พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    ดีคับทุกท่าน ดูเหมือนภัยธรรมชาติจะมาเยือนพวกราอีกแล้วนะครับผม
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    มารู้จักโรคจอประสาทตาเสื่อม


    โรคจอประสาทตาเสื่อม (หมอชาวบ้าน)
    ผศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศ์กิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย

    คุณ ปู่ คุณย่า หรือแม้กระทั่งคุณพ่อ คุณแม่ เคยบ่นกันบ้างไหมว่า มองเห็นไม่ค่อยชัด เห็นเป็นภาพเบลอ ๆ บางทีท่าอาจจะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมก็เป็นได้ วันนี้ คุณหมอจากราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย จะมาพาเราไปรู้จักเจ้า "โรคจอประสาทตาเสื่อม" กัน

    โรคจอประสาทตาเสื่อมคืออะไร

    โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นโรคที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นที่จุดรับภาพของจอ ประสาทตา โรคนี้ทำให้สูญเสียการมองเห็นโดยเฉพาะกลางภาพ โดยสามารถมองเห็นขอบด้านข้างของภาพได้ เช่น มองเห็นตัวคน ส่วนของใบหน้าเบลอมองเห็นไม่ชัด

    ผู้ป่วยบางรายเกิดการเสื่อมของจอประสาทตาขึ้นอย่างช้า ๆ จนแทบไม่ทันสังเกตเห็น ขณะที่บางรายอาจเกิดการเสื่อมของจอประสาทตาอย่างรวดเร็ว โรคนี้มักพบในผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เรียกว่า Age-related macular degeneration (AMD)

    ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม

    แม้ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุของโรคเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เชื่อว่ามาจากปัจจัยเสี่ยงหลายชนิด ผลการศึกษาวิจัยจากหลายสถาบัน พบว่า มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ ได้แก่

    [​IMG] 1.อายุ พบโรคนี้ได้บ่อยขึ้นในคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป

    [​IMG] 2.พันธุกรรม จากการวิจัยล่าสุด สามารถค้นพบยีนที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคจอประสาทตาเสื่อม ดังนั้น จึงมีข้อแนะนำให้ผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของคนที่เป็นโรคกับญาติ สายตรง ควรได้รับการตรวจเช็กจอประสาทตาทุก 2 ปี

    [​IMG] 3.เชื้อชาติ พบอุบัติการณ์ของโรคจอประสาทตาเสื่อมมากในคนผิวขาว (Caucasian)

    [​IMG] 4.เพศ มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย

    [​IMG] 5.บุหรี่ ควรหยุดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคอย่างน้อย 6 เท่ามากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่

    [​IMG] 6.ความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่ต้องกินยาลดความดันเลือด และมีระดับของไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูงและระดับแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำ มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม

    [​IMG] 7.โรคอ้วน ผู้ที่มีน้ำหนักมาก อาจทำให้โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นมากขึ้น

    จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม

    ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้อาจแสดงอาการแตกต่างกันในแต่ละคน โดยส่วนใหญ่จะมีอาการตามัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงกลางภาพ มีความลำบากในการอ่านหนังสือหรือทำงานละเอียด และต้องใช้แสงมาก ๆ อาจเห็นภาพบิดเบี้ยว ในโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก

    ความผิดปกติในการมองเห็นตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของโรค อาจยากต่อการสังเกต โดยเฉพาะถ้าตาอีกข้างหนึ่งยังมองเห็นได้ดี

    ตามคำแนะนำของวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา "บุคคลทั่วไปอายุระหว่าง 40-64 ปี ที่ไม่มีอาการผิดปกติในการมองเห็น ควรได้รับการตรวจสุขภาพตา (รวมทั้งตรวจจอประสาทตา) ทุก 2-4 ปี
    สำหรับคนที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป แนะนำให้ตรวจทุก 1-2 ปี แม้ไม่มีอาการผิดปกติอะไร"

    เนื่องจากการที่ผู้ป่วยจะรู้สึกถึงความผิดปกติจากโรคจอประสาทตาเสื่อม ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกเป็นสิ่งที่ยาก แต่ในขณะเดียวกัน การ ตรวจพบและให้การรักษาโรคตั้งแต่ระยะแรกเริ่มเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด เพราะว่าจอประสาทตาที่เสื่อมเสียไปแล้วมีแต่จะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ

    การรักษาในปัจจุบันจึงทำได้เพียงหยุด หรือชะลอการเสื่อมเสียของจอประสาทตาให้ช้าที่สุด ซึ่งอาจรักษาไม่ได้เลย ถ้าโรคเป็นรุนแรง

    สอบถามปัญหาสุขภาพตากับราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ที่เว็บไซต์ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย

    การป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม

    ถึงแม้โรคจอประสาทตาจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และการรักษาในปัจจุบันเป็นเพียงชะลอการสูญเสียสายตา แต่สามารถป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อมได้โดยการลดปัจจัยเสี่ยงที่สามารถหลีก เลี่ยงได้ เช่น

    [​IMG] หมั่นตรวจเช็กสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรือมีประวัติบุคคลในครอบครัวมีภาวะจอประสาทตาเสื่อม

    [​IMG] งดสูบบุหรี่

    [​IMG] เลือกกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ ผักใบเขียว และผลไม้ กินวิตามินเสริม มีการวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม พบว่า การกินวิตามินซี 500 มิลลิกรัม วิตามินอี 400 IU บีตาแคโรทีน 15 มิลลิกรัม สังกะสี 80 มิลลิกรัม และคอปเปอร์ 2 มิลลิกรัม จะช่วยลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็นจากภาวะจอประสาทตาเสื่อมอย่าง รุนแรงลงได้ร้อยละ 25 แต่ไม่สามารถป้องกันการเกิดโรค หรือมีประโยชน์ในคนที่เริ่มมีจอประสาทตาเสื่อมเล็กน้อย กินปลา กรดไขมันชนิดโอเมก้า 3 ที่พบมากในเนื้อปลา จะสามารถป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อมได้


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    [​IMG]


    -http://www.doctor.or.th/-


    .


    -http://health.kapook.com/view27595.html-

    .
     
  3. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    เป็นกำลังใจให้นะครับ เรื่องอุทกภัย
     
  4. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    เรือทรายล่มซ้ำขวางเจ้าพระยา

    • 28 มิถุนายน 2554 เวลา 21:48 น. |
    เจ้าท่าวางทุ่นเตือนเป็นเขตอันตรายเรือบรรทุกทรายจมซ้ำกลางเจ้าพระยา จี้เร่งกู้เรือให้เสร็จภายใน 3 วัน
    [​IMG]สภาพเรือบรรทุกทรายที่จมลงใต้ท้องน้ำจนเหลือแค่หลังคาที่โผล่เหนือน้ำ
    เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ได้เกิดเหตุ เรือบรรทุกทรายขนาด 200 ตัน กว้าง 6 เมตร ยาว 22 เมตร กินน้ำลึก 2.50 เมตร ชื่อเรือน้องทรายเกิดล่มจมลงในแม่น้ำเจ้าพระยาจนเหลือเพียงหลังคาเรือตรงจุดที่พักคนคุมเรือโผล่พ้นน้ำมาเท่านั้นเหตุเกิดที่ ม.9 ต.บ้านกุ่ม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา แต่โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
    ภายหลังเกิดเหตุพ.ต.ท.สมยศ คำอยู่ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบางบาล ได้รายงานให้ พ.ต.อ.ภวดิท ชนะคชภัทร์ รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา และ น.ท.รชต ผกาฟุ้ง ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าสาขาอยุธยา และ นางวิมล ไชยวัฒน์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.พระนครศรีอยุธยาเดินทางเข้าตรวจสอบอย่างเร่วด่วนเพราะเกรงว่าจะทำให้บ้านเรือประชาชนที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้รับความเดือดร้อนเหมือนกับเรือบรรทุกน้ำตาลล่มเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา
    จากการสอบสวน นายสมเกียรติ ราชญาณ ชาวบ้านต.บ้านกุ่ม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า เป็นเจ้าของเรือบรรทุกทรายคันดังกล่าวและเป็นคนขับเรือยนต์ลางจูงชื่อ โชคประเสริฐทรัพย์ ทำหน้าที่ขับโยงนำหน้าเรือบรรทุกทรายทั้งหมดเรือที่พ่วงมามี 4 ลำ ขนาดบรรทุกลำละ 160 คิว จากท่าทรายเฉลิมชัย อ.ป่าโมก จ.อ่างทองล่องมาตามลำน้ำเจ้าพระยา เมื่อมาถึงช่วงบริเวณหน้าหน้าโรงหล่อ หรือในเขตม.9 ต.บ้านกุ่ม เครื่องยนต์ของเรือยนต์โยงลากจูงเกิดขัดข้อง
    "ผมจึงปล่อยไหลมาตามล้ำน้ำ และกระแสน้ำพาไหลเข้าหาตลิ่งที่ยังโชคดีระดับน้ำต่ำทำให้ตลิ่งสูงและห่างไกลบ้านเรือนริมน้ำแต่เรือลำที่จมซึ่งอยู่ลำที่ 4 หรือลำท้ายสุดของพ่วงขบวนได้ไปกระแทกกับริมตลิ่งทำให้ท้องเรือรั่ว และน้ำซึมเข้ามา จนไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทัน จึงจำเป็นต้องปลดเชือกขบวนเรือ ลำที่ 1 ถึง 3 ออกจากลำที่ 4 เพื่อให้เรือจมเพียงลำเดียวเท่านั้นสำหรับรวงที่เกิดเหตุนั้นเป็นช่วงทางตรงของแม่น้ำเจ้าพระยา และไม่มีสะพานจึงไม่มีเรือยนต์โยงมาโต่งคัดท้ายขบวนเรือลำเลียงทราย
    แต่เมื่อเกิดเหตุได้วิทยุบอกเรือลากจูงลำอื่นในบริเวณดังกล่าวมาช่วยจนสามารถควบคุมเรือบรรทุกทรายอีก 3 ลำจอดได้อย่างปลอดภัย"นายสมเกียรติ กล่าว
    ด้าน น.ท.รชต ผกาฟุ้ง หัวหน้าสำนักงานเจ้าท่า สาขาอยุธยา กล่าวว่า จุดที่เรือบรรทุกทรายจมนั้นห่างจากจุดที่เรือบรรทุกน้ำตาลล่ม ขึ้นมาทางเหนือน้ำประมาณ 10 กม.แต่ครั้งนี้ไม่หนักเท่ากับเมื่อครั้งที่เรือน้ำตาลล่มเพราะกระแสน้ำไม่แรง ตลิ่งไม่พัง บ้านเรือนไม่เสียหายไม่มีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และเรือก็บรรทุกทราย ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อม
    ทั้งนี้เรือจมในลักษณะไม่ได้ขวางลำน้ำและไม่กวางร่องน้ำเจ้าพระยาทำให้ไม่ได้ขวางการสัญจรทางน้ำของเรือสินค้าแต่อย่างใดจึงอนุญาตให้เดินเรือสินค้าผ่านจุดดังกล่าวได้อย่างปกติแต่ต้องเพิ่มความเข้มในการเดินเรือเพื่อความปลอดภัย โดยในคืนนี้จะให้เจ้าหน้าที่นำทุ่นมาทิ้งทำเป็นแนวเขตอันตรายให้เป็นที่สังเกตของคนเดินเรือทั้งหมดการเดินเรือจะต้องมีเรือยนต์มาพ่วงโยงหน้าและหลังเพื่อง่ายต่อการบังคับขบวนเรือผ่านจุดดังกล่าว
    สำหรับการกู้เรือพบว่าทางเจ้าของเรือรับปากว่าจะกู้เรือให้เสร็จโดยเร็วเพราะทราบมาว่าทางเขื่อนเจ้าพระยาจะมีการเร่งปล่อยน้ำท้ายเขื่อนเพราะในตกหนักในภาคเหนือโดยทางเจ้าของเรือรับปากว่าจะกู้เรือให้แล้วเสร็จภายใน 3 วันด้วยพอนทูนขนาดที่เหมาะสมกับเรือแต่หากไม่แล้วเสร็จกรมเจ้าท่าจะเข้าดำเนินการกู้เรือแบบเดียวกับที่กู้เรือน้ำตาลและให้เจ้าของเรือออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเช่นกัน
    ที่มา โพสต์ทูเดย์ ออนไลน์
     
  5. tawatd

    tawatd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    506
    ค่าพลัง:
    +2,020

    ขอบคุณมากครับ ท่านเลขาฯที่ให้กำลังใจ ขณะนี้กำลังเฝ้าศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครับ น้ำกำลังลดลงเรื่อยๆ ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้ความร่วมมือช่วยเหลือดีครับ ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของจังหวัดก็ให้ความสนใจและตั้งใจช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยเป็นอย่างดี รวมทั้งได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ มูลนิธิเพื่อนพึงภาฯ และสภากาชาดไทย ได้นำสิ่งของไปให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยด้วย
     
  6. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    "อาหารธรรมชาติ"ชนะเลิศห่างไกลโรค

    • 28 มิถุนายน 2554 เวลา 12:57 น. |
    มารู้จักประโยชน์ของอาหารที่ทำวัตถุดิบธรรมชาติที่นอกจากจะช่วยให้อิ่มท้องแล้วยังอุดมไปด้วยคุณค่าต่อร่างกาย
    เรื่อง...มัลลิกา นามสง่า
    จากสภาวะที่เร่งรีบของสังคมจึงมักทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลเรื่องอาหาร ดังนั้น พฤติกรรมการบริโภคอาหารจึงเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมักจะรับประทานอาหารนอกบ้าน โดยเฉพาะอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย เพราะมีปริมาณของไขมันและอาหารจำพวกแป้งสูง หากรับประทานเป็นประจำจะนำไปสู่ความเสี่ยงของโรคต่างๆ อาทิ โรคอ้วน หัวใจ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ฯลฯ ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดีควรเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าเพื่อช่วยในการต่อต้านโรคต่างๆ
    กินอาหารอย่างไร...ห่างไกลโรค
    ขนิษฐา นิยมวงศ์ นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลวิภาวดี กล่าวว่า หน้าที่ของนักกำหนดอาหารคือ ดูแลเรื่องอาหารให้คนไข้ในโรงพยาบาล ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ โดยในแต่ละรายความต้องการอาหารไม่เท่ากัน แต่ในฐานะที่เรายังมีสุขภาพเป็นปกติ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยมีหลักง่ายๆ คือ
    รับประทานอาหารธรรมชาติเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะร่างกายต้องการสารอาหารที่บริสุทธิ์ ปราศจากการปรุงแต่ง
    รับประทานอาหารที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวซ้อมมือ เพราะเส้นใยอาหารสูง และมีวิตามินต่างๆ เช่น วิตามิน B1 วิตามิน B6
    รับประทานผลไม้และผักสด ช่วยให้ไม่อ้วน ขับถ่ายสะดวก ลดระดับไขมันในเลือด ให้วิตามินและแร่ธาตุ
    รับประทานอาหารเนื้อสัตว์น้อยที่สุดเพราะย่อยยาก ควรเลือกเป็นปลา โดยเฉพาะปลาทะเล เพราะมีกรดโอเมกา 3 ช่วยในเรื่องระบบความจำและการมองเห็น
    เน้นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เพาะถั่วเหลืองประกอบด้วยโปรตีนจากพืชและไฟโตอีสโตรเจน
    ระมัดระวังอาหารที่มีไขมัน
    หลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากแป้งขาวและน้ำตาลทรายขาว และสำหรับผู้สูงอายุควรรับประทานไข่ไก่ 2-3 ฟองต่อสัปดาห์
    [​IMG]
    วัยรุ่นยุคใหม่ บริโภคอาหารธรรมชาติ
    ปัจจุบันอาหารธรรมชาติกำลังอินเทรนด์สุดๆ แต่วัยรุ่นไทยยังหลงกับกระแสอาหารแฟชั่น จำพวกฟาสต์ฟู้ด ขนมอบราคาแพง เค้ก น้ำอัดลมและเครื่องดื่มน้ำตาลสูง ทุกสิ่งล้วนเป็นอาหารที่เสี่ยงต่อโรคร้าย รวมถึงโรคอ้วนที่วัยรุ่นมักเป็นกังวล
    “ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์” ชมรมโภชนวิทยามหิดล แนะนำว่า ยิ่งอด ยิ่งอ้วน ยิ่งกินตามแฟชั่น ยิ่งซ่อนอันตราย จึงนำ 4 เหตุผลง่ายๆ เกี่ยวกับประโยชน์ของการบริโภคอาหารธรรมชาติมาแนะนำ เพื่อปรับนิสัยการกินเพื่อสุขภาพที่ดีตั้งแต่วัยหนุ่มสาว
    เหตุผลแรก อาหารธรรมชาติ คือ อาหารที่ได้รับการปลูก การดูแล และเติบโตตามธรรมชาติ ไม่ผ่านกระบวนการหรือผ่านกระบวนการน้อย ซึ่งตามหลักโภชนาการเป็นอาหารหลัก 5 หมู่ ได้แก่ ข้าว ข้าวกล้อง แป้งที่ผ่านการขัดสีน้อย ธัญญาหาร เนื้อสัตว์ ผักผลไม้สด และไขมัน ซึ่งเราสามารถนำมาประกอบอาหารให้สุก สะอาด และสงวนคุณค่าทางโภชนาการได้ด้วยวิธีง่ายๆ ทั้งผัด นึ่ง ย่าง และต้ม
    ในกรณีวัยรุ่น ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ จึงแนะนำเป็นอาหารที่ได้จากวัตถุดิบจากธรรมชาติทดแทน เพราะจะสะดวกและตรงตามไลฟ์สไตล์มากกว่า เช่น ขนมปังโฮลวีต เครื่องดื่มธัญญาหารที่มี 5 ชนิด น้ำเต้าหู้จากถั่วเหลืองเข้มข้น ส่วนอาหารหลักให้เน้น เช่น ข้าวกล้อง ผัก เนื้อไม่ติดมันและปลา แทนอาหารฟาสต์ฟู้ด
    เหตุผลที่สอง อาหารธรรมชาติโดยเฉพาะธัญญาหาร เป็นแหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุนานาชนิด ทั้งวิตามินเอ บี1 บี2 และซี แคลเซียม เหล็ก โฟเลต ไอโอดีน โปรตีน ฟอสฟอรัส คุณประโยชน์เหล่านี้เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่าดีต่อสุขภาพกับทุกเพศทุกวัยอยู่แล้ว แต่วัยรุ่นหลายคนคงยังไม่ทราบว่าแคลเซียมมีประโยชน์ต่อการเผาผลาญพลังงาน อีกทั้งยังมีงานวิจัยว่าคนที่ขาดแคลเซียมจะเสี่ยงต่อการอ้วนมากขึ้นถึง 70% ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีอยู่ในธัญญาหารยอดฮิตอย่างถั่วเหลือง งาดำ มอลต์ ลูกเดือย จมูกข้าวสาลี ข้าวกล้อง ฯลฯ
    หากเร่งรีบอาจเลือกเครื่องดื่มผสมมอลต์ที่มีคุณค่าจากธรรมชาติที่ได้จากข้าวบาร์เลย์ที่ไม่ผ่านการขัดสี ซึ่งอุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งเหมาะกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต หรือดื่มเครื่องดื่มสำเร็จรูปประเภทธัญญาหารรวม แต่ถ้ามีเวลาอาจบริโภคแบบเต็มเมล็ด หรือเติมในเครื่องดื่มหรืออาหารก็ได้ประโยชน์และอร่อยในอีกรูปแบบหนึ่ง
    เหตุผลที่สาม มีไฟเบอร์หรือใยอาหารสูง คือ สารอาหารประเภทแป้ง เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายไม่สามารถย่อยหรือดูดซึมได้ แต่ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดและช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ใยอาหารมี 2 ประเภท คือ ไฟเบอร์ที่ละลายได้ในน้ำ และไฟเบอร์ไม่ละลายในน้ำ สำหรับไฟเบอร์ที่ละลายในน้ำ พบได้ในผักและผลไม้ทุกชนิด ข้าวบาร์เลย์หรือมอลต์ เมล็ดถั่วต่างๆ สำหรับไฟเบอร์ที่ไม่ละลายในน้ำ จะมีมากในเปลือกนอกของผัก ปริมาณที่ควรได้รับคือ 20-25 กรัม แต่คนส่วนใหญ่ได้รับไฟเบอร์เพียงวันละ 10 กรัมเท่านั้น เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ และระบบทางเดินอาหารผิดปกติ จึงต้องเลือกกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง
    เหตุผลที่สี่ อาหารธรรมชาติเป็นแฟชั่นอินเทรนด์ เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนมีแต่กระแสรักสุขภาพ จึงทำให้มีสินค้าเพื่อสุขภาพออกสู่ตลาดอย่างแพร่หลาย และมีการพัฒนาวิวัฒนาการทำให้รับประทานง่าย ดื่มง่าย สะดวกสบายและอร่อย อีกทั้งยังมีการดัดแปลงรูปลักษณ์ให้น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น โดยเราสามารถเลือกบริโภคสิ่งดีๆ ให้กับตัวเองได้ อาทิ คุณประโยชน์วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น คุกกี้ผสมมอลต์ เครื่องดื่มธัญญาหารรวม 5 ชนิด น้ำเต้าหู้จากถั่วเหลือง 100% ธัญญาหารอัดแท่ง เป็นต้น ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะหันมานิยมบริโภคอาหารธรรมชาติ
    ด้วยเหตุผลดีๆ เหล่านี้ วัยรุ่นไทยน่าจะหันมาสนใจอาหารธรรมชาติมากขึ้นจนกลายเป็นอาหารแฟชั่นแนวใหม่ที่ดีต่อสุขภาพ
    ที่มา โพสต์ทูเดย์ ออนไลน์<!-- google_ad_section_end -->
     
  7. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    อย่าปล่อยให้ความโง่ลอยนวล

    • 26 มิถุนายน 2554 เวลา 17:30 น. |
    เรื่องการสอนอย่างตรงไปตรงมาของหลวงพ่อปัญญามีกรณีศึกษาให้อ้างอิงเพื่อประเทืองปัญญากันหลายเรื่อง...
    เรื่อง : ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย / ภาพ : วิศิษฐ์ แถมเงิน
    เรื่องการสอนอย่างตรงไปตรงมาของหลวงพ่อปัญญายังไม่จบ เพราะยังมีกรณีศึกษาให้อ้างอิงเพื่อประเทืองปัญญากันอีกหลายเรื่อง เช่น ในงานมงคลสมรสของบ่าวสาวคู่หนึ่ง เขามานิมนต์หลวงพ่อปัญญาไปเป็นประธานในการทำบุญ และเมื่อถึงเวลาจะต้องสวมแหวนหมั้น แต่ทุกคนก็ยังรีรออยู่ เมื่อถามได้ความว่ากำลังรอฤกษ์ หลวงพ่อปัญญาจึงว่าไม่ต้องรอก็ได้เพราะ
    “...แหวนมันเป็นรูอยู่แล้ว จะสวมเวลาไหนมันก็เข้าทั้งนั้น แล้วจะหาฤกษ์อะไรนักหนาให้มันช้าไป”
    [​IMG]
    คนไทยกับหมอดูเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออก ในบรรดาหมอดูทั้งหลาย “หมอดูพระ” นับว่ามีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างสูง พอๆ กับที่น่าหวั่นเกรงเป็นอย่างสูงเหมือนกัน เพราะบางทีท่านไม่ได้ดูหมอเปล่าๆ แต่ทำอะไรบ้างนอกจากนั้นคงไม่ใช่ภารกิจที่จะบอก เพราะเน้น “เกร็ดธรรมะ” มากกว่า การวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อหมอดูพระมักสร้างปัญหามากกว่านำไปสู่ปัญญา หลวงพ่อปัญญาจึงว่าอย่างนี้
    “เมื่อมาเป็นสมภารวัดชลประทานฯ อาตมามีอุดมการณ์ไว้ว่า วัดนี้จะให้เป็นวัดที่เผยแผ่สัจธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกว่าเผยแพร่ธรรมะบริสุทธิ์ ไม่ให้เผยแผ่สิ่งเหลวไหล เช่น หมอดูของขลังโชคลาภอะไรต่างๆ ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนาจะไม่ให้มี เพราะฉะนั้นวัดนี้จึงไม่มีหมอดู”
    เมื่อเราเหยียบย่างเข้ามาวัด บางวัดแทนที่จะพบกับความสงบ ผ่อนคลาย สบายใจ ก็มักจะพบกับความหงุดหงิดวุ่นวายเข้ามาแทนที่ เพราะมีเสียงการส่ายเซียมซีดังระงมอยู่ไม่ขาดสาย ความสงบที่ตั้งใจมาแสวงหาก็เลยอันตรธานไปกลายเป็นความรำคาญเข้ามาแทนที่ แล้วเจ้าเซียมซีนี่เกี่ยวอะไรกับพระพุทธศาสนาถึงเข้ามาอยู่ในโบสถ์ในวิหารสร้างความฟุ้งซ่านแก่ผู้มาเยือนอยู่เรื่อยๆ
    “ใบเซียมซีเสี่ยงทายตามโบสถ์ต่างๆ ที่เข้ามาอยู่ในโบสถ์ ก็เพราะพระอยากได้เงิน แต่กลายเป็นการทำลายพุทธศาสนาไป เพราะคนที่มาสั่นติ้วเกิดเข้าใจผิดคิดว่าหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้เป็นไป ความจริงหลวงพ่อมิได้ดลบันดาลอะไรเลย หากแต่แขนของเราทั้งสองเป็นตัวการใหญ่ เราไปจับกระบอกสั่น ไม้มันจึงหล่นออกมา คนโง่ไม่เข้าใจจึงถูกเขาหลอกให้สั่นเสียจนเหงื่อไหลไคลย้อย นี่เป็นเพราะเห็นแก่เงินโดยแท้”
    ถัดจากเรื่องเซียมซีก็มาถึงเรื่องการฝังลูกนิมิต เรามักจะเห็นป้ายแผ่นโตๆ ติดไว้ข้างทางอยู่ชั่วนาตาปี เห็นแล้วบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมคนจึงชอบไปร่วมงานฝังลูกนิมิตกัน ต่อมาจึงได้ทราบว่าคนที่ไป ส่วนหนึ่งไปเพราะต้องการร่วมงานบุญด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เพราะเป็นงานบุญใหญ่ วัดหนึ่งจะมีงานเช่นนี้ได้เพียงครั้งเดียว แต่อีกส่วนหนึ่งไปเพราะอยากได้ของดี เช่น อยากได้หวาย หรือด้ายผูกลูกนิมิต หรือไม้ไผ่ผ่าซีกที่ปักขัดไว้เป็นรั้วรอบบริเวณงาน
    เพื่อนของผู้เขียนท่านหนึ่งเคยไปร่วมงานนี้ในฐานะพระคู่สวด พอสวดเสร็จ ตัดลูกนิมิตลงหลุมแล้ว ประชาชนเรือนพันก็กรูกันเข้าแย่งด้าย หวาย ไม้ไผ่ซีกเล็กๆ ที่ปักเป็นรั้วรอบอุโบสถ งานนั้นท่านหนีไม่ทัน ถูกประชาชนวิ่งชนจนไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ ไม่รู้ว่าใครเป็นพระ ใครเป็นโยม พอรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองลงไปคลุกอยู่กับฝุ่นข้างหลุมฝังลูกนิมิตนั่นเอง งานอย่างนี้ใครไม่เคยเห็นกับตาอาจหาว่ากล่าวเกินจริง เพราะฉะนั้นถ้ามีงานฝังลูกนิมติที่วัดใกล้บ้านก็ควรถือโอกาสแวะเข้าไปดู แล้วจะเห็นด้วยตาตนเองว่าชุลมุนวุ่นวายขนาดไหน
    ในประสบการณ์ของหลวงพ่อปัญญาซึ่งบวชมาจนย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัยแล้วย่อมเคยผ่านงานเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อเห็นคนแย่ง “ของดี” กันแล้วหลวงพ่อปัญญาไม่ยืนดูอยู่เปล่าๆ เพราะท่านถือว่าการปล่อยให้คนโง่ลอยนวลนั้นเป็นบาปอย่างยิ่งสำหรับพระสงฆ์ซึ่งฝากท้องไว้กับชาวบ้าน แต่ไม่ยอมสอนเขาให้ฉลาดขึ้นกว่าเดิม
    “ที่วัดชลประทานฯ นี้ คราวผูกพัทธสีมาเก็บหวายไว้ ญาติโยมนั่งเป็นกลุ่มเป็นก้อนไม่กลับบ้าน อาตมาเที่ยวเดินถามโยมทำไมไม่กลับบ้าน ‘อยากได้หวาย’ ถามตรงไหนก็อยากได้หวาย เลยติดเครื่องขยายเสียงเรียกประชุม ใครอยากได้หวาย เชิญมานี่ มากันพร้อมเลยถามว่า
    “โยมอยากได้หวายหรือ”
    “ค่ะ”
    “เอาไปทำอะไร”
    “เขาว่าดี”
    “ดีอย่างไร”
    “ไม่ทราบ”
    ดี แต่ไม่รู้ว่าดีอย่างไร ถามโยมอีกคน
    “โยมต้องการหวายหรือ”
    “ต้องการ”
    “เอาไปทำอะไร”
    “เขาบอกว่าเอาไปผูกไว้ที่บ้าน ขายของดี”
    “โยมเอาหวายผูกไว้แล้วนั่งหน้าบอกบุญไม่รับ ขายดีไหม มันไม่ดีหรอกต้องยิ้มกับเขาบ้าง แล้วก็ถามคนโน้นคนนี้ต่อไปอีกหลายคน ถามแล้วเลยเทศน์ให้ฟัง พออธิบายสักชั่วโมงเทศน์อยู่กัณฑ์หนึ่ง พอจบแล้ว โยมสาธุ! หายโง่กันเสียที โง่กันมาหลายสิบปีแล้ว!”
    ที่มา โพสต์ทูเดย์ ออนไลน์<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เป็นห่วงมาหลายวันแล้วครับตั้งแต่ได้รับข่าว แต่พึ่งโทร.ไปหาเมื่อวานนี้

    เป็นกำลังใจให้เสมอครับ


    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาแจ้งรายละเอียด เรื่องของ

    ชมรมพระวังหน้า
    (ที่ผมเป็นเลขานุการชมรมพระวังหน้า)

    กับ

    กลุ่ม/ชมรมพระวังหน้า เว็บพลังจิต
    PaLungJit.com > กลุ่มชมรม > พระเครื่อง-วัตถุมงคล > พระวังหน้า
    -http://palungjit.org/groups/6/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-
    (ที่ผมเป็นผู้ตั้งขึ้นในเว็บพลังจิต)


    จะเป็นคนละกลุ่มกันครับ


    ------------------------------------------.

    มาอธิบายเรื่องของลายเซ็นผม(อีกครั้ง)นะครับ

    ปกติเวลาที่โพส หากเราใส่ข้อความลงในลายเซ็นของเรา เมื่อโพสแล้ว ข้อความที่เราใส่ลงไปที่ลายเซ็นนั้น จะปรากฎขึ้นมาโดยอัตโนมัติครับ

    ลายเซ็นผม
    คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
    ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณรบช.ออมทรัพย์ 2030-06304-5 บัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทองบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม
    ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธ.กรุง ไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
    หลวงปู่โลกอุดร ประวัติหลวงปู่ โลกอุดร"พระวังหน้า อกาลิโก" พระวังหน้า กองทุนผู้ป่วยโรคมะเร็ง

    จะแบ่งได้ตามนี้ครับ
    1.คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
    นี่คือลายเซ็นที่ลิงค์ไปกระทู้พระวังหน้าฯ
    [​IMG]PaLungJit.com > พลังจิต > พระเครื่อง - วัตถุมงคล > พระเครื่องทั่วไป [​IMG] พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
    http://palungjit.org/showthread.php?t=22445

    2.ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณร
    นี่คือลายเซ็นที่ลิงค์ไปกระทู้ ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณร
    [​IMG]PaLungJit.com > พลังจิต > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ [​IMG] ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิต พระเณร
    http://palungjit.org/showthread.php?t=21733

    3.บช.ออมทรัพย์ 2030-06304-5 บัญชี รร.
    ไม่ใช่ลิงค์ครับ


    4.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง
    นี่คือลายเซ็นที่ลิงค์ไปกระทู้ ขอความเมตตาต่อชีวิตพระ-เณร สนส.บ่อเงินบ่อทอง
    [​IMG]บอร์ดอกาลิโก > ธรรมในจิต > 108 โทรโข่ง [​IMG] ขอความเมตตาต่อชีวิตพระ-เณร สนส.บ่อเงินบ่อทอง
    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=5793

    5.บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม
    ไม่ใช่ลิงค์ครับ


    6.ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
    นี่คือลายเซ็นที่ลิงค์ไปกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
    [​IMG]PaLungJit.com > พลังจิต > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > พระพุทธรูป - วัด โบสถ์ วิหาร - สิ่งก่อสร้าง [​IMG] ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=68899



    7.บมจ.ธ.กรุง ไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ
    นี่คือลายเซ็นที่ลิงค์ไปกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
    [​IMG]บอร์ดอกาลิโก > ธรรมในจิต > 108 โทรโข่ง [​IMG] ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=9798

    8.หลวงปู่โลกอุดร
    นี่คือลายเซ็นที่ลิงค์ไปกระทู้ ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร
    [​IMG]PaLungJit.com > พุทธศาสนา > อภิญญา - กรรมฐาน [​IMG] ประวัติหลวงปู่เทพโลกอุดร
    http://palungjit.org/showthread.php?t=91379

    ประวัติหลวงปู่
    นี่คือลายเซ็นที่ลิงค์ไปกระทู้ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร
    [​IMG]บอร์ดอกาลิโก > ธรรมในจิต > พระสงฆ์สาวก-อริยบุคคล [​IMG] หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=8249

    9.โลกอุดร
    นี่คือลายเซ็นที่ลิงค์ไปกระทู้ หลวงปู่เทพโลกอุดร
    :: ลานธรรมจักร :: &raquo; ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14333


    10."พระวังหน้า อกาลิโก"
    นี่คือลายเซ็นที่ลิงค์ไปกระทู้ "พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....."
    [​IMG]บอร์ดอกาลิโก > ธรรมในจิต > 108 โทรโข่ง [​IMG] "พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....."
    http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=8477


    11.พระวังหน้า
    นี่คือลายเซ็นที่ลิงค์ไปที่ชมรมพระวังหน้า (เว็บพลังจิต)
    [​IMG]PaLungJit.com > กลุ่มชมรม > พระเครื่อง-วัตถุมงคล [​IMG] พระวังหน้า
    http://palungjit.org/group.php?groupid=6


    12.กองทุนผู้ป่วยโรคมะเร็ง
    นี่คือลายเซ็นที่ลิงค์ไปกระทู้ ขอเชิญร่วมบริจาคปัจจัยเพื่อตั้งกองทุนเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง
    [​IMG]PaLungJit.com > พุทธศาสนา > พุทธศาสนา สำหรับผู้เริ่มต้น > สนทนาธรรม กับ แม่ชี ณัฐทิพย์ [​IMG] ขอเชิญร่วมบริจาคปัจจัยเพื่อตั้งกองทุนเพื่อผู้ป่วยโรค
    http://palungjit.org/showthread.php?t=112354


    หมายเหตุ ปัจจุบันเว็บอกาลิโกไม่มีแล้วครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>นิทานเซน : กุศลผลบุญ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>29 มิถุนายน 2554 07:18 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    ครั้งที่อาจารย์เซนเฉิงจัว(Seisetsu Shucho) จาริกธรรมยังวัดหงฝ่า(弘法寺) มณฑลเจ้อเจียง จนได้รับความเคารพศรัทธายิ่งนัก ทุกครั้งที่มีการแสดงธรรมเทศนา ล้วนมีผู้คนมารอฟังอย่างเนืองแน่นจนกลายเป็นแออัด จึงมีผู้เสนอให้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสร้างหอแสดงธรรมแห่งใหม่ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับผู้มีศรัทธาในพุทธศาสนานิกายเซนจำนวนมากให้ได้มาร่วมกันฟังธรรม

    เมื่อเห็นตรงกัน อุบาสกผู้หนึ่งจึงนำถุงบรรจุเงินห้าสิบตำลึงทองมาถวายให้อาจารย์เซนเฉิงจัว โดยระบุว่าขอร่วมบริจาคเงินสร้างหอแสดงธรรมแห่งใหม่ อาจารย์เซนเฉิงจัวจึงรับเงินมาเก็บไว้ จากนั้นลงมือทำกิจวัตรประจำวันต่อไปตามปกติ

    อุบาสกผู้บริจาคเงินก้อนใหญ่เห็นดังนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เนื่องเพราะเขาเห็นว่าเงินห้าสิบตำลึงทองจัดว่ามากโข คนธรรมดาสามัญสามารถใช้เงินจำนวนนี้ดำรงชีวิตได้หลายปีทีเดียว ทว่าอาจารย์เซนกลับรับเงินไปด้วยท่าทางเฉยเมย ไม่มีการให้ศีลให้พร แม้แต่คำว่า "ขอบคุณ" สักคำยังไม่ยอมเอ่ย เมื่อคิดได้ดังนั้น อุบาสถผู้นี้จึงเดินไปเน้นย้ำต่ออาจารย์เซนว่า "ท่านอาจารย์ ข้านำเงินมามอบให้ถึงห้าสิบตำลึงทองเชียวนะ"

    อาจารย์เซนเฉิงจัวได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับด้วยอาการสงบว่า "อาตมาทราบดี เพราะท่านบอกอาตมาแล้ว" จากนั้นจึงเดินต่อไปโดยไม่เหลือบแลกลับมาอีก อุบาสกเห็นดังนั้นจึงขึ้นเสียงสูง ร้องว่า "นี่ท่าน! วันนี้ข้ามอบเงินทำบุญถึงห้าสิบตำลึงทอง ไม่ใช่เงินน้อยๆ หรือว่าแค่คำขอบคุณสักคำท่านก็กล่าวเพื่อตอบแทนข้าไม่ได้เชียวหรือ?"

    ยามนั้น อาจารย์เซนจึงได้หยุดและกล่าวว่า "ท่านทำบุญเพื่อเพิ่มพูนศีลธรรมบารมีให้ตัวท่านเอง แล้วเหตุใดอาตมาต้องขอบคุณท่านด้วยเล่า"

    การทำบุญย่อมได้บุญ จิตผ่องใสนั่นเป็นบุญ

    ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4




    -http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000078832-









    .


    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000078832



    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมไปเห็นหลายๆอย่างมา

    ให้ระวังไว้ครับ ประเภทสร้างความน่าเชื่อถือว่า ตนเองเป็นกูรู ผู้รอบรู้ มีการวิเคราะห์ต่างๆนาๆ เขียนให้ดูน่าเชื่อถือ

    ผมไม่บอกครับว่า เป็นเว็บไหน อย่างไร

    เวลาที่อ่าน ต้องรู้จักคิดและวิเคราะห์ให้เป็น หากไปหลงลม(คำเขียน) จะเสียใจภายหลังครับ


    .
     
  12. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    ดียามบ่ายหลังทานข้าวเที่ยงแล้วนะครับผม ทุกท่านสบายดีนะครับ
     
  13. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    ไม่ทราบว่าลิงค์ที่ชี้ไปที่นี้ผิดหรือเปล่าครับผม ลองตรวจดูนะครับ เหมือนจะไปที่อื่นนะครับ http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=8477

     
  14. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ประคบพลับพลึง แก้เคล็ดขัดยอก

    วันพุธ ที่ 29 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    จู่ๆ เดินสะดุดล้ม เจ็บข้อเท้าจากการพลิก หรือลื่นล้ม ข้อศอกและก้น กระแทกกับพื้น จนมีอาการปวดบวมช้ำ เคล็ดขัดยอก แต่ไม่ถึงกับกระดูกหัก หมดสติ แผลแตกมีเลือดไหล สามารถปฐมพยาบาลด้วยวิธีพื้นบ้านอย่างคนสมัยก่อนเขานิยมกัน ซึ่งใช้เพียงใบพลับพลึงเท่านั้น

    สำหรับต้นพลับพลึงเป็นพืชล้มลุกที่ขึ้นเป็นกอ มีหัวอยู่ใต้ดิน ลำต้นดูกลมกว้าง ใบนั้นแคบยาวเรียวส่วนปลายใบจะแหลม ออกดอกเป็นสีขาว เป็นกระจุกดอกหลายสิบดอก และมีเกสรสีแดงน้ำตาลยื่นออกมาให้เห็นชัดเจน

    ว่ากันมาอย่างนี้ เห็นทีบ้านไหนที่ปลูกเลี้ยงต้นพลับพลึงเอาไว้ คงได้ใช้ประโยชน์ในทางยาของต้นใบชนิดนี้กันแล้ว เนื่องจากคนไทยในสมัยก่อน จะเด็ดเอาใบพลับพลึงสดๆ จากต้น โดยเลือกใช้ใบที่โตเต็มที่ นำไปย่างไฟอ่อนๆ พอให้อุ่นๆ สีของใบยังเขียว อย่าย่างให้ใบถึงเกรียมเปลี่ยนสี

    ได้แล้วอย่ารอช้า รีบนำใบพลับพลึงที่ผ่านการย่างไฟมาหมาดๆ พันให้รอบหรือประคบทับบริเวณที่มีอาการปวดบวมช้ำ เคล็ดขัดยอก จนกระทั่งไออุ่นจากใบพลับพลึงเย็นตัวลง โบราณว่า ทำอย่างนี้ จะช่วยคลายอาการปวด ลดบวมได้ดีไม่น้อย แถมยังจัดอยู่ในสมุนไพรสำหรับให้คุณแม่เพิ่งคลอดได้อยู่ไฟ ใช้ประคบหน้าท้องช่วยให้มดลูกเข้าที่ด้วย.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  15. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    นมถั่วเหลืองคุณค่ากำลังสอง เพื่อความงามและสุขภาพดี

    วันพุธ ที่ 29 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    การบริโภคน้ำนมถั่วเหลืองร่างกายได้รับประโยชน์หลายประการ แต่ยังไม่เป็นที่รับรู้มากนัก เพื่อให้คุณค่าของนมถั่วเหลืองเป็นที่รับรู้ในวงกว้าง บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด จับมือกับ รพ.สมิติเวช สุขุมวิท ช่วยกันไขความลับประโยชน์ของการบริโภคนมถั่วเหลือง ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ทั้งด้านสุขภาพและความสวยงาม ในกิจกรรม “เปิดทุกความลับ คุณค่าแห่งนมถั่วเหลือง” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ รพ.สมิติเวช สุขุมวิท โดย พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ชะลอวัย รพ.สมิติเวช สุขุมวิท กล่าวว่า น้ำนมถั่วเหลืองเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าที่หลายคนคิด มีคนไทยเพียงบางส่วนเท่านั้นที่รับรู้อย่างครบถ้วนว่า น้ำนมถั่วเหลืองมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร ทั้งที่นมถั่วเหลืองเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกถึงคุณประโยชน์นานับประการ ที่ให้ผลดีควบคู่กันไปทั้งภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสริมสุขภาพและความสวยงาม

    “ในเชิงสุขภาพเครื่องดื่มที่ได้จากถั่วเหลืองอุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารต้านอนุมูลอิสระ “ไอโซเฟลโวนส์” ที่มีในปริมาณสูงช่วยบำรุงหลอดเลือดหัวใจ ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันและต้านเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะในกลุ่มมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก ดังนั้น
    การดื่มนมถั่วเหลืองเป็นประจำจึงเป็นผลดีต่อร่างกายภายในทั้งหญิงและชาย ไม่เพียงเท่านั้นนมถั่วเหลืองยังเปี่ยมไปด้วยสาร “ไฟโตเอสโตรเจน”
    ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง หรือ ฮอร์โมน เอสโตรเจน ซึ่งเป็นสาร อาหารที่ช่วยบรรเทาอาการวัยทองในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้ ขณะเดียวกันการบริโภคนมถั่วเหลืองยังเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ที่ดีต่อรูปลักษณ์ภายนอกคือ ช่วยให้ผิวพรรณสวยใส เปล่งปลั่ง มี น้ำมีนวล รวมทั้งยังเป็นทางเลือกในการบริโภคอาหาร เพื่อรักษารูปร่างหรือควบคุมน้ำหนัก เพราะเป็นอาหารไขมันต่ำและมีโปรตีนสูง จึงให้ความรู้สึกอิ่มได้นาน” พญ.ธิดากานต์กล่าว

    นางกลอยตา ณ ถลาง ผอ.ฝ่ายสื่อสารองค์กรและสิ่งแวดล้อม บริษัท เต็ดตรา แพ้คฯกล่าวว่า นมถั่วเหลืองเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์และนิยมบริโภคมานาน จากอัตราการบริโภคในระดับสากลมีมากถึง 16,000 ล้านลิตร ในปี พ.ศ.2553 และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอัตราการเติบโตของการบริโภคนมถั่วเหลืองอย่างรวดเร็ว ในอดีตการบริโภคนมถั่วเหลืองที่นิยมอยู่ในรูปแบบ “โฮมเมด” หรือที่เรียกว่า “น้ำเต้าหู้” วางขายในท้องตลาดหรือข้างถนนทั่วไป ซึ่งโอกาสเกิดการปนเปื้อนระหว่างปรุงและจำหน่ายมีสูง แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีการผลิตและบรรจุแบบปลอดเชื้อในระบบปิดของเต็ดตรา แพ้ค ทำให้มีทางเลือกบริโภคมากขึ้น นมถั่วเหลืองที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อแบบยูเอชทีและบรรจุภายใต้สภาวะปลอดเชื้อ ทำให้สามารถเก็บผลิตภัณฑ์ได้นานหลายเดือน โดยยังคงรักษาคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน.





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  16. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7517 ข่าวสดรายวัน


    หอศิลป์กทม.จัดนิทรรศการ-เสวนา ผุดกิจกรรม-5ตัวป่วนกวนอารมณ์มนุษย์




    รายงานข่าวแจ้งว่า เครือข่ายพุทธิกา ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิสยามกัมมาจล หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และ BIOSCOPE ร่วมกันจัดงานป่วน : มหกรรมงานศิลปะเพื่อชีวิตและอิสรภาพ (Freedom Here and Now) ระหว่างวันที่ 29 มิ.ย.-3 ก.ค.2554 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ทำความรู้จักตัวป่วนทางอารมณ์ทั้ง 5 ได้แก่ ความโกรธ ความเหงา ความฟุ้งซ่าน ความอยาก และความลังเลสงสัย โดยจัดนิทรรศการศิลปะ และหนังสั้นจากไบโอสโคป กิจกรรมรู้จักเพื่อนตัวป่วนผ่านประสบการณ์ตรง พร้อมเสวนากับ พระไพศาล วิสาโล และสุนิสา สุขบุญสังข์ (ดีเจ.อ้อม)

    พระไพศาลกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของงานว่า เนื่องจากยุคสมัยปัจจุบันทุกอย่างในชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความรีบเร่ง ทำให้เมื่อเราเกิดอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เช่น ความโกรธ ความเหงา ความท้อแท้ ความฟุ้งซ่าน ความอยาก หรือความลังเลสงสัย เรามักจะกลบเกลื่อนหรือวิ่งหนีความรู้สึกเหล่านี้ มากกว่าจะทำความเข้าใจมัน ทำให้เราเป็นทุกข์ง่าย แต่ถ้าเราสามารถทำความรู้จักพวกเขาอย่างเข้าใจได้ ตัวป่วนทั้ง 5 จะไม่มาครอบงำจิตใจเรา เราจะไม่ตกเป็นทาส แต่จะมีชีวิตที่เป็นอิสระ และเป็นไทได้อย่างแท้จริง

    นายกัมปนาท ศิลาวรรณ หนึ่งในทีมงานของนิตยสารไบโอสโคป ผู้ออกแบบและจัดเตรียมนิทรรศการเขาวงกตแห่งอารมณ์กล่าวว่า พวกเรานำเสนออารมณ์ป่วนทั้ง 5 ผ่านนิทรรศการที่มีลักษณะเป็น "เขาวงกต" โดยตั้งใจออกแบบให้แต่ละช่วงสื่อถึงอารมณ์ต่างๆ ผ่านการจัดวางงานศิลปะ ภาพถ่าย งานกราฟิก วิดีโอสั้นๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมได้ลองสำรวจอารมณ์ และค้นหาว่าตนเองมีอารมณ์ต่างๆ เหล่านี้บ้างหรือไม่ และแต่ละคนมีแนวทางอย่างไร ที่จะสามารถพบทางเลือก หรือทางออกจากอารมณ์ป่วนทั้ง 5 ได้ นอกจากนี้ยังมีการฉายหนังสั้นสะท้อนอารมณ์ป่วนทั้ง 5 จาก 5 ผู้กำกับฯ หนังรุ่นใหม่อีกด้วย

    ด้านนายกรนัท สุรพัฒน์ กล่าวถึงลักษณะกิจกรรมในครั้งนี้ว่า จะพาทุกคนไปทำความรู้จักอารมณ์ทั้ง 5 ผ่านประสบการณ์ตรง ด้วยการสังเกต เรียนรู้ สืบค้น และสร้างความเข้าใจในกิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงการนำเสนองานศิลปะในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ การถ่ายภาพเพื่อเรียนรู้และเข้าใจอารมณ์ ในการถ่ายรูปตัวป่วน, การปั้นดินเพื่อพัฒนาภายในศิลปะเพื่อชีวิต, ศิลปะการเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อคืนสู่ธรรมชาติภายใน กับเริงระบำกับเงาแห่งชีวิตและศิลปะการจัดดอกไม้ เพื่อเปิดใจสัมผัสความงามจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สร้างประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับอารมณ์ต่างๆ เชื่อมั่นว่าสามารถนำกลับไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้

    นิทรรศการจัดแสดงทุกวัน ระหว่างวันที่ 29 มิ.ย.-3 ก.ค. ลงทะเบียนสำรองที่นั่งในแต่ละเวิร์กช็อป ล่วงหน้าได้ที่ http:// budnet.org

    ที่มา ข่าวสด ออนไลน์
     
  17. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7517 ข่าวสดรายวัน


    แท็กซี่คืนเงินครึ่งล้าน


    เจ้าของให้ 1 แสน ยอมรับแค่ 5 หมื่น แถมเอาไปทำบุญ


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=360 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#e0e0e0>[​IMG]
    ยอดแท็กซี่ - นายณรงค์ศักดิ์ พิสุทธิ์ธาราชัย โชเฟอร์ แท็กซี่เก็บเงินกว่า 5 แสนบาท คืนให้นายวันชัย ศุภพัฒนวรกุล เสี่ยปั๊มน้ำมันที่ลืมไว้บนรถ ทั้งปฏิเสธรับสินน้ำใจ 1 แสนบาทด้วย ตามข่าว

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ชื่นชน ' แท็กซี่พลเมืองดี'เก็บเงินครึ่งล้านที่ผู้โดยสารลืมไว้ในรถส่งคืนเจ้สของ ทั้งยังไใขอรับสินน้ำใจใด ๆแต่เสี่ยปั๊มน้ำมันเจ้าของเงินต้องการตอบแทนจากใจจริง พยายามคะยั้นคะยอจนยอมรับเงินไป 50,000 บาท จากที่เสนอให้ 100,000 บาท แถมพอขับไปส่งบ้าน เสี่ยปั๊มยังใจดียัดเงินใส่มือเพิ่มให้อีก 10,000 บาท ด้านโชเฟอร์แท็กซี่กับแม่บอกจะเอาเงินที่ได้ทั้งหมดไปทำบุญต่อไป

    เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 27 มิ.ย. ที่สน. ท่าเรือ นายณรงค์ศักดิ์ พิสุทธิ์ธาราชัย อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 262 หมู่บ้านหลักสองนิเวศน์ ถนนเพชรเกษม แขวงและเขตบางแค กทม. คนขับรถแท็กซี่โตโยต้า ลิโม่ สีเขียวเหลือง หมายเลขทะเบียน มจ 3288 กทม. นำเงินสด 510,000 บาท มามอบคืนให้นายวันชัย ศุภพัฒนวรกุล อายุ 67 ปี อยู่บ้านเลขที่ 303 หมู่ที่ 4 ถนนเพชรเกษม แขวงและเขตบางแค เจ้าของปั๊มน้ำมันปตท. ถนนกัลปพฤกษ์ และปั๊มน้ำมันกับแก๊สเอ็นจีวี ซอยเพชรเกษม 45 หลังจากทำตกไว้ในรถแท็กซี่ของตนเมื่อช่วงเวลา 17.30 น. โดยมีพ.ต.อ. จักษ์ จิตตธรรม ผกก.สน.ท่าเรือ และตำรวจสน.ท่าเรือ ร่วมเป็นสักขีพยานส่งมอบเงินคืน

    นายวันชัย กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนไปเก็บเงินค่าน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันปตท.ถนนกัลปพฤกษ์ เพื่อจะนำไปโอนจ่ายเป็นค่าน้ำมันให้กับบริษัทปตท. ที่ธนาคารกสิกรไทยในห้างเดอะมอลล์สาขาบางแค โดยเรียกรถแท็กซี่ของนายณรงค์ ศักดิ์ให้ไปส่งที่ปั๊มปตท.เพชรเกษม 45 ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับห้างดังกล่าว ตนนั่งบริเวณเบาะหลัง และวางถุงเงินไว้ที่พักเท้าด้านหลังเบาะคนขับ ระหว่างทางพูดคุยเรื่องเลือกตั้งกับนายณรงค์ศักดิ์จนเพลิน ตอนลงรถจึงลืมถุงพลาสติกที่ใส่เงินเอาไว้ หลังจากรู้ตัวว่าลืมถุงเงินรีบแจ้งไปทางสถานีวิทยุ จส.100 เพื่อให้ช่วยประกาศติดตาม กระทั่งจส.100 ประสานกลับมาว่า นายณรงค์ศักดิ์จะนำเงินมาคืนให้ที่สน.ท่าเรือ จึงรีบเดินทางมารับทันที ถือว่าโชคดีที่ได้เงินคืน และนายณรงค์ศักดิ์เป็นคนดีมากที่นำเงินมามอบคืนให้ ซึ่งตนจะมอบเงินจำนวน 100,000 บาท เป็นสินน้ำใจให้นายณรงค์ศักดิ์ด้วย

    ด้านนายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุ ขับรถแท็กซี่รับนายวันชัยจากปั๊มน้ำมันปตท. ถนนกัลปพฤกษ์ เพื่อพาไปส่งที่ปั๊มน้ำมันซอยเพชร เกษม 45 จากนั้นตนขับรถกลับเข้าบ้านไปทานข้าวกับแม่และน้องสาว หลังจากกินข้าวเสร็จตั้งใจจะออกมาขับรถหาผู้โดยสารต่อ เมื่อเปิดประตูหลังดูความเรียบร้อยเห็นถุงพลาสติกวางอยู่หลังเบาะคนขับ พอหยิบมาจับดูรู้สึกนิ่มๆ ตอนแรกคิดว่าเป็นเสื้อผ้า แต่พอคลี่กระดาษหนังสือ พิมพ์ที่ห่อไว้ออกดูพบว่าเป็นเงินจำนวนมาก จึงรีบบอกแม่กับน้องสาวทันที โดยน้องสาว โทรศัพท์ไปแจ้งสถานีจส.100 ให้ช่วยติดตาม หาเจ้า ของเงิน ก่อนได้รับการประสานกลับมาว่าให้นำเงินมาคืนนายวันชัยที่สน.ท่าเรือ

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวันชัยมอบเงินจำนวน 100,000 บาทให้กับนายณรงค์ศักดิ์เพื่อเป็นสินน้ำใจ แต่นายณรงค์ศักดิ์ไม่ยอมรับเงินทั้งหมด แจ้งความประสงค์ว่าขอแค่ 10,000 บาทให้แม่ตนนำไปทำบุญเท่านั้น แต่นายวันชัยยังยืนยันว่าจะให้ทั้งหมด จนสุดท้ายนายณรงค์ศักดิ์ขอรับแค่ 50,000 บาท ทำให้นายวันชัยกล่าวว่า ไม่เคยพบคนดีอย่างนายณรงค์ศักดิ์มาก่อน จะให้รางวัลยังไม่ยอมรับ พร้อมกับกอดคอนายณรงค์ศักดิ์ด้วยความดีใจ

    ต่อมาเวลา 15.00 น. วันที่ 28 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 262 ในหมู่บ้านหลักสองนิเวศน์ของนายณรงค์ศักดิ์ แท็กซี่พลเมืองดี เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม พบนายณรงค์ศักดิ์อยู่ในบ้านกับนางวิไล มารดา อายุ 73 ปี โดยเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้นปลูกอยู่บนเนื้อที่ 190 ตารางวา พื้นที่หลังบ้านใช้เป็นที่จอดรถแท็กซี่

    นายณรงค์ศักดิ์ เปิดเผยว่า ตอนแรกไม่ได้คิดว่านายวันชัยเป็นเจ้าของเงิน เพราะระหว่างทางที่นายวันชัยนั่งรถของตนมานั่งอยู่เบาะหลังด้านซ้าย แล้วคนที่ไหนจะเอาเงินจำนวนมากขนาดนี้มาวางไว้ที่วางเท้า ส่วนเรื่องการแต่งตัวของนายวันชัย ตนไม่ได้สนใจ เพราะตนรู้ว่านายวันชัยเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันและปั๊มแก๊สที่อยู่ไม่ไกลบ้านมากนัก และตนเป็นลูกค้าประจำเพราะบางวันยังเห็นนายวันชัยเดินถอดเสื้ออยู่ในปั๊ม

    นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า น้องสาวตนรับหน้าที่เป็นผู้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง จส.100 เพื่อให้ช่วยติดตามหาเจ้าของเงิน ต่อมาเจ้าหน้าที่จส.100 ติดต่อให้นำเงินไปคืนเจ้าของที่จส.100 ทำให้ได้พบนายวันชัย ก่อนจะไปส่งมอบเงินกันที่สน. ท่าเรือ เมื่อส่งมอบเงินกันแล้วตกใจและไม่ขอรับเงินเพราะนายวันชัยจะให้ถึง 100,000 บาท ซึ่งมากเกินไป แต่ผลสุดท้ายเกรงใจจึงรับเงินมาแค่ 50,000 บาทเพื่อนำไปทำบุญ

    แท็กซี่พลเมืองดี ระบุว่า เมื่อตนพานายวันชัยกลับมาส่งที่ปั๊มน้ำมันอีกครั้ง นายวันชัยยังยัดเงินมาเพิ่มให้อีก 10,000 บาท สำหรับเงินทั้งหมดตนให้มารดาเก็บไว้เพื่อนำไปทำบุญตามเจตนารมณ์ที่บอกกับเจ้าของเงิน โดยส่วนตัวตนไม่ได้สบายอะไร ค่อนข้างลำบากอยู่ด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เป็นโสด ไม่มีครอบครัว บ้านหลังนี้ไม่ต้องผ่อน เพราะพ่อที่เสียไปแล้วจัดการไว้ให้หมด โดยบ้านหลังนี้ ตนพักอาศัยอยู่กับมารดา น้องสาว 2 คนและหลานๆ ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร น้องๆ ช่วยส่งเสียดูแลแม่ ถ้าตนมีก็จะให้บ้าง เนื่องจากยังมีค่าใช้จ่ายในการผ่อนแท็กซี่คันนี้อีก 50,000 บาท โดยต้องผ่อนเดือนละ 15,600 บาท จริงๆ แล้วรถคันนี้ต้องผ่อนหมดแล้ว แต่ตนผ่อนไม่ค่อยตรงจึงยังไม่หมด ซึ่งแท็กซี่คันนี้เป็นแท็กซี่ในโครงการแท็กซี่เอื้ออาทร ไม่ต้องดาวน์ได้รถมาผ่อนอย่างเดียว ส่วนเรื่องเหล้าเบียร์ ตนเลิกมาหลายปี จึงไม่จำเป็นต้องใช้เงินอะไรมาก แค่วิ่งรถแท็กซี่หาเงินผ่อนรถก็พอ นอกจากนั้น ตนยังมีหน้าที่คอยพาแม่ไปหาหมอ

    นายณรงค์ศักดิ์ เผยถึงชีวิตที่ผ่านมาว่า เมื่อต้นปีเคยคิดว่าปีนี้เป็นปีซวยของตน เพราะตลอดปีเจอลูกค้าไม่จ่ายเงินหลายราย รถเกิดอุบัติเหตุถูกชนจนยับ ทั้งยังเจอผู้หญิงคนหนึ่งปัสสาวะรดเบาะรถก็โดนมาแล้ว สำหรับอาชีพขับรถแท็กซี่ ขับมากว่า 10 ปี ก่อนหน้านี้ช่วยพ่อช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ย่านสำเหร่ แต่บ้านที่เช่าเปิดร้านถูกธนาคารยึดไป พ่อจึงเลิกทำแล้วมาซื้อบ้านหลังนี้อยู่ ส่วนตนไปเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเองอยู่ย่านโชคชัย 4 แต่ช่วงนั้นเศรษฐกิจไม่ดี ประกอบกับไม่มีใครช่วยจึงเซ้งร้านต่อให้พี่ชาย แล้วไปวิ่งขายน้ำตาลสดอยู่อีกหลายปีก็ไม่ประสบความสำเร็จ พูดได้ว่าทำอะไรเจ๊งมาตลอดจนเพิ่งมาโชคดีถูกหวย 2 ตัวเลข 88 ซึ่งเป็นเลขทะเบียนรถเมื่องวดไม่นานมานี้ ในอดีตเคยเก็บของมีค่าตกอยู่ในรถแท็กซี่ได้หลายครั้ง ซึ่งตนนำไปส่งคืนเจ้าของทั้งหมด และลูกค้าเมื่อลืมของยังสามารถติดต่อตนได้ เพราะรถแท็กซี่ของตนจะมีใบเสร็จให้ลูกค้าเมื่อจ่ายค่ารถแล้ว อย่างโทรศัพท์เมื่อลูกค้าลืมแล้วโทรศัพท์เข้าเครื่อง ตนจะนำไปคืนให้ถึงบ้านลูกค้าเลยก็มี หรือบางคนลืมแล้วโทรศัพท์มาบอกว่าไม่ต้องการเอาคืนยกให้ตนจนต้องบอกไปว่าโทรศัพท์ตนก็มีไม่อยากได้เดี๋ยวเอาไปคืนให้

    "เงินทั้งหมด 60,000 บาทนั้นผมให้มารดาเก็บไว้ทั้งหมด เมื่อเช้านายวันชัยมาหาที่บ้านแต่เช้า นายวันชัยบอกว่าต่อไปจะต้องเป็นครอบครัวเดียวกัน และจะให้เติมแก๊สฟรีตลอดไป ผมบอกปัดไปว่าไม่เอา ถ้าไปเติมจะต้องจ่ายเงิน แต่ขออย่างเดียวให้มีก๊าซเติมเท่านั้นพอ" นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

    ด้านนางวิไล มารดานายณรงค์ศักดิ์ ระบุว่า เงิน 60,000 บาทจะนำไปทำบุญ แต่ไม่ขอทำทีเดียวหมด จะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าเงินหมด ไม่ว่าจะเป็นการตักบาตรทำบุญพระ เงินใส่ซองต่างๆ อย่างเมื่อเช้าใส่ซองถวายร่วมสร้างพระไป 500 บาท และซื้อของใส่บาตรพระ เพราะเป็นคนชอบทำบุญ ส่วนน้องสาวนายณรงค์ศักดิ์ชอบพาไปทำบุญโดยจะมีณรงค์ศักดิ์ขับรถไปให้ทุกครั้ง ขณะนี้กำลังคิดกันว่าจะพากันไปทำบุญที่จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อเช้าเพื่อนๆ ในหมู่บ้านมาแสดงความยินดีที่ลูกชายเก็บเงินคืนเจ้าของจนเป็นข่าวใหญ่โต
    ที่มา ข่าวสด ออนไลน์
     
  18. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้เวลา 7.30น ผมได้ฝากเงินจำนวน 1500บาทเข้าบัญชี 1890131288 เพื่อร่วมงานบุญผาผึ้งครับ ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ ขออภัยที่ไปร่วมด้วยไม่ได้จริงๆครับ
    nongnooo
     
  19. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีตอนบ่าย ครับ คุณ Lee_bangkok
     
  20. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    [​IMG]
    ชั่วโมงเซียน - พระไพรีพินาศกับตำนาน...ทวารรบาลติดฝิ่นวัดบวรฯ
    วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร ซึ่งในช่วงประมาณสมัยรัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างขึ้น ติดกับบริเวณวัดรังษีสุทธาวาส ในภายหลัง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ได้รวมวัดบวรนิเวศกับวัดรังษีสุทธาวาส เป็นวัดเดียวกัน และตั้งชื่อใหม่ว่า วัดบวรรังษี และในที่สุดได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดบวรนิเวศวิหาร


    สถาปัตยกรรมวัดบวรนิเวศวิหาร สร้างขึ้นด้วยศิลปะไทยผสมจีน ภายในพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปสำคัญอยู่ ๒ องค์ คือ พระประธาน อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จ.เพชรบุรี และพระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก ถัดจากพระอุโบสถออกไปเป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่หุ้มกระเบื้องสีทอง สร้างสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ นอกจากนี้ก็มีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือขรัวอินโข่ง
    เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๔ ได้มีเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ๒ อย่าง คือ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎ ทรงลาผนวช ขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ เป็น รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงพระปรมาภิไธยว่า "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
    ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่ง คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร สืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเดิมพระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ สมเด็จวังหน้าในรัชกาลที่ ๒ พระนามเดิมว่า "พระองค์เจ้าฤกษ์" พระองค์ทรงเชี่ยวชาญในภาษาบาลีมาก ทรงเป็นพระอุปปัชฌายาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงสร้างพระกริ่งที่โด่งดัง นั่นคือ "พระกริ่งปวเรศ"
    ในสมัยรัชกาลที่ ๔ นี้ ได้มีการปรากฏขึ้นของพระพุทธรูปสำคัญอีกองค์หนึ่ง และได้มีการสร้างจำลองแบบต่อมา จนเป็นพระที่โด่งดังมากในวงการพระเครื่อง นั่นคือ "พระไพรีพินาศ"
    "พระไพรีพินาศ" เป็นพระนามของพระพุทธรูป ซึ่งปัจจุบันได้ประดิษฐานอยู่ ณ ระเบียงชั้น ๒ ของพระเจดีย์ใหญ่ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากเนื้อหินแกะ หน้าตักกว้างประมาณ ๑๓ นิ้ว พุทธลักษณะปางมารวิชัย แต่หงายฝ่ามือขึ้น คล้ายปางประทับนั่งประทานพร
    สำหรับที่มาของพระไพรีพินาศ ได้มีผู้นำมาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในขณะนั้นท่านยังทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร และได้ทรงบูชาพระไพรีพินาศ จนเกิดอภินิหาร บังเกิดกับหม่อมไกรสร ซึ่งไม่ทรงถูกกับพระองค์ ได้ถูกสำเร็จโทษ พระองค์จึงพ้นภัยจากหม่อมไกรสร จึงได้โปรดให้สร้างเก๋งประดิษฐาน พระราชทานนามว่า "พระไพรีพินาศ" และยังทรงเขียนข้อความไว้ใต้ฐานซึ่งมาค้นพบเมื่อวันจันทร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๗ ระหว่างซ่อมแซมพระเจดีย์ ๙๖ ปี ไว้ว่า "พระสถูปเจดีย์ศิลาบัลลังก์องค์ จงมีนามว่า พระไพรีพินาศ เทอญ" และอีกด้านทรงเขียนว่า "เพราะตั้งแต่ทำมาแล้ว คนไพรีก็วุ่นวาย ยับเยินไปโดยลำดับ"
    ในวงการพระเครื่องแล้วนั้น พระไพรีพินาศ ก็เป็นพระเครื่ององค์จำลองจากพระพุทธรูปไพรีพินาศองค์นี้นั่นเอง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง และกว้างขวางเป็นอย่างมาก โดยได้สร้างให้ประชาชนได้บูชาเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๔๙๕ ในวาระเมื่อสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปริณายก มีพระชนมายุครบรอบ ๘๐ พรรษา ได้จัดสร้างวัตถุมงคล ดังนี้
    ๑.พระบูชาไพรีพินาศ
    ๒.พระกริ่งไพรีพินาศ
    ๓.พระชัยวัฒน์ไพรีพินาศ
    ๔.พระชัยวัฒน์แบบทั่วไป
    ๕.เหรียญพระไพรีพินาศ
    ๖.หม้อน้ำมนต์
    ตำรับการสร้างพระกริ่งในวัดบวรนิเวศ เป็นตำนานการสร้างที่สืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว แห่งกรุงศรีอยุธยา ตกทอดมายังท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แห่งวัดบวรนิเวศ จนได้จัดสร้าง "พระกริ่งปวเรศ" ที่โด่งดัง และสืบไว้ในวัดบวรนิเวศต่อมา จนได้นำมาสร้างพระเครื่องรุ่นต่อๆ มา ของวัดบวรนิเวศ จึงทำให้พระเครื่องทุกรุ่นทุกแบบของวัดบวรนิเวศ มีความศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยไปกว่าพระกริ่งปวเรศของสมเด็จกรมพระยาปวเรศ จนเราเห็นได้ว่า พระเครื่องแทบทุกรุ่นของวัดบวรนิเวศนั้นได้รับความนิยมในวงการพระอย่างสูงมาก แล้วท่านผู้อ่านได้มีพระของวัดบวรนิเวศไว้บูชาบ้างหรือยังครับ?
    สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณ คุณสมศักดิ์ ศกุนตนาฏ ผู้อำนวยการสำนักพิมพ์คเณศ์พร และประธานชมรมนักข่าวและช่างภาพพระเครื่อง ที่เอื้อเฟื้อภาพจากหนังสือ "พระไพรีพินาศ"
    ทวารบาลติดฝิ่น
    เรื่องของ "ทวารบาล" นั้น ผู้ที่เข้าวัดเข้าวาบ่อยๆ คงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะตามวัดส่วนใหญ่มักจะมีทวารบาลยืนยาม เฝ้าตามประตู หน้าต่าง ผนัง ของโบสถ์วิหาร เพื่อป้องกันภูตผีปีศาจร้าย
    ทวารบาล มาจากคำ ๒ คำ คือ "ทวาร" แปลว่า ประตู ส่วน "อภิบาล" แปลว่า "ดูแลรักษา, ปกครอง" เมื่อรวมกันเข้าจึงมีความหมายว่า "ผู้เฝ้ารักษาประตู"
    คติการสร้างรูปทวารบาลที่มีหลักฐานเห็นได้ชัดเจน เริ่มขึ้นในสมัยอินเดียโบราณ เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๖ ภาพสลักที่โคนเสาซุ้มประตู หรือ โตรณะของสถูปสาญจี ที่ภารหุต มีรูปสลักนูนต่ำของบุคคลหลายคู่ ที่เรียกว่า ยักษ์ (Yaksha) ยืนทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้เฝ้าประตูทางเข้าสู่ศาสนสถาน นับแต่นั้นจึงเกิดคติการเขียนทวารบาลในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เรื่อยมา
    ส่วนที่บานประตูกำแพงแก้ว วัดบวรนิเวศวิหาร มีทวารบาลจีนแท้ขนาดใหญ่ แต่งตัวถืออาวุธแบบจีนโบราณ ดูเหมือนจะเป็นภาพแกะไม้ หรือปูนปั้น แต่ปิดทองเหลืองอร่ามทั้งองค์ ประตูนี้คนเรียกกันว่า "ประตูเซี่ยวกาง" ที่สร้างตามคตินิยมแบบจีน
    การติดสินบนทวารบาล ที่ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย คือ ทวารบาล บริเวณประตูทางเข้าวัด ด้านตรงข้ามโรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัยนั้น ที่ประตูแห่งนี้ที่ปากทวารบาลดูดำปื้น ส่วนตามตัวก็มีพวงมาลัยและถุงกาแฟดำห้อยอยู่ตามจุดต่างๆ นัยว่าเฝ้าประตูนานเดี๋ยวหลับยาม คนบนเลยซื้อมาให้กิน เพื่อตาจะได้สว่างขึ้นบ้าง
    ความเฮี้ยนของทวารบาลของประตูเซี่ยวกาง มีเรื่องเล่าสืบกันต่อๆ มาว่า ยุคที่เมืองไทยยังดูดฝิ่นได้ มีชาวจีนคนหนึ่งติดฝิ่นงอมแงม ต่อมาทางการได้ปราบทำลายโรงงานยาฝิ่นจนหมดสิ้น เมื่อแกหาฝิ่นดูดไม่ได้ สุดท้ายเลยไปลงแดงตายตรงประตูนี้
    หลังจากนั้นเมื่อทางวัดมาพบ จึงทำพิธีกงเต๊กให้ ต่อมาชาวจีนคนนั้นไปเข้าฝันสมเด็จท่านเจ้าอาวาสว่า ให้ทำที่ให้แกอยู่แล้ว แกจะเฝ้าวัดให้ ทางวัดจึงสร้างกำแพงทำซุ้มประตูแล้วอัญเชิญดวงวิญญาณชาวจีนคนนั้นมาสถิตอยู่ ณ ประตูแห่งนี้
    ต่อมามีเรื่องเล่ากันว่า ของในวัดที่เคยถูกขโมยไปหลายครั้ง ล้วนได้คืนกลับมาหมด ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของดวงวิญญาณคนจีนที่คอยเฝ้าวัด ทำให้เกิดการสักการบูชาประตูเซี่ยวกางขึ้น ซึ่งหลายๆ คนต่างเชื่อกันว่าถ้าบนอะไรแล้วก็จะได้สิ่งนั้นตามที่ขอหมด จนทวารบาลองค์นี้ติดฝิ่นไปแล้ว ทุกวันนี้ความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ของทวารบาลวัดบวรฯ ยังคงมีอยู่ แต่เครื่องติดสินบนจากฝิ่นกลับกลายเป็นกาแฟดำ ดอกไม้ ธูปเทียนแทน
    พระกริ่งปวเรศ องค์วัดบวรฯ
    พระกริ่งปวเรศ ถือเป็นต้นกำเนิดของพระกริ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ สร้างโดยองค์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิวเศวิหาร ทรงสร้างด้วยเนื้อนวโลหะ เพื่อประทานแก่เชื้อพระวงศ์ เจ้านายในวังที่สนิทคุ้นเคย หรือผู้ที่เห็นสมควรเท่านั้น ตามประวัติที่กล่าวไว้ว่า ท่านได้สร้างไว้รวมทั้งหมดไม่น่าจะเกิน ๓ ครั้ง และรวมทั้งสิ้นแล้วมีประมาณกว่า ๓๐ องค์
    พระกริ่งปวเรศองค์ที่เป็นของจริงนั้น ก็คือองค์ต้นแบบที่ประดิษฐานอยู่ในเก๋งกระเบื้องดินเผาจีนที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์วัดบวรฯ เวลามีงานใหญ่จริงๆ ถึงจะได้ชม แถมอยู่ไกลและอยู่ในเก๋งทำให้แทบจะพิจารณาให้ละเอียดไม่ได้
    ด้วยหาดูยากจริงๆ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์แห่งวัดบวรฯ เคยมีดำรัสถึงเรื่องพระกริ่งปวเรศนี้ว่า “เท่าที่ฉันได้ยินมานั้น สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ท่านทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง มีจำนวนน้อยมาก น่าจะไม่เกิน ๓๐ องค์ ต่อมาได้ประทานให้ หลวงชำนาญเลขา (หุ่น) ผู้ใกล้ชิดพระองค์นำไปจัดสร้างขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง แต่หลวงชำนาญเอาไปเทนั้น จะมากน้อยเท่าใดฉันไม่ได้ยินเขาเล่ากัน”
    ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ แม้จะมีการประมาณว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ จะสร้างพระกริ่งปวเรศประมาณ ๓๐ องค์ แต่กลับมีผู้ครอบครองพระกริ่งปวเรศที่ยืนยันว่าเป็นของแท้มากถึงหลักร้อยองค์ บางรายยืนยันว่า ครอบครองพระกริ่งปวเรศมากถึง ๗ องค์ นอกจากนี้แล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยยิ่งกว่ากัน คือ ค่านิยมพระกริ่งปวเรศทุกองค์ที่มีการซื้อขายกันราคาอยูในหลักหลายสิบล้านบาท
    ในหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพอำมาตย์เอก พระยาชลประทานธนารักษ์ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๕ ผู้รู้ที่ใช้นามปากกา ศักดิ์ สุริยัน รวบรวมข้อมูลเรื่องพระกริ่งปวเรศ เอาไว้หลายด้าน เป็นชุดความรู้ขนาดใหญ่กว่า ที่ไม่เคยอ่านผ่านตากันมาก่อน
    ตำนานเรื่องพระกริ่งปวเรศ ของวัดบวรฯ กล่าวว่า “ทราบกันมาว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ฯ ได้ทรงสร้างพระกริ่งและหม้อน้ำมนต์ พระกริ่งนั้น บัดนี้เรียกกันว่า พระกริ่งปวเรศ ทรงสร้างขึ้นเมื่อไร มีจำนวนเท่าไร ไม่พบหลักฐาน
    เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้เคยรับสั่งว่า "พระกริ่งนั้นสมเด็จฯ ทรงสร้างขึ้นเอง เพื่อถวายเจ้านาย มีจำนวนน้อย ไม่เกิน ๓๐ องค์ แต่ หลวงชำนาญเลขา (หุ่น) สมุห์บัญชีในกรมของพระองค์ ได้ขอประทานพระอนุญาตนำแบบพิมพ์ ไปสร้าง ได้ไปสร้างขึ้นอีกเท่าไหร่ไม่ทราบ"
    ที่มา คมชัดลึกออนไลน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...