" ปอบ " คืออะไร ? อาถรรพ์ ความเชื่อ เรื่องผี!!

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย กาลีนะ, 27 เมษายน 2013.

  1. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ******** ผีปอบ, ผีเข้าในทรรศนะของจิตแพทย์ *******

    Cr. สงัน สุวรรณเลิศ

    .... ในปัจจุบันนี้เรื่องของ “ผีเข้า” ได้มีนักมานุษยวิทยา จิตแพทย์และนักจิตวิทยาชาวตะวันตก ให้ความสนใจและวิจัยเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน แต่ความสนใจนี้มุ่งไปในแง่ของความเชื่อถือเรื่องผีเข้า ว่ามีส่วนสัมพันธ์กันกับการเจ็บป่วยทางจิตเวชศาสตร์และสุขภาพจิตประจำถิ่นนั้น ๆ มากกว่าจะไปพิสูจน์ว่าผีมีจริงหรือไม่ ซึ่งในปัจจุบันนี้แล้วในสหรัฐอเมริกา ยุโรปและออสเตรเลีย ปรากฏว่าได้มีคนญวน ลาว เขมร อพยพเข้าไปอยู่เป็นจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และพวกอพยพเหล่านี้ได้ไปสร้างความงุนงงสงสัยให้แก่ฝรั่ง เนื่องจากไปเกิดมีอาการ ”ผีเข้า” หรือ “ถูกของ” ให้จิตแพทย์ฝรั่งได้เห็น ซึ่งพวกแพทย์เหล่านั้นไม่คุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้มาก่อนในปัจจุบันนี้จึงทำให้เกิดมีการศึกษาอย่างกว้างขวางดังกล่าวมาแล้ว อนึ่งในปัจจุบันนี้ในทางจิตเวชศาสตร์ถือว่าเป็นยุคของจิตเวชชุมชน ถ้าได้หันมาสนใจเรื่องของพื้นบ้านพื้นเมือง เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในแนวทรรศนะของจิตเวชชุมชนแล้ว ก็อาจจะเกิดประโยชน์ได้มากกว่าการที่จะนำเอาเรื่องของจิตเวชสากลมาใช้ ซึ่งในเรื่องศาสตราจารย์นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว ได้เน้นเรื่องวัฒนธรรมกับจิตเวชไว้เสมอมา


    .... โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ผีเข้ามีอยู่มากมายหลายชนิดด้วยกัน ชาวบ้านมักจะมีความเชื่อว่าผีเป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยทั้งร่างกายและจิตใจ ในทางร่างกายถ้าผีเข้าแล้วไม่ออกก็เชื่อกันว่าคน ๆ นั้น จะต้องตายไปหรือในทางจิตใจก็จะกลายเป็นคนที่สติไม่สมประกอบ และเป็นคนวิกลจริตในที่สุด ซึ่งอาการวิกล จริตดังกล่าวแล้วนี้ ในปัจจุบันเราเรียกว่าเป็นการเจ็บป่วยทางจิตเวชศาสตร์อย่างหนึ่ง


    .... จากการได้ศึกษาและรักษาผู้ป่วยที่ญาติผู้ป่วยคิดว่าผีเข้าที่เข้ามารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลฝ่ายจิต ได้มีความคิดเห็นในเรื่องผีเข้านี้อยู่หลายประการด้วยกันคือ

    1. ผีเข้าโดยสมัครใจจากผู้ให้เข้าเช่น การทรงเจ้า การทรงผีบรรพบุรุษหรือผีเชื้อเข้าสู่ตัว เพื่อผลของการรักษา เพื่อทำนายหรือเพื่อทราบข่าวสาร

    2. ผีเข้าโดยผู้ถูกเข้าไม่สมัครใจจะให้เข้าเช่น ผีตายโหง ผีพราย ผีปอบหรือผีกะเจ้า ฯลฯ ผีเหล่านี้เป็นที่หวาดกลัวของคน เพราะเชื่อว่าทำให้เกิดการเจ็บป่วยทั้งกายและจิตใจหรือถึงแก่ชีวิตได้

    ลักษณะของผีเข้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตของผู้ป่วย แบ่งออกได้ 3 ประการคือ

    1. คนที่ถูกผีเข้าเพียงครั้งเดียวและไม่เคยเข้าอีกเลย ในชนบทที่อยู่ห่างไกลหรือในตัวเมืองก็ตาม มีชาวบ้านเป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่ถูกผีเข้าหรือชาวบ้านคิดว่าผีปอบเข้า กลุ่มอาการที่แสดงออกมานั้น เกิดขึ้นกับคนที่ไม่เคยเป็นอะไรมาก่อนหรืออาจจะมีการเจ็บป่วยทางกายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และมีอาการผีเข้ามาแทรกแซงขึ้นทีหลัง ชาวบ้านเหล่านี้อาจจะถูกผีเข้าเพียงครั้งเดียวในชีวิตของเขาและหลังจากนั้นก็ไม่เคยถูกผีเข้าอีกเลย ในกรณีเช่นนี้จะกล่าวว่าเขาป่วยเจ็บทางจิตเวชศาสตร์ยังไม่ได้ เพราะจากการศึกษาพบว่าผู้ที่ถูกผีปอบเข้านี้ มีปัญหากระทบกระเทือนทางจิตใจกับบรรดาญาติมิตรหรือขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมเดียวกัน บางทีก็คิดเอาเองตามความนึกคิดที่จะเป็นไปได้ตามความเชื่อถือดั้งเดิมที่สืบต่อกันมา การหาทางออกโดยจงใจหรือไม่จงใจว่ามีผีปอบเข้า ก็เป็นทางหนึ่งที่จะระบายความรู้สึกนึกคิดออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวบ้านยอมรับ เพราะเรื่องผีเข้าเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ในท้องถิ่นที่อยู่ไกล ๆ การถูกผีเข้าไม่ใช่ของเสียหาย ถ้าหากว่าเกิดขึ้นแบบที่ทำให้เกิดมีภวังค์ จะทำให้จิตใจได้มีโอกาสพักผ่อน ตามหลักทางสรีรวิทยาทางจิต ผลทำให้ปัญหานั้น ๆ ผ่อนคลายลงไปได้เอง

    ..... การที่เคยถูกผีเข้าเพียงครั้งเดียวนี้ มักจะพบว่าผู้ที่ถูกผีเข้าแบบนี้มักจะมีปัญหาตื้น ๆ ไม่สลับซับซ้อนและพอที่จะแก้ไขปัดเป่าไปได้ง่าย ดังนั้นผีจึงไม่มาเข้าอีก ข้าพเจ้าเคยเดินไปตามหมู่บ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และได้ถามชาวบ้านซึ่งเป็นผู้หญิงวัยกลางคนหลายคนที่เคยถูกผีปอบมาเข้าแล้วและไม่เคยมาเข้าซ้ำอีกเลย ส่วนมากมักจะเล่าว่าหมอที่ไล่ผีเป็นคนเก่ง แทนที่จะบอกถึงปัญหาทางใจได้แก้ไขไปได้แล้ว เช่น ตัวอย่าง นาง ช อายุ 48 ปี (2517) ขณะที่ผีปอบเข้าอายุ 18 ปี ยังเป็นโสด ขณะนี้สามีได้ถึงแก่กรรม นาง ช เคยถูกผีปอบเข้าเพียงครั้งเดียวเข้าตอนกลางคืน อาการเริ่มต้นของผีเข้ามีอาการมึนชาตามตัว มือหงิกงอ บางครั้งรู้สึกอยากจะหัวเราะ และหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้ อยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง ญาติได้ไปตามหมอผีมาไล่ออก เข้าใจว่าผีออกไปตามปลายมือ ผีที่เข้าเป็นผีปอบเป็นปอบชนิดปอบเชื้อ เมื่อผีออกไปแล้วรู้สึกสบายดี แต่บางทีก็มีใจสั่นอยู่บ้าง ได้ถามถึงปัญหาก่อนที่ผีจะเข้าก็ได้ความว่า เนื่องจากถูกพ่อแม่ดุที่นาง ช ออกไปเที่ยวนอกบ้านกับเพื่อน ๆ และกลับค่ำพอตกกลางคืนผีปอบจึงมาเข้าดังกล่าวแล้ว นาง ช เล่าว่าการไล่ผีปอบของตนไม่ค่อยยากนัก และหมอได้ทำพิธี “กัน” ให้ (หมายถึงการป้องกันไม่ให้ผีมาเข้าอีก) จนบัดนี้นางก็ไม่เคยถูกผีปอบเข้าอีกเลย ทั้ง ๆ ที่ชาวบ้านอื่น ๆ ก็ถูกผีปอบเข้าตามปกติ สำหรับอาการอย่างที่นาง ช เล่ามานี้มักจะไม่ค่อยมารับการรักษาจากแพทย์สมัยใหม่หรือจิตแพทย์ มักจะอยู่ในมือของหมอผีหรือหมอธรรม ในโรงพยาบาลจะไม่พบผู้ป่วยแบบนี้


    2. คนที่ถูกผีปอบหรือผีอย่างอื่นเข้า และผีอย่างอื่นมักจะมาเข้าอยู่บ่อย ๆ บางที 2-3 วันก็มาเข้าครั้งหนึ่ง หรือทอดระยะไปบ้างและวนเวียนอยู่แบบนี้เรื่อย ๆ ไป เปลี่ยนหน้าหมอผีมาทำการรักษาหลายคน ในกรณีเช่นนี้ในจิตเวชศาสตร์อาจกล่าวได้ว่า คน ๆ นั้น ต้องมีบางสิ่งบางอย่างในจิตใจ จากการศึกษาพบว่าคนที่ถูกผีปอบเข้าบ่อย ๆ มักจะมีอาการเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง มีชื่อว่า โรคอุปาทาน (ฮีสทีเรีย) แม้ว่าชาวบ้านจะไม่เห็นด้วยก็ตาม ในทรรศนะของชาวบ้านการรักษาจะต้องค้นหาคนที่เป็นต้นตอของคนที่เป็นตัวผีปอบให้ได้ ถ้าพิจารณาในแง่จิตเวชศาสตร์แล้วจะเห็นว่า บุคลิกภาพของคนที่ถูกผีปอบเข้าเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งความเชื่อถือเดิมอย่างเหนียวแน่นส่วนมากพวกนี้จะมีบุคลิกภาพแบบอุปาทานอยู่แล้ว รวมทั้งมีปัญหาทางใจอย่างท่วมท้นและยากที่จะแก้ไขได้ในเวลาอันรวดเร็ว

    ..... การรักษาในรายเช่นที่กล่าวมาแล้วนี้ ในตอนแรกจะตกอยู่ในมือหมอผีหรือหมอธรรมมาก่อน เมื่อรักษาแล้วหลายหนไม่หาย ญาติอาจจะนำส่งโรงพยาบาลทั่วไปตามต่างจังหวัด มักจะไม่ค่อยเห็นในโรงพยาบาลทางจิต คนที่ถูกผีเข้าบ่อย ๆ นี้จะมาพบแพทย์ เมื่อผีได้ออกไปแล้วโดยมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ดีทุกอย่าง การมาพบแพทย์นี้มาในรูปของอาการใจสั่น ตกใจง่าย นอนไม่หลับ ใจคอหงุดหงิด ฯลฯ ข้าพเจ้าได้พบคนที่ถูกผีปอบเข้าถึง 10 ครั้ง ที่บ้านนาไร่ใหญ่ อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นหญิงชื่อ นาง ค อายุ 33 ปี ผีปอบที่มาเข้าส่วนใหญ่จะไม่ซ้ำตัวกัน บางครั้งก็เป็นผีปอบตัวเดียวกัน นาง ค ถูกผีปอบเข้ามารวม 7 ปีแล้ว วนเวียนอยู่เรื่อย ๆ ไป (นาง ค แต่งงานแล้ว มีบุตร 3 คน) นาง ค เล่าว่าครั้งสุดท้ายที่ถูกผีปอบเข้าเมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมานี้เอง อาการเริ่มต้นจะมีอาการอยากร้องไห้ หลังจากนั้นก็ว่าอะไรไม่ได้ ญาติเล่าว่าเวลาผีเข้ามักจะชอบขึ้นไปนอนบนเตียงและก็ลงมาร้องครวญคราง และหลังจากนั้นก็มีอาการอายและ “ออกปาก” คือพูดเรื่องราวต่าง ๆ ออกมา ผีปอบที่มาเข้ามักจะเป็นทั้งเพศหญิงและเพศชายไม่แน่นอน เข้าครั้งสุดท้ายบอกว่าเกือบ 3 ชั่วโมงจึงออกได้ ผู้ที่เป็นผีปอบมาเข้าสืบได้ความว่า มักจะเรียนวิชาเกี่ยวกับทำให้ตนเองมีเสน่ห์ เพื่อให้เพศตรงข้ามหลงรัก นาง ค เล่าว่าผีปอบที่มาเข้านางทุกครั้งนางเคยได้ยินและรู้กิตติศัพท์ของคน ๆ นั้นมาก่อน นาง ค รู้สึกกลัวผีปอบเป็นอันมาก แต่ไม่ทราบจะทำอย่างไร จากการศึกษาเรื่องราวของนาง ค ในทางจิตเวชศาสตร์ การวินิจฉัยโรคก็ง่ายคือ นาง ค ป่วยเป็นโรคอุปาทาน หรือจะเรียกอีกนัยหนึ่งว่า โรคประสาทอุปาทานก็ได้ ซึ่งนาง ค นี้มีปัญหาชีวิตสมรสมากในทรรศนะของจิตแพทย์


    3. คนที่ถูกผีปอบเข้าอาจจะเป็นหลาย ๆ ครั้งหรือถูกเข้าเพียงครั้งเดียว หรือกำลังถูกเข้าเพียงครั้งเดียว ซึ่งผีปอบไม่ยอมออก จะไล่อย่างไรก็ไม่ยอมออก แม้ว่าในตอนแรก ๆ จะรู้ว่าเป็นผีปอบจริง ๆ ในตอนแรกเวลาที่ไล่ไม่ออกนี้จะใช้เวลาอยู่ราว ๆ 4-27 ชั่วโมง เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างนี้ หมอผีหรือหมอพื้นบ้านมักจะบอกว่ามีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น และอาจไม่ใช่ผีปอบอย่างแน่นอน อาการของคนที่ถูกผีเข้าไม่ออกนี้มักจะออกมาในรูปของคนที่ไม่รู้เรื่องอะไร พูดฟังไม่รู้เรื่อง เอะอะโวยวาย ด่าทอ มีลักษณะแบบวิกลจริต ผู้รักษาแบบพื้นบ้านมักจะบอกว่าเป็นการไม่สมดุลของเลือดลมหรือไม่ก็ให้รักษาแบบเลือดลม ไม่ใช่ผีปอบเข้าอย่างธรรมดา ผู้ป่วยประเภทนี้มักจะถูกส่งมารักษายังโรงพยาบาลทางจิต โรคที่วินิจฉัยก็แตกต่างกันออกไปสุดแท้แต่อาการจะออกมาในรูปใด อาจจะเป็นโรคจิตประเภทจิตเภท โรคจิตเกี่ยวกับอารมณ์ โรคจิตจากแพ้พิษต่าง ๆ ฯลฯ

    ..... เท่าที่ผู้เขียนได้สังเกตมาหลายปีเห็นว่ามีโรคจิตแบบหนึ่งเกิดขึ้นโดยเฉพาะต่างหาก ซึ่งจิตแพทย์ฝรั่งเขาไม่ค่อยได้เขียนไว้ ลักษณะเป็นโรคจิตที่เกิดขึ้นประจำถิ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะ ซึ่งข้าพเจ้าชอบเรียกว่าเป็น โรคจิตอุปาทานหรือโรคจิตผีเข้า ในเวลานี้ยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมกันมากนักสำหรับคนที่ถูกผีปอบหรือผีอย่างอื่นเข้าและไล่ไม่ออก บางรายก็ไม่ส่งเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลทางจิตก็มีมากมาย เพราะญาติ ๆ ได้เก็บรักษาไว้เองที่บ้าน โดยใส่โซ่ผู้ป่วยไว้หรือกักขังอย่างหนึ่งอย่างใดก็แล้วแต่ แล้วไปเชิญหมอทางไสยศาสตร์มารักษาต่อไป โรคจิตผีเข้านี้เมื่อหายแล้วการคืนดีของสติจะสมบูรณ์กว่าโรคจิตเภท เขาจะทำงานได้อย่างดีเหมือนคนธรรมดา จากการศึกษาของข้าพเจ้าได้พบคนที่ถูกผีเข้าไม่ยอมออกในท้องที่บ้านคำพระ ตำบลคำพระ อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี ชื่อ นาง ส เป็นหญิงโสด อายุ 31 ปี ผีปอบนี้เข้าอยู่ประมาณ 3 เดือน บางทีก็เข้าวันเว้นวัน บางทีก็เข้าตลอดอาทิตย์ นาง ส จำเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ เริ่มแรกที่จะมีผีเข้ามาเมื่อสี่ปีก่อน นาง ส ได้ไปเกี่ยวหญ้าและถูกตะขาบกัดเอา แล้วได้รับการรักษายาพื้นบ้านอาการหายดีแล้ว แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็เริ่มมีผีปอบมาเข้าอยู่เรื่อย ๆ ตอนที่ไปเชิญหมอมารักษาตะขาบต่อยนั้นเป็นหมอต่างถิ่นที่คนเล่าลือว่ารักษาเก่ง แต่อันที่จริงแล้วหมอต่างถิ่นคนนี้เป็นผีปอบและได้มาเข้านาง ส ในตอนหลัง ๆ นี้ ซึ่งเหตุผลก็ตอบไม่ได้เช่นเดียวกันว่าทำไมจึงมาเข้า ได้รับการรักษาอยู่ที่บ้าน 1-2 เดือนอาการจึงดีขึ้น ผู้ป่วยได้ปรึกษาข้าพเจ้าเรื่องอาการปวดเมื่อยตามร่างกายอยู่บ่อย ๆ ส่วนอาการทางจิตนั้นหายเป็นปกติแล้ว .....
     
  2. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .......... ภาคต่อ .......................

    .... ในการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคต่าง ๆ ที่มีผีเข้าไปแสดงบทบาทสำคัญในเนื้อหา หรือในแนวความคิดของผู้ป่วยนั้น จากประสบการณ์ของผู้เขียนพอที่จะกล่าวเป็นแนวทางกว้าง ๆ ได้ดังนี้คือ


    1. ผู้ป่วยเป็นโรคประสาท เนื่องจากผู้ป่วยโรคประสาทยังมีความรู้สึกนึกคิดดีตามสมควรไม่ผิดปกติเหมือนคนเป็นโรคจิต สิ่งที่ผู้ป่วยบอกมามักจะไม่เลื่อนลอย เขามักจะรู้เหตุของความเจ็บป่วยว่าอาจจะถูกผีทำหรือผีเข้า ทั้งนี้จะเป็นความรู้สึกของเขาเองโดยได้รับแนวความคิดต่าง ๆ มาจากผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหรือญาติหรือทางหมอดู หรืออีกทางหนึ่งที่สำคัญก็คือ จากคนทรงซึ่งการทรงเจ้านี้มีอยู่ดาษดื่นในชุมชนในปัจจุบันนี้ เนื่องจากโรคประสาทมีสาเหตุมาจากจิตใจโดยเฉพาะ เมื่ออธิบายให้ผู้ป่วยฟังแล้วผู้ป่วยมักจะไม่เข้าใจหรือเข้าใจยาก ซึ่งแตกต่างกันจากคนทรงจะบอกให้ทราบว่า เป็นผีอะไรและทำไม่จึงมาเข้าพร้อมกันนี้ก็ได้บอกวิธีรักษาให้อย่างเรียบร้อย ผู้ป่วยโรคประสาทอาจจะไม่เชื่อหรืออาจจะเชื่อ เมื่อได้ทบทวนดูตามแนวความคิดทางวัฒนธรรม จึงมีส่วนโน้มเอียงไปได้โดยไม่รู้สึกตัว ในกรณีเช่นนี้การรักษาจำเป็นจะต้องให้ผู้ป่วยนั้นได้ระบายเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับผี ให้ผู้รักษาฟังโดยไม่ได้ขัดแย้งผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยได้ระบายออกอย่างเต็มที่ สมัยก่อนนี้เรามักจะไม่ค่อยรับฟังเรื่องผีสางจากผู้ป่วยมากนัก เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องค่อนข้างเหลวไหลในการแพทย์แผนปัจจุบัน แต่การที่ให้ผู้ป่วยเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกนี้ จะทำให้สิ่งต่าง ๆ ที่ฝังอยู่ในจิตไร้สำนึกของผู้ป่วยนั้น ได้ค่อย ๆ ออกมาสู่จิตสำนึก เมื่อออกมาสู่จิตสำนึกแล้วเป็นหน้าที่ของผู้รักษาเอง ที่จะต้องชี้ให้ผู้ป่วยเห็นว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างไรระหว่างอาการผีเข้ากับปัญหาที่เขามีอยู่ เขาจึงจะได้เรียนรู้และเข้าใจเหตุผลของการเจ็บป่วยของเขาเอง เมื่อถึงจุดนี้แล้วผู้ป่วยจะยอมรับและมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นขั้นตอน การรักษาจึงจะได้ผล แทนที่จะห้ามไม่ให้ผู้ป่วยพูด ผู้ป่วยเลยไม่ยอมพูดหรือไม่ยอมเล่าสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งมหัศจรรย์ที่ผู้ป่วยหลงเชื่อมานาน


    2. ผู้ป่วยเป็นโรคจิต ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นว่าการที่เป็นโรคประสาทนั้น มักจะเป็นพวกที่ผีปอบเข้าบ่อย ๆ หรือผีอย่างอื่นก็ตาม เมื่อนำหมอผีมาไล่ก็ออกไปทุกครั้ง ส่วนใหญ่มักจะไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลทั่วไปมากกว่า ถ้ามีสาเหตุแทรกซ้อนทางกายเกิดขึ้นหรือถ้าอาการทางประสาทรุนแรง ก็มักจะส่งต่อไปที่โรงพยาบาลฝ่ายจิตก็ได้ เนื่องจากผู้ป่วยเป็นโรคประสาทยังมีสติสัมปชัญญะอยู่


    ..... ส่วนคนที่ถูกผีปอบหรือผีชนิดอื่นมาเข้าอาจจะเป็นหลาย ๆ ครั้ง หรือถูกเข้าเพียงครั้งเดียวแล้วผีไม่ยอมออก จะไล่อย่างไรก็ไม่ยอมออกนั้น เมื่อเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตอุปาทานดังได้กล่าวมาแล้วนั้น การรักษาก็จะต้องดำเนินไปตามโรคต่าง ๆ ที่เป็นอยู่เพราะผีเข้านั้นเป็นกลุ่มอาการของโรค ซึ่งแทรกอยู่ในเรื่องความคิดของแต่ละโรคเช่น โรคจิตเภท โรคจิตอารมณ์สุข-เศร้า โรคจิตแพ้พิษสารต่าง ๆ รวมทั้งโรคจิตที่เกิดจากอุบัติเหตุด้วย จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่า ส่วนใหญ่มักจะมีบุคลิกภาพเป็นแบบอุปาทานแต่ก็ไม่ใช่ทุกรายไป ดังนั้นยาที่ให้มักจะให้ขนาดต่ำกว่าการรักษาโรคจิตอย่างอื่น ๆ เช่น ยาสงบประสาทหรือยาแก้เศร้าก็ตาม พวกนี้อาการทางจิต จะหายไปเร็วประมาณ 3-7 วัน ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัวและตอบคำถามต่าง ๆ ได้ ส่วนใหญ่มักจะมีอาการอ่อนเพลียไม่มีแรงและงง ๆ มักจะกลัวผีปอบหรือผีอื่น ๆ มาเข้าอีก ในระยะนี้การรักษาโดยใช้จิตบำบัดแบบประคับประคองมีความสำคัญมาก จากประสบการณ์พบว่าตอนแรก ๆ ผู้ป่วยมักจะโยนความผิดไปให้ผีแทบทั้งนั้น ความผิดนี้หมายถึงเหตุของความเจ็บป่วยหรือปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องของผีทำ หรือผีมีอิทธิพลต่อตัวผู้ป่วยเอง มาถึงตอนนี้ผู้รักษาจะต้องให้ผู้ป่วยเล่าเรื่องผีและความเป็นมาของผีมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อาจจะเป็น 2-3 ครั้ง ซึ่งครั้งละประมาณ 1 ชั่วโมง ที่เล่าโดยที่ผู้รักษาจะต้องตั้งใจฟังและมีความเข้าใจเรื่องผีตามสมควร เนื่องจากเรื่องความเชื่อเรื่องผีนี้ ฝังลึกอยู่ภายใต้จิตไร้สำนึก ก่อให้เกิดมีผีเข้าผู้ป่วยหรือผีมีอิทธิพลต่อผู้ป่วย ซึ่งการเจ็บป่วยเช่นนี้สังคมยอมรับ และผู้ป่วยก็ไม่อับอายเมื่อคิดว่าผีเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วย ดังนั้นเมื่อพูดกับผู้รักษาบ่อย ๆ เข้า และผู้รักษาไม่ขัดแย้ง จะทำให้ผู้ป่วยเข้าใจกลไกของการเจ็บป่วยเกิดขึ้น และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังสัญญลักษณ์นี้คือ ตัวปัญหาที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดการเจ็บป่วยขึ้นอันต่อเนื่องทำให้เกิดผีเข้า ถ้าผู้ป่วยเข้าใจแบบนี้เป็นขั้นตอนในการรักษา อาการก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ยังมีผู้ป่วยบางคนเกิดกลัวว่าจะมีผีมาเข้าอีก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อผู้ป่วยกลับบ้านไปแล้วญาติมักจะพาไปหาหมอผีอีก เพื่อทำพิธีกันหรือป้องกันให้อีกด้วย


    ...... ผีปอบหรือผีชนิดอื่นเข้า ในปัจจุบันนี้ทางหมู่บ้านต่าง ๆ ในประเทศไทยก็ยังมีอยู่อาจจะเข้าแบบเป็นกลุ่มหรือเป็นหมู่หรือเข้าเฉพาะตัว ดังจะเห็นได้จากหนังสือรายวันได้ลงข่าวอยู่เสมอ ๆ เช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เกิดมีข่าวว่ามีกลุ่มอาการอุปาทานระบาดขึ้นที่บ้านหนองโอ่งซึ่งดังอยู่ในเขตอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี จากการเข้าทรงทราบว่า มีผีนางตะเคียนอยู่บนหลังคาโรงเรียนและมีนางไม้สิงอยู่ เสาไม้ต้นตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือและบ้างก็ว่าเจ้าที่แรง (รายงานของ นายแพทย์ธนู ชาติธนานนท์ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2528 และทางโรงเรียนก็ได้จัดการทำพิธีเรียบร้อยแล้ว)


    ....... เมื่อข้าพเจ้าออกตรวจคนไข้นอกของโรงพยาบาล ก็พบอยู่ทุก ๆ วันเป็นประจำสำหรับเรื่องผีนี้ถ้าเขาไม่สนใจจะไถ่ถามญาติผู้ป่วยหรือตัวผู้ป่วยเองก็จะไม่ปริปากพูดเพราะส่วนใหญ่จะคิดว่า แพทย์คงจะไม่เชื่อ เพราะเป็นสมัยวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าหากว่าแพทย์มีความสนใจแล้ว เขาก็ยินดีเล่าให้ฟังอย่างเต็มอกเต็มใจเลยทีเดียว เมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าเคยคุยกับจิตแพทย์อเมริกันเรื่องผีเข้า ได้ความว่าในปัจจุบันนี้เรื่องผีเข้าจะลดลงไปบ้าง เพราะความเจริญทางเทคโนโลยีมากขึ้น ถึงอย่างไรก็ตามเรื่องผีเข้าก็เป็นของดีในทัศนะของผู้เขียน เพราะเรื่องผีเข้าเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับเมื่อมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้นโดยโทษไปที่ผี เมื่อผีออกไปแล้วทุกอย่างก็เรียบร้อยกลับเข้าสู่สังคมได้เรียบร้อย แต่ถ้าบอกว่าเป็นโรคจิต (วิกลจริต) แล้วสังคมไม่ค่อยยอมรับจะทำอะไรก็ต้องคอยจับตามองอยู่เรื่อย ๆ ไป อนึ่งการถูกผีเข้าหรือป่วยเจ็บเพราะถูกผียังดีกว่าชาวบ้านจะไปติดยาเสพติดซึ่งรักษาได้ไม่ง่ายนัก


    ...... ได้มีหลายคนชอบถามข้าพเจ้าว่า ฝรั่งเชื่อเรื่องผีเข้าหรือไม่ อันนี้ตอบยากเพราะขึ้นอยู่กับความรู้และประสบการณ์ของแต่ละคน ฝรั่งสนใจเรื่องผีนี้มีอยู่หลายประเภท บางประเภทก็จะพิสูจน์ ซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก แต่ประเภทที่ศึกษาว่าทำไมคนจึงเชื่อว่าผีเข้าได้นั้นมีอยู่มาก เพราะประการหลังนี้จะเชื่อมโยงไปสู่ความเชื่อถือของคนที่สืบต่อกันมาอันจะนำไปใช้ในการปกครองทางสังคมวิทยา จิตวิทยา มนุษยวิทยา และนำไปใช้ในการแพทย์เช่น เรื่องของจิตเวชศาสตร์และสุภาพจิต เรื่องเกี่ยวกับผีปอบนี้ข้าพเจ้าเคยไปพูดให้ฝรั่งฟังถึง 4 ครั้งด้วยกัน อเมริกา 2 ครั้ง ฮ่องกง 1 ครั้ง ออสเตรเลีย 1 ครั้ง มีผู้สนใจไต่ถามมากแต่ไม่เคยมีใครถามว่าเป็นจริงหรือไม่ นอกจากจะถามว่า ทำไมคนจึงมีความเชื่อเช่นนี้ และจะนำมาประยุกต์ใช้ในการรักษาผู้ป่วยทางจิตเวชได้อย่างไร


    ............. วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย 2543;45(4):301-310.
     
  3. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ........ ข่าวสด ๆ ร้อน ๆ ตอนนี้คนในหมู่บ้านที่เราอยู่ปัจจุบันตายไปแล้วสองราย ... ชาวบ้านลงความเห็นว่า ปอบกิน และได้ทำพิธีไล่ผีในวันนี้ไปแล้ว .. เดี๋ยวพรุ้งนี้เราจะไปงานศพสืบข่าวมาเล่าให้ฟังนะ

    ปล. ตั้งแต่เมื่อคืนเรานอนไม่ได้เลยตาแข็งตลอดเวลาจนบ่ายสามสลบคาที่ 5555555555 และ สามสี่วันบ่าซ้ายเราหนักมากช่วงกลางคืน ยิ่งดึกยิ่งหนัก ไม่รู้จะเกี่ยวกันไหม๊ ... ไว้รู้เรื่องละจะมาเล่าให้ฟังนะ
     
  4. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .. ด้วยสามเหตุที่ว่าในรอบ 2 เดือน คนในหมู่บ้านเราปัจจุบัน คือ บ้านดินดำได้มีกายตายเกิดขึ้น 3 ศพ ห่างกันไม่ถึง 15 วัน และ มีรอยจ้ำเขียวเกิดขึ้นที่ศพ .. ศพแรกเป็นผู้ชายอาศัยอยู่รอบนอกหมู่บ้าน ศพที่ 2 เป็นยายแก่ชื่ออะไรจำไม่ได้แต่อยู่ใกล้บ้านเราเองแถมเป็นญาติห่าง ๆ กัน ศพล่าสุดตอนนี้ตายเมื่อวานคือวันที่ 21 /05 /2556 หลังจากไอซียูมา 2 วันเท่านั้นเอง .... มันเกิดจากอะไรเพราะอะไรเราเลยเอามาเล่าสู่กันฟังโปรดใช้วิจารณญาณกันเองนะคะ เพราะเราก็ฟังจากคำบอกเล่าของน้องสาว และ แม่เรามาอีกทีแต่น้องสาวเราคือเขาอยู่ในเหตุการณืบางช่วงก่อนการตายของศพล่าสุด ...
     
  5. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... แม่เรามาบอกเราว่ายายแตตายแล้วทุกคนคิดว่าโดนปอบกินนี้คือเรื่องที่เราได้ยินมา ... เพราะเกิดเหตุการแปลก ๆ หลายอย่างขึ้นในหมู่บ้านเรา เช่น อีกามาบินจิกตีกันในหมู่บ้านเวลากลางคืนก็มีพรายออกมาหากินเป็น ไก่บ้าง แมวบ้าง เป็นค่างตาแดงมาแถว ๆ ร้านเนื้อมาหากินเศษเนื้อเศษเลือดที่พวกเราค้าขายกันอยู่ด้วยแถวร้านสุดท้ายนี้แหละ .. เราอึ้งไปสักพักอะไรนะ ปอบมากินคนในหมู่บ้านเรา ... มันจะเป็นไปได้ไงเรายังไม่อยากจะเชื่อเลย

    ... เราเลยแมสเสสถามน้องสาวเราที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านได้ความว่า ..


    " กะเจ้าเว้าว่าปอบเข้าบ้านเฮาตอนแรกมันกะไปเข้าอ้ายฝน แล้วกะมายายที่จัดงานไปแล้วกะมาเข้ายายแตยายแตกะตาย " ... ( ชาวบ้านบอกว่ามีปอบเข้ามาในหมู่บ้านของเราตอนแรกมันไปเข้าผู้ชายชื่อ ฝน แล้วก็มายายศพที่ 2 แล้วก้เข้ายายแตกินยายแตจนตาย )

    ... เราเก็บความสงสัยไว้ตั้งแต่ตอนนั้นเพราะเราต้องทำงานตอนค่ำจึงอดใจไว้รอตอนเย็นก่อนรอตื่นนอนค่อยไปสืบข่าวเรื่องนี้อีกที ...
     
  6. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .... เราตื่นนอนตอนบ่าย 3 วันนี้พออาบน้ำแต่งตัวแล้วเราก็ไปบ้านงานศพ เราจอดรถไว้หน้าบ้านยายแล้วเดินไปสิบกว่าก้าวก็ถึงบ้านงาน .. เราเจอยายนั้งอยู่ในงานเราเลยไปกราบศพอาแตกล่าวอุทิศบุญให้ และ ขออโหสิกรรมจากอาแต ... เราได้ทำบุญร่วมงานศพอาแตด้วยเงินส่วนตัวของเราเองแล้วเราก็เดินไปหาน้องสาวของเราซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน .. น้องสาวเราคนนี้ท้องได้ 5 เดือนแล้วเรารักน้องสาวคนนี้มาก ๆ ไปเจอกำลังนั้งกินข้าวอยุ่พอดีเลยเข้าไปนั้งคุย

    ... น้องสาวเล่าให้ฟังว่าก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ ปอบได้ไปเข้าเข้าเพื่อนผู้ชายเราชื่อ ฝน มันมีเรื่องตกใจอย่างมากพอมันกลับมาที่บ้านในตอนเย็น มันก็นั้งเหม่อลอยพูดคนเดียวใจความว่า " ทำไมคนมาเยอะจัง .. พรุ้งนี้เขาจะมารับนะ " พอวันต่อมาเจ้าฝนมันก็ทุรนทุรายจะออกจากบ้านให้ได้จนพอกับแม่ห้ามไว้แทบไม่ทัน ....
     
  7. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    งานงอก อุตส่าห์พิมจนจะเสร็ลแล้ว หายหมดเลย :':)'(
     
  8. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... หลังจากนั้นก็มีคนตายศพแรกผูชาย ศพ 2 เป็นยายใกล้บ้านเรา ส่วนยายแตแกเป็นคนแข็งแรงดีไม่มีโรง แกเดินไปซื้อกับข้าวที่ร้านยายหนูปุ่นช่วงเย็นก่อนวันที่แกจะเข้าโรงบาล .. อยู่ ๆ แกเดินไปถึงหน้าร้านค้าอยู่ ๆ แกก็ล้มหงายหลังตึ้งทันที ... เลือดแตกออกจากทวาร .. ชาวบ้านเอาแกใส่รถเข็นมาบ้านแก ...

    .... ยายม๋วยเป็นเรียกสติยายแตชาวบ้านมาดูหลายคนมาก น้องสาวเราก็มาดูด้วยเพราะยายม๋วยคือแม่มันเอง ยายแตนอนตาขวางแถมเป็นอัมพาตครึ่งซีกด้านขวา น้องสาวบอกว่ายายแตจ้องหน้ามันตาขวางตลอดเวลาจนมันกลัว แม่มันเลยไล่มันให้ออกไปแล้วพายายแตส่งโรงพยาบาล .. ตกกลางคืนไอ้เล็กลูกชายแกมาแวะที่ร้านเรา เรายังแซวมันเลยว่าแต่งตัวหล่อจังไปเที่ยวไหน ... มันตอบว่าแม่มันเข้าโรงบาลห้องไอซียู เรายังไม่รู้เรื่องเลยว่าเพราะอะไร ... แล้วยายแตก็ตายในวันที่ 21/5/56

    .... วันที่ 22/5/56 ยายแตจะเผาที่วัดบ้านดินดำ เราเองก็ต้องไปร่วมงานด้วยบ่าย 3 หวังว่าคงจะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นหรอกนะ ...
     
  9. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... น้องสาวเรายังบอกอีกว่า ... แม่มันไปดูกับวัดที่ขอนแก่นท่านบอกว่ามี ปอบ 2 ตน มันแอบซ่อนอยู่ตัวหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมันแถวชายป่า ... และรู้ว่าที่ตรงไหน อีกตนไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน หนึ่งในนั้นเป็น ปอบผู้หญิงสูงวัย ... สะดุดใจมากคำนนี้เพราะเราก็ฝันถึงผู้หญิงแก่ที่มาแสดงตนว่าเป็นปอบที่อยู่มานาน ... และหวั่นใจว่าตัวที่ยังหาไม่เจอมันคงอยู่แถว ๆ ร้านที่เราอาศัยอยู่ ณ ปัจจุบัน ... เพราะที่นี้มีแต่เลือดอาหารสด ๆ มากที่สุด ... เรามีอาการแปลก ๆ มาหลายวันแล้วด้วย เช่น หน้ามืด ปวดบ่าซ้ายเหมือนมีใครมากด หรือ เหยียบบ่า ซึ่งปกติจะไม่เป็น

    ... ยายคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นปอบเคยไปรักษากับพระอาจารย์ของเราด้วย ท่านสวดมนต์ให้ได้สองวันเท่านั้นเอง วันที่ 3 ยายคนนั้นก็หนีไปกาฬสินธ์ .. งานนี้ต้องไปถามท่านสะหน่อยละ อิอิ ทำไงได้เราพวกอยากรู้อยากเห็นนี้นา ...
     
  10. GROLY

    GROLY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    2,019
    ค่าพลัง:
    +8,001
    รออ่านต่อครับ ผมเคยไปอยู่แถวบุรีรัมย์ มหาสารคาม ช่วงผีแม่ม่ายกำลังดัง กลางคืนบรรยากาศสยองดีครับ มีตุ๊กตาอยู่หน้าบ้านเพิ่มบรรยากาศความสยองด้วย55
     
  11. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... น่าเสียดายวันนี้เราติ่นไม่ทันไปร่วมงานศพ มีแค่แม่เราที่ไปร่วมงาน ชาวบ้านช่วยกันออกค่างานศพช่วยเพราะพอดีบ้านแกไม่ค่อยมีตังค์คะ แกบ้านเดิมเป็นคนอยุทธยาก็มียาติมาร่วมงานเหมือนกัน .. ต้องขอโทาด้วยนะคะ เลยไม่มีเรื่องมาเล่าตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ ...
     
  12. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .... อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ ขอเอาจากประสบการณืที่ผ่าน ๆ มา แล้ว สังเกตได้ว่า ..


    .. จริง ๆ แล้ว วิชาที่เป็นไสยย์ดำมักจะมีอาถรรพ์วิชาอยู่สูงมากทำให้ผู้เรียนมีโอกาศเป็น ปอบ สูงเพราะวิชาพวกนี้ประกอบไปด้วยจิตใจที่มีแต่ความอยากสนองตัณหาของตนเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เพื่อให้ได้มา และ เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม ... ส่วนมากจะมีอยู่ในอวิชาทั้งสิ้น ยิ่งมีจิตใจที่มืดดำ โสมม หลงผิด คิดอาฆาตร มุ่งร้าย มากแค่ไหนจะยิ่งทวีกำลังให้แกวิชานั้นมากเป็นเท่าทวีคูณ ด้วยหลักการที่ว่า " สิ่งที่เหมือน หรือ คล้ายกันมักดึงดูดเข้าหากันเสมอ " ความชั่วยอมดึงคนชั่ว และ สิ่งชั่วร้ายเข้าหา พวก อสุรกาย ผีห่า ซาตาน พญามาร ก็จะเข้ามาหาพวกที่เรียนวิชานี้จนกลายเป็น " อาถรรพ์วิชา " รอเวลาที่จะครอบงำพวกที่เรียนให้กลายเป็น " ปอบ " เปรียบเหมือนคำสาปที่หอมหวาน ... เพราะทั้งที่รู้ว่าไม่ดี ... แต่คนก็แสวงหาอวิชาพวกนี้อยู่ดีเพื่อสนองตัณหาของตนเอง ... จนลืมความน่ากลัวของมัน คิดแต่ว่าตนเองจะไม่หลงพลาดพลั้งจนต้องกลายเป็นเปรตเดินดิน ตนเองเก่งกาจสามารถเหนือผู้อื่น ... เมื่อความหลงเข้าครอบงำจนปัญญามืดบอด ความกระหายอยาก ความโลภ ก็จะครอบงำตาม จนพาให้ตนต้องกระทำผิด " คำครู " เมื่อนั้นความวิบัตจะถามหา .. สุดท้ายกลายเป็นทาสอวิชาจนตาย แม้แต่วิญญาณก็ต้องเป็นทาสมันอย่างน่าสลดใจ ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีแค่ วันนี้ พรุ้งนี้ เสียเมื่อไหร่ยังต้องอยู่ไปอีกนาน จะไม่มีสักครั้งเลยรึที่จะไม่พลาดท่าเสียที ... ลองคิดดูกันว่าจริงหรือไม่ ...
     
  13. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    ข้าน้อยก็นึกว่า วิชาไสยเวท
    ยุคนี้ น่าจะหาคนสืบทอดได้ยากยิ่งแล้ว

    พอมาๆไปๆ ก็ยังเหลืออยู่เยอะแยะเนอะ

    ตอน เด็ก ๆ คุณปู่(เป็นมรรคทายก)
    ชอบเล่านิทานให้ฟัง เรื่อง ผี กะ(คงคล้ายๆปอบของทางอีสาน นะคะ) ผีโพง(ที่เรืองแสงกินกบเขียดดิบๆ เป็นๆ)

    ปู่ก็จะ ให้สังเกตุ คนที่เป็น ผีกะ ผีปอบ ว่า ใช่เค้ายิ่งดึกยิ่งจะดูดี
    หากเลี้ยงไม่ดี ผีนั้นจะออกหากินเอง โดยมา ในรูปลักษณ์ของเจ้าของที่เลี้ยง มาเลียกิน เลือด แถวๆ โรงฆ่าสัตว์ ตอนเช้ามืดบ้าง ยามดึกสงัดบ้าง

    แล้วก็มีที่ ไปสิงชาวบ้านคนชะตาคล้อยต้อยต่ำลง บ้าง
    วิธีไล่ก็ ใช้อาจารย์คนมีวิชา คล้ายๆ กะทางอีสานเลย คือให้ ก้านไพล จิ้มๆ ไล่ออกไป หวายอาคมบ้าง
    โกนหม้อข้าวดำๆ บ้างฯลฯ

    ปู่บอกว่า ในหมู่บ้านเราก็มี ผีกะ(ปอบ)
    แล้วก็มีปู่อาจารย์ที่มีวิชาเข้มขลัง อยู่สามารถปราบทรมาณปอบได้
    แต่ ปู่อาจารย์เหล่านี้ใจดี หากผีไม่ได้ไปทำอันตราย หรือเดือดร้อนให้ใคร
    ปู่อาจารย์ และชาวบ้าน ก็ ไม่ได้ไปขับไล่เกลียดชังอะไร

    เคยได้ยินว่า
    ปู่อาจารย์ คนนี้ เคยเดินไป ในซอย บ้านคนเป็นผีกะ
    แล้วเสกก้อนกรวด โรย ไปตามทาง
    คนที่เป็นผีกะ ก็ร้องให้ อ้อนวอน บอกว่าร้อน ออกไปจากบ้านไม่ได้แล้ว
    พ่อปู่อย่าแกล้งกันเลย

    ปู่อาจารย์สงสารเมตตา ก็คลายอาคม ไป

    แต่เด็ก เห็นคนที่เป็นผีกะ จะร้องให้โยเย ไม่ค่อยหยุดร้อง ต้องให้คนมีศีลมีธรรมผูกข้อมือ ท่องคาถาให้จึงจะหยุดร้อง


    ตอนนี้ ก็ผ่านมาหลายปี พ่อปู่อาจารย์ ต่างๆ แก่ตาย ไปหมดแล้ว

    แต่ผีกะ ได้ยินว่ายังอยู่ ร่ำรวยดี

    เคยถาม พ่อ ข้าน้อย ว่า เหตุใด พ่อปู่อาจารย์ผู้มีวิชา แก่ๆ นั้น ไม่ค่อยสืบทอดสรรพวิชาให้ลูกหลาน เลยล่ะ ทั้งวิชา คงกระพันยิงไม่เข้าแทงไม่ออก ปราบผี หายตัว ฯลฯ

    พ่อ ตอบว่า ของพวกนี้ร้อน
    ก่อนจะตายเค้าร้อนทุรนทุราย สงสารลูกหลาน เลยไม่ยอมถ่ายทอด ก็เลยให้ตายกะตัวเค้าเค้า ดีกว่า

    แถวบ้านข้าน้อย ปัจจุบันเลย ไม่มีข่าวว่ามีจอมขมังเวทย์ อยู่เลย
     
  14. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    น่าเศร้าใจ จังเลยค่ะ

    มาอ่านของคุณกาลีนะ ก็ ชักเป็นห่วงลูกน้อง
    เพราะ แกมีใจชอบ ฝึกวิชาคาถาอาคมเหลือเกิน

    แกเห็นผีบ่อยๆ ด้วย
    เคืองใคร มันก็ขู่เสกหนังควายเข้าท้องเค้า บ้าง ขู่จะฟ้องพ่อบ้าง(ไม่เหมือนลูกพี่มันขู่ว่า จะร้องให้นะ)

    เลยสงสัยว่า ที่แกกินเยอะๆ (บอกว่าผมกินเท่าไรก็ไม่ค่อยอิ่ม ยาถ่ายพยาธิก็กินแล้ว)
    เนี่ย เพราะ ผีที่อยู่กะแกหิวด้วยรึป่าว หือ
    ที่ชอบกิน ลาบเลือด กุ้งดิบจิ้มน้ำจิ้ม ก้อย ฯลฯ
    พวกนี้ เพราะ ความต้องการ ของตัวเอง หรือผี นะ หือ...
    พอเราบ่นแก ทำนองนี้
    แกก็ว่าแกเรียนไว้ช่วยคน


    ข้าน้อยจะ ทำอย่างไรดีน้อ ช่วยคิดหน่อยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2013
  15. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... วิชาอาคมมันก็มีคะแต่จางลงกว่าเก่าเพราะส่วนมากถือกันไม่ได้ หรือ ตายไปกับเจ้าของ ... แต่ที่มีอยู่ทุกวันนี้ คือ พวก " กลายพันธุ์ " มากกว่า ... คือ พวกที่รู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่แตกฉาน ใช้ดูแลรักษาไม่เป็น .. พวกเอาวิชามาสนองตัณหาของตัวเอง อย่างพวกไปทำเสน่ห์ พวกเล่นว่าน สีนวดฯ หลงไปกับมายาลวงตา ความโลภ มารทั้ง 5 จนวิชาเข้าตัวเอง ... พวกนี้แหละคะที่จะกลายเป็น เปรตเดินดิน .. หรือ ที่เรียกว่า ปอบ ... ตามความเข้าใจของเรานะ ผีก๊ะ ของเหนือก็เป็นปอบนี้แหละคะ .. ถ้าไม่อะไรจริง ๆ ไม่ดุร้ายคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2013
  16. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... วันนี้เพิ่งนึกได้เรื่องเก่านานมากละประมาณปี 40 ตอนนั้นเรามาอยู่สารคามใหม่ ๆ อาศัยอยู่กับตาทองดำพ่อของแม่แค่สองคน .. ตอนนั้นกำลังมีการเริ่มเลี้ยงปลานิลในกระชังใหม่ ๆ ชาวบ้านจะทำแพปลาไว้ในแม่น้ำชีเพราะหมู่บ้านเราติดแม่น้ำชี เกือบทุกปีน้ำชีจะท่วมขึ้นมาเกือบท่วมหมู่บ้าน .. ได้มีหม้อดินเผาใบหนึ่งมีผ้ายันต์พร้อมสายสินญ์ลอยมาติดแพปลาชาวบ้านแล้วมีคนเขี่ยทิ้งเรื่อยมาจนถึงแพปลาของพี่คนหนึ่งที่เป็นญาติกัน ... ความจริงถ้านับไล่เรียงแล้วก็เป็นญาติกันเกือบทั้งหมู่บ้านแหละคะ .. พี่แกไม่เขี่ยไอ้เจ้าหม้อใบนี้ทิ้งแกดันไปเปิดดูว่าข้างในมีอะไรด้วยความที่แกเป็นวัยรุ่นในสมัยนั้นเลยห้าวคะ พอเปิดดูข้างในหม้อแกนี้ผงะเลย (ฟังแกเล่ามาอีกที) เพราะกลิ่นที่เหม็นมากจากในหม้อมันมาเตะจมูกแกอย่างจัง ข้างในมีพวกเครื่องในของสัตวือะไรไม่รู้เน่าหนอนไชอยู่เต็มไปหมด ... แค่นั้นแหละแกอ๊วกแตกรีบปล่อยหม้อทิ้งน้ำไปเลย ... แล้วแกก็ไม่ยอมบอกใครว่าแกไปเจออะไรมา ... จนเกิดเรื่องในหมู่บ้านมีคนตายไป 3 ศพติดต่อกันแบบงานต่องานเลย แกถึงมาเล่าให้ชาวบ้านฟัง ...

    ... ในความเป็นจริงสมัยนั้นมักจะมีเรื่องแปลก ๆ แบบนี้บ่อย ๆ เราเองก็เคยเจอตอนเป้นเด็กไปทำสวนกับยายตรงริมแม่น้ำ เรามักเห็นถุงปุ๋ยลอยมากับน้ำเกือบทุกวัน พอถามยายแกก็บอกว่าอย่าไปยุ่งนะ .. นั้นนะถุงใส่ศพคนเขาปล่อยลอยมากับน้ำ ... ประมาณว่าฆ่าหั่นศพแล้วเอาใส่ถุงมาลอยทิ้งน้ำ สมัยก่อนคงเคยได้ยินเรื่องการฆ่าคนเอาอวัยวะมาขายนะคะ บางทีก็ศพเด็กบ้าง เพราะเคยมีแม่ค้าในหมู่บ้านใต้ลงไปไกลพอสมควรเคยพายเรือไปแล้วเก็บถุงปุ๋ยมาเปิดดูกลายเป็นศพคนตายจนเป็นที่โจดจันกัน ... มีเหรอคนอย่างเราจะกล้าเสี่ยง ได้แต่นั้งมองดูมันลอยผ่านหน้าไปส่วนมากถ้ามันไปติดตรงไหนชาวบ้านจะเขี่ยให้ลอยต่อไปไม่แกะดูกันอันนี้จะเป็นที่รู้กันดีของคนแถบนี้ ....

    .... ศพที่ตายในหมู่บ้านศพแรกเราจำไม่ได้ว่าเป็นใคร .. แต่ศพที่สองเราจำได้ดีเพราะเป็นเป็นศพตาเราเองที่ตาย ในวันที่แกเสียนั้นช่วงเช้ามืดเราฝันประหลาด เราฝันว่าเราย้อนกลับไปเป็นเด็ก 9 ขวบ เล่นอยู่ในห้องนอนเราชั้น 2 ติดถนน เราได้ยินเสียงผู้ชายเรียกชื่อเราดัง ๆ ตรงหน้าบ้าน บอกก่อนนะว่าบ้านเราอยู่ตรงสี่แยกหลักบ้านพอดี เรารู้สึกกลัวมากเรารู้ว่านี้คืดความฝันของเราเองเรายังไม่ตื่นแน่นอน .. เราเลยไปแอบดูว่าเสียงใครที่เรียกหาเราเพราะมันไม่คุ้นหูเลยเราไม่กล้าขานรับ .. เป็นผู้ชายวัยกลางคนใส่ชุดสีขาวทั้งชุดเสื้อขาวมีผ้าขาวพาดบ่าใสโจงกระเบนสีขาวมีไม้เท้า ผมหยักโศกสีดำรองทรงยาวผิวคล้ำ ๆ เดินมาจากทางตรงข้ามบ้านเรา เราแอบดูอยู่แบบนั้นไม่ขานรับที่เขาเรียกเขาก็เรียกอยู่แบบนั้น .. จนเราได้ยินเสียงตาเราเปิดประตูออกไปด่าผู้ชายคนนั้น " ...จะมาเรียกหาอะไรไปเลยนะอย่ามาทำแบบนี้ " เราตกใจมากตอนนั้น เพราะตาเราแกจะนอนอยู่ชั้นล่างหน้าทีวีอยู่แล้ว .. แล้วชายคนนั้นก็หายไป ...

    ... พอสักเจ็ดโมงเรารู้สึกตัวได้ยินเสียงตาขี่มอเตอร์ไซด์ออกไปข้างนอก แล้วเราก็นอนต่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงน้าศักดิ์ลุกชายของตาแกมาเรียกเราให้รีบแต่งตัวเพราะตาแกประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซด์กันที่ทางไปบ้านน้อยนาเราทางที่แกจะไปซื้อปลามาทำให้น้าเราที่มาจากกรุงเทพได้กินเพราะน้าคนนี้ชอบกินปลาแม่น้ำชีมาก ... เราถามน้าว่าแกขับไปชนได้ไง .. น้าศักดิ์บอกว่าแกก็ขับเหมือนปกติแกนั้นแหละ แค่ 20-30 เองแล้วตรงหัวโค้งมีมอเตอร์ไซร์อีกคันจอดอยู่แกก็ขับไปไงไม่รู้ชนรถคันนั้นแล้วก็สลบไปเลย .. มีเลือดออกจากหูจากจมูกจากปากด้วย .. ตากลายเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ได้ 5 วันยายจึงบอกหมอให้ถอดเครื่องช่วยหายใจออกดีกว่าเพราะแกอยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจแค่นั้นเอง .... แล้วงานศพตาก็ถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติของแกนั้นแหละ ...

    ... พองานศพตาผ่านไปไม่กี่วันก็มีศพที่สามตามมาเป็นบ้านที่ถัดจากบ้านเราไปแค่สองหลังทางออกไปท้ายหมู่บ้านแกเป็นคนไม่ค่อยจะเต็มเท่าไหร่แกช็อคตายล้มลงไปเลยไม่ทราบสาเหตุ .. ตอนงานศพเราเจอนกแสกบินตัดหน้าระยะสายตาจากบ้านงานเราตกใจกลัวมาก จากการสังเกตุพบว่าช่วงนั้นจะมีนกแสกมาอยู่ในหมู่บ้าน และ บินไปมาเวลากลางคืน เลยทำให้มีข่าวลือว่ามีปอบในหมู่บ้านชาวบ้านก็กลัวกันมาก พี่คนที่แกไปเก็บหม้อมาเปิดเลยมาเล่าให้คนเฒ่าคนแก่ฟังว่าแกไปเก็บหม้อดินเผาได้ใบหนึ่งมันลอยมากับกอสวะมาติดแพปลาแกเมื่อเดือนก่อนแกเลยเอามาเปิดดู .. ชาวบ้านเลยไปเอา " เซียงข้อง " มาไล่ปอบพร้อมกับทำพิธีสู่ขวัญในหมู่บ้าน แล้วทุกอย่างก็เงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนทุกวันนี้ .... ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกันไหม๊นะคะ ...
     
  17. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ....................... ผีกะ ..... เจต ภูติ .............

    ผีกะ เป็นผีพื้นบ้านทางภาคเหนือ ผีพวกนี้จะมีลักษณะคล้ายผีปอบ คือเข้าสิงในคน และชอบกินของสดของคาว
    คนที่เลี้ยงผีกะ เป็นคนที่มีวิชาอาคม เล่นคุณเล่นของ ผีกะจะถูกเลี้ยงไว้ในหม้อดิน โดยมีผ้ายันต์สีขาวปิดปากหม้อไว้ โดยจะวางไว้บนเพดานบ้าน เจ้าของจะเซ่นผีกะด้วยไข่ดิบวันละฟอง
    ผีกะ แต่เดิมคนที่เริ่มนำมาเผยแพร่ คือ พวกลิเก หรือ พวกนักดนตรี ที่แสดงการละเล่น เรียกว่าผีกะพระ-นาง ผีกะชนิดนี้มีลักษณะคล้ายวอกหรือค่าง ตัวเล็กๆสองตัว มักจะนั่งบนบ่าคนเลี้ยง ผีกะชนิดนี้มีคุณประโยชน์ตรงที่ หากใครเลี้ยงไว้ไม่ว่านักแสดงจะขี้เหร่แค่ไหน พอตกกลางคืนมันจะเลียหน้า ทำให้ยิ่งดึกยิ่งงดงาม การเลี้ยงผีกะจึงเป็นแฟชั่นของนักแสดงทางภาคเหนือในช่วงหนึ่งและเริ่มแพร่หลายสู่ภาคเหนือในจังหวัดต่างๆ จนกระทั่งแยกเป็นหลายชนิด ผีกะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ หากใครเลี้ยงไม่ดี ปล่อยให้ผีกะอดๆอยากๆ มันก็จะทำให้เจ้าของกลายสภาพเป็นกึ่งคนกึ่งภูติ ชอบสิงสู่ชาวบ้านกินตับไตไส้พุง ต้องหาหมอผีมาไล่ออกไปเป็นประจำ

    ชนิดของผีกะ

    ผีกะพระ-นาง

    ..... ผีกะต้นฉบับดั้งเดิม ไม่มีใครรู้ว่ามาจากที่ไหน แต่เป็นที่นิยมเลี้ยงกัน เพื่อให้มันเรียกคนดูมาชม ทำให้คนดูหลงใหลในการแสดงของนักแสดงคนนั้นๆ แม้ว่ากลางวันจะขี้เหร่แค่ไหน แต่ตอนกลางคืนผีกะสามารถทำให้นักแสดงคนนั้นๆสวยหรือหล่อหยาดฟ้ามาดินได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2013
  18. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ................. ผีกะดง ..... เจต ภูติ .............

    .... ไม่ต้องบอกว่าก็คงรู้ว่าผีกะชนิดนี้ปรากฏตัวอยู่ตามป่าตามดงตามชื่อที่ได้รับการกล่าวขาน เป็นผีกะไม่นิยมนำมาเลี้ยงไว้เหมือนกับผีกะพระ - นาง .. จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ บอกว่าผีกะดงนี้ มีอยู่จริงในนิทานพื้นบ้าน ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ผีกะชนิดนี้มีความดุร้าย วิ่งไวดุจลมพัด มักออกหากินเป็นฝูงในยามพลบค่ำ แต่น้ำลายของผีกะชนิดนี้วิเศษมาก สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ทุกชนิด ทำให้ร่างกายมีความคงกระพันชาตรี ดังมีเรื่องเล่าว่า มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง หลงรักลูกสาวของคหบดีในตัวเมือง แต่พ่อตาไม่ชอบเพราะว่าชายหนุ่มจน และจัดการให้ลูกสาวของตนแต่งงานกับชายหนุ่มที่มั่งคั่ง ฝ่ายเจ้าบ่าวเองก็ทราบเรื่องของเจ้าสาวดี จึงส่งคนมาทำร้ายคนรักของเจ้าสาว และหิ้วไปทิ้งในป่า ชายหนุ่มสะบักสะบอม เจ็บทั้งกายและใจ แต่ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ได้แต่ปลงต่อความตาย รอให้สัตว์ร้ายในป่ามากิน ประจวบกับเวลานั้น มีฝูงผีกะดงกำลังออกหากิน ลูกฝูงผีกะจับขาชายหนุ่มเพื่อลากไปเป็นอาหาร ชายหนุ่มนิ่งเงียบปลงต่อชีวิต หัวหน้าผีกะแปลกใจมาก จึงห้ามลูกฝูงและสอบถามเรื่องราว ชายหนุ่มเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด หัวหน้าผีกะเห็นใจ จึงบอกว่า หากชายหนุ่มยอมนับถือพวกตนเป็นผีประจำตระกูล จะช่วยให้ชายหนุ่มได้สมหวัง ชายหนุ่มตอบตกลง ผีกะจึงพากันรุมเลียตัวของชายหนุ่ม ด้วยอานุภาพน้ำลายบาดแผลจากการถูกทำร้ายหายสนิท ฝูงผีกะพาชายหนุ่มนั่งบนบ่า บุกบ้านแต่งงาน ลูกน้องของเจ้าบ่าวรุมทุบ รุมฟาดชายหนุ่ม แต่ก็ไม่อาจทำร้ายชายหนุ่มได้แม้ปลายขน เพราะฝูงผีกะดงกำบังตาไว้ และถีบลูกน้องจนกระเด็นตกเรือนกันหมด พวกผีกะพาเจ้าบ่าวและเจ้าสาวออกมาโดยสะดวก หัวหน้าผีกะให้ทองคำและสมบัติที่พวกตนเฝ้ารักษาไว้ ชายหนุ่มปฏิบัติตามคำสัญญาและนับถือผีกะเป็นผีประจำตระกูลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
     
  19. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ................ ผีกะอาคม ..... เจต ภูติ .............

    .... การเรียนวิชาอาคมในสมัยโบราณ ครูจะหวงวิชามาก ดังนั้นก่อนการเรียนจะต้องมีการขึ้นครูก่อนเสมอเพื่อให้อาคมนั้นสามารถรักษาผู้เรียนได้ มีคนบางคนที่เรียนอาคมโดยไม่ได้ขึ้นครูก่อน จึงโดนคำสาปที่ครูสาปแช่งไว้ในปั๊บหรือตำรานั้นๆ ทำให้กลายเป็นผีกะ ผีกะชนิดนี้จะสิงสู่ในตัวผู้เรียนโดยไม่รู้ตัว แต่ยามค่ำคืนมันจะออกไปหาอาหาร โดยแปลงตัวให้เหมือนหน้าร่างกายที่มันสิงอยู่

    ...................... ผีกะตระกูล .........................

    .... ผีกะอีกสายหนึ่งที่มีคุณอนันต์เช่นกัน ผีกะชนิดนี้เป็นที่นิยมเลี้ยงแพร่หลายของชาวภาคเหนือ วิธีสังเกตว่าบ้านไหนเลี้ยงผีกะ ให้ดูนาของบ้านนั้นๆ ไม่ว่านานั้นจะอยู่ที่ดอนหรือที่ลุ่ม ไม่ว่าฝนจะแล้งหรือฝนจะขาด นาของบ้านที่เลี้ยงผีกะจะอุดมสมบูรณ์เสมอ ไม่มีแมลงมากวน ไม่มีโรคระบาด ผีกะชนิดนี้เลี้ยงดีมีคุณมาก ถ้าเลี้ยงไม่ดีผีจะออกหากินสิงสู่ชาวบ้าน เมื่อโดนหมอผีไล่ มันก็จะประจานผู้เลี้ยงทำให้อับอายขายขี้หน้าชาวบ้าน.
    ผีกะอีกสายหนึ่งที่มีคุณอนันต์เช่นกัน ผีกะชนิดนี้เป็นที่นิยมเลี้ยงแพร่หลายของชาวภาคเหนือ วิธีสังเกตว่าบ้านไหนเลี้ยงผีกะ ให้ดูนาของบ้านนั้นๆ ไม่ว่านานั้นจะอยู่ที่ดอนหรือที่ลุ่ม ไม่ว่าฝนจะแล้งหรือฝนจะขาด นาของบ้านที่เลี้ยงผีกะจะอุดมสมบูรณ์เสมอ ไม่มีแมลงมากวน ไม่มีโรคระบาด ผีกะชนิดนี้เลี้ยงดีมีคุณมาก ถ้าเลี้ยงไม่ดีผีจะออกหากินสิงสู่ชาวบ้าน เมื่อโดนหมอผีไล่ มันก็จะประจานผู้เลี้ยงทำให้อับอายขายขี้หน้าชาวบ้าน.

    ......................... ผีกะตายโหง ...........................

    .... คนบางคนเมื่อตายโหง จิตใจยังพะวกพะวนกับโลก จึงสิงสู่ในที่ๆตนตาย แต่เพราะความยึดถือในกายว่าตนยังไม่ตาย เมื่อไม่ได้กินอะไรนานๆเข้า มันหิวกระหาย จึงสิงสู่คนผู้มีจิตอ่อนแอทำให้กลายเป็นผีกะโดยไม่รู้ตัว ผีกะชนิดนี้มีอยู่จริงๆ จากเรื่องเล่าของแม่อุ้ยท่านหนึ่ง ว่า มีคนผู้หนึ่งชื่อ หนานเจต ทำนาที่ริมเขตเมืองเก่าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย(ทางอำเภอเชียงของ) โดยไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นเคยมีคนถูกควายขวิดตาย วิญญาณของคนผู้นั้นจึงสิงสู่หนานเจต พอค่ำลงที่ใกล้ๆหนานเจตนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งทำนาอยู่ หนานเจตเดินเข้ามาหาชาวบ้านคนนั้น ชาวบ้านถามว่ามีอะไร หนานเจตไม่ตอบแต่ดวงตาค่อยๆแดงก่ำและมีเขี้ยวงอกออกมา กระโจนเข้าหาชาวบ้านผู้นั้น ชาวบ้านคนนั้นวิ่งหนีลงมาจากระท่อมนาอย่างขวัญกระเจิง มาหาพ่อของย่าที่กำลังนอนอยู่ บอกให้ช่วยไล่ผีไปที พ่อของย่าจึงถือไม้ไผ่และสายสิญจน์เดินไปดู แต่หนานเจตกลับไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ยังคงนอนหลับอยู่ที่ห้าง ผีกะชนิดนี้จึงอาศัยร่างต้นเหมือนปรสิตวิญญาณ จะพาร่างกายออกหากินในยามเจ้าของหลับ

    .......................... นกเค้าผีกะ ............................

    .... ผีกะชนิดนี้มีทูตเป็นนกเค้าแมว สังเกตได้ง่ายว่าหากจะมีผีกะมาเยือนหมู่บ้านไหน กลางคืนคืนนั้นจะมีนกเค้าแมวมาร้อง ทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูที่นกควรร้อง(ฤดูหนาว) รุ่งเช้าคนที่เข้ามาหมู่บ้าน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผีกะ.
     
  20. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    .................... ผีกะ ..... เจต ภูติ ...............

    .... บางตำราบอกว่า " นกเค้าผีกะ " คือ ผีกะที่มีสัตว์พาหนะเป็นนกเค้าแมว ภาษาเหนือเรียกว่า " นกเก๊าผีกะ " เชื่อว่าเมื่อได้เห็นนกชนิดนี้ที่ไหนใกล้ ๆ บริเวณนั้นจะต้องมีผีกะอยู่ด้วย

    ... สำหรับหนุ่ม ๆ เวลาไปจีบสาวบ้านใด หากว่าก่อนจะขึ้นเรือนหรือตอนขากลับมีเสียงนกเค้าแมวร้องส่ง สาวบ้านนั้นชวนสงสัยว่าเป็นผีกะ และหากใครฝันเห็นหมาดำ หรือ แมวดำมาไล่ฟัดกัดสู้ ก็ให้ต้องนึกย้อนว่าเมื่อตอนกลางวันได้พบเจอกับใครบ้างที่น่าชวนทะเลาะ ก็ให้เชื่อได้ว่าคนนั้นแหละเป็นผีกะ

    ... ผีกะมักจะเป็นผู้หญิงมากกว่าชาย ตามคำบอกเล่ากล่าวว่า หากได้กินข้าวร่วมกันเกินร้อยไห คนผู้นั้นจะเป็นผีกะ กลายเป็นผีกะทั้งครอบครัว หากเคยเป็นผีกะที่ได้รับเชื่อผีกะเต็ม ๆ ภายในร้อยวันจะกลายเป็นผีกะไปด้วย

    ... นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวว่า สาวที่เป็นผีกะจะสวยงามเป็นพิเศษ หรือ หญิงสาวที่อยู่ในตระกูลผีกะ จะมีความงามมากกว่าสาวทุกครอบครัวในหมู่บ้าน แต่มักจะเป็นสาวแก่เสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าหนุ่ม ๆ ทั้งหลายมักพากันรังเกรียจกลัวได้กินข้าวร่วมไห

    .... วิธีสังเกตสาวผีกะ คือ สาวนั้นยิ่งดึกจะยิ่งสวย เล่ากันอีกว่าหากใคร่พิสูจน์แน่ชัดว่าเป็น หรือ ไม่เป็น ให้ใช้ใบตองใบสุดท้ายที่ปกเครือกล้วยมาเสกคาถาแล้วมองลอดใบกล้วยนั้น หรือ จะใช้ใบพลูเสกก็ได้ หรือ ใช้คาถาเสกแล้วมองลอกหว่างขาของตน จะเห็นลิงวอกคู่หนึ่งเกาะไหล่เลียใบหน้าสาวคนนั้นสาวจึงงามผุดผาดหน้าใสยิ่งกว่าใช้ครีม

    .... ผีกะจะสืบเชื่อสายจากทางแม่ หากตระกูลไหนดูแลผีไม่ถูกเรียก " เลี้ยงบ่ดีพลีบ่ถูก " ผีตระกูลจะกลายเป็นผีกะ เข้าสิงคนอื่นเจ้าของผีให้ขายหน้า ด้วยเหตุนี้ทำให้สาว ๆ แม่ร้างแม่เรือนจึงดูแลคนเฒ่าแก่ รักษาชื่อเสียงของตระกูล ไม่นอกรีดนอกรอย ถ้าทำตัวดีผีตระกูลจะส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรือง หากนอกรีดนอกรอยระวังจะกลายเป็น ผีกะ


    .... นี้เป็นส่วนหนึ่งจากหนังสือชื่อ เปิดตำนานผีไทย เขียนโดย เจต ภูติ... เราได้มาอ่านแล้วเห็นว่าให้ความรู้ดีมากจึงนำมาลงให้อ่านกันนะคะ ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...