ปรัชญาแห่งพุทธศาสนาฝ่ายเหนือ (มหายาน-วัชรยาน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เทพธรรมบาล, 14 มกราคม 2012.

  1. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    โมทนา ๆๆๆ...(ชอบโมทนาครับ ใครวางธรรมเข้าถึงจิตเรา เราก็โมทนา ก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา
    ไม่เกี่ยวกับใครนะ ท่านซันด๊อก..)
     
  2. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840

    ขอกราบอนุโมทนาครับ ^^
     
  3. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=p_Q0SngRwDw]For The Light - YouTube[/ame]​

    ในวัชรยานมีการบำเพ็ญชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ทงเลน" เป็นวิชาของพระโพธิสัตว์ เป็นการขอรับความทุกข์ของผู้อื่นมาเป็นของตนแล้วส่งความสุขความเจริญที่ตนมีให้ผู้อื่น เป็นการเจริญโพธิจิตบำเพ็ญบารมีที่ให้ผลยิ่งใหญ่ เพราะเป็นการเดินหน้าเข้าหาความทุกข์โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆให้ตนเองเลย ผู้ที่มีโพธิจิตอันใช้การได้และมีสัจจะปณิธานอันทรงพลัง ย่อมสามารถรับความทุกข์ที่ผู้อื่นมีอยู่มาเป็นของตนเองและส่งความสุขความเจริญให้ผู้อื่นได้จริง สหายธรรมวัชรยานเล่าให้ sun dog ฟังว่าพระลามะหลายรูปสามารถรับแผลขี้เรื้อนของสุนัขเข้ามาไว้เป็นของตนเองและเยียวยารักษาสุนัขให้หายจากบาดแผลนั้นได้ ผู้สำเร็จวิชานี้คือผู้มีโพธิจิตอันยิ่งใหญ่แห่งพระโพธิสัตว์ มีบารมีเป็นอุปบารมีถึงปรมัตถบารมี สามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้โดยง่ายเมื่อถึงกาลอันสมควร

    ความจริงแล้ว อันว่าวิบากกรรมนั้นไม่สามารถรับแทนกันได้ แต่ที่เราเห็นเสมือนว่าผู้สำเร็จวิชาทงเลนสามารถรับวิบากแทนผู้อื่นและรักษาเยียวยาผู้อื่นได้นั้นเป็นพลังอันยิ่งใหญ่แห่งโพธิจิตและสัจจะปณิธานตามกฎแห่งกรรม อุปมาเหมือนเราเห็นผู้อื่นแปดเปื้อนไปด้วยมูธคูธแล้วเราปรารภนาให้เขาสะอาดเราจึงเอื้อมมือไปจับเอาสิ่งสกปรกนั้นออกจากตัวเขา ผลคือเขาสะอาดขึ้นและตัวเราสกปรก ความสามารถในการเอื้อมมือเข้าไปคือพลังแห่งโพธิจิตและสัจจะอธิษฐาน เป็นไปตามกฎแห่งกรรมตามธรรมชาติไม่ผิดเพี้ยน

    ถามว่าผู้ที่เราช่วยเขาจะพ้นจากวิบากมูธคูธโดยเด็ดขาดหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับตัวเขาว่ายังพอใจจะนอนเกลือกกลั้วด้วยมูธคูธอยู่หรือว่าจะลุกออกมา อันนี้ก็เป็นกรรมที่เขาจะต้องก่อเอง ลุกออกมาเอง ต่อให้เราอุ้มเขาออกมาเขาย่อมสามารถกลับเข้าไปเกลือกกลั้วใหม่ได้หากในใจยังนิยมอยู่ด้วยมูธคูธอย่างนั้น อันนี้ก็เป็นไปตามกฎแห่งกรรมตามธรรมชาติไม่ผิดเพี้ยนอีกเช่นกัน

    จ้า
     
  4. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    สัจจะหรือความตรงต่อตนเองมีพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ แม้แม่น้ำคงคาก็สามารถทำให้ไหลย้อนหลับได้ด้วยพลังแห่งสัจจะอธิษฐานนั้น ดังเช่นหญิงคณิกาผู้ตรงต่อการปรนนิบัติแขกผู้หนึ่งได้เคยกระทำให้เกิดขึ้นมาแล้วในมิลินทปัญหา

    จ้า
     
  5. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    บอก บุญนะจ๊ะ ๆ
    <object width="420" height="315"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/BR1BHl49_oc?version=3&amp;hl=th_TH"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/BR1BHl49_oc?version=3&amp;hl=th_TH" type="application/x-shockwave-flash" width="420" height="315" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>

    กำหนดการณ์พิธีหล่อองค์พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ณ วัดเก่าโบราณ จ.ชลบุรี
    วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๕ (ตรงกับวันประสูติพระโพธิสัตว์กวนอิม)
    ๐๙.๐๐ น. ลงทะเบียน ร่วมบุญเข้ากองทุน"สร้างพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เพื่อรักษาพระภิกษุอาพาธ"และรับของที่ระลึก
    ๑๐.๑๙ น. ฤกษ์หล่อองค์พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ๑๐๘ องค์ คณะสงฆ์เจริญพุทธชัยมงคลคาถา คณะศิษย์ฯยสเส ๒ ร่วมสาธยายพระสูตร"พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร"
    ๑๑.๐๐ น. ร่วมถวายภัตตาหารเพล
    ๑๓.๐๐ น. คณะศิษย์ฯยสเส ๒ สาธยายพระสูตร"มหากรุณาขมากรรม"และ"สัทธรรมปุณฑริกสูตรพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์สมันตมุขปริวรรค"เนื่องในวันประสูติองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม

    *สำรองที่นั่ง(รถตู้) โทร. ๐๘๖-๙๙๓-๖๗๙๖ "เจนพัฒน์" ขึ้นรถก่อน ๖.๔๐ น.
     
  6. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    [​IMG]

    วันนี้เป็นวัน คุรุปัทมสมภพ นะจ๊ะ นะจ๊ะ หากไม่ได้ร่วมสวดมนต์ ก็สามารถ เจริญอนุตสติภาวนา ระลึกถึง พระคุรุ ก็ได้นะจ๊ะๆ


    " โอม อา โฮง เบนจา กูรู เปะมา สิทธิโฮง "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2012
  7. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    ปฎิทิน ปฏิบัติภาวนาสมาธิของ ริโวเช่ธรรมสถาน ทุกวันที่ 10 ตามปฏิทินธิเบต

    วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2555 10ทิเบตเดือน1 วันกูรูริมโปเช

    วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2555 10ทิเบตเดือน2 วันกูรูริมโปเช

    วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2555 10ทิเบตเดือน3 วันกูรูริมโปเช

    วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2555 10ทิเบตเดือน4 วันกูรูริมโปเช

    วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2555 10ทิเบตเดือน5 วันกูรูริมโปเช

    วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2555 10ทิเบตเดือน6 วันกูรูริมโปเช

    วันอาทิตย์ 26 สิงหาคม 2555 วันประสูติ 10ทิเบตเดือน7 วันกูรูริมโปเช

    วันอังคารที่ 25 กันยายน 2555 10ทิเบตเดือน8 วันกูรูริมโปเช

    วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2555 10ทิเบตเดือน9 วันกูรูริมโปเช

    วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน2555 10ทิเบตเดือน10 วันกูรูริมโปเช

    วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2555 10ทิเบตเดือน11 วันกูรูริมโปเช

    วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2556 10ทิเบตเดือน12 วันกูรูริมโปเช

    1 เรียนเชิญผู้ต้องการบำเพ็ญกุศล ภาวนาสมาธิในแบบทิเบต เข้าร่วมปฏิบัติในวัน กูรูริมโปเช่ ตามตารางวันข้างบน เวลา 14.00น-16.00น. ณ.โรงเจอีธงกักอ้วง (วัดภิกษุณี) เลขที่ 134 ซอยโรงเรียนเทศบาล 4 ถนนจักกะพาก จังหวัด สมุทรปราการ 10280 โทร 02-387-0567

    <object width="420" height="315"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/v3Z6r3h1sYQ?version=3&amp;hl=th_TH"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/v3Z6r3h1sYQ?version=3&amp;hl=th_TH" type="application/x-shockwave-flash" width="420" height="315" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>​

    http://www.mahayana.in.th/หน้าแรก.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2012
  8. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    [​IMG]

    “อาตมามิได้ไปหรือมา ผู้ที่มีศรัทธาอาตมาจะสำแดงให้เห็นตรงเบื้องหน้าและถ่ายทอดพระธรรมให้ ทุกเดือนวันที่ 10 อาตมาจะมาสอดส่องดูแลเหล่าสาวกทั้งหลาย”

    ***โอม อา โฮง เบนจา กูรู เปะมา สิทธิ โฮง***
     
  9. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    โมทนาในทุกการกระทำที่เป็นกุศลครับ..โชคดีมีสุข..นิรันดร์..
     
  10. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    โอ๊ย ข่อยไม่ใช่อภิบาลนะจ๊ะ ข่อยก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้นเอง
     
  11. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    การเข้าสู่มหาวิมุตติ โดยผ่านการสดับฟัง



    ขอถวายสักการะแด่บรรดาเหล่าคุรุ
    พระอมิตตาภพุทธ ผู้มีรัศมีอันหาที่สุดมิได้ - ธรรมกาย
    ปทุมเทพแห่งสันติ และความพิโรธโกรธา - สัมโภคกาย
    คุรุปัทมะสัมภวะ เทพอารักษ์แห่งสรรพสัตว์ - นิรมาณกาย

    คัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " เล่มนี้ เป็นหนทางที่ใช้ปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขในบาร์โดสำหรับบรรดาผู้ฝึกโยคศาสตร์ที่มีความสามารถพอประมาณ คัมภีร์เล่มนี้แบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งได้แก่คำแนะนำสำหรับผู้ฝึกฝน ส่วนที่สองได้แก่เนื้อหาแห่งคัมภีร์ ส่วนทีสาม ได้แก่บทสรุป

    ในส่วนของคำแนะนำในคัมภีร์เล่มนี้ เป็นส่วนที่ผู้ฝึกฝนต้องทำความเข้าใจให้ดีเสียก่อน อันจะเป็นหนทางนำไปสู่การปลดปล่อยสรรพสัตว์ ที่เปี่ยมไปด้วยวิชชาชั้นสูง แต่หากไร้ซึ่งวิชชาดังกล่าว บุคคลพึงฝึกฝนการเคลื่อนย้ายวิญญาณ ซึ่งจะชักนำเข้าสู่วิมุตติภาวะในทันทีหลังจาก ละทิ้งซึ่งสังขาร วิธีนี้ใช้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ที่ทรงวิชชาพอประมาณ แต่ถ้าไม่สำเร็จในกิจดังกล่าวนี้ บุคคลจะต้องพยายามเข้าถึง " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " ขณะอยู่ในภาวะบาร์โดแห่งธรรมดา

    ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกฝนพึงทำการวินิจฉัยบรรดานิมิตแห่งความตายตามลำดับ ตามคัมภีร์ว่าด้วย " การปลดปล่อยสัญลักษณ์แห่งความตาย " โดยฉับพลัน หากเขากระทำการได้สัมฤทธิ์ผล เขาย่อมสามารถเคลื่อนย้ายวิญญาณได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งจะนำไปสู่การปลดปล่อยโดย ฉับพลันทันทีที่คำนึงเท่านั้น ถ้าการเคลื่อนย้ายลุล่วงไปด้วยดี การอ่านคัมภีร์เล่มนี้ก็หาจำเป็นไม่ แต่หากเขาผู้นั้นทำการไม่สำเร็จ ก็จำเป็นต้องทำการอ่านคัมภีร์เล่มนี้อย่างชัดถ้อยชัดคำและถูกต้อง ในระยะประชิดร่างของผู้ตาย

    หากร่างกายของผู้ป่วยมิได้อยู่ที่นั่น ผู้อ่านควรนั่งลงบนเสื่อหรือฟูกนอนของเขาและอ้างอิงอำนาจแห่งสัจจะ เรียกมโนสำนึกของผู้ป่วยให้ มาหา และเริ่มต้นสร้างจินตภาพว่าเขาได้มานั่งฟังอยู่เบื้องหน้าในช่วงเวลานี้เสียงคร่ำครวญร่ำไห้เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ดังนั้นบรรดา ญาติสนิทจะต้องถูกกักออกไปจากบริเวณ ถ้าร่างของผู้ตายยังคงอยู่ ณ ที่นั้น ในช่วงวิกฤตที่ลมหายใจกำลังจะแผ่วสิ้นไป และชีพจร จะหยุดดับลง คุรุหรือญาติทางธรรมของเขาที่เขาเคารพรักและศรัทธาจักต้องอ่านคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " เล่มนี้ที่ข้างหูของเขา

    ในการอ่าน " คัมภีร์มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " จำต้องมีการถวายเครื่องสักการะอันประณีตต่อพระรัตนตรัยถ้ามีเครื่องถวายพอเพียง แต่หากในที่แห่นั้นขาดแคลนเครื่องบูชา ควรจะสักการะถวายเฉพาะสิ่งที่จัดหามาได้ และจินตนาการเอาในส่วนที่เหลือ ผู้อ่านจะต้อง ทำการท่อง " บทสวดดลบันดาลวอนขอต่อพุทธองค์และโพธิสัตว์ทั้งหลายเพื่อคุ้มครองชีพ " สามครั้งหรือเจ็ดครั้ง และทำการท่อง ออกเสียง " บทสวดดลบันดาลเพื่อการรอดพ้นจากภยันตรายในบาร์โด " รวมทั้ง " วลีสำคัญแห่งบาร์โดทั้งหก " แล้วจึงทำการอ่าน " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " สามครั้งหรือเจ็ดครั้ง

    เนื้อหาหลักของคัมภีร์นั้นแยกออกเป็นสามส่วน การปรากฏตัวของแสงสุกใสในบาร์โดช่วงเวลาก่อนหมดลมหายใจเป็นส่วนแรก ส่วนที่สอง นั้นได้แก่การเตือนให้ตระหนักถึงภาพนิมิตในบาร์โดแห่งธรรมธาตุ ส่วนที่สามได้แก่การแนะนำให้ทำการปิดทางเข้าสู่ครรภ์อุทรในบาร์โด ช่วงที่จะกำเนิด

    เบื้องแรกเมื่อมีการปรากฏตนของแสงสุกใสในบาร์โดช่วงขณะก่อนจบชีวิตลง เมื่อได้ทำการอ่านคัมภีร์เล่มนี้ ผู้คนทั่วไปที่แม้จะได้รับ การฝึกฝนสมาธิภาวนาแต่ไม่อาจจำแสงสุกใสได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีความฉลาดเฉลียวสักปานใด จะจำแสงสุกสกาวได้ และจะผ่านเลย ประสบการณ์ในบาร์โดเข้าสู่ธรรมกายที่จักไม่หวนกลับมาเกิดอีก

    สำหรับวิธีการอ่านนั้น จะเป็นการดีหากได้คุรุหรืออาจารย์ใหญ่ที่เขาได้รับการถ่ายทอดคำสอนมาประกอบพิธี หรือไม่ก็เป็นญาติทาง ศาสนธรรม ที่เขาได้รับเอาแนวทางสัมมาปฏิบัติมาประพฤติ หรือไม่ก็เป็น กัลยาณมิตรในสายสกุลเดียวกัน หากหาบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ ก็ควรต้องเป็นบุคคลที่สามารถอ่านได้ชัดเจนและถูกต้องและควรอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายเที่ยวด้วยกัน การกระทำดังกล่าวนี้จะเตือนเขา ให้นึกถึงคำสั่งสอนแห่งคุรุที่ได้ถ่ายทอดมาแล้วในกาลก่อน อันทำให้เขารู้ทันทีเมื่อแสงสุกใสอุบัติขึ้น และได้รับการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุข เป็นการแน่นอน

    เมื่อลมหายใจใกล้จะสิ้นสุดลง ลมปราณจักซึมซาบเข้าสู่ธูติแห่งปัญญา และแสงสกาวซึ่งปลอดพ้นจากสิ่งบดบังจักเฉิดฉายอย่างกระจ่างชัด ในมโนวิญญาณ ถ้าลมปราณเกิดการย้อนกลับและลับหายเข้าไปในนาภีซ้ายขวา สภาวะแห่งบาร์โดจักบังเกิดขึ้นทันที ดังนั้นการอ่านจะต้อง กระทำก่อนที่ลมปราณจะสูญหายเข้าไปในนาภีซ้ายขวา ช่วงเวลาที่ชีพจรภายในดำรงอยู่หลังการดับสิ้นของลมหายใจจะเป็นระยะชั่วรับประทาน อาหารหนึ่งมื้อ
    กระบวนวิธีในการอ่านคัมภีร์นั้นจะได้ผลดีที่สุดถ้าการเคลื่อนย้ายวิญญาณกระทำเมื่อลมหายใจใกล้จะสุดสิ้นลง แต่หากทำไม่ได้ ผู้อ่านควร กล่าวคำเหล่านี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ( ชื่อของผู้ตาย ) บัดนี้เวลาที่ท่านจต้องเสาะหาหนทางของท่านเองได้มาถึงแล้ว ทันทีที่ลมหายใจในกายท่านสุดสิ้นลง แสงสุกใสอันเป็นปกติวิสัยแห่งบาร์โดแรกจะปรากฏขึ้น ดังที่คุรุได้อบกเล่าแก่ท่านในกาลก่อน สิ่งที่ปรากฏนี้ได้แก่ธรรมดา ซึ่งเปิดโล่งและ ว่างเปล่าดุจอากาศธาตุ เป็นที่ว่างอันสุกสกาว เป็นจิตอันเปล่าเปลือยที่ปราศจากหลักยึดหรือปริมณฑล จงจำสิ่งนี้ให้ได้ และพิงพักอยู่ในสภาวะดังกล่าวนี้ และข้า ฯ จะติดต่อกับท่านในยามนั้นด้วย "

    ข้อความดังกล่าวนี้จำต้องปลูกฝังลงในความคิดคำนึงของผู้ตายให้มั่นคง โดยการกล่าวทวนไปทวนมาหลาย ๆ ครั้งที่ข้างหูของเขา จนกว่าเขาจะสิ้นลมลงไป ครั้นเมื่อเราได้สังเกตเห็นว่าลมหายใจของเขาได้สุดสิ้นลงแล้ว ให้วางผู้ตายลงในท่าสีหไสยาสน์ และจับชีพจรสองเส้น ที่ก่อให้เกิดการหลับไหล กดให้แน่น จนกระทั่งมันหยุดเต้นระรัว เมื่อนั้นลมปราณที่ได้เข้าสู่ธูติ จะไม่สามารถตีย้อนกลับได้ และจะผุดขึ้น ผ่านพรหมรันธะ

    บัดนี้เนื้อความในคัมภีร์จะถึงกาลบอกกล่าว ในเบื้องแรกจะปรากฏบาร์โดขั้นปฐมที่เรียกขานกันในนามของ รัศมีสุกใสแห่งธรรมธาตุ อันเป็นจิตแน่วแน่แห่งธรรมกาย ที่อุบัติในสรรพสัตว์ บุคคลธรรมดาจะรับรู้สภาพดังกล่าวนี้อย่างไม่รู้สึกตัวอันเนื่องมาจากลมปราณได้ ดำดิ่งกลมกลืนไปกับอวธูติ

    ในช่วงระหว่างการสิ้นสุดของลมหายใจและชีพจร ระยะเวลาที่ดำเนินอยู่นั้นไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแห่งจิตใจ และขั้นของ การฝึกในธรรมะ มันอาจคงอยู่ได้เป็นเวลานานในบุคคลที่ผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำมาเป็นอันมาก และแน่วแน่ในอำนาจแห่งสมาธิภาวนาที่สงบนิ่งและละเอียดอ่อน ในการอ่านคัมภีร์บทนี้ ผู้อ่านจะต้องอ่านทวนไปทวนมาจนกว่าจะมีน้ำเหลืองไหลออกมาจากทางช่องศีรษะ ในบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยความชั่วร้ายและหยาบช้าระยะเวลามีเพียงชั่วดีดนิ้วมือเท่านั้น แต่ในบางบุคคลมันอาจคงอยู่ได้ชั่วเวลารับประทาน อาหารหนึ่งมื้อ ในตำราและพระสูตรตันตระกล่าวว่าช่วงเวลาที่ไร้ความรู้สึกตัวนี้ดำรงอยู่ถึงสี่วัน ผู้อ่านจะต้องใช้เวลาประกอบพิธีในระยะเวลาดังกล่าว
     
  12. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ในพิธีดังกล่าว หากผู้ตายมีความสามารถจะดำเนินการด้วยตัวเองโดยอาศัยคำสอนที่ได้เรียนรู้มาแล้ว แต่หากเขาไม่สามารถจะช่วยเหลือตนเองได้ คุรุของเขาหรือศิษย์แห่งคุรุองค์นั้นหรือพี่น้องทางธรรมของผู้ตายจะต้องเขยิบเข้ามาใกล้กายของผู้ใกล้ตายและอ่านตัวบทคัมภีร์ อย่างช้า ๆ และแจ่มชัด ถึงลำดับของนิมิตในความตาย " เมื่อภาพของแผ่นดินได้เลือนหายสู่ห้วงน้ำ เมื่อห้วงน้ำกลายเป็นอัคคีระอุ เมื่ออัคคีได้แปรเปลี่ยนสู่ท้องนภา และเมื่อท้องนภาได้กลายสู่มโนวิญญาณ .... เช่นนี้ ต่อไปเรื่อย ๆ " เมื่อการพรรณาลำดับแห่งนิมิตใกล้จะ สิ้นสุดลง ผู้อ่านจะต้องทำการปลุกปลอบใจผู้ใกล้ตายให้ทำความในใจว่า " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล " หรือในกรณีที่ผู้ตายเป็นคุรุธรรม จงขานว่า " ดูกร ท่านผู้เป็นที่เคารพ " " อย่าปล่อยให้ความคิดของท่านร่อนเร่พเนจรไป " ถ้อยคำนี้ควรกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของผู้ใกล้วายชนม์ ในกรณีที่ผู้นั้นเป็นญาติทางศาสนธรรมหรือบุคคลอื่น ผู้อ่านจะต้องขานชื่อของเขาและกล่าวถ้อยคำเหล่านี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล สิ่งที่เรียกกันว่ามรณะได้มาสู่ท่านแล้ว ท่านจงทำความในใจดังนี้ ' ข้า ฯ ได้มาถึงซึ่งมรณกาล ณ บัดนี้ ข้า ฯ จะแน่วแน่อยู่เพียงแต่วิมมุติภาวะแห่งจิต ไมตรี มิตรภาพ กรุณาคุณ และเข้าสู่ภาวะตรัสรู้ยิ่งแล้วเพื่ออำนวยประโยชน์แด่สรรพสัตว์ที่มี มากมายเหลือคณานับดุจสากลจักรวาล ด้วยการอธิษฐานจิตเยี่ยงนี้ เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์ ข้า ฯ จะระลึกว่าแสงสุกใสนั้นย่อมได้ แก่ธรรมกาย และในภาวะเช่นนั้น ข้า ฯ จะทำให้แจ้งซึ่งมหาสัญลักษณ์ ข้า ฯ จะมุ่งหน้าสู่หนทางแห่งประโยชน์สุขของสรรพสัตว์ หากแม้นว่าไม่อาจสัมฤทธิ์ดังใจหวัง ข้า ฯ จะระลึกได้ซึ่งภาวะบาร์โด และเข้าถึงมหาสัญลักษณ์อันมิอาจจะแบ่งแยกได้ในภาวะบาร์โด ข้า ฯ จะประกอบกรรมดีเพื่อปลดปล่อยสรรพสัตว์อันหาที่ประมาณมิได้ ในทุกอุบายวิธีที่ทำได้เพื่อผลประโยชน์แก่สัตว์ที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตายทั้งมวล ' เพื่อมิไห้ความคิดดังกล่าวลบเลือนไป ท่านต้องทบทวนและฝึกฝนสมาธิภาวนาที่ท่านได้รับการสอนสั่งมาในอดีต "

    ถ้อยคำดังกล่าวถูกกล่าวขานอย่างชัดถ้อยคำที่ข้างหูของผู้วายชนม์ เพื่อที่จะเตือนเขาให้ระลึกถึงการฝึกฝนในอดีตโดยไม่ปล่อยให้จิตออก เร่ร่อนไปแม้เพียงเสี้ยวเวลา ครั้นแล้วเมื่อลมหายใจของเขาได้สุดสิ้นลงให้ท่านกดชีพจรเส้นที่ลึกที่สุดอันทำให้เกิดการหลับใหล และกล่าว ย้ำในถ้อยคำเช่นนี้ว่า " ท่านที่เคารพ บัดนี้แสงสุกใสได้อุบัติอยู่เบื้องหน้าของท่านแล้วจงทำความจดจำมันให้จงได้ และพักผ่อนในระหว่างนั้น " คำกล่าวนี้ใช้กับคุรุธรรมหรือกัลยาณมิตรที่สูงกว่าผู้อ่าน

    ในกรณีของบุคคลอื่นให้ใช้คำกล่าวเช่นนี้ว่า " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ( ชื่อของผู้ตาย ) บัดนี้แสงกระจ่างใสแห่งธรรมธาตุได้ฉายฉานอยู่ เบื้องหน้าท่านแล้ว จงจดจำให้ได้ ดูกรทายาทแห่งอริยสกุล ณ เพลานี้จิตตะสภาวะแห่งท่านเป็นความว่างเปล่าล้วน ๆ โดยธรรมชาติ มันไม่มี คุณสมบัติอย่างอื่นอยู่เลย และไม่ปรากฏองค์ประกอบหรือสีสรรใด ๆ ด้วย สภาวะนี้เองที่ได้แก่ธรรมดา พุทธสตรี ในนามของ สมันตรภัทรติ ทว่าสภาวะจิตดังกล่าวนี้มิใช่เพียงความว่างเปล่า มันไม่มีสิ่งใดกีดขวาง มันเจิดจรัส ผ่องใส และสั่นไหวยิ่ง จิตนี้คือสมันตรภัทรพุทธะ คุณสมบัติสองประการต่อไปนี้ได้แก่ ความว่างเปล่าที่ปราศจากธาตุใด ๆ ความสั่นไหวโอนอ่อนและสุกสกาวอันไม่อาจแยกเป็นสองได้นี้เอง คือธรรมกายแห่งพุทธองค์ จิตของท่านได้แก่ความใสสว่างและความว่างที่ไม่อาจขาดแยกออกจากกัน ได้รวมตัวอยู่ในรูปของกลุ่มแสง อันเจิดจ้า มันปราศจากการเกิดและดับสลายจึงเป็นพุทธองค์แห่งประภารัศมีอันเป็นอมตภาวะ การระลึกสิ่งนี้ได้นับว่าสำคัญมาก เมื่อใดที่ท่าน ได้รับรู้ธรรมชาติบริสุทธิ์ของจิตว่าคือพุทธะ การมองกลับเข้าไปสู่จิตของตนก็คือ การพักพิงอยู่ในจิตแห่งพุทธะ "

    ถ้อยคำดังกล่าวควรกล่าวซ้ำประมาณสามหรือเจ็ดเที่ยวอย่างชัดเจนและถูกต้อง ในขั้นแรกจะทำให้เขาระลึกได้ถึงสิ่งที่คุรุได้สอนสั่งเขาใน กาลอดีต ในขั้นต่อมา เขาจะระลึกได้ว่าจิตอันเปล่าเปลือยของเขานั้นประภัสสรแต่เดิมมา ในขั้นสาม เขาจะระลึกได้ว่าตนเองเป็นผู้ใดแน่ เขาจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมกายภาวะและเข้าสู่วิมุตติสุข

    ครั้นระลึกได้ถึงแสงสุกใสนับแต่แรกเห็น ผู้ตายย่อมไปสู่ความรำงับเสียได้ แต่หากการณ์ไม่เป็นไปเช่นนั้น แสงสุกสกาวลำดับที่สองจัก ปรากฏตัวขึ้น ช่วงเวลาดังว่านี้สั้นกว่าหนึ่งมื้ออาหารเสียอีกหลังจากการสิ้นสุดของลมหายใจ

    ไม่ว่าผู้ตายจะประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่วไว้ในอดีตก็ตามลมปราณจะไหลเข้าสู่นาภีขวาหรือซ้าย และผ่านออกทางกลางกระหม่อม มโนสำนึกจะกระจ่างชัดในบัดดล ระยะเวลาในยามนี้จะยาวนานเกินกว่าหนึ่งมื้ออาหารหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับความอ่อนไหวละเอียดอ่อนของผู้ตาย และการฝึกฝนปฏิบัติครั้งยังมีชีวิตอยู่ เมื่อวิญญาณได้หลุดออกจากร่าง เขาย่อมไม่แน่ใจว่าได้ตายลงแน่นอนแล้วหรือไม่ เขาจะได้แลเห็นญาติมิตรและเพื่อนพ้องชุมนุมอยู่รอบ ๆ ร่างดังก่อนสิ้นชีพ และได้ยินซึ่งเสียงร่ำไห้ที่ระงมไปทั่ว

    ในช่วงเวลาที่ผลกรรมยังไม่ปรากฏ และยมราชผู้ทรงไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวยังเสด็จมาไม่ถึง คำแนะนำสู่สุคติภพควรจะได้รับการ กล่าวขานอีกครั้ง มีข้อที่ควรจำว่ามีความแตกต่างระหว่างผู้ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างสมบูรณ์พร้อม กับผู้ที่ฝึกฝนแบบบริกรรมนิมิต ถ้าเขา ได้ผ่านการฝึกฝนในแบบสมบูรณ์ครบถ้วน ผู้อ่านจะต้องเรียกชื่อผู้ตายสามครั้งและทำการทบทวนบทสวดข้างต้นอีกครั้งเพื่อเตือนให้ ระลึกถึงแสงสุกใส แต่หากเขาเป็นผู้ผ่านการฝึกฝนแบบบริกรรมนิมิต ผู้อ่านควรอ่านสาธนาคัมภีร์ให้ดังก้อง และอธิบายพรรณาให้เห็นถึง ยิดัมประจำตัวของผู้ตาย และเตือนเขาด้วยถ้อยคำดังกล่าวนี้ " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงแน่วแน่ในสมาธิอยู่ที่ยิดัมของท่าน อย่าแส่ส่าย จงเพ่งเล็งอยู่ที่ยิดัมอย่างมั่นคง จงมองนิมิตนี้ว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ปราศจากแก่นสารแน่นอนที่เปรียบประดุจดังจันทราในสายน้ำ อย่าได้คิดว่าเป็นรูปทรงที่มีตัวตน " แต่ถ้าผู้ตายที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนใด ๆ จงกล่าวกับเขาดังนี้ว่า " จงแน่วแน่อยู่ในพระพุทธองค์ที่เปี่ยมด้วยกรุณา ( พระอวโลกิเตศวร ) "

    แม้แต่ผู้ที่ไม่รู้จักภาวะบาร์โดก็จะเข้าใจภาวะนี้ได้หากได้รับการชี้แนะข้างต้น ทว่าสำหรับผู้คนที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝนสมาธิภาวนามาก่อน แม้พวกเขาจะได้รับการชี้แนะโดยเหล่าคุรุวิปัสสนาจารย์ในยามมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ไม่สามารถจดจำบาร์โดสภาวะด้วยตนเองได้ ดังนั้น เหล่าคุรุหรือกัลยาณมิตรจำต้องทำการช่วยเหลือพวกเขา เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจำต้องช่วยชี้แนะผู้ตายที่ไม่สามารถจดจำคำสอนระหว่างอยู่ในภาวะบาร์โดช่วงขณะก่อนตายได้ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาสับสนจากอาการเจ็บไข้อย่างหนักและเวทนากล้า แม้ว่าเขาจะได้รับ การฝึกฝนสมาธิภาวนามาบ้างก็ตาม แต่หากสัมมาปฏิบัติของเขาได้เสื่อมทรามลง เขาย่อมมีสิทธิ์ร่วงหล่นลงสู่ภูมิอันต่ำช้า
    เป็นการดีมากหากพวกเขาสามารถทำความเข้าใจได้นับแต่บาร์โดแรกถึงแม้ว่าเขาทำการไม่สัมฤทธิ์ผล แต่ถ้าวิปัสสนาญาณของเขามีคนเตือน ให้ตื่นขึ้นในบาร์โดที่สองเขาย่อมหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้ ภายในบาร์โดที่สอง วิญญาณของเขาที่ยังไม่แน่แก่ใจว่าเขาได้ตายลงแล้วหรือไม่ จะกระจ่างชัดขึ้น มีนามเรียกขานกันทั่วไปว่าเป็น กายมายาอันบริสุทธิ์ ถ้าหากเขาทำความเข้าใจคำสอนในตอนนี้ได้มารดาและบุตรแห่งธรรมธาตุจะประสบพบกัน เขาจะไม่ถูกครอบงำโดยวิบากกรรมอีกต่อไป เปรียบดังแสงสุริยะฉายฉานเหนือความมืดมัว อำนาจแห่งวิบาก กรรมถูกขจัดโดยแสงกระจ่างใส อาการหลุดพ้นจึงเป็นไปได้ บาร์โดที่สองนั้นจะปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากายทิพย์ วิญญาณจักสามารถสดับเสียง ได้ดังยามมีชีวิตอยู่ ถ้าคำสอนสั่งเป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในเวลานี้ก็เท่ากับสำเร็จประโยชน์แล้วและเนื่องจากภาพมายาอันสับสนแห่งผลกรรม มิได้บังเกิดขึ้น เขาย่อมบังคับตนให้ไปได้ทุกแห่งหน

    ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถจดจำแสงกระจ่างในบาร์โดแรกได้ เขาย่อมถูกปลดปล่อยหากสามารถจดจำแสงกระจ่างในบาร์โดที่สองได้ แต่หากเขายังไม่ได้รับการปลดปล่อยแม้ในบัดนี้ บาร์โดที่สาม อันได้แก่บาร์โดแห่งธรรมธาตุจักปรากฏขึ้น ภาพมายาแห่งวิบากกรรม จะอุบัติขึ้นด้วย การอ่านคำสอนเกี่ยวกับบาร์โดแห่งธรรมดาในเวลานี้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันทรงอำนาจและมีคุณูปการสูง

    ในเวลาเหล่านี้ ญาติมิตรของเขาจะพากันร่ำไห้และโศกศัลย์ เขาจะไม่ได้รับอาหารเลี้ยงดูอีกต่อไป เสื้อผ้าจะถูกเปลี่ยน ที่นอนจะถูกแบ่งแยกออก ผู้ตายจะแลเห็นผู้อื่นแต่ผู้อื่นไม่อาจแลเห็นผู้ตายได้ เขาย่อมอาจแลเห็นมวลมิตรได้ แต่มวลมิตรไม่อาจแลเห็นเขาได้ เขาย่อมได้ยินถ้อยคำ สนทนาของผู้อื่น แต่ผู้อื่นไม่อาจได้ยินเสียงเรียกขานของเขา ดังนั้นเขาจึงจากไปด้วยความเศร้าโศกเหลือประมาณ ปรากฏการณ์ทั้งสาม อย่างจะอุบัติขึ้นในเวลานี้ อันได้แก่ เสียง สี และประภารัศมี เขาจะสลบไปด้วยความหวาดกลัว ไหวหวั่นและพรั่นพรึง ดังนั้นในเวลานี้ การอ่านถ้อยคำเกี่ยวกับบาร์โดแห่งธรรมธาตุควรเริ่มขึ้นตอนนี้ จงเรียกชื่อของผู้ตาย แล้วกล่าวถ้อยความต่อไปนี้อย่างแจ่มชัด

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยะสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ท่านจะประสบกับบาร์โดหกสภาวะด้วยกัน อันได้แก่ บาร์โดแห่งการเกิด บาร์โดแห่งความฝัน บาร์โดแห่งสมาธิภาวนา บาร์โดแห่งชั่วขณะก่อนตาย บาร์โดแห่งธรรมดา และบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน ดูกร ทายาทแห่งอริยะสกุล ท่านจะได้ประสบกับบาร์โดสามสภาวะนี้ในภายภาคหน้า อันได้แก่ บาร์โดแห่งชั่วขณะก่อนตาย บาร์โดแห่งธรรมดา และบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน ในบาร์โดทั้งสามนี้ แสงกระจ่างจากธรรมดาจักฉายฉานจนถึงเมื่อวานนี้ แต่ท่านกลับไม่อาจจดจำ มันได้ ท่านจึงพเนจรมายังบัดนี้ นับแต่นี้ท่านจะได้ประสบกับบาร์โดแห่งธรรมดา และบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน ดังนั้นจงจดจำในสิ่งที่ข้า ฯ จะชี้แนะแก่ท่าน อย่าแชเชือนเป็นอันขาด

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล บัดนี้สิ่งที่เรียกขานกันว่าความตาย ได้มาสู่แล้ว ไม่ใช่เพียงท่านผู้เดียวหรอกที่ต้องจากโลกนี้ไป ความตายบังเกิด กับทุกคน ดังนั้นจงอย่ารู้สึกผูกพันและหลงใหลในชีวิตนี้ แม้ท่านจะเกิดความปรารถนาแรงกล้าหรือดื้อดึงสักเพียงใด ท่านก็ไม่อาจจะรั้งอยู่ บนโลกต่อไปได้ ท่านทำได้เพียงแต่ร่อนเร่อยู่ในสังสารวัฏ อย่าหลงใหล อย่าละโมบ จงยึดมั่นในไตรสรณาคมณ์ ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ไม่ว่านิมิตมายาอันน่าสะพรึงกลัวใด จะปรากฏขึ้นในบาร์โดแห่งธรรมดา จงอย่าลืมถ้อยความเหล่านี้ แต่จงทบทวนความหมายของมัน จุดสำคัญอยู่ที่การจดจำมันให้ได้

    บัดนี้เมื่อบาร์โดแห่งธรรมดาได้อรุณขึ้นเบื้องหน้าข้า ฯ
    ข้า ฯ จะละทิ้งความคิดเกี่ยวกับความกลัวและความไหวหวั่นเสีย
    ข้า ฯ จะระลึกเสมอว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นเพียงภาพสะท้อนจากใจข้า ฯ
    และรับรู้ว่ามันคือนิมิตแห่งบาร์โด
    บัดนี้ข้า ฯ ได้มาถึงจุดวิกฤติเป็นตายแล้ว
    ข้า ฯ จะไม่พรั่นพรึงต่อภาพสันติอันงดงามหรือพิโรธกราดเกรี้ยวประการใด
    อันเป็นภาพสะท้อนจากใจข้า ฯ เอง

    " จงสาธยายคัมภีร์ต่อไป กล่าวถ้อยคำเหล่านี้อย่างชัดและถูกต้อง และระลึกถึงความหมายของมัน อย่าหลงลืมเป็นอันขาด เพราะประเด็น สำคัญได้แก่การจดจำอย่างแม่นยำไม่ว่าสิ่งใดจะปรากฏขึ้นว่าล้วนเป็นนิมิตจากใจท่านเอง

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล เมื่อกายและจิตของท่านแยกขาดออกจากกัน ธรรมธาตุภาวะจะปรากฏขึ้น บริสุทธิ์ และใสกระจ่าง จนยากจะ จ้องดู ช่างใสสว่างและเจิดจ้า ใสสว่างจนน่ากลัว เปล่งแสงดุจดังภาพลวงตาบนผืนแผ่นดินในฤดูใบไม้ผลิ อย่าหวาดกลัวมัน อย่าไหวหวั่น มันเป็นประภารัศมีโดยธรรมชาติของธรรมธาตุแห่งตัวท่าน ดังนั้นจงจดจำมันให้ได้

    " เสียงคำรามแห่งสายฟ้าฟาดจะอุบัติจากภายในแสงสว่างเป็นแสงโดยธรรมชาติแห่งธรรมดาภาวะ กึกก้องราวกับเสียงสายฟ้านับพันอุบัติ โดยพลัน เนื่องด้วยมันเป็นเสียงตามธรรมชาติของธรรมดาแห่งตัวท่าน ดังนั้นจงอย่ากลัวอย่าไหวหวั่น ท่านได้ครอบครองในสิ่งที่มีนามว่า กายทิพย์แห่งความคิดฝ่ายต่ำ ท่านไร้ซึ่งกายเนื้อที่มีมังสาและโลหิต ดังนั้นไม่ว่าเสียง สีสรร หรือรัศมีเช่นใดจักปรากฏขึ้น มันย่อมมิอาจ ทำร้ายท่านได้และท่านก็ไม่อาจจะตายลงได้ เป็นการง่ายดายยิ่งนักที่จะระลึกเสมอว่ามันคือนิมิตจากตัวท่าน รับรู้ว่าท่านกำลังตกอยู่ในบาร์โดสภาวะ

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล หากท่านไม่อาจจดจำสิ่งเหล่านี้ได้ว่าเป็นนิมิตจากใจท่านเอง ไม่ว่าท่านจะฝึกฝนสมาธิภาวนาเพียงใดขณะที่ท่าน มีชีวิต หากท่านไม่เข้าใจคำสอนนี้แล้ว แสงประกายสีจะข่มขวัญท่าน เสียงคำรามจะข่มขู่ท่าน และประภารัศมีจะทำให้ท่านพรั่นพรึง หาก ท่านไม่เข้าใจประเด็นหลักแห่งคำสอน ท่านย่อมไม่อาจจดจำ เสียง แสง และรัศมีต่าง ๆ ได้ ดังนั้น ท่านย่อมจะวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ อีกต่อไป

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล หลังจากหลับใหลมาเป็นเวลาสี่วันครึ่ง ท่านจะเริ่มเคลื่อนไหว และตื่นจากการสลบไสล ท่านจะประหลาดใจ ว่ามีสิ่งใดบังเกิดกับท่าน จงระลึกว่าบัดนี้ท่านได้อยู่ในภาวะบาร์โดแล้ว ขณะที่สังสารวัฏเริ่มจะย้อนกลับ และทุกสิ่งที่ท่านเห็นจะปรากฏตน ดังแสงและจินตภาพ
     
  13. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    " พื้นที่ทั้งหมดของอากาศธาตุจะฉายฉานด้วยแสงสีคราม และพระไวโรจนพุทธจะปรากฏตนเบื้องหน้าท่านจากมัชฌิมภูมิ ภูมิแห่งวงแหวนอันไร้จุดเริ่มต้น กายสีขาวนวล นั่งบนบัลลังก์สิงห์ ถือวงล้อแปดซี่ในมือ สวมกอดศักติแห่งวัชระอากาศธาตุ แสงสีคราม แห่งวิญญาณขันธ์อย่างหมดจดบริสุทธิ์ เป็นภูมิปัญญาแห่งธรรมธาตุอันสว่างไสว กระจ่างใส แหลมคมและเจิดจ้า จะพุ่งเข้าหาท่านจาก หว่างกลางหทัยขององค์ไวโรจนพุทธและองค์ศักติ ทะลวงผ่านท่านจนมิอาจมองได้ด้วยตาเปล่า ในเวลาเดียวกันนั้น แสงสีขาวมัวจาก ภูมิแห่งเทพเทวาจะพุ่งเข้าสู่ท่านด้วยด้วยและทะลุผ่านท่านไป ในเวลานั้นเอง โดยอิทธิพลของผลกรรม ท่านจะรู้สึกหวาดกลัวและ หลบหนีจากภูมิปัญญาแห่งธรรมธาตุและแสงสีครามนวล แต่กลับหลงใหลพึงใจกับแสงสีขาวมัวของเทพเทวา จำไว้ว่า อย่าหวาดหวั่น ต่อแสงสีครามแห่งปัญญาอันเลิศ ซึ่งสว่างไสว เจิดจ้า คมชัดและใสกระจ่างเป็นอันขาด เพราะว่ามันคือประภารัศมีแห่งพุทธสกุลเป็น ปัญญาญาณแห่งธรรมธาตุภาวะ จงมุ่งหน้าเข้าหามันอย่างช้า ๆ ด้วยศรัทธาและการอุทิศตนและการยินยอมพร้อมใจ คิดอยู่เสมอว่า " มัน คือ แสงอันเบาบางแห่งกรุณาคุณของพระไวโรจนพุทธอันศักดิ์สิทธิ์ ข้า ฯ ขอถือเอาท่านเป็นสรณะ จงตระหนักว่าพระไวโรจน์ อันศักดิ์สิทธิ์ได้มาเชื้อเชิญท่านถึงในบาร์โดอันเปี่ยมด้วยภยันตราย ในรูปของลำแสงสีขาวของกรุณาคุณแห่งพระไวโรจนเจ้า

    " จงอย่าพึงใจในแสงสีขาวแห่งทวยเทพ อย่าหลงใหลหรือสมัครใจในมัน หากท่านยินดีในมันท่านจะร่อนเร่ในภูมิแห่งทวยเทพและวนเวียน อยู่ในภูมิทั้งหก มันเป็นอุปสรรคขัดขวางเส้นทางสู่วิมุตติสุข อย่าจ้องดูมัน แต่จงพึงใจในแสงสีครามนวล และท่องบทสวดอันก่อแรง บันดาลใจด้วยความรู้สึกแน่วแน่ต่อองค์ไวโรจนพุทธ

    เมื่อเร่ร่อนผ่านอวิชชาอันแรงกล้า ข้า ฯ ท่องอยู่ในสังสารวัฏ
    โดยหนทางอันกระจ่างสุกใสแห่งภูมิปัญญาของธรรมธาตุ
    ขอให้องค์ไวโรจนพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
    ศักติของพระองค์รานีแห่งวัชรอากาศธาตุอยู่เบื้องหลัง
    นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
    และนำเข้าสู่ภาวะสมบูรณ์แห่งพุทธ "

    โดยการท่องกล่าวบทสวดเพื่อขอแรงบันดาลใจนี้ด้วยศรัทธาแรงกล้า เขาผู้นั้นย่อมถูกกลืนหายเข้าไปในลำแสงสีรุ้งของพระไวโรจนพุทธ ผู้ศักดิ์สิทธิ์และเหล่าศักติของพระองค์ และกลายเป็นสัมโภคกายพุทธประจำมัชฌิมภูมิ เป็นประภารัศมีอันแน่นหนา
     
  14. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ถึงแม้จะได้รับการชี้แนะดังนี้ก็ตาม เขาก็ยังหวาดกลัวในลำแสงและประภารัศมีอันเนื่องจากความก้าวร้าวและอาการวิกลจริตแห่งจิต และหลบหนีไป และหาดเขายังสับสนแม้ภายหลังจากท่องบทสวด ในวันที่สองวงล้อแห่งทวยเทพของวัชรสัตวพุทธะมาเชื้อเชิญเขา พร้อมกับอกุศลที่จะนำเขาเข้าสู่นรก ดังนั้น เพื่อชี้แนะเขา ผู้อ่านควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ในวันที่สอง แสงสีขาวและคุณสมบัติอันบริสุทธิ์แห่งธาตุน้ำจะฉายฉานและ ในเวลาเดียวกันนั้น พระวัชรสัตวะ-อักโษภยะผู้ศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าท่านจากภูุมิตะวันออกครามครึ้มแห่งแดนสุขาวดี กายของท่านสีครามเข้ม ถือวัชระห้าแฉกไว้ในมือและนั่งบนบัลลังก์กุญชร สวมกอดศักตินามพุทธ-โลจนา ร่วมทางด้วยโพธิสัตว์ สององค์ กษิติครรภ์และเมตไตรย และสองโพธิสัตว์สตรีลาสยาและบุษบา พุทธะทั้งหกจึงปรากฏขึ้น

    " แสงสีขาวจากรูปขันธ์ที่บริสุทธิ์หมดจด เป็นภูมิปัญญาที่กระจ่างใสดุจกระจกเงา ใสสว่างและกระจ่างชัดจะพวยพุ่งเข้าหาท่านจากกลางหว่างหทัยขององค์พระวัชรสัตว์และองค์ศักติ และทิ่มแทงผ่านร่างของท่านจนไม่อาจจ้องมองด้วยนัยน์ตาเปล่า ในเวลาเดียวกัน หมอกควันจากนรกภูมิจะปรากฏขึ้นด้วย พวกพุ่งเข้าหาท่าน ทิ่มแทงผ่านท่านไปโดยอิทธิพลของความก้าวร้าวชิงชัง ท่านจะรู้สึกหวาดกลัว และหลบหนีจากแสงสุกใสอันกระจ่างชัด แต่กลับรู้สึกหลงใหลในหมอกควันจากนรกภูมิ ในช่วงเวลานั้น จงอย่าหวาดกลัวแสงสีขาว อันกระจ่างใสแจ่มชัด และคมกริบ ทว่าจงจดจำไว้ว่ามันคือตัวแทนแห่งภูมิปัญญา จงมุ่งหน้าเข้าหามันด้วยศรัทธาและความหวัง อุทิศตน ให้แก่มัน และคิดว่า " มันเป็นแสงสีขาวแห่งกรุณาคุณของพระวัชรสัตว์ ข้า ฯ ขอหวังเป็นที่พึ่งที่ระลึก " จงตระหนักว่าพระวัชรสัตว์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้มาเชิญเชื้อท่านถึงในบาร์โดอันเปี่ยมด้วยภยันตราย ในรูปของแสงสีขาวแห่งกรุณาคุณของพระวัชรสัตว์ ดังนั้นจงมุ่งปรารถนาในมัน

    อย่างพึงใจในหมอกมัวแห่งนรกภูมิอันเป็นหนทางเชิญเชื้อจากความพิกลพิการทางจิตของท่านเอง ซึ่งสั่งสมจากความก้าวร้าว หากท่านเกิด ความผูกพันกับมัน ท่านจะพลัดหล่นสู่นรกภูมิ และดิ่งลงไปในโคลมตมแห่งความทรมาณอันสุดจะทานทน อันไม่มีผู้ใดหลบหนีไปได้ มันเป็นอุปสรรคขัดขวางหนทางสู่วิมุตติ อย่ามองดูมันเป็นอันขาด ทว่าจงยุติความก้าวร้าว อย่าข้องแวะกับมันเป็นอันขาด อย่าโอนอ่อน ตามมัน แต่จงมุ่งหวังในแสงสีขาวอันสุกใสกระจ่างจ้า และท่องบ่นบทสวดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจด้วยสมาธิอันแรงกล้าต่อองค์พระวัชรสัตว์อันศักดิ์สิทธิ์


    เมื่อร่อนเร่ผ่านอวิชชาอันแรงกล้า ข้า ฯ ท่องอยู่ในสังสารวัฏ
    โดยหนทางอันกระจ่างสุกใสแห่งภูมิปัญญาที่ใสสว่างดุจกระจกเงา
    ขอองค์พระวัชรสัตว์ผู้ศักดิ์สิทธิ์จงปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
    ศักติของพระองค์นามพุทธะ - โลจนาอยู่เบื้องหลับ
    นำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
    และนำข้า ฯ เข้าสู่ภาวะสุขสมบูรณ์แห่งพุทธะ "


    โดยการท่องกล่าวบทสวดเพื่อขอแรงบันดาลใจด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้า ผู้ตายย่อมเลือนหายสู่ลำแสงสีรุ้งในหว่างหทัยของ พระวัชรสัตวพุทธ และกลายเป็นสัมโภคกายพุทธประจำทิศบูรพาแห่งแดนสุขาวดี

    ถึงแม้จะได้รับการชี้แนะดังกล่าวนี้ บุคคลบางจำพวกอาจยังหวาดกลัวต่อรัศมีของกรุณาคุณ โดยเหตุมาจากมานะและม่านมายาอันวิกล จริตประจำตน บุคคลเหล่านี้จะหลบลี้ไปด้วยเหตุนี้ในวันที่สามวงแหวนแห่งทวยเทพจากรัตนะสกุล จะปรากฏเพื่อเชื้อเชิญพวกเขา พร้อม ๆ กับเส้นทางเรืองแสงชักจูงสู่มนุษ์ภูมิ เพื่อประสงค์จะช่วยเขาให้รอดพ้นอีกครา ผู้สาธยายคัมภีร์ควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยความต่อไปนี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้าอย่าแชเชือน ในวันที่สามลำแสงสีเหลืองคุณสมบัติอันประภัสสรแห่งแผ่นดินจะฉายฉาน และในยามนั้น พระรัตนสัมภวพุทธอันศักดิ์สิทธิ์จักปรากฏตนเบื้องหน้าท่านจากทักษิณภูมิแฝงไว้ซึ่งสีเหลืองลออตาเร้าปีติอย่างยิ่ง ร่างของท่านจะนวลจรัสถือคฑาเอกอุในมือ ประทับนั่งบนบัลลังก์แห่งอาชา สวมกอดนางมามากิ ชายาประจำตน ร่วมขบวนด้วยโพธิสัตว์ สองท่านคือ อากาศครรภ์และสมันตภัทร และโพธิสัตว์สตรีสองนางได้แก่ มาลา และ ธูปะ ครั้นแล้วเหล่าพุทธะทั้งหกจักปรากฏตน จากอากาศธาตุแห่งแสงสีรุ้ง

    " แสงสีเหลืองนวลแห่งเวทนาขันธ์อันหมดจดบริสุทธิ์นั้น เป็นภูมิปัญญาแห่งความทัดเทียม ประดับประดาด้วยแสงนานา อันกระจ่างและ สุกใส ดวงตาของท่านจักไม่อาจรู้แสงได้ ลำแสงจะพุ่งเข้าหาท่านจากหว่างกลางหทัยของรัตนสัมภวพุทธและเหล่าศักติชายาทะลุผ่าน ไปในดวงใจของท่าน เวลาเดียวกันนั้นเอง แสงสีครามจากมนุษย์ภาวะจะทิ่มแทงหัวใจของท่านด้วย และโดยอิทธิพลแห่งมานะกล้า ท่านจะหวาดกลัวและหลบหนีจากแสงสีเหลืองอันคมกริบและแจ่มจ้า แต่กลับหลงใหลพึงพอใจกับแสงนวลครามแห่งภูมิมนุษย์ จำไว้ว่า อย่าหวาดหวั่นต่อแสงสีเหลืองนวล อันชัดคมและสว่างไสว แต่จงจดจำว่ามันคือสัญลักษณ์แห่งโลกุตรปัญญา ปลดปล่อยจิตของท่าน ให้พิงพักอยู่ในนั้น อย่ากระทำสิ่งใด ๆ เข้าหามันด้วยใจปรารถนา หากท่านจดจำได้ว่ามันคือประภารัศมีตามธรรมชาติแห่งจิตแล้วไซร้ แม้ท่านจักไม่เคยอุทิศตน ไม่เคยท่องบทสวดเพื่อปลุกเร้ากำลังใจมาก่อนเลย ทั้งจินตภาพและลำแสงรวมทั้งรัศมีที่ปรากฏจะเข้าร่วมเป็น เอกภาพกับท่าน ท่านจะเข้าสู่ภาวะวิมุตติสุข แต่หากท่านไม่อาจทำความระลึกได้ว่ามันเป็นรัศมีตามธรรมชาติแห่งจิตใจในตัวท่านเอง จงสวดอ้อนวอนอย่างหนัก เพ่งความคิดว่า " สิ่งนี้คือแสงรัศมีแห่งพระรัตนสัมภวะผู้เปี่ยมไปด้วยกรุณาคุณ ข้าขอถือเอาท่านเป็นสรณะ " ด้วยเหตุที่มันคือรัศมีใสสกาวที่ก่อกำเนิดจากอำนาจแห่งความกรุณาของพระรัตนสัมภวพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านจึงควรปรารถนาถึงมัน

    " จงอย่าพึงใจในแสงสีครามนวลแห่งมนุษย์ภูมิ อันเป็นลำแสงเชื้อเชิญจากอำนาจใฝ่ต่ำ อันสั่งสมจากอวิชชาภายในตัวท่าน ถ้าท่านรักใคร่ ยินดีในมัน ท่านจะพลัดตกสู่มนุษย์ภูมิและต้องประสบภัย ชาติ ชรา มรณะ และทุกข์นานาประการอีกและย่อมไม่อาจหนีจากสังสารวัฏได้ สิ่งนี้นับเป็นเครื่องกีดขวางหนทางสู่วิมุตติสุข ดังนั้นจงอย่างเพ่งมองมัน ทว่าจงละทิ้งความโง่งม ละทิ้งความคิดใฝ่ต่ำ อย่าทำความสนใจ อย่าลุ่มหลง เพ่งสมาธิไปที่แสงนวลกระจ่างอันเจิดจรัส และท่องบทสวดอันก่อแรงบันดาลใจ ด้วยจิตแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียว ต่อองค์รัตนสัมภาวพุทธ


    เมื่อเร่ร่อนผ่านอวิชชาอันแรงกล้า ข้าท่องอยู่ในสังสารวัฏ
    โดยหนทางอันกระจ่างสุกใสแห่งองค์ของความเท่าเทียม
    ขอให้องค์รัตนสัมภวพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
    ศักติของพระองค์นามมามากิ เบื้องหลัง
    นำข้า ฯ ผ่านเส้นทางอันตรายในบาร์โด
    และนำเข้าสู่ภาวะสุขสมบูรณ์แห่งพุทธะ"



    โดยการท่องมนต์เพื่อขอแรงบันดาลใจนี้ด้วยศรัทธาแรงกล้า เขาผู้นั้นย่อมถูกกลืนหายเข้าไปในลำแสงสีรุ้งจากหทัยของพระรัตนสัมภวะผู้ศักดิ์สิทธิ์ และเหล่าศักติของพระองค์ และกลายร่างเป็นสัมโภคกายพุทธ ประจำทักษิณภูมิ
     
  15. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    อาศัยการชี้แนะดังกล่าวนี้ การบรรลุแจ้งย่อมเป็นไปได้แน่นอน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอ่อนแอสักเพียงใดก็ตามที ภายหลังการแนะนำดังกล่าวนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บุคคลที่ไม่อาจรอดพ้นได้ ย่อมเป็นบุคคลที่ได้ประกอบอกุศลกรรมอย่างหนักหรือปล่อยปละละเลยการปฏิบัติธรรม เขาจะ ถูกรบกวนจากความโลภและอาการวิกลจริตแห่งจิต พวกเขาจะหวาดกลัวในสรรพเสียง และแสงสว่างทั้งปวงจึงทำการหลบหนีไป ดังนั้น ในวันที่สี่ วงแหวนแห่งพระอมิตาภพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์จะมาเชื้อเชิญพวกเขาต่อไป พร้อมกับประกายแสงจากเปรตภูมิ ที่บังเกิดจากความ ปรารถนาและความเสื่อมทราม เพื่อช่วยเหลือเขาอีกครั้ง ท่านควรขานชื่อของผู้ตายและกล่าวถ่อยคำต่อไปนี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้าอย่าแชเชือน ในวันที่สี่ แสงสีแดงซึ่งแฝงคุณสมบัติแห่งธาตุไฟ จะฉายฉาน เวลาเดียวกันนั้น องค์พระอมิตาภะผู้ศักดิ์สิทธิ์ จักปรากฏขึ้นเบื้องหน้าท่านจากภูมิแห่งทิศตะวันตกภูมิแห่งความปีติเริงรื่น กายของพระองค์จะแดงฉาน ทรงถือดอกบัวไว้ในมือประทับนั่งบนบัลลังก์มยุรา สวมกอดองค์ศักตินาม ปัณฑรวาสินี ร่วมทางด้วยคือพระอวโลกิเตศวร และพระมัญชุศรีเจ้า และโพธิสัตว์สตรีสององค์นาม คีตาและอโลคา องค์พุทธะทั้งหกนี้จะปรากฏออกจากอากาศธาตุแห่งแสงสีรุ้ง

    " แสงสีแดงแห่งสัญญาขันธ์อันบริสุทธิ์หมดจด เป็นภูมิปัญญาแห่งการไม่แบ่งแยก ประดับประดาห้อมล้อมด้วยวงแหวนแห่งแสงสีอันเจิดจรัสและสุกใส คมกริบและโล่งว่าง อันอุบัติจากกลางหว่างดวงหทัยขององค์อมิตาภพุทธและศักติ มันจะเสียดลึกไปในใจของท่านจนไม่ อาจเพ่งดูได้ อย่าไหวหวั่นต่อมันเป็นอันขาด เวลานั้นเองแสงสีเหลืองนวลจากฝูงเปรตจะปรากฏขึ้นด้วย อย่าแยแสมันเป็นอันขาด ละทิ้ง ความปรารถนาและความต้องการทั้งปวงเสีย

    " ในเวลานั้น ภายใต้อิทธิพลแห่งความปรารถนาอันแรงกล้า ท่านจะรู้สึกไหวหวั่นและหลบหนีออกจากแสงสีแดงจ้าอันเฉียบคม แต่กลับ รู้สึกยินดีในแสงสีเหลืองนวลของเหล่าเปรต จงระลึกว่าอย่าไหวหวั่นต่อแสงสีแดง อันคมชัด สว่างไสว เจิดจรัสและแจ่มจ้า จงจำไว้ว่า มันคือตัวแทนแห่งโลกุตตรปัญญา ผ่อนคลายจิตของท่านให้พักพิงอยู่เบื้องใน ผ่อนคลายในภาวะอกรรม เข้าหามันด้วยแรงศรัทธาและ ความปรารถนา หากท่านจดจำได้ว่ามันคือรัศมีแห่งจิตเบื้องในของท่าน แม้ว่าท่านจะไม่เคยอุทิศตน ไม่เคยสาธยายมนต์เพื่อปลุกเร้าแรง บันดาลใจเลยก็ตาม ทั้งรูปและแสงสีอันทรงประภารัศมีจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับท่าน และท่านจะเข้าสู่ภาวะตรัสรู้ยิ่ง แต่หากท่านไม่ อาจจดจำมันได้ จงอ้อนวอนมันด้วยความรู้สึกศรัทธายิ่งว่า " สิ่งนี้คือแสงสว่างแห่งพระกรุณาคุณขององค์อมิตาภพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ ข้า ฯ ขอถือเป็นสรณะ " ด้วยเหตุที่มันคือรัศมีเกี่ยวกระหวัดแห่งกรุณาคุณแห่งองค์พระอมิตาภพุทธ จงอุทิศตนต่อมัน อย่าหลีกหนี เป็นอันขาด

    " อย่าหวาดกลัว อย่าผูกพันข้องแวะในแสงสีเหลืองนวลแห่งเหล่าเปรตเป็นอันขาด นั้นเป็นแสงแห่งจิตใจฝ่ายต่ำที่สั่งสมจากอวิชชาอัน แรงกล้าของท่าน ถ้าท่านเกิดความพึงพอใจในมัน ท่านจะเกิดในภูมิแห่งเปรตและประสบความระทมทุกข์อันประมาณมิได้ จากความ โหยหาและหิวกระหาย อันเป็นอุปสรรคขัดขวางหนทางสู่วิมุตติสุข ดังนั้นจงอย่าเกี่ยวข้องกับมัน จงเพ่งสมาธิไปที่แสงสีแดงจ้า อันเจิดจรัส และกล่าวท่องบทสวดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจด้วยความรู้สึกแน่วแน่เป็นหนึ่ง ต่อองค์พระอมิตาภพุทธอันศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งองค์ศักติของท่าน


    อาศัยความปรารถนาทำให้ข้า ฯ วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ
    ณ แสงเจิดจรัสแห่งภูมิปัญญาอันไม่แบ่งแยก
    ขอให้องค์พระอมิตาภพุทธได้ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
    ศักติของพระองค์ ปัณฑรวาสินีปรากฏอยู่เบื้องหลัง
    ช่วยนำข้า ฯ ผ่านหนทางเปี่ยมอันตรายในบาร์โด
    และนำข้า ฯ เข้าสู่ภาวะอันสุขล้นแห่งพุทธะ "


    โดยการท่องบทสวดดังกล่าวนี้ด้วยความรู้สึกศรัทธาอันแรงกล้า เขาย่อมเลือนหายไปในแสงสีรุ้ง ณ ใจกลางหทัยขององค์พระอมิตาภพุทธ และองค์ศักติ กลับกลายเป็นสัมโภคกายพุทธประจำภูมิตะวันตกอันเปี่ยมสันติสุขยากนักที่บุคคลจะไม่เข้าถึงวิมุตติด้วยวิธีนี้ แต่แม้กระนั้นสัตว์บางประเภทกลับไม่สามารถละทิ้งอำนาจใฝ่ต่ำอันเกิดจากความเคยชินอัน ยาวนานและภายใต้อิทธิพลจากความอิจฉาริษยาและวิบากกรรม พวกเขาย่อมหวาดกลัวในสุรเสียงและรัศมีนานา ทำให้หลุดรอดจากการ เกี่ยวกระหวัดของกรุณาธรรม และพลัดตกลงไปต่ำลงถึงวันที่ห้าในบาร์โดสภาวะ หมู่วงล้อแห่งพระอโฆสิทธิพุทธพร้อมด้วยวงแหวน รัศมีแห่งกรุณาจะมาเชิญเชื้อพวกเขา เส้นทางอันสว่างโพลงของเหล่าอสูรซึ่งเกิดจากอารมณ์แห่งความเกลียดชัง ก็เชื้อเชิญเขาด้วย เพื่อทำการช่วยเขาอีก ท่านควรขานชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้าอย่าแชเชือน ในวันที่ห้า แสงสีเขียวมรกต คุณลักษณ์อันบริสุทธิ์แห่งอากาศธาตุจะฉายฉาน และขณะนั้นเอง พระอโฆสิทธิพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ จ้าวพิภพแห่งวงแหวน จะปรากฏจากภูมิแห่งทิศเหนืออันเขียวขจี ภูมิแห่งการกระทำอันสั่งสม กายของพระองค์เขียงครึ้ม ทรงวัชระไว้ในมือ นั่งบนบัลลังก์นก ชาง - ชาง กระพืออยู่ในท้องฟ้า สวมกอดองค์ศักตินาม สัมมา - ธารา ร่วมทางด้วยโพธิสัตว์สตรีสองนางนาม คันธะและนัยเวทยา พุทธะทั้งหกองค์จักปรากฏจากแสงสีรุ้งอันเวิ้งว้าง

    " แสงสีเขียวแห่งสังขารขันธ์บริสุทธิ์หมดจด เป็นภูมิปัญญาแห่งการกระทำอันสมบูรณ์พร้อม เขียวขจี คมใสและจิดจ้าล้อมด้วยรัศมีมากมาย อันอุบัติจากกลางหว่างดวงใจขององค์อโฆสิทธิพุทธและองค์ศักติ เสียดแทงไปในหัวใจของท่าน จนดวงตาของท่านไม่อาจเบิกจ้องอยู่ได้ อย่าหวาดกลัวมันเป็นอันขาด มันเป็นการละเล่นโดยพลันแห่งใจ อันมีที่พำนักอยู่ในสถานะขั้นสูงอันปลอดจากกิจกรรมและความกังวลทั้งปวง ห่างไกลจากความรักหรือความเกลียดชัง ขณะเดียวกันนั้น แสงสีแดงละมุนจากพวกอสูรที่ก่อกำเนิดจากความเกลียดชังจะฉายส่อง ต้องตัวท่าน จงกำหนดสมาธิแน่วแน่จนปราศจากความแตกต่างระหว่างความรักและความชัง เรื่องทุกประการเกิดจากความอ่อนแอของ ปัญญาญาณ อย่าพึงใจในอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น

    " ในยามนั้น ภายใต้อิทธิพลจากความริษยาอันแรงกล้า ท่านจะไหวหวั่นและผละหนีจากแสงสีเขียวมรกตอันคมกริบและเจิดจรัส แต่กลับพึงใจและรักใคร่ในแสงสีแดงละมุนของเหล่าอสูร จงระลึกว่าแสงสีเขียวนั้นเป็นตัวแทนแห่งโลกุตรปัญญา ผ่อนคลายจิตให้แอบอิงกับมัน อยู่ในภาวะอกรรม อ้อนวอนมันด้วยศรัทธาอันเปี่ยมล้นจากความคิดที่ว่า " นี้คือรัศมีแห่งกรุณาคุณขององค์อโฆสิทธิพุทธ ข้า ฯ ขอถือเวลาเป็นสรณะ " ด้วยเหตุที่มันคือรัศมีเกี่ยวกระหวัดแห่งพระกรุณาธรรมจากองค์อโฆสิทธิเจ้า เป็นโลกุตตรปัญญาแห่งการกระทำอันหมดจด จงเพ่งความปรารถนาไปที่มันและอย่าผละหนี แม้ว่าท่านจะหลบลี้ มันก็จะตามท่านไปไม่ห่าง

    " อย่าหวาดกลัว อย่าไหวหวั่น อย่าไยดีต่อแสงสีแดงละมุนของพวกอสูร มันเป็นเส้นทางอันอุบัติจากความริษยา หวาดระแวงที่สั่งสมไว้ใน กาลก่อนของท่าน ถ้าท่านข้องแวะกับมัน ท่านจะพลัดตกไปในอสุรภูมิ และประสบกับหายนภัยอันสุดทนทานจากการแย่งชิงต่อสู้อัน เป็นอุปสรรคขัดขวางท่านสู่วิมุตติสุข ดังนั้นอย่าแยแสมัน ละทิ้งอำนาจใฝ่ต่ำเสีย เพ่งจิตไปที่แสงสีเขียวอันกระจ่างใสและเจิดจรัส ท่องบทสวดเพื่อสร้างกำลังใจด้วยจิตอันแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียวต่อองค์พระอโฆสิทธิพุทธและองค์ศักติ


    จากอารมณ์ริษยาทำให้ข้าเร่ร่อนอยู่ในสังสารวัฏ
    โดยอาศัยหนทางแห่งภูมิปัญญาและการกระทำอันหมดจด
    ขอให้องค์พระอโฆสิทธิพุทธอันศักดิ์สิทธิ์จงปรากฏเบื้องหน้าข้า ฯ
    ศักติของพระองค์ สัมมา - ธารา ปรากฏอยู่เบื้องหลัง
    นำข้า ฯ ผ่านพ้นหนทางอันตรายในบาร์โด
    และนำข้า ฯ เข้าสู่สภาวะพุทธะอันสมบูรณ์ "




    โดยการกล่าวบทสวดเพื่อขอแรงบันดาลใจด้วยศรัทธาอันแรงกล้า เขาย่อมเลือนหายสู่แสงสุกใสกลางดวงใจของพระอโฆสิทธิพุทธและ องค์ศักติ กลับกลายเป็นสัมโภคกายพุทธในภูมิทางทิศเหนืออันหมดจด


     
  16. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ไม่ว่ากุศลกรรมของเขาจะเบาบางสักเพียงใด โดยได้ยินการชี้แนะหลายครั้งหลายคราถ้าเขาไม่อาจระลึกได้ในคราก่อน เขาย่อมระลึกได้ใน คราต่อไป ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้าถึงภาวะวิมุตติ แต่แม้ว่าเขาจะได้รับการชี้แนะหลายครั้งครา บุคคลที่หมกมุ่นกับความคิดใฝ่ต่ำมา เป็นเวลานาน และไม่คุ้นเคยกับนิมิตอันแจ่มใสของพุทธะทั้งห้าจะถูกฉุดรั้งไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกใฝ่ต่ำ พวกเขาจะไม่ถูกเกี่ยวกระหวัด โดยรัศมีแห่งกรุราธรรม แต่กลับพรั่นพรึงและหวาดหวั่นในแสงและสีสรร เลื่อนไหลลงสู่ภูมิอันต่ำช้า ดังนั้นในวันที่หก พุทธะทั้งห้าสกุล พร้อมด้วยองค์ศักติและเทพติดตามจะปรากฏตัวพร้อม ๆ กัน และภายในเวลาเดียวกันนั้นเอง ลำแสงจากภูมิทั้งหกจะฉายฉานพร้อมกันด้วย เพื่อจะทำการชี้แนะสั่งสอนเขา ท่านควรเรียกชื่อผู้ตาย และกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือนแม้ว่าท่านจะได้รับการสอนสั่งเมื่อแสงแห่งปัญจสกุลปรากฏขึ้นจนถึงเมื่อวานนี้ ภายใต้อิทธิพลของความคิดใฝ่ต่ำ ท่านจึงหวาดกลัวและจึงอยู่ที่นี่จนบัดนี้ ถ้าหากท่านระลึกได้ว่ารัศมีตามธรรมชาติของภูมิปัญญาแห่ง ปัญจสกุลเป็นนิมิตอันกำเนิดจากตัวท่านเอง ท่านย่อมมลายหายไปสู่แสงสีรุ้งแห่งร่างของเทพหนึ่งในปัญจสกุล และกลายเป็น สัมโภคกายพุทธ แต่การณ์กลับเป็นว่าท่านกลับหลงลืมหลักสำคัญไป ท่านจึงได้เร่ร่อนอยู่จนบัดนี้ ดังนั้นจงเฝ้าดูอย่าแส่ส่าย

    " บัดนี้ หมู่ปัญจสกุลจะปรากฏตัวพร้อม ๆ กัน และสิ่งที่เรียกว่าภูมิปัญญาทั้งสี่จะมาเชื้อเชิญท่าน จงจดจำพวกเขาให้ได้ ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล แสงแห่งองค์สี่ของธาตุอันพิสุทธิ์ทั้งสี่จะฉายฉาน และในเวลาเดียวกัน องค์พุทธไวโรจนะและชายาจักปรากฏตนขึ้น จากภูมิตรงกลางดังคราก่อน ซึ่งเป็นภูมิที่ไม่อาจรุกล้ำทำลายได้ ส่วนพุทธวัชรสัตว์และชายา รวมทั้งเทพบริวาร จะปรากฏจากภูมิประจำ ทิศตะวันออก อันได้แก่ภูมิแห่งความรื่นเริงสุขเปี่ยมล้น พุทธรัตนสัมภวะและองค์ชายาและเทพบริวารจะปรากฏจากภูมิประจำแดนใต้ ภูมิแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ส่วนองค์อมิตาภพุทธพร้อมด้วยองค์ชายาและเทพบริวารจะปรากฏจากภูมิปีติสุขทิศตะวันตกของดอกอุบลชาติ ส่วนองค์พุทธอโฆสิทธิพุทธพร้อมด้วยชายาและบริวารจะปรากฏจากภูมิประจำทิศเหนืออันได้แก่ภูมิแห่งการกระทำอันหมดจด เหล่าทวยเทพจะปรากฏจากอากาศธาตุแห่งแสงสี

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล นอกเหนือจากเหล่าพุทธองค์ในปัญจสกุล เทพปกปักพิโรธแห่งทวารบาลทั้งปวงจะปรากฏตนขึ้น เทพวิชัย- ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ เทพยามันตกะ-ผู้พิฆาตความตาย เทพหยะครีวะ-ผู้มีศีรษะเป็นม้า เทพอมฤตกุณฑลินี-มาลาแห่งน้ำทิพย์ และเทพธิดาปกปิดทวารบาลทั้งปวง นับแต่ เทวีอังคุศ-ตะของ้าว เทวีบาศก์-ห่วงคล้อง เทวีศฤงกาล-โซ่ตรวน เทวีคันธะ-ระฆัง องค์เทพผู้ศักดิ์สิทธิ์และพระอาทิพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์จักปรากฏตนขึ้นนับแต่ท้าวอินทรา-ผู้เสียสละตนอย่างไม่ว่างเว้น ต้นตระกูลของหมู่เทวดา ท้าววิมลจิตร-อาภรณ์อันล้ำค่า ต้นตระกูลของเหล่าอสูร ท้าวศักยะ-ราชสีห์ ต้นตระกูลของสัตว์มนุษย์ ทุรสิงห์-ราชสีห์ผู้เด็ดเดี่ยว ต้นตระกูลแห่งสัตว์เดรัจฉาน ชวาลามุข-เปลวไฟที่พวยพุ่งออกจากปาก ต้นตระกูลแห่งพวกเปรต ธรรมะราชา-ราชาแห่งธรรม ต้นตระกูลแห่งสัตว์นรก สมันตภัทร และสมันตภัทรี พุทธะบิดาและพุทธะมารดาแห่งเหล่าพุทธะทั้งหลาย จะปรากฏตนขึ้น เทพสี่สิบสององค์นี้แห่งสัมโภคกายจะอุบัติจากภายในร่างกายเขาและปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า พวกเขาเป็นรูปทรงอันพิสุทธิจากนิมิตแห่งใจ ดังนั้นจงจดจำพวกเขาให้ได้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ภูมิเหล่านี้มิได้มีตำแหน่งแห่งหนที่แท้จริง แต่กลับดำรงอยู่ในทิศทั้งสี่แห่งหทัยของท่าน โดยมีศูนย์กลาง อยู่ตรงที่ดวงหทัยที่ห้า บัดนี้พวกเขายังได้อุบัติขึ้นจากภายในหทัยท่านแล้ว กำเนิดของพวกเขามิได้มาจากที่ใดเลย หากเป็นการละเล่นอย่าง เป็นไปเองของจิตใจท่าน ดังนั้นจงจดจำให้ดี ทายาทแห่งอริยสกุล จินตภาพเหล่านี้ไม่ใหญ่และเล็ก แต่ได้สัดส่วนเหมาะสม พวกเขา ล้วนมีเครื่องประดับ ภูษาอาภรร์ สีสรร ท่าทางบัลลังก์และสัญลักษณ์เป็นของตนเอง พวกเขากระจายออกเป็นห้าคู่ แต่ละคู่ถูกล้อม รอบด้วยปัญจรัศมีเป็นมณฑลรวม เทพและเทพีแห่งสกุลทั้งห้าจะปรากฏตนอย่างพร้อมเพรียงในเวลาเดียวกัน จงจดจำพวกเขาให้ได้ เพราะพวกเขาคือเหล่ายิดัมของตัวท่านเอง

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จากหทัยของเหล่าพุทธองค์ในปัญจสกุลและองค์ศักติประภารัศมีแห่งภูมิปัญญาทั้งสี่จะฉายฉานอยู่บนดวงหทัยของท่าน ทั้งแจ่มชัดและสดใสเปรียบดังลำแสงอาทิตย์ที่กระจายจ้า

    " ในเบื้องแรก ภูมิปัญญาแห่งธรรมธาตุ แทนด้วยอาภรณ์สีขาวนวล ใสสว่างจนน่าสะพรึงกลัว จะฉายฉานอยู่ที่กลางดวงใจของท่านโดย มีแหล่งกำเนิดจากฤดีของพระไวโรจนพุทธ วงแหวนนั้นรัศมีสีขาวทอประกายจะปรากฏขึ้น ใสกระจ่างและแจ่มชัดเหมือนดังกระจกเงา ที่ถูกจับคว่ำลง ประดับด้วยรัศมีทรงกลดห้าวงที่คล้ายคลึงกันมีทั้งเล็กและใหญ่ ดังนั้นมันจึงปราศจากจุดศูนย์กลางหรือเส้นรอบวง

    " จากดวงใจของพระวัชรสัตวพุทธ บนผืนผ้าสีครามเฉิดฉายแห่งภูมิปัญญาที่ใสสว่าง ประดุจกระจกจะปรากฏวงกลมสีครามดังชาม สีขี้นกการเวกทั่วหน้า ประดับประดาด้วยทรงกลดใหญ่และเล็ก

    " จากดวงใจของพระรัตนสัมภวพุทธ บนผืนผ้าสีเหลืองเฉิดฉายแห่งภูมิปัญญาของความเสมอภาคจะปรากฏวงกลมสีเหลือง ดังจานทองคว่ำหน้า ประดับประดาด้วยวงกลมใหญ่และเล็ก

    " จากดวงใจของพระอมิตาภพุทธ บนผืนผ้าสีแดงเจิดจรัสแห่งภูมิปัญญาของความเชื่อมั่น แข็งกล้า จะปรากฏวงกลมสีแดงดุจชาม ประการังคว่ำหน้า ฉายฉานด้วยแสงลึกล้ำแห่งปัญญา แจ่มใส และสุกสว่าง ประดับประดาด้วยวงกลมทั้ง ๕ ลักษณะคล้ายคลึงกัน ทั้งใหญ่เล็ก จนไร้ศูนย์กลางและเส้นรอบวง

    " รัศมีเหล่านี้จะฉายฉานจับจ้องอยู่ที่ดวงใจของท่าน

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล สิ่งเหล่านี้อุบัติจากการละเล่นอย่างเป็นไปเองของใจ พวกมันมิได้ปรากฏจากแห่งหนอื่น ดังนั้นจงอย่าข้องแวะ กับมันเป็นอันขาด อย่าหวาดกลัว อย่าไหวหวั่น แต่จงผ่อนพักในภาวะที่ปราศจากความคิดปรุงแต่ง ในภาวะดังกล่าวจินตภาพทั้งหลาย และลำแสงเบาบางจะเข้าร่วมกับท่านและท่านจะผ่านเข้าสู่วิมุตติสุข


    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล แสงสีเขียวของภูมิปัญญาอันสำเร็จหมดจดมิได้บังเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าพลังงานของท่านยังไม่สมบูรณ์เต็มที่


    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล นี้เรียกว่าประสบการณ์แห่งภูมิปัญญาทั้งสี่ที่รวมกัน อันเป็นทางผ่านแห่งองค์วัชรสัตวพุทธ ใ นยามนี้ จงจดจำคำสอนขององค์คุรุที่ได้รับการชี้แนะมาก่อนหน้านี้ ถ้าท่านเข้าใจความหมายของคำสอน ท่านจะมีศรัทธาในประสบการณ์ แห่งการอดีต และดังนั้นท่านจะจดจำได้ซึ่งประสบการณ์ดังกล่าว เปรียบประดุจดังการพบกันของมารดาและบุตรหรือการได้พบกันของ มิตรสหายเก่าอีกครั้ง เมื่อตัดวิจิกิจฉาทั้งปวงลงเสีย ท่านจะจำนิมิตของตัวท่านได้และมุ่งเข้าสู่หนทางบริสุทธิ์และไม่แปรผัน แห่งธรรมธาตุสภาวะ และโดยอาศัยดังกล่าวนี้ สมาธิอันต่อเนื่องจะอุบัติขึ้น และท่านจะละลายหายเข้าไปสู่รูปแบบการดำรงตนอันยิ่งใหญ่ ของภูมิปัญญา และกลายเป็นสัมโภคกายพุทธที่ไม่มีวันเสื่อม

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ในเวลาเดียวกันกับที่แสงแห่งภูมิปัญญาบังเกิด แสงแห่งความมัวหมองจากภูมิทั้งหกที่เป็นมายาจะฉายฉานขึ้น แสงสีขาวละออตาของทวยเทพ แสงสีแดงเพลิงแห่งอสุรภูมิ แสงสีครามนวลแห่งมนุษย์ภูมิ แสงสีเขียวมรกตแห่งเดรัจฉานภูมิ แสงสีเหลืองละมุนแห่งเปรตภูมิ และหมอกควันจากนรกภูมิ แสงทั้งหกจะอุบัติพร้อมกับแสงใสกระจ่างแห่งภูมิปัญญา ในเวลาดังกล่าว อย่ายึดติดหรือข้องแวะกับมันเป็นอันขาด แต่จงผ่อนพักอย่างอิสระในสภาวะที่ปราศจากความคิดปรุงแต่ง ถ้าท่านหวาดกลัว แสงแห่งภูมิปัญญาเหล่านี้ และข้องแวะอยู่แต่แสงหมองมัวของภูมิทั้งหก ท่านจะกำเนิดเป็นหนึ่งในสัตว์แห่งภูมิทั้งหกและ ท่านจะรู้สึกเหนื่อยหนัก เพราะไม่อาจหลบหนีออกจากมหาสมุทรแห่งสังสารวัฏได้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ถ้าท่านไม่ได้รับการชี้แนะโดยถ้อยคำแห่งบรรดาวิปัสสนาจารย์ ท่านจะหวาดกลัวในจินตภาพเหล่านั้น รวมทั้งไหวหวั่นในแสงแห่งปัญญาอันบริสุทธิ์ แต่กลับไปข้องแวะอยู่กับแสงหมอกมัวแห่งสังสารวัฏ จงอย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด แต่จงอุทิศตนให้กับแสงแห่งโลกุตตรปัญญาอันบริสุทธิ์ คมชัดและสว่างไสว จงเพ่งความคิดอย่างแรงกล้าว่า โดยอำนาจ แห่งรังสีอันเบาบางของปัญญาและกรุณาคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย เหล่าพุทธะแห่งปัญจสกุล ได้โปรดเสด็จมารับข้า ฯ ไปด้วยความกรุณา ข้า ฯ ขอถือท่านเป็นสรณะ จงอย่างพึงใจในรัศมีจากภูมิทั้งหกอันเป็นมายา อย่าติดยึดอยู่กับมันแต่จงท่องอ่านบทสวด เหล่านี้ด้วยจิตสมาธิอันแรงกล้าในพุทธะห้าสกุลและองค์ชายา


    ผ่านโอสถพิษทั้งห้า ข้า ฯ จึงเร่ร่อนออยู่ในสังสารวัฏจวบจนบัดนี้
    โดยอาศัยมรรควิธีอันใสกระจ่างแห่งภูมิปัญญาทั้งสี่ที่รวมกัน
    ขอให้พระชินสีห์และองค์พุทธะแห่งปัญจสกุลเสด็จอยู่เบื้องหน้าข้า ฯ
    เหล่าชายาแห่งปัญจสกุลเสด็จอยู่เบื้องหลังข้า ฯ
    นำข้า ฯ ผ่านหนทางลวงล่อแห่งภูมิทั้งหกอันเปี่ยมด้วยอวิชชา
    และนำข้า ฯ ผ่านหนทางอันตรายในบาร์โด
    และนำข้า ฯ เข้าสู่ดินแดนแห่งพุทธะอันบริสุทธิ์


    โดยกล่าวท่องบทสวดดังกล่าวนี้ อริยชนย่อมจดจำนิมิตจากใจตน และเข้าร่วมในสภาวะที่ปราศจากความขัดแย้งและกลายเป็นองค์พุทธะ ปุถุชนทั่วไปจะจดจำตนเองได้โดยอาศัยการอุทิศตนอันแรงกล้าและได้มาซึ่งวิมุตติสุข แม้แต่บุคคลต่ำช้าก็ยังสามารถป้องกันการไปเกิดยังภูมิอันต่ำช้าได้ โดยอาศัยอำนาจอันบริสุทธิ์จากบทสวดและมุ่งทำความเข้าใจในความหมายของภูมิปัญญาทั้งสี่ที่ร่วมกัน และเข้าสู่ภาวะ ตรัสรู้ธรรมผ่านเส้นทางแห่งพระวัชรสัตวพุทธ โดยได้รับการชี้แนะอย่างแจ่มชัดและเที่ยงตรงสรรพสัตว์ย่อมจดจำข้อความได้และได้รับ การปลดปล่อยสู่วิมุตติสุข


    ค่อยๆๆ ย่อยเล่า ยังไม่จบนะจ๊ะ นะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มีนาคม 2012
  17. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    วันนี้มาแบบจัดเต็มนะจ๊ะ ยังไม่จบนะจ๊ะ นะจ๊ะ
     
  18. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529

    ดูกรทายาทแห่งอริยสกุล เจ้าธรรมบาลเฒ่า จงฟังคำข้าอย่าแชเชือน ข้านั้นมิใช่โฮดี้โจนส์ นะจ๊ะ นะจ๊ะ จงอย่านึกเดาเอาเองนะจ๊ะ นะจ๊ะ เพราะข้ามันเป็นคนแก่ไม่ใช่เด็กดอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มีนาคม 2012
  19. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529

    บัดนี้สาระสำคัญอันยิ่งยวดของคัมภีร์ " วิมุตติโดยการสดับฟัง " จะได้รับการสั่งสอน มันจักแสดงแถลงไขว่าบาร์โดภาวะแห่งเทพพิโรธ ปรากฏขึ้นได้อย่างไร จงเรียกนามของผู้ตายสามครั้งและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุลจงฟังคำข้า อย่าแชเชือน ถึงแม้ว่าช่วงบาร์โดแห่งเทพสันติจะได้ปรากฏขึ้นแล้ว ท่านก็ยังมิอาจระลึกพวกเขาได้ ดังนั้นท่านจึงได้ร่อนเร่มาจนถึงที่นี่ บัดนี้ในวันที่แปด เหล่าเทพกระหายเลือดจักปรากฏกายขึ้น จงจดจำพวกเขาให้ได้อย่าหวั่นไหว "

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ท่านผู้มีนามศักดิ์สิทธิ์ว่าพุทธะเฮรุกาจะอุบัติขึ้นจากภายในกระหม่อมของท่าน ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าอย่าง แจ่มชัดและเป็นจริง กายของเขาเป็นสีแดงดุจผลองุ่น มีสามเศียร หกกร ขาสี่ขาไขว้ไปมา ใบหน้าซีกขวามีสีขาวนวล ซีกซ้ายมีสีแดงจ้า ซีกตรงมีสีดุจผลองุ่น ร่างของเขาใสสว่างดุจก้อนแสง ตาทั้งเก้าจ้องมองท่านอย่างโกรธเคือง คิ้วของเขาประดุจสายฟ้าฟาด ซี่ฟันของเขา วาวดุจทองแดง เขาส่งเสียงหัวเราะก้อง อะ ลา-ลา และ ฮ่าฮ่า ผิวปากดัง ซู่ว์ ผมสีแดงทองมวยมุ่นสู่เบื้องบนส่งประกายวาว ศีรษะของเขาสวมด้วยมงกุฏกะโหลก และดวงสุริยัน-จันทรา ร่างของเขาประดับด้วยอสรพิษดำและกะโหลกสด ๆ มือทั้งหกคู่นั้นแบ่งถือ ศาสตราวุธ มือแรกข้างขวาถือวงล้อ มือที่สองถือขวาน มือที่สามถือดาบ มือแรกข้างซ้ายถือระฆัง ถือคันไถไว้ในมือกลาง ถือถ้วยกะโหลกศีรษะไว้ในมือสุดท้าย ชายาประจำองค์ได้แก่ นางพุทธะ-โกรดิสวารี สวมกอดร่างเขาอยู่ มือขวาของนางโอบรัดอยู่รอบคอของเขา มือซ้ายถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะ ล้นด้วยโลหิตจ่อที่ริมฝีปากของภัสดา พุทธะเฮรุกาส่งเสียง ร้องจากเพดานบน และคำรามดุจฟ้าผ่า เปลวไฟแห่งปัญญาจะพวยพุ่งออกจากหว่างกลางวัชระเรืองแสงบนศีรษะ เขายืนตระหง่านอยู่บน บัลลังก์ที่พยุงไว้ด้วยครุฑ ที่งอขาข้างหน้าไว้แล้วเหยียดอีกข้างออก

    " อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด อย่าไหวหวั่น อย่าสับสน ระลึกไว้เสมอว่าพวกเขามีรูปลักษณ์ดังใจของท่าน เขาคือองค์ยิดัมประจำตัวท่าน ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวไปเลย จริง ๆ แล้วพวกเขาคือ พระไวโรจนพุทธและองค์ชายา ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวไปเลย การระลึกได้และ การปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขจะบังเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน "
    เมื่อกล่าวถ้อยคำดังกล่าวนี้แล้ว ผู้ตายจะจดจำองค์ยิดัมได้ในที่สุดและเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน และกลายเป็นสัมโภคกายพุทธในที่สุด

    แต่หากผู้ตายเกิดหวาดกลัวและหลบหนีไป จึงมิอาจระลึกได้ ดังนั้นในวันที่เก้าสาวกผู้กระหายเลือดแห่งวัชรสกุลจะมาเชื้อเชิญเขา ดังนั้นเพื่อทำการชี้แนะเขาอีกครั้ง ผู้อ่านควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ในวันที่เก้าบริวารแห่งวัชรสกุล อันมีนามว่า วัชระเฮรุกาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะอุบัติขึ้นจาก ฟากฟ้าตะวันออกของกลางกระหม่อมท่าน ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า มีกายสีน้ำเงินบาง มีสามเศียรหกกร ขาสี่ขาไขว้ไปมา ใบหน้าซีกขวา มีสีขาวนวล ซีกซ้ายมีสีแดงเพลิง ซีกตรงมีสีน้ำเงิน ถือวัชระไว้ในมือด้านขวา ถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะไว้ในมือกลาง มือถือขวานไว้มือสุดท้าย ถือระฆังไว้ในมือแรกด้านซ้าย ถือถ้วยกะโหลกศีรษะไว้ในมือกลาง และถือคันไถไว้ในมือสุดท้าย ชายาประจำองค์ ได้แก่ พระนางวัชระโกรดิสวารี มือขวาของนางโอบรัดอยู่รอบคอของเขา มือซ้ายถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะล้นด้วยโลหิตจ่อที่ริมฝีปากภัสดา

    " อย่าหวาดกลัวเขาเป็นอันขาด อย่าาพรั่นพรึง อย่าสับสน ระลึกไว้เสมอว่าพวกเขามีรูปลักษณ์ดังใจท่าน เขาเป็นองค์ยิดัมประจำตัวท่าน ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวไปเลย จริง ๆ แล้วพวกเขาคือองค์พุทธวัชรสัตว์พร้อมด้วยศักติ ดังนั้นจงมีศรัทธา การระลึกได้และการปลดปล่อย สู่วิมุตติสุขจะบังเกิดขึ้นพร้อมกัน "

    เมื่อคำสอนนี้ถูกหยิบยกขึ้นมา เขาย่อมจดจำองค์ยิดัมประจำตนได้และเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกท่านและกลายเป็นพุทธะในสัมโภคกายภาวะ

    ทว่าในบุคคลที่กอปรขึ้นด้วยอกุศลกรรมอันหนักหนาสาหัส เขาย่อมเกิดความหวาดกลัวและทำการหลบหนี ด้วยเหตุนั้นการระลึกจึงไม่อาจ เกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ในวันที่สิบ บริวารผู้กระหายเลือดแห่งรัตนสกุลจักมาเชื้อเชิญพวกเขา ดังนั้นจึงควรทำการชี้แนะต่อเขาอีก ผู้อ่านควรเรียกชื่อของผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้


    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ในวันที่สิบบริวารอันกระหายเลือดแห่งรัตนสกุล มีนามว่ารัตนะเฮรุกาผู้ศักดิ์สิทธิ์ จะปรากฏตนออกจากทิศใต้ของกระหม่อมท่าน ร่างของเขานั้นจะมีสีเหลืองนวล สามเศียร หกกร ขาสี่ขาไขว้ไปมา ซีกหน้าด้านขวามีสีขาว ซีกด้านซ้ายมีสีแดงเพลิง ซีกตรงกลางมีสีเหลืองเข้ม ถือเพชรนิลจินดาไว้ในมือด้านแรกขวา ถือซ่อมสามขาเสียบศีรษะมนุษย์ ๓ หัวด้วยกัน ไว้ในมือกลางด้านขวา และถือไม้เท้าไว้ในมือสุดท้าย ถือระฆังไว้ในมือแรกข้างซ้าย ถือถ้วยกระโหลกศีรษะไว้ในมือกลาง ซ่อมสามขาไว้ ในมือท้าย ศักติของเขาได้แก่ รัตนะโกรดิสวารี สวมกอดเขาอยู่ มือขวาโอบอยู่รอบคอ มือซ้ายถือถ้วยกะโหลกศีรษะล้นไปด้วยเลือด จ่อที่ริมฝีปากของภัสดา

    " อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด อย่าไหวหวั่น อย่าพรั่นพรึง จงจำไว้ว่าเขาเป็นนิมิตมายาอันเกิดจากใจท่าน เขาเป็นองค์ยิดัมประจำตัวท่าน ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวพวกเขา ความจริงแล้วพวกเขาคือ องค์รัตนสัมภวะผู้ศักดิ์สิทธิ์พร้อมด้วยชายา ดังนั้นจงดำรงความสงบ การระลึกได้และการบรรลุสู่วิมุตติสุขจะเป็นไปอย่างฉับพลัน "

    เมื่อคำชี้แนะผ่านพ้นไป ผู้ตายย่อมจดจำองค์ยิดัมประจำตัวได้ และเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยกและกลายเป็นองค์พุทธะผู้บริสุทธิ์

    บัดนี้จะเป็นคำแนะนำว่าบาร์โดภาวะแห่งเทพพิโรธปรากฏขึ้นได้อย่างไร



    จวบจนบัดนี้มีเจ็ดขั้นด้วยกันที่จะต้องผ่านบนหนทางอันตรายในบาร์โดที่เขาได้ประสบพบกับเทพสันติ และแม้เขาจะได้รับการถ่ายทอด ชี้แนะในแต่ละขั้นตอนแล้ว หากเขาจะไม่อาจทำการระลึกได้ในขั้นแรก ๆ เขาย่อมระลึกได้ในขั้นตอนอื่น และการตรัสรู้สู่วิมุตติสุขอันหา ที่สุดมิได้จะบังเกิดขึ้น แม้นว่าบุคคลจำนวนมากจะถูกปลดปล่อยจากสังสารวัฏโดยวิธีดังกล่าวนี้ แต่ส่ำสัตว์นั้นมีมากมายมหาศาล มีอกุศล อันแน่นหนา มีม่านปกคลุมอันพิกลพิการทั้งหนักหนาและใหญ่โต มิจฉาทิฏฐิดำรงมาเป็นเวลานานนัก และวัฏฏะแห่งความสับสนและอวิชชา ไม่เคยถดถอยหรือพอกพูน ด้วยเหตุนี้จึงมีบุคคลอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย แต่กลับเร่ร่อนลงสู่ภูมิอันต่ำช้า แม้เขาจะได้รับ การชี้แนะอย่างแจ่มกระจ่างมาตลอดแล้วก็ตาม

    ด้วยเหตุนี้ หลังจากได้ประสบกับเทพสันติ วิทยาธรและทักคินีจะได้ผ่านพ้นไปแล้ว เทพพิโรธผู้กระหายเลือดและเร่าร้อน ๕๘ ตน จักปรากฏขึ้น โดยกลายร่างจากเทพสันติ บัดนี้พวกเขาไม่เหมือนก่อนแล้ว นี้เป็นช่วงบาร์โดแห่งเทพพิโรธ ดังนั้นบุคคลทั้งหลายจึงถูก ถมทับโดยความหวาดกลัวอันแรงกล้า และยิ่งเป็นการยากที่จะทำการจดจำนิมิตต่าง ๆ ในเวลานี้ สภาพจิตนั้นไม่อาจควบคุมตนเอง ซีดจางลงและวิงเวียนโซซัดโซเซ แต่หากการระลึกได้นั้นได้บังเกิดขึ้นแม้เพียงเสี้ยวนาที การปลดปล่อยนั้นก็ง่ายดายนัก เพราะว่าจาก อิทธิพลแห่งการอยู่เหนือความกลัวย่อมทำให้จิตไม่ฟั่นเฟือนฟุ้งซ่าน และด้วยเหตุนั้นจิตจึงสำรวมกำลังได้เป็นจุดเดียว

    หากแม้นบุคคลนั้นมิได้ทำความระลึกในคำสอนดังกล่าวนี้ ถึงเขาจะทำการเรียนรู้มามากมายปานมหาสมุทรกว้างก็ไร้ประโยชน์ แม้กระทั่ง คุรุอาจารย์ที่ปฏิบัติตามพระวินัยและเหล่าวิปัสสนาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังฟุ้งซ่านสับสน และไม่อาจจดจำคำสอนในกาลก่อนได้ ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงเร่ร่อนอยู่ในสังสารวัฏ ยิ่งบุคคลธรรมดาแล้วพวกเขาย่อมทนทุกข์มากกว่าปกติ ในการหลบหนีจากความกลัวอันเข้มข้น พวกเขา ได้พลัดตกลงไปสู่ภูมิอันต่ำช้าและรับทุกข์ทรมาณยิ่งนัก แต่สำหรับผู้ผ่านการฝึกฝนโยคะตันตระ แม้ว่าเขาจะเป็นสานุศิษย์ที่ต่ำต้อยปานใด เขาย่อมจะจดจำเหล่าเทพกระหายเลือดนี้ได้ว่าเป็นองค์ยิดัมในชั่วพลันที่เผชิญ เหมือนดังการพบเพื่อนเก่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงเชื่อมั่นในเทพ เหล่านี้และเข้าร่วมโดยไม่แบ่งแยกกับพวกเขา และกลับกลายเป็นพระพุทธองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ เคล็ดลับอยู่ที่ว่าในยามมีชีวิตอยู่ เขาได้ใช้ เทพกระหายเลือดเป็นบริกรรมนิมิตและทำการบวงสรวงบูชาพวกเขา ผนวกกับการพบเห็นรูปวาดหรือประติมากรรมของทวยเทพเหล่านี้ เขาจดจำภาพในที่นี้ได้และประสบกับวิมุตติสุขในที่สุด

    ทว่าในหมู่บรรดาเหล่าวิปัสสนาจารย์ที่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนในศาสนา ถึงเขาจะใช้ความเพียรพยายามสักปานใด และแตกฉาน เพียงใดในพระสูตรในยามมีชีวิตอยู่ หากแต่ครั้นเขาได้ดับร่างลงโดยปราศจากสื่อบอกเหตุ เช่น มีอัฐิที่ใสแก้ว มีรัศมีพระอาทิตย์ทรงกลด ในยามประชุมเพลิง รวมทั้งปรากฏการณ์บอกเหตุอื่น ๆ แสดงว่าเขาฝึกฝนตันตระในทางที่ผิดและไม่อาจผสานผสมตันตระเข้าไปในดวงจิต พวกเขาไม่รู้จักเหล่าเทพแห่งตันตระ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่อาจจดจำเทพเหล่านั้นได้เมื่อเขาปรากฏตนในบาร์โด และเมื่อประสบกับสิ่ง ที่มิได้เคยพบเห็นมาก่อน พวกเขาจึงคิดว่านิมิตเหล่านี้เป็นศัตรูและบังเกิดโทสะต่อมัน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้ร่วงหล่นสู่ภูมิอันต่ำช้า นั่นเป็นเหตุผลว่า เหตุใดที่บรรดานักปราชญ์และผู้เคร่งครัดในวินัย แต่มิได้ฝึกฝนในตันตระ อัฐิที่ใสดุจแก้ว หรือรัศมีทรงกลดจึงมิได้ ปรากฏแก่เขา

    สำหรับผู้ฝึกฝนในตันตระ แม้ว่าเขาจะต่ำต้อยยิ่งนักประพฤติตนหยาบช้าในโลก ไร้สัมมาคารวะและไม่บริสุทธิ์เคร่งครัด รวมทั้งบุคคลที่ไม่ สามารถฝึกฝนตันตระให้สำเร็จ แต่เป็นเพราะว่าเขามีความศรัทธาในตันตระวิชาและไม่มีข้อสงสัยใดในการเข้าสู่วิมุตติสุขโดยวิธีนี้ ด้วยเหตุ นี้แม้พฤติกรรมของเขาจะไม่เป็นที่ยอมรับกันในโลกมนุษย์ แต่ในยามที่เขาดับชีพลงกลับปรากฏอัฐิที่ใสประดุจแก้ว และรัศมีอาทิตย์ทรงกลด แก่เขา นี่เป็นเพราะว่าคำสอนแห่งตันตระนั้นทรงไว้ซึ่งอำนาจอันสูงส่ง

    สำหรับเหล่าผู้ฝึกฝนตันตระเหนือเกินเกณฑ์ทั่วไป ผู้ซึ่งสำรวมจิตในสมาธิและมีการฝึกฝนอันสมบูรณ์ และได้ท่องบ่นหทัยมนตราเป็น การสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องเร่ร่อนอยู่เป็นเวลานานในบาร์โดแห่งธรรมดา ทว่าในชั่วขณะที่เขาหยุดลมหายใจ เหล่าวิทยธร นักรบ และทักคินี จะเชื้อเชิญเขาสู่แดนสุขาวดี นิมิตที่บ่งบอกนั้นได้แก่ ท้องฟ้าจะแจ่มใส ร่างของเขาจะเลือนหายไปในสายรุ้ง ฝนจะพรำกลิ่นหอมจะรวยริน คีตะจะบรรเลงในท้องฟ้า รัศมีอาทิตย์จะทรงกลด และปรากฏอัฐิธาตุอันสุกใสขึ้น

    ด้วยเหตุนี้ บรรดานักปราชญ์ ผู้เคร่งครัดวินัย และสานุศิษย์แห่งตันตระที่ปล่อยให้องค์สัมมาปฏิบัติเสื่อมทรามลง และบุคคลสามัญจำต้อง พึ่งพาคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " สำหรับผู้เจริญสมาธิภาวนาที่ผ่านการฝึกฝนมหามุทรา และมหาสัมปานา( มหาอติหรืออติโยคะ ) ย่อมจดจำแสงกระจ่างในบาร์โดชั่วขณะก่อนตายได้และเข้าถึงซึ่งธรรมกายสภาวะ ทำให้เขาไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง "

    หากพวกเขาจดจำแสงกระจ่างระหว่างบาร์โดชั่วขณะก่อนตายได้ พวกเขาย่อมเข้าถึงธรรมกายสภาวะ แต่หากพวกเขาทำการระลึกได้ใน บาร์โดแห่งธรรมดา เมื่อเทพสันติและเทพพิโรธปรากฏขึ้น พวกเขาย่อมเข้าสู่สัมโภคกายสภาวะ แต่หากเขาทำการระลึกได้ในบาร์โดแห่งการแปรเปลี่ยน พวกเขาย่อมเข้าสู่นิรมาณกายสภาวะและเกิดในภพอันสูงส่งกว่าเดิม ที่พระสัทธรรมได้แพร่ไปถึง และเนื่องจากผลการ กระทำนั้นส่งไปถึงชีวิตหน้า อันเป็นเหตุผลว่าทำไมคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " จึงเป็นคำสอนที่ปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขได้ โดยปราศจากสมาธิภาวนา เป็นการปลดปล่อยขั้นสูงโดยอาศัยเพียงการสดับฟัง เป็นคำสอนอันลึกซึ้งที่ก่อให้เกิดการตรัสรู้ในพริบตา ดังนั้น สรรพสัตว์ที่เข้าถึงคำสอนย่อมไม่พลัดตกสู่ภูมิอันต่ำช้า ทั้งคัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสดับฟัง " และ คัมภีร์ " มหาวิมุตติโดยการสวมใส่ " จะต้องถูกอ่านอย่างชัดเจน เพราะเมื่อคำสอนทั้งคู่ถูกนำมาใช้รวมกัน จะเปรียบประดุจมณฑลทองที่ประดับด้วยพลอยการเวก

    บัดนี้สาระสำคัญอันยิ่งยวดของคัมภีร์ " วิมุตติโดยการสดับฟัง " จะได้รับการสั่งสอน มันจักแสดงแถลงไขว่าบาร์โดภาวะแห่งเทพพิโรธ ปรากฏขึ้นได้อย่างไร จงเรียกนามของผู้ตายสามครั้งและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุลจงฟังคำข้า อย่าแชเชือน ถึงแม้ว่าช่วงบาร์โดแห่งเทพสันติจะได้ปรากฏขึ้นแล้ว ท่านก็ยังมิอาจระลึกพวกเขาได้ ดังนั้นท่านจึงได้ร่อนเร่มาจนถึงที่นี่ บัดนี้ในวันที่แปด เหล่าเทพกระหายเลือดจักปรากฏกายขึ้น จงจดจำพวกเขาให้ได้อย่าหวั่นไหว "

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ท่านผู้มีนามศักดิ์สิทธิ์ว่าพุทธะเฮรุกาจะอุบัติขึ้นจากภายในกระหม่อมของท่าน ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าอย่าง แจ่มชัดและเป็นจริง กายของเขาเป็นสีแดงดุจผลองุ่น มีสามเศียร หกกร ขาสี่ขาไขว้ไปมา ใบหน้าซีกขวามีสีขาวนวล ซีกซ้ายมีสีแดงจ้า ซีกตรงมีสีดุจผลองุ่น ร่างของเขาใสสว่างดุจก้อนแสง ตาทั้งเก้าจ้องมองท่านอย่างโกรธเคือง คิ้วของเขาประดุจสายฟ้าฟาด ซี่ฟันของเขา วาวดุจทองแดง เขาส่งเสียงหัวเราะก้อง อะ ลา-ลา และ ฮ่าฮ่า ผิวปากดัง ซู่ว์ ผมสีแดงทองมวยมุ่นสู่เบื้องบนส่งประกายวาว ศีรษะของเขาสวมด้วยมงกุฏกะโหลก และดวงสุริยัน-จันทรา ร่างของเขาประดับด้วยอสรพิษดำและกะโหลกสด ๆ มือทั้งหกคู่นั้นแบ่งถือ ศาสตราวุธ มือแรกข้างขวาถือวงล้อ มือที่สองถือขวาน มือที่สามถือดาบ มือแรกข้างซ้ายถือระฆัง ถือคันไถไว้ในมือกลาง ถือถ้วยกะโหลกศีรษะไว้ในมือสุดท้าย ชายาประจำองค์ได้แก่ นางพุทธะ-โกรดิสวารี สวมกอดร่างเขาอยู่ มือขวาของนางโอบรัดอยู่รอบคอของเขา มือซ้ายถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะ ล้นด้วยโลหิตจ่อที่ริมฝีปากของภัสดา พุทธะเฮรุกาส่งเสียง ร้องจากเพดานบน และคำรามดุจฟ้าผ่า เปลวไฟแห่งปัญญาจะพวยพุ่งออกจากหว่างกลางวัชระเรืองแสงบนศีรษะ เขายืนตระหง่านอยู่บน บัลลังก์ที่พยุงไว้ด้วยครุฑ ที่งอขาข้างหน้าไว้แล้วเหยียดอีกข้างออก

    " อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด อย่าไหวหวั่น อย่าสับสน ระลึกไว้เสมอว่าพวกเขามีรูปลักษณ์ดังใจของท่าน เขาคือองค์ยิดัมประจำตัวท่าน ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวไปเลย จริง ๆ แล้วพวกเขาคือ พระไวโรจนพุทธและองค์ชายา ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวไปเลย การระลึกได้และ การปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขจะบังเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน "
    เมื่อกล่าวถ้อยคำดังกล่าวนี้แล้ว ผู้ตายจะจดจำองค์ยิดัมได้ในที่สุดและเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน และกลายเป็นสัมโภคกายพุทธในที่สุด

    แต่หากผู้ตายเกิดหวาดกลัวและหลบหนีไป จึงมิอาจระลึกได้ ดังนั้นในวันที่เก้าสาวกผู้กระหายเลือดแห่งวัชรสกุลจะมาเชื้อเชิญเขา ดังนั้นเพื่อทำการชี้แนะเขาอีกครั้ง ผู้อ่านควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ในวันที่เก้าบริวารแห่งวัชรสกุล อันมีนามว่า วัชระเฮรุกาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะอุบัติขึ้นจาก ฟากฟ้าตะวันออกของกลางกระหม่อมท่าน ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า มีกายสีน้ำเงินบาง มีสามเศียรหกกร ขาสี่ขาไขว้ไปมา ใบหน้าซีกขวา มีสีขาวนวล ซีกซ้ายมีสีแดงเพลิง ซีกตรงมีสีน้ำเงิน ถือวัชระไว้ในมือด้านขวา ถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะไว้ในมือกลาง มือถือขวานไว้มือสุดท้าย ถือระฆังไว้ในมือแรกด้านซ้าย ถือถ้วยกะโหลกศีรษะไว้ในมือกลาง และถือคันไถไว้ในมือสุดท้าย ชายาประจำองค์ ได้แก่ พระนางวัชระโกรดิสวารี มือขวาของนางโอบรัดอยู่รอบคอของเขา มือซ้ายถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะล้นด้วยโลหิตจ่อที่ริมฝีปากภัสดา

    " อย่าหวาดกลัวเขาเป็นอันขาด อย่าาพรั่นพรึง อย่าสับสน ระลึกไว้เสมอว่าพวกเขามีรูปลักษณ์ดังใจท่าน เขาเป็นองค์ยิดัมประจำตัวท่าน ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวไปเลย จริง ๆ แล้วพวกเขาคือองค์พุทธวัชรสัตว์พร้อมด้วยศักติ ดังนั้นจงมีศรัทธา การระลึกได้และการปลดปล่อย สู่วิมุตติสุขจะบังเกิดขึ้นพร้อมกัน "

    เมื่อคำสอนนี้ถูกหยิบยกขึ้นมา เขาย่อมจดจำองค์ยิดัมประจำตนได้และเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกท่านและกลายเป็นพุทธะในสัมโภคกายภาวะ

    ทว่าในบุคคลที่กอปรขึ้นด้วยอกุศลกรรมอันหนักหนาสาหัส เขาย่อมเกิดความหวาดกลัวและทำการหลบหนี ด้วยเหตุนั้นการระลึกจึงไม่อาจ เกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ในวันที่สิบ บริวารผู้กระหายเลือดแห่งรัตนสกุลจักมาเชื้อเชิญพวกเขา ดังนั้นจึงควรทำการชี้แนะต่อเขาอีก ผู้อ่านควรเรียกชื่อของผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้


    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน ในวันที่สิบบริวารอันกระหายเลือดแห่งรัตนสกุล มีนามว่ารัตนะเฮรุกาผู้ศักดิ์สิทธิ์ จะปรากฏตนออกจากทิศใต้ของกระหม่อมท่าน ร่างของเขานั้นจะมีสีเหลืองนวล สามเศียร หกกร ขาสี่ขาไขว้ไปมา ซีกหน้าด้านขวามีสีขาว ซีกด้านซ้ายมีสีแดงเพลิง ซีกตรงกลางมีสีเหลืองเข้ม ถือเพชรนิลจินดาไว้ในมือด้านแรกขวา ถือซ่อมสามขาเสียบศีรษะมนุษย์ ๓ หัวด้วยกัน ไว้ในมือกลางด้านขวา และถือไม้เท้าไว้ในมือสุดท้าย ถือระฆังไว้ในมือแรกข้างซ้าย ถือถ้วยกระโหลกศีรษะไว้ในมือกลาง ซ่อมสามขาไว้ ในมือท้าย ศักติของเขาได้แก่ รัตนะโกรดิสวารี สวมกอดเขาอยู่ มือขวาโอบอยู่รอบคอ มือซ้ายถือถ้วยกะโหลกศีรษะล้นไปด้วยเลือด จ่อที่ริมฝีปากของภัสดา

    " อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด อย่าไหวหวั่น อย่าพรั่นพรึง จงจำไว้ว่าเขาเป็นนิมิตมายาอันเกิดจากใจท่าน เขาเป็นองค์ยิดัมประจำตัวท่าน ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัวพวกเขา ความจริงแล้วพวกเขาคือ องค์รัตนสัมภวะผู้ศักดิ์สิทธิ์พร้อมด้วยชายา ดังนั้นจงดำรงความสงบ การระลึกได้และการบรรลุสู่วิมุตติสุขจะเป็นไปอย่างฉับพลัน "

    เมื่อคำชี้แนะผ่านพ้นไป ผู้ตายย่อมจดจำองค์ยิดัมประจำตัวได้ และเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยกและกลายเป็นองค์พุทธะผู้บริสุทธิ์
     
  20. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ทว่าแม้จะได้รับคำชี้แนะดังกล่าวเช่นนี้ เขาก็ยังถูกฉุดดึงด้วยจิตใจใฝ่ต่ำ อันก่อให้เกิดความหวาดกลัวและทำการหลบหนีไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่อาจจดจำองค์ยิดัมได้ แม้ว่าเขาจะได้ประสบกับเทพยามันตากะแแล้วก็ตามที เขาก็ยังไม่อาจทำความระลึกได้ ดังนั้นในวันที่สิบเอ็ด องค์ประธานแห่งปัทมสกุลผู้กระหายโลหิต นามปัทมะเฮรุกาอันศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวขึ้น จากฟากฟ้าตะวันตกของกระหม่อม และ สำแดงกายอยู่อย่างชัดแจ้งพร้อมด้วยองค์ชายาของเขา ร่างกายของเขามีสีแดงเข้ม สามเศียร หกกร ขาสี่ขาไขว้กันไปมา หน้าซีกขวาสีขาวโพลง ซีกซ้ายเป็นสีน้ำเงินคราม ด้านตรงเป็นสีแดงเข้ม มีหกกร ในแขนข้างขวาทรงถือดอกบัวไว้เป็นลำดับแรก ถือซ่อมสามขาที่เสียบไว้ด้วยศีรษะมนุษย์ในลำดับต่อมา และคันเบ็ดในลำดับท้ายสุด ในแขนข้างซ้ายทรงถือระฆังไว้เป็นลำดับแรก ถือถ้วยรูปกะโหลกที่เอ่อล้นไปด้วยโลหิตมนุษย์ในลำดับต่อมา และกลองขนาดย่อมในลำดับสุดท้าย ชายาของเขาได้แก่ปัทมะโกรดิสวารี สวมกอดร่างของเขาอยู่ มือขวาของนางโอบรัดรอบคอเขา แขนข้างซ้ายถือถ้วยหัวกะโหลกโชกไปด้วยโลหิตจ่ออยู่ริมฝีปากภัสดา

    " อย่าหวาดกลัวพวกเขาไปเลย อย่าพรั่นพรึง อย่าหวั่นไหว แต่จงทำใจให้เริงรื่นและพึงระลึกให้ได้ว่าเขาเป็นมายาจากจิตท่านเอง เขาคือองค์ยิดัมประจำตนท่าน ด้วยเหตุนี้จึงมิควรหวาดกลัวไหวหวั่น ตัวตนอันแท้จริงของเขาได้แก่ พระอมิตาภพุทธผู้ศักดิ์สิทธิ์ร่วมทาง กับองค์ชายา ดังนั้นพึงทำการระลึกถึงคำสอน และการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขจะบังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน "

    เมื่อคำชี้แนะดังกล่าวนี้สิ้นสุดลง เขาย่อมจดจำได้ว่านิมิตมายานั่นคือองค์ยิดัมประจำตัวเขา และเขาจะรวบร่างเป็นหนึ่งและกลายเป็น องค์พุทธะผู้ศักดิ์สิทธิ์

    ทว่า ภายหลังจากการได้รับการชี้แนะดังกล่าวนี้แล้ว เขายังอาจถูกฉุดรั้งด้วยอำนาจใฝ่ต่ำและเกิดความหวาดกลัวและหลบหนีไป ด้วยเหตุนั้นจึงไม่อาจจดจำองค์ยิดัมประจำตนได้ ดังนั้นในวันที่สิบสอง องค์ประธานแห่งกรรมสกุลผู้กระหายเลือดจักปรากฏกายขึ้นพร้อม ด้วยเการิศ ปิศาจและโยคินี เพื่อทำการเชื้อเชิญเขา ถ้าเขาไม่อาจทำการระลึกในคำสอนได้ เขาย่อมหวาดกลัวอย่างแรงกล้า ด้วยเหตุนี้เพื่อทำการชี้แนะต่อเขาอีก ผู้อ่านควรเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน เมื่อวันที่สิบสองมาถึงองค์ประธานแห่งกรรมสกุลผู้กระหายโลหิต นามกรรมะเฮรุกา จะอุบัติจากฟากเหนือของกระหม่อม และปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าท่านอย่างแจ่มแจ้งพร้อมด้วยองค์ชายา ร่างของเขา เขียวครึ้มมีสามเศียร หกกร ขาสี่ข้างแยกออกจากกัน ซีกหน้าด้านขวามีสีขาวโพลง ซีกหน้าด้านซ้ายมีสีแดงเพลิง ซีกหน้าตรงเขียวครึ้มดูลึกลับ ในแขนข้างขวาทรงถือดาบไว้เป็นลำดับแรก ถือซ่อมสามขาที่ใช้เสียบศีรษะมนุษย์ไว้ในลำดับต่อมา และทรงถือคันเบ็ดไว้เป็นลำดับสุดท้าย ในแขนข้างซ้ายทรงถือระฆังไว้เป็นเบื้องแรก ถือถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะมนุษย์ไว้ในลำดับต่อมา และทรงถือคันไถไว้ในลำดับสุดท้าย ศักติของเขาได้แก่กรรมะโกรดิสวารี สวมกอดร่างของเขาอยู่ แขนข้างขวาของนางโอบอยู่รอบคอเขา แขนข้างซ้ายถือถ้วยหัวกะโหลกโชกไปด้วยโลหิตจ่อที่ริมฝีปาก

    " อย่าหวาดกลัวเขาไปเลย อย่าพรั่นพรึง อย่าหวั่นไหว จงจดจำไว้ว่าเขาเป็นนิมิตมายาจากใจของท่านเอง เขาคือองค์ยิดัมประจำตัวท่าน ดังนั้นจงอย่าหวาดกลัว ที่จริงแล้วเขาคือพระอโฆสิทธิพุทธร่วมทางด้วยองค์ชายา ดังนั้นจงอุทิศตนอย่างแรงกล้า การจดจำและ การปลดปล่อยสู่วิมุตติสุขจะเกิดขึ้นโดยฉับพลัน "
    เมื่อคำกล่าวนี้ถูกกล่าวขึ้นเพื่อชี้แนะผู้ตาย เขาย่อมจดจำองค์ยิดัมประจำตนได้ และเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับท่านและกลายเป็น องค์พุทธะผู้ศักดิ์สิทธิ์


    โดยอาศัยคำสอนดังกล่าวนี้จากคุรุของเขา ผู้ตายย่อมจดจำภาพทั้งหลายที่ปรากฏว่าเป็นนิมิตแห่งใจตน เป็นการละเล่นของใจ และเขาจะได้รับการปลดปล่อยสู่วิมุตติสุข ทุกสิ่งจะเป็นดังสิงห์โตร้ายที่ถูกแช่แข็ง เขาย่อมหวาดหวั่นหากไม่รู้ว่ามันเป็นสิงห์โตที่ถูกแช่แข็งไว้ แต่เมื่อใดก้ตามที่มีคนไปแสดงว่า สิ่งนี้คืออะไรกันแน่ เขาย่อมประหลาดใจและไม่หวาดกลัวอีกต่อไป ณ ที่นี้เขาหวาดกลัว เพราะว่าเหล่าทวยเทพอันกระหายเลือดปรากฏตนในรูปกายอันใหญ่โตและแขนขาอันมโหฬาร คับแน่นผืนฟ้า แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาได้รับการชี้แนะว่าเหล่าทวยเทพล้วนเป็นภาพมายาแห่งใจ หรือเป็นองค์ยิดัมประจำตน แสงสุกใสที่เขาได้สำรวมจิตไว้ในกาลก่อนและแสงสุกใส ในตนเองที่อุบัติขึ้นในภายหลัง จะเข้ารวมตัวกันเปรียบประดุจมารดาโอบอุ้มบุตร เปรียบประดุจการพบปะกับบุคคลที่เขาคุ้ยเคยเป็นอย่างดี แสงสุกใสที่ปลดปล่อยออกจากจิตของเขาจะอุบัติขึ้นอย่างฉับพลันเบื้องหน้า และเขาจะได้รับการปลดปล่อยโดยอำนาจแห่งตน

    แต่หากเขาไม่ได้รับการชี้แนะดังนี้ แม้กระทั่งบุคคลที่ผ่านการฝึกฝนอย่างดีเยี่ยม ก็อาจหลบหนีจากสถานที่แห่งนี้และต้องวนเวียน วนสังสารวัฏไม่สิ้นสุด ครั้นแล้วเหล่าเการิศทั้งแปดและปิศาจหลายเศียรจะอุบัติ
    จากกลางกระหม่อมของท่านและปรากฏตนขึ้นเบื้องหน้า ดังนั้นเพื่อทำการชี้แนะเขาอีกครั้งหนึ่ง ผู้อ่านควรทำการเรียกชื่อผู้ตายและกล่าวถ้อยคำต่อไปนี้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน เการิศทั้งแปดจะอุบัติจากใจกลางกระหม่อมและปรากฏตนขึ้นเบื้องหน้าท่าน อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด

    " จากฟากตะวันออกของกระหม่อม เการิศ-ขาว จะอุบัติขึ้นถือซากศพกับไม้เท้าในมือข้างขวาและถือถ้วยกะโหลกศีรษะเปี่ยมด้วยเลือด ในมือซ้าย อย่าหวาดกลัวเป็นอันขาด จากฟากใต้ของกระหม่อมเการิศ-เหลือง จะยิงธนูออกจากคันศร จากฟากตะวันตกปราโมหะ-แดง จะถือธงพรายทะเล จากฟากเหนือเวตาลี-ดำ จะถือวัชระและถ้วยที่ทำจากกะโหลกศีรษะเปี่ยมด้วยโลหิต จากฟากตะวันออกเฉียงใต้ ปุคคาสิ-แสด จะถืออวัยวะภายในไว้ในมือขวาและใช้มือซ้ายช่วยในการกัดกิน จากฟากฟ้าตะวันตกเฉียงใต้กัศมาลี-เขียวเข้ม จะดื่มโลหิต จากถ้วยกะโหลกที่นางถือไว้ในมือซ้ายและใช้มือขวาจับวัชระคนถ้วย จากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ คันธาลี-สีเหลืองอ่อน จักฉีกศีรษะและ ร่างของมนุษย์ให้แยกจากกัน ถือหัวใจไว้ในมือข้างขวาและกัดกินร่างกายด้วยมือข้างซ้าย จากทอศตะวันออกเฉียงเหนือสมาสานี-สีคราม จักฉีกศีรษะและร่างของมนุษย์ให้แยกขาดจากกันและกัดกิน แปดเการิศจากทิศทั้งแปดจะล้อมรอบเทพเฮรุกาผู้กระหายเลือดทั้งห้า อันอุบัติขึ้นจากใจกลางกระหม่อมและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า จงอย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จงฟังคำข้า ฯ อย่าแชเชือน หลังจากนี้แปดปิศาจแห่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จะอุบัติขึ้นจากใจกลางกระหม่อม และปรากฏตนอยู่เบื้องหน้าท่าน

    " ทางทิศตะวันออก สิงหมุกขา กายสีม่วง ศีรษะเป็นสิงห์แขนสองข้างรองอยู่ที่หน้าอก คาบซากศพคนไว้ในปาก สลัดแผงขนคอไปมา จากทิศใต้วยัคฆ์ ( พยัคฆ์ ) มุกขา กายสีแดง ศีรษะเป็นเสือสองแขนไขว้ชี้ลงสู่พื้นดิน ดวงตาของนางจับจ้องและขู่คำราม จากทิศตะวันตก ศกลาลมุกขา กายสีดำ ศีรษะเป็นสุนัขจิ้งจอก ถือมีดโกนไว้ในมือข้างขวาและเครื่องในในมือซ้าย กัดกินและเลียโลหิตจากอวัยวะภายใน จากทิศเหนือ สวานะมุกขา ศีรษะเป็นสุนัขป่า ใช้มือสองข้างจรดซากศพติดริมฝีปาก ดวงตาจับจ้องไปเบื้องหน้า จากทิศตะวันออกเฉียงใต้ คฤชรมุกขา กายสีเหลืองอ่อน ศีรษะเป็นนกแร้ง แบกซากศพมนุษย์ขนาดใหญ่ไว้เหนือบ่า ถือโครงกระดูกไว้ในมือของนาง จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ กานกะมุกขา กายสีแดงเข้ม ศีรษะเป็นเหยี่ยว ถือแผ่นหนังไว้เหนือไหล่ จากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กากามุกขา กายสีดำ ศีรษะเป็นอีกา ถือถ้วยกะโหลกศีรษะไว้ในมือซ้ายและถือดาบไว้ในมือขวา กัดกินหัวใจและปอด ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อุลุมุกขา กายสีน้ำเงินเข้ม ศีรษะเป็นนกเค้าแมว ถือวัชระไว้ในมือขวาและถือดาบไว้ในมือซ้ายกำลังกินซากศพ แปดปิศาจจากสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะพากันห้อมล้อมเทพเฮรุกาผู้กระหายเลือด ซึ่งอุบัติจากกลางกระหม่อมของท่านและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า อย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด จงจำไว้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการละเล่นแห่งใจ อันเป็นนิมิตจากตัวท่านเอง

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล ภาพธิดาทั้งสี่แห่งจตุรบาลจะอุบัติขึ้นจากกลางกระหม่อมของท่านและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า ดังนั้นจงจดจำ พวกนางให้ได้ดังนี้


    " จากทางทิศตะวันออกของกระหม่อม อังกุศ กายขาว ศีรษะเสือโคร่ง ถือง้าวและถ้วยกะโหลกศีรษะอันเปี่ยมด้วยเลือดจะอุบัติ และปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ทิศใต้ บาศก์ กายเหลือง ศีรษะเป็นสุกรตัวเมีย ถือบ่วงบาศก์ ทิศตะวันตก ศฤงคาร กายสีแดง ศีรษะเป็นสิงห์โต ถือโซ่เหล็ก ทางทิศเหนือ ฆณฏา กายสีเขียว ศีรษะงู ถือกระดิ่งในมือ เทพธิดาทั้งสี่แห่งจตุรบาลจะอุบัติจากกลาง กระหม่อมของท่านและปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า จงจดจำพวกเขาให้ได้ว่าล้วนเป็นองค์ยิดัมแห่งตัวท่านเอง

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล หลังจากเวลาดังกล่าว เทพเฮรุกาอันดุร้ายสามสิบตนจะปรากฏขึ้น โยคินียี่สิบแปดนางจะร่วมทางมา พวกเขาจะอุบัติจากกลางกระหม่อมของท่านเช่นกันและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า ล้วนมีศีรษะแตกต่างกันไป ถืออาวุธต่าง ๆ กัน อย่าหวาดกลัวพวกเขา แต่จงจำไว้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นการละเล่นแห่งใจ เป็นนิมิตจากตัวท่านเอง ใชช่วงเวลาวิกฤตนี้ จงระลึกถึงคำสั่งสอนของคุรุให้ได้

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จากทิศตะวันออก โยคินีประจำทิศทั้งหกนางจะอุบัติจากกลางกระหม่อมของท่านและปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ฝูงรากษส ปิศาจ สีม่วงคล้ำ มีศีรษะเป็นยักษ์ ถือวัชระไว้ในมือ พราหมมี กายสีส้ม ศีรษะเป็นงู ถือดอกบัว มหาเทวี เทพธิดาผู้ยิ่งใหญ่ กายสีเขียวเข้ม ศีรษะเป็นเสือดาว ถือตรีศูล โลภะ เจ้าแห่งความโลภ กายสีน้ำเงิน ศีรษะเป็นพังพอน ถือกงจักร กุมารี ผู้บริสุทธิ์ กายสีแดง ศีรษะเป็นหมีเหลือง ถือหอกสั้น และอินทรานี กายสีขาว ศีรษะเป็นหมีสีน้ำตาล ถือวงอวัยวะภายใน จงอย่าหวาดกลัวพวกเขา เป็นอันขาด

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จากทิศใต้ โยคินีประจำทิศทั้งหกนางจะอุบัติขึ้นจากกลางกระหม่อมและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า วัชระ กายสีเหลือง ศีรษะเป็นหมู ถือมีดดาบคมกริบ สันติ ความสงบ กายสีแดง ศีรษะเป็นพรายทะเล ถือแจกันไว้ในมือ อมฤตา สายธารแห่งอมตะ กายสีแดง ศีรษะเป็นแมลงป่อง ถือดอกบัว จันทรา ดวงจันทร์ กายสีขาว ศีรษะเป็นนกเหยี่ยว ถือวัชระในมือ ทัณฑะ ไม้เท้า กายสีเขียว ศีรษะเป็นจิ้งจอก ถือไม้เท้าในมือ และรากษส ปิศาจ กายสีเหลืองเข้ม ศีรษะเป็นเสือ ถือถ้วยกะโหลกเปี่ยมด้วยเลือดในมือ จงอย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จากทิศตะวันตก โยคินีประจำทิศทั้งหกนางจะอุบัติขึ้นจากกลางกระหม่อม และปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า ภักษินี ผู้หิวกระหาย กายสีเขียวเข้ม ศีรษะเป็นนกแร้ง ถือไม้เท้าไว้ในมือ ระตี ความสุข กายสีแดงศีรษะเป็นม้า ถือแขนขาของซากศพ ขนาดใหญ่ มหาพละ ผู้ทรงพลังอันเข้มแข็ง กายสีขาว ศีรษะเป็นครุฑ ถือไม้เท้า รากษส ปิศาจ กายสีแดง ศีรษะเป็นสุนัข กำลังใช้มีดวัชระในมือตัดสิ่งของอยู่ กามะ ความปรารถนา กายสีแดง ศีรษะเป็นนก ยิงธนูจากคันศรในมือ วสุรักษา ผู้พิทักษ์ทรัพย์สิน กายสีเขียวเข้ม ศีรษะเป็นกวาง ถือแจกัน จงอย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล จากทิศเหนือ โยคินีประจำทิศทั้งหกนางจะอุบัติขึ้นจากกลางกระหม่อมและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้า วายุเทวี เทพธิดาแห่งสายลม กายสีน้ำเงิน ศีรษะเป็นสุนัขป่า โบกธงไปมา นารี อิสตรี กายสีแดง ศีรษะเป็นกระบือ ถือเสาหลัก วาราหิ สุกรตัวเมีย กายสีดำ ศีรษะเป็นสุกรตัวเมีย ถือพวงมาลาที่ทำจากฟัน วัชระ กายสีแดง ศีรษะเป็นกา ถือหนังของทารก มหาหัสดินทร ช้าง กายสีเขียวเข้ม ศีรษะเป็นช้าง ถือซากศพขนาดใหญ่ในฝ่ามือ ดื่มเลือดจากซากศพ วรุณเทวี เทพธิดาแห่งน้ำ กายสีน้ำเงิน ศีรษะเป็นอสรพิษ ถือพวงมาลาทำจากฝูงอสรพิษ จงอย่าหวาดกลัวพวกเขาเป็นอันขาด

    " ดูกร ทายาทแห่งอริยสกุล โยคินีทั้งสี่แห่งจตุรบาลจะอุบัติจากภายในกระหม่อมของท่านและปรากฏตนอยู่เบื้องหน้าท่าน จากทิศตะวันออก วัชระ-ขาว ศีรษะเป็นนกโกกิลา ถือง้าวเหล็ก จากทิศใต้ วัชระ-เหลือง ศีรษะเป็นแพะ ถือบ่วงบาศก์ในมือ จากทิศตะวันตก วัชระ-แดง ศีรษะเป็นสิงโต ถือโซ่เหล็ก จากทิศเหนือ วัชร-เขียว ศีรษะเป็นงู ถือระฆัง โยคินีทั้งสี่เหล่านี้จะอุบัติจาก ภายในกระหม่อมของท่านและปรากฏตนเบื้องหน้าท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...