่ซ้ำกัน

    สำหรับชาวโรมัน การเฉลิมฉลองปีใหม่เริ่มกันในช่วงปลายเดือนมีนาคม และการกำหนดวันเฉลิมฉลองเป็นไปตามพระประสงค์ของซีซาร์แต่ละองค์ ไม่มีการกำหนดตายตัวจนถึงยุคของ Julius Caesar ซึ่งเป็นผู้เริ่มปฏิทินที่เรียกว่า Julian Calender และกำหนดให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=310 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=310>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>การนำเอาเด็กทารกมาเป็นสัญลักษณ์ของปีใหม่เริ่มมาตั้งแต่ยุคโบราณเช่นกัน โดยเริ่มมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ กรีก และเรื่อยไล่มาจนถึงยุคคริสเตียนดั้งเดิม และแม้กระทั่งในเยอรมนีในยุคกลางและสหรัฐอเมริกาในยุคต้นๆ

    ความเชื่อว่าบุคคลแรกที่จะมาเยือน วัตถุที่จะนำมาใช้ หรืออาหารที่จะบริโภคในวันขึ้นปีใหม่นั้น จะส่งผลให้เกิดโชคหรือเคราะห์สำหรับปีใหม่ที่มาถึง เช่นบุคคลที่มาเยือนเป็นคนแรกหากเป็นชายผอมสูง ผมดำ จะนำโชคมาให้ ชาวดัตช์เชื่อว่าการบริโภคโดนัทในวันขึ้นปีใหม่ เป็นการนำโชคมาสู่ครอบครัวและตนเอง เพราะโดนัทมีทรงวงแหวน อันถือได้ว่าเป็นวงแหวนนำโชค และเป็นการช่วยให้ชีวิตเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right border=0><TBODY><TR><TD width=5>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=180 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=180>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ในหลายท้องที่ของประเทศสหรัฐอเมริกา เชื่อว่าการบริโภคถั่วที่ชื่อ black-eyed peas โดยนำมาปรุงเป็นอาหารกับขากรรไกรของหมูตอนหรือแฮม เป็นอาหารมื้อนำโชคสำหรับปีใหม่ ที่เชื่อว่าปีใหม่ทุกสิ่งจะง่ายไปหมด น่าจะเป็นความเชื่อเหมือนกับที่หลายคนเชื่อว่า “ง่ายเหมือนกินหมู” แม้กระทั่งคนไทยหลายกลุ่มก็เชื่อเช่นนี้เหมือนกัน

    กะหล่ำปลีเป็นผักที่เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ จึงนำเอาใบกะหล่ำปลีมาใช้ปรุงเป็นอาหารมื้อแรกของปี โดยเชื่อว่าเมื่อบริโภคแล้วปีใหม่จะเป็นปีของความมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์ เพราะใบของกะหล่ำปลีมีสีสันที่คล้ายคลึงกับสีเขียวของธนบัตรดอลลาร์อเมริกัน และบางแห่งก็เชื่อว่าการบริโภคข้าวก็เป็นการเริ่มต้นปีของความสมบูรณ์เช่นเดียวกัน

    สำหรับชาวสเปนเชื่อกันว่า การใส่ชุดชั้นในสีแดงในวันขึ้นปีใหม่จะส่งผลให้ผู้สวมใส่โชคดีตลอดปี จึงมีผู้ซื้อหาชุดชั้นในสีแดงทั้งหญิงและชายมาสวมใส่ในวันขึ้นปีใหม่จำนวนไม่น้อย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=290 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=290>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เพลงที่นิยมร้องกันในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับวันปีใหม่คือเพลง Auld Lang Syne อันมีความหมายถึง The good old days หรือ Old long ago ซึ่งแต่งโดย Robert Burns ที่แต่งขึ้นตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 หรือร่วม 300 ปีมาแล้ว และเริ่มมีการพิมพ์เนื้อเพลงแจกจ่ายออกไปเมื่อ Burns สิ้นชีวิตลงในปี ค.ศ. 1796 และด้วยความไพเราะของเพลงนี้ ที่ทำให้เริ่มเป็นที่รู้จักและนำมาร้องกันอย่างแพร่หลายในหมู่ชนที่ใช้ภาษาอังกฤษ จนกลายเป็นเพลงที่ถูกนำไปร้องทั่วทุกหนทุกแห่ง และเริ่มมีการนำมาแปลเป็นภาษาต่างๆ กว่า 10 ภาษา และถูกนำไปร้องวาระต่างๆ ด้วย

    นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา การนับถอยหลังของคืนวันส่งท้ายปีเก่า เริ่มมีการถ่ายทอดโทรทัศน์ไปยังผู้ชมทั่วโลก แน่นอนว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในซีกโลกตะวันออก จะได้เฉลิมฉลองช่วงเวลาสำคัญนี้ก่อนใครๆ โดยเริ่มจากหมู่เกาะคริสต์มาสในมหาสมุทรแปซิฟิก ไล่เรื่อยไปยังเมืองหลวงของนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ที่เอเซียตามเมืองหลวง เช่น ปักกิ่ง ฮ่องกง กรุงเทพฯ นิวเดลี โดฮา อิสตันบูล และเริ่มเคลื่อนไปตามเมืองสำคัญต่างๆ ในยุโรป เช่น เบอร์ลิน เวียนนา โรม ปารีส ลอนดอน ข้ามทวีปสู่นิวยอร์ก วอชิงตัน ดี.ซี. และซานฟรานซิสโก


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=430 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=430>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>การเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในวันที่ 31 ธันวาคมต่อเนื่องถึงวันที่ 1 มกราคม จึงเป็นการเฉลิมฉลองที่สำคัญที่สุดของปี ในหมู่ของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติหรือศาสนาใดก็ตาม ที่ล้วนนับเอาวันสำคัญที่กำหนดขึ้นนี้ว่า เป็นการฉลองวันขึ้นปีใหม่แบบสากล คือคืนของการเฉลิมฉลองร่วมกันในที่สาธารณะ พลุสีขนาดต่างๆ ถูกจุดให้ขึ้นไปแตกกระจายสว่างไสวไปทั่วท้องฟ้าดอกแล้วดอกเล่า พร้อมๆ กับเสียงอึกทึกครึกโครมที่เกิดจากความยินดีของมหาชนที่ไปชุมนุมตามจัตุรัสและสถานที่สำคัญๆ ของแต่ละเมือง

    ผู้คนแต่ละประเทศล้วนมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมส่งรอยยิ้มให้กันและกันเพื่อที่จะกล่าวคำว่า “โชคดีปีใหม่” ซึ่งถือว่าเป็นคำอวยพรที่เป็นมงคล ให้ทุกคนที่ได้รับล้วนโชคดีโดยถ้วนหน้า</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-poo-hist-02.htm

    พระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร) (ต่อ)

    วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ
    โดย ไตรภาคี


    ความสัมพันธ์ หลวงปู่ภู กับท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต)
    กล่าวว่าหลวงปู่ภู ในคราวที่ออกธุดงค์ ส่วนมากจะร่วมเดินธุดงค์รุกขมูลกับเจ้าประคุณสมเด็จโต และหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเป็นพี่ชายเสมอ ถึงแม้ว่าท่านอยู่ที่วัดอินทรฯ พอมีเวลาว่างท่านก็จะข้ามไปหาประสมเด็จฯ เสมอจนเป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จโตตลอดมา
    เมื่อท่านเจ้าพระคุณสมเด็จได้มาสร้างพระศรีอริยเมตตไตรย์ (หลวงพ่อโต) ที่วัดอินทร์ฯ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จก็ได้มอบหมายให้หลวงปู่ดำเนินแทน มีอยู่คราวหนึ่ง ตอนที่ก่อสร้างพระเจดีย์ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ(โต) ท่านไปตรวจดูขณะที่เดินนำหน้าหลวงปู่ สมเด็จท่านได้ชี้ไปที่พระเจดีย์ซึ่งโบกปูนเสร็จใหม่ๆ สมเด็จท่านได้ชี้ไปที่ฐานล่างของพระเจดีย์ พร้อมกับพูดว่า
    "คุณภู จัดการเสีย"
    หลวงปู่รับคำพร้อมกับเดินไปตามช่าง ให้มาเอาปูนออก พอช่างเอาปูนออกภายในเป็นโพรงเล็กๆ มีคางคกอาศัยอยู่ในนั้นสิบกว่าตัวถ้าปล่อยทิ้งไว้ มีหวังคางคกตายหมด
    มีบางครั้งที่หลวงปู่ภู จะข้ามไปลงโบสถ์ทำวัตร ที่วัดระฆัง กับสมเด็จ(โต) เสมอ วันหนึ่งขณะที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ทำวัตรเสร็จได้เดินออกมาจากพระอุโบสถ โดยมีหลวงปู่ภูเดินตามหลัง พอเดินมาถึงตรงเจดีย์หน้าโบสถ์ซึ่งสร้างใหม่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้หยุดตรงหน้าเจดีย์ พร้อมกับหันไปมองหน้าหลวงปู่ภู และหัวเราะ "ฮึๆ " ในลำคอ ด้วยญาณสมาบัติถึงกันหลวงปู่ตอบว่า "ครับ พระคุณท่าน อ้ายคางคกสองผัวเมีย มันกำลังจะหมดลม ใกล้จะสิ้นใจแล้วครับ"
    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงพูดว่า "นั่นซิ" แล้วสั่งให้พระเณรนำจอบเสียมและชะแลง มาขุดเจาะช่องพระเจดีย์ ปรากฏว่าภายในช่องมีคางคกคู่หนึ่งจริงๆ นับว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ และหลวงปู่ภูมีญาณวิเศษ คือการบำเพ็ญสมาธิ จนได้เกิดทิพย์จักษุญาณ "ตาทิพย์" สมกับคำพังเพยได้กล่าวไว้ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ฉันใด อาจารย์ดี ลูกศิษย์ย่อมจะดี

    ชุบชีวิตคนที่ตายแล้ว
    ในสมัยที่โรคห่าระบาด (อหิวาตกโรค) ผู้คนป่วยเป็นโรคนี้ล้มตายกันเป็นเบือ เพราะในตอนนั้นยังไม่มียาที่จะรักษาได้ ในยุคนั้นคนกรุงเทพฯ ที่ป่วยเป็นโรคนี้พอเสียชีวิต จะนำศพไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าวัดสระเกศมากมาย จนสัปเหร่อต้องแล่เนื้อโยนให้นกแร้งกิน แล้วเอากระดูกมาเผาหรือฝัง เหตุที่ผู้คนตายกันเป็นจำนวนมากทุกศพที่นำมาโยนในป่าช้าจนส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว นกแร้งต่างมาชุมนุมกันอยู่ที่วัดสระเกศ จนชาวบ้านขนานนามว่า แร้งวัดสระเกศฯ เปรตวัดสุทัศน์ฯ
    ขณะที่เกิดโรคห่าระบาด หลวงปู่ภูได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศฯ พอตกกลางคืน ท่านจะออกมาเดินจงกรมพิจารณาซากศพเรียกว่าปฏิบัติ "อสุภกรรมฐาน" พิจารณาซากศพเป็นอารมณ์ อีกทั้งหลวงปู่ ได้เรียนวิชาทำไม้เท้าพ่อครูขณะที่เดินธุดงค์ท่านได้ตัดไม้จากกอไผ่ที่ช้างโขลงผ่านทั้งกอ นำมาเก็บไว้ เพื่อจะจิ้มศพคนที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคาร ให้ครบ ๗ ศพ
    มีอยู่หนหนึ่ง ในขณะที่หลวงปู่จุดเทียนเดินเข้าป่าช้า มีกองศพอยู่มากมาย ท่านได้เอาเทียนส่องดูตามทวารของศพ เมื่อท่านเห็นศพใดทวารหนักยังเปิดก็ปล่อยไว้ตามเดิมปรากฏว่าคืนนั้นท่านคัดศพที่ทวารเปิด ได้ ๖ ศพท่านจึงประกอบ พิธีทำน้ำมนต์ ที่หน้าโกดังศพ แล้วเอาน้ำมนต์กรอกใส่ปากของคนตายทั้ง ๖ และนั่งดูอาการอยู่จนกระทั่งตีห้า ปรากฏว่าร่างทั้ง ๖ ค่อยๆ เคลื่อนไหวฟื้นขึ้นมา
    เมื่อท่านเห็นว่าร่างทั้ง ๖ คนฟื้นคืนสติแล้วท่านก็ให้เด็กวัดช่วยกันนำมาที่กุฏิ และให้เด็กนำข้าวสารมาเสก พร้อมกับให้เด็กนำไปหุงข้าวต้มมาหยอดคนป่วยกินจนหมดทั้งหกคน จนผู้ป่วยหายดีแล้ว จึงได้กราบนมัสการลาท่านกลับบ้าน นับว่าท่านมีบุญฤทธิ์ สามารถช่วยคนตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมาได้

    เมตตาศิษย์ เสกสีผึ้งให้
    มีลูกศิษย์ที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่คนหนึ่งได้ไปหลงรักสตรีผู้หนึ่งมีรูปร่างงดงาม อีกทั้งฐานะก็ดี แต่สตรีคนนั้นมิได้สนใจใยดี เพราะมีหนุ่มฐานะดีมาติดพันกันมาก หลวงปู่ได้สังเกตเห็นศิษย์ของท่านหงอยเหงาผิดปกติ ท่านจึงสอบถามพอรู้สาเหตุ ท่านบอกว่าจะช่วยแต่มีข้อแม้ต้องสัญญาว่า เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว ต้องอุปการะเลี้ยงดูไม่นอกใจเขา ถ้าให้สัญญาได้จะช่วยเหลือ พอศิษย์ได้ฟังก็ดีใจ รับปากตามข้อสัญญาทุกประการ ท่านจึงให้ไปหาซื้อสีผึ้ง เมื่อศิษย์ผู้นั้นได้ฟังถึงกับงง เพราะไม่เห็นท่านเสกอะไรเลย แต่ก็ไม่พูดอะไรเพียงแต่ปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่อสีเสร็จแล้วท่านสั่งให้ไปที่บ้านหญิงคนรักในขณะนั้นเป็นเวลา ๓ ทุ่มเศษ ร้านค้าของหญิงคนรักยังไม่ปิด เมื่อเขาไปถึงได้เห็นหญิงที่ตนรักกำลังคุยกับชายหนุ่มคนหนึ่ง นุ่งผ้าม่วงใส่เสื้อแพรซัวตัง (สมัยนี้นั้นนิยมกันมาก ผ้าแพรจีน) ติดกระดุมทองคำห้าเม็ด มีรถฟอร์ดตอนเดียวประทุนผ้าใบ จอดเทียบอยู่หน้าร้าน และเห็นที่คนรักกำลังพูดคุยกับชายหนุ่ม ด้วยความสนิทสนม ด้วยความเชื่อมั่นในตัวหลวงปู่ที่ให้สีผึ้งทาปากมา ศิษย์ผู้นั้นจึงเดินเข้าไปหาใกล้ๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า "คุณครับ ผมรักคุณ" แทนที่หญิงคนรักจะยิ้ม หรือพูดจาตามปกติ กลับหันมาด้วยความโกรธ พร้อมกับพูดว่า "บ้า" แล้ววิ่งขึ้นชั้นบนไป
    เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ศิษย์ผู้นั้นก็เสียอกเสียใจ รีบขึ้นรถลาก (รถเจ็ก) กลับวันอินทร์เข้าไปนั่งเศร้าอยู่ใกล้ๆ หลวงปู่ พอท่านเห็นศิษย์กลับมาหน้าเศร้า ท่านก็หัวเราะแล้วถามว่า "ว่ายังไง วะ เรียบร้อย สมหวังใช่ไหม" ด้วยความโมโห ศิษย์ผู้นั้นตอบไปว่า "ครับเรียบร้อยครับ เขาว่าผมบ้า" หลวงปู่ก็ได้ตอบสวนขึ้นทันควัน
    "อ้ายโง่ ก็มึงยังไม่ได้ใช้สีผึ้งที่ให้มานี้สีปาก มึงมันดื้นรั้น โง่ที่สุด เดี๋ยวกูไม่ช่วยเสียนี่ แต่เอาเถอะเมื่อชาติปางก่อนมึงทำบุญร่วมกันไว้กูจะช่วย เอาสีผึ้งมาสีใหม่ เอ้าสีจากซ้ายไปขวาอย่าข้ามศูนย์ปาก"
    เมื่อท่านเห็นศิษย์สีปากเสร็จ จึงได้สั่งว่าถ้าไปถึงบ้านหญิงคนรักให้พูดว่า "รักแต่ไม่มีเงินขอ มีแต่กระดูก" พร้อมกับกำชับให้พูดอย่างเดียว ห้ามพูดอย่างอื่นเป็นอันขาด เมื่อศิษย์ได้ฟังดังนั้น ก็รีบกราบลาหลวงปู่ ขึ้นรถลากมุ่งหน้าไปที่บ้านหญิงคนรักอีกครั้ง
    พอไปถึงเห็นหญิงคนรักกำลังเดินลงบันได จากชั้นบนลงมาชั้นล่างศิษย์ของท่านจึงเข้าบ้าน กรากเข้าไปจับมือเอาดื้อๆ พร้อมกับพูดตามที่ท่านสอนเอาไว้ว่า "รัก ไม่มีเงินขอ มีแต่กระดูก" เมื่อพูดจบ หญิงคนรักกลับหน้าแดงและเม้มริมฝีปาก พร้อมกับยิ้มและพูดว่า "คุณพูดจริงหรือเล่น" ศิษย์ก็พูดแบบเดิมซ้ำอีก โดยไม่คาดฝันหญิงผู้นั้นร้องสั่งเด็กรับใช้ว่า "นี่หนู ไปบอกคุณหลวงที่หน้าบ้านว่า ฉันไม่ไปดูละครแล้ว ปวดศีรษะอยากนอนพักผ่อนมากกว่า" ต่อมาไม่นานหญิงคนนั้นก็ได้แต่งงานกับศิษย์ของท่านสมหวัง

    ปราบผีเปรต
    ในคราวที่ท่านเดินทางมาอยู่ที่วัดอินทร์ ฯ ใหม่ๆ ท่านมิได้อยู่ที่กุฏิท่านพักที่ศาลาเก็บศพ ซึ่งขณะนั้นชาวบ้านและพระภิกษุสามเณรต่างก็รู้กันทั่วว่า สถานที่นั้นผีดุ มักจะมาปรากฏกายหลอกหลอนผู้คน จนไม่มีผู้ใดกล้าเดินผ่านตอนกลางคืน ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังว่า ตอนที่มาพักอยู่ใหม่ๆ พอตอนกลางคืน ท่านจะนั่งเจริญกรรมฐาน จะมีผีสองตนมารบกวนต่างๆ นานาเป็นต้นว่า ทำให้เกิดเสียงดังโครมคราม บางทีก็ปรากฏกายน่าเกลียดน่ากลัว เจ้าหัวหน้าหัวมันแดง อีกตนหัวดำ จนท่านรำคาญไม่ไหว จึงได้เดินไปที่โลงศพหยิบเอากะโหลกศีรษะออกมา พร้อมใช้ขวานฟันจนกะโหลกแตก แล้วจึงนำกะโหลกลงคาถากำกับไว้ แล้วจึงประกบเข้าให้เหมือนเดิน หลังจากนั้นอ้ายผีทั้งสองก็ไม่ปรากฏกายมาหลอกหลอนผู้ใดเลย

    ทดสอบพลังจิตยกครก
    ตอนที่สร้างพระผง ขณะนั้นท่านชราภาพมาก จะลุกจะเดินไม่ค่อยไหว ท่านก็อาศัยลูกศิษย์ช่วยกันตำผงพระ ขณะนั้นได้มีลูกศิษย์ ๔-๕ คนกำลังช่วยกันโขลกผงอยู่หน้ากุฏิ ครกที่โขลกใหญ่มากเป็นหินขุด เวลาจะยกต้องใช้กำลังคนถึง ๔-๕ คนในขณะที่ลูกศิษย์กำลังโขลกอยู่ท่านอยากจะดูว่าผงจะใช้ได้หรือยัง ท่านจึงบอกกับศิษย์ว่า "พวกมึงแข็งแรง ช่วยกันยกครกนั่นมาเทียบกับเตียงกูซิ อยากดูเนื้อว่าจะใช้ได้หรือยัง"
    พวกบรรดาศิษย์ต่างก็ช่วยกันยกครกมาที่ข้างเตียงท่าน พร้อมเหนื่อยหอบท่านก็หัวเราะชอบใจ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
    "อ้ายพวกนี้ แข็งแรงหนุ่มๆ แน่นๆ เสียเปล่าไม่เห็นได้ความ เรี่ยวแรงไปไหนกันหมดกูอายุตั้งร้อยยังดีกว่าพวกมึงเป็นไหน---ไหน"
    ว่าแล้วท่านก็เอามือจับปากครกยกชูขึ้นขนาบศีรษะท่านอยู่ครู่หนึ่ง จึงวางครกลงแล้วหัวเราะชอบใจ พร้อมกับบ่นอุบอิบว่า "เสียข้าวสุก พวกมึงสู้คนแก่ไม่ได้" ลูกศิษย์ที่อยู่ในที่นั้นต่างตกตะลึงกันทั่ว ที่เห็นหลวงปู่ทำไมถึงมีพละกำลังน่าอัศจรรย์เช่นนั้น จึงได้สอบถามท่านทำไมถึงไม่หนัก ท่านก็พูดว่า "เมื่อของมันหนัก ก็ทำให้เบาเหมือนลมเสีย มันก็หายหนัก"
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    พระวังหน้ามีมากมายหลายพิมพ์ การนำภาพพระพิมพ์วังหน้า และพิมพ์นอกนิยมของวงการ เช่นพระพิมพ์ฝีพระหัตถ์ พระสมเด็จกลักไม้ขีด พระสมเด็จพิมพ์อกครุฑ สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าบางพิมพ์ พิมพ์คะแนนปัญจสิริ หยกบางชิ้น ฯลฯ มา post ให้ชมกันนั้นก็ไม่สามารถจะนำมาเผยแพร่ได้ เนื่องจากมีหลายเหตุผลด้วยกัน รวมทั้งการนำภาพพระพิมพ์ที่ post ไว้ไปค้นหาพระตามสนามพระเป็นเหตุให้ถูกโก่งราคาบ้าง ถูกพ่อค้านำไปสร้างพระตามแบบที่ post ไว้บ้าง หากนำมาถ่ายภาพ close ใกล้ชิดแบบนี้ยิ่งอันตรายใหญ่ คุณหนุ่มเขาก็กลัวว่าผมจะถ่ายภาพชัดจนเกินไป ความจริงเก็บไว้ดูคนเดียวก็ดีกว่า เพราะคนไม่เชื่อก็ยังมีอีกมาก เกรงจะไปปรามาสผลงานของท่านเจ้าฯกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญกัน แต่ในเมื่อท่านก็สู้อุตส่าห์ทนอ่านมาถึงหน้านี้ได้ก็ถือว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ได้อยู่นะครับ จึงขอแนะนำว่าการเช่าหาจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ อ่านข้อมูลมากๆ ให้รู้เท่าทันคนขายกันบ้าง หากตรวจสอบทั้งรูป และนามทั้ง ๒ แบบไปพร้อมๆกันก็จะดียิ่งขึ้น เก็บสะสมความรู้ ประสบการณ์กันไป เผยแพร่ศิลปะแห่งวังหน้า และเป็นทั้งวัตถุที่มีอิทธิคุณสูง ศิลปะ + อิทธิคุณ อยู่ในองค์พระองค์เดียวกัน จึงเป็นที่หวงแหนของคณะศิษย์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรกัน อย่างไรก็แล้วแต่ใครเขาจะว่าไม่มีก็เรื่องของเขา บางทีผู้กลับใจเห็นด้วยนั้นก็อาจจะมาบอกกับเราๆท่านๆกันไม่ได้ว่าพระวังหน้านั้นมีจริง เพราะเขาหมดโอกาสที่จะมาบอกแล้วนั่นเอง การสร้างพระนั้นสร้างง่าย สร้างให้ดีพร้อมนั่นยากขึ้นมาอีกขั้น ลองเปรียบเทียบ และประเมินกันดูว่างานปัจจุบันนี้ ประณีตเหมือนงานของสมัยก่อนหรือไม่?

    บางท่านที่มาใหม่ก็สนใจถามไถ่ว่าจะบูชาอย่างไร พวกเราทั้งหมดก็ยังแนะนำว่ายังไม่ต้องไปเช่าหา หรือบูชาจากผู้ใดในนี้ทั้งสิ้น อยากให้ทนอ่านไปทั้ง ๖๐๐ กว่าหน้าไปก่อน ไม่ชอบหน้าไหน ไม่ชอบใครก็อ่านผ่านๆไป ไม่ต้องไปสนใจมาก เข้าใจมวลความรู้ก่อน ค่อยหาของก็ยังไม่สายหรอกนะ พวกเราไม่ต้องการเงินจากท่านแม้แต่สลึงแดงเดียว เพราะพวกเราที่มีพระวังหน้านี้ไม่สามารถจะนำมาหาประโยชน์ใส่ตัวเองได้เลย แม้ว่าจะมีมากเพียงใดก็ตาม กรรมหนักครับ รับรองว่าไม่คุ้มกับเงินที่ได้รับในปัจจุบันนี้แน่ ก็ขอบอกกล่าวกัน..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2007
  12. kwok

    kwok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +4,239
    โอนให้แล้วครับ
    Time 17:44 Amount 400.00cash 172600 2662D
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-poo-hist-02.htm

    แขกทดสอบวิชา
    ตามปกติ ทุกๆ วันเมื่อหลวงปู่พอมีเวลาว่างจะต้องลงไปกวาดลานวัดหน้ากุฏิ วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังกวาดลานวัดอยู่จู่ๆ ก็บังเกิดเสียงดัง "เพี๊ยะ" ท่านจึงยกไม้กวาดรับแต่คราวนี้ท่านต้องสะบัดรับแรงหน่อย เพราะของที่ท่านใช้ไม้กวาดตวัดรับ มันกระเด็นไปตกที่ตรงกลางบริเวณนอกชานกุฏิ ท่านจึงเดินขึ้นกุฏิพร้อมกับเรียกเด็กวัด ให้เอาไม้ไผ่มาคีบของที่ตกลงมานั้นเป็นเนื้อวัวตรงสะโพกก้อนใหญ่ นำไปใส่ในอ่างย้อมผ้าพร้อมกันนั้นท่านก็ได้นำน้ำมนต์ราดไปบนก้อนเนื้อสดนั้น และบอกเด็กๆ ว่า "เอ้า ลาภปากของพวกมึงเอาไปย่างกินเสีย ต่อไปนี้พวกเอ็งได้ยินเสียงอะไรผิดสังเกต อย่าได้ทักเป็นอันขาดเดี๋ยวจะพากันลำบาก กูขี้เกียจแก้"
    และเป็นที่น่าอัศจรรย์ พอวันรุ่งขึ้นตอนเช้าตรู่ ก่อนที่ท่านจะฉันจังหัน ได้มีชายแปลกหน้า ๓ คนนุ่งโสร่งใส่หมวกแบบผู้นับถือศาสนาอิสลาม ได้แบกสำรับกับข้าวพร้อมด้วยขนมหวานมาถวายท่าน พร้อมกับก้มลงกราบและพูดขึ้นว่า
    "ขออภัยในการที่พวกกระผมได้ล่วงเกินนะครับหลวงตา หลวงตานี่เก่งจริงๆ พวกผมนับถือ"
    ท่านได้ฟังดังนั้นก็มิได้ตอบแต่ประการใดเพียงแต่นั่งอมยิ้ม พร้อมกับพูดขึ้นว่า "กูไม่เดือดร้อนอะไร นี่เป็นแขกเหรื่อ กราบไหว้พระ เอาของมาถวายพระ ไม่สู้ดีนะยะ ไม่สู้ดีนะยะ แขกเขาถือไม่ใช่หรือ"
    หายตัวเข้าโบสถ์ทางรูดาน
    มีเรื่องเล่าจากศิษย์ใกล้ชิดของท่านว่า ทุกวันถ้าเขาหยุดงาน จะต้องเดินทางไปปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ประจำ วันนั้นเป็นวันเสาร์ เขาก็ไปหาท่านแต่เช้า เมื่อท่านฉันจังหันเช้าเสร็จก็ห่มจีวรรัดอก(ห่มดอง) จึงได้สอบถามท่านว่า "หลวงปู่เดินไม่ค่อยไหว วันนี้มีงานอะไรทางวัดหรือครับ จึงครองผ้าอย่างนี้" ท่านก็ตอบว่า
    "อ้าย---กูรักมึง กูจะไปโบสถ์ ไปทำของสำคัญให้มึง กูรู้ว่าก็ตายมึงจะไม่ได้อะไร ใครก็ทำไม่ได้เหมือนกู เจ้ามาประคองกูคนละข้างกับอ้ายยิ่ง (หมอนวดประจำ) กูจะไปโบสถ์"
    ในขณะที่ศิษย์ทั้งสองประคองหลวงปู่ไปที่โบสถ์พอใกล้จะถึงประมาณ ๔-๕ วาท่านหยุดเดินและพูดขึ้นว่า
    "มึงปล่อยกูได้แล้ว กูยืนได้ มึงไม่ต้องจับรอบๆ โบสถ์หญ้าขึ้นรกทั้งนั้น คนเรานี่บัดซบจริงๆ ขี้เกียจก็เท่านั้น อ้ายพวกเด็กวัด มึงสองคนนี่แหละดีแล้ว ไปช่วยกันถอนหญ้า"
    ศิษย์ทั้งสองจึงปล่อยมือจากการประคองท่านแล้วรีบไปถอนหญ้าอยู่สักครู่ จึงหันกลับมาก็ไม่เห็นหลวงปู่แล้ว ด้วยความเป็นห่วง ที่ท่านชราภาพมากเดินไม่ค่อยไหว ทั้งสองจึงเดินหาท่านทั่วบริเวณโบสถ์ แต่ก็ไม่พบ เมื่อมองไปที่โบสถ์ก็เห็นประตูหน้าต่างปิดหมดทุกบาน อีกทั้งประตูหน้าก็ใส่กุญแจคล้องอยู่ เมื่อหาไม่พบทั้งสองคนจึงได้หยุดนั่งที่หน้าโบสถ์ ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงดังที่ประตูโบสถ์ คล้ายมีคนกำลังผลักประตูทั้งสองจึงหันไปดูแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ จึงได้ตะโกนเรียกหลวงปู่ กลับได้ยินเสียงหัวเราะของหลวงปู่พร้อมกับได้ยินเสียงท่านพูดว่า
    "กูอยู่นี่ไงล่ะอ้ายโง่"
    ทั้งคู่จึงรีบไขกุญแจโบสถ์เข้าไป ก็พบว่าหลวงปู่นั่งอยู่ภายในโบสถ์ จึงได้สอบถามท่านว่า ลูกกุญแจโบสถ์อยู่กับผม หลวงปู่เข้ามาได้อย่างไร ท่านกลับหัวเราะพร้อมกับชี้มือไปที่รูดานโบสถ์ ซึ่งมีความกว้างขนาดเท่าหัวนิ้วมือ และบอกว่า
    "อ้ายโง่ มึงมันโง่ กูเข้าทางนี้ อ้ายโง่"
    พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็เดินออกมานอกชานหน้าโบสถ์ และหยิบแผ่นเงิน ออกมาวางบนกลักบุหรี่ทองเหลืองแล้วท่านก็เพ่งจ้องไปบนท้องฟ้าอยู่นาน พอเมฆลอยมาบรรจบกันครั้งหนึ่งท่านก็ลงอักขระลงไปบนแผ่นเงิน ตัวหนึ่งท่านได้ทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหลายชั่วโมง จนครบตามสูตร
    แล้วท่านก็เอาเหล็กจาก (ตะปู) วางกดลงบนแผ่นยันต์นั่งบริกรรมปลุกเสก แล้วจึงม้วนแผ่นเงินเป็นตะกรุด พร้อมกับหันหน้าไปที่พระประธาน และยกมือที่ถือดอกตะกรุดยกขึ้นยกลง ถึง ๓ ครั้ง จึงได้หันหน้าไปที่ลูกศิษย์พร้อมกับพูดว่า "เอ้า มาเอา พุทธสิทธิ ธัมมสิทธิ สังฆสิทธิเม" เอาติดตัวไว้ให้ดี ทำลำบากของสูง ของสำคัญกูไม่รักมึง ไม่สงสารมึงกูไม่ถ่อร่างมาทำให้มึง ให้ป่วยการ แล้วอย่าไปติดเก้งจนเมียมึงด่ากูถึงวัดก็แล้วกัน อ้ายสัตว์ตากำ" ปกติหลวงปู่มักจะติดคำพูดว่า "อ้ายสัตว์ตากำ กับคำว่า อ้ายโง่"

    ล่วงรู้ว่าผู้ใดถึงกาลมรณะ
    คืนวันหนึ่ง ขณะที่ลูกศิษย์อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ ในบรรดาลูกศิษย์ที่มาทุกคืน มีศิษย์อยู่คนหนึ่ง ชื่อนายเชยบ้านอยู่ใกล้วัด ปกตินายเชยจะมาที่กุฏิหลวงปู่ทุกคืน และทุกคืนที่มาก็จะนั่งเอาหลังพิงเสาอยู่หลับเป็นประจำพอหลวงปู่เข้าจำวัดแล้ว แกก็จะกลับบ้าน
    ในคืนวันนั้น นายเชยไม่มานั่งที่กุฏิ หลวงปู่จึงสอบถามลูกศิษย์ ทำไมเจ้าเชยถึงไม่มา ก็ไม่มีใครตอบคำถามท่านได้ ต่างนั่งนิ่งเงียบกันเฉยอยู่ ท่านจึงได้พูดว่า "กูไม่เห็นหัวของอ้ายเชย" พอพูดจบท่านก็คุยเรื่องอื่น พอสักระยะท่านก็พูดอีก "กูไม่เห็นหัวของอ้ายเชย" ท่านได้พูดอยู่แต่คำนี้หลายครั้งหลายหน พอตกดึกทุกคนที่นั่งอยู่ในกุฏิหลวงปู่ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ พร้อมกับเดินมาบนกุฏิหลวงปู่ จึงได้รู้ว่าเป็นภรรยาของนายเชย ได้มาบอกกับท่านว่า "นายเชย ตายเสียแล้วโดยยืนตายขณะรดน้ำกล้วยไม้"

    เทวดาให้รางวัลพระพุทธรูป
    ขณะนั้นหลวงปู่ชราภาพมาก แต่ทุกคืนท่านจะสวดมนต์ทำวัตรไม่เคยขาด คืนวันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังทำวัตรสวดมนต์อยู่ภายในกุฏิทุกครั้งที่ท่านสวดมนต์จะต้องส่งเสียงสวดดังๆ เป็นประจำ ในขณะที่ท่านกำลังสวดมนต์อยู่ตอนนั้นประมาณเวลา ๑ นาฬิกา ลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ในกุฏิก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงคล้ายมีวัตถุหนักๆ ตกลงมากระทบพื้นดินดัง "โครม" ทำให้ทุกคนต้องหันไปมองตามเสียง ก็ได้ยินเสียงหลวงปู่ตะโกนออกมาจากในห้องว่า
    "อ้าย---มึงไม่หยิบของนอกชานซิ กูสวดมนต์ดังดัง เทวดาเขาให้รางวัลกู"
    เมื่อลูกศิษย์ได้ยินดังนั้น ก็เดินออกไปนอกชาน ได้เห็นพระพุทธรูปบูชาหินสีเขียว มีสีน้ำตาลผ่านเป็นบางแห่ง เรียกว่า หินน้ำค้าง จึงได้หยิบเข้าไปมอบให้หลวงปู่พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นแบบเชียงแสนลังกาวงศ์ มีขนาดกว้าง ๗.๔ ซ.ม. สูง ๙.๑ ซ.ม. นับว่าอัศจรรย์มาก ที่พระพุทธลอยมาเอง แม้แต่เพียงหล่นลงมาก็ดังมากแต่ไม่ยักกะแตกหรือร้าวแต่ประการใด

    กำหนดวันมรณภาพ
    โดยปกติทุกวันหลวงปู่จะถ่ายปัสสาวะลงในกระโถนเคลือบเล็กๆ แล้วส่งให้ลูกศิษย์ไปเทลงในกระโถนใหญ่ วันหนึ่งท่านได้ปฏิบัติดังนี้อีก พอลูกศิษย์นำไปเทแล้ว ท่านได้ถามว่า "มีฟองไหม" ศิษย์ก็ตอบว่า "ไม่มีฟอง" ท่านจึงพูดต่อไปว่า
    "นั่นแหละมึงจำเอาไว้ คนแก่เมื่อเยี่ยวหมดฟอง แล้วละก็ ไม่ช้าดอกมึง มรณสัญญาณมันมาแล้ว จะต้องลามึงไป"
    หลังจากที่ท่านได้พูดกับลูกศิษย์อยู่ไม่นาน ก่อนที่ท่านจะอาพาธหนักจนถึงมรณภาพ ซึ่งลูกศิษย์ได้บันทึกไว้ว่าในเดือน ๓ เป็นฤดูหนาว ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ท่านได้นั่งอยู่บนเตียงนับนิ้ว ๓ นิ้วแล้วพูดพึมพำ คล้ายกับพูดอยู่กับตัวเองว่า
    "วันเสาร์ ข้างขึ้น เดือน ๖ เวลา ๖ ทุ่มล่วงแล้ว"
    ท่านได้พูดอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายหนจนลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้สอบถามเป็นเชิงล้อเลียนท่านว่า
    "หลวงปู่จะทำอะไร จะทำบุญอายุครบ ๑๐๐ ปี อีกหนหนึ่งหรือครับ กระผมจะได้ไปเรียนขุนนางที่เขาเป็นศิษย์ให้ทราบ"
    พอพูดจบท่านก็ตอบสวนทันควันว่า "ไอ้โง่ ไอ้โง่" แล้วท่านก็นั่งนับนิ้วต่อไป พร้อมกับพูดซ้ำๆซากๆ อยู่อย่างนี้หลายครั้ง ศิษย์ที่นั่งอยู่ก็พูดล้อเลียนอีก ท่านก็ตอบอีกว่า
    "ไอ้โง่ ไอ้โง่ มรณสัญญาณ ของข้าฯ มาแล้ว จะต้องลามึงไป มึงอย่าเสียใจนะ"
    ไม่มีผู้ใดคาดหมายมาก่อนเลยว่าหลวงปู่จะมรณภาพ ถึงแม้ท่านจะไม่ค่อยแข็งแรง คล่องแคล่วเหมือนแต่ก่อน แต่ท่านก็มิได้มีอาการเจ็บป่วย อะไรมาก่อน
    จนถึงเดือน ๕ เวลาเช้า ในขณะที่ท่านกำลังฉันจังหันเช้าอยู่ ขณะที่หยิบช้อนขึ้นตักแกงพอยกขึ้นซดช้อนก็หลุดจากมือท่าน พร้อมกับนั้นท่านก็หงายหลังพิงหมอนอิง ปากท่านเบี้ยว นับแต่นั้นมาท่านก็ล้มเจ็บป่วยโดยโรคอัมพาต หลังจากท่านล้มป่วยมาจนถึงเดือน ๖ ตรงกับวันเสาร์ข้างขึ้น พระจันทร์เต็มดวง เวลาประมาณ ๑ นาฬิกา ๑๐ นาที ท่านก็มีอาการหอบและหูตึง
    ในขณะนั้นมีศิษย์ซึ่งเฝ้าพยาบาลอยู่หลายคน ต่างวิตกกันไปต่างๆ นานา ทันใดนั้นทุกคนก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงบนหลังคาสังกะสีของกุฏิที่ท่านนอนอยู่ดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับลูกระเบิดจนกุฏิสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง จากนั้นอีกประมาณ ๕ นาที หลวงปู่ก็สิ้นลมด้วยอาการอันสงบ มิได้มีเวทนาอันเป็นวิบากกรรมให้ปรากฏ
    นับเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่วันมรณภาพของท่านตรงกับคำพูดของท่านได้บอกไว้ล่วงหน้าคือ "วันเสาร์ ข้างขึ้น เดือน ๖ เวลา ๖ นาฬิกาล่วงแล้ว" ซึ่งตรงกับจันทร์คติ เมื่อปีระกา วันเสาร์ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๖ เวลา ๑ นาฬิกา ๑๕ นาที ตรงกับ วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๗๖ นับทางสุริยคติรวมอายุได้ ๑๐๓ ปีเศษ หรือ ๑๐๔ ปีซึ่งตรงกับที่ท่านได้พูดไว้คราวที่นิมิตเห็นผู้มาถวายตราแผ่นดิน ๓ อัน ท่านบอกว่า จะมีอายุยืนถึง ๑๐๐ ปีเศษ

    การสร้างพระเครื่อง-วัตถุมงคลต่างๆ
    ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ได้จัดสร้างพระเครื่อง เนื้อผง ขึ้นหลายแบบพิมพ์ด้วยกัน ส่วนเหรียญก็มีเฉพาะแจกวันเกิด ส่วนตะกรุดผ้ายันต์อีกทั้งไม้เท้าพ่อครูก็ได้สร้างขึ้นแต่มีจำนวนไม่มากนัก
    กล่าวกันว่า ท่านได้สร้างพระเครื่องตอนมาอยู่ที่วัดอินทรวิหาร ในระยะหลังเท่านั้น ตอนสมัยหลวงปู่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ใครมาขอของขลังท่านจะไล่ให้ไปขอกับหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งเป็นพระพี่ชายของท่าน ส่วนวัตถุมงคลที่หลวงปู่ใหญ่ได้สร้างไว้ เป็นแบบใดไม่ปรากฏหลักฐาน เข้าใจว่าคงมีไม่มากนัก
    จากหลักฐานการสร้างพระเครื่อง ของหลวงปู่ภู ได้จัดสร้างขึ้นหลังจากที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง และหลวงปู่ใหญ่ได้มรณภาพลงไปแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๑๕ เนื่องจากท่านมีความสำนึกในจิตใจ จะไม่ทำอะไรแข่งกับผู้ที่ท่านเคารพนับถือ คือไม่แข่งกับครูบาอาจารย์นั่นเอง
    มูลเหตุที่ท่านสร้างพระเครื่อง เกี่ยวเนื่องจากท่านต้องรับภาระต่อจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ดำเนินงานก่อสร้าง พระศรีอริยเมตไตรย์ (หลวงพ่อโต) ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้สร้างพระผงขึ้นเพื่อแจกให้กับผู้มีจิตศรัทธา สละเงินช่วยก่อสร้างพระโต โดยท่านมิได้กำหนดราคาค่างวดใดๆ ทั้งสิ้นสุดแท้แต่จะศรัทธาของสาธุชนที่มาทำบุญด้วย ท่านได้ปรารภกับศิษย์ "กูไม่มีทางอื่นจะเลือก"
    เมื่อหลวงปู่สร้างพระออกแจกจ่ายเพื่อการกุศล ต่อมาได้มีพระภิกษุบางรูปที่อยู่ในวัด ได้สร้างพระเครื่องซึ่งให้ช่างแกะแม่พิมพ์ที่มีความละม้ายคล้ายกันกับหลวงปู่ นำออกแจกจ่ายบ้าง เมื่อท่านได้ทราบเรื่องนี้เข้า ท่านก็ได้ระงับการแจกพระของท่านเสีย โดยท่านนำพระทั้งหมดมาบรรจุใส่ในกระถางมังกร ท่านได้นำมาวางไว้ที่เหนือศีรษะที่ท่านจำวัตร พอเวลาสวดมนต์ตอนกลางคืนท่านก็เอามือจับปากกระถางมังกรปลุกเสกอยู่ทุกคืน ตอนที่มีพระภิกษุทำพระล้อแบบพิมพ์ของท่านออกแจกหาเงินเข้ากระเป๋าท่านได้พูดกับลูกศิษย์ว่า "กูต้องเลิกทำละ ไม่ได้การ มันจะตกนรกกันเปล่าๆ ของไม่ได้เสก ไม่ได้ประสิทธิ์ กูไม่เล่นด้วย" นับแต่นั้นมาท่านก็ไม่ยอมสร้างอีกเลย
    มีอยู่วันหนึ่งลูกศิษย์ได้สอบถามท่านถึงเรื่องพระเครื่องที่เหลืออยู่ในกระถางมังกร ทำไมถึงไม่ยอมนำออกไปช่วยการกุศล จะเก็บไว้ทำไมท่านก็หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า "กูเอาไว้หาเงินทำศพกูเอง ไอ้โง่" ตอนที่ลูกศิษย์สอบถามท่านขณะนั้นหลวงปู่อายุประมาณ ๑๐๒ ปีแล้ว

    กะโหลกหลวงปู่ใหญ่เผาไม่ไหม้
    ในงานฌาปนกิจศพหลวงปู่ใหญ่ ได้มีลูกศิษย์ลูกหามาร่วมงานกับคับคั่ง ในสมัยนั้นยังไม่มีเมรุเผาแบบปัจจุบันจะต้องทำเป็นเมรุจำลอง ประดับประดาด้วยต้นกล้วยฉลุลวดลายสวยงามมาก เมื่อถึงเวลาเผาศพประมาณ ๒ ยามเศษในขณะที่สัปเหร่อเริ่มเผากระดูกหลวงปู่ใหญ่ เป็นเวลา ๒ ชั่วโมง กระดูกทุกชิ้นเผาไหม้ไปหมดสิ้น เว้นแต่กะโหลกศีรษะยังคงสภาพเดิม ถึงไฟจะลุกโชนอยู่แต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ จนสัปเหร่อต้องเอาสามง่ามและอีโต้ช่วยกันฟันแทงไปที่กะโหลกเพื่อให้แตก จะได้เผาไหม้ง่ายขึ้น จนสัปเหร่อต้องนั่งเหงื่อตก ต่างยกมือท่วมหัวของขมาลาโทษ เพราะในชีวิตที่เป็นสัปเหร่อมายังไม่เคยประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน
    ดังนั้นหัวหน้าสัปเหร่อจึงได้เดินไปหาหลวงปู่ภูที่กุฏิ พร้อมกับรายงานให้ท่านทราบ พอหลวงปู่ได้ฟังเท่านั้นท่านรีบครองผ้ามาที่เมรุทันทีพร้อมกับสั่งว่า
    "เอ็งไปเอาก้านกล้วยมาให้กูสักศอกเถิด เขาคอยข้า เขาคอยข้า ข้าลืมไปมัวสวดมนต์เพลิน"
    เมื่อได้ก้านกล้วยมาแล้ว ท่านก็เดินไปที่บริเวณเชิงตะกอนเผาศพ พร้อมกับมือที่ถือก้านกล้วยทิ้งลงไปบนกะโหลก ปากก็ภาวนาว่า
    "จุติ จุตตัง พระอรหังจุตติ เป็นสุขเป็นสุขเถิด"
    เท่านั้นเองกะโหลกหลวงปู่ใหญ่ก็แตกละเอียดไหม้เป็นจุณ นับว่าอัศจรรย์มาก

    กรรมวิธีสร้างไม้เท้าพ่อครู
    ในกระบวนวัตถุมงคลที่หลวงปู่ได้สร้างขึ้น เป็นของที่หายากมาก เพราะท่านสร้างน้อยมากส่วนมากจะแจก เฉพาะศิษย์ใกล้ชิดเท่านั้น เพราะกรรมวิธีการสร้างยากมาก จนท่านเคยพูดว่า "ไม่มีใครทำได้อย่างกู" วิชานี้คนที่มีบุญวาสนาเท่านั้นถึงจะเรียนสำเร็จ
    ไม้เท้าพ่อครูเป็นวัตถุอาถรรพณ์ ก่อนที่จะทำจะต้องหา ไม่ไผ่สีสุกกอที่ฟ้าผ่า และทอดยาวไปทางทิศตะวันออกทั้งกอ เมื่อกอไผ่ถูกฟ้าผ่าต้องนั่งเฝ้าดูภายในเจ็ดวัน ถ้ามีช้างโขลงมาพบกอไผ่สีสุก แล้วกระโดดข้ามก่อไผ่ไปทั้งโขลงจึงจะใช้ได้ ก่อนจะตัดต้องประกอบพิธีพลีกรรม โดยขอตัดไม้ไผ่ลำที่ทอดยาวไปทางทิศตะวันออก และตัดเอาท่อนปลายเพียง ๓ ปล้องเท่านั้น
    ในตำราระบุไว้ว่า ไม้ไผ่ลำนี้เปรียบประดุจไม้ยันพระวรกายของท้าวเวสสุวรรณ เมื่อได้ไม้ไผ่มาแล้ว ท่านก็นำมาจิ้มบนศพที่กล้าแข็ง คือศพคนตาย วันเสาร์เผาวันอังคาร ให้ครบ ๗ ศพ จึงเป็นเสร็จพิธีแล้วนำไม้ท่อนนี้เก็บเอาไว้ เพื่อตัดมาบรรจุอีกทั้งยังมีกระดูกแร้งส่วนมากไม้ที่จะทำไม้เท้าพ่อครูมีไม้รักซ้อน ไม้พยุง บางคนก็นำไม้ชนิดอื่นมาให้ท่านทำก็มี
    กล่าวกันว่าถ้าใครอยากได้ไม้เท้าพ่อครูจะต้องขอท่านก่อนวันเสาร์ล่วงหน้าหนึ่งวัน ถ้าท่านรับปากในวันเสาร์ตอนเช้าผู้ที่มาขอจะต้องจัดเตรียมหัวหมู บายศรีปากชาม มะพร้าวอ่อน กล้วย ขนมต้มแดง ต้มขาว ใส่ถาดไปทำพิธี แล้วเอาไม้ตะพดเจาะรูหัวท้าย หรือหัวเดียวก็ได้ไปถวายท่าน ท่านก็จะประกอบพิธีบรรจุไม้เท้าพ่อครู พร้อมกับอุดด้วยชันนะโรง ใต้ดินและจัดตอกนำมาลงอักขระบรรจุเข้าไปที่เจาะรูไว้ ศิษย์ใกล้ชิดได้กล่าวว่า บางเสาร์จะมีหัวหมูเครื่องบายศรีถึง ๙ หัวด้วยกัน แสดงว่าวันนั้นท่านทำถึง ๙อัน การบรรจุไม้เท้า ถ้าข้างเดียว หรือสองข้างก็เรียกว่าไม้เท้าพ่อครู แต่มีบางท่านเรียก นิ้วชี้พระอิศวรหรือต้นตายปลายเป็น
    เมื่อท่านกระทำให้ผู้ใดก็ตาม ท่านจะกำชับหนักหนา ห้ามเอาไปตีใครเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ผู้ที่ถูกตีถึงกับเสียจริต (บ้า) รักษาไม่หาย นอกจากจะโดนกลั่นแกล้งถึงกับน้ำตาเป็นสายเลือด หมายถึงสุดที่จะอดกลั้นได้ อิทธิฤทธิ์ของไม้เท้าพ่อครูใช้ป้องกันตัวเมื่อยามคับขัน ป้องกันโจรผู้ร้ายคุณไสย และภูตผีปีศาจไม่กล้ากล้ำกลายมารบกวน ซึ่งมีผู้ประสบมามากมาย

    [​IMG]
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.mongkhonthip.com/praban/lp-poo.html

    พระครูธรรมานุกูล (ภู จนฺทเกสโร)
    วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ ​

    [​IMG]

    ประวัติ วัดอินทรวิหาร

    เดิมชื่อ วัดอินทาราม หรือ วัดบางขุนพรหมนอก ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นคนสร้าง แต่มีเรื่องเล่ากันว่า เจ้าอินทร์ หรือ อินทะวงศ์ มีศักดิ์เป็นน้าชายของเจ้าน้อยเขียวเมืองเวียงจันทร์ เป็นผู้ปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ธิดาของเจ้าอินทะ คนหนึ่งมีนามว่า เจ้าทองสุก กับเจ้าน้อยเขียว ได้เป็นพระสนมของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
    ในสมัยนั้น เมืองเวียงจันทร์ยังเป็นเมืองขึ้นของกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงพระราชทานที่ดิน แถบที่ตั้งวัดอินทรฯ ในปัจจุบัน ให้เป็นที่อยู่ของชาวเวียงจันทร์ เจ้าอินทร์ได้นิมนต์ท่านเจ้าคุณพระอรัญญิก ซึ่งมีเชื้อสายชาวเวียงจันทร์ มาปกครองวัด
    มูลเหตุการเปลี่ยนชื่อ

    ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระองค์เจ้าอินทร์ในกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ ได้บูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถส่วนการเปลี่ยนชื่อเพราะเนื่องจากชื่อวัด ไปตรงกับวัดอินทาราม (ใต้) ฝั่งธนบุรี จึงได้เปลี่ยนเป็น วัดอินทราวิหาร เพื่อไม่ให้ซ้ำกัน ในสมัยรัชกาลที่ ๖
    พระพุทธรูปที่สำคัญ ของวัดอินทรวิหาร

    ๑. พระประธาน ในพระอุโบสถ
    ๒. พระศรีสุคต อังคีรสศากยมุนี
    ๓. พระศรีอริยเมตไตรย์ หรือ หลวงพ่อโต
    ความสัมพันธ์ของ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กับหลวงปู่ภู
    พระศรีอริยเมตไตรย์เป็นพระพุทธยืนอุ้มบาตร สูงใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ได้เริ่มต้นสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ และหลวงปู่ภู เป็นผู้ดำเนินงานก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จ
    ปกติ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านมักจะสร้างพระพุทธรูปที่ใหญ่โต สมกับชื่อเพื่อเป็นพุทธบูชา (อุเทสิกเจดีย์) ไว้เป็นที่สักการะบูชา และปริศนาธรรมควบคู่ไปด้วยตามประวัติท่านสร้างไว้หลายแห่งเช่น
    ๑. ที่วัดสะตือ จังหวัดอยุธยา ได้สร้างพระนอน มีความหมายว่า ท่านได้เกิดที่นั่น ต้องนอนแบเบาะก่อน
    ๒. ที่วัดเกศไชโย สร้างพระพุทธรูปปางนั่งหมายถึงท่านหัดนั่ง ณ ที่นั้น
    ๓. ที่วัดอินทรวิหาร สร้างพระศรีอริยเมตไตรย์ (พระยืนอุ้มบาตร) หมายถึงท่านหัดยืน ณ ที่นั้น
    ในขณะที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ดำเนินงานก่อสร้างหลวงพ่อโต ท่านก็ได้หลวงปู่ภู เป็นกำลังสำคัญ เพราะท่านเจ้าประคุณสมเด็จสร้างพระโต ไปได้เพียงครึ่งองค์ก็สิ้นชีพตักษัยเสียก่อน ตามหลักฐานขณะนั้นหลวงปู่ภูอายุได้ ๔๓ ปี พรรษาที่ ๒๓ นับว่าชราภาพมากแล้ว
    ความสัมพันธ์ของเจ้าประคุณสมเด็จโตกับวัดอินทรวิหาร
    เมื่อเยาว์วัยท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ (โต) ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณอรัญญิก (แก้ว) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในสมัยนั้นตามหลักฐาน ท่านเจ้าคุณธรรมถาวร (ช่วง) มีความใกล้ชิดกับเจ้าประคุณสมเด็จดี ได้เคยกล่าวกับพระยาทิพโกษาฯ ว่าถ้าอยากรู้ประวัติของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ก็ไปดูภาพฝาผนังโบสถ์ที่วัดอินทรฯ ได้
    นอกจากนี้ในสมัยที่หลวงปู่ภูยังมีชีวิตอยู่ท่านได้สั่งกำชับ และสอนลูกศิษย์ทุกคนห้ามมิให้ขึ้นไปบนพระโต เนื่องจากเจ้าประคุณสมเด็จได้บรรจุของดีไว้ภายในฐาน ถ้าใครขึ้นไปจะเป็นอัปมงคลแก่ตัวเอง ส่วนของดีนั้นเข้าใจว่าอาจจะเป็นพระเครื่องสมเด็จก็ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าซักถามหลวงปู่ว่า ภายในบรรจุอะไรไว้ เพราะตลอดระยะเวลา ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ดำเนินงานก่อสร้างหลวงพ่อโตและบรรจุของศักดิ์สิทธิ์ หลวงปู่ได้รู้เห็นโดยตลอด ถ้าของที่บรรจุไว้ไม่ใช่ของสูงท่านคงไม่กำชับลูกศิษย์ลูกหาของท่านเป็นแน่
    เอาละครับตอนนี้ข้าพเจ้าขอนำท่านผู้อ่านได้มารู้จักกับชีวประวัติของพระครูธรรมานุกูล
    พระครูธรรมานุกูล นามเดิมชื่อว่า ภู เกิดที่หมู่บ้านตำบลวังหิน อำเภอเมือง จังหวัดตาก ในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ ตรงกับปีขาลโดยบิดามีนามว่า นายคง โยมมารดามีนามว่า นางอยู่ พออายุได้ ๙ขวบ บิดามารดาได้พาไปบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดท่าคอย ได้ศึกษาเล่าเรียกอักขระสมัย (ภาษาขอม) และหนังสือไทย กับท่านอาจารย์ วัดท่าแคจนกระทั่งอายุได้ ๒๑ ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ณ พัทธสีมา วัดท่าคอย โดยมี พระอาจารย์อ้น วัดท่าคอย เป็นพระอุปัชฌาย์พระอาจารย์คำ วัดท่าแค เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์คำ วัดท่าแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์มา วัดน้ำหัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายานามทางพระว่า "จนฺทสโร"
    เมื่อบวชแล้วได้จำพรรษาอยู่ สำนักวัดท่าแคชั่วระยะหนึ่งก็ได้ออกเดินธุดงค์ จากจังหวัดตากมาพร้อมกับพระพี่ชาย คือ หลวงปู่ใหญ่
    สำหรับวัดท่าแค ในสมัยที่หลวงปู่ภูจำพรรษาอยู่ นั้นยังเป็นวัดเล็กๆ เข้าใจว่าโบสถ์ยังไม่ได้สร้างท่านจึงได้มาอุปสมบท ที่วัดท่าคอยแล้วกลับไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเดิมอีก ปัจจุบันวัดท่าแคนี้ตั้งอยู่ตรงเชิงสะพานกิตติขจรฝั่งตัวจังหวัดตากตำบล เชียงเงิน อำเภอเมือง ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดชนะสงคราม
    ในสมัยที่หลวงปู่ภูเดิมธุดงค์มากรุงเทพฯ ครั้งแรก ท่านได้เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ได้มาปักกลดอยู่ ณ บริเวณที่ตั้งวังบางขุนพรหม (ธนาคารแห่งประเทศไทย) สมัยนั้นพื้นที่บริเวณนั้นยังเป็นป่ารกร้างว่างเปล่าและเปลี่ยวมาก มีแต่ต้นรังต้นตาลที่ขึ้นระเกะระกะไปหมด นอกจากนี้ยังมีทางเกวียนทางเท้าเป็นช่องเล็กๆ พอเดินไปได้เท่านั้น ท่านได้มาปักกลดอยู่บริเวณชายแม่น้ำเจ้าพระยา พอตกกลางคืนได้นิมิตฝันไปว่า ได้มีคนนำเอาตราแผ่นดินมามอบถวายให้ท่าน ๓ ดวง เมื่อท่านตื่นขึ้นมาก็ได้พิจารณาถึงนิมิตนั้นพอจะทราบว่า ท่านเองจะมีอายุยืนยาวถึง ๑๐๓ ปีเศษ
    การเดินธุดงค์ของหลวงปู่นับตั้งแต่เดินทางออกมาจากวัดท่าแคเข้าจำพรรษาที่วัดในกรุงเทพฯ สันนิษฐานจากคำบอกเล่าของท่านที่ได้เล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศฯ ได้ช่วยชีวิตรักษาคนป่วย เป็นอหิวาตกโรคไว้ ๖ คนซึ่งยุคนั้นถือว่าอหิวาตกโรคร้ายแรงมาก ยังไม่มียาจะรักษาถ้าใครเป็นมีหวังตายลูกเดียว และในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ซึ่งเป็นปีที่อหิวาตกโรคระบาดหนัก จนเป็นที่กล่าวขวัญเรียกกันจนติดปากว่า "ปีระกาห่าใหญ่"
    ต่อมาท่านได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสามปลื้ม ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดจักรวรรดิ์ราชาวาสและได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ วัดโมลีโลกยาราม (วัดท้ายตลาด) ตามลำดับ
    กาลต่อมาได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอินทาราม ซึ่งในสมัยนั้นยังใช้ชื่อวัดบางขุนพรหมนอก ในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ และได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ส่วนสมณศักดิ์ที่หลวงปู่ได้รับไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับตำแหน่งในปีใด เข้าใจว่าได้รับก่อนปี พ.ศ. ๒๔๖๓ เพราะตามหลักฐาน ศิลาจารึกเกี่ยวกับการสร้าง พระศรีอริยเมตไตรย์ มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า
    ถึง พ.ศ. ๒๔๖๓ ท่านพระครูธรรมานุกูล (ภู) ผู้ชราภาพอายุ ๙๑ ปี พรรษาที่ ๗๐ ได้ยกเป็นกิตติมศักดิ์อยู่ในวัดอินทรวิหาร ท่านจึงได้มอบฉันทะ ให้พระครูสังฆบริบาล ปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ
    ท่านได้มรณภาพลงเมื่อ วันเสาร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ตรงกับวันขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๖ ปีระกา เวลา ๐๑.๑๕ น. รวมสิริอายุได้ ๑๐๔ ปี ๘๓ พรรษา นับว่าท่านได้ยกเป็นพระครูกิตติมศักดิ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ จนถึงวันมรณภาพเป็นเวลา ๑๓ ปี
    จากบันทึก จริยาวัตร ของหลวงปู่ภู
    จริยาวัตรซึ่งลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายที่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่าน จนถึงบั้นปลายชีวิตได้บันทึกเรื่องราวของหลวงปู่ภูไว้โดยละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางธุดงค์ และการสร้างอิทธิวัตถุมงคลต่างๆ ของท่านไว้สมบูรณ์ที่สุด ผมจะขอนำมากล่าวไว้เพื่อเป็นเกียรติประวัติแด่ท่าน ณ ที่นี้
    การถือธุดงค์เป็นกิจวัตร
    สมัยที่หลวงปู่ยังแข็งแรงดี ท่านจะถือธุดงค์วัตรมาโดยตลอด พอออกพรรษา ท่านจะออกรุกขมูลมิได้ขาดท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังเสมอว่า ได้ร่วมเดินธุดงค์ไปกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นบางครั้งบางคราวบางทีท่านออกธุดงค์ก็มีพระภิกษุติดตามด้วยท่านได้เล่าให้ฟังว่า ถึงเรื่องแปลกๆที่ด้ออกรุกขมูลไปตามป่าเขามากมายหลายเรื่องซึ่งล้วนแล้วแต่ตื่นเต้นน่าอ่านมาก
    ผจญจระเข้
    ในสมัยที่เดินธุดงค์ มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านได้ปักกลดพักอยู่ใกล้บึงใหญ่แห่งหนึ่ง ใกล้บริเวณนั้นมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชาวบ้านปลูกอาศัยอยู่ ๒-๓ หลัง ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้เที่ยงวัน อากาศร้อนอบอ้าว ท่านจึงได้ผลัดผ้า-อาบ และลงสรงน้ำในบึงใหญ่ พอดีชาวบ้านแถบนั้นเห็นเข้า จึงได้ร้องตะโกนบอกท่านว่า "หลวงตาอย่าลงไป มีจระเข้ดุ" แต่ท่านมิได้สนใจ ในคำร้องเตือนของชาวบ้าน ท่านกลับเดินลงสรงน้ำในบึงอย่างสบายใจ ในขณะที่กำลังสรงน้ำอยู่นั้น ท่านได้แลเห็นพรายน้ำเป็นฟองขึ้นเบื้องหน้ามากมายผิดปกติ เมื่อได้เพ็งแลไปจึงได้เห็นหัวจระเข้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ห่างจากตัวท่านประมาณ ๓ วา พร้อมกันนั้นเจ้าจระเข้ยักษ์ มันหันหัวมุ่งตรงรี่มาหาท่านแต่ท่านก็มิได้แสดงกิริยาหวาดวิตกแต่ประการใดไม่ กลับยืนสงบตั้งจิตอธิษฐานเจริญภาวนาจนจระเข้ว่ายมาถึงตัวท่าน พร้อมกับเอาปากมาดุนที่สีข้างของท่านทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ข้างละ ๓ ครั้ง แล้วก็ว่ายออกไป มิได้ทำร้ายท่าน
    เรื่องนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์ต่อชาวบ้านที่ยืนดูอยู่บนฝั่ง เมื่อท่านขึ้นจากน้ำชาวบ้านต่างบอกสมัครพรรคพวก เข้าไปกราบนมัสการด้วยความเลื่อมใสศรัทธายิ่งนักและได้ขอของดีจากท่านคือ ตะกรุด ท่านได้บอกกับลูกศิษย์ว่าในขณะที่เผชิญกับจระเข้ ท่านได้เจริญภาวนา อรหัง เท่านั้น
    เสือเลียศีรษะ
    ท่านได้เล่าให้ฟัง คราวที่เดินธุดงค์รอนแรมไปในป่าใหญ่เพียงองค์เดียวในขณะที่เดินอยู่กลางป่า ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว พร้อมกับร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนเพลียมาก เพราะท่านออกเดินทางตั้งแต่เช้ายังมิได้หยุดพักเลย พอเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ริมทางเกวียนร่มรื่นดี จึงได้หยุดพักอยู่โคนต้นไม้นั้น บังเอิญเกิดเคลิ้มหลับไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปักกลดเพราะคิดว่าจะนั่งพักสักครู่พอหายเหนื่อยก็จะเดินทางต่อไปในขณะที่กำลังหลับเพลินอยู่นั้น ก็มาสดุ้งตื่นอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรมาเลียอยู่บนศีรษะของท่าน ท่านจึงได้ผงกศีรษะขึ้นพร้อมกับหันหลังไปดู ก็เห็นเสือลายพาดกลอนขนาดใหญ่ยาวประมาณ ๘ ศอก ยืนผงาดอยู่แต่มิได้ทำร้ายประกานใด พอเจ้าเสือลายพาดกลอน มันรู้ว่าสิ่งที่มันเลียอยู่นั้นรู้สึกตัวตื่นขึ้น มันกลับเดินเลยไปเสียมิได้ทำร้าย ท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังพร้อมกับหัวเราะ หึ หึ ว่า ตอนเสือมันเดินผ่านไป ได้ยินเสียงข้อเท้าของมันดังเผาะๆ ในเวลาเดิน
    ผจญงูยักษ์
    เนื่องจากการเดินธุดงค์ของท่าน ออกจะแปลกสักหน่อย ตรงที่ไม่ค่อยเลือกเวลา เพราะว่าส่วนมากพระภิกษุองค์อื่นๆ มักจะเดินกันตอนกลางวัน ก่อนตะวันตกดินถึงจะหาสถานที่ปักกลด ส่วนหลวงปู่ภู ท่านมิได้เดินเฉพาะกลางวันเท่านั้น ตอนกลางคืนท่านก็ออกเดินด้วยเพราะท่านเชื่อมั่นในตัวเอง อีกทั้งวิชาอาคมที่ได้ร่ำเรียนมา ท่านก็ถือว่า สามารถคุ้มกายท่านได้
    มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านได้ออกเดินธุดงค์ในเวลากลางคืน โดยอาศัยแสงจันทร์ เป็นเครื่องส่องนำทาง แต่ก็ไม่สว่างมากนัก พอจะมองเห็นบ้างทั้งนี้ เพื่อจะมุ่งหน้าไปถึงหมู่บ้านตอนเช้า เพื่อรับบิณฑบาต การเดินทางกลางป่าดงดิบรกรุงรังไปด้วยแมกไม้นานาชนิด อีกทั้งเถาวัลย์ระแกะระกะเต็มไปหมด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อท่านนัก
    ในขณะที่ท่านกำลังเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงซู่ๆ และเสียงใบไม้ดังกรอบแกลบคล้ายเสียงสัตว์เลื้อยคลานผ่านท่านก็หยุดเดิน เพื่อดูให้แน่ว่าเป็นเสียงอะไร พอท่านหยุดเดินเจ้างูยักษ์ก็โผล่หัวออกมาจากดงไม้ ตัวโตเท่าโคนขาและตรงเข้ารัดลำตัวของท่านโดยรอบ ท่านตั้งสติยืนตรงพร้อมกับเอากลดยันไว้มิได้ล้มลง เจ้างูยักษ์ยันพยายามจะฉกกัดใบหน้าของท่าน แต่ท่านได้สติ ยืนนิ่งทำสมาธิจิตเจริญภาวนาอยู่ครู่หนึ่ง เจ้างูใหญ่ตัวนั้นมันก็คลายจากการรัดร่างของท่านแล้วเลื้อยเข้าป่ารกไป มิได้ทำอันตรายแก่ท่าน
    อธิษฐานบาตรลอยทวนน้ำ
    สำเร็จสุดยอดต้องใช้เวลา ปฏิบัติวิชาละ ๑๐ ปี จะเสกน้ำมนต์ให้เดือดได้ ต้องเรียนถึง ๑๑ ปี เต็มฉะนั้นการศึกษาวิชาอาคมของท่าน กว่าจะสำเร็จจะต้องใช้เวลาถึง ๗๑ ปีเต็ม
    กิจวัตรประจำวัน
    ตลอดระยะเวลาที่หลวงปู่ภูมีชีวิตอยู่ ท่านมิได้ใช้เวลาให้ว่างเปล่า ทุกเวลาของท่านมีค่ามาก มุ่งหน้าปฏิบัติมีพุทธภูมิเป็นที่ตั้ง การร่ำเรียนวิชาอาคมมา ก็เพียงเพื่อช่วยเหลือ ผู้ที่กำลังทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บนับว่าท่านมีเมตตาธรรมสูงส่ง
    การที่ท่านมุ่งมั่นเรียนวิชา ดูเมฆ หรือเรียกกันว่า วิชาเมฆฉาย ในพจนานุกรม หมายความว่า "การอธิษฐาน" โดยบริกรรมด้วยมนต์คาถาจนเงาของคนเจ็บลอยขึ้นไปในอวกาศ แล้วพิจารณาดู คนเจ็บนั้นเป็นอะไร
    ส่วนวิชากสิณนั้นหมายถึง อารมณ์ที่กำหนดธาตุทั้งสี่ มีปฐวี อาโป เตโช วาโย อัน มีวรรณ ๔ คือ นีล ปีต โลหิต โอกทาต อากาศแสงสว่าง ก็คือ อาโลกกสิณ
    ซึ่งวิชาทั้งสอง ที่ท่านได้เพียรพยายามศึกษาเมื่อมุ่งช่วยเหลือมวลมนุษย์ ที่ประสบเคราะห์กรรมเป็นต้น
    การบำเพ็ญปฏิบัติของท่านจะเริ่มขึ้นหลังจากท่านได้ฉันจังหันแล้ว คือเวลา ๗.๐๐ น. ตรง ตลอดชีวิตท่านฉันเพียงมื้อเดียว(ถือเอกา)มาโดยตลอด ผลไม้ที่ขาดไม่ได้ คือ กล้วยน้ำว้าท่านบอกว่าเป็นโสมเมืองไทย
    ท่านออกบิณฑบาตทุกวัน ซึ่งถือเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์ที่พึงปฏิบัติทั้งๆ ที่ท่านไม่จำเป็นจะต้องออกก็ได้ เพราะเจ้าฟ้าสมเด็จกรมพระนครสวรรค์พินิจ ได้จัดอาหารมาถวายทุกวันแต่ท่านก็ได้บอกว่า การออกบิณฑบาตโปรดสัตว์เป็นกิจของสงฆ์
    เมื่อท่านฉันจังหันเสร็จแล้ว ก็จะครองผ้าลงโบสถ์และลั่นดานประตู เพื่อมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนท่าน จะเจริญพุทธมนต์ถึง ๑๔ ผูก วันละ ๗ เที่ยวแล้วจึงนุ่งวิปัสสนากรรมฐานต่อไปจนถึงเที่ยวทุกๆวัน ท่านเคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ขณะที่นั่งกรรมฐานอยู่พอได้เวลาเที่ยง ทางการจะยิงปืนใหญ่ (เพื่อบอกเวลาว่าเที่ยงแล้ว)ในขณะที่ยิงปืนใหญ่ กูหงายหลังทุกทีพอท่านพักได้ชั่วครู่ก็จะบำเพ็ญเจริญภาวนาต่อไปจนถึงตีหนึ่ง จึงจะจำวัด
    ถึงแม้ตอนท่านชราภาพ ท่านก็มิได้ขาดจากการลงทำวัตร เว้นแต่ท่านอาพาธหนักจนลุกไม่ไหวท่านก็เจริญวิปัสสนา โดยการนอนภาวนา ซึ่งในพระธรรมวินัยได้กล่าวไว้ เรื่องวิปัสสนากรรมฐานการปฏิบัติด้วยอิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ปฏิบัติได้ เป็นต้น
    ท่านเคยเปิดก้นให้ลูกศิษย์ดู พร้อมกับถามลักษณะก้นของกูเป็นอย่างไร ลูกศิษย์ก็ตอบว่าก้นหลวงปู่ด้านเหมือนกับก้นของลิง หรือเสน ท่านจึงได้บอกว่า "ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ได้ดี แล้วจะดีเมื่อไหร่ คนที่เป็นอาจารย์เขา "จริง" อย่างเดียวไม่พอต้อง "จัง" ด้วยคือต้องทั้งจริงและจังควบคู่กันไป (ต้องรู้แจ้งแทงตลอด)
    หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า

    ในคราวที่ทางการได้สร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ แล้วเสร็จทางการได้จัดงานเฉลิมฉลองได้มีข่าวลือกันหนาหูว่า จะมีการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบบประชาธิปไตยและจะมีการนองเลือด ข่าวนี้ได้ลือกันแพร่สะพัดมาเป็นเวลาแรมเดือน ก่อนที่จะกำหนดงานจนผู้คนแตกตื่นเกรงกลัวกันมาก พอมีงานเฉลิมฉลองสะพานบางคนก็ไม่กล้าออกจากบ้านไปเที่ยง ทางการก็ได้สั่งเตรียมพร้อม เพื่อรับสถานการณ์
    ในขณะนั้นศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่ในใจก็อยากจะไปเที่ยวดูงาน เพราะมีมหรสพการแสดงหลายอย่างแต่ก็ไม่กล้าไป จนกระทั่งเวลา ๖ โมงเย็นจึงได้อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วก็คลานเข้าไปหาหลวงปู่ นั่งพัดให้ท่านจนหลวงปู่รู้สึกหนาว จึงได้ดุศิษย์ผู้นั้นว่า "หยุด กูไม่ร้อน ต่อไปพวกมึงซิจะร้อน" แต่ศิษย์ผู้นั้นหาได้ฟังไม่ กลับพัดอยู่ต่อไปท่านจึงได้หันมาดุเอาอีก "เอ๊ะอ้ายนี้แปลก วันนี้ทางการบ้านเมืองเขามีงานมีการที่สะพานพุทธฯ มีโขนมีลิเกกันทำไมมึงเป็นหนุ่มเป็นแน่นไม่ไปเที่ยวกันละวะ ดันทุรังนั่งพัดอยู่ได้ กูบอกไม่ร้อน แต่พวกมึงจะร้อนไปดูงานเถอะไป"
    ศิษย์ผู้นั้นก็ตอบว่า "ผมไม่ไปละครับผมกลัวเขาลือกันว่าจะมีเรื่อง" เมื่อท่านได้ฟังแล้วก็หัวเราะ พร้อมกับพูดขึ้นว่า "ไป ไป๊ ไปดูงานให้สบายเถอะ ไม่ต้องกลัวและไม่ต้องห่วงกู มึงนับถือกูไหมล่ะ ถ้านับถือกู มึงต้องรีบไปได้แล้ว กูว่าเรื่องที่ว่าไม่มี" ศิษย์ผู้นั้นจึงได้กราบลาท่านออกไป เที่ยวงานฉลองสะพานพุทธฯ
    หลังจากที่ศิษย์ผู้นั้นได้ไปเที่ยวงานกลับตอนตีหนึ่งเศษ ท่านยังไม่จำวัดจึงได้เข้ากราบท่าน ท่านก็สอบถามว่า มีการยิงกันตามข่าวลือหรือไม่ ศิษย์ได้เรียนท่านว่า ไม่มีครับ ท่านจึงได้พูดต่อไปว่า "อ้ายคนเดี๋ยวนี้มันพูดกันไปจริง" แล้วท่านก็หยุดนิ่งสักครู่จึงได้พูดต่อไปอีกว่า "เดือน ๗ แรม ๖ ค่ำ เวลาย่ำรุ่งเถอะมึงเอย ตูมเบ้อเร่อทีเดียว" ศิษย์คนนั้นก็สอบถามท่านอีกจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น หรือหลวงปู่ ท่านก็เพียงบอกว่า "มึงคอยดูไป มึงคอยดูไป"
    คำกล่าวของหลวงปู่นั้น ต่อมาปรากฏว่า เป็นความจริงตามที่ท่านได้กล่าวไว้ คือได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เกิดการต่อสู้กันที่วังบางขุนพรหม ในเวลาย่ำรุ่งและยังมีการต่อสู้อีกหลายแห่ง ตรงกับที่ท่านได้พยากรณ์ไว้ว่าเดือน ๗ แรม ๖ ค่ำเวลาย่ำรุ่ง
    พอรุ่งเช้าลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งรับราชการอยู่ในกองทัพเรือ แต่งตัวเข้าไปรายงานตัว แต่ก็ไม่สามารถจะเข้าไปทำงานได้ จึงกลับมาหาหลวงพ่อเข้าไปกราบนมัสการท่าน ท่านกลับลุกขึ้นไปหยิบจีวรคลุมศีรษะโผล่หน้าออกมา ให้เห็นเพียงนิดเดียว แล้วพูดขึ้นว่า "กูว่าแล้วนะปะไร" พอพูดจบท่านก็หัวเราะ สักครู่หนึ่งน้ำตาท่านได้ไหลซึมออกมาจากเบ้าตา (เข้าใจว่าคงจะสงสารกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งถูกจับเป็นตัวประกัน ในพระที่นั่งอนันตสมาคม) ท่านนั่งอยู่สักครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า "เออกูได้ทางแล้ว กูได้ทางแล้ว"
    บอกใบ้ม้าแข่ง
    พูดถึงเรื่องม้าแข่ง ซึ่งผู้คนติดกันชนิดถอดตัวไม่ขึ้น ในสมัยนั้นมีศิษย์ของหลวงปู่ก็ติดม้ากันงอมแงม พอจะถึงวันแข่ง ก็ได้นัดหมายเพื่อนมานั่งปรนนิบัติหลวงปู่ ขณะนั้นเป็นเวลาตอนกลางคืน ซึ่งหลวงปู่กำลังอารมณ์ดีอยู่ ท่านได้พูดขึ้นลอยๆ ว่า "อ้ายคนสมัยนี้ก่อนเวลาตายเขาเอาใส่โกศทอง เขาไม่ได้ใช้หีบไม้ เขาไม่เสียดายเขาใส่โกศทองจริงๆ นะมึงนะ โกศทองจริงนะมึงนะ" ท่านได้พูดซ้ำซากอยู่หลายครั้งหลายหน ศิษย์ที่นั่งอยู่ด้วยก็รู้ว่าท่านบอกใบ้ให้เพราะทุกคนรู้ว่าท่านมีญาณสูงสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้
    พอวันรุ่งขึ้นศิษย์ทั้งสองจึงได้ชวนกันเข้าสนามม้า จ้องดูว่าม้าตัวไหนสีเหลือง ในขณะนั้นได้มีจ๊อกกี้ของคอกพระปฎิพัทธภูบาล ใส่เสื้อสีเหลือง อยู่เพียงคนเดียวจึงได้ทุ่มซื้อแต่ก็ผิดหวังเพราะไม่เข้าหลักชัย พอเที่ยวที่สองก็แทงอีก แต่ไม่เข้าสักตัวเล่นเอาทั้งสองต่างเหงื่อกาฬแตก เพราะหมดเงินและนึกในใจที่หลวงปู่บอกใบ้มาผิดหมด พอเที่ยวที่ ๗ ม้าคอกนี้ก็เข้าแข่งอีก เป็นม้าเทศ แต่ข่าวว่าม้าตัวนี้เจ็บป่วยอีกทั้งตามประวัติไม่เคยชนะเลย พอม้าตัวนี้ลงสนามจึงไม่มีใครสนใจ แม้แต่ศิษย์ทั้งสองก็ไม่สนใจเช่นกัน แม้แต่ชื่อของม้าตัวนั้นก็ไม่สนใจ จนเสร็จสิ้นการแข่งขันม้าตัวนั้นก็ชนะแบบขาดลอย แต่มีชาวจีน ๒ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ แทงไว้คนละใบ ถูกวิน ศิษย์ทั้งสองจึงได้ขอดูชื่อม้าตัวนั้น ก็ตกใจ เพราะมันชื่อ "โกลเด็นเอิร์น" ซึ่งแปลว่า "โกศทอง" ตรงกับที่หลวงปู่กล่าวไว้
    หลวงปู่ต้องย้ายไปอยู่หลายวัด หวย ก.ข. หวยจับยี่กี เป็นเหตุ
    ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทางการได้อนุญาตให้ประชาชนเล่นหวย กันโดยชอบด้วยกฎหมาย ชาวบ้านต่างมุ่งหน้าเข้าหาพระเกจิอาจารย์ เพื่อขอหวยหวังเสี่ยงโชคตอนนั้นใครๆ ต่างเล่าลือกันว่าหลวงปู่ภูให้หวยแม่น ใครๆ ก็มุ่งหน้ามาขอหวยจากท่าน จนท่านเกิดความรำคาญ ที่ไม่ค่อยได้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมท่านจึงได้หลบไปจำพรรษาที่วัดโมลีฯ วัดสระเกศฯ วัดม่วงแค วัดสามปลื้มฯ บ้าง
    ในคราวที่ท่านหลบมาจำพรรษาอยู่ วัดโมลีโลกฯ (ท้ายตลาด) ได้มีชายคนหนึ่งมาขอหวยท่านได้ปฏิเสธชายคนนั้นว่า "ไม่มี" แล้วท่านก็นั่งเจริญภาวนาต่อไป มิได้สนใจชายคนนั้น แต่ชายคนนั้นก็มิได้ละความพยายามนั่งเฝ้ารออยู่ตรงนั้น พอนานเข้าก็พูดขึ้นว่า "หลวงพ่อครับ ผมขอไอ้ที่แน่ๆ สักตัวครับ"
    ถึงจะพูดอย่างไรท่านยังคงนิ่งเจริญภาวนาไปเรื่อยๆ ชายคนนั้นก็พูดซ้ำซาก จนท่านรำคาญหรือเกิดขัดใจอะไรไม่ทราบได้ ท่านได้ลุกขึ้นพร้อมกับเตะชายคนนั้น ตกลงไปจากหอไตรพร้อมกับพูดว่า "นี่แนะ ไอ้ที่แน่" ถึงชายคนนั้นจะถูกเตะตกหอไตร แต่ก็มิได้รับอันตรายและคิดเอาเองว่าหลวงปู่ใบ้หวยให้ จึงได้ตีกิริยาอาการของท่านว่าหมายถึง ต.เรือจ้าง ชายคนนั้นรีบกลับไปแทง วันนั้นหวยออก "ต.เรือจ้าง" นับว่าอัศจรรย์มาก
    หยั่งรู้อนาคตและอดีต
    ในสมัยนั้นข้าราชการส่วนมากนิยมตั้งคอกม้า มีข้าราชการชั้นโท ผู้หนึ่งก็ตั้งคอกม้าขึ้นได้เดินทางมากับเพื่อนเพื่อมาหาหลวงปู่ คิดว่าจะสอบถามท่านถึงการดำเนินงานจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ในขณะที่ทั้งสองเข้าไปกราบหลวงปู่ ยังไม่ทันได้บอกอะไร หลวงปู่กับพูดขึ้นก่อนว่า "ฉิบหายจ๊ะไม่ได้การดอก" แล้วท่านก็นิ่งเงียบ ชายทั้งสองจึงขอให้ท่านลงกะหม่อมให้แล้วกราบลาท่านออกมา ต่อมาอีกไม่นานคอกม้าของชายคนนั้นทุกครั้งที่ลงแข่งจะแพ้ทุก จนต้องเลิกกิจการไป เป็นจริงตามคำทำนายของท่านทุกประการ
    มีเมตตาธรรมสูง
    ได้มีลูกศิษย์ใกล้ชิดของท่านได้บันทึกคุณธรรมท่านไว้ ดังที่ข้าพเจ้าจะขอนำมาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย
    "ก่อนข้าฯ เป็นศิษย์ได้ถวายตัวเป็นลูกรับใช้ปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นจนอวสาน ข้าฯ ได้เห็นองค์ท่านช่วยทุกข์แก่สัตว์มนุษย์ทุกรูปวัยไม่แบ่งชั้นวรรณะ เสมอต้นหมดแม้จะเป็นเจ้า หรือขุนนางชั้นสายสะพายทองก็ตาม ตลอดจนยาจนเข็ญใจข้าฯ จึงปลาบปลื้มในองค์ท่านมิรู้หาย ตราบเท่าทุกวันนี้"
    เรื่องการรักษาโรค ท่านเชี่ยวชาญมาก แต่ละวันจะมีผู้คนที่เจ็บไข้ไปหาท่าน ให้ช่วยรักษาปัดเป่าจนหายเช่น การรักษาฝีท่านจะถามว่า "จะเอาแตกหรือจะเอายุบ" แล้วท่านจึงรักษาให้ตามประสงค์ แต่ก็เป็นที่อัศจรรย์มากถ้าใครบอกว่าเอาแตกพอท่านรักษาเสร็จ คนไข้พอเดินยังไม่พ้นวัด ฝีจะแตกทันที
    มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านป่วยจนไข้ขึ้นสูง เพราะไม่ได้ถ่ายมาหลายวัน หมอที่เป็นศิษย์บอกว่าจะต้องรักษาด้วยการสวนทวาร เพื่อให้ถ่ายจะได้ลดไข้ แต่ท่านก็ไม่ยอมให้สวน กลับบอกให้ลูกศิษย์ให้ไปหามะตูมมาหนึ่งลูก พร้อมกับผ่ามะตูม ท่านจึงตักมะตูมฉันไป ๓ ช้อน ส่วนที่เหลือให้ลูกศิษย์กิน พอเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ท่านก็ลุกไปถ่ายอุจจาระไข้จึงลดลง พอลูกศิษย์เห็นดังนั้นก็เกิดวิตกเพราะตนกินมะตูมผลนั้นไปมากกว่าหลวงปู่ แต่ปรากฏว่าศิษย์ผู้นั้นกับท้องผูกไปสามวัน ท่านได้พูดกับลูกศิษย์ว่า "ของทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกำหนดจังหวะและเวลา"
    ทดสอบหมอ
    มีอยู่คราวหนึ่ง ขณะนั้นท่านอารมณ์ดี จึงได้พูดกับศิษย์ว่า "เขาว่ามึงเป็นหมอหรือ" ศิษย์คนนั้นเป็นนายแพทย์ได้ตอบท่านว่า "พอมีความรู้"ท่านก็ถามต่อไปว่า "มึงตรวจลมกูได้ไหม" ศิษย์ก็ตอบว่า "ได้" ท่านจึงนอนลงพิงหมอนขวานแล้วบอกให้ศิษย์ตรวจลม หมอคนนั้นได้เอามือจับชีพจรด้ายซ้ายแต่ไม่พบ เพื่อจับเหนือสะดือก็ไม่พบจนเวลาล่วงไปประมาณ ๒๐ นาที ก็ยังตรวจไม่พบ ท่านจึงสะบัดมือพร้อมกับพูดว่า "ยังไง มึงตรวจลมกูได้ไหม" ศิษย์ก็ตอบว่าตรวจไม่พบ ท่านจึงบอกว่า
    "ยังงั้นมึงก็หมอลากข้าง นี่แหละเขาเรียกว่าลมกองละเอียด เขาทำให้เดินตามผิวหนังเท่านั้น มันยากหรือง่ายวะ"
    หลวงปู่ภูมีเมตตาสูง
    แม้แต่สัตว์ทุกชนิดยังไม่เกรงกลัว แต่ละตัวเชื่องมาก ในสมัยท่านมีชีวิตอยู่ จะมีอีกาบินมาเกาะต้นพิกุล ตอนเช้าพอท่านฉันจังหันเสร็จ มันก็จะบินมาเกาที่หน้าต่างกุฏิท่านจะปั้นข้าวสุกเสกแล้วยื่นให้มันกิน พอมันคาบข้าวสุกปั้นก้อนนั้น ท่านจะเอามือตบหัวมันเบาๆ แล้วมันก็จะบินออกไป เป็นเช่นนั้นอยู่ประจำ
    ที่กุฏิของท่านจะมีไก่วัดมาอยู่บริเวณหน้ากุฏิท่านจำนวนมาก วันหนึ่งขณะที่ท่านเดินมาหน้ากุฏิ ยืนดูลูกไก่ที่เพิ่งออกจากไข่ใหม่ๆ ท่านให้ศิษย์เอาข้าวสารมา ๑ กำมือ พร้อมกับโปรยให้ลูกไก่กิน และยืนดูอยู่สักครู่แล้วจึงออกเดินพร้อมกับพูดว่า "กูไปละนะ กุ๊กๆ" ลูกไก่กลับวิ่งตามท่าน เมื่อท่านเห็นดังนั้นจึงพูดว่า "เจ้ามาตามกูทำไมไปอยู่กับแม่มึง" ลูกไก่ถึงได้วิ่งกลับไปอยู่กับแม่ไก่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ๕๕๕๕ เอาประวัติ"หลวงปู่ภู"มาลง วันก่อนก็หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า สงสัยจะพบของดีที่ท่านเสกอีกล่ะ อิอิ อิจฉา....
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table class="tborder" id="post887654" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="border-right: 0px solid rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid; border-color: rgb(255, 255, 255); font-weight: normal;">27/12/2550, 02:16 PM <!-- / status icon and date --></td><td class="thead" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255); border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid; border-color: rgb(255, 255, 255); font-weight: normal;" align="right">#13039 </td></tr><tr valign="top"><td class="alt2" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255); border-width: 0px 1px; border-style: solid; border-color: rgb(255, 255, 255);" width="175">:::เพชร:::<script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_887654", true); </script>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 04:59 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 2,221 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 15,198 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 22,421 ครั้ง ใน 2,280 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2479 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td><td class="alt1" id="td_post_887654" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"><!-- message -->งานบุญส่งท้ายปีเก่านี้ ท่านใดสนใจร่วมบุญธรรมทานกันก็ขอเชิญนะครับ ผมจะพิมพ์หนังสือ"พระราชประวัติกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท" ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้จัดพิมพ์ถวายไว้ที่ศาลวังหน้า และได้หมดลงในเวลาอันรวดเร็ว ขณะนี้มีบล๊อกพิมพ์อยู่ที่โรงพิมพ์ซึ่งพี่ท่านหนึ่งได้ติดต่อไว้ได้ในราคาพิเศษสุดคือเล่มละ ๒๐ บาท ภายในเล่มจะกล่าวถึงเรื่องราวของกรมพระราชวังบวรทั้ง ๕ พระองค์ แต่เน้นมหาอุปราชวังหน้าองค์แรก เสียดายที่ผมยังอ่านไม่จบ หนังสือก็สูญหายไป ดังนั้นจึงคิดจะพิมพ์ถวายศาลวังหน้า หรือที่รู้จักกันว่า ศาลเทพารักษ์ หากเพื่อนท่านใดยังไม่เคยได้ไปกราบสักการะบูชาก็สามารถไปได้นะครับ อยู่ถนนเศรษฐศิริ ศาลนี้แปลกมากครับ บางท่านขับรถผ่านไปมา อาจไม่ได้สังเกตุ บางท่านเห็นประตูปิด ทั้งๆที่ประตูก็เปิดทุกวัน ภายในเป็นที่สถิตย์ดวงพระวิญญาณของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทั้ง ๕ พระองค์ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร(รูปที่ตั้งภายในจะเป็นรูปหล่อของหลวงปู่อิเกสาโร) ซึ่งผมจะปิดรับการสั่งพิมพ์หนังสือในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๐ นี้เท่านั้นหลังจากนี้ขอสงวนสิทธิ์การรับจองสั่งพิมพ์แล้วนะครับ และจะสรุปยอดสั่งพิมพ์ทั้งหมดกับทางโรงพิมพ์ในวันที่ ๒๙ ธ.ค. ๒๕๕๐ นี้ เพื่อทางโรงพิมพ์สามารถดำเนินการให้เสร็จภายในประมาณ ๒ อาทิตย์ หนังสือทั้งหมดจะถวายไว้ที่ศาลวังหน้าทั้งหมดช่วงกลางเดือนม.ค.หรือต้นเดือนก.พ. ๒๕๕๑ ครับ...


    สามารถร่วมบุญตามความสบายใจ จำนวนตามความต้องการได้ โดยการโอนเข้าบัญชีของผมไว้ก่อนที่บัญชีอภิวัฒน์ .....สาขา............ ออมทรัพย์ เลขที่ ............. และจะโอนออกทั้งหมดไปที่โรงพิมพ์อีกครั้ง ข้อมูลการรับโอนเงินจะถูกลบทิ้งหมดในช่วงค่ำของวันที่ ๒๘ ธ.ค. นี้ครับถือว่าจบกิจของธรรมทานก่อนสิ้นปีได้ทันอีกงานหนึ่ง ผู้ร่วมบุญธรรมทานนี้รบกวนช่วยแจ้งชื่อ-นามสกุล และจำนวนเล่มที่สั่งพิมพ์ทาง PM ด้วยนะครับ เพื่อสามารถบันทึกไว้ท้ายเล่ม หลังจากถวายทั้งหมดแล้ว ผมจะขอรับมอบจากทางศาลวังหน้า มามอบให้ท่านละ ๑ เล่มเพื่อเป็นความรู้ และเป็นที่ระลึกการร่วมบุญกันครับ...

    ความจริงทางน้องที่เฝ้าศาลนี้ได้รับคำสั่งจากท่านผู้ใหญ่ที่เป็นทหารไว้ว่าห้ามถ่ายภาพ แต่เป็นความโชคดีที่น้องเค้าอนุญาตผมเป็นกรณีพิเศษ จึงได้นำภาพมาให้ชมกัน..
    <!-- / message --><!-- attachments --></td></tr></tbody></table>



    <fieldset class="fieldset"><legend>รูปขนาดเล็ก</legend>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    </fieldset><!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2010
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อเช้านี้ คุยกับน้องท่านนึง(อยู่ทางใต้ แต่ไม่ใช่คุณตั้งจิตนะคร๊าบ) น้องเขาจะมาบอกกันเป็นนัยๆว่า บางเรื่องที่ผมลง มักจะมีนัยยะแฝงอยู่บ่อยๆ แต่ผมเองก็บอกไม่ได้ว่า คืออะไร เป็นอย่างไร แต่บางครั้งผมก็นำเรื่องราวที่เป็นพระคณาจารย์ในสมัยโบราณมาลงเพื่อศึกษาประวัติของแต่ละท่านว่า เป็นอย่างไรเท่านั้นเองครับ

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    หยก ๑๒ นักษัตรฝีมือช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    งดงามเกินห้ามใจ
    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    มีหลายๆเรื่องมากมายนัก ที่คณะเราไม่สามารถที่จะนำออกอากาศได้ ทั้งรูปพระพิมพ์และวัตถุมงคลต่างๆ ทั้งเรื่องราวต่างๆ เพียงแต่จะรู้และรับทราบกันภายในกลุ่มเท่านั้น และเรื่องราวต่างๆก็คงไม่สามารถที่จะออกมาให้สาธารณชนทุกๆท่านรับทราบได้เช่นกัน

    ส่วนเรื่องเงินนั้น คงต้องยอมรับกันในเรื่องของกรรม ไม่มีใครสักคนที่จะสามารถหลีกหนีกรรมไปได้ ยกเว้นไว้แต่กรรมนั้นจะส่งผลเป็นอโหสิกรรมเท่านั้น แม้แต่องค์พระโมคคัลลานะ พระองค์ท่านเป็นเลิศในด้านฤทธิ์ พระองค์ท่านยังไม่สามารถหนีกรรมได้พ้น ส่วนองค์พระองค์คุลีมาล พระองค์ท่านไม่ได้หนีกรรม เพียงแต่กรรมที่ผ่านๆมา เป็นอโหสิกรรมไปทั้งหมด

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dhammathai.org/monk/monk59.php

    พระมหาโมคคัลลานเถระ

    ท่านมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์ผู้เป็นนายบ้านชื่อว่า โกลิตะ มารดาชื่อนางโมคคัลลี แต่เดิมชื่อว่า โกลิตะ ตามโคตรแห่งบิดา และถูกเรียกชื่อเพราะ เป็นบุตรนางโมคคัลลีว่า โมคคัลลานะ พอเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว พวกภิกษุเรียกกันว่า พระโมคคัลลานะ ทั้งนั้นท่านเกิดใน โกลิตคามไม่ห่างจากเมืองราชคฤห์ สมัยเป็นเด็กได้เป็นสหายที่รักใคร่กันกับอุปติสสมาณพ ผู้มีอายุคราวเดียวกัน และตระกูลของทั้งสองนั้นมั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์และบริวารเท่า ๆ กัน มีความคุ้นเคยสนิทสนมกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เมื่อโกลิตมาณพเจริญวัยขึ้นก็ได้ำปศึกษาเล่าเรียนศิลปะด้วยกันกับอุปติสสมาณพ แม้จะไปเที่ยวหรือไปทำธุระอะไรก็มักจะไปด้วยกันอยู่เสมอ จนกระทั่งเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็บวชพร้อมกัน ต่างกันแต่ว่าได้ดวงตาเห็นธรรมครั้งแรกนั้นไม่พร้อมกัน เรื่องราวต่าง ๆ ก่อนอุปสมบทคล้าย ๆ กับพระสารีบุตรตามที่ได้บรรยายมาก่อนหน้านี้
    หลังจากอุปสมบทแล้ว ๗ วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ เกิดความอ่อนใจนั่งโงกง่วงอยู่ พระบรมศาสดาเสด็จไปที่นั่น ทรงสั่งสอน และแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วง ๘ ประการ คือ
    ๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างไร ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ เธอควรทำในใจถึงสัญญานั้นให้มาก จะละความง่วงนั้นได้
    ๒. หากยังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ตนได้ฟังและได้เรียนมาแล้วด้วยใจของเธอเอง จะละความง่วงได้
    ๓. หากยังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมตามที่ตนได้ฟังและได้เรียนมาโดยพิสดาร จะละความง่วงได้
    ๔. หากยังละไม่ได้ เธอควรยอนหูทั้งสองข้างและลูบด้วยฝ่ามือ จะละความง่วงได้
    ๕. หากยังละไม่ได้ เธอควรลุกข้นยืน ลูบนัยน์ตาด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์ จะละความง่วงได้
    ๖. หากยังละไม่ได้ เธอควรทำในใจถึงอาโลกสัญญา คือความสำคัญในแสงสว่าง ตั้งความสำคัญว่ากลางวันไว้ในใจ ให้เหมือนกันทั้งกลางวันและกลางคืน มีจิตใจแจ่มใสไม่มีอะไรห่อหุ้ม ทำจิตอันมรแสงสว่างให้เกิด จะละความง่วงได้
    ๗. หากยังละไม่ได้ เธอควรอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายว่าจะเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ มีจิตไม่คิดไปภายนอก จะละความง่วงได้
    ๘. หากยังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ คือนอนตะแคงเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ ตั้งใจว่าจะลุกขึ้น พอเธอตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้น ด้วยการตั้งใจว่าจะไม่ประกอบสุขในการนอน จะไม่ประกอบสุขในการเอนหลัง จะไม่ประกอบสุขในการเคลิ้มหลับ

    ครั้นตรัสสอนอุบาย สำหรับระงับความง่วงอย่างนี้แล้ว ทรงสั่งสอนให้สำเหนียกอย่างนี้ว่า "เราจักไม่ชูงวง (คือการถือตัว) เข้าไปสู้ตระกูล จักไม่พูดคำที่เป็นเหตุให้คนเถียงกัน เข้าใจผิดต่อกัน และตรัสสอนให้ยินดีด้วยที่นั่งที่นอนอันเงียบสงัด และควรเป็นอยู่ตามลำพังสมณวิสัยไ เมื่อตรัสสอนอย่างนี้แล้ว พระโมคคัลลานะกราบทูลถามว่า "โดยย่อข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วนเกษมจากโยคะธรรม เป็นพรหมจารีบุคคลยิ่งกว่าผู้อื่น มีที่สุดกว่าผู้อื่น ประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายไ พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า "โมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไดเสดับแล้วว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เธอทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันวิเศษ ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงได้ เธอได้ประสบเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี เธอพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นด้วปัญญาเป็นเครื่องหน่าย เป็นเครื่องดับ เป็นเครื่องสละ คืนในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ย่อมไม่ยึดมั่น ถือมั่น สิ่งอะไร ๆ ในโลกไม่มีความสะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้ด้วยตนเอง และทราบชัดว่า ชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะทำอย่างนี้อีกมิได้มี ว่าโดยย่อข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แหละ ภิกษุได้ชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา" ท่านพระโมคคัลลานะได้ปฏิบัติตามโอวาท ที่พระบรมศาสดาตรัสสั่งสอน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น
    ครั้นได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระโมคคัลลานะได้เป็นกำลังสำคัญของพระบรมศาสดาในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ตามที่พระองค์ทรงดำริให้สำเร็จเพราะท่านเป็นผู้มีฤทธิ์มาก จึงได้รับการยกย่องจากสมเด็จพระบรมศาสดาว่า "เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางเป็นผู้มีฤทธิ์" และทรงยกย่องว่าเป็นคู่พระอัครสาวก คู่กันกับพระสารีบุตรในการอุปการะภิกษุผู้เข้ามาบวชในพระธรรมวินัย ดังกล่าวในประวัติพระสารีบุตรว่า สารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ยังบุตรให้เกิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว สารีบุตรย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องบน ที่สูงกว่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีคำยกย่องว่าพระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวา พระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกฝ่ายซ้าย พระธรรมเทศนา ของพระโมคคัลลานะไม่ค่อยจะมีที่เป็นโอวาทให้แก่ภิกษุสงฆ์มีเพียงแต่อนุมานสูตร ซึ่งว่าด้วยธรรมินทำให้คนเป็นผู้ว่ายากหรือง่าย ในมัฌิมนิกายกล่าวว่า ท่านพระโมคคัลลานะเข้าใจในนวกรรมคือการก่อสร้าง เพราะฉนั้นเมื่อนางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างบุพพาราม ในเมืองสาวัตถี พระบรมศาสดารับสั่งให้ท่านเป็นนวกัมมาธิฏฐายี คือผู้ควบคุมการก่อสร้าง
    ท่านพระโมคคัลลานะ ปรินิพพานก่อนพระบรมศาสดา มีเรื่องเล่าว่า ครั้งเมื่อท่านพำนักอยู่ ณ ตำบลกาฬศิลา แคว้นมคธ พวกเดียรถีย์ปรึกษากันว่า บรรดาลาภสักการะ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแก่พระบรมศาสดาในครั้งนั้น ก็เพราะอาศัยพระโมคคัลลานะ เพราะสามารถนำข่าวในสวรรค์และนรกมาแจ้งแก่มนุษย์ ชักนำให้ประชาชนเกิดความเลื่อมใส ถ้าพวกเรากำจัดพระโมคคัลลานะเสียได้แล้ว ลัทธิของพวกเราก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น ลาภสักการะต่าง ๆ ก็จะมาหาพวกเราหมด เมื่อปรึกษากันดังนั้นแล้วจึงจ้างโจรผู้ร้ายให้ลอบฆ่าพระโมคคัลลานะ เมื่อโจรมาท่านพระโมคคัลลานะทราบเหตุนั้นจึงหนีไปเสียสองครั้ง ครั้งที่สามท่านพิจารณาเห็นว่ากรรมตามทันจึงไม่หนี พวกโจรผู้ร้ายจึงได้ทุบตีจนร่างกายแหลกเหลว ก็สำคัญว่าตายแล้ว จึงนำร่างท่าน ไปซ่อนไว้ในพุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วพากันหนีไป ท่านพระโมคคัลลานะยังไม่มรณะ เยียวยาอัตภาพให้หายด้วยกำลังฌานแล้วเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วทูลลากลับปรินิพพาน ณ ที่เกิดเหตุ ในวันเดือนดับ เดือน ๑๒ หลังพระสารีบุตร ๑๕ วัน สมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จไปทำฌาปนกิจแล้วรับสั่งให้นำอัฐิธาตุ มาก่อเจดีย์บรรจุไว้ ณ ที่ใกล้ประตูวัดเวฬุวัน
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dhammathai.org/monk/monk54.php

    พระองคุลิมาลเถระ

    ท่านพระองคุลิมาล* เป็นบุตรของพราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ในพระนครสาวัตถี มารดาชื่อว่า นางมันตานีพราหมณี เมื่อท่านคลอดจากครรภ์มารดา ได้บังเกิดเหตุอัศจรรย์ คือ บรรดาเครื่องศาสตราอาวุธยุทธภัณฑ์อันมีอยู่ในเรือนนั้นก็ดี เครื่องพระแสงศาสตราวุธของพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ดี ได้บังเกิดเป็นเปลวไฟรุ่งโรจน์โชตนาการ ฝ่ายปุโรหิตาจารย์ผู้เป็นบิดา เมื่อเห็นเหตุนั้นจึงออกจากเรือนเล็งแลดูฤกษ์บน (ฤกษ์ที่พระจันทร์เสวยประจำวันมี ๒๗ ฤกษ์) ฤกษ์นั้นก็ปรากฏในอากาศประหลาดใจยิ่งนัก ด้วยว่าบุตรนั้นจะเกิดเป็นโจร ครั้นรุ่งเช้าจึงเข้าไปสู่ที่เฝ้า กราบทูลเนื้อความนั้นให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบ และในที่สุดได้กราบทูลให้พระองค์ประหารชีวิตเด็กเสีย แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลหาทรงทำไม่ ทรงรับสั่งให้บำรุงเลี้ยงรักษาไว้ ปุโรหิตาจารย์ก็อภิบาลบำรุงรักษากุมารนั้นไว้ และให้นามว่า "อหิงสกกุมาร" แปลว่า กุมารผู้ไม่เบียดเบียน
    เมื่ออหิงสกกุมารเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาจึงส่งไปสู่พระนครตักกสิลา เพื่อจะให้ศึกษาเล่าเรียนวิชา และศิลปศาสตร์ เมื่ออหิงกกุมารไปถึงพระนครตักกสิลาแล้ว ก็เข้าไปหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ขอศึกษาศิลปวิทยา อุตส่าห์กระทำวัตรปรนนิบัติอาจารย์เป็นอันดี และมีปัญญาเล่าเรียนได้ว่องไว แม้จะเล่าเรียนศิลปศาสตร์วิชาการ ใด ๆ ก็รู้จบสิ้นทุกประการ เชี่ยวชาญยิ่งกว่าศิษย์ทั้งปวง จึงเป็นที่โปรดปรานของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ฝ่ายศิษย์อื่น ๆ อันเป็นเพื่อนเล่าเรียนด้วยกันนั้น ก็บังเกิดความริษยา จึงปรึกษากันเพื่อหาอุบายทำลายเจ้าอหิงสกกุมารเสีย เมื่อเป็นที่ตกลงกันแล้วได้ไปยุยงอาจารย์ถึงสองครั้งสามครั้ง ในที่สุดอาจารย์ก็ปลงใจเชื่อ คิดหาอุบายที่จะกำจัดอหิงสกกุมาร เมื่อเห็นอุบายเป็นที่แยบคายแล้ว จึงพูดกับอหิงสกกุมารว่า "ดูก่อนมาณพ เจ้าจงไปฆ่าคนแล้วตัดเอานิ้วมาให้ได้พันนิ้วแล้วจงนำมา เราจะประกอบศิลปศาสตร์อันชื่อว่า วิษณุมนต์ให้แก่เธอ"
    ในขั้นต้น อหิงสกกุมารมีความรังเกียจ ไม่พอใจ เพราะตนเกิดในตระกูลพราหมณ์ ไม่ควรเบียดเบียนฆ่าสัตว์ เป็นการผิดประเพณีวงศ์ตระกูลมารดาบิดา แต่ด้วยอาศัยความอยากสำเร็จศิลปศาสตร์อันมีชื่อว่า วิษณุมนต์ จึงได้ฝืนใจทำเริ่มจับอาวุธ ผูกพันให้มั่นกับตัวแล้ว ก็ลาอาจารย์เข้าสู่ราวป่า เที่ยวพิฆาตฆ่ามนุษย์อันเดินไปมาในสถานที่นั้น ๆ ครั้นฆ่าแล้วมิได้กำหนดนับเป็นจำนวนไว้ ก็บังเกิดลบเลือนสงสัย ตั้งแต่นั้นมาเมื่อฆ่าคนตายแล้วก็ตัดเอานิ้วร้อยเป็นพวงไว้ดุจพวงมาลานับได้ ๙๙๙ นิ้ว เพราะเหตุนั้นจึงมีนามปรากฏว่า "องคุลิมาลโจร" แปลว่า โจรผู้มีนิ้วมือเป็นพวงมาลา ข่าวคราวเรื่องนี้ก็ระบือกระฉ่อนไปตามนิคมชนบทต่าง ๆ มหาชนมีความสะดุ้งตกใจกลัวจึงพร้อมกันไปเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อกราบทูลให้พระองค์กำจัดเสีย เมื่อพระองค์ทรงทราบแล้วจึงสั่งให้ตระเตรียมกำลังพล เพื่อจะไปจับองคุลิมาลโจรฆ่าเสีย ปุโรหิตาจารย์ผู้เป็นบิดาทราบว่า อันตรายจะมีแก่บุตร จึงปรึกษากับนางพราหมณี ให้นางพราหมณีรีบออกไปก่อนเพื่อบอกเหตุนั้นให้บุตรทราบ
    ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตตผลขององคุลิมาลโจรว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงเป็นพระภาระก็จะกระทำมาตุฆาต (ฆ่ามารดา) เสียจักเป็นเหตุเสื่อมจากมรรคผล จึงรีบเสด็จไปแต่เช้าตรู่ เมื่อพบเข้าแล้ว องคุลิมาลโจรก็ตรงเข้าไล่ทันที หมายจะพิฆาตฆ่าเอานิ้วพระหัตถ์ แม้ไล่เท่าไรก็ไม่ทันจนเกิดกายเหนื่อยเมื่อยล้าจึงร้องตะโกนให้พระบรมศาสดา หยุดพระองค์จึงตรัสบอกว่าพระองค์ได้หยุดแล้ว แต่เขาก็ยังไล่ตามไม่ทันจึงหาว่าพระองค์ตรัสสมุสาวาทพระองค์ก็ตรัสบอกว่าเราหยุดจากการทำอกุศลอันให้ผลเป็นทุกข์มานานแล้ว ส่วนท่านยังไม่หยุดพระสุรเสียงนั้นทำให้องคุลิมาลโจรรู้สึกสำนึก โทษของตน จึงเปลื้องเครื่องศัสตราวุธ และมาลัยนิ้วมือออกจากกายทิ้งไว้ในซอกภูเขา แล้วเข้าไปเฝ้าทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้อุปสมบท ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา แล้วทรงนำเข้าไปในพระเชตวันมหาวิหาร
    ครั้นเวลารุ่งเช้าพระองคุลิมาลเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีชาวพระนครได้เห็นท่านเกิดความตกใจกลัว พากันวิ่งหนีเป็นอลหม่านโดยวิ่งเข้าไปในกำแพงพระราชวังปิดประตูพระนครเสีย และพูดจากันต่าง ๆ นานาบางคนพูดว่า ท่านพระองคุลิมาลปลอมเป็นสมณะเพื่อหลบหนีราชภัยบางคนพูดว่า เพื่อหวังจะประทุษร้ายคนภายในพระนคร ท่านเที่ยวบิณฑบาตไปถึงไหนก็มีเสียงโจษจันเซ็งแซ่ไปถึงนั่น ไม่มีใครถวายบิณฑบาตเลยแม้แต่เพียงทัพพีเดียว ภิกษุรูปใดไปกับท่านภิกษุรูปนั้นก็พลอยอดไปด้วย แต่ก็เป็นโชคของท่านอย่างหนึ่งที่ท่านทำน้ำมนต์ให้หญิงมีครรภ์คลอดง่ายที่สุด คือ ครั้งหนึ่ง ท่านทำน้ำมนต์ให้หญิงมีครรภ์คนหนึ่งหญิงคนนั้นก็คลอดลูกง่ายเหมือนเทน้ำออกจากกระออม ตั้งแต่นั้นมาก็มีคนนิยมนับถือท่านจนกระทั่งว่า แท่นที่ท่านนั่งนั้นคนเอาน้ำไปรดแล้วใช้เป็นน้ำมนต์ ก็ให้ผลสมความประสงค์เช่นเดียวกัน คาถาที่ท่านทำน้ำมนต์นั้น ได้แก่ คาถาว่า
    ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺภสฺส.
    แปลว่า "ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่ฉันเกิดมาแล้วโดยอริยชาติ ยังไม่รู้สึกตัวว่าได้แกล้งปลงชีวิตสัตว์เลยด้วยอำนาจสัจวาจานั้น ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่หล่อน และครรภ์ของหล่อนเถิด"

    ท่านพระองคุลิมาลนั้นเป็นผู้ไม่ประมาท ตั้งใจเจริญสมณธรรม แต่จิตฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิได้ เพราะคนที่ท่านฆ่าประดุจดังว่ามาปรากฏอยู่ตรงหน้า พระบรมศาสดาทรงทราบจึงเสด็จมาแนะนำสั่งสอนไม่ให้ระลึกถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ให้พิจารณาธรรมที่บังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าอย่างเดียว ท่านประพฤติตามไม่ช้าก็สำเร็จอรหัตตผล เป็นพระอริยสาวกนับเข้าในจำนวนอสีติมหาสาวกองค์หนึ่ง เมื่อท่านดำรงอายุสังขารอยู่โดยสมควรแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน.
    *ท่านพระองคุลิมาล บางตำนานกล่าวว่า ท่านได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดา ว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้สามีบริโภค แต่ในเอตทัคคบาลีไม่ปรากฏว่าท่านได้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้กล่าวไว้เกรงว่าจะเกิน
     

แชร์หน้านี้

Loading...