###พระกริ่งดีหลวงพระกริ่งที่กลายเป็นตำนานที่กล่าวขาน###หมดเเล้วทุกเนื้อ

ในห้อง 'กระทู้เก่า' ตั้งกระทู้โดย jummaiford, 11 มกราคม 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ตำนานความเป็นมาของพระกริ่งและพระชัยวัฒน์
    คำว่า “กริ่ง” นี้ มาจากคำถามที่ว่า “กึ กุสโล” คือเมื่อพระโยคาวจรบำเพ็ญสมณธรรมมีจิตผ่านกุศลธรรมทั้งปวงเป็นลำดับไปแล้ว ถึงขั้นสุดท้าย จิตเสวยอุเบกขา เวทนา ปฺญญาภิสังขารเปลี่ยนไป อเนญชา เป็นเหตุให้พระโยคาวจรเอะใจขึ้นว่า “กึ กุสโล” นี้เป็นกุศลอะไร เพราะเป็นธรรมที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดไม่เหมือนกับกุศลอื่นที่ผ่าน “ดับสนิท” คือ หมายถึงพระนิพพานนั่นเอง
    สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว) วัดสุทัศเทพวรารามทรงสร้างพระกริ่ง และพระชัยวัฒน์นั้น มีดังต่อไปนี้ คือ
    ทรงเล่าว่า เมื่อพระองค์ทรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีมหาโพธิ์ครั้งนั้น สมเด็จพระวันรัต (แดง) สมเด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์ยังมีชีวิตอยู่และครั้งหนึ่งสมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้อาพาธเป็นอหิวาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่นเสด็จมาเยี่ยม เมื่อสั่งถามถึงอาการของโรคเป็นที่เข้าพระทัยแล้ว รับสั่งว่าเคยเห็นกรมพระยาปวเรศฯ สมเด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐาน ขอน้ำพระพุทธมนต์ให้คนไข้เป็นอหิวาตกโรคกินหายเป็นปกติ พระองค์จึงรับสั่งให้มหาดเล็กที่ตามเสด็จ ไปนำพระกริ่งที่วัดบวรนิเวศ แต่สมเด็จฯ ทูลว่าพระกริ่งที่กุฏิมี สมเด็จสมณเจ้าจึงรับสั่งให้นำมาแล้ว อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐานขอน้ำพระพุทธมนต์แล้วนำไปถวายสมเด็จพระวันรัต (แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์โรคอหิวาก็บรรเทาหายเป็นปรกติ
    พระกริ่งที่อาราธนาขอน้ำพระพุทธมนต์นั้นเป็นพระกริ่งเก่าหรือไม่ ก็คงเป็นพระกริ่งของสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ องค์ใดองค์หนึ่ง
    ตั้งแต่นั้นมา พระองค์ก็เริ่มสนพระทัยในการสร้างพระกริ่งนี้ขึ้นเป็นลำดับ ค้นหาประวัติการสร้างพระกริ่งและก็ได้เค้าว่า การสร้างพระกริ่งนี้มีมาแต่โบราณแล้ว เริ่มขึ้นที่ประเทศธิเบตก่อน ต่อมาก็ประเทศจีนและประเทศเขมร




    ประวัติพระกริ่งปวเรศ

    [​IMG]

    กริ่งปวเรศ ที่ถือเป็นสุดยอดพระกริ่ง นั้น พระเดชพระคุณสมเด็จพระสงฆราชเจ้าได้นำเนื้อที่ตัดออกจากฐานพระพุทธชินสิห์ที่ชำรุด
    และฉีกออกมาสร้างเป็นแกนเนือพระ พระจะมีเนื้อเป็นสีน้ำตาลเข็มอมดำ สร้างได้ 11 องค์แล้วนำถวายแด่พระบาทสมเด็ขพระเจ้าอยู่หัว ภายหลังมีการสร้างขึ้นใหม่โดยใช้ชนวนเก่า + กับเนื้อใหม่
    พระจะมีเนื้อกลับดำมากกว่าครั้งแรกกระแสออกเงิน พระที่ได้จะตกแต่งผิวแต่ก็มีเอกลักษณ์เช่นเม็ดพระศกจะตอกด้วยตุ๊ดตู
    รูปศิลปองค์พระไม่เหมือนพระกริ่งทั่วไปของทางวัดสุทัศน์เป็นต้น การสร้างมีจำนวนน้อน ไม่ทราบจำนวนจึงถือเป็นของหายาก และเป็นที่สุดของพระกริ่งครับ

    แต่หากมีการสร้างอีกโดยไม่ใช่ท่านสร้าง ก็ไม่ถือว่าเป็นสุดยอดพระกริ่งสร้างครั้งแรกกันเป็นทองแดงครับ ประมาณ ไม่เกิน๕๖ องค์ (ตามกำลังพระพุทธคุณ) (บางตำราว่า 30 องค์9 องค์ 10 องค์ หรือ 11 องค์)
    มีโค๊ตรูปเมล็ดงาตอกไว้ด้านหลัง
    ต่อมาหลวงชำนาญเลขา (หุ่น)ได้ขออนุญาติสร้างได้พยายามค้นคว้าเพิ่มเติมว่าหลังจากนั้นมีใครสร้างพิมพ์นี้อีก

    ในการสร้างครั้งแรก พระทั้งหมดถวายพระเจ้าอยู่หัวและเชื้อพระวงค์ มีเก็บที่วัดบวร 1 องค์จนถึงทุกวันนี้ส่วนสร้างคี้งที่สองไม่มีบันทึกว่าแจกจ่ายให้ใครบ้าง
    แต่มีบันทึกเพิ่มเติมว่าภายหลัง ท่านเจ้าคุณเฒ่า วัดมกุฎกษัตรย์ฯ ได้แกะพิมพ์นี้ และได้สร้างใว้เช่นกันแต่มีข้อสังเกตุว่าองค์จะเล็ก และเตี้ยกว่า ดัวนั้นหากพบองค์ที่เล็กและเตี้ยกว่า
    ก็สัณนิฐานได้ว่าเป็นของเจ้าคุณเฒ่าได้งเนื้อจะเป็นสัมฤทธิ์แก่ทองแล้วกลับดำ ก้นอุดด้วยโลหะทองเหลือง มีโค๊ตเม็ดงาด้านหลังใกล้ๆ บัว
    สร้างครั้งที่สองประมาณ เท่าไรไม่ปรากฎ แต่รู้ว่าน้อยได้พยายามค้นคว้าเพิ่มเติมว่าหลังจากนั้นมีใครสร้างพิมพ์นี้อีก

    ในการสร้างครั้งแรก พระทั้งหมดถวายพระเจ้าอยู่หัวและเชื้อพระวงค์ มีเก็บที่วัดบวร 1 องค์จนถึงทุกวันนี้ส่วนสร้างคี้งที่สองไม่มีบันทึกว่าแจกจ่ายให้ใครบ้าง


    (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศฯ สิ้นพระชนม์เมื่อ ๒๙ ก.ย.๒๔๓๕ แสดงว่า พระกริ่งปวเรศฯต้องสร้าง ก่อนปีพ.ศ.๒๔๓๕ )

    พุทธลักษณะ "พระกริ่งปวเรศ" นั้นสันนิษฐานว่าทรงสร้างขึ้นโดยอาศัยเค้าจาก "พระกริ่งจีน" ที่นิยมเรียกกันว่า "พระกริ่งใหญ่" ในปัจจุบัน

    พระองค์จะทรงสร้างขึ้นในปีใด ไม่มีผู้ใดทราบได้แน่ชัด ภายหลัง หลวงชำนาญเลขา (หุ่น) สมุห์บัญชีในกรมของพระองค์ ได้ขอประทานพระอนุญาตนำแบบพิมพ์ไปสร้างขึ้นอีก มีจำนวนเท่าไรก็ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดเช่นกัน

    โดยที่ "พระกริ่ง" นี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงสร้างขึ้น จึงนิยมเรียกกันทั่วไปว่า "พระกริ่งปวเรศ" ในวงการพระเครื่องนับถือกันว่า "พระกริ่งปวเรศ" เป็น พระเนื้อนวโลหะ ที่มีค่านิยมสูงและยากยิ่งที่จะเสาะแสวงหาไว้สักการะบูชา จึงเป็นปูชนียวัตถุที่มีคุณค่าทางพุทธศิลป์และทางจิตใจ กล่าวได้ว่า "พระกริ่งปวเรศ" เป็น "พระกริ่งรุ่นแรก" ที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ อีกทั้งยังมีส่วนส่งเสริมให้เกิดความนิยมสร้างพระพุทธปฏิมาในลักษณะ "พระกริ่ง" เดียวกันนี้ในเวลาต่อมาอย่างแพร่หลายด้วย

    "พระกริ่งปวเรศ" นับเป็น "พระกริ่ง" ที่มีปัญหาถกเถียงกันมาก โดยมีผู้อ้างกันว่า "พระกริ่ง" ที่ตนมีอยู่ก็เป็น "พระกริ่งปวเรศ" เช่นกัน ทั้งๆ ที่หน้าพระพักตร์แตกต่างกันมากมาย และโดยที่ "ของแท้" มีจำนวนไม่เกิน ๕๖ องค์ดังกล่าว โอกาสที่พบเห็นได้ง่ายๆ คงไม่มีแน่นอน....

    <!-- / message --><!-- edit note --><!-- / message -->
     
  2. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ตอนนี้นับว่าพระกริ่งดีหลวงได้มีผู้จิตศรัทธาจำนวนมากจริงๆพระกริ่งดีหลวงมีการจัดสร้างเพียงครั้งเดียว
    ประกอบด้วยเนื้อ
    1พระกริ่งดีหลวง เนื้อทองคำจัดสร้างจริง30องค์ หมดเเล้ว
    2พระกริ่งดีหลวง เนื้อนวโลหะแก่ทองคำ 97องค์
    หมดเเล้ว
    3พระกริ่งดีหลวง เนื้อนวโลหะเต็มสูตร 227 องค์
    หมดเเล้ว
    4พระกริ่งดีหลวง เนื้อสัมฤทธิ์ 500 องค์
    ใกล้หมดเเล้วไม่ถึง10องค์
     
  3. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ตามรอย สุดยอดชนวนพระกริ่งวัดสุทัศน์ ....จากศิษย์มือซ้ายสมเด็จพระสังฆราชแพ

    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]
    เธอเป็นศิษย์คนสุดท้าย...ทำไมเพิ่งมา
    เธอกับฉันเกิดใกล้กันห่างกันวันเดียว


    หนึ่งเดียวสายตรงพระกริ่งสมเด็จเเพวัดสุทัศน์
    อาจารย์หนู แดงวิจิตร


    [​IMG]

    วันนี้ผมเองกับคุณพ่อไปกราบเยี่ยมคารวะคุณตานิรันดร์ แดงวิจิตร ที่รู้จักทั่วไปในนาม อาจารย์หนู แดงวิจิตร หรือ พระครูหนู วัดสุทัศน์ พระครูในฐานานุกรม ของ สมเด็จพระสังฆณาชแพ วัดสุทัศน์ ปัจจุบันท่านมีอายุ98ปี ผมเองสมัครเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์หนูเป็นศิษย์รุ่นเหลนเลยทีเดียว ท่านตายังมีความจำยังพอใช้ได้อยู่เล่าเรื่องสมัยสมเด็จยังจำได้ดี ท่านชอบเรื่องพระกริ่งเป็นชีวิตจิตใจ ปัจจุบันท่านมีชีวิตอยู่ที่เรียบง่าย ไม่มีโรคประจำตัว แต่ก็มีบ้างที่เจ็บไข้เล็กๆน้อย ผมเองไปกราบแบบส่วนตัวจริงๆไม่ได้เผยที่อยู่ท่านเป็นสาธารณะเพราะกลัวคนไปกวนท่านเเละจะกลายเป็นอื่นไป แต่บอกให้ทราบว่า ท่านเองเป็นคนที่มีเมตตาคนหนึ่งเลยทีเดียว ท่านเองเกิดวันที่6 พฤษภาคม ส่วนผมเกิดวันที่7พฤษภาคม ท่านบอกว่า เธอกับฉันห่างกันวันเดียวเอง เเล้วท่านตาก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
    [​IMG]



    [​IMG]

    นำพระหลวงพ่อทวดพิมพ์โบราณเนื้อว่านไปฝากคุณตาหนู ท่านดูเหมือนสนใจเป็นพิเศษเพราะหน้าตาเหมือนพระอุปัชฌาย์ท่าน

    [​IMG]

    [​IMG]

    หลังจากชื่นชมพระหลวงพ่อทวดไปครึ่งชั่วโมง คุณตาได้ให้เอาหลวงพ่อทวดไปไว้โต๊ะพระประจำตระกูล



    [​IMG]
    คุณตาได้สั่งลูกสาวให้นำชนวนพระกริ่งอันเก่าเเก่ที่หล่อหลอมชนวนสมัยสมเด็จพระสังฆราชแพทั้งพระกริ่งพรหมมุนี ชนวนพระกริ่งฉลองแต่ละรอบ ชนวนเจ้าคุณศรีสนธิ์ และพระยันต์สำคัญไว้หลายรุ่นนำมามอบให้ด้วยความเมตตาโดยท่านบอกว่า

    เธอทำไมมาช้าจัง ไม่งั้นได้มากกว่านี้

    [​IMG]

    [​IMG]

    นั่งอธิษฐานจิตถึงสมเด็จแพที่รักยิ่งของคุณตา เจ้าประคุณสมเด็จอาจารย์นั่งเกือบสิบนาทีได้
    [​IMG]

    [​IMG]

    มาดแห่งความสง่างามในฐานะพระครูในฐานานุกรมของสมเด็จพระสังฆราชแพไม่เคยจางหาย แม่งานในการเททองพระกริ่งตั้งเเต่สมเด็จพระสังฆราชแพยังทรงพระชนต์ชีพอยู่
    [​IMG]

    ความอารมดีและเย็นทำให้ท่านอายุยืนถึง98ปี

    เธอเอาผมของฉันไปด้วยนะ ผมที่ขึ้นที่หูด้วยไม่เคยตัดเลย ตั้งเเต่สมัยอยู่กับสมเด็จ เพราะคุณตาบอกว่าไว้เหมือนเซียน แต่คุณตาสั่งให้ผมเอาเก็บไว้ท่านว่าของดีที่สุดในร่างกายท่านเป็นผมเซียน [​IMG]
    <!-- / message -->
    <!-- / message -->
     
  4. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    เหตุใดจึงต้องสร้างอนุสรณ์สถานหลวงพ่อทวด ไว้ ณ วัดดีหลวง มีความสำคัญอย่างไร?


    [​IMG]<O[​IMG]</O[​IMG]

    เดิมทีเดียววัดดีหลวงนับว่าเป็นวัดลูกสายตรงสืบมาจากวัดพะโค๊ะอีกทั้งสมภารองค์แรกนั่นคือหลวงลุงจวงลุงแท้ๆของหลวงพ่อทวดท่านเป็นพระที่จำพรรษา ณ วัดพะโค๊ะลังกาชาตินั้นแลแต่เมื่อครั้งนั้นมีการสร้างวัดดีหลวงสมภารจวงรับนิมนต์มาเป็นเจ้าอาวาสนับว่าท่านเป็นปฐมสมภารแห่งวัดดีหลวงอย่างแท้จริงและเมื่อเด็กชายปูเติบโตขึ้นพอควรพ่อแม่นำไปฝากกับสมภารจวงผู้เป็นลุงเพื่อสอนเรียนเขียนอ่านและบวชเรียน ณ วัดดีหลวง และบรรพชาในโบสถ์ที่เห็น ณ ปัจจุบัน พร้อมกันนี้ หลวงลุงจวงและหลวงพ่อทวดยังร่วมกันก่อพระเจดีย์หลังพระอุโบสถเอาไว้อีกด้วย หากจะบอกไปวัดดีหลวงนี้มีหลักฐานชัดเจนเรื่องสมเด็จพระราชมุณี อย่างชัดเจนเคียงคู่กับวัดพะโค๊ะลังกาชาติ อย่างสมศักดิ์ศรี และจะบอกไปวัดดีหลวงนี้อีกนี่แหละคือวัดแรกสุดที่หลวงพ่อทวดเคยวิ่งเล่นและบวชเณร ณ วัดดีหลวงแห่งนี้ สมควรได้รับสมญานามวัดว่า วัดบ้านเกิดหลวงพ่อทวด อย่างแท้จริง จึงนับว่าเป็นเหตุอันควรในการที่ท่านเจ้าอาวาสวัดดีหลวง และ ชาวดีหลวง ได้มีความปรารถนา ว่า อยากเห็นหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งองค์หลวงพ่อทวดซึ่ง หากว่าไม่กล่าวเกินจริงไปนักวัดดีหลวงนี้จะเป็นวัดสายตรงหลวงพ่อทวดที่มีหลักฐานสมัยอยุธยาที่จะจัดสร้างอนุสรณ์สถานรูปหล่อโลหะหลวงพ่อทวดไว้ใหญ่สมศักดิ์สรีวัดอย่างไม่อายใคร และ คงหาโอกาสได้ยากยิ่งที่พุทธศาสนิกชนจะได้มีส่วนร่วมจัดสร้างหลวงพ่อทวดองค์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้เพราะไม่ใช่จะจัดสร้างกันทุกวันหามิได้ และครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวของวัดดีหลวงที่จะจัดสร้างองค์หลวงพ่อทวดใหญ่ขนาดหน้าตักถึงสามเมตร ซึ่งนับว่าใหญ่และสมกับวัดที่มีขนาดพื้นที่ไม่มากนักก็ถือได้ว่าใหญ่มากทีเดียว จึงคิดว่าครั้งนี้นับว่าเป็นหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของการสร้างหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ในวัดสายตรงหลวงพ่อทวดอีกครั้งหนึ่งเลยทีเดียว<O[​IMG]</O[​IMG]
    เหตุที่มาทำไมต้องพระกริ่งดีหลวง<O[​IMG]</O[​IMG]
    เหตุที่มาในการจัดสร้างพระกริ่งถวายวัดดีหลวงเพื่อเป็นพระของขวัญในการมอบตอบแทนผู้บริจาคในครั้งนี้เห็นทีคงเนื่องด้วยมาจากเหตุความบังเอิญที่เป็นกรรมลิขิตหรือบุญบันดาลมิทราบได้เมื่อครั้งเททองหล่อหลวงพ่อทวดรุ่น รอยพระบาทรอยพระหัตถ์หลวงพ่อทวด เขาเทวดา นั้น ข้าพเจ้าเองได้เชื้อเชิญคุณลุงชินพร สุขสถิตย์มา เป็นเจ้าพิธีกรรมฝ่ายฆราวาส ซึ่ง ท่านเองมาโดยมิได้มีอามิสสินจ้างรางวัลใดๆทั้งสิ้น ท่านเองมาให้ด้วยเห็นว่าเป็นการกุศลจริงๆ ท่านเองเมื่อทราบว่าข้าพเจ้าจะหล่อหลวงพ่อทวดท่านเองจึงแนะนำว่าเห็นควรจะต้องสร้างพระกริ่งเพื่อฉลองชนมายุข้าพเจ้าครบสองรอบปีนักษัตรซึ่งข้าพเจ้าเขินและละอายอย่างมากเนื่องจากมิใช่ผู้มีบรรดาศักดิ์หรือมีบุญญาธิการแต่อย่างใดแต่จัดสร้างด้วยความตั้งใจถึงขีดสุดแห่งกรอบคำว่าปุถุชนซึ่งพระกริ่งในครั้งนั้นเฉลิมพระนามว่าพระกริ่งยอดฟ้ายอดยิ่งยศซึ่งมีคนบริจาคทองเพื่อหล่อพระกริ่งมากถึงสี่สิบกว่าบาทเพื่อหล่อพระกริ่งเพียง108องค์เท่านั้นซึ่งนับได้ว่าน้อยเต็มทีเลยทีเดียวซึ่งมีคนรับเป็นเจ้าภาพทั้งหมดภายในวันเดียวจึงไม่เพียงพอกับความศรัทธาที่มากล้นดังนั้นคุณลุงชินพร สุขสถิตย์ จึงเปรยเมื่อครั้งที่พระกริ่งได้แจกจ่ายแก่ผู้เคารพนับถือในครั้งนั้นว่า ผมเองควรจะต้องสร้างพระกริ่งอีกครั้งหนึ่งและควรจะเป็นพระกริ่งปวเรศซึ่งตรงสายข้าพเจ้าด้วยข้าพเจ้านับถือกรมพระราชวังบวรหรือวังหน้านั่นเอง ซึ่งเริ่มแรกทีเดียวการสร้างพระกริ่งปวเรศนี้จะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ต้องศึกษาประวัติพระกริ่งปวเรศเสียก่อนว่าผู้ใดเป็นผู้สร้าง สร้างอย่างไร พิธีกรรมเป็นอย่างไร อย่างถ่องแท้เสียก่อน เมื่อศึกษาแล้วพบความประทับใจแบบเรียกได้ว่าถึงใจ ในความเป็นพระกริ่งปวเรศนี้ว่า สถาปนาโดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมพระยาปวเรศ หรือพระองค์เจ้าฤกษ์ พระโอรส แห่งกรมพระราชวังบวรซึ่งนับว่าท่านเป็นวังหน้าพระองค์เดียวที่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า นับว่า ท่านเป็นคนวังหน้าสายตรงอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งนอกจากที่ท่านสถาปนาพระกริ่งปวเรศแล้วพระองค์ยังทรงเป็นพระอุปัชญายะของรัชกาลที่ห้าอีกด้วย นับว่า เป็นเรื่องตื่นใจมากพอควรเลยทีเดียวเมื่อทราบเบื้องลึกเช่นนี้ ดังนั้นนี่เป็นจุดเริ่มต้นในความสนใจที่จะสร้างพระกริ่งปวเรศอีกครั้งหนึ่งเพื่อยังให้เกิดความประทับเข้าไปในใจข้าพเจ้าประกอบกับความบังเอิญที่ท่านพระใบฎีกาประสิทธิ์ เจ้าอาวาสวัดดีหลวง ขอความอนุเคราะห์ข้าพเจ้ามาว่า อยากจะให้ข้าพเจ้าพร้อมด้วยชมรมคนรักหลวงปู่ทวด สงขลา เป็นหัวแรงหลักในการจัดสร้างหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานหลวงพ่อทวด ณ วัดดีหลวง อันเป็นวัดสมัยอยุธยาที่หลวงพ่อทวดบรรพชาเป็นสามเณรกับหลวงลุงจวง นั่นเอง ดังนั้นด้วยเหตุนี้จึงอัญเชิญพิมพ์พระกริ่งปวเรศจำลองในการมาเป็นต้นแบบพระกริ่งในการจัดสร้างครั้งนี้ส่วนพระนามพระกริ่งเฉลิมพระนามพระกริ่งว่าพระกริ่งดีหลวงสืบจากขณะที่เดินทางกลับจากวัดดีหลวงในคราวที่ท่านเจ้าอาวาสวัดดีหลวงขอความอนุเคราะห์ในครั้งนั้น ด้วยความอ่อนเพลียจากการเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางและงานทำให้ข้าพเจ้าหลบไป และได้ฝัน นิมิตรเห็นพระชรารูปหนึ่งปรากฏกายพร้อมพระปฏิมาขนาดเล็ก(พระกริ่ง)ซึ่งอยู่ในมือท่านพร้อมกับกล่าวว่า มึงรู้มั้ยว่านี่อะไร กูจะบอกให้เอาบุญ นี่ กริ่งดีหลวง ดีทั้งนอกทั้งใน นี่แหละที่มาพระนามพระกริ่งและเมื่อสืบและรำลึกถึงความฝันครั้งนั้นพร้อมทั้งเล่าให้ครูบาอาจารย์และผู้ปฏิบัติต่างลงใจว่าจะต้องเป็นหลวงลุงจวง ลุงแท้ๆของหลวงพ่อทวดนั่นเอง สมภารองค์แรกแห่งวัดดีหลวง น่าตื่นใจดุจนวนิยายก็ไม่ปานแต่นี่คือความสัตย์จริงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเขียนเพื่อโฆษณาขายของเหมือนพ่อค้า ตรงที่สุดและโดนใจที่สุด
     
  5. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ชนวนมวลสารที่นำมาอุดพระกริ่งดีหลวงเนื้อสัมฤทธิ์นี้

    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]


    [​IMG]

    ผงตะไบพระกริ่งเเละพระชินราชอินโดจีน2485 ของสมเด็จพระสังฆราชเเพ รับมอบจากศิษย์ของท่านเมื่อหลายปีก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 มกราคม 2009
  6. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    องค์พระยังไม่ผ่านการเเต่งเท่าไรต้องอดใจรอจริงๆเพราะทำด้วยความตั้งใจจริงๆส่วนเนื้อผิวจะสีเดิมๆไม่ได้ชุบโลหะหรือทำอะไรด้วยสารเคมีหรือรมดำเพราะนั่นไม่ใช่วิธีที่โชวเนื้อพระ ดังนั้นผิวพระรุ่นนี้จึงผิวเดิมๆ ขอบพระคุณนะครับ
     
  7. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]

    จากวันสู่เดือนจากเดือนสู่ปี

    จากความสงสัยสู่ความศรัทธา..........คนวังหน้า

    สิ่งที่กล่าวคือการได้สัมผัสเเห่งความเมตตาของพระเมตตารูปหนึ่งผ่านจากปลายปากกาสู่อดีตอันยิ่งใหญ่เเห่งมหาบารมีของท่านหนึ่งที่เเม้เป็นสมณะเเต่
    กลับมีส่วนในการค้ำเเผ่นดิน ท่านผู้นี้มิใช่ใครอื่นไปได้นอกจาก

    สมเด็จพระราชมุณี หรือ นามเต็มคือ สมเด็จพระราชมุณีสามีรามคุณูปมาจารย์

    นามเดิมว่าเด็กชายปูเป็นเด็กชายที่ยังวิ่งเล่นสมัยเมื่อกว่าสี่ร้อยปีที่เเล้วได้บวชเณรกับหลวงลุงของตนเองคือหลวงลุงจวง วัดดีหลวงเป็นวัดที่หลวงลุงจวงเองท่านได้สร้างจากความศรัทธาของชาวบ้านซึ่งเดิมเเล้วหลวงลุงจวงท่านได้อยู่ที่วัดพะโค๊ะซึ่งเดิมชื่อวัดเต็มมีชื่อว่าวัดพะโค๊ะลังกาชาติอันได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิลังกาวงศ์ หลวงปู่ทวดเองท่านก็มีครูบาอาจารย์เหมือนกัน เหมือนกับเราเกิดมาก็ต้องมีพ่อมีเเม่ มิใช่เกิดมาเเล้วเก่งเองหามิได้ ทุกคนก็มิพ้นกฏเดียวกันหลวงพ่อทวดหลังบวชเณรเเล้วก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนเป็นที่รักของอาจารย์ท่านจึงได้ไปเรียนพระธรรมหรือมูลกัจจายน์ต่อที่วัดสีคูหยังหรือวัดสีหยังในปัจจุบัน หลังจากที่วัดสีหยังเเล้ว เณรปูได้ไปบวชท่านกลางเเม่น้ำหรือคลองเเห่งหนึ่งที่เรียกว่า ท่าเเพ นครศรีธรรมราช เป็นการบวชท่ามกลวงโบสถ์น้ำ หรืออาจอนุมานได้ว่า การบวชของมหาโพธิสัตว์พระองค์นี้ยังควากระเทือนทั้งสามเเดนโลกธาตุเป็นอัศจรรย์เนื่องจากทั้งน่านฟ้าเเละมหานทีท่ามกลางป่าเเละสัตว์นานาเป็นพยานเเห่งการสร้างมหาบารมีในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่งหลังจากบวชเเล้วท่านได้พำนักที่วัดเสมาเมืองก่อนที่ท่านจะไปอยุธยาหลังจากนั้นเมื่ออายุได้22ปี2พรรษาท่านได้ไปลงเรือเพื่อไปเรียนพระธรรมตามคตินิยมสมัยนั้นขณะที่เเล่นเลือไปถึงน่านน้ำชุมพร บ้างก็ว่าอำเภอขนอม นครศรีธรรมราช ได้เกิดเหตุเเห่งการสร้างมหาปาฏิหาริย์อันเป็นที่มาของคำว่าเหยียบน้ำทะเลจืด ท่านได้เอาเท้าซ้ายจุ่มไปในน้ำทะเลเนื่องจากเรือติดพายุเเละน้ำกินน้ำใช้หมดท่านจึงต้องสงเคราะห์ (เท้าซ้ายของพระสามีราโมหรือหลวงพี่ปูที่ต่อมาคือหลวงพ่อทวดเท้าซ้ายของท่านมีลักษณะเท้าปุ้มเวลาเดินท่านอาจเดินไม่ตรงซักทีเดียว)ขณะที่ท่านนำเท้าซ้ายจุ่มน้ำท่านอธิษฐานถึงพ่อเเม่ครูอาจารย์รวมทั้งพระรัตนตรัยเเละบารมีเเละความปรารถนาดีของท่านขอให้น้ำนั้นจืดสนิทปรากฏว่าจืดสนิทจริงๆ คิดดูขนาดหลวงพ่อทวดเเล้วท่านยังต้องอธิษฐานถึงพ่อถึงเเม่เลยเเล้วเราซึ่งเป็นลูกศิษย์ใยกลับไม่สนจในบุพการีหรือพระในบ้านเสียบ้าง หลังจากที่เกิดมหาปาฏิหาริย์เเล้วเรือล่องมาถึงกรุงศรีอยุธยาเมืองีท่ไม่สิ้นคนดีท่านได้พำนักประจำที่อยุธยาอยู่หลายวัด อาทิ วัดเเคราชานุวาส
    วัดพุทไธสวรรค์ วัดราชบูรณะ วัดใหญ่ชัยมงคล วัดหน้าพระเมรุ เเต่วัดที่ปรากฏว่ามีในประวัติพงศาวดารคือวัดราชานุวาส หรือ วัดเเค ตำบลหัวรอ อำเภอเมือง อยุธยา อันเป็นวัดที่พระภิกษุปูได้เรียนพระธรรมไปๆมากับสำนักสมเด็จพระพันรัต สมัยนั้นอันว่าสมเด็จพระพันรัต อาจเป็นคนละองค์กับ พระอาจารย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องจากพระพันรัตเป็นสมณศักดิ์ของพระอรัญวาสี ฉะนั้นจึงมีได้หลายองค์ เเละเมื่อประมาณไม่กี่ปีถัดมาไม่ปรากฏปีที่เเน่ชัดมีพระเจ้าเเผ่นดินของกรุงลังกาส่งฑูตมาท้าเรียงพระไตรปิฏกเพื่อพนันด้วยชื่อเสียงของเมืองหรืออาจเรียกว่าท้าพนันชิงเมืองกันเลยทีเดียวพระเจ้าเเผ่นดินได้เสาะหาพระที่เก่งที่สุดในสมัยนั้นที่มีปัญญาเเก้อันโดดเด่นที่สุดกลับเป็นภิกษุหนุ่มจากศรีวิชัย นั่นคือพระปู ขณะที่เรียงพระธรรมนั้นมหาปัญญาปรมัถบารมีที่ศรีอาริยเมตไตรโพธิสัตว์ที่อยู่ในตัวของท่านได้จรัสเเสงออกมาด้วยการเรียงพระธรรมจนครบขาดเเต่อักษรเจ็ดตัวคือ สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ หรือหัวใจอภิธรรม เจ็ดคัมภีร์ที่พวกท้าพนันซ่อนไว้เเละท่านพระปูก็รู้ด้วยญาณทัศนะที่บำเพ็ญมาดีเเล้วทำให้พวกนั้นยอมเเพ้ นำความปลามปลื้มใจเเก่พระเจ้าเเผ่นดินเเละมหาชนสมัยนั้นอย่างมากท่านได้รับการถวายการครองเมือง7วันโดยเจ็ดวันนี้ท่านได้นั่งบรรลังค์พระเจ้าเเผ่นดินเสนาทั้งเมืองเมื่อครบราตรีเเล้วท่านเองได้กลับอารามสถานวัดเเคร่ำลาพระเถระใหญ่น้อยเพื่อกลับบ้านเกิดไปพัฒนาศาสนสถานที่ท่านตั้งใจไว้คือวัดพะโค๊ะ วัดอื่นๆที่เคยมีพระคุณกับท่าน จำเนียรกาลผ่านไปยาวนานถึงท่านอายุเกือบ90พรรษาท่านได้มีสามเณรคู่บารมีชื่อเณรบุญรอดอันมีนิวาสถานอยู่นครศรีธรรมราชมาตามหาท่านสมเด็จหลวงพ่อปู(หลวงปู่ทวด)เเละท่านเเละเณรได้โละจากไปจากวัดพะโค๊ะหรือนัยว่าธุดงค์จากไปปรากฏอีกครั้งที่รัฐทางมาเลเซียในปัจจุบันเเละถึงเเก่กาลมรณภาพที่มาเลเซีย ปัจจุบันได้มีที่พักพระศพที่มีพระบุพโพหรือที่ที่น้ำเหลืองท่านหยดอยู่นับ10จุดที่ตอนนี้กลายเป็นวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายเเห่งเลยทีเดียว

    <!-- / message --><!-- / message -->
     
  8. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    ภาพภายในมณฑปที่ประดิษฐานรอยเท้าที่เชื่อว่าเป็นของสมเด็จเจ้าพะโค๊ะแท้จริงแล้วกลับเป็นรอยพระพุทธบาทจำลองสมัยพระเจ้าทรงธรรมและมีพงศาวดารกล่าวว่าก่อนยุคสมเด็จพระราชมุณีก็มีรอยพระบาทนี้แล้ว <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  9. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    วัดดีหลวง หรือวัดกุฏีหลวง
    วัดสมัยอยุธยาที่สร้างโดยชาวบ้านแถบวัดพะโค๊ะและหลวงลุงจวงหรือสมเด็จจวงได้รับนิมนต์มาจำพรรษาเป็นสมภารองค์แรกของวัดดีหลวงและสมภารจวงนี่แหละคือหลวงลุงหรือลุงแท้ๆของสมเด็จพระราชมุณีหรือสมเด็จเจ้าพะโค๊ะหรืออีกนัยหนึ่งคือหลวงพ่อทวดนั่นเอง ภายในวัดมีโบราณสถานสำคัญคือพระอุโบสถซึ่งภายในมีหลวงพ่อยิ้มพระพุทธรูปศิลปะสมัยศรีวิชัยอายุประมาณ500กว่าปี ซึ่งเป็นองค์เดิมที่เป็นประธานให้หลวงพ่อทวดเมื่อครั้งบรรพชาสามเณรนั่นเอง



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  10. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    วัดต้นเลียบ วัดที่ฝังรกหลวงปู่ทวด

    ภายในวัดนี้จะมีต้นเลียบที่สูงใหญ่ตะหง่านอยู่กลางวัดคอยให้ร่มเงาแก่ชาวบ้านนับหลายสิบชั่วอายุคนเรียกได้ว่าขนาดลำต้นสิบกว่าคนโอบได้ประมาณด้วยสายตาอายุไม่ต่ำกว่าสี่ร้อยปีได้สบายๆเลยทีเดียว วัดนี้เดิมทีเดียวไม่มีวัดแต่อย่างใดชาวบ้านลือกันว่าเป็นที่ฝังรกสมเด็จเจ้าพะโค๊ะแต่หากถามถึงหลักฐานวัตถุนั่นยังไม่มีสิ่งใดยืนยันยกเว้นแต่ต้นเลียบที่มีสิทธิ์ที่จะมีอายุสี่ห้าร้อยปีได้สบายๆและต้นเลียบต้นนี้มีความพิเศษที่ชาวบ้านจะนับถือมากคือตาไม้ที่มีลักษณะเป็นตัวหนอนซึ่งจะเรียกว่าหนอนต้นเลียบซึ่งชาวบ้านแม่ข้าแถวภาคใต้จะนำหนอนต้นเลียบนี้ไปบูชาเพื่อค้าขายนั่นเอง
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    วัดต้นเลียบ วัดที่ฝังรกหลวงปู่ทวด
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    <!-- / message -->
     
  11. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    อนุโมทนานะครับ
     
  12. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG] ด่วนๆๆๆทัวบุญใหญ่หล่อหลวงพ่อทวดที่วัดบ้านเกิดสงขลา

    ร่วมบุญหล่อหลวงพ่อทวดองค์ประวัติศาสตร์3เมตร ณ วัดดีหลวง บ้านเกิดเเท้ๆ

    หลังจากนั้นไปกราบหลวงพ่อทวด ณ วัดพะโค๊ะ พร้อมกราบลูกเเก้วคู่บารมี รวมทั้งไม้เท้าหลวงปู่
    และไปกราบต้นเลียบที่ฝังรกหลวงปู่ทวด

    และทัววัดอื่นๆ ติดต่อคุณธงด่วน

    รถออกวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2552 กลับกรุงเทพ 9กุมภาพันธ์ 2551
    ธงชัย ยังยืนยงค์ เบอร์โทรพี่ธง 08 9881 4046
     
  13. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    ตอนนี้ช่างกำลังตกเเต่งหุ่นเเบบหลวงพ่อทวดองค์ 3 เมตร โดยปั้น ณ วัดดีหลวง และ เททอง ณ วัดดีหลวง โดยใช้ทองเหลืองทั้งหมด สามตัน ซึ่งใช้เวลาเททองถึง 2 วันซึ่งการเททองนี้เป็นการเททองเเบบเเยกส่วนเพราะใช้เตาหลอมจำนวนมาก และใช้เเรงงานคนนับสามสิบคนในการเททอง การเททองครั้งนี้นับว่าเป็นงานระดับจังหวัดอีกงานหนึ่งเพราะ หลวงพ่อทวด ที่จะเททองหล่อนับว่าใหญ่ที่สุดในวัดสายตรงหลวงพ่อทวดใน จังหวัดสงขลา และนับได้ว่าหลวงพ่อทวดองค์ประวัติศาสตร์ องค์นี้จะทำให้ประวัติศาสตร์หลวงพ่อทวด คาบสมุทรสทิงพระกลับมาอีกครั้ง
    <!-- / message -->


    วันนี้ไปดูงานช่างตอนนี้กำลังเข้าขี้ผึ้งอยู่เเละกำลังตกเเต่งทรงพระให้เข้าสัดส่วนให้ดีขึ้นตอนนี้ช่างกำลังเร่งงานเพราะใกล้วันหล่อหลวงพ่อทวดเเล้วช่างบอกว่ากว่าจะปั้นองค์นี้ได้หมดธูปหลายร้อยดอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มกราคม 2009
  14. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]

    ดีหลายดีที่อยู่ในพระกริ่งดีหลวง

    ดี ที่เจตนาผู้สร้าง
    ไม่ได้สร้างเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตนเองไม่ได้เป็นพ่อค้าพาณิชย์

    ดี ที่พระนามพระกริ่ง
    ซึ่งคำว่าดีหลวงเเปลความหมายโดยตรงคือ ดีที่ยิ่ง ดีที่ยิ่งใหญ่ ดีมาก ดีที่สุด ไม่ใช่ดีเเค่พระกริ่ง
    เเต่ผู้ที่จะนำไปบูชาต้องเป็นคนดีอีกด้วยพระที่นำไปจึงจะดีดีที่คนไม่ใช่ดีที่พระเครื่อง

    ดี ที่มวลสาร
    ได้รวบรวมมวลสารจากประเทศอินเดียซึ่งนับว่าใกล้ชิดด้วยวัตถุที่ทันสมัยพุทธกาลเเละยังรวบรวม
    มวลสารสายตรงหลวงพ่อทวดสมัยที่ท่านมีชีวิตนั่นคือยุคสมัยอยุธยา สืบเนื่องถึงสมัยอาจารย์
    ทิม วัดช้างให้ รวมทั้งมวลสารสายพระกริ่งจำนวนมากรวมทั้งพระยันต์บังคับต่างๆ

    ดี ที่ฤกษ์ยาม
    ผู้ที่คำนวณเวลาพิธีกรรมเป็นผู้ที่รู้จริงยังเป็นผู้ที่มีหลักวิชชาโหราศาสตร์ที่สืบทอดหลายชั่วอายุคน


    ดีที่พิธีกรรม
    พระทุกองค์จะต้องหล่อในพิธีกรรมเท่านั้นไม่มีหล่อพอเป็นพิธีไม่กี่องค์พระที่ทำพิธีกรรมมีทั้งสายหลวงพ่อทวด นั่นคือพระเถราจารย์ จาก ดินเเดนศรีวิชัย เเละสายวิทยาคม อยุธยา เเละ สายสมเด็จพระสังฆราชเเพ

    มีจำนวนการสร้างที่มากต้องเรียกว่าน้อยมากด้วยซ้ำเนื่องจากผู้สร้างต้องการสร้างเพื่อสืบทอดประเพณีโบราณไม่ได้ทำเพื่อสุกเอาเผากินหรือทำขายเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า อีกทั้งผู้สร้างเป็นผู้ที่มีความศรัทธาในหลวงพ่อทวดอยู่แล้วและพระกริงชุดนี้สร้างถวายวัดสร้างด้วยความศรัทธาที่เต็มเปรี่ยมล้นหัวใจที่มีต่อสมเด็จพระราชมุณีสามีรามคุณูปมาจารย์ หรือหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด หรือสมเด็จพระสังฆราชสองเเผ่นดินนั่นเอง
    <!-- / message -->
    <!-- / message --><!-- / message -->
     
  15. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    <!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG] ของมงคลที่จะบรรจุในพระกริ่งทองคำ32องค์
    หมดเเล้ว ประกอบด้วย
    -ยอดพระเจดีย์สมัยอยุธยาวัดดีหลวงอันเป็นเจดีย์ที่
    หลวงพ่อทวดสร้างเองกับหลวงลุงจวง
    -ผงพระพุทธคุณว่านยาสมัยอาจารย์ทิม วัดช้างให้
    พร้อมแร่ธาตุมงคลปี2505 เสกพร้อมเกจิเขาอ้อ
    -มวลสารมงคลของคุณครูอาคม สายาคม อัน
    ประกอบด้วยมวลสารมหามงคลยิ่งทั่วประเทศ
    -อัฐิธาตุหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ
    -เกสาธาตุเจ้าคุณนรรัตราชมานิต
    -เกสาธาตุครูบาเจ้าศรีวิชัย
    -พระธาตุหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
    -ไม้หลักเมืองนครศรีธรรมราช
    -ไม้เสาสมเด็จโต วัดระฆัง
    -ไม้เสาวิหารหลวงวัดเจดีหลวงอายุ700ปี
    -เหล็กยอดธาตุพระธาตุพนม
    -ปฐวีธาตุท่านเจ้าคุณนรรัตราชมานิต



    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1>
    [​IMG]
    พระกริ่งเนื้อนวโลหะจำนวนการสร้าง227องค์หมดเเล้วทุกองค์นอกจากเททองแบบดินไทยแท้ตามตำรับเดิมสมเด็จพระสังฆราชแพแล้วยังได้บรรจุผงอันมีมหามงคลสูงสุดดังนี้

    -ยอดพระเจดีย์สมัยอยุธยาวัดดีหลวงอันเป็นเจดีย์ที่
    หลวงพ่อทวดสร้างเองกับหลวงลุงจวง
    -ผงพระพุทธคุณว่านยาสมัยอาจารย์ทิม วัดช้างให้
    พร้อมแร่ธาตุมงคลปี2505 เสกพร้อมเกจิเขาอ้อ
    -มวลสารมงคลของคุณครูอาคม สายาคม อัน
    ประกอบด้วยมวลสารมหามงคลยิ่งทั่วประเทศ
    -ไม้หลักเมืองนครศรีธรรมราช
    -ไม้เสาสมเด็จโต วัดระฆัง
    -ไม้เสาวิหารหลวงวัดเจดีหลวงอายุ700ปี
    -เกสาธาตุท่านเจ้าคุณนรรัตราชมานิต
    -ปฐวีธาตุท่านเจ้าคุณนรรัตราชมานิต

    หมายเหตุที่สำคัญยิ่งได้อัญเชิญอัฐิธาตุหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ พระที่เคารพยิ่งมาบรรจุในพระกริ่งดีหลวงนี้เนื้อนวโลหะทุกองค์อีกด้วย

    ทำบุญ5000บาท จะได้รับเป็นที่ระลึก1องค์และจะได้รับการจารึกชื่อไว้ที่อนุสรณ์สถานหลวงปู่ทวดที่จะสร้างขึ้น



    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1>

    <!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG] พระกริ่งเนื้อสัมฤทธิ์ชนวนหล่อพระ
    จำนวนการสร้าง500เหลือประมาณ10องค์สุดท้ายเเล้วทุกองค์นอกจากเททองแบบดินไทยแท้ตามตำรับเดิมสมเด็จพระสังฆราชแพแล้วยังได้บรรจุผงอันมีมหามงคลสูงสุดดังนี้

    -ยอดพระเจดีย์สมัยอยุธยาวัดดีหลวงอันเป็นเจดีย์ที่
    หลวงพ่อทวดสร้างเองกับหลวงลุงจวง
    -ผงพระพุทธคุณว่านยาสมัยอาจารย์ทิม วัดช้างให้
    พร้อมแร่ธาตุมงคลปี2505 เสกพร้อมเกจิเขาอ้อ
    -ไม้หลักเมืองนครศรีธรรมราช
    -ไม้เสาสมเด็จโต วัดระฆัง
    -ไม้เสาวิหารหลวงวัดเจดีหลวงอายุ700ปี

    ทำบุญ3000บาทจะได้รับเป็นที่ระลึก1องค์
     
  16. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]


    [​IMG]


    เสาสมเด็จโตเสาพระไตรปิฎกต้นเก่าสมัยรัชกาลที่1รับมอบจากรองเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตตารามโดยจะนำมาอุดใต้ฐานพระกริ่งดีหลวงนี้ให้เลื่องลือสืบไป
    <!-- / message -->
     
  17. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    [​IMG]


    [​IMG]
    ปีกไม้ตะเคียนหลักเมืองนครศรีธรรมราช
    อุดในพระกริ่งทุกเนื้อเช่นกัน
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  18. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    แท้จริงแล้ว พระกริ่งจีนใหญ่ เป็นพระรูปของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด..??
    ทำไม พระกริ่งจีนใหญ่ จึงทำเป็นเนื้อ"ทองม้าล่อ"หรือ"ประแจจีน"...ทำไมไม่ทำเป็นเนื้อนวโลหะกลับดำอย่างข้างไทยในชั้นหลัง.???
    "ผลคุณ"หรือ"เม็ดกริ่ง"ของโบราณดั้งเดิมนั้น มีไว้เพื่ออะไร ตลอดจนทำด้วยอะไรบ้าง.????
    อานุภาพที่แท้จริงของพระกริ่งแบบดั้งเดิมนั้น เป็นไฉนและอะไรบ้าง..?????

    แล้วพระกริ่งดีหลวงจะเป็นพระกริ่งจากตำนานใดมีความพิเศษอย่างไร????

    <!-- / message -->
     
  19. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    แท้จริงแล้ว พระกริ่ง ก็คือ พระปฏิมาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั่นเอง เกี่ยวกับพระนามของ พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ในภาษาไทยจะใช้คำศัพท์ที่แตกต่างกันไป เช่น พระไภษัชคุรุ, พระไภษัชยคุรุ, พระไภสัชคุรุ, พระไภสัช สำหรับคำภาษาสันสกฤต (ที่อ่านแปลเป็นภาษาอังกฤษ) จะใช้คำว่า Bhaisajyaguru ส่วนในภาษาธิเบต จะเรียกว่า Sangs-ryas ในภาษาญี่ปุ่นจะเรียก Yakushi Nyorai และคำแปลในภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า MedicineBuddha
    พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นที่นิยมนับถือของปวงพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายานยิ่งนัก ปรากฏพระประวัติมาในพระสูตรสันสกฤตสูตรหนึ่งคือ “พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลประณิธานสูตร” แปลเป็นจีนในราวพุทธศตวรรษที่ 10 ซึ่งขอแปลโดยย่อสู่กันว่าดังนี้

    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระศากยมุนีพุทธะ เสด็จประทับ ณ กรุงเวสาลีสุขโฆสวิหาร พร้อมด้วยพระมหาสาวก 8,000 องค์ พระโพธิสัตว์ 36,000 องค์ และพระราชาธิบดี เสนาอำมาตย์ตลอดจนปวงเทพก็โดยสมัยนั้นแล พระมัญชุศรีผู้ธรรมราชาบุตรอาศัยพระพุทธภินิหารลุกขึ้นจากที่ประทับทำจีวรเฉลียงบ่าข้างหนึ่งลงคุกพระชาณุอัญชลีกราบทูลขึ้นว่า
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดปรานพระธรรมเทศนา พระพุทธนามและมหามูลปณิธานและคุณวิเศษอันโอฬาร แห่งปวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เพื่อยังผู้สดับพระธรรมกถานี้ให้ได้รับหิตประโยชน์บรรลุถึงสุขภูมิ”
    พระบรมศาสดาทรงรับอาราธนาของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์แล้วจึงทรงแสดงพระเกียรติคุณของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าว่า
    “ดูก่อนกุลบุตร จากที่นี้ไปทางทิศตะวันออกผ่านโลกธาตุอันมีจำนวนดุจเม็ดทรายในคงคานที 10 นทีรวมกัน ณ โลกธาตุหนึ่งนามว่าวิสุทธิไพฑูรย์โลกธาตุ นั้นมีพระพุทธเจ้า ซึ่งมีทรงนามว่า ไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาคถาคต พระองค์ถึงพร้อมด้วยพระภาคเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้รู้ดีชอบแล้วด้วยพระองค์เอง เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชาและจรณะเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งทางโลก เป็นผู้ยอดเยี่ยมไม่มีใครเปรียบ เป็นสารถีฝึกบุรุษ เป็นศาสดาแห่งเทวดา และมนุษย์เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดูก่อนมัญชุศรี ณ เบื้องอดีตกาล เมื่อพระตถาคตเจ้าพระองค์นี้ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงตั้ง
    มหาปณิธาน 12 ประการ เพื่อยังความต้องการแห่งสรรพสัตว์ให้บรรลุ
    มหาปณิธาน 12 ประการเป็นไฉน
    1. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งมีวรกายอันรุ่งเรือง ส่องสาดทั่วอนันตโลกุ บริบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 และอนุพยัญชนะ 80 ขอให้สรรพสัตว์จึงมีวรกายดุจเดียวกับเรา
    2. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้วรกายของเรามีสีสันดุจไพฑูรย์ มีรัศมีรุ่งโรจน์โชตนาการยิ่งกว่าแสงจันทร์และแสงอาทิตข์ ประดับด้วยคุณาลังการอันมโหฬาร ไพศาลพันลึกส่องทางให้แก่สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายคติ ให้หลุดพ้นเข้าสู่คติที่ชอบตามปราถนา
    3. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ขอให้เราได้ปัญญาโกศลอันล้ำลึกสุขุมไม่มีที่สิ้นสุดยังสรรพสัตว์ให้ได้รับโภคสมบัตินานาประการ อย่าได้มีความยากจนเลย
    4. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสัตว์ใดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิในโพธิมรรคหากมีสัตว์ใดดำเนินปฏิปทาแบบสาวกยาน ปัจเจกยาน ก็ขอให้เราสามารถยังเขามาดำเนิดปฏิปทาแบบมหายาน
    5. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตว์ใดมาประพฤติพรหมณ์จรรย์ในธรรมวินัยของเรา ก็ขอให้เขาเหล่านั้นอย่างได้มีศีลวิบัติเลย จงบริบูรณ์ด้วยองค์แห่งศีลทั้ง 3 เถิด หากผู้ใดศีลวิบัติ เมื่อสดับนามแห่งเราก็ขอให้ จงบริบูรณ์ดุจเดิมไม่ตกสู่ทุคคตินิรยาบาย
    6. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตว์มีกายอันเลวทรามมีอินทรีย์ไม่ผ่องใสโง่เขลาเบาปัญญา ตาบอดหรือหูหนวกเป็นใบ้หรือหลังค่อม สารพัดพยาธิทุกข์ต่าง ๆ เมื่อได้สดับนาม แห่งเราก็ขอให้เขาหลุดพ้นจากปวงทุกข์เหล่านั้น มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีอินทรีย์ผ่องใสสมบูรณ์
    7. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากยังมีสรรพสัตว์ ปราศจากวงศาคณาญาติอันความยากจนค้นแค้นมีทุกข์มาเบียดเบียนแล้ว เพียงแต่นามแห่โสตของเขาเท่านั้น ขอสรรพความเจ็บป่วยจงปราศไปสิ้น เป็นผู้มีกายในอันผาสุข มีบ้านเรือนอาศัยพรั่งพร้อมด้วยธนสารสมบัติจนที่สุดก็จัดได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ
    8. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีอิสสตรีใดมีความเบื่อหน่ายต่อเพศแห่งตน ปราถนาจะกลับเพศเป็นบุรุษไซร้ มาตรว่าได้สดับนามแห่งเราก็จงสามารถเปลี่ยนเพศจากหญิงเป็นชายตามปราถนา จนที่สุดก็จะได้สำเร็จแก่โพธิญาณ
    9. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราจะสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากข่ายแห่งมารและเครื่องผูกพันของเหล่ามิจฉาทิฏฐิให้สัตว์เหล่านั้น ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิและให้ได้บำเพ็ญโพธิสัตว์จริยาจนบรรลุพระโพธิญาณในที่สุด
    10. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดถูกต้องพระราชอาญาต้องคุมขังรับทัณฑกรรมในคุกตารางหรือต้องอาญาถึงประหารชีวิต ตลอดจนได้รับการข่มเหงคะเนงร้ายดูหมิ่นดูแคลนเหยียดหยามอื่น ๆ เป็นผู้มีอันคับแค้นเผาลนแล้ว มีใจกายอัววิปฏิสารอยู่ หากได้สดับนามแห่งเรา ได้อาศัยบารมี และมีคุณาภินิหาร ของเรา ขอให้สัตว์เหล่านั้นจงหลุดพ้นจากปวงทุกข์ดังกล่าว
    11. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดมีความทุกข์ ด้วยความหิวกระหายและประกอบอกุศลกรรม เพราะเหตุแก่งอาหารไซร้ หากได้สดับนามแห่งเรา มีจิตมั่นตรึกนึกภาวนาเป็นนิตย์ เราจะได้ประทานเครื่องอุปโภคบริโภคอันปราณีตแก่เขา ยังให้เขาอิ่มหน่ำสำราญ แล้วจะประทานธรรมรสแก่เขา ให้เขาได้รับความสุข
    12. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดที่ยากจนปราศจากอาภรณ์นุ่งห่ม อันความหนาวร้อนและเหลือบยุงเบียดเบียน ทั้งกลางวันกลางคืน หากได้สดับนามแห่งเราและหมั่นรำลึกถึงเราไซร้เขาจักได้สิ่งที่ปราถนาและจักบริบูรณ์ด้วยธนสารสมบัติสรรพอาภรณ์เครื่องประดับและเครื่องบำรุงความสุขต่าง ๆ ฯลฯ
    ครั้นแล้ว พระบรมศาสดาศากยมุนีพุทธเจ้า ตรัสต่อไปว่า พระไภษัชยคุรุพุทธนี้ มีพระโพธิสัตว์ใหญ่ 2 องค์ พระสุริยไวโรจนะและพระจันทรไวโรจนะ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยของพระไภษัชยคุรุพระพุทธเจ้า เบื้องปลายแห่งพระสูตรนั้นทรงแสดงอานิสงส์ของการบูชาพระไภษัชยคุรุว่า “ผู้ใดก็ดี” ได้บูชาพระองค์ด้วยความเคารพเลื่อมใสแลไซร้ก็จักเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากภัยบีฑา ไม่ฝันร้ายศาสตราวุธทำอันตรายมิได้ สัตว์ร้ายทำอันตรายมิได้ ยาพิษทำอันตรายมิได้ ฯลฯ นอกจากนี้ยังทรงแสดงถึงพิธีจัดมณฑลบูชาพระไภษัชยคุรุอีกด้วยว่า ต้องจัดพิธีบูชาเครื่องนั้น ๆ และทรงประธานพระคาถาบูชาพระไภษัชยคุรุด้วย ในเวลาตรัสพระคาถานี้ พระบรมศาสดาทรงประทับเข้าสมาธิชื่อ “สรวสัตวทุกขภินทนาสมาธิ” ปรกฏรัศมีไพโรจน์ขึ้นเหนือพระเกตุมาลา แล้วตรัสพระคาถามหาธารณี ดังนี้
    “นโม ภควเต ไภษชฺยคุรุ ไวฑูรฺยปรฺภาราชาย ตถาคตยารฺทเต สมฺยกสมฺพุทฺธาย โอมฺ ไภเษชฺเย สมุรฺคเตสฺวาหฺ”
    ครั้นตรัสพระมหาธารณีนี้แล้ว พสุธาก็กัมปนาทหวาดไหว แสงสว่างอันโอฬารก็ปรากฏสัตว์ทั้งปวงก็หลุดพ้นจากสรรพพยาธิ บรรลุสุขสันติอันประณีตแล้วพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ดูก่อนมัญชุศรี ถ้ามีกุลบุตรกุลธิดาใดอันพยาธิทุกข์เบียดเบียนแล้ว ถึงตั้งจิตให้เป็นสมาธิแล้วนำพระมหาธารณีบทนี้ ปลุกเสกอาหารหรือยาหรือน้ำดื่มครบ 108 หน แล้วดื่มกินเข้าไปเถิด จักสามารถดับสรรพปวงพยาธิได้ ฯลฯ” พระสูตรนี้ตอนปลาย ๆ ยังมีเรื่องราวพิศดารอีกมากแต่จำต้องของดไว้เพียงเท่านี้ เป็นอันว่าท่านผู้ชมได้ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญของพระพุทธไภษัชยคุรุโดยสังเขปเท่านี้ สำหรับพระคาถามหาธารณีนั้นท่านพระคณาจารย์สร้างพระกริ่งได้และควรนับถือว่าเป็นมนต์ประจำพระกริ่ง โดยเฉพาะทีเดียว
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,941
    เมื่อความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารของพระพุทธรูปไภษัชยคุรุปรากฏตามที่ได้พรรณามา พวกพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายาน จึงเคารพนับถือยิ่งนักมีพระพุทธปฏิมาขอพระไภษัชยคุรุบูชากันทั่วไปในวัด ประเทศจีน ญี่ปุ่น ธิเบต เกาหลีและเวียดนามที่สุดจนในประเทศเขมรและประเทศไทย สำหรับประเทศไทยแม้จะนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายลังกาวงศ์ลัทธิสาวกยานแต่ก่อนนั้นขึ้นไปเราก็เคยรับเอาลัทธิมหายานมานับถืออยู่ระยะหนึ่งเป็นลัทธิมหายานซึ่งแพร่ขึ้นมาจากอาณาศรีวิชัยทางใต้ และที่แพร่หลายมาจากเขมร ไทยเพิ่งจะเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ฝ่ายลังกาวงศ์ก็เมื่อยุคสุโขทัยนี้เท่านั้น อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งตั้งแว่นแคว้นอยู่บนคาบสมุทรมลายู ตั้งแต่ พ.ศ.1200 – 1700 รวมเวลานานราว 600 ปี เป็นอาณาจักรที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน และนำลัทธิมหายานให้แพร่หลายในหมู่เกาะชวา มลายู ตลอดขึ้นมาจนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาส่วนเขมรนั้นปรากฏว่ามีทั้งลัทธิมหายานและลัทธิพราหมณ์เจริญแข่งกัน กษัตริย์ของเขมรหรือขอมในสมัยนั้นบางองค์ก็เป็นพุทธมามกะ บางองค์เป็นพราหมณ์มามกะ ในราว พ.ศ.1546 – 1592 กษัตริย์เขมรพระองค์หนึ่งทรงนามว่า พระเจ้าสุริยะวรมันที่ 1 ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากจนถึงกับเมื่อสวรรคตแล้วมีพระนามว่า “พระบรมนิวารณบท” พระองค์เป็นเชื้อสายกษัตริย์จากอาณาจักรศรีวิชัย ฉะนั้น จึงไม่ต้องสงสัยว่า ลัทธิมหายานจะไม่เฟื่องฟุ้งขึ้น ในรัชสมัยของพระองค์ แต่ก็ยังมีกษัตริย์อีกพระองค์คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1724 – 1748 พระองค์ทรงเป็นมหายานพุทธมามกะโดยแท้จริง ทรงพยายามจรรโลงลัทธิราชองค์สุดท้ายของเขมร เพราะเมื่อสิ้นพระรัชสมัยแล้ว เขมรก็เข้าสู่ยุคเสื่อม พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์นี้ปรากฏว่าเป็นผู้สร้างเมืองใหม่ ชื่อนครชัยศรี คือ ปราสาทพระขรรค์สำหรับเป็นพุทธสถานประดิษฐานพระปฏิมาอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ อันเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณาที่สำคัญอย่างยิ่งองค์หนึ่งของลัทธิมหายานทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระเจ้าธรณินทรวรมันพระมหาชนก แล้วสร้างพระปราสาทตามพรหม ประดิษฐานพระปฏิมาปรัชญาปารมิตาโพธิสัตว์แห่งปัญญา อุทิศแด่พระวรราชมารดามีจารึกกล่าวว่า ปราสาทตาพรหมเป็นอาวาสสำหรับพระมหาเถระ 18 องค์และสำหรับพระภิกษุอีก 1,740 รูปด้วยแล้วทรงสร้างพระปราสาทบายนเป็นที่ประดิษฐานพระรูป สนองพระองค์เอง นอกจากนี้ปรากฏในศิลาจารึกตาพรหมว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างโรงพยาบาล คือ “อโรยศาลา” เป็นท่านทั่วพระราชอาณาจักรถึง 102 แห่งด้วยทรงเคารพนับถือพระพุทธไภษัชยคุรุยิ่งนัก จึงทรงพยายามอนุวัติตามพระพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    นอกจากนั้นกษัตริย์นักก่อสร้างพระองค์นี้ ยังได้สร้างรูปพระปฏิมา
    “ชยพุทธมหานาถ” พระราชทานไปประดิษฐานไว้ในเมืองอื่น ๆ 23 แห่ง ทรงสร้างธรรมศาลา ขุดสระน้ำ สร้างถนน จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ข้าพเจ้าปราถนาจะกล่าวว่าพระกริ่งปทุมของเขมรได้สร้างขึ้นอย่างแพร่หลายกว่าทุกยุคในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นี้ เพื่ออุทิศบูชาแด่พระพุทธไภษัชยคุรุ และได้มีการสร้างบ้างแล้วในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ในการสร้างนั้นได้มีพิธีปลุกเสกประจุฤทธิ์เข้าไปตามกระบวนลัทธิมหายาน ซึ่งปรากฏในพระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาราชามูลประณิธานสูตรนั้น พระกริ่งปทุมจึงมีฤทธานุภาพศักดิ์สิทธิ์ ภายหลังเมื่อลัทธิมหายานเสื่อมสูญ คติการสร้างพระกริ่งยังคงสืบทอดกันมาและกลับมาแพร่หลายในหมู่ชาวไทย ลาว แต่นานวันเข้าก็ลืมประวัติเดิม วิธีสร้างแบบเดิม ทั้งนี้เพราะพระสูตรมหายานเป็นภาษาสันกฤตเลือนไปตามลัทธิมหายาน ด้วยพระเกจิอาจารย์ท่านได้ดัดแปลงวิธีสร้างใหม่ตามแบบไสยเวท เช่น การลงยันต์ 108 และนะปถนัง 14 นะ ในแผ่นโลหะ เป็นต้น ก็ให้ผลความศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ถ้ามาตรว่าทำให้ถูกพิธีกรรมใหม่นี้จริง ๆ ส่วนเม็ดกริ่งในองค์พระนั้นสันนิษฐานได้เป็น 2 ทาง คือทางหนึ่งเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธภาวะอันมีคุณลักษณะ อนาทิเบื้องต้นไม่ปรากฏ จึงทำเป็นเม็ดกลม อีกทางหนึ่งชะรอยจะอนุวัติที่ว่าแม้เพียงได้สดับพระนามก็อาจให้ได้รับความสวัสดีได้ จึงใช้ประจุเม็ดกริ่งไว้ เพราะเมื่อสร้างองค์พระทุกครั้งจะได้บุญ 2 ต่อ คือสร้างเท่ากับได้เจริญภาวนาถึงพระไภษัชยคุรุ ส่วนผู้อื่นที่ได้ยินเสียงกริ่งก็พลอยได้บุญตามไป ฉะนั้น

    ส่วนพระกริ่งเขมร พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ พระเจ้าแผ่นดินเขมรเป็นผู้สร้าง ที่ได้ยินชื่อเรียกบ่อย ๆ “เรื่องพระกริ่งปทุมนี้ข้าพเจ้าได้ทูลถามเจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่าพระกริ่งของพระองค์ที่สร้างครั้งก่อน ๆ เลียนแบบจากพระกริ่งของประเทศใด สมเด็จฯ รับสั่งว่าได้แบบจากพระกริ่งปฐมวงศ์เพราะเห็นพระกริ่งที่ท่านทรงสร้างก่อน ๆ นั้นพระนั่งปางมารวิชัยพระหัตถ์ซ้าย ถือวชิราวุธประทับบนบัวคว่ำบัวหงาย 7 กลีบด้านหลังของพระเกลี้ยงไม่มีกลีบบัว และก็ไม่ได้มีเครื่องหมายอะไร พระองค์ทรงสร้างกริ่งในตัวเนื้อโลหะเป็นทองชนิดเดียวกัน
    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อยังมีพระชนมายุอยู่เคยเสด็จมาคุยกับเจ้าประคุณสมเด็จฯ สมัยเป็นพระพรหมมุนีบ่อย ๆ ครั้งเหมือนกันทราบว่ามาชมหลวงพ่อดำ (พระเชียงแสน) เจ้าคุณอาจารย์เล่าว่า พระบูชาที่หล่อในยุคนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เป็นผู้แนะนำแบบพิมพ์ด้วยเหมือนกันของฉันหล่อ 2 องค์เลย
    อนึ่ง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มาเที่ยวนี้ได้ตั้งใจสืบสวนการเรื่องหนึ่ง คือเรื่องพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ซึ่งเรียกว่าพระกริ่งเป็นของที่นับถือและขวนขวายหากันในเมืองเราแต่ก่อน กล่าวกันว่าเป็นของพระเจ้าปทุมสุริวงศ์สร้างไว้ เพราะไปจากเมืองเขมรทั้งนั้น เมื่อครั้งรัชกาลที่ 4 พระอมรโมลี (นพ) วัดบุป้างราม ลงมาส่งพระมหาปานราชาคณะธรรมยุติ ในกรุงกัมพูชาองค์แรก ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จสุคนธ์นั้นมาได้พระกริ่งขึ้นไปให้คุณตา (พระยาอัมภันตริกามาตย์) ท่านให้แกเราแต่ยังเป็นเด็กองค์หนึ่ง เมื่อเราบวชเป็นสามเณรได้นำไปถวาวเสด็จฯ พระอุปัชฌาย์ ทอดพระเนตร ท่านตรัสว่าเป็นพระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์นั้นมี 2 อย่าง สีดำอย่างหนึ่ง สีเหลืององค์ย่อมมากกว่าสีดำอย่างหนึ่ง แต่อย่างสีเหลืองนั้นเราไม่เคยเห็น ได้เห็นของผู้อื่นก็เป็นอย่างสีดำทั้งนั้นต่อมาเมื่อเราอยู่กระทรวงมหาดไทย พระครูเมืองสุรินทร์เขามากรุงเทพฯ เอาพระกริ่งมาให้อีกองค์หนึ่งก็เป็นอย่างสีดำได้เทียบเคียงกันดูกับองค์ที่คุณตาให้ เห็นเหมือนกันไม่ผิดเลย จึงเขาใจว่าพระกริ่งนั้น เดิมเห็นจะตีพิมพ์ทำทีละมาก ๆ และรูปสัณฐานเห็นว่าเป็นพระพุทธรูปอย่างจีนมาได้หลักฐานเมื่อเร็ว ๆนี้ ด้วยราชฑูตประเทศหนึ่งเคยไปอยู่เมืองปักกิ่ง ได้พระกริ่งทองทางของจีนมาองค์หนึ่ง ขนาดเท่ากันแต่พระพักตร์มิใช่พิมพ์เดียวกับพระกริ่ง พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ถึงกระนั้นก็เป็นหลักฐานว่าพระกริ่งเป็นของจีนคิดแบบตำราในลัทธิฝ่ายมหายาน เรียกว่า “ไภษัชยคุรุ” เป็นพระพุทธรูปปางทรงถือเครื่องยาบำบัดโรค ถือบาตรน้ำมนต์หรือผลสมอ เป็นต้น สำหรับบูชาเพื่อป้องกันสรรพโรคคาพาธและอัปมงคลต่าง ๆ เพราะฉะนั้นพระกริ่งจึงเป็นพระสำหรับทำน้ำมนต์ เรามาเที่ยวนั้นตั้งใจจะมาสืบหาหลักฐานว่าพระกริ่งนั้นหากันได้ที่ไหนในเมืองเขมร ครั้นมาถึงเมืองพนมเปญพบพระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ลองไต่ถามก็ไม่มีใครรู้เรื่องหรือเคยพบเห็นพระกริ่ง มีออกญาจักรี่คนเดียวเห็นบอกว่า สัก 20 ปีมาแล้วได้เคยเห็นองค์หนึ่งเป็นของชาวบ้านนอก แต่ก็หาได้เอาใจใส่ไม่ครั้นมาถึงนครวัดมาได้ความจริงจากเมอร์ซิเออร์มาร์ชาล ผู้จัดการรักษาโบราณสถานว่า เมื่อสัก 2 – 3 เดือนมาแล้วเขาขุดซ่อมเทวสถานซึ่งแปลงเป็นวัดพระพุทธศาสนาบนยอดเขามาเก็บ พบพระพุทธรูปเล็ก ๆ อยู่ในหม้อใบหนึ่งหลายองค์เอามาให้เราดู เป็นพระกริ่งสุริยวงศ์ทั้งนั้น มีทั้งอย่างเนื้อดำและเนื้อเหลือง ตรงกับที่สมเด็จพระอุปัชฌาย์ทรงอธิบายจึงเป็นอันได้ความแน่ว่า พระกริ่งที่ได้ไปยังประเทศเราแต่ก่อนนั้นเป็นของหาได้ในกรุงกัมพูชาแน่ แต่จะนำมาจำหน่ายจากเมืองจีน หรือพวกขอมจะเอาแบบพระจีนมาหล่อขึ้นในประเทศขอม ข้อนี้ไม่ทราบได้ พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพตอนนี้ก็เห็นชัดว่า พระกริ่งปทุมสุริยวงศ์ใครเป็นผู้สร้างและแพร่หลายมาเมืองไทยเรามากพอควร


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...