ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ยังไม่เคยเห็นด้วยตัวเองใช่ไหมครับ แบบนี้...
     
  2. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    +++ เป็นอาการคล้ายกับ "การเข้าฐาน" เหมือนกับในตอนแรกที่ฝึกหรือเปล่า ที่เป็นลักษณะ "วูป" เดียวแล้วเข้าเต็มฐาน

    ใช่คะพี่ เป็นลักษณะวูปเดียวแล้วเข้าเต็มฐานคะ

    +++ หากเป็นลักษณะที่ว่า ให้ทำการ "ตรึง" วาระจิตสุดท้าย ก่อนที่จะ วูป กลับมา ตรงนี้ความละเอียดอยู่ในระดับ "เจโตปริยะญาณ" ก่อให้เกิดผลลัพธ์เป็น "สัญชาติญาณ" ปกติตรงนี้ มักมีเหตุอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิด "ความจำเป็นรีบด่วน" หาก "ตรึง" วาระจิตสุดท้ายได้ ก็จะไขปริศนาได้ นะครับ

    การตรีงวาระจิตสุดท้าย วิธีทำแบบเดียวกับการ  map ไหมคะ คือเข้าเต็มฐานแล้วเรียกความจำที่คิดเรื่องนั้นกลับมา แล้วสังเกตอาการที่ตัวเองแบนี้ใช่หรือเปล่าคะพี่
     
  3. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679

    กราบสวัสดีค่ะ คุณธรรม-ชาติ

    ไม่ได้เข้ามาทักทายครูบาอาจารย์นานเลยค่ะ แต่ก็แอบแวะเวียนเข้ามาอ่านประสบการณ์ฝึกของแต่ละท่านบ้างเมื่อมีโอกาส มีแต่คุณอินทบุตร(ขออนุญาตเอ่ยนามนะคะ) ที่ไม่นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังบ้างเลย วันนี้พอได้อ่าน สภาวะ +++ในขณะที่เป็น "ตน" สภาวะรู้ จะอยู่ข้างนอก ในขณะที่เป็น "รู้" ตน จะอยู่ข้างใน และถูกรู้ +++ ประโยคนี้ตรงเป๊ะใช่เลยน่ะค่ะ ดูเหมือนว่าตัวเองจะฝึกสลับกันจนเป็นนิสัยโดยอัตโนมัติไปแล้ว แต่พอฝึกจนเป็นนิสัยแล้ว ระยะหลังสังเกตุว่าการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองจะวางการอยู่กับตน แล้วเปลี่ยนไปอยู่กับสภาวะรู้โดยอัตโนมัติจนชินไปแล้วน่ะค่ะ หรือจะพูดว่าอยู่กับสภาวะรู้และถูกรู้ เกือบตลอดเวลาแทบทุกขณะจิตเลยก็ว่าได้ เมื่อก่อนหาภาษาพูดให้ตรงกับอาการไม่เป็น เดี๋ยวยังไงจะเข้าไปเล่าประสบการณ์ที่กระทู้ ตามรอยพระพุทธบาท ท่าเท้าพระพุทธองค์ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2014
  4. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ของผมมันไม่มีอะไรพิเศษหนะครับ ที่พอได้บ้างจากการปฏิบัติ มันก็เป็นความเข้าใจเฉพาะตนเสียมากกว่า แล้วก็ยังล้าหลังหลายๆ คนในห้องนี้อีกมากเลย หากเล่าไป สำหรับคนที่รู้อยู่แล้ว ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา สำหรับคนที่ยังไม่รู้ ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจลำบาก เลยไม่ได้เล่าอะไรครับ

    ความรู้ที่พอจะเอามารายงานได้ ก็มีดังนี้

    การปฏิบัติอยู่-ย้าย เมื่อมีความชำนาญมากขึ้น ทดลองอยู่-ย้าย กับ สภาวะต่างๆ ไปเรื่อยๆ ก็เกิดความเข้าใจขึ้นมาว่า
    1. ตัวของขันธ์ต่างๆ เองนั้น เราไม่สามารถไปบังคับมันโดยตรง ให้มัน เกิด หรือ ดับ ได้ แต่สำหรับขันธ์ที่เป็นนามธรรม เรามีสิทธิ์เต็มที่ ในการย้ายเข้าไปอยู่ กับเหตุปัจจัยตัวต้น ที่จะทำให้ขันธ์เกิด และ เราสามารถย้ายออกจากการยึดขันธ์ ขันธ์นามธรรม เมื่อไม่มีผู้เข้าไปอยู่กับมัน มันก็ดับลงไป

    2. เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ก็เห็นว่า เราเองนั่นแหละ เป็นผู้สร้างปัจจัยของสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ถูกเราสร้างขึ้นมา ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรา

    3. และในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถูกสร้างขึ้นมา และรับรู้กันขึ้นในจิตของเรา จึงพูดได้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้นในสามโลก เกิดที่จิต ดับที่จิต สิ่งที่เกิดดับเหล่านี้ ไม่มีอะไรเป็นเราแม้เพียงอย่างเดียว
     
  5. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เห็นเองๆๆ ก็ต้องดุว่าเห็นอะไร แล้วนั่นอะไร อะไร ไม่ใช่แค่เห็นนิมิตแสงสีต่างๆ ก็เอาแระ จิตพระอริยะ คิกๆๆ นั่นสิอริยะเกลื่อนเมือง ก็เพราะแบบนี้แหล่ะ เห็นเองๆ
     
  6. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ก็ตอบตรงๆ ก็ได้นะครับ ว่า เคยเห็น หรือ ไม่เคยเห็น ถ้าไม่เคยเห็นก็บอกมาตรงๆ

    การยอมรับความจริง ทำให้เราก้าวหน้าในธรรม นะครับ
     
  7. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    ธรรม ตามที่คุณอินทรบุตรพูดถึงนั่น ได้แก่ อะไรหรือครับ
     
  8. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ตอบตรงๆ มาก่อนนะครับ ว่า นิมิต นี่ เคยเห็น หรือ ไม่เคยเห็น ถ้าไม่เคยเห็นก็บอกมาตรงๆ

    ไอ้การแถไปแถมา พยายามยกเรื่องอื่นกลบเกลื่อนไปเรื่อยๆ มันไม่ช่วยอะไรในการคุยในห้องนี้หรอกนะครับ
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ตอบทีเดียว 3 คนเลยนะครับ

    ของคุณ jadeprawit

    กราบขอบคุณอาจาร์ยมากค่ะ

    มีคำถามตรงนี้ค่ะ

    เมื่อพร้อมแล้วก็อาจจะให้ "อยู่รอจนกว่าเวทนาจะปรากฏ" แล้วจึง "เดินจิตแยกเวทนาออกจากตน" หากทำได้ก็จะ "รู้แจ้งว่า เวทนาอนัตตา มีสภาพเช่นไร"

    อยากให้อาจาร์ยสอนวิธี เดินจิตแยกเวทนา ค่ะ

    +++ อันดับแรก "ทำความรู้สึกทั้งตัว" เมื่อได้แล้ว ให้ฝึกปรับ "เข้า เร่ง ตรึง แช่ (อยู่) ลด ออก" กับความรู้สึกตัว จนชำนาญ "ทำได้ตามความต้องการ" 2-3 รอบ จากนั้นจึง แช่ ในความรู้สึก ที่มีความแน่นประมาณ 80% แล้ว "อยู่" อย่างนั้น เมื่อชำนาญแล้ว ก็บอกมา จะได้ต่อยอดให้

    ทุกวันนี้ทึ่ทำคือ ฝึกมองดูตัวเองเหมือนมีอีกคนนึงมองดูตัวเราอยู่ข้างๆศรีษะ ถ้ายืนเดินหรือนั่ง มองตัวเองตั้งแต่ศรีษะลงมาที่ปลายเท้าแบบหลวมๆ ทุกครั้งที่ทำรู้สึกว่าภายในสงบ แต่ส่วนใหญ่จะฝึกทำได้ตอนที่อยู่คนเดียว พอเจอคนอื่นที่ต้องพูดคุยจะเพลินหลงไปตลอด ยิ่งตอนอ่านอะไรหรือดูทีวี คนเดียวจะฝึกได้บ่อยๆ 2 กิจกรรมนี้ จะรู้สึกฟังเสียงหัวใจเต้นและเสียงคลื่นความถี่สูงถ้ากำหนดไปที่เท้าจะรู้สึก ซ่านๆชาๆได้เร็วเพราะฝึกกำหนดที่เท้าบ่อย ถ้าดูทีวีคนเดียวจะเหมือนดูไม่ค่อยสนุก ค่ะ ตรงนี้เป็นการรู้ตัวเฉยๆ ยังไม่ใช่รู้สึกทั้งตัวใช่มั้ยคะ

    +++ ยังเป็นแค่ "รู้ตัวเฉย ๆ" แต่มีส่วนที่เกี่ยวข้องคือ ตรงเท้า "ซ่านๆชาๆ" ตรงนั้น ให้ค่อย ๆ เพิ่ม "อาณาเขตความ ซ่านชา" ให้ขึ้นมาถึง เข่า เอว ไหล่ หัว ถึงกระหม่อม รวม แขนทั้งสอง
    +++ เมื่อเสร็จแล้ว ความรู้สึกทั้งหมดจะเป็น "เนื้อเดียวกัน" เปรียบเทียบกับ หากเป็นเนื้อไม้ ก็เป็นไม้ทั้งแท่ง หากเป็นเนื้อดิน หรือ เนื้อปูน ก็เป็นเนื้อเดียวกันทั้งร่าง อาการนี้จึงนับว่าเป็น "ความรู้สึกทั่วทั้งตัว"

    ประมาณปลายเดือนกุมภาที่ผ่านมา มีอยู่คืนนึงนั่งสมาธิด้วยความที่อยากนั่งได้นานๆ พอเกิดอาการเบื่อในขณะที่หลับตานันกำหนดคำว่า สติ และนั่งเพ่งคำว่าสติไว้เฉยๆตลอดจนออกจากสมาธิ ก็นอนเพ่ง คำว่า สติ ไว้ตลอดจนหลับไปเมื่อไรไม่รู้ ปรากฏว่ากลางคืน ช่วงตี2-3 นันรู้สึกตัวตื่นก็พลิกตัว ขณะที่พลิกรู้สึกตัวค่ะว่ามีเสียง พรึ่บ ดังขึ้นที่หน้ามีแสง ออกมาจากกลางหน้าเรา รู้สึกได้ด้วยว่ามันออกมากลางหน้าไปทั้งด้านซ้ายและด้านขวา รู้สึกตัวและพลิกตัว 3 ครั้งก็เป็นแบบนี้ทั้ง3 ครั้ง แต่ไม่ตกใจ แค่จำสภาวะไว้แล้วหลับต่อ ทั้ง 3 ครั้ง แล้วก็ไม่เคยเป็นอีกเลยหรือว่านันไปเพ่งคำว่าสติ จะเกี่ยวกันมั้ยคะ คือสภาวะอะไร

    +++ ตอนที่นอนเพ่งนั้น เพ่งออกมาจากไหน จิตก็ออกมาจากตรงนั้น ส่วนคำว่า สติ ในขณะนั้นถือว่าเป็น "คำบริกรรม" เฉย ๆ ไม่ใช่อาการของสติ อาการทั้งหมดเป็นอาการของ "การเริ่มต้นถอดจิต" แบบ "สมถะสมาธิ" แม้ว่าจะมีสติเป็นองค์ประกอบ แต่ จิตยังเหนือกว่าสติ

    +++ ครูบาอาจารย์บางท่าน อาจแนะนำและส่งเสริมตรงนี้ แต่ หากจะเอาตามแบบฉบับของผมแล้ว ผมจะให้ "วางไว้ก่อน" จนกว่า สติ จะทำปัฏฐานได้ จากนั้นอยากจะฝึกอะไรก็ทำได้ตามสะดวก ดังนั้นไม่ต้องรีบร้อนตรงนี้

    อีก 3-4 คืนต่อมา นอนหลับไปแล้ว อยู่ๆกลางดึก ได้ยินคนมาเรียกชื่อเรา เป็นเสียงผู้หญิง แต่นันรู้สึกตัวนะคะ พยายามนอนนึกว่าเสียงใครที่นันรู้จัก แต่ไม่มีใครเสียงนี้ค่ะ อยู่คนเดียวแต่ก็ไม่กลัวนะคะ เริ่มๆจะชินกับอะไรแปลกๆ วันแรกที่มาอยู่วัดนี้(คนละวัดกับที่นันฝันเห็นภูเขาทอง) นั่งสมาธิวันแรกก็เจอเลยค่ะ ที่กุฏมีพระพุทธรูปในห้องอยู่2 องค์ นันจะนั่งสมาธิหน้าพระพุทธห่างกันแค่1 เมตร ขณะที่นั่งสมาธิอยู่มีเสียงอะไรตกที่โต๊ะที่วางพระพุทธรูปเสียงดังค่ะ นันก็สะดุ้งแต่ก็พยายามทำความรู้สึกอยู่แค่ที่ตัว ถ้าจิตส่งไปที่เสียงกลัวจะปรุงแล้วกลัว เลยตัดทันที ตกดึกฝันเห็นงูสีเหลืองนันก็ถือไม้ป้องกันตัวแต่ไม่ได้ตีเค๊าแค่กันๆแล้ววิ่งหนี งูก็เลื้อยตาม จนนันสะดุดล้มลง เค๊าตามมาติดๆมาจ้องประจันหน้ากันแบบหายใจรดหน้าเลย ต่างคนต่างมองแต่เค๊าไม่ทำอะไรเรา จนนันตื่นค่ะ

    นันคิดเอาเองว่าเจ้าที่เจ้าทางมาทัก อะค่ะ

    +++ ถูกต้อง "จิตเรามีได้ ทำไมจิตอื่นจะมีบ้างไม่ได้" จิงป่ะ ฝึกมหาสติ จนได้ปัฏฐาน เสียก่อน เรื่องราวยังมีอีกแยะ ดูท่าว่าน่าจะมีวาสนาทาง ภพภูมิ และจิตสื่อสาร และอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย


    ฝันดีครั้งที่ 3 ........

    นันเดินๆไป ไปเจอแม่น้ำสายนึง น้ำแรงมากเหมือนน้ำป่าสีน้ำตาลไหลแรงมาก พอดีนันเหลือบไปเห็นเรือเหมือนแพอยู่ที่ตลิ่งมีเชือกพาดขอบตลิ่งมาเกยบนทาง นันเลยเอื้อมมือไปดึงเชือกเอาไว้คิดว่าจะดึงเรือแพไว้ไม่ให้ลอยไปกับกระแสน้ำ ปรากฏว่านันตกไปในเรือ น้ำไหลแรงเรือโคลงมาก มองไปข้างหน้าเห็นไม้ลอยมาในฝันนันคิดว่าเดี๋ยวเกาะไม้แผ่นนั้นนันก็ขึ้นได้เองแบบมั่นใจ เรือแพก็ลอยไปอีกแม่น้ำก็คดเคี้ยวนันมองเห็นตลิ่งนันก็คิดว่า เดี๋ยวนันกระโดดไปเกาะตลิ่งนันก็ปีนขึ้นได้เอง ความรู้สึกในฝันเหมือนอะไรๆก็ไม่น่ากลัว เห็นอะไรก็จะเอาตัวรอดได้อย่างเดียว ไม่มีทางจมน้ำตายแน่

    สักพักนันหันมาด้านหลังตกใจค่ะ นันเห็นในหลวงมานั่งอยู่บนเรือแพด้านหลัง ท่านนั่งแบบสงบนิ่งไม่มีอาการใดๆทั้งสิ้น ข้างหน้าท่านมีหนังสือวางอยู่เล่มนึงสีเทาๆน้ำเงินๆ ท่านไม่พูดอะไรเลยนิ่งอย่างเดียว นัน อยากก้มลงกราบแต่ก็อยู่ในสภาพที่เกาะเรือแพอยู่ กราบก็กราบไม่ได้ พอมองไปข้างหน้า เรือมาเกยฝั่งถึงที่แล้วค่ะ นันเดินขึ้นตลิ่งเฉยๆเลย น้ำก็เหมือนไม่เคยไหลบ่า ไหลแรง
    เหมือนนันขึ้นจากเรือธรรมดาๆเฉยเลย

    นันคิดว่าเป็นฝันดี อาจาร์ยว่ามีความหมายนัยยะอย่างไรคะ

    +++ เคยปรารถนา "พุทธภูมิด้วยตนเอง" มาก่อน ต่อมาเปลี่ยนใจเป็น "พุทธภูมิสาวก" เกาะในหลวงมา (ในหลวงท่านปรารถนา "พุทธภูมิ") แล้วก็เปลี่ยนใจ "เผ่นขึ้นฝั่งก่อนดีกว่า"
    +++ กระแสน้ำ คือ "โอฆะ ห้วงน้ำแห่งวัฏฏะสงสาร" เรือ แพ แม้ว่าอยู่เหนือ โอฆะ แต่ยังไม่พ้นโอฆะ มีแต่ "ขึ้นฝั่ง" เท่านั้น จึงพ้น
    +++ หากต้องการ "เผ่น" จริง ก็ควรตั้งจิตอฐิษฐาน "ถอนพุทธภูมิ" เสียก่อน จะได้ปฏิบัติได้ง่ายขึ้น

    นันมีสภาวะธรรมแปลกๆอีกเรื่องค่ะ ในตอนบ่ายปลายเดือนกุมภานี้แหละค่ะ นันนอนหลับพอรู้สึกตัวตื่นแต่ยังไม่ได้ลืมตา นันเห็นพื้นหินขัดสีแดง(ตอนตื่นแล้วลุกแล้วนันนึกอยู่ตั้งนานว่าที่เห็นตอนหลับตาคืออะไรปรากฏว่ามันคือพื้นหินขัดที่เป็นส่วนขอบของห้องที่กุฏิค่ะ ห้องเป็นหินขัดสีขาวแต่ตัดขอบรอบๆห้องด้วยพื้นสีแดง)เห็นชัดมากเหมือนลืมตาเห็นเลย ขณะที่มองหินขัดอยู่ ก็มีลายเส้นสีขาวโค้งขึ้นโค้งลงเหมือนลายคลื่น พอเลื่อนสายตาดูเรื่อยๆมี เส้นสีดำๆเป็นลายเหมือนรากไม้แล้วคล้ายๆ เหมือนตราไปรษณีย์ที่เค๊าปั๊มตรงแสตมป์จดหมายน่ะค่ะ เส้นสีดำเหมือนน้ำหมึกปั๊มบนจดหมายแหละค่ะ ตื่นมาก็ทบทวนดูว่ามันคืออะไร ก็คือพื้นหินขัดที่ห้องแหละค่ะ แล้วลายขาวๆดำๆคืออะไร ก็ยังไม่รู้จนทุกวันนี้อะค่ะ อาจาร์ย

    +++ ลองตรวจดู จดหมายหรือพัสดุภัณฑ์ หลังกลับมาจากกุฏินั้นให้ละเอียดอีกที อาจมีอะไรก็ได้ ลองดูไม่เสียหายอะไร ไม่มีก็แล้วไป เท่านั้นเอง

    ตอนนันเดินจงกลม ช่วงที่จะกลับตัวมีครั้งนึงขณะที่กำลังกลับตัว นันมองเห็นสะโพกตัวเอง เป็นเหมือนหนังแอมมิเนชั่น คือเห็นสะโพกตัวเองกำลังเคลื่อนเป็น3-4 จังหวะช้าๆ ชัดๆ แต่เคลื่อนของจริงมันเร็วแป๊ปเดียวค่ะ นันเห็นสภาวะอะไรอยู่คะ

    +++ เมื่อ สติและจิต ละเอียดไปเรื่อย ๆ ก็จะเริ่มเห็น สิ่งที่ละเอียดกว่าสายตามนุษย์ปกติจะเห็นได้ เมื่อฝึกไปเรื่อย ๆ ก็จะรู้ได้เองว่า "ตามันเห็น หรือ จิตมันเห็นกันแน่" โดยเฉพาะในยามที่ "เดินจิต" แบบ หยาบ-ละเอียด โดยที่ลืมตาไว้เฉย ๆ วิสัยทัศน์ ย่อมแตกต่างกัน

    ==================================================================================

    ของคุณ เมิล

    +++ เป็นอาการคล้ายกับ "การเข้าฐาน" เหมือนกับในตอนแรกที่ฝึกหรือเปล่า ที่เป็นลักษณะ "วูป" เดียวแล้วเข้าเต็มฐาน

    ใช่คะพี่ เป็นลักษณะวูปเดียวแล้วเข้าเต็มฐานคะ

    +++ หากเป็นลักษณะที่ว่า ให้ทำการ "ตรึง" วาระจิตสุดท้าย ก่อนที่จะ วูป กลับมา ตรงนี้ความละเอียดอยู่ในระดับ "เจโตปริยะญาณ" ก่อให้เกิดผลลัพธ์เป็น "สัญชาติญาณ" ปกติตรงนี้ มักมีเหตุอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิด "ความจำเป็นรีบด่วน" หาก "ตรึง" วาระจิตสุดท้ายได้ ก็จะไขปริศนาได้ นะครับ

    การตรีงวาระจิตสุดท้าย วิธีทำแบบเดียวกับการ map ไหมคะ คือเข้าเต็มฐานแล้วเรียกความจำที่คิดเรื่องนั้นกลับมา แล้วสังเกตอาการที่ตัวเองแบนี้ใช่หรือเปล่าคะพี่

    *** ใช่ map ตรง ๆ ที่ "ความจำ + ธรรมารมณ์ + สภาวะรอบตน" แล้วให้จิต "อยู่" ในนั้น ตรงนี้เป็นเรื่องของ "การใช้ขันธ์" ให้มันรับใช้เราบ้าง "เห็นจิต ฝึกจิต ใช้จิต"

    ====================================================================================

    ของคุณ จิตวิญญาณ

    กราบสวัสดีค่ะ คุณธรรม-ชาติ

    ไม่ได้เข้ามาทักทายครูบาอาจารย์นานเลยค่ะ แต่ก็แอบแวะเวียนเข้ามาอ่านประสบการณ์ฝึกของแต่ละท่านบ้างเมื่อมีโอกาส มีแต่คุณอินทบุตร(ขออนุญาตเอ่ยนามนะคะ) ที่ไม่นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังบ้างเลย วันนี้พอได้อ่าน สภาวะ +++ในขณะที่เป็น "ตน" สภาวะรู้ จะอยู่ข้างนอก ในขณะที่เป็น "รู้" ตน จะอยู่ข้างใน และถูกรู้ +++ ประโยคนี้ตรงเป๊ะใช่เลยน่ะค่ะ ดูเหมือนว่าตัวเองจะฝึกสลับกันจนเป็นนิสัยโดยอัตโนมัติไปแล้ว แต่พอฝึกจนเป็นนิสัยแล้ว ระยะหลังสังเกตุว่าการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองจะวางการอยู่กับตน แล้วเปลี่ยนไปอยู่กับสภาวะรู้โดยอัตโนมัติจนชินไปแล้วน่ะค่ะ หรือจะพูดว่าอยู่กับสภาวะรู้และถูกรู้ เกือบตลอดเวลาแทบทุกขณะจิตเลยก็ว่าได้ เมื่อก่อนหาภาษาพูดให้ตรงกับอาการไม่เป็น เดี๋ยวยังไงจะเข้าไปเล่าประสบการณ์ที่กระทู้ ตามรอยพระพุทธบาท ท่าเท้าพระพุทธองค์ ค่ะ

    +++ "ตน" เป็น โลกียะ ย่อม "อยู่กับโลก" เป็นธรรมดาตามธรรมชาติของมัน และเป็น "หน้าที่ของขันธ์" ไม่เว้นแม้กระทั่ง หลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ ใด ๆ ก็ตาม ในยามที่ท่านต้องปฏิบัติภาระกิจ เช่น เทศนาสั่งสอน ท่านเหล่านั้นย่อม "อยู่กับตน" ทั้งสิ้น (ลอง "อยู่กับรู้" แล้วปฏิบัติหน้าที่ในโลกดู สักพักเดียวเท่านั้นก็จะรู้ได้ว่ามันเป็น วิปะยุตาธัมมา = Incompatible = เข้ากันไม่ได้) ตัวเรานั้นไม่ทุกข์หรอก แต่คนรอบข้างนะซี จะรู้สึกว่าเรานั้นแปลก ๆ เอาการนะ

    +++ เพื่อป้องกัน "การปรามาส" อันจะเกิด "วิบาก" ในจิตอื่น จึงต้อง "ใช้ขันธ์ = ตน" ให้ทำงาน เมื่อชำนาญมากยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ และต้องสังเกตุให้ละเอียดจริง ๆ แล้วจะพบว่า "สามารถทำให้ขันธ์เกิด และเมื่อใช้งานเสร็จแล้ว ก็ทำให้ขันธ์นั้นดับ ได้" หากสามารถ "เห็น" ตรงนี้ได้ก็จะ "สิ้นสงสัย" ได้ว่า ทำไม "พระพุทธเจ้า และ ครูบาอาจารย์ ที่เป็นพระธาตุไปแล้ว ยังสามารถปรากฏ "ตน" สั่งสอนลูกศิษย์ ที่กำลังเร่งความเพียรอย่างถึงลูกถึงคน ให้ฝ่าด่านการปฏิบัติได้"

    +++ อยู่กับรู้ อยู่กับตน อยู่-ย้าย ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ (อยู่กับความเป็นจริง) เกิดขึ้น (ขันธ์) ย้ายเข้าไปอยู่กับมัน (ตั้งอยู่แบบปัฏฐาน) ย้ายออกมาจากมัน (ขันธ์ย่อมดับไป)

    +++ ในขณะที่ อยู่กับมันแบบปัฏฐาน ขณะนั้นเป็น "อัปนาสมาธิ" ไปในตัวอยู่แล้ว ดังนั้น "ฌาน และคุณสมบัติของ ฌาน" ย่อมมีประกอบกันอยู่ในตัวอยู่ด้วยกัน

    +++ ทำตรงนี้จนเป็นนิสัย แล้วจะเข้าใจ ว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่ ยามใดตัดผมตัดเล็บ ก็เก็บไว้บ้าง วันดีคืนดีทางพระพุทธศาสนา ก็เปิดออกมาดูเล่น ตรงนี้เท่านั้นที่เป็น "Hard Copy" ของตัวเราเอง

    +++ ยามที่ "อยู่กับรู้" ให้ค่อย ๆ สังเกตุอาการที่ "เริ่มก่อกำเหนิดขึ้นของ ตน" เมื่อชำนาญแล้ว ก็จะเข้าใจทุกอย่างได้เอง นะครับ
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    คุณอินทรบุตรครับ ไอ้นิมิตเนี่ยะมันเรื่องเด็กๆ ภาวนาพอจิตสงบหน่อย นิมิตทั้งหลายแหลก็เกิดแล้วครับ ถึงว่าว่ามันเด็กๆ คิกๆๆ เอาอะไรกะมัน
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    บางคนก็เป็นวุ้นครับ คือ ขนาดจะปฏิบัติให้ถึงระดับเด็ก ก็ยังไม่ถึงเลย แต่อ้างคำพูดจากหนังสือมาพูด จะได้ดูเหมือนปฏิบัติไปได้ไกลแล้ว

    ตอบตรงๆ มาก่อนนะครับ ว่า นิมิต นี่ เคยเห็น หรือ ไม่เคยเห็น ถ้าไม่เคยเห็นก็บอกมาตรงๆ

    ไอ้การแถไปแถมา พยายามยกเรื่องอื่นกลบเกลื่อนไปเรื่อยๆ มันไม่ช่วยอะไรในการคุยในห้องนี้หรอกนะครับ
     
  12. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ มารายงานผลการฝึก
    1.เวลาที่ "อยู่กับรู้" แล้วมองอะไรรู้สึกว่ามุมการมองจะกว้างกว่าตอนที่ "อยู่กับตน" นะคะ
    2. เวลา "อยู่กับรู้" จะไม่มีความคิด มันว่างแต่ก็รับรู้เป็นปกติ แบบนี้ที่เรียกว่า"ว่างรู้" ใชาไหมคะ
    3. เราจะ "อยู่กับรู้" เวลาจะพูดยังไงคะ ในเมื่อไม่มีความคิด คือเหมือนต้องกลับมา "อยู่กับตน" ลดระดับมาแค่รู้ตัวถึงจะพูดได้ไหมคะ
    4. รู้ ไม่เหมือนฐานตรงที่ไม่มี % ความเข้มของระดับรู้ ใช่ไหมคะ มันจะมีแค่ รู้ กับ รู้ตัว
    5. เมิลรู้แล้วว่าทำไมโดนกระชากกลับมาอยู่กับรู้ วาระจิตสุดท้ายก่อนถูกกระชากนะ กำลังจะเปลี่ยนใจขอต่ออีก 1 ชาติ
    6. สงสัยเรื่องพุทธภูมิสาวก ถ้าคนที่เราตามมา ท่านลาแล้ว สาวกก็ต้องลาใช่ไหมคะ คือเราก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม หรือเราจะไปตามเกาะใครต่อ แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเราต้องลาไหมหรือไม่ต่้องลา มีอาการอะไรให้วัดคะ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    เมิล

    พี่คะ มารายงานผลการฝึก

    1.เวลาที่ "อยู่กับรู้" แล้วมองอะไรรู้สึกว่ามุมการมองจะกว้างกว่าตอนที่ "อยู่กับตน" นะคะ

    +++ ถูกต้อง หากทำได้ดี เวลาที่อยู่ในสถานที่ ที่สามารถเห็นขอบฟ้าได้กว้าง ๆ แล้วทำมุมตรงกับ ดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ ในเวลา ขึ้นหรือลง จะสามารถ "เห็น" การเคลื่อนตัวของโลกใบนี้ได้ด้วยตาเปล่า (เคยโพสท์ไว้แล้วในกระทู้อื่น) เห็นโลกกำลังหมุน กายเวทนาผนึกเข้ากับการหมุนของโลก เกิดแรงผลักในระดับทำให้กายเนื้อล้มลงได้ หากไม่ตั้งหลักให้ดีเพียงพอ

    2. เวลา "อยู่กับรู้" จะไม่มีความคิด มันว่างแต่ก็รับรู้เป็นปกติ แบบนี้ที่เรียกว่า"ว่างรู้" ใชาไหมคะ

    +++ เวลา "อยู่กับรู้" ตัวดู ย่อมหยุดการทำงานลง (หากยังมีอยู่) เมื่อตัวดูหยุดการทำงาน การส่งออกของตัวดู (จิตส่งออก) ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ในขณะนั้นเป็น "ว่าง กับ ถูกรู้"
    +++ เวลา "อยู่กับรู้" ตัวดู จางคลายสลายตัวดับลง (วางตน-ดับตน) จะเหลือแต่ "สภาวะรู้" อย่างเดียว หากมีสภาวะใดปรากฏ (สังขตะธรรม) สภาวะนั้น ๆ ย่อมผ่านไปในความ "ว่างรู้" เฉยๆ

    *** +++ ข้อความตรงนี้ เป็นของผู้ที่ผ่านการฝึกแบบ "ปัฏฐาน" มาแล้วเท่านั้น ผู้อื่นไม่เกี่ยว

    +++ เวลาที่ "เป็นสภาวะรู้" ยามใด สังขตะธรรม ที่ผ่านไปมานั้น มาจาก ผลผลิตทางจิต (ของผู้อื่น) สังขตะธรรมนั้น ย่อมมีความ "เป็นขันธ์" อยู่ในตัวโดยสมบูรณ์ และ "ฟ้องตัวมันเองออกมา" ด้วยความเป็นจิต (สัญญา+สังขาร) และ ธรรมารมณ์ ด้วยในเวลาเดียวกัน (สะหะชาตะปัจจะโย) กล่าวโดยสรุปคือ ตัวดูของผู้อื่น ส่งออก เจตสิกนั้น ๆ ออกมา สภาวะรู้ ย่อม "รู้ได้เอง ในจิตนั้น" แล้วจึงอาศัย "ขันธ์" ที่ปรากฏนั้น แสดงตัวกลับไปยัง ตัวดู ที่เป็นเจ้าของ นี่คือ "วิธีหนึ่ง" ที่ครูบาอาจารย์ หลวงพ่อ หลวงปู่ ที่วางสังขารไปแล้วแสดงธรรมออกมาได้ เอาเป็นน้ำจิ้มแค่นี้พอ

    3. เราจะ "อยู่กับรู้" เวลาจะพูดยังไงคะ ในเมื่อไม่มีความคิด คือเหมือนต้องกลับมา "อยู่กับตน" ลดระดับมาแค่รู้ตัวถึงจะพูดได้ไหมคะ

    +++ ใช่ "ตน" เป็นสังขตะธรรม ย่อมใช้กับ สังขตะธรรมด้วยกัน ส่วน "สภาวะรู้" ที่เป็น อสังขตธรรม ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเฉย ๆ (ภาษาชาวบ้านคือ มีสติเป็นพี่เลี้ยง)

    4. รู้ ไม่เหมือนฐานตรงที่ไม่มี % ความเข้มของระดับรู้ ใช่ไหมคะ มันจะมีแค่ รู้ กับ รู้ตัว

    +++ ในยามที่ "รู้" ตั้งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง โดยไม่ต้องอาศัย สังขตะธรรม ทั้งหลายเป็นฐานแล้ว กล่าวโดยภาษาแล้ว "สภาวะรู้นั้น เป็นฐาน ด้วยตัวมันเอง" และมันคือ "ฐานชั้นสุดท้ายที่พ้นออกมาจากทะเลกรรมทั้งหมด" ที่เรียกกันว่า "ขึ้นฝั่ง" นั่นเอง"

    +++ ตรงนี้ไม่มี % และเป็น "สภาวะรู้" ที่เป็นอิสระจากสังขารธรรม ทั้งหมด

    5. เมิลรู้แล้วว่าทำไมโดนกระชากกลับมาอยู่กับรู้ วาระจิตสุดท้ายก่อนถูกกระชากนะ กำลังจะเปลี่ยนใจขอต่ออีก 1 ชาติ

    +++ นั่นแหละ "หากไม่ทำการ map จิตกลับไป" ก็จะหมดทางรู้ใน เหตุ ของตรงนี้ได้ "วาระจิตเดียวแท้ ๆ" อาจส่งผลลัพธ์อย่าง "ยาวเหยียด" ได้ ทั้ง ๆ ที่ เจตนาในวาระจิตนั้น ยังไม่นับว่าเป็น "อกุศลเจตสิก" ด้วยซ้ำ แล้วจะไปนับภาษาอะไรกับ "อกุศลเจตสิก แบบ เต็มใบ" ที่โพสท์คำว่า "เละ" ลงมาในตัว "สภาวะรู้" แบบตรง ๆ ลงมาในกระทู้นี้

    +++ ลอง "map จิต" กลับไปตรง "ต่ออีก 1 ชาติ" แล้ว "ดูตรง ๆ ไปที่ธรรมารมณ์" ว่ามีสถาพเช่นไร หากเห็นแล้ว ให้ "map เฉพาะเหตุเกิด ของธรรมารมณ์นั้น" (ปุเรชาตะปัจจะโย) ก็จะเข้าใจได้ดีขึ้น จากนั้น หากต้องการฝึกเล่น ๆ ให้ลอง "map" คำว่า "เละ" (กัมมะปัจจะโย) ดู แล้วจะรู้ "ธรรมารมณ์ และ เจตนา" ของคนโพสท์ได้ไม่ยาก หากทำได้ละเอียดดีเพียงพอ จะเห็นสิ่งที่เรียกกันว่า "วิบาก" (วิปากาปัจจะโย) ที่กำลังตามมาอีกด้วย

    6. สงสัยเรื่องพุทธภูมิสาวก ถ้าคนที่เราตามมา ท่านลาแล้ว สาวกก็ต้องลาใช่ไหมคะ คือเราก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม หรือเราจะไปตามเกาะใครต่อ แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเราต้องลาไหมหรือไม่ต่้องลา มีอาการอะไรให้วัดคะ

    +++ ปกติมักจะมี "นิมิต ในระดับของ การถอดจิต ด้วยรูปฌาน 4" ให้วัด และผู้ถอด จะรู้ชัดตระหนักใจด้วยตนเอง อีกประการหนึ่งคือ ผู้ที่สามารถฝึก "จิตเปล่งรังสี" ได้ง่าย ๆ คือผู้ที่เคยปรารถนา พุทธภูมิ มาแล้วมากกว่า 1 อสงขัย (อาภัสสระพรหม และ สูงกว่าเท่านั้น ที่จะผ่าน ประลัยกัลป์ระดับ Big Bang ได้)

    +++ สำหรับเมิล อาจเคยลาพุทธภูมิมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะไม่งั้นจะฝึกบทที่ 1 "สัพเพธัมมาอนัตตา" อย่างชัดเจนและเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวลมากในเรื่องนี้ นะครับ
     
  14. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    คิกๆๆ คุณอินทรบุตร


    ธรรมุทธัจจ์ (วิปัสสนูปกิเลส) ๑๐ คือ

    ๑. โอภาส - แสงสว่าง ซึ่่งรู้สึกงามเจิดจ้าแผ่ซ่านไปสว่างไสวอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    ๒. ญาณ - ญาณหยั่งรู้ที่เฉียบแหลมคมกล้า รู้สึกเหมือนว่าจะพิจารณาอะไรเป็นไม่มีติดขัด

    ๓. ปีติ - ความเอิบอิ่มใจ รู้สึกเต็มเปี่ยมไปทั่วทั้งตัว

    ๔. ปัสสัทธิ - ความสงบเย็น เกิดความรู้สึกว่าทั้งกายและใจสงบสนิท เบา นุ่มนวล คล่องแคล่ว แจ่มใสเหลือเกิน ไม่มีความกระวนกระวาย ความกระด้าง หนัก ความไม่สบาย หรือความรำคาญขัดขืนใดๆเลย

    ๕. สุข - มีความสุขที่ประณีตละเอียดอ่อนลึกซึ้งอย่างยิ่งแผ่ไปทั่วทั้งตัว

    ๖. อธิโมกข์ - เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าประกอบเข้ากับวิปัสสนา ทำให้จิตใจมีความผ่องใสอย่างเหลือเกิน

    ๗. ปัคคาหะ - ความเพียรที่ประกอบกับวิปัสสนา ซึ่งพอเหมาะพอดี เดินเรียบ ไม่หย่อนไม่ตึง

    ๘. อุปัฏฐาน - สติที่กำกับชัด มั่นคง ไม่สั่นไหว จะนึกถึงอะไร ก็รู้สึกว่าระลึกได้คล่องแคล่วชัดเจน เหมือนดังแล่นไหลไปถึงหมด

    ๙. อุเบกขา - ภาวะจิตที่ราบเรียบ เที่ยง เป็นกลางในสังขารทั้งปวง

    ๑๐. นิกันติ - ความพอใจติดใจที่สร้างความอาลัยในวิปัสสนา มีอาการ สุขุม ซึ่งความจริงเป็นตัณหาที่ละเอียด แต่ผู้ปฏิบัติไม่่สามารถกำหนดจับได้ว่าเป็นกิเลส
     
  15. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    เห็นสีแสงสี แน่ะๆ จะเป็นอริยบุคคล
     
  16. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ตอบตรงๆ มาก่อนนะครับ ว่า นิมิต นี่ เคยเห็น หรือ ไม่เคยเห็น ถ้าไม่เคยเห็นก็บอกมาตรงๆ

    ไอ้การแถไปแถมา พยายามยกเรื่องอื่นกลบเกลื่อนไปเรื่อยๆ มันไม่ช่วยอะไรในการคุยในห้องนี้หรอกนะครับ
     
  17. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    นี่ครับ Moderator6
     
  18. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ไอ้แสงสีต่างๆเนี่ย ภาวนา อาทิตย์หนึ่งก็เห็นแล้วครับ พูดแค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ
     
  19. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ผมก็ไม่ได้บอกนี่ครับ ว่าผมคิดว่าตัวเองเป็น

    จะให้คำตอบได้หรือยังครับ ว่าเคยปฏิบัติได้ถึงขั้นเห็นนิมิตหรือเปล่า? ถ้าไม่เคยเห็นก็บอกมาตรงๆ

    แค่ตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ แค่นั้นก็จบแล้ว มันไม่เห็นยากอะไร ยกเว้นว่ามีสาเหตุแอบซ่อนอยู่ ไม่สามารถยอมรับได้ ว่าตนเองยังไม่เห็นนิมิต จึงต้องคอยเบี่ยง เลี่ยงไปเรื่อยๆ

    ไอ้การแถไปแถมา พยายามยกเรื่องอื่นกลบเกลื่อนไปเรื่อยๆ มันไม่ช่วยอะไรในการคุยในห้องนี้หรอกนะครับ
     
  20. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ
    ตอนเมิลทำ "อยู่กับรู้" กลับรู้สึกว่ามีพลังงานไหลออกจากตัวด้วยคะ
    เหมือนตอนเข้าฐานแล้วขนลุก หรือว่าเมิลทำผิดคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...