" ปอบ " คืออะไร ? อาถรรพ์ ความเชื่อ เรื่องผี!!

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย กาลีนะ, 27 เมษายน 2013.

  1. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... เราไปด่อม ๆ มอง ๆ ภายในศาลาเก็บภาพมาฝากขอบรรยายตามภาพแล้วกันนะคะ
     
  2. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .... ภาพนี้เป็นภาพมือดาบที่มาพร้อมพระที่ทำพิธี คนเหล่านี้จะคอยถือดาบคุมในคอกไม้ไผ่ และ วิ่งตามม้าทรงเซียงข้องไปทุก ๆ ที่ที่เซียงข้องวิ่งไปเพื่อคุมเชิงเผื่อเจอปอบที่เก่ง และ ฤทธิ์มาก คนเหล่านี้จะได้ช่วยจัดการได้ทันพร้อมช่วยไล่ต้อนพวกผีปอบให้เข้ามาในเซียงข้องอีกด้วยเพราะเชื่อว่าคนเหล่านี้น่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธ์มาทรงในขณะทำพิธี เพราะเราได้ยินเขาพูดคุยบอกกล่าวกันเป็นภาษแปลก ๆ เหมือนเวลาคนทรงเขาคุยกัน .. สื่อสารกันเหมือนบอกกล่าวอะไรกับพระที่มาทำพิธี แต่พอออกจากหน้าพิธีมาพวกเขาก็ดูปกติพูดคุยกันธรรมดาไม่ได้พูดภาษาแปลก ๆ ตลอดเวลา

    ... แต่เรามองดูดาบของเขามีหลายแบบด้วยกัน ยิ่งกว่าจะไปออกรบแต่ทุกดวงจะลงอักขระไว้เรียบร้อยทั้งแบบเขียน และ สลักลงไปที่ดาบเลย ดาบมีทั้ง ดาบไม้ สปาร์ต้าร์ มีดดาบแบบสมัยโบราณ แต่ละดวงยากมาราวสองฟุตกว่า ๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... ลักษณะของคอกที่ทำไว้เพื่อเป็นที่ต้อนปอบ หรือ จับปอบใส่กระบอกไม้ไผ่ ทำมาจากไม้ไผ่ล้วน ๆ ขนาดประมาณเมตรกว่า ๆ สูงประมาณเมตรครึ่ง มีสายสินญ์ล้อมรอบ มีแผงกั้นด้านข้างสามด้านดังภาพ ...

    ... เมื่อม้าเซียงข้องเดินทางมาถึงบริเวณพิธีจะมุ่งตรงไปยังคอดที่เตรียมไว้โดยมีนายดาบคุมมาด้วย ถายในคอกจะมีนายดาบอีกคนรอพร้อมเปิดกระบอกไม้ไผ่ไว้รอ ปอบจะถูกปล่อยออกจากเซียงข้อง และ ถูกดูดเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมไว้อุดปากด้วยจุกไม้มะขาม เป็นอันว่าเสร็จขั้นตอนในการจับปอบ ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .... นี้คือสิ่งที่เอาใส่ใน " กระบอกไม้ไผ่ " ทุกบ้องที่เอาใส่ไว้ด้านในแล้วเอาจุกไม้มะขามปิดปากไว้เอาไปลงอาคมอีกรอบ เป็นอันใช้ได้ ...

    ... เท่าที่เห็นนะคะก็จะมี
    1. ข้าวดำ

    2. ข้าวแดง

    3. ดอกไม้หลายชนิด

    4. เทียนขาว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... ภาพพวกนี้จะเป้นการเลือกม้าทรงเซียงข้องคะ ขออธิบายตามภาพกับถามที่สอบถามมาได้นะคะ อาจไม่ครบตามพิธีก็ขออภัยนะคะ ..

    1. จะมีการผ่ามะพร้าวอ่อนเอาน้ำใส่กระติกไว้ มีมะนาวผ่าซีก ไม้มะขามตัดเป็นท่อนสองท่อนมีเชือกขนาดเท่านิ้วก้อยผูกมัดปลายใส่คู่กัน เอามาลงอาคมให้เรียบร้อยเตรียมไว้

    2. พระท่านจะทำการเอาไม้มะขามคู่หนึ่งมาเอาเอามะนาวซีกมาบีบใส่ส่วนปลายที่มีเชือกเอาน้ำมะพร้าวที่เตรียมไว้ราดนิดหน่อยพร้อมลงอาคมกำกับ

    3. คัดเลือกม้าทรงมาสองคนจะเป็นใครก็ได้ที่สมัครใจมา เสร็จแล้วจะลองให้ถือไม้ดูว่า " เซียงข้อง " จะเลือกม้าทรงสองคนนี้ไหม๊ !! ถ้าไม่เข้าคู่กันก็ต้องเปลี่ยนคนใหม่

    .... จากการสังเกตุจะเห็นว่า คนที่ " กินเหล้า " จะไม่ป่านการคัดเลือกกินนิดเดียวก็ไม่ได้เลย ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าเอาอะไรมาเป็นมาตรฐานในการเลือก เพราะเห็นมีทั้งเด็ก ผู้หญิง คนแก่ ผู้ชาย ... ส่วนมากจะเป็นญาติเราที่เข้าพิธีนี้ กับ พวกที่ไม่เชื่อว่ามีจริง ... เจอดีไปตาม ๆ กัน ..

    4. เมื่อเลือกม้าทรงเซียงข้องได้แล้วพระท่านก็นำไม้คู่นั้นมาให้ม้าทรงจับแล้วจะมีพระมายืนขนาบข้างม้าทรงทั้งสองข้างแล้วพระอีกองคืท่านจะทำพิธีว่าคาถาลงใส่ไม้มะขาม พอพระท่านเป่าพรวด ไม้มะขามก็เริ่มแกว่งบางคู่ก้แรงมากบางคู่ก็เบา ๆ

    5. แล้วก็ได้เวลาวิ่งคะ ..555555555 ขอบอกว่าบางคู่วิ่งเร็วมากตามกันแทบไม่ทันเลยทีเดียว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... เซียงข้อง จะพาม้าวิ่งไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อจัดการจับปอบที่หลบซ่อนอยู่โดยมีภพภูมิคอยช่วยเหลืออยู่ ... จากการสัมภาษณ์ญาติ ๆ ที่ไปเป็นม้าได้มาหลายความรู้เลยทีเดียว

    " ตอนแรกที่ยังไม่ทำพิธีมันก็ไม่หนักปกติดี .. ไอ้ที่เห็นแกว่ง ๆ ไม่ได้ทำเองนะไม้มันแก่งเอง " คนนี้เป็นอาสะใภ้

    " เวลาที่ไปเจอตรงที่ปอบอยู่ไม้มันจะหนัก ๆ และ จะหยุดอยู่กับที่แถมแกว่งแรงมากด้วย แล้วพอจับได้ไม้ก้จะพากลับมาที่พิธีเองเราก้ไปตามแรงไม้ที่ลากไป " เด็กชายในหมู่บ้าน

    " ตอนจับไม้วิ่งนะไม่เหนื่อยหรอกนะแต่พอวางไม้แล้ว .. เหนื่อยมากอ๊วกเลย "

    ... อันนี้เป็นพวกไม่เชื่อก็มีการไปลองจับไม้เซียงข้องดู .. ผลคือ อ๊วกไปสองสามรายหลังจากวิ่งจับปอบเสร็จแล้ว ...

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... เมื่อจับมาได้แล้วเซียงข้องจะพาม้าวิ่งกลับมาที่ปรัมพิธีที่จัดไว้วิ่งตรงไปยังคอกที่จัดเตรียมไว้ให้ และ จะจัดการแบบที่เราได้เอ่ยไว้ในข้างต้น ... โพสที่ # 129 เวียนกันออกไปจับแบบนี้อยู่หลายรอบมาก วิ่งสลับกันเข้าออกทุกคนจะคอยสังเกตว่ามีใครที่ออกไปนานแล้วแต่ยังไม่กลับมาบ้าง ... ในวันนั้นได้มีโทรศัพท์เข้ามาบอกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านว่ามีคู่หนึ่งที่มาไม่ได้เพราะเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้า คือ " เชือกเซียงข้องขาด " ไม่สามารถขึ้นมาได้ ... พระท่านจึงได้ขอชายฉกรรพ์มาคู่หนึ่งเพื่อไปทำหน้าที่รับช่วงจับปอบตนนี้ต่อจากคู่ที่มีปัญหา ... เราเองจึงได้วิ่งตามพวกเขาไปคราวนี้เราได้รับรู้ว่า .. เซียงข้องวิ่งเร็วมากคะเราวิ่งตามแบบไม่คิดชีวิตยังไม่ทันเลยแม้แต่เด็ก ๆ ที่วิ่งเร็ว ๆ ยังตามไม่ทัน ... แบบในรูปแรกที่เอามาให้ดูนี้เลยคะ

    ... พวกเรามุ่งหน้าตามเซียงข้องไปที่ริมแม่น้ำแถวท่าปลาของลุงเราเอง ภาพที่เราเจอกับตา คือ เซียงข้องกำลังพาม้ามุดเข้าป่าหญ้าใกล้ ๆ แม่น้ำเหมือนกำลังเอาไม้เซียงข้องตีไปตรงพงหญ้าแรง ๆ หลายทีเรียกว่าฟาดเลยดีกว่าคะ แล้วพวกเขาก็หันหลังเดินกึ่งวิ่งกลับไป ..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... ทุกเคสที่ผ่านมายังไม่ค่อยน่าเร้าใจเท่าเคสที่จะเล่านี้อีกคะ เพราะตัวแก่มันยังไม่ยอมให้ถูกจับทั้งที่ทำพิธีเรียกแล้วแต่ก็ไม่ยอมมาให้จับ อาจเป็นเพราะตัวแก่มันอยู่มานาน และ พอมีวิชาอยู่บ้าง .. จึงเป็นเหตุให้พระอาจารย์ และ พวกเรายกขบวนกันมาที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... ทุกคนถูกสั่งให้นั้งลงเพราะพระอาจารย์จะทำพิธีเรียกปอบตัวแก่มาเพื่อจัดการจับให้ได้ .. ระหว่างนั้นมีรถมอเตอร์ไซด์วิ่งเข้ามา 2-3 คัน พวกเรารีบไล่ออกไปเพราะมันจะเป็นพาหนะให้ปอบอาศัยหลบหนีไปได้นั้นเอง จึงให้มีคนไปดักบอกรถหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านว่าอย่าเข้ามาด้านในเด็ดขาด แถมหอพักข้าง ๆ ยังลืมปิดประตูหอไว้อีกจนชาวบ้านต้องช่วยปิดให้ เพราะในการทำพิธีไล่ปอบนี้จะต้องเอาด้ายสายสินญ์ล้อมหมู่บ้าน และ เชื่อมเข้าไปยังหิ้งพระของทุกบ้านที่สำคัญ " ต้องปิดหน้าต่างประตูบ้านให้มิดชิด " ไม่งั้นเวลาไล่ปอบมันอาจไปแอบในบ้านที่ไม่ปิดประตูหน้าต่างก็ได้ .. ข้อนี้สำคัญมาก ๆ

    ... งานนี้ลุงหมอธรรมเป็นคนควงมีดดาบไปไล่ล่าปอบตัวแก่เอง พวกมันไปแอบอยู่ในตู้โทรศัพท์ลุงแกก็ควงอีดาบไปจ้วงแทงในตู้ แล้วแกก็วิ่งกลับมาทางพวกเราที่นั้งอยู่ ... เราเองแอบตกใจเล็กน้อยว่าจะวิ่งมาทางนี้ทำไมกัน ... เห้อ ๆ

    .... ลุงแกวิ่งเร็วมากจนเราตกใจชายวัย 60 กว่า ๆ วิ่งได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ แกวิ่งกวดอะไรซักอย่างมาแล้วแกก็กระโดดขึ้นสามล้อเครื่องที่จอดอยู่อย่างไว เอามีดแกว่ง ๆ ไปในอากาศพร้อมขู่ด่าไล่ใครสักอย่าง แล้ว แกก็ลงรถสามล้อวิ่งไล่ปอบมาทางพระอาจารย์แล้วปอบก็โดนจับใส่กระบอกไม้ไผ่เรียบร้อย .. อิอิ จบจ๊อบงานหนักนี้ .. แต่ยังไม่ปิดงานนะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    ข้าวดำ ข้าวแดง ข้าวตอกดอกไม้ พูดแล้วอยากกินสงสัยเราจะปอบหรือเปล่านี้ ;).....ชอบนอนตอนเช้า ตื่นกลางคืนเสียด้วย
     
  11. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... 55555555555 คงไม่มั้งคะ 5555555 เพราะปอบไม่ชอบกินเครื่องเซ่นแบบนี้หรอกคะ มันเป็นเครื่องเซ่นสำหรับอย่างอื่นคะ ไม่ใช่เพื่อให้ปอบกินแน่นอน เพราะ " ปอบชอบกินของดิบ ๆ " ที่สำคัญคุณ DuchessFidgette ไม่ได้ไปทำอะไรที่จะทำให้เป็นปอบไม่ใช่เหรอคะ อย่าคิดแบบนี้ไม่ดีนะคะ ..
     
  12. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .... พอจับปอบตัวแก่แล้วก็พากันกลับมายังศาลาที่ทำพิธีเพื่อจัดการจับปอบพวกที่เหลืออีก .. ทำได้เพียงสองคู่เท่านั้นเพาะพวกที่เหลือไม่สามารถจับได้ เนื่องจากเจ้าของเขาไม่ปล่อยพวกมันออกมาจึงต้องยกเลิกพิธีจับลง ....

    .... พระท่านจึงเปลี่ยนมาเป็นการ " เจิมหลักบ้าน " หรือ ที่ชาวอีสานเรียก " บือบ้าน " ขึ้นมาใหม่ใช้หลักไม้มะขามอันใหม่จำนวนหลายอันมาลงอักขระเข้าพิธีเจิมเพื่อความเป็นศิริมงคล .. ทำการปิดแผ่นทองใหม่ด้วย

    ... สำหรับการทำบือบ้านใหม่นั้นได้ลงไว้แล้วในข้างต้นนะคะกลับขึ้นไปอ่านได้คะ .. แต่หลังจากนี้หมู่บ้านนี้ก็จะได้รับการคุ้มครองจากเทพเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายที่จะเข้ามาทำร้ายคนในหมู่บ้าน ... แต่เราเองสิอยู่เขตนอกหมู่บ้านแถมเป็นร้านขายเนื้อวัวสด ๆ มีการเชือดวัวทุกวัน ซึ่งพระท่านก็ดูให้แล้วว่าถ้าไม่มีเขียงเนื้อพวกเราอยู่ตรงนี้ ... ชาวบ้านในหมู่บ้านต้องเดือดร้อนมากกว่านี้แน่นอน .....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    “ จัดบ้านอย่างไรให้ผีชอบอยู่ หรือวิธีการสร้างบ้านผีสิง นั่นเอง ”

    ... เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมบ้านบางหลังถึงมีคนเจอผีบางหลังไม่เคยเจอ เป็นไปได้มั้ยว่าลักษณะของบ้านที่แตกต่างกันเป็นตัวกำหนด อันนี้ไปเจอมาอ่านแล้วก้ถือว่าเข้าข่ายใช้ได้คะเลยเอามาลงให้ลองอ่านดูว่าน่าจะมีส่วนทำให้บ้านเรามีผี หรือ ผีชอบมาอยู่ก็ได้นะคะ เพราะเราเองเทียบจากบ้านเราเองที่พ่อเราสร้างขึ้นจากไม้ต้องห้ามต่าง ๆ ก็จัดได้ว่าเฮี้ยวพอตัวทีเดียว ... แต่นางไม้บ้านเราเขาชอบสันโดดเงียบ ๆ ไม่วุ่นวาย ...

    1. เลือกทำเลอาถรรพ์ เช่น บ้านตรงกันข้ามโบสถ์ วิหาร วัด ศาลเจ้า โรงพยาบาล สุสาน เสา เครื่องหมายจราจร มีปล่องไฟเป่าลมพุ่งมาหาบ้าน หรือ ที่เปลี่ยว ๆ ห่างจากชุมชน ถ้าบ้านใครอยู่ในที่ดังกล่าว เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งในการเชิญผีมาอยู่เลยทีเดียวล่ะ

    2. สร้างด้วยไม้เป็นหลัก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรื่องของความเป็นธรรมชาติ เพราะต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งเหมือนกัน และ ในบ้านมีเสาเอกที่เป็นไม้อายุมาก ๆ หรือ ต้นตะเคียนให้ด้วยก็แหล่มเลย

    3. ทำบริเวณบ้านให้รกครึ้มไปด้วยแมกไม้พฤกษานานาพันธุ์อย่างว่านอาถรรพ์ต่าง ๆ แถมด้วยต้นไม้ต้องห้ามประเภท ตะเคียน ไทร ซ่อนกลิ่น ต้นโพธิ์ อะไรพวกนี้ยิ่งถูกใจสุด ๆ

    4. ฝืนหลักฮวงจุ้ยเท่าที่สามารถทำได้ ยิ่งเยอะยิ่งชอบอยู่ ในศาสตร์ทางวิชาฮวงจุ้ยได้กล่าวถึงลักษณะของบ้านที่มักจะมีผีหรือคนในบ้านมักจะเห็นผี ดังนี้

    - ประตูหน้าบ้านมีพลังอิมมาก หมายถึงมีความมืดมาก และทิศทางของหน้าบ้านหันไปทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ ตรงช่วง 210 องศา-240 องศา หรือหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงช่วง 30 องศา-60 องศา ซึ่งทางฮวงจุ้ยจะเรียก 2 ทิศทางนี้ว่า ประตูผี

    - บ้านที่มีแสงสว่างไม่พอ ภายในบ้านมีบรรยากาศมืด ๆ สลัว ๆ โดยเฉพาะทิศ ตะวันตกเฉียงใต้และทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือมีความมืดมาก ก็จะกระตุ้นให้เกิดพลังอิมมากขึ้น โอกาสเจอผีก็มีสูงตามไปด้วย

    - บ้านที่มีรูปทรงของบ้านยาวกว่าปกติ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นบ้านธาตุไม้ อาทิเช่น บ้านห้องแถวมี ทางเดินตรงกลางมืด ๆ ผีก็ชอบอยู่ด้วย

    - การสร้างห้องพระตรงกับห้องน้ำ, ประดับประดาด้วยของอัปมงคลต่าง ๆ เช่น เขากระทิง นอแรด, การทำกำแพงให้เก่าสกปรกขึ้นราและทุกวิถีทางที่ทำให้บ้านโทรมที่สุด ฯลฯ

    5. ที่สำคัญต้องไม่มีศาลพระภูมิเจ้าที่ ตายาย ไม่จำเป็นต้องมี แต่อาจตั้งศาลเพียงตาสำหรับสัมภเวสีมาอยู่ก็พอ

    6. อย่าลืมทำอาหารเลี้ยงผีเร่ร่อนทุกวันตั้งไว้หน้าบ้านจะเยี่ยมมากจัดงานเลี้ยงผีทุกวัน

    7. สรรหาของที่เป็นพวกของอาถรรพ์ต้องคำสาปต่าง ๆ มาสะสมไว้ที่บ้านยิ่งเยอะยิ่งดี พวกของเก่า สมบัติคนตาย ฯลฯ


    ... เพียงเท่านี้บ้านของคุณก็จะดูเข้มขลังเต็มไปด้วยอาถรรพ์น่ากลัว สยดสยอง น่าสพรึงกลัว ชวนขนหัวลุก แม้แต่เวลาอยู่คนเดียวก็เหมือนมีเพื่อนเป็นขโยงอยู่ด้วยแน่นอนคะ .... ใครใจกล้า หรือ ชอบแนวนี้ก็ลองทำดูกันนะคะ ... ขอให้โชคดีคุรพระคุ้มครองคะ
     
  14. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    การป้องกันผีหลอกในโรงแรม

    นี่คือความเชื่อบางข้อของบรรดาเจ้าของธุรกิจโรงแรม

    โรงแรมทุกๆ แห่งนั้น ย่อมจะมีอย่างน้อยหนึ่งห้องที่ซึ่งถูกปล่อยให้ว่างไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าโรงแรมห้อง เต็มขนาดไหน พวกเขาจะไม่ขายห้องนั้นให้กับแขกคนใดทั้งสิ้น ว่ากันว่าห้องพิเศษห้องนั้นได้ "สงวนไว้" สำหรับ "แขกพิเศษเหล่านั้น" ฉะนั้น เมื่อคุณมีแผนที่จะเข้าพักในโรงแรมแห่งใดแห่งหนึ่ง ควรจองล่วง หน้าไว้ก่อนเสมอ

    พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าพักแบบวอล์คอิน (Walk in) ถ้าพนักงานต้อนรับได้บอกคุณไปแล้วว่าไม่เหลือ ห้องว่างอีกต่อไปแล้ว จงอย่าได้ดื้อดึงอยู่ต่อหรือพยายามติดสินบนพวกเขาเพื่อที่จะให้พวกเขาให้ ห้องพักแ ก่คุณ ถ้าหากคุณทำอย่างนั้น เกือบทุกครั้งที่ห้องที่คุณได้ไปจะเป็น "ห้องพิเศษ"ที่ว่านั่น และอีกเช่นกันที่ บางครั้ง "แขกพิเศษ" เหล่านั้น อาจจะโผล่ไปที่ห้องอื่นๆ ด้วย ดังนั้นนี่คือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยว่าคุณจะป้องกันตัวคุณเองได้อย่างไร

    - ก่อนที่จะเข้า
    ยังห้องพักของคุณ จงเคาะประตูก่อนทุกครั้ง แม้คุณจะรู้ว่านี่เป็นห้องว่างก็ตาม

    - หลังจากที่เข้าไปอยู่ในห้องแล้ว หากคุณรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในทันทีทันใด และมีอาการ "ขนลุก" จง ออกจากห้องไปเงียบๆ และโดยทันที แล้วไปหาพนักงานต้อนรับเพื่อขอเปลี่ยนห้องใหม่ โดยส่วนใหญ่แล้ว พนักงานต้อนรับจะเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

    - หลังจากอยู่ภายในห้องแล้ว จงเปิดไฟให้ครบทุกดวงในทันที พร้อมกับเปิดผ้าม่านเพื่อ ปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามา

    - ก่อนเข้านอน จัดวางรองเท้าของคุณให้อยู่ในลักษณะกลับหัวกลับหางกัน บางคนบอกเอาไว้ว่านี่เป็น การแสดงถึงหลัก "หยิน-หยาง"เพื่อคุ้มครองคุณขณะที่คุณหลับ

    - จงเปิดโคมไฟทิ้งไว้อย่างน้อยดวงหนึ่งขณะที่คุณหลับ ยิ่งเป็นไฟในห้องน้ำยิ่งดี

    - หากคุณพักคนเดียว และห้องคุณเป็นเตียงคู่ อย่าเข้านอนโดยปล่อยให้อีกเตียงหนึ่งว่างเปล่า พยายามนำสิ่งของไปวางไว้เช่น กระเป๋าเดินทาง ที่เตียงว่างอีกเตียงหนึ่งก่อนที่คุณจะหลับ

    thenightshock.
     
  15. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ........ ดินแดนอาถรรพณ์"ภูเขาควาย" .........

    ..ที่มาอ้างอิง:หนังสือบูรพาปาฎิหาริย์ ๒๕๔๖

    "แดนดินถิ่นลี้ลับ"

    .... ภูเขาควายเป็นสถานที่ที่เป็นป่าลึกร้อนชื้น บางช่วงเป็นป่าดิบบางช่วงเป็นป่าเบญจพรรณ มีอาณาเขตติดต่อกับฝั่งไทยลาวเป็นเทือกเขาแนวยาวไปตลอด
    สามารถติดต่อไปทางจำปาศักดิ์ปากเซซึ่งเป็นเขตทางภาคใต้ของประเทศลาว อันมีสถานที่เลื่องชื่ออีกแห่งหนึ่งเรียกว่า "แก่งลีผี"

    ... สถานที่ของภูเขาควายตลอดแนวไปจนถึงแก่งลีผีนี่เองที่เป็นตำนานเรื่องเล่าขานถึงความศักดิ์สิทธิ์ของป่าแถบนี้ นานมาแล้วสถานที่ดังกล่าวเป็นเขตรุกขมูล
    ของพระธุดงค์จากทั้งไทยและลาวรวมไปถึงพม่าและเขมร พระอาจารย์หลายท่านต่างพากันมาสำเร็จอภิญญาสมาบัติ ณ สถานที่แห่งนี้ รวมไปถึงการมาของกลุ่มคนมบางกลุ่ม ที่ต้องการวัตถุธาตุกายสิทธิ์เหนือโลกอย่างเหล็กไหลและหินกินเหล็ก บนภูเขาควายยังมีเทือกเขาสลับซับซ้อนกันอีกหลายภู ล้วนเป็นสถานที่ที่ไปมาลำบาก เสี่ยงอันตรายนานัปการ หากไม่มีความจำเป็นแล้วก็ไม่มีใครอยากเข้าไปเสี่ยงชีวิตนักหรอก แต่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ในวันวานที่ผ่านมาจะมีผู้คนยอมเข้าไปตายถวายชีวิต เพื่อการปฎิบัติเอามรรคผลรวมไปถึงการแสวงหาธาตุกายสิทธิ์

    .... เป็นความจริงที่ว่าภายในภูเขาควายที่ซับซ้อน มีภูเล็กๆอีกเป็นจำนวนมากซ่อนอยู่ และเชื่อกันว่าตามภูตามเทือกเหล่านั้นมีของกายสิทธิ์เกิดขึ้นตามธรรมชาติมากมายนับไม่ถ้วน แต่การที่จะได้มานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะของดีย่อมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เร้นลับมองไม่เห็นคอยดูแลรักษา เฝ้าติดตามหวงแหนอยู่ ต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาจริงๆเท่านั้นถึงจะสามารถไปนำมาเป็นสมบัติของตนได้

    "เหล็กไหลกายสิทธิ์ สุดยอดตำนานแห่งภูเขาควาย"

    ... เมื่อเราเอ่ยถึง"ภูเขาควาย"สิ่งหนึ่งที่หลายคนคิดขึ้นมาย่อมไม่พ้นเรื่อง "เหล็กไหล"ธาตุกายสิทธิ์สุดยอดแห่งเครื่องรางของขลัง เป็นที่เล่าสืบต่อกันมานานหลายชั่วอายุคนว่าที่ภูแห่งนี้มีเหล็กไหลซุกซ่อนอยู่ "หลวงปู่จันดี เกสาโร"ท่านเคยเล่าไว้ว่า สมัยที่ท่านเป็นเณรเคยมีพระอาจารย์ของท่าน ๕ รูปขึ้นไปตัดเอาเหล็กไหลบนยอดภูเขาควาย โดยทราบตรงกันเป็นที่แน่ใจแล้วว่าเหล็กไหลนั้นอยู่ภายในผนังถ้ำใกล้กับต้นตะเคียนยักษ์อายุนับร้อยนับพันปีเป็นจุดสังเกต!เมื่อพระอาจารย์ทั้ง ๕ ขึ้นไปถึงยังที่หมายแล้วได้ทำการลองเอาน้ำผึ้งเทลงใส่บนฝ่ามือยื่นล่อเหล็กไหล ผลปรากฎว่า เหล็กไหลได้ย้อยตัวลงมาเป็นดุจเส้นใยบัวเพื่อมาเสพน้ำผึ้ง!พระอาจารย์ทั้ง ๕ เห็นเป็นอัศจรรย์ดังนั้นจึงเตรียมการทำพิธีเรียกเหล็กไหล โดยสั่งให้สามเณรจันดีคอยเตรียมหุงหาอาหารไว้ให้ ส่วนพระอาจารย์ทั้ง ๕ ก็เริ่มทำพิธีกัน โดยคราวนี้ตกลงที่จะล่อเหล็กไหล
    ออกมาหน้าปากถ้ำแล้วเดินวนรอบผูกไว้กับต้นตะเคียนยักษ์ที่ขึ้นเด่นอยู่หน้าปากถ้ำ จากนั้นจึงค่อยใช้มีดอาคมตัด ...
     
  16. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .... การดำเนินพิธีเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ คือเริ่มเอาน้ำผึ้งล่อเหล็กไหลดังกล่าว จากนั้นพอเหล็กไหลย้อยตัวลงมาตามแผนก็ล่อหลอกให้เหล็กไหล
    ยืดยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วค่อยๆถือน้ำผึ้งเดินวนรอบต้นตะเคียนยักษ์ พระอาจารย์จันดีย้อนความหลังให้ฟังในคราวครั้งนั้นว่าท่านเองได้เห็นกับตา
    ถึงสิ่งเร้นลับนามเหล็กไหลมีลักษณะเป็นเส้นๆคล้ายผมคนหรือเส้นใยบัว สีเขียวปีกแมลงทับยามต้องกับแสงแดดดูมันวาวเป็นประกายน่าจับตามอง
    สวยงามมาก แต่ทว่า!สิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจสามเณรจันดีในขณะนั้นก็คือ ท่านมีความรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก คงเป็นเพราะเหล็กไหลนั้นมีอาถรรพณ์พลังบางอย่างซ่อนเร้นอยู่เป็นแน่ สามเณรจันดีมองอยู่ได้ไม่นานก็โดนพระอาจารย์ท่านอื่นไล่ลงไปเตรียมสำรับกับข้าวเอาไว้ เพราะตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่เด็กอย่างสามเณรจันดีจะเข้ามายุ่งย่าม จากนั้นท่านพระอาจารย์ทั้ง ๕ ก็เริ่มทำพิธีกันต่อไป

    .... พิธียังคงดำเนินเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วพอสามเณรจันดีเดินลับหลังหายไปได้สักพักหนึ่ง โศกนาฎกรรมก็บังเกิดขึ้นทันที!
    เมื่อพระอาจารย์ท่านหนึ่งในกลุ่มนั้น ได้ทำการลงมีดอาคมเพื่อหวังตัดเอาเหล็กไหลที่ยืดย้อยตัวออกมาจนถึงที่สุดแล้ว...

    ... ทันที่ที่มีดอาคมถูกต้องสัมผัสเข้ากับเหล็กไหล ก็บังเกิดเสียงดังครืนๆๆๆ คล้ายกับถ้ำบนภูที่สถิตย์อยู่ของเหล็กไหลจะถล่มทลายลงมา
    พร้อมกับมีแสงประกายวาบดุจว่ามีการระเบิดเกิดขึ้น พระอาจารย์หลวงปู่จันดีเองในขณะนั้นกำลังเตรียมหุงหาอาหารหากจากตัวถ้ำ
    ลงไปด้านล่างเมื่อได้ยินเสียงดังคล้ายกับถ้ำระเบิดจึงรีบวิ่งกลับขึ้นไปดูทันที ปรากฎว่าภาพที่สามเณรจันดีเห็นในขณะนั้นเป็นศพพระอาจารย์
    ทั้ง ๕ นอนตายอยู่มีลักษณะแขนขาและหัวขาดกระจายไปคนละทิศละทางเป็นที่น่าสยดสยองสลดใจยิ่งนัก!ที่น่าแปลกประหลาดใจอีกอย่างก็คือ
    ไม่มีเลือดสักหยดไหลให้เห็นบนพื้นดินเลย!...และนี่คือประสบการณ์ในการล่าแสวงหาเหล็กไหลบนภูเขาควายที่มีทั้งพระและฆราวาสนับไม่ถ้วนต่างพากันไปสังเวยชีวิตมาแล้ว

    ..... เรื่องการตัดเหล็กไหลบนภูเขาควายในสมัยนั้นเป็นที่โดงดังเอามากๆ มีคนตายไปหลายศพสังเวยต่อความโลภและความอาถรรพณ์ของเหล็กไหลบนภู
    จนข่าวเรื่องเหล็กไหลอาถรรพณ์ฆ่าคนมานักต่อนัก แพร่ไปถึงหูท่านพระอาจารย์มั่นและพระอาจารย์เสาร์ ในกาลนั้นเองเมื่อออกพรรษาแล้วพระอาจารย์ทั้งสอง
    ได้ออกเดินทางจาริกไปยังภูเขาควายเพื่อกำราบเหล็กไหล ในครั้งนั้นได้มีหลวงปู่ฝั้นศิษย์เอกท่านพระอาจารย์มั่นติดตามไปด้วย

    .... เมื่อพระอาจารย์มั่นและพระอาจารย์เสาร์ได้เดินทางไปถึงยังสถานที่ที่เล่าลือว่ามีเหล็กไหลสิงสถิตอยู่แล้ว ได้ทำการแสดงพระธรรมเทศนาสั่งสอนเหล็กไหล
    ดุจว่าเป็นญาติโยมสาธุชนคนหนึ่ง ท่านได้เทศน์อะไรมิทราบได้ แต่คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการละเว้นปาณาติบาตเป็นแน่แท้ การที่ท่านพระอาจารย์มั่นและท่านพระอาจารย์เสาร์ขึ้นไปภูเขาควายนั้นเพื่อโปรดเหล็กไหล มิได้ไปตัดดังที่หลายคนเคยเข้าใจผิด ปรากฎอัศจรรย์เป็น

    ... "อนุสาสนีปาฎิหาริย์"คือการแสดงพระธรรมเทศนาเป็นอัศจรรย์ จนเหล็กไหลเข้าใจถึงข้ออรรถข้อธรรมที่ท่านแสดงนั้น เกิดสำนึกผิดเห็นบาปบุญคุณโทษ
    เหล็กไหลในถ้ำเดียวกันกับที่มีต้นตะเคียนยักษ์นั้นเอง ได้ทำการย้อยตัวลงมาจากผนังถ้ำแล้วตกลงในบาตรของท่านพระอาจารย์มั่นโดยดุสดี!

    ... เหล็กไหลของมีค่าสุดยอดความปรารถนาชิ้นนั้นที่หลายคนต่างพากันไปสังเวยชีวิต ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพระอาจารย์มั่นท่านกลับไม่มีความต้องการ
    เมื่อท่านได้มาแล้วกลับนำไปโยนทิ้งลงแม่น้ำโขง ทั้งนี้เพื่อตัดปัญหาในอนาคตไม่ให้ผู้ใดขึ้นมาแก่งแย่งมาตัดเหล็กไหลในถ้ำนี้อีก เรียกว่าเป็นการตัดปัญหา
    ความโลภของมนุษย์นั่นเอง มนต์ขลังของเหล็กไหลบนภูเขาควายยังคงเป็นสิ่งที่ล่อใจใครต่อใครอีกเป็นจำนวนมากแม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม!


    ... มีต่อ
     
  17. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ...... ภาคต่อ ....

    "หินกินเหล็ก อีกหนึ่งตำนานแห่งภูเขาควาย"

    .... หินกินเหล็กเป็นแร่ชนิดหนึ่งที่มีอยู่บนยอดภูเขาควาย ครั้งแรกของการพบเจอหินชนิดนี้ท่านว่าเกิดจากการที่ชาวบ้านไปขุดต้นไม้บนภูเขาควาย
    แล้วปรากฎเป็นเรื่องแปลกว่าจอบเสียมของชาวบ้านที่ขุดลงไปบนพื้นดิน เกิดการผุกร่อนแล้วหักลงอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ทั้งที่ยังเป็นของใหม่!
    ใช้ไปได้ดีๆอยู่แท้ๆ จนกระทั้งชาวบ้านสืบค้นพบสาเหตุที่แท้จริงว่า ภายในแผ่นดินภูเขาควายนั้นมีแร่อัศจรรย์อยู่มันคือ "หินกินเหล็ก"นั่นเอง

    .... อำนาจจากหินกินเหล็กสามารถทำลายเนื้อเหล็กกล้าดีๆให้ผุกร่อนลงไปภายในระยะเวลาอันสั้น นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่ามันมีอำนาจทางมหาอุดหยุดกระสุนเฉกเช่นเดียวกับเหล็กไหล ดังนั้นผู้รู้จึงสันนิฐานและเชื่อกันว่าน่าจะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันกับเหล็กไหลเหมือนกัน แต่เป็นอีกชนิดหนึ่ง อย่างเหล็กไหลแท้ๆนั้นเขาจะมีอำนาจด้านการกินและไฟและไฟฟ้าซึ่งของเหล่านี้นับว่าเป็นของแปลกอาถรรพณ์มีจิตวิญาญาณอยู่ในตัวแร่นั้น

    ...... "หินกินเหล็ก"เคยเป็นเรื่องราวทางหน้าหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่มาแล้วหลายครั้ง เชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้ยินชื่อแร่กายสิทธิ์ชนิดนี้ เพราะเท่าที่ผ่านมาในวงการก็ได้เอาชื่อแร่หินชนิดนี้มาหลอกขายตั้งเป็นแก๊งหินกินเหล็ก มีพฤติกรรมคล้ายแก๊งเหล็กไหลที่ชอบหลอกต้มตุ๋นเอาเงินชาวบ้าน ที่ไม่รู้เท่าทันมานักต่อนักแล้วการโกงหินกินเหล็กชนิดนี้พวก ๑๘ มงกุฎที่รู้ๆเขาจะเอาน้ำยาชนิดหนึ่งที่มีอานุภาพทำลาย"รถถัง"ซึ่งถูกสั่งนำเข้ามาจากรัสเซีย น้ำยาชนิดนี้
    สามารถทำลายเหล็กได้โดยที่ไม่ต้องนำมาแช่ เพียงแค่อยู่ในระยะที่ตัวน้ำยาระเหยไปถึงเหล็กและวัตถุโลหะที่อยู่ในรัศมีใกล้ๆก็จะหมดสภาพผุกร่อนลงไป
    ภายในระยะเวลาอันสั้น น้ำยาชนิดนี้ทราบว่าเป็นเคมีจำพวกกรดกัดกร่อนที่ทำให้เกิดสนิมเหล็กอย่างรวดเร็ว ปกติของจำพวกนี้จะใช้ในสนามรบเพื่อให้รถถัง
    ของฝ่ายตรงข้ามหมดสภาพใช้งานไม่ได้ พวกหัวใสกลับหาวิธีนำเอาของพวกนี้มาบรรจุใส่ผสมลงในวัตถุเลียนแบบคล้ายเหล็กไหล หรือหินกินเหล็กเพื่อหวัง
    ต้มตุ๋นหลอกลวง หาเงินกับผู้รู้เท่าไม่ถึงการมานักต่อนักแล้ว


    มีต่อ ...
     
  18. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ภาคต่อ ...

    "ถิ่นปรอทป่ากายสิทธิ์"

    .... ดั่งที่กล่าวมาในข้างต้นว่าชัยภูมิของภูเขาควายนั้นล้วนเต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ แดดส่องไม่ค่อยถึง แม้บางช่วงจะมีแดดส่องลงมาบ้างก็ไม่ทำให้รู้สึกร้อนอากาศค่อนข้างเย็นและมีหมอกลงปกคลุมตลอดทั้งปี!สังเกตว่ามันจะมีหมอกหนักเรี่ยเท้าขึ้นอยู่เป็นระยะๆยิ่งเข้าใกล้แหล่งน้ำเท่าไหร่ยิ่งมีมาก
    ทางเจ้าหน้าที่ที่พาขึ้นไปกล่าวว่าแอ่งน้ำบนภูเขาควายแห่งนี้แปลกกว่าแหล่งน้ำธรรมดาที่พบเห็นโดยทั่วไป คือจะมีหมอกหนักขึ้นปกคลุมในแอ่งตลอดทั้งปี
    บางส่วนของแอ่งจะมีลักษณะเป็นดินเลนอันเกิดจากซากพืชซากสัตว์ทับถมกัน เมื่อให้ท่านผู้มีจิตสัมผัสตรวจสอบดูพบว่า เป็นสถานที่ที่มี"ปรอทกายสิทธิ์"
    ซ่อนตัวอยู่ ชัยภูมิที่มีหมอกหนักเรี่ยติดดิน!ยิ่งมีแหล่งน้ำที่มีดินเลนแบบนี้อยู่ด้วยแล้วยิ่งเป็นไปได้สูงมาก ปรอทที่กล่าวถึงนี้มิใช่ปรอทในเทอร์โมมิเตอร์แต่อย่างใด

    ... แต่หมายถึงปรอทธาตุกายสิทธิ์จัดว่าเป็นเหล็กไหลสายพันธุ์หนึ่ง ปรอทประเภทนี้มีความพิศดารมากเพราะมันสามารถซ่อนตัวอยู่ในหมอก
    โดยหมอกที่มันอาศัยซ่อนตัวอยู่นั้นเรียกว่าปรอทหนัก ที่เราสังเกตเห็นว่าหมอกมันลอยตัวต่ำเรี่ยติดพื้นดินเป็นเพราะว่าปรอทต้องการเสพของหมักเปื่อยเน่า
    อันมีเศษซากสัตว์และใบไม้หมักหมมทับทมกันนั้นเอง ยิ่งของสดของคาวก็ยิ่งชอบ!เพราะแร่ปรอทป่านั้นจัดว่าเป็นภูตชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ในตัวอีกด้วย

    .... ผู้รู้ยังกล่าวอีกว่าในป่าเมืองไทยอย่างที่เขาใหญ่นั้นก็มีหมอกหนักเช่นนี้เหมือนกันมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า "ปรอทหมอก"ผู้ใดเดินป่าต้องระวังให้มาก
    เพราะใครก็ตามที่ดวงอ่อนหรือมีเคราะห์ เมื่อหลับนอนในป่าโดยมิทันระวังเพราะขาดความรู้หรือรู้แล้วไม่เชื่อ อาจหมดสิทธิ์กลับบ้านต้องมาตายกลายเป็นผีเฝ้าป่าไป เพราะครั้งหนึ่งเคยมีผู้เดินป่าในเขาใหญ่เจอปรอทหมอกเช่นนี้แล้วไม่หาทางป้องกันตัว คือ เวลานอนไม่ยอมล้างเท้าให้สะอาด และไม่สวมถุงเท้าก่อนเข้านอนในป่า เจ้าปรอทหมอกซึ่งถือว่าเป็นภูตอย่างหนึ่ง ได้กลิ่นของเน่าๆแล้วค่อยๆลอยเข้ามาใกล้

    "นิ้วหัวแม่โป้งเท้า"จากนั้นมันก็แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายดูดเลือดผู้นั้นจนหมดตัว!แบบเดียวกันกับผีโป่งที่ชอบย่องมาดูดเลือดที่ปลายเท้าของนักเดินทางในยามหลับนอน จึงต้องระวังให้มากเพราะมิเช่นนั้นท่านอาจโดนผีปรอทและผีโป่ง สูบเลือดหมดตัวเอาได้ง่ายๆ

    "ภูเขาควาย สุดยอดสถานที่บำเพ็ญภาวนา"

    .... จากการเดินทางจาริกไปของท่านพระอาจารย์มั่น ยิ่งเป็นที่รับรองว่า "ภูเขาควาย"เป็นสถานที่เหมาะสมในการบำเพ็ญเพียรอย่างที่สุดเพราะท่านจะให้ศิษย์ชั้นหัวกะทิไปลองปฎิบัติภาวนาในภูเขาควายแทบทุกรูป เรียกได้ว่าศิษย์คนไหนเคยได้ไปภาวนาผ่านด่านภูเขาควายมาแล้วแสดงว่าต้องไม่ธรรมดา ทั้งนี้กล่าวขานกันว่ามีสิ่งแปลกๆที่เข้ามาทดสอบจิต เช่นเสือ หมีควาย งูจงอาง รวมไปถึงภูตผีปีศาจและเทวดา ท่านใดที่มีจิตเข้มแข็งฝึกมาดีแล้วจะถูกส่งขึ้นไปเพื่อทดสอบสภาวจิต และปรากฎพบว่าหลายท่านต่างก็ได้สภาวะธรรมกลับมาเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง

    .... ไม่เพียงภูเขาควายจะเป็นสถานที่วิเวกสงัดจากการรบกวนของมนุษย์แล้ว ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์เล่าว่าเป็นที่อาศัยอยู่ของพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา พระฤาษี สิทธาดาบสจำนวนมาก เมื่อท่านเหล่านั้นได้มาบรรลุธรรม บารมีธรรมต่างๆจึงซึมซับลงในแผ่นดินหล่อเลี้ยงพลังอำนาจคุณวิเศษอันศักดิ์สิทธิ์ เอื้ออำนวยต่อการบำเพ็ญภาวนาแก่ทุกดวงจิตที่เข้าไปสัมผัส หากผู้ใดปฎิบัติจนสามารถเข้าสมาธิได้ก็จักเป็นการต่อยอดให้เจริญก้าวหน้าในการบำเพ็ญภาวนาในชั้นสูงยิ่งๆขึ้นไป บางท่านอาจเกิดหัวข้อธรรมได้พบเห็นสัจจธรรมความจริงตามที่วาสนาเคยสั่งสมอบรมณ์มา

    .... เนื่องจากภูเขาควายมีกระแสพลังงานทางจิตที่แรงมาก ไม่ว่าใครก็ตามที่ตั้งใจเข้าไปบำเพ็ญสมณธรรมก็จักสามารถสงบจิตรวมลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นผู้แสวงหาวิโมขธรรมในครั้งอดีตจึงนิยมเข้ามาพักภาวนากันมากกว่าสถานที่อื่นๆ ภูเขาควายยังคงเป็นดินแดนแห่งมนต์ขลังมาจนถึงทุกวันนี้ คงเชื่อกันอยู่ว่าภายในภูเขาควายแห่งนี้ยังมีพระอริยเจ้าที่ซ่อนตัวบำเพ็ญโปรดสัตว์โลกบรรเทาภัยพิบัติต่างๆ รวมไปถึงมหาฤษีผู้ทรงฌานสมาบัติมีอายุนับพันๆปี
    แม้กระทั้งเรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดรก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของตำนานเล่าขานในภูเขาควาย!นอกจากนั้นภูเขาควายยังเป็นแหล่งที่รวมเอาทรัพยากรธรรมชาติต่างๆที่หาได้ยาก เช่นว่านยา เหล็กไหล ไพรดำ ปรอท ฯลฯ ครบหมดทุกอย่างยากจะหาสถานที่ใดมาเทียบได้ผืนป่าแห่งนี้จะยังคงอยู่ไปตราบนานเท่านานก็ต่อเมื่อเราเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ภายใน โดยไม่เห็นแก่คุณค่าทางโลกวัตถุมากกว่าคุณค่าแท้ตามธรรมชาติเพราะสิ่งที่สูญไปแล้วยากที่จะสร้างใหม่ได้

    "ภูเขาควายในวันนี้"

    .... ทราบแล้วว่าซีกหนึ่งของภูเขาควายถูกพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสถานบันเทิง แต่นับว่ายังโชคดีที่สถานที่ต่างๆ ตามตำนานของครูบาอาจารย์ เช่น ถ้ำ น้ำตก ฯลฯ ยังคงรอดพ้นจากการพัฒนาด้านวัตถุเหล่านั้น และยังคงตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนที่ทางการลาวคอยดูแลควบคุมอย่างเข้มงวด ภูเขาควายสมัยปัจจุบันนี้จึงเป็นเสมือนเหรียญที่มีสองด้าน ด้านหนึ่งเจริญทางวัตถุรูปธรรม อีกด้านหนึ่งยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยธาตุกายสิทธิ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณอันเป็นนามธรรม รอคอยการพิสูจน์ของผู้มีบุญสัมพันธ์มาจนตราบเท่าทุกวันนี้.


    ......................... จบตอน .........................
     
  19. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .... สำหรับประสบการณ์ที่เราเคยได้รับรู้มาจากคนใกล้ตัว .. ไม่ว่าจะเป็นพ่อเรา เมียเพื่อนพ่อเองก็เป็นคนที่อยู่ตรงตีนภูเขาควายมาก่อนที่จะมาได้สามีเป็นคนไทย ... เอาไว้เราจะเอามาลงให้ฟังกันนะคะ ...
     
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    จากปอบกลายมาเป็นเหล็กไหล ปรอท ภูควาย ไปได้ไงเนี่ย...

    สมัยรุ่นๆเคยคิดอยากไปภูควายเหมือนกัน แต่ซือเฮียเตือนไว้ว่า ต้องมีบารมีแก่กล้าพอ ไม่งั้นเข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง ตายกันไปซะเยอะ...
    เคยมีพระทางอิสาน เอาสมเด็จมาให้องค์หนึ่ง ท่านว่ามีส่วนผสมของ ไพรดำ และ ปรอทดำ ไพรดำนี้ ท่านเล่าว่า เป็นพืชกายสิทธิ์อย่างหนึ่ง ปู่ท่านได้ไปขุดมาจากกลางป่าลึก ท่านเล่าว่า พื้นดินที่ไพรดำขึ้นนั้น จะแข็งมาก พืชชนิดอื่นจะขึ้นไม่ได้ จอบก็ฟันไม่ลง และในบริเวณนั้นจะมีสัตว์พิษร้ายแรงอยู่ บ้างเป็นงูใหญ่ บ้างก็เป็นแมงมุมพิษ ต้นที่ท่านไปขุดเป็นแมงมุมพิษเฝ้าอยู่

    เมื่อทำพิธีไล่ไปแล้ว ก็จะใช้ น้ำอ้อยดำ ราดลงไปที่โคนต้นไพรดำ จากนั้นจึงใช้ต้นอ้อยดำที่ตัดเป็นปากฉลาม ขุดเอาต้นไพรดำขึ้นมา เมื่อเวลาจะบดเอามาทำพระนั้น ก็ให้เข้าด้วยน้ำอ้อยดำนี้ด้วย พระที่ผสมเข้าด้วยไพรดำ นอกจากมีอาถรรพ์ในตัวเองแล้ว ยังแกร่งมาก สามารถคงอยู่ได้นับพันปี จึงเป็นส่วนหนึ่งที่โบราณท่านใช้ผสมไว้ที่พระผง...

    แต่ว่าพระที่ผสมไพรดำนี้ หลวงพี่ท่านบอกว่า ห้ามไม่ให้ผู้หญิงจับ หากจับต้องเข้า ว่านไพรดำจะเสื่อมสภาพ แล้วพระที่ทำไว้จะกลับยุ่ยไป สำหรับไพรดำนี้ เมื่อทำเป็นพระแล้ว มีประโยชน์ในการใช้ถอนคุณไสยได้ดี ตอนสมัยรุ่นๆที่ผมโดนของทางเขมรต่ำเข้า ก็ได้ลองเอามาใช้ถอนร่วมกับมีดหมอ ซึ่งก็ได้ผลเหมือนกันนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...