ปรกโพธิ์ชนะมารกองทุนหลวงพ่อปานพระผงหลวงปู่บุญวัดบ้านนาระยอง พระปิดตาลป.เจียง เนินหย่องระยอง.

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    29028016_349549838863820_3910366752898285568_n.jpg
    "หลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ" หรือ "พระนิมมานโกวิท" วัดท่าทอง ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ หรือ หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทองเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง แก่กล้าในพลังจิตพุทธาคม ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง

    อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า ทองดำ เม่นพริ้ง เกิดเมื่อปี 2441 ที่บ้านไซโรงโขน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายบุญนาค-นางจ่าย เม่นพริ้ง มีอาชีพล่องเรือค้ายาสูบ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 8 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 4

    ในวัยเด็กอายุประมาณ 3 ขวบ บิดามารดาได้นำไปถวายเป็นบุตรบุญธรรมของ หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ พระคณาจารย์ชื่อดังแห่งวัดบางคลาน จ.พิจิตร

    หลวงพ่อเงิน เคยเอ่ยปากชมว่า "ไอ้หนูคนนี้เป็นเทวดามาเกิด ใครก็เลี้ยงไม่ได้นอกจากเรา ขอให้โยมยกเด็กคนนี้ให้มาเป็นลูกของเราเถิด" ตั้งแต่นั้นมาหลวงพ่อเงินได้เลี้ยงดูอบรมสั่งสอน จนสามารถท่องบทสวดมนต์ได้อย่างรวดเร็วในวัยเพียงน้อยนิดเท่านั้น

    เมื่อ อายุ 22 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ อุโบสถวัดวังหมู ต.หาดกรวด อ.เมืองอุตรดิตถ์ โดยมี พระครูวิเชียรปัญญามหามุนี (เรือง) เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ เจ้าอาวาสวัดท่าถนน ต.ท่าอิฐ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แส เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ ต.ไผ่ล้อม อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ เป็นพระกรรมวาจารย์ พระครูดวง เจ้าอาวาสวัดวังหมู เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา ฐิตวัณโณ

    หลังจากบวชแล้ว ได้จำพรรษาที่วัดท่าทอง 1 พรรษา และย้ายไปจำพรรษาที่วัดท่าถนน 3 พรรษา ต่อมาตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทองว่างลง ญาติโยมกราบอาราธนาให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทอง ระหว่างเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าทอง หลวงปู่ทองดำได้ศึกษาความรู้ด้านปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมตรี ซึ่งระหว่างเรียนท่านได้มุ่งมั่นพัฒนาวัดท่าทองไปพร้อมๆ กัน จนเป็นที่เชิดหน้าชูตาทางพุทธศาสนาวัดหนึ่งในอุตรดิตถ์

    เมื่อปี พ.ศ.2504 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระนิมมานโกวิท และปี พ.ศ.2510 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์

    นอกจากเล่าเรียนทาง ปริยัติธรรมแล้ว หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทองยังสนใจวิชาโหราศาสตร์ และเรื่องวิทยาคม โดยช่วงวัยเด็กระหว่างเรียนหนังสือกับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ได้ศึกษาวิชาอยู่ยงคง กระพันกับโยมปู่เพื่อป้อง กันตัว

    กล่าวกันว่า ในช่วงวัยรุ่น หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทองท่านชอบการชกมวยจนได้รับฉายาว่า "ดำ ท่าทาง" เพราะท่านเรียนวิชากับโยมปู่ของท่าน โดยเฉพาะวิชาอยู่ยงคงกระพัน วิชาธนูมือ คือก่อนขึ้นชกมวย ท่านจะท่องคาถา เขียนที่ฝ่ามือเมื่อขึ้นชกจะทำให้มีพละกำลังและคม ทำให้คู่ชกแตกได้ง่าย

    ระหว่าง จำพรรษาที่วัดท่าทองยังไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อทิม วัดกลาง อ.เมืองพิจิตร พระเกจิอาจารย์ชื่อดังเกี่ยวกับตะกรุดโทน และหลวงพ่อทิมได้เมตตาถ่ายทอดวิชาและมอบตำราไสยเวทต่างๆ ให้จนหมดสิ้น ซึ่งหลวงปู่ทองดำ วัดท่าทองได้ใช้วิชาความรู้พัฒนาพุทธศาสนาเรื่อยมา

    กิตติศัพท์ ความเลื่องลือในปฏิปทาอันแรงกล้าและจริยวัตรอันงดงามของหลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง ขจรขจาย ไปไกลทุกสารทิศ พระเกจิอาจารย์รุ่นหลังหลายรูปให้ความเคารพนับถือในตัวท่าน ต่างเดินทางไปกราบไหว้และสนทนาธรรมอยู่เสมอ

    พระเทพวิทยาคมเถร หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ อริยสงฆ์แห่งแดนที่ราบสูงที่ปัจจุบันจำพรรษาที่วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ก็เคยมากราบไหว้สนทนาธรรมกับหลวงปู่ทองดำถึงวัดท่าทอง สร้างความฮือฮาให้กับพุทธศาสนิกชนที่ทราบข่าวเป็นยิ่งนัก

    หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง ได้ละสังขารเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 สิริอายุ 107 ปี

    ใน ช่วงที่หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทองท่านยังมีชีวิตอยู่ ได้อธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องวัตถุมงคลไว้จำนวนมาก อาทิ พระเนื้อดิน สร้างไว้ก่อนปี 2500 พิมพ์ซุ้มนครโกษา พิมพ์ยอดขุนพลบ้านปืน พระนางพญาพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก แผ่นยันต์ตะกรุด ชานหมาก รูปเหมือน สติ๊กเกอร์ติดหน้ารถ พระพิมพ์สมเด็จ พระนางพญา ปี 2523 ล็อกเกต พระปิดตา เหรียญ พระกริ่ง นางกวัก สีวลี เป็นต้น
    ถือเป็นพระเครื่องของหลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง ที่ได้รับความนิยมจากบรรดาเซียนพระเครื่องเป็นอย่างยิ่ง

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงปู่ทองดำวัดท่าทองปี 2537 ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240201_195551.jpg IMG_20240201_195655.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2024
  2. dumairport

    dumairport เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,578
    จองสมเด็จดูดพิษ
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ ขออนุญาตติดต่อทางข้อความครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1706852233231.jpg

    #ธรรมมะและเรื่องเล่าวันอาทิตย์
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
    เรื่อง:"เสกผ้ายันต์จนพระ ๕ นิ้วสั่นไหว"
    เมื่อคณะนิตยสารโพธิญาณได้ไปกราบเรียนขอสร้างผ้ายันต์แจกกับหนังสือนั้น ได้ไปกราบเรียนที่ซอยนภาศัพท์ เสร็จแล้วหลังจากนั้นก็ได้นำแบบทั้งหมดขึ้นไปให้หลวงปู่สิมท่านดูและให้ท่านสั่งว่าจะใช้อย่างไรดี โดยตั้งใจกันไว้ว่าจะขออักขระพุทโธจากหลวงปู่สิม มาใส่ในผ้ายันต์ด้วยน่าจะดี ไปถึงถ้ำผาปล่องแล้ว สนทนาสอบถามเรื่องราวประวัติชีวิตบางตอนที่ยังสงสัย
    แล้วตอนหนึ่งหลวงปู่สิมก็เอาเหรียญของท่านส่งให้และได้บอกว่าให้ใส่อักขระพุทโธที่มอบให้มาด้วย หลังจากเลือกแบบต่าง ๆจากภาพถ่ายทั้งหมด หลวงปู่ท่านก็ได้สั่งให้ใช้ ภาพที่นั่งพนมมือเป็นแบบได้ ท่านบอกว่าดีพร้อม ทั้งได้ให้ลายเซ็นของท่านกำกับมาด้วย
    กลับมาถึงกรุงเทพฯ ดำเนินการจัดสร้างผ้าพุทโธมหามงคลมีเหตุต่างๆ น่าจะชวนให้คิดว่าติดขัดแต่ก็ได้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้หมดสิ้นอย่างน่าอัศจรรย์เหลือจะกล่าว
    พอผ้ายันต์พิมพ์เสร็จเรียบร้อยไปกราบเรียนหลวงปู่ ท่านก็บอกว่าไม่ต้องขึ้นไปถึงถ้ำผาปล่องหรอกให้นำไปให้ที่ซอย
    นภาศัพท์ ทาง บก.จึงได้ติดต่อเรียนขออนุญาตกับคุณอวยชัยเจ้าของบ้าน
    น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก! ปกติคุณอวยชัยจะไม่ค่อยมาที่บ้านซอยนภศัพท์นัก แต่วันที่ขออนุญาตคุณอวยชัยมาที่บ้านพอดี และ
    ได้อนุญาตไว้ด้วยความเต็มใจ นับว่าเป็นน้ำใจเมตตาอันดียิ่งที่ผู้เขียนอดจะขอบพระคุณไว้ไม่ได้
    เมื่อได้นำผ้ายันต์ไปปลุกเสกนั้น ได้จัดเตรียมสิ่งอันควรใช้ทุกประการไปทั้งสิ้น ขอให้สังเกตจากภาพถ่ายทั้งหมด
    ผ้ายันต์ทั้งหมดถูกยกขึ้นไปด้วยการแบกทุกครั้ง ไม่เคยหิ้วในลักษณะอยู่ที่ต่ำ ,วางในรถจะมีกระดาษขาวบริสุทธิปูรองไว้หลาย ๆ ชั้น เมื่อขนลงไปกอง ณ ที่ปลุกเสกก็จะรองปูไว้ด้วยกระดาษหนาสีขาวบริสุทธิ์ที่ยังมิได้ใช้เช่นกัน วงล้อมไว้ด้วยสายสิญจน์ มีดอกบัวขาว ธูป เทียนพร้อม เทียนขาว 9 เล่ม บนกองผ้ายันต์
    เมื่อได้เวลาอันอุดมมหามงคลดีแล้ว หลวงปู่ท่านได้ทำในสิ่งที่ชาวคณะโพธิญาณทุก ๆ คนคาดคิดไม่ถึง กล่าวคือ
    ท่านได้เดินเข้าไปในห้อง ยกพระพุทธรูปมาองค์หนึ่งแล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนกองผ้ายันต์ แล้วจึงนั่งเจริญสมาธิใช้สองมืออันบริสุทธิ์ของท่านโอบประทับกองผ้ายันต์ไว้หลับตานิ่งกำหนดจิตเป็นสมาธิแน่วนิ่ง ไม่ไหวติง แผ่พลังจิตอันกล้าแข็งออกมาสู่ผ้าพุทโธมหามงคลนั้น
    ในช่วงขณะจิตนั้นเองพระพุทธรูปที่ประทับอยู่บนกองผ้ายันต์ได้เกิดอาการสั่นไหวอยู่ราว 2 นาที ทั้งๆที่ ทุกๆสิ่งรอบกายสงบนิ่ง ไม่มีใครไปกระเทือนแต่อย่างใด
    น่ามหัศจรรย์ในพลังจิตของหลวงปู่สิมยิ่งนักพระพุทธรูปทั้งองค์ยังสั่นสะเทือนไหวด้วยอำนาจพลังสมาธิจิตของท่าน หลวงปู่สิมปลุกเสกอยู่นานมากทีเดียวจึงเสร็จพิธี พร้อมกับบอกว่า "เอาล่ะ ดีแล้ว ใช้ได้แล้ว"

    -เรื่องการเสกพระจนสั่นไหวนั้นมีอีกเหตุการณ์หนึ่งจากบันทึกในหนังสือไว้ อาทิตย์หน้า ผมจะนำมาเล่าสู่ทุกท่านให้ได้อ่านกันครับ-

    คัดลอกมาจาก:"หนังสือโพธิญาณ ฉบับที่ ๕ หน้าที่ ๕๙-๖๑ บันทึกโดย นันทวาที"

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ผ้ายันต์หลวงปู่สิมพุทธาจาโรถ้ำผาป่องให้บูชา บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240202_123923.jpg IMG_20240202_123939.jpg

    1_%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%BA%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A3-jpg.jpg

    ผ้ายันต์หลวงปู่สิมถ้ำผาปล่องขนาดกว้างประมาณ 8 * 8 นิ้ว ปี๒๕๑๗
    ให้บูชา บาทค่าจัดส่งด่วน
    30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    img_20240201_192440-jpg.jpg img_20240201_192505-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2024
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้ จัดส่ง
    1706862781215.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    7-%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B9%82%E0%B8%98-jpg.jpg
    ข้อมูลประวัติ หลวงพ่อผิว สีลวิสุทโธ วัดสง่างาม

    ในบรรดาพระสงฆ์เมืองปราจีนบุรีที่เป็นศิษย์สืบทอดพุทธาคมของท่านพระครูปราจีนมุนี หรือหลวงพ่อทอง วัดหลวงปรีชากุล เกจิคณาจารย์เรืองวิทยาคุณในยุคก่อนปีพ.ศ.2460 ซึ่งมีชื่อเสียงและตำแหน่งทางการปกรองคณะสงฆ์มีอยู่ด้วยกัน 3 รูป คือ

    พระครูสิทธิสารคุณ (หลวงพ่อจาด) วัดบางกระเบา เจ้าคณะอำเภอบ้านสร้าง เกจิดังยุคสงครามอินโดจีน, พระวิสุทธิธรรมาจารย์ (หลวงพ่อทรัพย์) วัดใหม่กรงทอง เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี ผู้ให้กำเนิดสำนักเรียนบาลีแห่งแรกของ จ.ปราจีนบุรี และสุดท้ายคือ พระครูสีลวิสุทธาจารย์ (หลวงพ่อผิว สีลวิสุทโธ) วัดสง่างาม เจ้าคณะตำบลบางบริบูรณ์

    ทั้ง 3 ท่านนี้เป็นสุดยอดเกจิดัง-ขลัง-ดี ที่มีวิชาอาคมเป็นเลิศ และเป็นผู้สร้างพระเครื่องที่มากด้วยพุทธคุณไม่แพ้กัน

    หลวงพ่อผิว วัดสง่างาม นับเป็นพระเถระที่สูงด้วยอายุและพรรษากาลถึง 93 ปี 72 พรรษา และเป็นเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังองค์หนึ่งทางภาคตะวันออก มีผู้เคารพนับถือทุกระดับชั้น ทั้งข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนในจังหวัด และในถิ่นที่ห่างไกลออกไป

    ภาพลักษณ์ของท่านคือพระนักพัฒนา ที่เก่งทั้งพัฒนาวัตถุนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่อาราม และเก่งในการพัฒนาบุคคลจนได้ดีมีชื่อเสียงจำนวนมาก

    ยิ่งในเรื่อง วัตถุมงคลล้วนเป็นที่สนใจของบรรดานักสะสม เพราะท่านสร้างได้ขลังจริง มีประสบการณ์ดีทุกด้าน ทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาด มหาอุด คงกระพันชาตรี ส่วนใหญ่จะเป็นเหรียญซึ่งมีอยู่หลายรุ่นด้วยกัน อาทิ เหรียญรูปไข่รุ่นแรกปี 2502, รุ่น 2 ปี 2512, รุ่น 3 ปี 2515 ที่ระลึกครบ 80 ปี, รุ่น 4 ปี 2517 รูปอาร์ม, รุ่น 5 ปี 2519 รูปหยดน้ำ เป็นต้น นอกนั้นก็มีพระสมเด็จเนื้อว่านรุ่นแรก ปี 2502 หลังปั๊มรูปเหรียญรุ่นแรก, พระสมเด็จ 9 ชั้น, รูปหล่อปั๊มรุ่นแรก ปี 2515, แหนบลงยา, ล็อกเกตภาพสี ฯลฯ

    "วัดสง่างาม" เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2456 ตั้งอยู่เลขที่ 1 บ้าน บางบริบูรณ์ หมู่ 2 ต.บางบริบูรณ์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดิน ที่ตั้งวัดมีเนื้อที่ 36 ไร่ 3 งาน 78 ตารางวา มีเจ้าอาวาสเท่าที่ทราบนามคือ หลวงพ่อฮวบ, หลวงพ่อกลีบ, หลวงพ่อเพิ่ม, หลวงพ่อลิ, หลวงพ่อไผ่, หลวงพ่อพู่, หลวงพ่อผิว และพระครูสิริพัฒนโสภณ รูปปัจจุบัน

    "หลวงพ่อผิว" เป็นสมภารรูปที่ 7 ปกครองวัดอยู่ในช่วงปีพ.ศ.2466-2528 ชาติภูมิเป็นชาวบ้านท่างาม อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เกิดเมื่อปีมะโรง ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 19 พ.ค.2435 เยาว์วัยช่วยพ่อแม่ทำนา อาศัยศึกษาเรียนรู้อยู่กับพระที่วัดเลียบ ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน จนอ่านออกเขียนได้ทั้งหนังสือไทยและขอม พออายุ 21 ปีก็เข้าอุปสมบทที่วัดเลียบ เมื่อเดือนมิ.ย.2456 มีพระครูปราจีนมุนี (หลวงพ่อทอง) เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี วัดหลวงปรีชากุล เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อหร่ำ วัดเลียบ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา "สีลวิสุทโธ"

    อยู่จำพรรษาและเล่าเรียนพระธรรมวินัยเป็นเวลา 10 พรรษาจึงย้ายมาอยู่วัดสง่างาม ซึ่งอยู่ห่างออกมาทางทิศตะวันออกของวัดเลียบคนละฝั่งแม่น้ำประมาณ 3 กิโลเมตร โดยได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ปีพ.ศ.2466 จนกระทั่งมรณภาพในปีพ.ศ. 2528 รวมระยะเวลา 62 ปี

    หลวงพ่อผิว วัดสง่างาม จ.ปราจีนบุรี ท่านมีตำ แหน่ง-หน้าที่ และสมณศักดิ์ เริ่มจากปี พ.ศ.2466 เป็นพระ กรรมวาจาจารย์ ปีพ.ศ.2475 เป็นเจ้าคณะหมวด (เจ้าคณะตำบล) บางบริบูรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ปีพ.ศ.2482 เป็น พระอุปัชฌาย์ ปีพ.ศ.2493 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี มีราชทินนามว่า "พระครูสีลวิสุทธา จารย์" ปีพ.ศ.2506 เลื่อนเป็น เจ้าคณะตำบลชั้นโท ในนามเดิม ปีพ.ศ.2513 เลื่อนเป็นเทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก

    หลวงพ่อผิว เป็นพระที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ตั้งแต่เริ่มปกครองวัดก็ได้บูรณปฏิสังขรณ์ และพัฒนาสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาและพุทธศาสนิกชนอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะด้านการศึกษาท่านได้ก่อตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก ของวัด และปรากฏว่าในสมัยนั้นมีพระหลายรูปที่สอบได้นักธรรมตรี โท และเอก ซึ่งลูกศิษย์ของท่านที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ได้เป็นเปรียญหลายรูป

    สำหรับ ผลงานที่โดดเด่นที่สุดก็คือ โบสถ์หลังปัจจุบันของวัดสง่างาม ซึ่งท่านได้ ใช้ความสามารถก่อสร้างเสร็จในระยะเวลา 5 ปี สิ้นงบประมาณไปเกือบ 2,000,000 บาท

    คุณวิเศษอย่างหนึ่งของหลวงพ่อผิว ที่เล่าขานกันนั่นก็คือ ความเป็นพระผู้มีเมตตาธรรมสูง โดยได้ใช้วิชาความรู้ด้านการแพทย์โบราณช่วยเหลือสงเคราะห์ อนุเคราะห์แก่ผู้เจ็บป่วย เช่น แขนหัก ขาหัก กระดูกหัก จนหายได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้แต่นายแพทย์สมัยใหม่ยังต้องมาให้ท่านช่วยต่อกระดูกก็มี รวมไปถึงสัตว์ต่างๆ อาทิ ช้าง ม้า วัว ควาย ที่ขาหักท่านก็ช่วยรักษามา นับไม่ถ้วน

    นอกจากนี้ ท่านยังเป็นหนึ่งในบรรดาพระเกจิอาจารย์ดังที่มักได้รับอาราธนาไปในพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่องหลายต่อหลายรุ่น ซึ่ง ครั้งที่เป็นเกียรติประวัติก็คือ ได้รับฎีกาเข้าไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกเหรียญพระแก้วมรกต ภปร.ในพระบรมมหาราชวัง ในงานฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อปีพ.ศ.2525

    พระเครื่องและวัตถุมงคลที่ท่านสร้างปรากฏความขลังในด้าน พุทธคุณ มีประสบการณ์ดีทั้งด้านเมตตามหานิยม อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดปลอดภัย เหรียญบางรุ่นยังพอเช่าหาได้ในราคาไม่แพง แต่ถ้าเป็นเหรียญรุ่นแรก ปีพ.ศ. 2502 เนื้อทองแดง กะไหล่ทอง คงต้องว่ากันที่ "หลักหมื่น"

    บั้นปลาย ชีวิตท่านเริ่มป่วยด้วยโรคเบาหวาน และโรคแทรกอีกหลายโรค โดยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเปาโล กรุงเทพฯ และโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นครั้งคราว จนกระทั่งวาระสุดท้ายท่านได้กลับมามรณภาพ ที่วัดสง่างาม เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2528 เวลา 08.45 น. สิริอายุ 93 พรรษา 72 และได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2529 มีพระปราจีนมุนี เจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี เป็นประธาน นับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะมีศิษยานุศิษย์และผู้เคารพศรัทธามากัน อย่างมืดฟ้ามัวดิน



    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญโภคทรัพย์รุ่นนิยมของหลวงพ่อผิวสภาพผาานการบูชาและเหรียญมหาเศรษฐีหลวงพ่อผิววัดสง่างามให้บูชาคู่กัน๒องค์ 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    เหรียญจริงสวยมากครับแต่เวลาถ่ายรูปผิวเหรียญกะไหล่ทองสะท้อนผิวเหรียญสะท้อน




    IMG_20240202_171950.jpg IMG_20240202_172016.jpg

    img_20240201_220833-jpg.jpg img_20240201_220908-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2024
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1706878668770.jpg

    หลวงปู่พั่ว วัดศิริมงคล(นาเจริญ) จ.อุบลราชธานี
    ข้อมูลประวัติ พระครูสังฆรักษ์ หลวงปู่พั่ว วัดศิริมงคล(นาเจริญ) ต.นาเจริญ อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี

    นามเดิม ชื่อ พั่ว ยอยเงิน เป็นคนบ้านถ่อน ต.ท่าราษฎร์ อ.วาริณชำราบ จ.อุบลราชธานี ก่อนจะย้ายมาอยู่บ้านนาเจริญ ตั้งแต่ปี พ.ศ 2490 และเป็นผู้ก่อตั้งหมู่บ้านเลิงบาก (บ้านนาเจริญ) ในปัจจุบัน เป็นหมู่ที่ 16 อ.เดชอุดม
    หลังจากนั้นจึงได้ออกบวช

    เกิด ปี พ.ศ. 2452

    บรรพชา ปี พ.ศ. 2512
    พระอุปัชชาย์ พระครูพุธธิสารสุนทร (หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน) ซึ่งในสมัยนั้นเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าแสนสำราญ
    พระกรรมวาจาจารย์หลวงพ่ออุทิศ วัดป่าแสนสำราญ (มรณภาพ)
    พระอนุสาวาจาจารย์พระอธิการพร วัดบ้านค้อหวาง (มรณภาพ)

    มรณภาพ 11 มีนาคม พ.ศ. 2541

    สิริอายุรวม อายุ 89 ปี 29 พรรษา

    พัศยศชั้นตรี พระครูสังฆรักษ์
    พัศยศชั้นโท พระครูวินิจวัฒนกุล

    การศึกษาพระธรรมและวิชาอาคม

    พระอธิการพร วัดบ้านค้อหวาง ต.คูเมือง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
    หลวงปู่มั่น ทัตโต วัดโนนสมบูรณ์
    หลวงพ่อมหาโชติ วัดภูเขาแก้ว
    และได้ศึกษาจากพระอาจารย์จากพระเทศเพื่อนบ้านประเทศลาว หลวงพระบาง และจำบาศักดิ์ เขมร

    อภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์

    สมัยก่อนมีชาวบ้านเอามานำวัวเขาชี้ฟ้าซึ่งเป็นกาลกิณี จะทำให้ฝนนั้นไม่ตก หลวงปู่จึงรับเลี้ยงไว้ให้ที่วัดศิริมงคล ต่อมาโจรมาขโมยวัวจากวัดถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่สามารถนำวัวกลับไปได้ โดยโจรได้ยิงวัวที่หลวงปู่พั่วท่านเลี้ยงไว้ หลายนัดเพื่อให้ตาย แต่กลับยิงไม่เข้า

    หลานชายแท้ ๆ หลวงปู่พั่วถูกมือปืนใช้ เอ็ม 16 ไล่ยิง หลายต่อหลายนัด จนหนีรอดกลับมาได้ โดยมีเสื้อผ้าขาดหลุดลุด เพราะรอยคมกระสุน แต่กับไม่ระคายผิวหนังแม้แต่น้อย ในตัวพบตะกรุดฝาบาตรของหลวงปู่พั่วอีกด้วย

    วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม

    ตะกรุดโทน 3 นิ้วเนื้อทองฝาบาตร ทำแจกลูกหลานและญาติสนิทลูกศิษย์ต่าง ไม่น่าจะเกิน 50 ดอก

    เหรียญรุ่นแรก ลักษณะกลม ด้านหน้าเขียนว่า พระครูสังฆรักษ์ (พั่ว) ด้านหลังเป็นยันต์ดอกบัวกลมซ้อนกัน ออกวัดศิริมงคล ปี 2515 สร้างประมาณ 5,000 เหรียญ

    เหรียญลักษณะกลม ด้านหน้าเขียนว่า พระครูพินิตวัฒนคุณ (พั่ว) ด้านหลังเป็นยันต์ดอกบัวกลมซ้อนกัน ออกวัดบ้านขอน ปี 2515 สร้างประมาณ 5,000 เหรียญ

    เหรียญรูปไข่ ด้านหน้าเขียนว่า พระครูพินิตวัฒนคุณ หลวงปู่พั่ว วัดนาเจริญ จ.อุบล ด้านหลังเป็นยันต์ดอกบัวกลมซ้อนกัน สร้างประมาณ 5,000 เหรียญ

    เหรียญกลมรูปแปดเหลี่ยม ด้านหน้าเขียนว่า พระครูพินิตวัฒนคุณ วัดศิริมงคล อ.เดชอุดม จ.อุบลด้านหลังเป็นยันต์ดอกบัวกลมซ้อนกัน สร้างประมาณ 3,000 เหรียญ

    เหรียญรูปไข่ ด้านหน้าเขียนว่า หลวงปู่พั่ว วัดศิริมงคล นาเจริญ ด้านหลังเป็นตราธนาคารกรุงเทพ สร้างประมาณ 12,000 เหรียญ

    พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา

    พุทธคุณในเหรียญรุ่นนี้เด่นทาง เมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลรูปภาพที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่พั่ว วัดนาเจริญ ปี ๒๕๑๕
    ให้บูชา
    350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240202_195718.jpg IMG_20240202_195652.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    S__78495754ก.jpg

    หลวงปู่มั่น ทัตโต เกิดที่บ้านจิกก่อ ในเขตอําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อ พ.ศ.2420 จึงนับอายุได้ 101 ปี ในพ.ศ. 2521 นี้

    หลวงปู่มั่น มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 8 คน หลวงปู่เป็นคนโต น้องชายคนที่ 4 ของ หลวงปู่ ซึ่งชื่อ บุญมา ขณะนี้ ก็บวชเป็นพระอยู่กับหลวงปู่ และได้ติดตามหลวงปู่ไปไหนมาไหนอยู่ตลอดเวลา ในขณะนี้ก็มีอายุนับได้ถึงปีนี้ 75 ปีแล้ว ส่วนน้องคนสุดท้องก็ยังมีชีวิตมี อายุกว่า 60 ปีแล้ว

    หลวงปู่มั่น ทัตโต บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 15 ปี ครั้นอายุครบเกณฑ์ ก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารจึงต้องลาสิกบท เพื่อไปรับราชการทหาร รวม 2 ปี ครั้นเมื่อได้ปลดประจําการมาแล้ว ก็ได้อุปสมบท เมื่ออายุได้ 23 ปี จนถึงปัจจุบันนี้ นับได้นานเกือบ 80 พรรษาแล้ว นับได้ ว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์ ที่มีอายุยืนยาว และพรรษากาลสูงมากยิ่งองค์หนึ่งในปัจจุบันนี้ และมีลูกศิษย์ลูกหาเคารพนับถือ มากมายทั่วประเทศไทยหลวงปู่มั่น ทัตโต เคยบอกเล่าว่าตัวท่านกับท่าน ภูริทัตโตมหาเถระ หรือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต นั้นเป็นเพื่อนกันมาแต่เยาว์วัยแม้กระทั่งเมื่ออยู่ในสมณเพศ ก็ได้เคยธุดงค์มาพบกันบ่อยๆได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน บางตามธรรมดาของสหายทางธรรม ซึ่งหลวงปู่มั่น ทัต โต ก็ได้กล่าวชมเชยว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต นั้นท่านมีความรู้ความสามารถทางด้านการเผยแพร่ธรรมมะสูงยิ่ง ความสําเร็จทางด้านญาณสมาธิของท่านที่ยอดเยี่ยม

    พระอาจารย์ของ หลวงปู่มั่น ทัตโต นั้นท่านได้เปิดเผยว่า คือ พระอาจารย์กอง วัดศรีจันทราราม อ.วารินชําราบ จ.อุบลราชธานี หลังจากที่ได้ศึกษาธรรมจนแตกฉานแล้ว ก็ได้ฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐาน จนมีความชํานาญแล้ว ก็ได้ออกธุดงค์ พร้อมกันนั้นก็ศึกษาในด้านวิชาไสยศาสตร์ไปด้วย เมื่อได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ของอาจารยไสยศาสตร์ ชื่อดังในยุคนั้น อาจารย์ได้ให้ ถือสัจจะขอหนึ่ง คือการไม่เป็นลอดสะพาน หรือลอดกอาคาร ที่สูงตั้งแต่สองชั้นขึ้นไป รวมทั้งมีให้ขึ้นยานพาหนะที่มีหลังคาเป็นที่บันทุกของ หรือคนนั่งได้และหามแม้กระทั่งการเดินลอดสะพานที่มีโครงเหล็ก หรือ โครงไม้อยู่ข้างบนนั้นด้วย สัจจะข้อนี้ หลวงปู่มั่น ทัตโต บอกว่าได้เริ่มปฏิบัติมาตั้งแต่ พ.ศ. 2435 มาจนถึงบัดนี้หลวงปู่มั่น ทัตโต มีปฏิปทาเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใส ถือสันโดด และสมถะไม่สะสมทรัพย์สมบัติใด แต่ก็มิได้ละเลยต่องานพัฒนาวัดวาอาราม หรือเสนาสนะสงฆ์นั้น ท่านก็ได้สร้างมาแล้ว อย่างเช่นวัดบ้านบก ต.โนนโหนน อ.วารินชําราบ จ.อุบราชธานี นั้นท่านก็ได้ยพัฒนามา แต่ พ.ศ. 2460 จนเจริญรุ่งเรื่อง และมีเสนาสนะสงฆ์ที่สวยงาม โดยมิได้บอกบุญชาวบ้านเลย เพียงแต่ทานนั่งเป่ากระหม่อม และประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้แก่ผู้ที่ไปกราบไหว้ ขอศีลขอพรจากท่าน เพียงชั่วเวลาไม่กี่ปีก็มี ผู้ร่วมกันบริจาคปัจจัยให้เป็นเงินล้าน ในสมัยนั้นซึ่งนับว่า เป็นปาฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์ ว่าการลงกระหม่อม หรือลงน้ำมันจากท่านนั้น จะปรากฏผลทางด้านแคล้วคลาด หรือยงคงกระพันชาตรี เป็นที่น่าพึ่งจริงๆ ทางด้านที่ว่า “เมตตา มหานิยม” นั้น หลวงปู่มั่น ทัตโต ก็ได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านนี้ เป็นหนึ่งในพุทธจักร แต่ท่านก็ สอนประดาศิษย์อยู่เสมอว่า อย่าถือว่าเป็นลูกศิษย์ท่านก็จะเก่งทุกคน คนจะเก่งไม่เก่งก็อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติของตนเอง ประพฤติดี ปฏิบัติดี ที่ชื่อว่าเก่งและมีความดีความเจริญรุ่งเรือง ตรงกับข้าม ถ้าประพฤติชั่ว ปฏิบัติชั่ว ก็จะได้ชื่อว่า เป็นคนโฉด ที่เลวทราม จะได้รับแต่ความ ทุกข์ความทรมาน และต้องชดใช้กรรมทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ซึ่งก็เท่ากับว่าท่านสอนว่า ทําดี ได้ดี ทําชั่วก็ได้ชั่ว ตรงตามพุทธวัจนะ นั่นเองในสมัยที่ หหลวงปู่มั่น ทัตโต เดินธุดงค์อยูตามป่าตามเขานั้น หลวงปู่บอกว่าได้เคยผจญกับความยากลําบากและภยันตรายร้อยแปด แต่หลวงปู่มั่น ทัตโต ได้ผ่านพ้นนอุปสรรคและภยันตราย เหล่านั้น มาได้ด้วยสมาธิอันแน่วแน่ และอาคมอันศักดิ์สิทธิ์ พิชิตภูตผีปีศาจและมารร้ายต่างๆ

    การเดินธุดงค์ในสมัยนั้น ต้องบุกป่าฝ่าดงดิบที่ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน และเต็มไปด้วยความขึ้นแฉะและสัตวที่ ดุร้ายมีอันตรายทั้งเล็กจิ๋ว อย่างตัวทาก ไปจนถึงใหญ่เท่า ช้าง แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจ ที่สัตว์เหล่านั้น มิได้มาทำร้ายกรายกีด หลวงปู่มั่น แม้แต่น้อย ตรงกันข้าม สัตวใหญ่ๆ ที่ ดุร้ายอย่างเสือ หรือช้าง กลับมาหมอบเฝ้า เหมือนหนึ่งจะคอยให้การอารักขาแก่หลวงปู่มั่น ทัตโตเสียด้วยซ้ำไป บางครั้งหลวงปู่ก็ต้องเสกใบไม้ฉันต่างอาหารเพราะธุดงค์อยูในป่าจะหาบ้านเรือนผู้คนไม่พบเลยสักหลังคากะต๊อปเดียว

    เมื่อ พ.ศ. 2460 หลวงปู่มั่น ทัตโต ได้รับอาราธนามาจําพรรษาที่วัดบ้านบก ต.โนนโหนน อ.วารินชําราบ ที่มีหลวงปู่ได้พัฒนาถาวรวัตถุ ซึ่งเป็นเสนาสนะสงฆไว้มากจน เรียกได้ว่า มีความเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ ครั้นได้พัฒนาวัดนี้ได้สําเร็จแล้ว หลวงปู่กออกธุดงค์ต่อไปอีกวัดหนึ่ง ที่หลวงปู่รับอาราธนาไปอยู่จําพรรษาในระยะหลังที่มีอายุเกิน 80 ปีแล้ว ก็คือวัดบ้านค้อ ต.ดงประดิษฐ์ อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี แต่อยู่ได้ไม่นานท่านก็เบื่อชาวบ้านย่านนั้น มีจิตใจโหดร้ายต่อสัตว์ป่าท่านจึงมีความตั้งใจที่จะกลับไปอยู่วัดบ้านบก ก็พอดีมีชาวบ้านอีกแห่ง มานิมนต์ให้ท่านไปช่วยสร้างวัดขึ้นที่หมู่บ้านซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่หลังคาเรือน ท่านก็รับอาราธนาด้วยดี ปรากฏว่าเมื่อได้ตั้งวัดขึ้นในหมู่บ้านนี้ ก็มีชาวบ้านหมู่อื่นๆ มาสมทบด้วยอีกมิ น้อย จนทําให้หมู่บ้าน “ทุ่งเต้น” เจริญขึ้นอย่างรวดเร็วมีบ้านเรือนหนาแน่น หลวงปู่ จึงได้เปลี่ยนชื่อเสียใหม่เพื่อให้เป็นมงคลนามว่า บ้านโนนเจริญ วัดที่ท่านสร้างขึ้นจึงได้ ชื่อว่า วัดบ้านโนนเจริญ ปัจจุบันรอบๆ หมู่บ้านแห่งนี้มีผู้ก่อการร้ายอยู่มาก การเข้าออกไปมาหาสู่กับหลวงปู่เป็นไปได้ยากลําบาก แต่สําหรับหลวงปู่นั้น ผู้ก่อการร้ายต้องยอมจํานน เพราะไม่สามารถที่จะคิดร้ายต่อหลวงปู่ได้สําเร็จ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ลูกอมหลวงปู่มั่นทัตโตด้านในเป็นสีผึ้งปิดทองใส่รูปถ่ายภาษาอีสานเรียกนวด เป็นเมตตามหานิยม ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240203_145737.jpg IMG_20240203_145755.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    FB_IMG_1707067984442.jpg

    วัดสันติวิเวก บ้านโนนคำ ตำบลเมืองไพร อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีท่านพระมหาปุณชัย ญาณเมธี เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันผู้เป็นเนื้อนาบุญเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดของพระเดชพระคุณท่านพระมงคลญาณเถร หรือ หลวงปู่มา ญาณวโร อดีตประธานสงฆ์แห่งวัดสันติวิเวก บ้านโนนคำ ต.เมืองไพร อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด พระสายวิปัสสนากรรมฐานชื่อดังแห่งภาคอีสาน สายธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่พุทธศาสนิกชนทั่วไปต่างเคารพศรัทธาในข้อวัตรปฎิบัติถึงกับมีการขนานนามท่านว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำชี”ชื่อนี้อาจจะไม่เป็นที่รู้จักของคนภาคกลางเท่าใดนัก แต่ถ้าเป็นคนในภาคอีสานโดยเฉพาะใน จ.ร้อยเอ็ด ขอนแก่น กาฬสินธุ์หรือมหาสารคาม ต่างรู้จักกันดี ท่านมักจะได้รับนิมนต์ให้ไปนั่งปรกปลุกเสกวัตถุมงคลบ่อยครั้ง ส่วนกรุงเทพฯ และจังหวัดในภาคกลางนั้น ท่านจะได้รับนิมนต์ให้มานั่งปรกเฉพาะพิธีมหาพุทธาภิเษกใหญ่ๆ เท่านั้น วัดสันติวิเวกแห่งนี้อยู่ติดกับทุ่งนาซึ่งภายในบริเวณวัดก็เต็มไปด้วยต้นไม่นานาพันธุ์ที่ให้ความร่มเย็นแก่ผู้มาทำบุญปฎิบัติธรรมได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวกุฎิของพระสงฆ์ก็แยกออกเป็นสัดส่วนมองดูแล้วเป็นระเบียบเรียบร้อยดีบรรยากาศเงียบสงบมากๆท่านพระมหาปุณชัย ญาณเมธี ก็ได้เล่าให้ผมฟังว่าวัดแห่งนี้เดิมเป็นที่ธรณีสงฆ์วัดสมานสามัคคีธรรม บ้านโนนคำ พระปลัดมา ญาณวโร เจ้าอาวาสวัดสมานสามัคคีธรรมในสมัยนั้นได้จับจองเอาไว้เป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมยามบั้นปลายของชีวิตโดยมีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรเก็บรักษาเอาไว้ที่ว่าการอำเภอเสลภูมิต่อมาหลวงปู่ได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านนาทมและเจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกอาศรม บ้านท่าลาด ตำบลภูเงิน อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ว่าการอำเภอเสลภูมิหลักฐานการจับจองได้สูญหายไปที่บริเวณดังกล่าวจึงได้กลายเป็นที่สาธารณะประโยชน์บางส่วนได้สร้างเป็นโรงเรียนบ้านโนนคำน้ำจั้นใหญ่บางส่วนเป็นที่จัดประโยชน์ร่วมกันส่วนบริเวณที่เป็นวัดในขณะนี้เดิมทีเป็นบริเวณดอนเจ้าปู่ของบ้านโนนคำชื่อว่าดอนสะอาดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน2531 พระครูสารธรรมนิเทศ (หลวงปู่มา ญาณวโร) สมณศักดิ์ในขณะนั้นได้เดินธุดงค์จากวัดป่าวิเวกอาศรม บ้านท่าลาด ตำบลภูเงิน อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด มาปักกลดจำพรรษาที่นี่ตามความตั้งใจที่ตั้งเอาไว้ตอนดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสมานสามัคคีธรรมจึงได้จัดตั้งเป็นสำนักสงฆ์ชื่อว่า สำนักสันติวิเวกมีหลวงปู่มา ญาณวโร เป็นเจ้าสำนักต่อมาเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2541 ได้รับการอนุญาตตั้งวัดในพระพุทธศาสนาชื่อว่าวัดสันติวิเวก แต่ชาวบ้านทั่วไปมักเรียกกันจนติดปากว่า วัดป่าสันติวิเวกและได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2542 โดยมีพระมหาทรงเดช ฐานวโร เป็นเจ้าอาวาส และมีพระครูสารธรรมนิเทศ(หลวงปู่มา ญาณวโร) เป็นประธานสงฆ์นี่ก็เป็นประวัติวัดสันติวิเวกย่อๆที่ท่านพระมหาปุณชัยได้เล่าให้ผมฟังพอสนทนากับท่านเจ้าอาวาสเรีบยร้อยแล้วผมก็ขออนุญาตท่านเข้าไปกราบไหว้สรีระสังขารของหลวงปู่มา ญาณวโร และก็ไม่ลืมที่จะเก็บภาพอันหาชมได้ยากมาฝากท่านผู้อ่านอีกเช่นเคยและสรีระสังขารของหลวงปู่ตั้งประดิษฐานบนศาลาอนุสรณ์หลวงปู่มา ญาณวโร8 รอบ 96 ปี เป็นศาลาไม้สักอันวิจิตรสวยงามมากๆซึ่งเมื่อครั้งพระเดชพระคุณหลวงปู่ยังไม่ละสังขารได้กล่าวกับพระอุปัฏฐากและศิษยานุศิษย์ผู้ใกล้ชิดว่า “ถ้าเราไม่อยู่แล้ว ก็แล้วแต่พวกท่านจะจัดการตามเห็นสมควร” เมื่อหลวงปู่ละสังขารแล้วคณะสงฆ์และญาติโยมมีความเห็นว่าให้นำสรีระสังขารของหลวงปู่ มาตั้งประดิษฐานบนศาลาอนุสรณ์หลวงปู่มา ญาณวโร8 รอบ 96 ปีเพื่อให้ลูกศิษย์ญาติโยมที่อยู่ใกล้ไกลได้เดินทางมากราบไหว้ได้อย่างทั่วถึงทางวัดจึงนำสรีระสังขารของหลวงปู่บรรจุไว้ในโลงแก้วตั้งอยู่กึ่งกลางของศาลาศิษยานุศิษย์ผู้มีจิตศรัทธาตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วไปก็สามารถมากราบนมัสการสรีระของหลวงปู่ได้ทุกวัน เปิดเวลา 07.00 น. ถึง 18.00 น.พิธีปฏิบัติอื่นๆทางวัดจะกำหนดให้มีขึ้นเพิ่มเติมตามความเหมาะในแต่ละช่วงเวลาและหลังจากที่ผมได้กราบไหว้สรีระสังขารของหลวงปู่เสร็จแล้วก็ยังมีศาลาพระเศรษฐีนวโกฏิซึ่งประดิษฐานพระเศรษฐีนวโกฏิและรูปเหมือนของหลวงปู่มาขนาดเท่าองค์จริงซึ่งพระเศรษฐีนวโกฏินี้ถือได้ว่าเป็นพระคู่บารมีของหลวงปู่มา ญาณวโร เพราะเมื่อปี พ.ศ.2519 หลวงปู่มานำมาสร้างครั้งแรกที่วัดป่าวิเวกอาศรม บ้านท่าลาด ตำบลภูเงิน อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ดและต่อมาปี พ.ศ. 2531 หลวงปู่ได้นำมาสร้างเป็นพระประจำคู่บารมีวัดสันติวิเวกพระเศรษฐีนวโกฏิเป็นนามมงคลแห่งโชคลาภใครมีไว้บูชาแล้วจะร่ำรวยค้าขายดีลักษณะเป็นรูปจำลองพระประติมากรรมปางสมาธิเพชรประนมมือประทับอยู่บนแท่นมี9หน้าอันเป็นนิมิตมงคลแทนท่านเศรษฐีที่เป็นพุทธอุปัฏฐาก9ท่านในสมัยพุทธกาลและด้านหน้าศาลาอนุสรณ์หลวงปู่มา ญาณวโร8 รอบ 96 ปี ก็จะเป็นเจดีย์พิพิธภัณฑ์มงคลญาณเถรานุสรณ์ ซึ่งเจดีย์นี้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเก็บรวบรวมอัฏฐบริขารของหลวงปู่ตามดำริของหลวงปู่ มีพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 โดยมีพระเทพวงศาจารย์ วัดหนองแวง จังหวัดขอนแก่น เป็นประธานฝ่ายสงฆ์และพลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆารวาสซึ่งวันนี้ถือเป็นความโชคดีของผมเป็นอย่างมากครับที่ได้เข้ามากราบไหว้เจดีย์ของหลวงปู่เพราะภายมีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งเท่าองค์จริงของหลวงปู่รวมไปถึงอัฏฐบริขารต่างๆที่หลวงปู่ท่านเคยใช้เมื่อท่านครั้งยังไม่ละสังขารและยังมีใบประกาศเกียรติคุณต่างๆอีกมากมายจริงๆครับเพราะนอกจากหลวงปู่จะเป็นพระสายปฏิบัติอีกแล้วหลวงปู่ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาอีกด้วยเพราะเหตุนี้นี่เองหลวงปู่มา จึงเป็นพระเถระผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรมเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนทั่วไปและทั่วทั้งภาคอีสานเกียรติคุณของท่านเป็นที่ทราบโดยทั่วไปหน่วยงานราชการและประชาชนต่างหลั่งไหลเข้ามาขอให้ท่านได้ช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก ซึ่งท่านก็ได้บริจาคและให้ความช่วยเหลือด้วยดีมาโดยตลอดชื่อหลวงปู่จึงปรากฏอยู่ตามสถานที่ราชการ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาลและหน่วยงานต่างๆ มากมาย และที่สุดท้ายที่ผมอยากจะกล่าวถึงคืออุโบสถกลางน้ำซึ่งมีความงดงามด้วยศิลปกรรมมากๆถือเป็นสถานที่สำคัญภายในวัดเนื่องจากเป็นสถานที่ที่พระภิกษุสงฆ์ใช้ทำสังฆกรรมซึ่งแต่เดิมในการทำสังฆกรรมของ พระภิกษุสงฆ์จะ ใช้เพียงพื้นที่โล่งๆ ที่กำหนดขอบเขตพื้นที่สังฆกรรมเท่านั้นและยังมีโบราณวัตถุต่างๆอีกมากมายภายในวัดให้ท่านผู้อ่านได้มากราบไหว้และชื่นชมความงดงาม
    เพราะถ้าคนเราหมั่นทำบุญด้วยจิตใจมุ่งมั่นแล้วผลของบุญย่อมก่อเกิดทีละนิดทีละน้อยจนสร้างสมเพิ่มพูนไปตามความสม่ำเสมอของการสร้างบุญสร้างกุศลเสมือนเราตักน้ำใส่โอ่งวันละน้อยบ้างมากบ้างหมั่นตักน้ำใส่โอ่งทุกวันหรือเว้นวันมิช้านานน้ำย่อมเต็มโอ่งคนเราเมื่อทำบุญก็ย่อมนึกหวังไปในใจว่าทำบุญแล้วชีวิตชาติหน้าจะได้มีความสุขสบายมีความเจริญเป็นลำดับแรกและอาจจะคิดต่อไปว่าชาติหน้าจะต้องเกิดมาหล่อ รวย สวย เพียบพร้อมทุกอย่างอันนี้ไม่ถือว่าผิดหรอกครับเป็นความคิดธรรมดาของปุถุชนเพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราทำบุญแล้วหวังผลทำบุญหรือทำความดีต่างๆที่เราทำแล้วสบายใจถือว่าเป็นผลของบุญที่เราได้ทำ
    การเดินทางโดยใช้เส้นทางร้อยเอ็ด-ธวัชบุรี-เสลภูมิ (ทางหลวงหมาย23 ถนนแจ้งสนิท )และทางหลวงหมายเลข2259 ถึงที่ว่าการอำเภอเสลภูมิประมาณ33กิโลเมตรตรงไปอีกประมาณ 7 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายบ้านตาลม-บ้านดอนน้อย-บ้านโนนคำจะเจอป้ายวัดสันติวิเวกขนาดใหญ่
    Crเซียงน้อย คนร้อยเอ็ด
    คัดลอกจากเพท//คนเมืองเสลฯ

    1707068101613.jpg
    ประวัติพระเศรษฐีนวโกฏิ
    พระเศรษฐีนวโกฏิเป็นรูปเคารพแทนมหาเศรษฐีทั้ง 9 ท่านในสมัยพุทธกาล ท่านเหล่านี้เป็นผู้สร้างคุณประโยชน์อเนกอนันต์ให้แก่พระพุทธศาสนา มีความมั่งคั่งในโภคทรัพย์อยู่ในระดับเดียวกับกษัตริย์ ทั้งยังเป็นสัมมาทิฏฐิ และยังเป็นพุทธอุปฐากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงยกย่องว่า ท่านเหล่านี้เป็นผู้เลิศในการทำทาน และเป็นยอดของมหาเศรษฐีทั้งปวง เศรษฐีทั้ง 9 นี้
    1. ท่านธนัญชัยมหาเศรษฐี
    2. ท่านยัสสะมหาเศรษฐี
    3. ท่านสุมนะมหาเศรษฐี
    4. ท่านชฏิสัสสะมหาเศรษฐี
    5. ท่านอนาถบิณฑิกะมหาเศรษฐี
    6. ท่านเมณฑกะมหาเศรษฐี
    7. ท่านโชติกะมหาเศรษฐี
    8. ท่านสุมังคละมหาเศรษฐี
    9. ท่านมหาอุบาสิกาวิสาขา (พระนางวิสาขา)
    ผู้รู้ได้ถือเอาคตินี้มาสร้างเป็นพระนวโกฏิให้มีพระพักตร์ทั้งหมด 9 พระพักตร์ แทนใบหน้าของนวเศรษฐีทั้งเก้าในสมัยพุทธกาล เชื่อว่ามีคุณทางโชคลาภ อำนวยลาภสักการะ และความร่มเย็นเป็นสุขแก่ผู้เลื่อมใสบูชา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    รูปหล่อพระเศรษฐีนวโกฏิหลวงปู่มาปี 2539 ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240204_202247.jpg IMG_20240204_202311.jpg IMG_20240204_202214.jpg

    เหรียญพระเศรษฐีนวโกฏิ หลวงปู่มาให้บูชา
    200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240204_202112.jpg IMG_20240204_202136.jpg IMG_20240204_202047.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2024
  10. kiati_sak

    kiati_sak เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    7,381
    ค่าพลัง:
    +13,256
    เหรียญพระเศรษฐีนวโกฏิ หลวงปู่มาให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    จองครับ
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1707110676485.jpg
    ครูบาชัยวงศาพัฒนาคืออดีตพระฤๅษีวาสุเทพ
    โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)

    หลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนา ท่านคือพระฤๅษีวาสุเทพในอดีตชาติ
    คุณวันทนา พัวพันธ์สกุล เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อปลายปี ๒๕๔๑ เธอได้รับมอบหมายจากทางเทศบาลเมืองลำพูน ให้เป็นผู้วาดภาพเชิงเสมือนจริงของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งหริภุญชัย ขนาดเท่าองค์จริง เนื่องในวโรกาสที่นครศรีหริภุญชัย ก้าวสู่ศตวรรษที่ ๑๔

    เธอจึงเข้ากราบขอความเมตตาจากหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์เพื่อขอคำแนะนำ เริ่มตั้งแต่เขียนแบบเค้าพระพักตร์ คิ้ว ปาก คาง จมูก แม้กระทั่งสี ผิวพรรณ สัดส่วน ลักษณะสีหน้าท่าทางและความสูง ขณะที่พูดถึงความสูงของพระนางฯ หลวงปู่บอกว่า สูง ๓ ศอกเดี้ยม ซึ่งเท่ากับ ๑๖๙ เซนติเมตร เธออดสงสัยไม่ได้ จึงพลั้งปากถามหลวงปู่ว่า

    "ครูบาเจ้าทราบได้อย่างไรว่าสูง ๑๖๙ เซนติเมตร"

    หลวงปู่ตอบว่า "เจ้าแม่มาบอกเอง"

    พองานผ่านไปได้ระดับหนึ่ง หลวงปู่ท่านยังได้เมตตาไปตรวจงานถึงที่บ้าน ด้วยความที่เธอยังไม่หมดความสงสัยเพราะเคยได้ยินได้ฟังมานานแล้วว่าหลวงปู่ในอดีตเคยมีความเกี่ยวข้องกับพระนางจามเทวี แต่ก็ไม่กล้าถามตรงๆ เมื่อสบโอกาสเธอจึงกราบขอสุมาเรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครูบาเจ้า คือ ฤาษีวาสุเทพ หรือสุเทวฤาษีใช่ก่อเจ้า"

    หลวงปู่มองหน้าแล้วตอบสั้นๆ ว่า "ฮื่อ"

    เธอจึงหายสงสัยว่าทำไมหลวงปู่จึงมีพระรอดสมัยพระนางจามเทวีอยู่ในคำหมากไว้แจกลูกหลานจนเป็นที่อัศจรรย์นัก

    พระรอดในกล่องนม
    เรื่องพระรอดชานหมากมีเรื่องที่ศิษย์จำนวนมากของหลวงพ่อ ประสบกันมามากมายเพียงแต่ต่างวาระโอกาสกันเท่านั้น

    เมื่อปี ๒๕๓๕ ครั้งนั้นหลวงพ่อเดินทางไปกราบสังเวชนียสถาน ในขณะที่พวกเรากำลังเดินทางโดยรถโดยสาร ผู้ช่วยทัวร์บริษัทสยามอินทรชัยการท่องเที่ยวซึ่งเป็นผู้นำทัวร์ ได้ถวายนมกล่องแด่หลวงพ่อ ท่านรับไปฉันจนเกือบหมด แล้วจึงคืนกล่องนมให้คุณสุปรีดา

    ตอนแรกคุณสุปรีดาคิดในใจว่า อยากจะเก็บไว้ให้ลูกเมื่อกลับถึงเมืองไทย แต่เมื่อคิดดูอีกทีอีกหลายวันเหลือเกินกว่าจะได้กลับ จึงเปลี่ยนใจขอดื่มเสียเอง

    ขณะกำลังยกกล่องนม เธอได้ยินเสียงดังเหมือนมีของบางอย่างกลิ้งไปมาอยู่ในกล่องด้วยความอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน เธอจึงใช้มีดผ่ากล่องนมจึงได้พบพระรอดองค์เล็กๆ ๑ องค์อยู่ในนั้น

    การเดินทางไปอินเดียเที่ยวนี้ ไม่เพียงแต่คุณสุปรีดาเท่านั้นที่โชคดีได้พระรอด ยังมีอีกหลายคนในคณะที่ได้พระรอด โดยการที่หลวงพ่อยื่นคำหมากที่เคี้ยวออกจากปากส่งให้ศิษย์บางคนที่ยังไม่เคยได้ หรือผู้ที่ยังไม่เชื่อ หากมีวาสนาก็มักจะได้พระรอดเป็นที่อัศจรรย์เสมอ ตลอดการเดินทางในครั้งนั้น มีผู้ได้รับพระรอดจากหลวงพ่อคนละองค์เป็นจำนวนถึง ๑๕ คน ด้วยกัน

    ชานหมากกลายเป็นพระรอด
    ประมาณปี ๒๕๓๘ ขณะที่หลวงพ่อเข้ารับการตรวจสุขภาพและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ต้องนอนพักที่ศิริราช เพื่อรอผลการตรวจ

    วันนั้นมีลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งทราบข่าว และได้เข้าไปเยี่ยม หลังจากกราบนมัสการหลวงพ่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ทุกคนจะกลับ ต่างก็เห็นหลวงพ่อกำลังหยิบชานหมากแห้งๆ มาไว้ในมือเพื่อที่จะแจก ทุกคนที่ไปกราบท่านในวันนั้นต่างก็ดีใจที่จะได้รับแจกชานหมาก

    ในขณะที่ท่านกำลังส่งให้ถึงมือแต่ละคนนั้น ยังเป็นเพียงชานหมากธรรมดาเท่านั้น พอตกถึงมือแต่ละคนแล้วชานหมากนั้นกลับกลายเป็นพระรอด เรื่องนี้เป็นเรื่องอจินไตย ใครอยากทราบว่าเป็นจริงอย่างไรไปขอดูของจริงได้ที่ คุณสุรชัย วีระมโนกุล ซึ่งเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้พระรอดดังกล่าวมาไว้ในครอบครอง

    เกศากลายเป็นพระธาตุ (โดย สุวรรณา)
    ศิษย์เก่าแก่ของหลวงพ่อท่านหนึ่งซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ ครั้งหนึ่งได้นิมนต์หลวงพ่อครูบาชัยวงศ์มาพักที่บ้าน ระหว่างที่เดินทางมาบ้านของเธอ หลวงพ่อได้เมตตามอบหลอดแก้วเล็กๆ ซึ่งบรรจุเส้นเกศาของท่านไว้ มาให้บูชาติดตัว เมื่อเธอได้รับหลอดแก้วบรรจุเส้นเกศาของหลวงพ่อ ก็ได้เก็บไว้เฉยๆ ประมาณ ๔-๕ ปี จึงได้เอาหลอดแก้วนั้นไปเลี่ยมทอง เพื่อใช้ห้อยคอติดตัวเป็นประจำ

    วันหนึ่งได้มีคนรู้จักและสนิทกันมาทักทาย และได้ขอดูหลอดแก้วที่ได้มานั้น เมื่อได้พิจารณาดูสักครู่ ก็ได้ถามว่า หลอดแก้วนี้บรรจุทับทิมเอาไว้ด้วยหรือ เธอรู้สึกแปลกใจที่ถูกถามเช่นนั้น ได้ตอบไปว่าไม่ได้ใส่อะไรเพิ่มเข้าไปเลย ตั้งแต่ได้มา คงมีแต่เส้นเกศาของหลวงพ่อสีเทาขาวบรรจุอยู่เต็มภายในนั้นอย่างเดียว คงยืนกรานเช่นนั้น

    แต่ทว่า เพื่อนคนนั้นได้ท้วงว่าก็เห็นอยู่นี่ไง จึงได้หยิบมาพิจารณาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วก็ต้องแปลกใจและดีใจเป็นอย่างมาก ที่ได้เห็นว่าภายในหลอดแก้วนั้น นอกจากจะมีเส้นเกศาของหลวงพ่อ แล้วยังมีเม็ดทับทิมเล็กๆ อยู่ภายในนั้นด้วย ต่างคิดว่าคงเป็นเพราะบุญฤทธิ์และความเมตตาของหลวงพ่อเป็นแน่ เส้นเกศาของท่านจึงได้กลายเป็นพระธาตุสีทับทิมเหมือนปาฏิหาริย์

    ต่อมาอีกระยะหนึ่ง เส้นเกศาที่เหลือของท่านก็ได้เริ่มกลายเป็นเส้นสีทองไปบ้างแล้วอย่างเห็นได้ชัด โอ้หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ศิษย์ท่านนั้นเล่าด้วยความปีติใจ

    พระธาตุเสด็จในสำลี (โดย อุบาสิกา จิตสมา)

    เจ้าของพระธาตุ เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเธอได้มีโอกาสเดินทางไปทำธุระกับหลวงปู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระหว่างทางที่หยุดเติมน้ำมัน หลวงปู่ควักเอาสำลีเปล่าๆ ออกมาเช็ดขี้ตา เช็ดเสร็จแล้วท่านก็ส่งให้เธอ จากนั้นเธอก็ได้เก็บติดตัวมาโดยตลอดเพราะปกติเป็นคนชอบกลัวผี จึงเอาสำลีที่ได้พับเก็บไว้ในผ้ายันต์มาตลอดเป็นเวลานับ ๑๐ ปี

    หลังจากหลวงปู่มรณภาพ ได้มีสารวัตรคนหนึ่งซึ่งเคยได้ยินมาว่า เธอมีผ้ายันต์ของหลวงปู่ จึงอยากจะเห็น และได้ขอเธอดู เมื่อเธอเปิดให้ดูก็พบว่ามีพระธาตุจำนวน ๖ องค์อยู่ในสำลี ซึ่งเธอเก็บไว้ในผ้ายันต์ เธอจึงแปลกใจว่าพระธาตุที่ไหนมาอยู่ในสำลีของเธอ ทั้งๆ ที่ตอนแรกที่หลวงปู่ให้มา เป็นเพียงแค่สำลีเปล่าๆ ที่ใช้เช็ดขี้ตาของหลวงปู่ ด้วยบุญบารมีของหลวงปู่แท้ๆ แม้แต่ขี้ตาก็ยังกลายเป็นพระธาตุขึ้นมาได้ และยังมีพระธาตุอื่นๆ เสด็จมารวมอยู่ด้วย

    หลวงปู่คือท่านวังหน้าวิเศษชัยชาญในอดีต
    สมัยก่อนหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา เวลาหลวงปู่จะเข้ากรุงเทพฯ ท่านมักจะแวะที่บ้านอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ท่านหนึ่ง ทั้งขาไป และขากลับ มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่ได้แวะไปที่บ้านอาจารย์ท่านนั้นอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่อยู่เป็นการส่วนตัว หลวงปู่ได้ปรารภกับอาจารย์ท่านนั้นว่าหลวงปู่จำเขาได้ เพราะว่าเคยเป็นพ่อลูกกันมาหลายชาติแล้วและเขาก็ได้ติดตามหลวงปู่มาโดยตลอด

    ในขณะที่หลวงปู่พูด ท่านก็ได้หยิบกระดาษมาวาดรูปบุคคลสำคัญท่านหนึ่งในอดีตซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์ของกษัตริย์ไทย ท่านวาดเสร็จก็ยื่นให้อาจารย์ท่านนั้นดูแล้วถามว่า

    หลวงปู่ถามว่า “รู้จักไหมว่าใคร”
    อาจารย์ท่านนั้น “ไม่ทราบครับครูบา”
    หลวงปู่ตอบว่า “หลวงปู่ในอดีต”
    อาจารย์ท่านนั้นถามว่า “ใครครับครูบา”
    หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า “วังหน้าวิชัยชาญ”

    เนื้อหาบางส่วนจาก: หนังสือพระชัยวงศานุสสติ

    มูลเหตุการจัดสร้างพระผงเมตตา 400 ชีวิตครูบาวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม อ.ลี้ ลำพูน จัดสร้างครั้งแรกขึ้นเมื่อปี 2536 โดยมีปฐมเหตุจากการเดินทางกลับจากการ ไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดียของครูบาท่าน และคณะศิษย์ เครื่องบิน ได้ประสบกับพายุรุนแรงจนเครื่องบินทำท่าจะตก และในขณะนั้นเอง หลายท่านได้มองเห็นมือครูบาท่านไปโอบอุ้มและประคองเครื่องบิน ไม่ให้ตกและสามารถร่อนลงจอดที่สนามบินได้อย่างปลอดภัย และเมื่อลงจากเครื่องบินแล้ว คณะศิษย์และผู้โดยสารอื่น ๆ รวม 400 ชีวิต ได้มากราบสักการะครูบาท่านอย่างล้นหลาม ต่อมาเมื่อพระผง 400 ชีวิตรุ่นแรกหมดลงอย่างรวดเร็วและมีราคาแพงขึ้นถึงหลักพัน จึงได้มีการจัดสร้างรุ่นสองขึ้นมาในปีถัดไปครับ พ.ศ.2537
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงเมตตา 400 ชีวิตรุ่น 2 ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240205_112854.jpg IMG_20240205_112915.jpg IMG_20240205_112829.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2024
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้ จัดส่ง

    1707126664260.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    พระครูอรุณธรรมานุวัตร ศาลา 80 ปี วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพฯ ได้อัญเชิญพระสมเด็จ 9 แผ่นดิน กลับมาจัดสร้างอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่พลาดหวังเมื่อ 10 ปีก่อน โดยได้รวบรวมเอามวลสารที่ผ่านพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เมื่อ 10 ปีที่แล้วมาเป็นพระชุดใหม่ ด้านหน้ามีอักษรขอมโบราณ มุมบนซ้าย "พุทธ" มุมบนขวา "โธ" และได้เปลี่ยนด้านหลังขององค์พระโดยได้อัญเชิญรูปสิ่งของที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของมงคล 8 อย่าง อีกทั้งได้นำพระสมเด็จ 9 แผ่นดิน จำนวน 84,000 องค์ ที่ได้ผ่านพิธีอันเป็นมหามงคลครั้งยิ่งใหญ่ พิธีมังคลาภิเษก มวลสารศักดิ์สิทธิ์

    ณ พระวิหารหลวงวัดอรุณราชวราราม เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2551 โดยมี พระราชวิสุทธิโสภณ รองเจ้าอาวาส เป็นเจ้าพิธี พิธีพุทธาภิเษกสมโภช พระสมเด็จ 9 แผ่นดิน ณ พระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2551

    มวลสารประกอบด้วย ผงอรหังสิทธังกร ผงสิริชัยโฆสก ผงนวมังคลาภิบาล ผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงมาตาปิตุปัฏฐานมงคล 38 ประการ และผงพระสมเด็จ 9 แผ่นดินที่ผ่านพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ที่ทำให้พระชุดนี้มีเนื้อเหมือนพระสมเด็จ วัดระฆังฯ ยุคแรกๆ นางพญา 9 แผ่นดิน

    พิมพ์สมเด็จพระประธาน ประจำพระอุโบสถทั้ง 9 พระอารามหลวงมีดังนี้ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง) วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวร วิหาร วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรวิหาร วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร

    ด้านหลังได้อัญเชิญสัญลักษณ์ของมงคล 8 อย่างประกอบด้วย 1 กรอบหน้า 2 คทา 3 สังข์ 4 จักร 5 ธงชัย 6 ขอช้าง 7 โคอุสกะ 8 หม้อน้ำ ล้อมรอบธรรมจักร (วงล้อแห่งความถูกต้อง ดีงาม ชอบธรรม อันจะเป็นเหตุนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ร่มเย็นและสงบสุข) อันเป็นศูนย์กลาง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระนางพญา 9 แผ่นดินให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240205_234039.jpg IMG_20240205_234101.jpg IMG_20240205_233936.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2024
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    พระของพ่อ
    จัดสร้างโดย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อสมทบกองทุนฟันเทียมพระราชทานในโอกาสฉลองพระชนมายุ 80 พรรษา ปี2550 เนื่องจากพระพุทธชินสีห์เป็นพระคู่บ้่านคู่เมืองและคู่บุญบารมีพระมหากษัตริย์มาทุกราชวงศ์ จึงได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จัดสร้างผ่านกรมศิลปากร เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2548 ต่อมาทรงพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กระทรวงสาธารณสุขจัดสร้างและให้อัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. มาประดิษฐานที่พระพุทธรูปทุกองค์ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2548
    พิธีการจัดสร้างถูกต้องตามตำราสืบมาแต่โบราณ
    การรวบรวมอิทธิมวลสารศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศ
    - ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน "ผงจิตรลดา" ผ่านท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ทันตแพทย์ประจำ พระองค์ท่าน โดยทรงมีรับสั่งว่า "ชุดสุดท้ายและไม่มีอีกแล้ว"
    - ได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชประทานพระเกศา และผงมวลสาร
    - ได้รับเมตตาจากพระสมณศักดิ์ ตั้งแต่สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะและเจ้าคณะรองรวมทั้งสิ้น 10 รูป จารและอธิษฐานจิตลงในแผ่นทอง เงิน นาก รวมทั้งสิ้น 37 แผ่น
    - นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ได้กราบนมัสการพระสมณศักดิ์ และพระเกจิทรงวิทยาคมที่เคารพทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 212 รูป ขอเมตตาจารและอธิษฐานจิตลงในแผ่นทอง เงิน นาก รวมทั้งสิ้น 999 แผ่น นอกจากนี้ยังได้รับมอบอิทธิมวลสารศักดิ์สิทธิ์อันเป็นสุดยอดของจังหวัด อาทิเช่น ผงปถมัง ผงมหาราช ผงอิทธิเจ เป็นต้น
    - คณะศิษย์ยานุศิษย์วัดสุทัศน์เทพวรารามได้มอบแผ่นทองที่ลงอักขระตำรับการสภาพระกริ่งวัดสุทัศน์เทพวรารามอันลือลั่นได้แก่ หัวใจ 108 นะ 14 รวม 122 แผ่น

    พิธีเททอง
    กำหนดให้มีพิธีเททอง ณ บริเวณหน้าโบสถ์รังษี วัดบวรนิเวศวิหาร วันที่ 18 พฤศจิกายน 2548 โดยสมเด็จพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ประธานคณะผู้ปฏิบัติที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานเททอง และนายพินิจ จารุสมบัติและนายอนุทิน ชาญวีรกุลเป็นประธานและรองประธานฝ่ายฆราวาส

    พิธีมหาพุทธาภิเษก
    จัดพิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร วันที่ 29 ธันวาคม 2548 โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ เป็นประธานจุดเทียนชัย พระพรหมมุนี วัดบวรนิเวศวิหาร ประธานดับเทียนชัย และพระสงฆ์สมณศักดิ์ พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมมาเจริญพระพุทธมนต์ สวดพุทธาภิเษก และนั่งปรกอธิษฐานจิต

    ด้วยเหตุนี้เอง เชื่อว่าวัตถุมงคลพระพุทธชินสีห์ ภ.ป.ร. ชุดนี้จึงจัดได้ว่าเป็น
    "พระดี พิธีเยี่ยม มวลสารสุดยอดแห่งยุค"
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    กล่องใหญ่ บรรจุพระ 5 องค์ ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240205_234157.jpg IMG_20240205_234220.jpg IMG_20240205_234131.jpg
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1707212052013.jpg

    ประวัติหลวงพ่อรวย วัดท่าเรือ (พระครูสุนทรธรรมานุศาสก์ ) จนุทสิริ

    หลวงพ่อรวย นามเดิม ชื่อ รวย ประกอบเกื้อ เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2449 ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเมีย

    ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (ตรงกับวันคล้ายวัดเกิดของท่าน พระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) อย่างที่เราท่านรู้จักกัน)

    ณ บ้านหนองสะพาน หมู่ 3 ตำบล ชากพง อำเภอ แกลง จังหวัด ระยอง เป็นบุตรโทนของ นาย ชั้น และนาง เอื้อม ประกอบเกื้อ

    ในสมัยเด็ก หลวงพ่อรวย มิได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนหรือที่วัดเหมือนเด็กอื่นๆ แต่โยมบิดาเป็นผู้สอนให้จนอ่านออกเขียนได้ จนเมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม ก็เป็นผู้อ่านบทละครตามที่ต่างๆ ตลอดจนเมื่ออายุได้ 21 ปีจึงทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่

    11 มิถุนายน พ.ศ 2471 ตรงกับแรม 9 ค่ำ เดือน 6 ณ อุโบสถวัดเขาดิน (วัดเก่า) ซึ่งตั้งอยู่หลังวัดท่าเรือปัจจุบัน

    โดยมี พระครูสมุทรสมานคุณ (หลวงพ่อแอ่ว) วัดป่าประดู่ และเจ้าคณะจังหวัดเป็น พระอุปัชฌาย์

    พระอธิการเห่งวัดป่าประดู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    พระอธิการฟู วัดท่าเรือแกลง เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    พ.ศ 2475 วัดท่าเรือ เริ่มทำการก่อสร้างพระอุโบสถขึ้น หลวงพ่อรวย ได้รับมอบหมายจากพระอธิการฟู เจ้าอาวาส ให้เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างจนสำเร็จเรียบร้อยในปีต่อมา และทำการฝังลูกนิมิตในปี 2477

    พ.ศ 2485 พระอธิการฟูได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส เนื่องจากปัญหาสุขภาพ หลวงพ่อรวย จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็น

    ผู้รักษาการแทนในตำแหน่งเจ้าอาวาส และได้ขึ้นเป็น พระอธิการรวย เจ้าอาวาสวัดท่าเรือ ในปีต่อมา

    การพัฒนาชุมชน

    พ.ศ 2483-2487 โรงเรียนวัดท่าเรือ ซึ่งก่อตั้งขึ้น ในยุคของ พระอธิการฟู เจ้าอาวาสรุ่นก่อน มีอาคารเรียนไม่เพียงพอต่อความ

    ต้องการของชุมชนในสมัยนั้น หลวงพ่อรวย พร้อมคณะจึงร่วมกันสร้างอาคารเรียน
    แบบ ป.2 จำนวน 8 ห้องเรียน และทำพิธีเปิดใช้อาคารหลังนี้เป็นสถานที่เรียนเมื่อ
    วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2490 โดยข้าหลวงประจำจังหวัดระยอง โดยใช้นามโรงเรียน
    ว่า “ โรงเรียนประชาบาลตำบลแกลง 1 (ท่าเรือวิทยาคาร) ต่อมาเมื่อวันที่
    21 มิถุนายน 2495 กระทรวงศึกษาธิการอนุญาตให้ใช้นามว่า โรงเรียนวัดท่าเรือ (ท่าเรือวิทยาคาร) ปี พ.ศ. 2504“พระครูสุนทรธรรมานุศาสก์” เจ้าอาวาสวัดท่าเรือ(ยศในขณะนั้น) พร้อมด้วยคณะกรรมการ และนายลำพูน สังข์สุวรรณ ครูใหญ่โรงเรียนวัดท่าเรือ ได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์สร้างอาคารเรียนเพิ่มเติม และยังคงใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จึงถือได้ว่า หลวงพ่อเป็นพระนักพัฒนาด้วยเช่นกัน



    การเริ่มสร้างวัตถุมงคล

    หลังจากโยมแม่ของหลวงพ่อถึงแก่กรรมในปี พ.ศ 2487 ท่านได้ตัดสินใจและลั่นวาจาว่าจะครองเพศบรรพชิตไปตลอดชีวิต โดยยกสมบัติทั้งหมดให้โยมผู้น้องคือนายเรียน ประกอบเกื้อ ซึ่งแสดงถึง

    การตัดซึ่งกิเลส ทางโลก มุ่งศึกษาพระธรรม เจริญสมาธิเจริญกรรมฐาน และออกธุดงค์ไปยังเขาต่างๆ หลายปี ซึ่งระหว่างนี้เองที่หลวงพ่อได้มีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์และได้สืบทอดยอดวิชาจากสุดยอดเกจิอาจารย์ทั้งสองท่านไว้นั่นคือ หลวงปู่โต วัดเขากระโดน หรือวัดเขาบ่อทอง ซึ่งมีขื่อเสียงเลื่องลือในพุทธเวทย์อย่างสูง ตลอดจน หลวงปู่หิน วัดหนองสนม หนึ่งในเกจิดังแห่งเมืองระยองที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมาจนถึงปัจจุบัน และฆารวาส ชื่อจันทร์เมือง สอนในเรื่องสีผึ้ง อันโด่งดัง โดยเฉพาะสีผึ้งดำซึ่งใช้

    ในการขึ้นโรงขึ้นศาล ชะงัดนัก ส่วนสีขาวอมเหลืองจะ ใช้เจรจาค้าขาย ปัจจุบันหายากพอๆกับ สีผึ้งหลวงพ่อทาบ เพราะสร้างน้อยมากๆ( สีผึ้งทั้งสองสีของหลวงพ่อรวย มีกฎข้อห้ามสำคัญคือห้ามนำเข้าห้องน้ำพร้อมกับปลดทุกข์ ไม่เช่นนั้นจะเสื่อมหมด )

    จึงไม่น่าแปลกใจที่วัตถุมงคลของหลวงพ่อรวย จะมีปาฎิหารย์เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล่าขานกับคนในพื้นที่และผู้ที่บูชาไปอยู่เนืองๆ



    วัตถุมงคลรุ่นแรกของหลวงพ่อรวย สร้างขึ้นในปี พ.ศ 2512 ในโอกาสได้เป็นพระอุปัชายะ สร้างขึ้นหลายแบบด้วยกัน ทั้งพระสมเด็จ เหรียญ ล๊อคเก็ต เป็นต้น ส่วนผสมของสมเด็จรุ่นแรกของหลวงพ่อรวย ประกอบด้วย ผงอิทธิเจ ผงปัตถมัง ผงมหาราช ผงนิตรีสิงเห ผงพุทธคุณ ผงสมเด็จวัดระฆัง จากหลวงปู่นาค ว่าน 108 แบ่งออกเป็นเนื้อดำ และขาว แบ่งเป็นพิมพ์ใหญ่ และพิมพ์เล็ก (พระคะแนน) ลักษณะ เนื้อรุ่นแรกสีดำจะมีเนื้อผงใบลาน ซึ่งจารึกอักษรขอม ทั้งสองรุ่นนี้เนื้อไม่แกร่งนัก จึงเป็นจุดต่างระหว่างรุ่นสองซึ่งใช้แม่พิมพ์เดียวกัน จำนวนการสร้างไม่ได้บันทึกไว้ชัดเจน ส่วนรุ่นสอง เริ่มสร้าง ฉลองครบ 6 รอบ หลวงพ่อรวย ปี 2520 – 2521 สมเด็จรุ่นสอง สร้างสองสี อย่างละเจ็ดสิบสององค์ ตะกรุด เจ็ดสิบสองดอก

    ปลุกเสกไม่ต่ำกว่า สามสิบครั้ง คือนำไปปลุกเสกตามโอกาสต่างๆที่เชิญหลวงพ่อไปปลุกเสกที่วัดต่างๆ หลวงพ่อก็จะนำไปด้วย

    เหรียญรุ่นสองสร้างในปี 2515ในโอกาสสร้างศาลาการเปรียญ หลวงพ่อปลุกเสกเดี่ยว

    พระผงกริ่ง รุ่นแรกมีลักษณะโตกว่ารุ่นสอง สีขาว สีดำ ปี 2532- 33สร้างประมาณ2000 องค์ สีดำขาวอย่างละพัน หายากมี อักษร ร และมีรัศมี

    พระกริ่งผง ปี 35 รุ่นสอง สร้าง สีดำ ขาว อย่างละ 1000 ทำพิธีพุทธาภิเษก วัดเทพนิมิตบ้านค่าย หลวงพ่อแพ หลวงพ่อเงิน

    และนำไปปลุกเสกในพิธีที่วัดสารนารถ

    ที่เหลือ เพิ่มเติมภายหลังนะครับ เอาเท่านี้ก่อนครับ

    (ขออนุญาตเจ้าของข้อมูลนะครับ เพื่อการศึกษา)
    ประวัติหลวงพ่อรวย วัดท่าเรือ (พระครูสุนทรธรรมานุศาสก์ ) จนุทสิริ

    หลวงพ่อรวย นามเดิม ชื่อ รวย ประกอบเกื้อ เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2449 ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเมีย

    ในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (ตรงกับวันคล้ายวัดเกิดของท่าน พระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) (อย่างที่เราท่านรู้จักกัน)..
    ที่มาของพระชุดเนื้อผงพิเศษ......
    หากจะกล่าวถึงเกจิภาคตะวันออก ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างเช่น หลวงปู่หิน. หลวงพ่อโต. .หลวงปู่ทิม. และอีกหลายท่านที่เก่งๆๆ หนึ่งในนั้น คือ หลวงพ่อรวย วัดท่าเรือ จนมีซินแส ที่เคยทำนาย หลวงปู่ทิม ว่าจะได้รับความนิยมมาแล้ว ..หลวงพ่อรวยก้อเช่นกัน ..ซินแสผู้นั้นก็ได้ทำนายหลวงพ่อรวยไว้ว่าต่อไปจะมีผู้คนนิยมชมชอบเหมือนกัน.. หลวงพ่อรวยเทพเจ้าแห่งความรำ่รวย แห่งภาคตะวันออก..........
    .......หลวงพ่อรวยนั้นได้เริ่ม เล่าเรียนวิชาไสย์เวส ตั้งแต่เป็นคาราวาส จนถึงตอนบวชเป็นพระ ก้อยังฝากตัวเป็นศิษย์ ขอเรียนวิชา กับเกจิดังๆๆมากมาย จนได้รับการยกย่อง จากเกจิช้ันแนวหน้า เช่น หลวงพ่อคูณ หลวงพ่อเปิ่น ครั้นร่วมงานพุทธาพิเสกพร้อมกัน .......
    ทิดสัง.....คือพระลูกศิษย์ ของหลวงพ่อที่คอยดูแลท่าน และติดตามท่านไปทุกที่ที่ร่วมปลุกเสก และยังดูแลการทำวัตถุมงคลของหลวง ในเกลือบทุกๆรุ่น คอย เก็บผง ตำผง บด ปั๊ม ตามที่หลวงพ่อสั่ง และอยู่ดูแลหลวงพ่อ จนถึงวาระสุดท้าย .......
    .....ทิดสัง และ ทิดพุฒ ศิษย์อีกคนของหลวงพ่อ หลังจากได้ติดตามหลวงพ่อ จึงเกิดความศรัทธราเป็นอย่างมาก จึงยากมีของดีไว้ติดตัว ไว้ให้ญาตพี่น้องใช้ ไว้บูชา เพราะเท่าที่เห็นมาไม่ธรรมดาจริง......
    ......ต้องขอขอบคุณ คุณณัฐวัชต์ได้ไปสัมภาษ ทิดสัง เรื่องการขออนุญาตทำ พระชุดเนื้อผงพิเศษ ทิดสัง เล่าต่อไปว่า หลังจากหลวงพ่อ อนุญาตให้สร้างพระชุดนี้ได้ ด้วยเจตนาที่เก็บไว้ให้พี่น้องและยังเป็นการได้ร่วมบุญกับทางวัด โดยนำผง ว่าน108 มามอบให้ หนึ่งชามใหญ่ โดยผงตัวนี้ หลวงพ่อได้ให้ทิดสัง เก็บจากเกษรดอกไม้ ใช้เกษรเท่านั้น จากงานพิธีมงคลต่างๆที่หลวงพ่อรวยได้ไปร่วมพิธี... เฉพาะที่อยู่ในอุโบสถ เท่านั้น และผง ว่านสบู่เลือด และผงอีกหลายอย่าง และที่น่าแปลกใจที่สุด หลวงพ่อให้ทิดสัง ไปเก็บดอกไม้ ตรงหน้าต่างล้างหน้าของหลวงพ่อ ซึ่งจะเป็นพื้นปูน แต่จะมีต้นดาวเรืองแทรกขึ้นมา แต่กลับมีดอกออกมา ...เป็นที่น่าแปลกใจ คล้ายตำราโบราณ บัวผุด ชึ่งหลังจากนั้นชาวบ้านได้ต่างพากันมาขุดเอาดินในจุดนั้นไปบูชากันอย่างมาก ....ทิดสัง เล่าต่อไปว่า พระชุดนี้หลวงพ่อจะมานั่งดูตนเอง ผสมผง ตำผง กดพิมพ์ และคอยดู อยู่ตลอด พระชุดนี้ สร้างได้แค่ 4 พิมพ์ รวมทั้งหมด 111 องค์..และก็ยังมีพิมพ์อื่นๆอีกรวมทั้งพระปิดตา แต่เนื้อหาก็จะแตกต่างออกไปบางองค์มีจะการแตกเสียหายไป เนื่องจากมวลสารที่เต็มไปด้วยพุทธคุณ ผงว่าน จึงดูเนื้อพระมีสีสันและเห็นมวนสาร ได้ชัดเจน พร้อมยันต์เฑาะ จนปลุกเสกเสร็จ ทิดสัง ได้นำพระส่วนหนึ่ง ไปออกบูชาในตู้ที่วัด พระชุดนั้น โยมสายกรุงเทพ นิมนต์ไปหมด ที่เหลือเก็บไว้ ให้กับลูกๆๆหลานๆๆ .........
    ...นับได้ว่าพระชุดเนื้อพิเศษนี้มีการจัดสร้าง ประมาน ปี 34หรือ 35 โดยยืนยันจาก ผู้ขออนุญาตทำ คนตำผง คนกดพิมพ์ คือ ทิดสัง ...ศิษย์ผู้ติดตามหลวงพ่อ พระชุดนี้นับว่าพิเศษไปเสียทุกอย่าง มวลสาร การจัดทำ เนื้อหาที่ออกมา และประสบการณ์ ในทุกๆๆด้านจริงๆๆ ...
    ปัจจุบัญ ทิดสัง รับหน้าที่เป็นไวยาวัชกรที่วัด ท่าเรือ..พระชุดนี้มีกรุงเทพได้นำไปใช้แล้วเล่าให้ฟังว่าดีมา ทำมาค้าขายดีตอนหลังมีเงินมีทองขึ้นมาอย่างมากแล้วบอกว่ามีคนต้องการอีกหลายคน ....และยังมีประสบการณ์ อีกมากมายทีทิดสัง เล่าให้ฟัง ครั้นติดตามหลวงพ่อไปในงานต่างๆ........

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อรวยวัดท่าเรือแกลงระยองแซยิดปี ๒๕๓๕ ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240206_162253.jpg IMG_20240206_162220.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    หลวงปู่แหวนหลังพระนเรศวรมหาราชปี 2553 วัดไชยสถานเจดีย์เก้ายอด ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240206_163825.jpg IMG_20240206_163859.jpg
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    พระครูกิตติปัญญาวัฒน์ (หลวงพ่อสุรินทร์ กิตติโก)
    วัดนครหลวง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา

    ปรัชญาเต่า

    เต่า เดินช้าแต่ไม่เคยถอยหลัง มีความมั่นคงหนักแน่

    เต่า มีอายุยืน

    เต่า เป็นสัตว์สองอยู่ในน้ำก็ได้ อยู่บนบกก็ดี ปรับสภาพเก่ง เข้ากับสภาพธรรมชาติสิ่งแวดล้อมได้ดี

    เต่า ฉลาด รู้จักหลบหลีกเอาตัวรอด เวลามีภัยอันตรายจะหดหัวขาเข้า ไปในกระดอง เพื่อให้ตัวเอง พันภัยทำเหมือนตายแล้ว เมื่อหมดภัยอันตรายแล้วก็ยี่นหัวออกมา และ ก้าวขาออกไปสู่จุดหมายตาม ความประสงค์ เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้แก่ชีวิต

    เต่า ขาสั้น แต่ความเพียรพยายามมากจึงชนะกระต่ายขายาว

    เต่า มีสี่ขาจึงสมกับปรัชญาที่ว่า

    ค่อย ค่อยเรียนศิลป์ลัำเลอคุณ

    ค่อย ค่อยแสวงหาทรัพย์ทุนก่อเค้า

    ค่อย ค่อยโกรธอย่าผลุนผลันโกรธ

    ค่อย ค่อยรักอย่าเร้า สี่นี้ควรประสงค์

    เต่า ใจเด็ดไข่แล้วกลบไม่ห่วงไข่ เต่าจึงฉลาดเสียสละไข่เอาชีวิตไว้ เพราะชีวิตสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ควรรักษาชีวิตไว้ให้ดี

    การรักษาชีวิตให้ดี คือ การรักษาหน้าที่การงานให้ดี งานนำมาซึ่งโภคทรัพย์ทั้งหลาย หากเรารักษาชีวิตไว้ได้ ชื่อว่า รักษา ทุกสิ่งทุกอย่างไว้ดีด้วย

    ชีวิตได้จากพ่อ แม่ รู้จักใช้ชีวิตดี พ่อแม่ก็ดีไปด้วย ความรู้ได้จากครูอาจารย์ รู้จักใช้ความรู้ ครูอาจารย์ก็ดีไปด้วย

    ยศศักดิ์ได้จากพระเจ้าแผ่นดิน รู้จักรักษาหน้าที่การงานเป็นการเชิดชูพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินคุ้มครองเราตลอดเวลา

    ธาตุ อายตนะ ที่มีอยู่ในตัวเราเป็นชีวิต รู้จักนำไปประพฤติปฏิบัติบูชา เป็นการเกื้อกูลพระพุทธศาสนา ธรรมของพระพุทธเจ้าคุ้มครองเรา ตลอดเวลา

    ฉะนั้นพึงรักษาชีวิตให้ดี งานคือชีวิต

    ที่มา : หนังสือหลักการปกครองและการพัฒนาชีวิตในยุคโลกาภิวัฒน์
    ด้วยหลักคำสอนในทางพระพุทธสาสนา
    โดย กิตติโก ภิกขุ หรือพระครูกิตติปัญญาวัฒน์ (หลวงพ่อสุรินทร์)

    โชคดีนิรันดร์กาล
    อยากได้ให้หาเอา (ขยัน)
    อยากมีให้เก็บไว้ (ประหยัด)
    อยากรวยให้ใช้เป็น (ละเอียด)
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระชุดเพชรน้ำหนึ่งหลวงพ่อสุรินทร์ให้บูชา 170 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240207_014029.jpg IMG_20240207_014140.jpg
    IMG_20240207_014107.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้ จัดส่ง

    1707297780985.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    หลวงปู่บุดดา_copy (1).jpg
    เหรียญพระแก้วมรกตหลวงปู่บุดดาถาวโรวัดกลางชูศรีเจริญสุขสิงห์บุรี
    ให้บูชา 300 บาทค่าส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240207_183549.jpg IMG_20240207_183642.jpg IMG_20240207_183516.jpg
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    1707385957159.jpg
    ประคำ หมายถึงลูกกลมๆ ที่ร้อยเป็นพวงสำหรับเป็นเครื่องหมายการนับในเวลาบริกรรมภาวนาหรือสำหรับใช้เป็นเครื่องราง เรียกโดยทั่วไปว่า ลูกประคำ

    ประคำของท่าน จะทำมาจากแก่นไม้มงคลหลากหลายชนิด บางเส้นที่พบเจอจะมีเม็ดประคำทำจากไม้หลายชนิด บางเส้นก็จะชนิดเดียวล้วนๆ โดยแต่ละชนิดก็ล้วนแล้วแต่เป็นไม้มงคลและชื่อที่เป็นมงคล อาทิเช่น ไม้ประดู่ คูณ ขนุน ยม มะขาม รัก วาสนา สัก พะยุง กันเกรา ทองหลาง ชัยพฤกษ ราชพฤกษและอีกหลากหลายชนิดฯลฯ โดยใช้แก่นไม้ส่วนที่แข็ง นำมาแกะเป็นเม็ดๆ ขัดตกแต่งเคลือบผิว ตามพิธีตำหรับตำรา แล้วค่อยเข้าพิธีปลุกเสก

    ***เป็นวัตถุมงคลที่มีชื่อเสียงของหลวงพ่ออุตตมะมาเป็นเวลาเนิ่นนานหลายสิบปีมาแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลวงพ่ออุตตมะเข้ามาอยู่ในเมืองไทยใหม่ ๆ หลวงพ่อท่านก็ได้นำประคำมาแจกให้กับผู้ที่ไปกราบนมัสการท่าน นอกจากจะให้ช่วยปกป้องคุ้มครองตัว และเป็นเมตตามหานิยมแล้ว ยังมีนัยเพื่อให้เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ หรือคุณพระศรีรัตนตรัยอีกด้วย เพื่อให้ผู้ที่ได้รับประคำไปนั้นมุ่งมั่นกระทำแต่ความดีตามรอยบาทพระศาสดา นอกจากประคำไม้ยุคแรกๆแล้ว ท่านยังได้ทำไว้หลายแบบ หลายชนิดเช่น ประคำผง ประคำกรามช้าง เป็นต้น

    หลวงพ่ออุตมะท่านก็สร้างตามตำรามอญโบราณ สำหรับผู้ที่เคยไปนมัสการหลวงพ่ออุตตมะ แห่งวัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ภาพที่พบเห็นหลวงพ่อท่านจะนั่งทักทายลูกศิษย์ลูกหาพร้อมร้อยพวงเม็ดประคำของท่านไปด้วย และคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าร้อยทั้งร้อยจะต้องได้ประคำสายหลากหลายชนิดติดคอกลับมาแทบทุกคน "เห็นประคำก็เหมือนได้เห็นหลวงพ่อ ถ้าได้พบเจอหลวงพ่อก็ต้องได้เห็นประคำ" ดังนั้น ประคำ จึงเปรียบเสมือนเครื่องรางที่เป็นเอกลักษณ์ของหลวงพ่ออุตตมะมาเนิ่นนานแล้ว
    ซึ่งแต่ละชนิดก็สร้างจำนวนไม่มากค่ะ บางท่านอาจสงสัย พร้อมคำถามว่า เส้นประคำเม็ดกลมโต ถ้าหากคล้องคอไปไหนมาไหนอาจจะดูไม่เหมาะกับการทำงานในสภาพปัจจุบันนัก ซึ่งก็โดยมากที่หลวงพ่อท่านให้นั้น ก็ไว้เพื่อพกพาติดตัว ติดรถติดบ้าน เพื่อความปลอดภัย แคล้วคลาด เมตตามหานิยม บันดาลโชคลาภ อีกทั้งไว้ฝึกจิตนับลูกประคำสำหรับทำสมาธิในแต่ละครั้ง ระลึกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดจนคุณครูบาอาจารย์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ลูกประคำเสาร์ 5 มหามงคลหลวงพ่ออุตตมะแจกงานพระราชทานเพลิงศพข้าราชการทหารอากาศปี 2539
    ให้บูชา บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    (ปิดรายการ)
    IMG_20240208_164335.jpg IMG_20240208_164245.jpg IMG_20240208_164310.jpg IMG_20240208_164354.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2024

แชร์หน้านี้

Loading...