เว็บพลังจิต ปฎิทินพลังจิตธรรมสัญจร 54

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย ญ.ผู้หญิง, 17 ธันวาคม 2010.

  1. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ประกาศ


    แจ้งปิดรับสมาชิกร่วมเดินทางในทริปธรรมสัญจร (๓) ณ วันที่ ๓๑ ม.ค.๕๔ จำนวน ๓๑ คน สมาชิกท่านใดมีความประสงค์ร่วมเดินทาง ขอให้ลงชื่อสำรองไว้ จะจัดที่นั่งทดแทนให้ในกรณีที่มีสมาชิกถอนตัวเนื่องจากงานเข้า

    อนึ่ง! สมาชิกท่านใดที่โอนชำระเงินค่าเดินทางแล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งข้อมูลเพื่อทำประกันอุบัติเหตุ ขอให้รักษาสิทธิ์ของท่านโดยด่วน ปิดรับการดำเนินการทุกอย่างภายในวันศุกร์ที่ ๔ ก.พ.๕๔ เวลา ๒๐.๐๐ น.

    จึงแจ้งมาเพื่อทราบ และขอบพระคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ [​IMG]



    หมายเหตุ
    [​IMG] ปีนี้...แต่ละทริปจำนวนสมาชิกทำไมลงท้ายเลขคี่หมดเลยหว่า
    ธรรมสัญจร (๑) จำนวน ๒๑ คน
    ธรรมสัญจร (๒) จำนวน ๓๙ คน
    ธรรมสัญจร (๓) ณ วันนี้จำนวน ๓๑ คน

     
  2. Senseless guy

    Senseless guy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +991

    พี่ญ. แจ้งรายละเอียดทาง PM แล้ว
    ขอบคุนค่ะ,โหน่ง
     
  3. sisne

    sisne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +132
    คุณหญิงคะ โอนเงินให้แล้วค่ะ 2,000 บาท วันนี้เวลา 13.48น.จาก ธ.ไทยพาณิชย์ บัญชี xxxxxxx974 ค่ะ รายละเอียด ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดจะแจ้งให้ทาง PM อีกครั้งนะคะ
    โมทนาด้วยค่ะ
     
  4. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    ดูรูป Trip แล้วน่าสนุกนะครับ
    มี E.T.????
     
  5. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    เรียบร้อยแล้วน่ะจ๊ะ สองที่นั่ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. Senseless guy

    Senseless guy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +991

    พี่ ญ. ผิดวันแล้วค่ัะ
    แหมๆๆๆๆๆ มีขู่อีกต่ะหากนะเจ้าคะ 5555555
     
  7. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    เหลือเวลาอีกเพียง ๑๐ วัน (จะเดินทาง)rabbit_run_away เท่านั้น
    ว่าแต่... โหน่งซ้อมเดินไปถึงไหนแล้วจ้ะ.....พี่คิดว่าอย่างโหน่งนี่ตัวเลขจำนวนขั้นบันไดไม่สำคัญเพราะอย่างไรมันก็เป็นเพียงตัวเลข จะบันได ๑ ขั้น ๑๐ ขั้น ๑๐๐ ขั้นหรือ ๓,๘๐๐ ขั้นก็คือต้องวางกำลังใจในการขึ้นเหมือนกัน สรุปงานนี้โหน่งเดินขึ้นแบบจิ๊บ จิ๊บ ใช่เปล่าจ้ะ ฮิ ฮิ ฮิ


    กระซิบ กระซิบ เรามารอดูกันดีกว่าว่า.....ผู้กล้า ๔ คนสุดท้ายจะมีหรือไม่ จะเป็นชายหรือหญิง จะเป็น สว.หรือ สส. เพราะงานนี้ท่าน สว.ไปหลายคนเล่นเอาสภา (ลูกหลานที่บ้าน) เกือบล่ม (ตกใจ) กันเชียวค่ะ :d


     
  8. Ninana

    Ninana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,761
    พี่หญิงค่ะ ลงชื่อยืนยันการไปร่วมทริปทำบุญที่เขาวงพระจันทร์ วันที่ 12-13 ก.พ. นี้ค่ะ

    1. สุวัฒน์ อินทุประภา (ไม่ใช่ สุวัจน์ นะคะ)
    2. นินันท์ อาจศิริวัฒน์

    โอนเงิน 2000 บาทให้แล้วค่ะวันนี้ ดูรายละเอียดสลิปเงินโอนจากไฟล์แนบนะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ธรรมสัญจร (๓)

    [​IMG] ทริปธรรมสัญจร (๓) พิธีสมโภชพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง-นมัสการสักการะรอยพระพุทธบาทเขาวงพระจันทร์-ย้อนรอยโครงการพระราชดำริลุ่มน้ำป่าสัก จ.ชัยภูมิ-ลพบุรี วันที่ ๑๒-๑๓ ก.พ. ๕๔ รวม ๒ วัน ๑ คืน


    [​IMG]
    พระเจดีย์ศรัชัยผาผึ้ง จ.ชัยภูมิ


    กำหนดการเดินทาง โดยรถตู้ปรับอากาศ TOYOTA COMMUTER

    วันเสาร์ที่ ๑๒ ก.พ.๕๔
    ๐๕.๐๐ น. จุดนัดพบปั๊มน้ำมัน ปตท.สนามเป้า
    ๐๕.๑๕ น. ล้อหมุน
    - บริการอาหารว่างบนรถ

    ๑๑.๐๐ น. เดินทางถึงสำนักสงฆ์ผาผึ้ง
    - กราบพระเถรานุเถระ ที่มาร่วมงานในพิธี
    - ร่วมรับประทานอาหาร (โรงทาน)


    ๑๒.๓๐ น. พิธีการ
    - พระสุวีรญาณ เจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ถวายเครื่องสักการะ
    - พระอุดมฤกษ์ อมโร เจ้าสำนักสงฆ์ผาผึ้ง ถวายเครื่องสักการะ
    - พระธวัชชัย ชาครธัมโม ประธานการสร้างพระเจดีย์ถวายเครื่องสักการะ
    - นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ถวายเครื่องสักการะ
    - ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิกล่าวรายงาน
    - เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตประธานในพิธีจุดธูปเทียน
    - เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล/ประธานสงฆ์ให้ศีล
    - เจ้าหน้าที่อาราธนาพระปริตร
    - พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
    - คณะเจ้าภาพร่วมกันถวายจตุปัจจัยไทยธรรมและถวายของที่ระลึก
    - พระสงฆ์อนุโมทนา/กรวดน้ำ/รับพร
    - เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตเปิดป้ายพระเจดีย์
    - พระมงคลวิสุทธิ์ถวายผ้าห่มพระเจดีย์
    - เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตนำคณะสงฆ์เวียนเทียน
    - เสร็จพิธี
    - ชาวคณะร่วมกราบลาหลวงพี่นิล


    ๑๖.๐๐ น. เดินทางไปวัดเขาวงพระจันทร์
    - เดินขึ้นเขาสักการะรอยพระพุทธบาท (นอนพักบนเขา) หรือนอนพักที่ตึกนอนด้านล่าง (สำหรับสมาชิกที่ไม่ได้ขึ้นเขา)


    วันอาทิตย์ที่ ๑๓ ก.พ.๕๔
    ๐๕.๐๐ น. ตื่นทำธุระส่วนตัว
    - เดินลงเขา สมทบกับสมาชิกที่นอนพักที่วัด
    - ร่วมกราบสักการะพระทันต์ธาตุ และหลวงปู่
    - กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด
    - ชมพิพิธภัณฑ์พระเครื่องมูลค่าพันล้าน
    - ฯลฯ


    ๑๑.๐๐ น. เดินทางไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
    - เยี่ยมขมประวัติและโครงการในพระราชดำริขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    - ขึ้นลิฟท์ชมความงดงามมุมสูงจากหอชมวิว
    - นั่งรถรางชมทิวทัศน์ ไหว้พระท้ายเขื่อน
    - นวดแผนโบราณ (ตามอัธยาศัย)


    ๑๘.๐๐ น. ถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

    ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่านละ ๑,๐๐๐ บาท
    (ราคานี้รวมค่าเดินทาง ค่าทำบุญ ค่าอาหารว่าง ๑ มื้อ ค่าธรรมเนียมเข้าชมสถานที่ ค่าประกันอุบัติเหตุ)

    ท่่านที่ประสงค์จะร่วมเดินทางกรุณาโอนเงินค่าพาหนะเดินทางตามจำนวนที่กำหนดข้างต้นเข้าบัญชีตามข้างล่างนี้ และมาโพสต์แจ้งชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้และจำนวนเงินที่โอนให้ทราบด้วยค่ะ

    ชื่อบัญชี : ณญาดา ศราภัยวานิช
    ธนาคาร : กรุงไทย ประเภทออมทรัพย์
    เลขที่บัญชี : ๑๒๑-๐-๑๐๕๔๕-๔ (121-0-10545-4)
    โทรศัพท์ : ๐๘๑-๗๓๕๙๒๖๑ (081-7359261)


    ทริปธรรมสัญจร (๓) ปิดรับจองที่นั่งรถและโอนเงินในวันศุกร์ที่ ๔ ก.พ. ๕๔ เวลา ๒๐.๐๐ น. หรือจนกว่าที่นั่งจะเต็ม

    ท่านที่โอนเงินแล้วต่อมาประสงค์จะยกเลิกการเดินทาง ขอให้แจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย ๗ วัน ก่อนวันที่เดินทาง หากไม่แจ้งภายในกำหนดดังกล่าว ผู้จัดขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่คืนเงินค่าเดินทางให้ หากปรากฏว่าการยกเลิกล่าช้าของท่านทำให้ตัดสิทธิ์ของบุคคลอื่นและก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้จัด

    ในการโอนเงินคืนจะมีค่าธรรมเนียมการโอน ๒๕ บาท ซึ่งจะหักจากยอดเงินค่าเดินทางของท่าน หากมีเงินเหลือหลังจากชำระค่าบริการเช่ารถแล้ว ผู้จัดขออนุญาตนำเงินคงเหลือทั้งหมดเข้าร่วมบุญต่าง ๆ ของชาวคณะบึงลับแลต่อไป
     
  10. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    รายนามพระเถรานุเถระ

    องค์ประธาน

    [​IMG]
    ๑. สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร จ.กรุงเทพฯ


    [​IMG]
    ๒. พระมงคลวิสุทธิ์ (หลวงปู่สุภา กฺนฺตสีโล) วัดสีลสุภาราม จ.ภูเก็ต


    พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
    ๑. พระธรรมวราภรณ์ วัดเครือวัลย์ จ.กรุงเทพฯ
    ๒. พระธรรมไตรโลกาจารย์ วัดราชประดิษฐ์ จ.กรุงเทพฯ
    ๓. พระเทพปัญญามุนี วัดอาวุธวิกสิตาราม จ.กรุงเทพฯ
    ๔. พระเทพวราลังการ วัดพระศรีมหาธาตุ จ.กรุงเทพฯ
    ๕. พระเทพดิลก วัดปทุมวนาราม จ.กรุงเทพฯ
    ๖. พระกวีวรญาณ วัดตรีทศเทพ จ.กรุงเทพฯ
    ๗. พระอธิการสุทัศน์ โกศโล วัดกระโจมทอง จ.กรุงเทพฯ
    ๘. พระสุวีรญาณ วัดศรีแก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ
    ๙. พระครูชัยสิทธิการโกศล วัดป่าสุทธิโกศล จ.ชัยภูมิ
    ๑๐. พระครูสุนทรกิตติคุณ วัดป่าบ้านพลัง จ.ชัยภูมิ
    ๑๑. พระครูสุวิมลภาวนาคุณ วัดเขาตาเงาะอุดมพร จ.ชัยภูมิ
    ๑๒. พระครูปภสฺสรวรพินิจ วัดห้วยมงคล จ.ประจวบคีรีขันธ์
    ๑๓. พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
    ๑๔. พระครูปลัดสมปอง สุธมฺมสนฺตจิตโต สำนักปฏิบัติธรรมบ้านสบายใจ จ.อุทัยธานี
    ๑๕. พระครูวินัยธร วัดประยงค์กิตติวราราม จ.กรุงเทพฯ
    ๑๖. พระครูถาวรเจติยาภิรักษ์ วัดเกาะแก้วขวัญเมือง จ.หนองคาย
    ๑๗. พระครูสิริธีรคุณ วัดศรีชมชื่น จ.หนองคาย
    ๑๘. พระสมมาศ คุณาธิโก วัดบางนมโค จ.อยุธยา
    ๑๙. พระครูบาเหนือชัย โฆสิโต สำนักสงฆ์ถ้ำป่าอาชาทอง จ.เชียงราย
    ๒๐. พระครูบาวิฑูรย์ ชินวโร สำนักปฏิบัติธรรมปรียานันท์ธรรมสถาน จ.นครสวรรค์
    ๒๑. พระมหาทอง ฐานคุโณ วัดเขาสมโภชน์ จ.ลพบุรี
    ๒๒. พระมหาดง ปภัสสโร วัดเกาะแก้วขวัญเมือง จ.หนองคาย
     
  11. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    รายนามผู้ร่วมบุญ-ร่วมเดินทาง

    [​IMG] รายนามกัลยาณธรรมร่วมบุญ

    ๑. กองทุนบึงลับแล จำนวน ๕๐๐ บาท
    ๒. คุณ boontar จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๓. หลาน ๆ สกุล "ศราภัยวานิช" จำนวน ๕๐ บาท
    ๔. คุณร่มบุญ จำนวน ๕๐ บาท
    ๕. คุณวารุนี จำนวน ๕๐ บาท
    ๖. คุณเอก ใต้ จำนวน ๕๐ บาท

    ๗. คุณวรวีร์ จำนวน ๕๐ บาท
    ๘. คุณกัณฑิมา สามงามไตร จำนวน ๕๐ บาท
    ๙. คุณลุงโรจน์ จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๐. คุณณัฐพัชร จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๑. คุณเกสรซ์ จำนวน ๕๐๐ บาท (ระบุถวายหลวงปู่สุภา)
    ๑๒. คุณธิติ จำนวน ๑๑๑ บาท
    ๑๓. คุณมัลลิกา จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๔. คุณ Pirita จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๕. คุณกาลกตา จำนวน ๑๐๐ บาท
    ๑๖. คุณสุรจิตร จำนวน ๑๒๐ บาท
    ๑๗. คุณชู ร่วมบุญบาตร จำนวน ๔ ใบ
    ๑๘. คุณ อ.เหม ร่วมบุญชุดสังฆทาน จำนวน ๕ ชุด
    ๑๙. คุณ ญ.ผู้หญิง ร่วมบุญชุดกันหนาว (หมวก-เสื้อกันหนาว-ถุงมือ-ถุงเท้า) จำนวน ๑ ชุด

    รวมเงินร่วมบุญ ณ วันที่ ๑๑ ก.พ.๕๔ จำนวน ๒,๑๓๑ บาท


    [​IMG] รายนามผู้ร่วมเดินทาง
    ๑. คุณ ญ.ผู้หญิง จ่ายแล้ว ลว.๒๑/๑/๕๔
    ๒. คุณ Pirita จ่ายแล้ว ลว.๑/๒/๕๔
    ๓. คุณขวัญ09 จ่ายแล้ว ลว.๒๑/๑/๕๔
    ๔. คุณเหมียว จ่ายแล้ว ลว.๙/๒/๕๔
    ๕. คุณชู จ่ายแล้ว ลว.๒๑/๑/๕๔
    ๖. คุณ sisne (๑)
    จ่ายแล้ว ลว.๑/๒/๕๔
    ๗. คุณ sisne (๒) จ่ายแล้ว ลว.๑/๒/๕๔
    ๘. คุณกาลกตา จ่ายแล้ว ๕/๒/๕๔ (บ้านอนุสาวรีย์)
    ๙. คุณ maithong (๑) จ่ายแล้ว ลว.๔/๒/๕๔
    ๑๐. คุณ PORNPIMOL จ่ายแล้ว ลว.๓/๒/๕๔
    ---------------------------------------------
    ๑๑.
    คุณ kuppa20 (๑) จ่ายแล้ว ลว.๒๕/๑/๕๔
    ๑๒. คุณ kuppa20 (๒) (เมารถ) จ่ายแล้ว ลว.๒๕/๑/๕๔
    ๑๓. คุณชุติกาญจน์ จ่ายแล้ว ลว.๔/๒/๕๔
    ๑๔. คุณ odinid จ่ายแล้ว ลว.๓๐/๑/๕๔
    ๑๕. คุณอัสนี (๑) จ่ายแล้ว ลว.๒/๒/๕๔ ถอนตัวเนื่องจากงานเข้า ลว.๑๑/๒/๕๔ เปิดรับทดแทน (ฟรี)
    ๑๖. คุณอรวรรณ จ่ายแล้ว ๕/๒/๕๔ (บ้านอนุสาวรีย์)
    ๑๗. คุณอุ่นเรือน จ่ายแล้ว ๕/๒/๕๔ (บ้านอนุสาวรีย์)
    ๑๘. คุณพรทิพย์ ยืนยันการเดินทาง ขอชำระ ๑๒/๒/๕๔
    ๑๙. คุณ HeartofDragon จ่ายแล้ว ลว.๗/๒/๕๔
    ๒๐. คุณภรภิตา จ่ายแล้ว ลว.๓๑/๑/๕๔
    ---------------------------------------------
    ๒๑. คุณ อ.เหม จ่ายแล้ว ลว.๔/๒/๕๔
    ๒๒. คุณเบญจขันธ์ ยืนยันการเดินทาง ขอชำระ ๑๒/๒/๕๔
    ๒๓. คุณตาเถน (๑) จ่ายแล้ว ลว.๓/๒/๕๔
    ๒๔. คุณตาเถน (๒) (เมารถ) จ่ายแล้ว ลว.๓/๒/๕๔
    ๒๕. คุณ Ninana (สุวัฒน์) จ่ายแล้ว ลว.๓/๒/๕๔
    ๒๖. คุณ Ninana (นินันท์) จ่ายแล้ว ลว.๓/๒/๕๔
    ๒๗. คุณกอล์ฟ ยืนยันการเดินทาง ขอชำระ ๑๒/๒/๕๔
    ๒๘. คุณหวาน ยืนยันการเดินทาง ขอชำระ ๑๒/๒/๕๔
    ๒๙. คุณปรมภัทร จ่ายแล้ว ลว.๗/๒/๕๔
    ๓๐. คุณภวัคร จ่ายแล้ว ลว.๗/๒/๕๔
    ---------------------------------------------
    ๓๑. คุณอัสนี (๒) (เมารถ) จ่ายแล้ว ลว.๒/๒/๕๔ ถอนตัวเนื่องจากงานเข้า ลว.๑๑/๒/๕๔ เปิดรับทดแทน (ฟรี)
    ๓๒. คุณยุพิน (๑) จ่ายแล้ว ลว.๔/๒/๕๔
    ๓๓. คุณยุพิน (๒) จ่ายแล้ว ลว.๔/๒/๕๔
    ๓๔. คุณ interionut ยืนยันการเดินทาง ขอชำระ ๑๒/๒/๕๔
    ๓๕. คุณเต็ง จ่ายแล้ว ลว.๔/๒/๕๔
    ๓๖. คุณสายท่าขนุน (สุขภาพขา) จ่ายแล้ว ๕/๒/๕๔ (บ้านอนุสาวรีย์)
    ๓๗. คุณฐานิดา (สุขภาพหลัง) จ่ายแล้ว ลว.๔/๒/๕๔
    ๓๘. คุณร่มบุญ (๑)
    จ่ายแล้ว ลว.๔/๒/๕๔
    ๓๙. คุณร่มบุญ (๒) จ่ายแล้ว ลว.๔/๒/๕๔
    ๔๐. คุณ maithong (๒) ยืนยันการเดินทาง ขอชำระ ๑๒/๒/๕๔

    รวมผู้ร่วมเดินทาง ณ วันที่ ๑๑ ก.พ. ๕๔ จำนวน ๓๘ คน (เปิดรับทดแทน ๒ ที่)



    หมายเหตุ
    ๑. ประกาศผังที่นั่งในวันจันทร์ที่ ๗ ก.พ.๕๔
    ๒. ในกรณีที่มีสมาชิกถอนตัวเนื่องจากงานเข้า จะเปิดรับสมาชิกทดแทนตามลำดับ
    ๓. ให้สิทธิ์สำหรับสมาชิกที่ชำระค่าเดินทางเข้ามาภายในระยะเวลาที่กำหนด (๔ ก.พ.) และขอสงวนที่นั่งด้านหน้าสำหรับ สว. สมาชิกที่มีปัญหาด้านสุขภาพและสมาชิกที่มีอาการเมารถ
    ๔. สมาชิกที่โอนชำระค่าเดินทางแล้ว อย่าลืมรักษาสิทธิ์ของท่านในการแจ้งวันเวลา-จำนวนเงินที่โอน และชื่อ-สกุลเพื่อใช้ทำประก้ันอุบัติเหตุ ยกเว้น สมาชิกเก่าที่เคยแจ้งรายละเอียดเข้ามาแล้ว

    ๕. กัลยาณธรรมทุกท่านสามารถร่วมบุญสร้างพระเจดีย์ศรีช้ยผาผึ้งได้ที่ คลิก


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2011
  12. ตาเถน

    ตาเถน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +698
    โอนแล้วครับผม

    เลขที่อ้างอิงการทำรายการ 2409873061201123
    วัน/เวลาการทำรายการ 03-02-2011 16:49:37
    บัญชีผู้รับโอน KTB* ญ.ผู้หญิง*121-0-10545-4
    ชื่อบัญชีผู้รับโอน น.ส.ณญาดา ศราภัยวานิช
    จำนวนเงิน 2,000.00 บาท
    ค่าธรรมเนียม 0.00 บาท (เก็บ ณ วันเกิดรายการ)
    รวมจำนวนเงิน 2,000.00 บาท
    ประเภทการโอนเงิน ทันที
     
  13. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ประวัติ...รอยฝ่าพระบาทบนเขาวงพระจันทร์

    [​IMG]
    หลวงปู่ฟัก ภททจารี

    เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ มีพระรูปหนึ่งท่านมาขึ้นเขาและมีลูกศิษย์ลูกหาติดตามมาด้วย หลวงพ่อก็ติดตามพระองค์นั้นขึ้นไปบนยอดเขาวงพระจันทร์ด้วย และผู้ติดตามขึ้นไปพากันไปกราบไหว้พระองค์นั้น จนประมาณสี่ทุ่มลูกศิษย์ของท่านก็ขอให้กลับกันได้แล้วท่านจะได้ทำกิจ แต่พระรูปนั้นกลับบอกให้หลวงพ่อฟักอยู่ก่อนจะเล่าอะไรให้ฟัง พระรูปนั้นท่านก็เริ่มเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า "เขานางพระจันทร์" (ชื่อเดิม) นี่นะสูง ยากที่คนธรรมดาจะขึ้นถึงได้ (เมื่อผมยังหนุ่ม ยศร้อยตรีเป็นครูแผนที่ทหารปืนใหญ่เดินขึ้นเขาลูกนี้ได้ ตอนนั้นยังไม่มีบันไดถาวรอย่างปัจจุบันนี้ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อ ๒ - ๓ ปีมานี้กลับไปขึ้นใหม่มีบันไดราวเกาะอย่างดี ใช้เวลา ๒ ชั่วโมงจึงจะขึ้นถึง) หลวงพ่อเล่าต่อว่า จะขึ้นเขาได้ต้องเป็นคนที่มีความมานะอดทนจริง ๆ หากตั้งใจจริงและศรัทธาจริงแล้วถึงจะเหนื่อยปานใดก็ต้องขึ้นให้ถึง

    พระองค์นั้นเริ่มเล่าให้หลวงพ่อฟังต่อไปว่า เมื่อสมัยพุทธกาลมีพ่อค้าคนหนึ่งไปค้าขายต่างแดนไปทางเรือ วันหนึ่งก็จัดสินค้าลงเรือออกเดินทาง คราวนี้เรือเกิดเดินทางผิดทิศจนไปเจอเกาะเข้าเกาะหนึ่ง ไม่เห็นมีผู้คนอยู่เห็นแต่ต้นไม้จันทน์หอมเต็มไปทั้งเกาะ พ่อค้าจึงคิดว่าไม้จันทน์หอมนี้ราคาแพงนัก สูงกว่าสินค้าที่เรานำมา พ่อค้าจึงขนเอาสินค้าลงจากเรือ แล้วตัดเอาไม้จันทน์หอมลงบรรทุกในเรือแทน ตัดฟันโดยไม่ได้ขอขมา ขอต่อเจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าเกาะเสียก่อน แล้วหันหัวเรือกลับบ้านเลยไม่ไปค้าขายอะไรอีกแล้ว

    ฝ่ายพวกผีปีศาจที่อยู่ที่เกาะนั้น ก็พากันโกรธแค้นที่มาตัดฟืนไม้จันทน์หอมเอาไปโดยไม่ขออนุญาต จึงพากันติดตามเรือไปกระทำฤทธิ์ให้เกิดคลื่นลมจะเอาให้เรือล่มให้จงได้ ฝ่ายพ่อค้าก็ตกใจเพราะไม่รู้สาเหตุจึงระลึกถึงพี่ชายที่บวชเป็นพระอยู่ ยกมือประณมแล้วระลึกขอให้พระพี่มาช่วย "ถ้าพระหลวงพี่ช่วยให้รอดกลับบ้านได้แล้ว หากหลวงพี่จะประสงค์สิ่งใดก็จะจัดถวายให้" พระผู้พี่ซึ่งจะต้องมีญาณสูงมากก็ทราบคำขอของพ่อค้าน้องชาย รู้ว่าน้องชายทำผิดสิ่งใดจึงได้รับผลเลวร้ายเช่นนี้ พระพี่จึงมาให้ปีศาจเห็นตัวแล้วชี้แจงปรับความเข้าใจโดยสุภาพ พวกภูตผีปีศาจทั้งหลายเห็นพระพี่พ่อค้าเจรจาอ่อนน้อมเช่นนั้น ผีปีศาจทั้งหลายก็ให้อภัยแล้วกลับไปยังเกาะที่มากไปด้วยไม้จันทน์หอมเช่นเดิม ทันใดนั้นคลื่นลมก็สงบ พ่อค้าน้องชายพระก็เดินทางกลับบ้านได้โดยปลอดภัย เมื่อไปถึงก็ไปหาพระพี่ชายกราบขอบพระคุณ เล่าให้พระพี่ชายฟัง

    พระพี่ชายจึงบอกว่า "จงจำไว้ว่าจะทำอะไรให้คิดถึงจิตใจคนอื่นเขาบ้าง อย่าทำอะไรเอาแต่ใจตนเอง" น้องชายก็กราบขอโทษแล้วพระพี่ชายจึงถามว่าจะเอาอะไรถวายที่บนบานไว้ ผู้น้องก็ตอบว่าถวายทุกสิ่งที่ปรารถนา พระพี่ชายจึงบอกให้พ่อค้าจงเสียสละไม้จันทน์หอม ให้เลื่อยไม้จันทน์หอมที่นำเอามาแล้วปลูกเป็นปราสาททั้งหลัง ให้สำเร็จเมื่อเสร็จแล้ว ท่านจะไปทูลเชิญพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประทับในปราสาทที่น้องสร้างให้จงได้

    พ่อค้าน้องชายพระก็รับคำแล้วไปจัดการเลื่อยไม้จันทน์หอม นำไปสร้างปราสาทจนสำเร็จเรียบร้อย เมื่อพระพี่ชายทราบว่าปราสาทเสร็จแล้ว จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลเชิญให้พระองค์เสด็จไปประทับในปราสาทที่น้องชายได้สร้างถวาย เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทราบแล้วก็รับว่าจะไป แต่ทรงดำริว่า การไปครั้งนี้เราจะไปทางอากาศจึงจำเป็นต้องผ่านที่อยู่ของพระฤาษี ณ ยอดเขานางพระจันทร์ด้วย เราจะแวะโปรดฤาษีสัจจพรรณ เพราะกระทำกิจได้ดีแล้ว แต่ยังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ จำเราจะแนะให้ตั้งตนอยู่ในสัมมาทิฐิ

    ครั้งเมื่อพระองค์เสด็จถึงเขานางพระจันทร์ พระองค์ก็เสด็จลงที่ยอดเขา เมื่อสัจจพรรณฤาษีได้เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาจึงเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าแล้วถามว่าพระองค์จะเสด็จไปแห่งใดด้วยกิจอะไร พระพุทธเจ้าจึงเทศน์โปรดฤาษี เมื่อสัจจพรรณฤาษีได้สดับแล้ว ก็มีสติระลึกชอบด้วยสัมมาทิฐิ และขอตามเสด็จไปยังปราสาทที่พ่อค้าสร้าง พระพุทธองค์ก็เสด็จต่อไปยังปราสาท เมื่อพบพระพี่ชายพ่อค้าแล้ว ก็เทศน์โปรดจนได้สำเร็จสมความปรารถนา

    เมื่อเสร็จกิจแล้วก็เสด็จกลับ เมื่อถึงเขานางพระจันทร์ พระพุทธเจ้าก็ให้ฤาษีหยุดการติดตามให้อยู่ ณ ที่เดิมที่เขานางพระจันทร์ ฤาษีสัจจพรรณจึงอาราธนาขอให้พระพุทธเจ้าประทับรอยฝ่าพระบาทไว้บนยอดเขาเพื่อตนจะได้ไว้มากราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงเสด็จลงจากอากาศผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก แล้วแยกเท้าเหยียบบนยอดหินที่สูงสุดของเขาพระนางพระจันทร์ เป็นรอยพระบาทที่ปรากฏมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

    เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๖ หลวงพ่อโอภาสี ท่านได้มานมัสการรอยฝ่าพระบาทพระพุทธองค์ ท่านจึงให้เปลี่ยนนามจาก "นาง เป็น วง" เพราะเหตุว่าบริเวณภูเขาทั้ง ๔ ด้าน เป็นเขารูปโค้ง มองทางไหนก็เห็นเป็นวงโอบล้อมอยู่ จึงขนานนามว่า เขาวงพระจันทร์ พระภิกษุองค์ที่เล่าให้หลวงพ่อฟังจึงน่าจะเป็นหลวงพ่อโอภาสีนั่นเอง พระคาถาสำคัญของหลวงพ่อโอภาสี คือ "ติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา นะมามิหัง"

    เรื่องเล่าโดยหลวงปู่ฟัก ภททจารี
     
  14. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ประวัติหลวงปู่ฟัก ภัททจารี

    [​IMG]
    หลวงปู่ฟัก ภททจารี

    หลวงปู่ฟัก ภททจารี นามเดิม ฟัก ชนะโกเศศ ซึ่งนามสกุลของท่านเป็นนามสกุลที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๖) โดยทรงพระราชทานเป็นลำดับที่ ๖๖๖ เป็นบุตรของพระอัษรสมบัติ (เปล่ง) มารดา นางปลิก ชนะโกเศศ เกิดที่บางขุนพรหม กรุงเทพฯ เป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้อง ๒ คน น้องชายของท่านเสียชีวิตนานแล้ว

    เมื่อโตเป็นหนุ่ม หลวงปู่ได้รับราชการเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต มีหน้าที่ดูแลและควบคุมโรงฝิ่น ซึ่งสมัยนั้นโรงฝิ่นมีอยู่เยอะและถูกกฎหมาย โดยเก็บภาษีเข้ารัฐ ธรรมชาติหลวงปู่เป็นคนที่มีจิตใจละเอียด ช่างสังเกตมีความรอบคอบและมีเมตตาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่โดยหน้าที่ท่านต้องดูแลโรงฝิ่น ต้องสัมผัสกับคนติดฝิ่น (ขี้ยา) ท่านเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าในการทำงานของท่านนั้น นับแต่วันแรกที่ทำงานไม่เคยมีความสุขเลย มีแต่ความเศร้าหมองและสงสารในความหลงผิดติดยาของคนเหล่านั้น ท่านเห็นบางครั้งคนติดยาอยากยาทุรนทุรายเหมือนจะตายไปต่อหน้า หลวงปู่ท่านได้แต่ยืนปลงอนิจจังว่าทำไมหนอจึงต้องติดยา ทำไมหนอเกิดมาทั้งทีจึงต้องเอาชีวิตทั้งชีวิตมาติดยาจนทำลายชีวิตลงอย่างไร้ค่าเช่นนี้

    ในที่สุดท่านจึงหาทางออกให้กับความคิดที่สับสนของท่านและทางออกที่ดีที่สุดนั้นคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในทางธรรมะ และในการหันหน้าเข้าสู่ทางธรรมของหลวงปู่ หลวงปู่ได้เริ่มจุดแรกที่วัดไพร หลังสถานีรถไฟ สามเสน กรุงเทพฯ โดยมีหลวงปู่โต๊ะเป็นเจ้าอาวาส และหลวงปู่โต๊ะก็มีเมตตาต่อหลวงปู่เป็นอย่างมาก หลวงปู่อยู่อาศัยศึกษาธรรมะที่วัดไพรเป็นเวลา ๓ ปีเต็ม นั่นหมายความว่าพระเดชพระคุณหลวงปู่นั้นท่านมีใจใฝ่ในธรรมมาตั้งแต่ท่านยังเป็นฆราวาสอยู่ เมื่อหลวงปู่อายุ ๓๔ ปี ท่านจึงคิดตัดสินใจว่าปีหน้าอายุ ๓๕ ท่านจะบวชแน่นอน ฉะนั้นก่อนจะบวชปีนี้จะขอเที่ยว ๆ เพื่อให้รู้จักโลก แต่การเที่ยวของท่านนั้นท่านจะเที่ยวดูพระเครื่อง ส่องพระเครื่องจากที่ต่าง ๆ เพราะท่านชอบส่องพระเครื่องดูพระเครื่องเป็นนิสัยอยู่แล้วเมื่อมีโอกาสท่านจึงใช้เวลาให้หมดไปกับการเที่ยวส่องพระดูพระในทุกครั้งที่มีโอกาสและไปทุกที่ที่มีแผงพระ

    วินิจฉัยวัตรปฏิบัติของหลวงปู่
    ๑. จะไม่ขอนอนตลอดชีวิต เป็นการปฏิบัติที่ทำได้ยากมาก ๆ ถ้าจิตไม่แข็งดุจเพชรไม่มีทางที่จะปฏิบัติได้เลย หลวงปุ่ท่านเล่าให้ฟังว่า ๓ ปีแรกที่ปฏิบัติไม่นอน (หมายถึงถ้าจะหลับก็จะนั่งหลับ) หลวงปู่ท่านบอกว่ามันเมื่อย มันเจ็บ มันปวด มันทรมานมาก เหมือนกายจะแตกแยกออกจากกัน โดยเฉพาะในปีที่ ๓ มันปวดร้าวระบมไปทั่วร่าง แต่หลวงปู่ท่านไม่ยอมแพ้ สู้และทน ด้วยคิดเสมอว่าเมื่อวานหนักกว่านี้ยังทนได้ ด้วยจิตที่แข็งแกร่งดุจเพชร ในที่สุดหลวงปู่ท่านก็ชนะได้ คือจะนั่งอย่างไร ก็สบายทุกท่า ถึงจะนั่งหลับก็หลับสบายไม่ทุกข์ไม่ทรมานอีกต่อไป หลวงปู่ท่านให้เหตุผลของการไม่นอนไว้ว่า ก็เราตั้งใจถือปฏิบัติว่านอนน้อย ถ้าเรานอน มันก็ติดสุข นอนสนุกสุขสบายไป แต่เรานั่ง นั่งหลับนี้ดีกว่านอนหลับตรงที่พอเราหลับอยู่เพลิน ๆ กายเรามันก็โยกไปซ้ายบ้างขวาบ้างเราก็รู้สึก เรียกว่าไม่ให้หลับเลย ไม่ให้มันติดสุข ให้มันนอนเท่าที่อยู่ได้ เมื่อรู้สึกเราก็กำหนดจิตต่อ ฉะนั้น เราจะหลับเป็นช่วง ๆ หนึ่งไม่นานเกิน ๒๕ นาที เมื่อรู้ก็กำหนดจิต เมื่อจิตสงบมันก็หลับ เมื่อหลับสนิทกายเอียงซ้ายบ้างเอียงขวาบ้าง ก็รู้สึกมันเป็นเช่นนี้ทั้งคืน นี่คือวัตรปฏิบัติ คนโดยทั่วไปนั่นมักเข้าใจว่า คำว่าพระธุดงค์ต้องแบกกลดเดินไปเรื่อย ๆ จึงเรียกว่าพระธุดงค์ แต่จริง ๆ แล้ว คำว่าธุดงค์ คือ สมาทาน เมื่อสมาทานแล้วจะปฏิบัติอยู่ที่ไหนก็ได้ จะแบกกลดเข้าป่า หรือจะอยุ่วัด ขอให้ปฏิบัติให้ได้ในข้อที่ตนสมาทาน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็เรียกว่า ถือธุดงค์ ตรงกันข้ามถึงจะแบกกลดเดินไปทั่ว แต่ใจปฏิบัติไม่ได้ก็เหนื่อยเปล่า อย่าทำเลย ฉะนั้นคำว่าธุดงค์จึงอยู่ที่การถือปฏิบัติ คำว่าธุดงค์มี ๑๓ ข้อ ในที่นี้จะขอยกมากล่าวเพียง ๒ ข้อ เพราะถ้านำมาอธิบายทั้ง ๑๓ ข้อ ก็จะยืดยาวเกินความจำเป็นไป
    ข้อที่ ๑ ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ว่าคหปฏจีวรัง ปะฏิกขิปามิ บังสุกูลิกังคัง สมาธยามิ แปลว่า เรางดคหบดีจีวรเสีย สมาทานองค์ของผู้ถือครองผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
    ข้อที่ ๑๓ ถือการนั่งเป็นวัตร ว่าเสยยัง ปะฏิกขิปามิ เนสัชชิกัง คัง สะมาธิยามิ แปลว่า เรางดการนอนเสีย สมาทานองค์ของผู้ถือนั่งเป็นวัตร หลวงปู่ท่านถือการนั่งเป็นวัตร จึงอยู่ในหลักสมาทานธุดงค์ ข้อที่ ๑๓

    ๒. หลวงปู่ฉันอาหารมื้อละได้ไม่เกิน ๘ คำ ผู้เขียนได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่าทำไมหลวงปู่จึงฉันอาหารมื้อล่ะไม่เกิน ๘ คำ หลวงปู่ท่านให้เหตุผลว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อโอภาสี ซึ่งเป็นอาจารย์ของเรา ท่านฉันครั้งละ ๓ คำเท่านั้น แต่เราฉัน ๘ คำ นับว่ามากกว่าครูอาจารย์ตั้งเยอะแล้ว อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้บวชเข้ามาในพุทธศาสนาถ้าหวังการหลุดพ้น แต่กินมากนอนมากก็ไม่รู้จะหลุดพ้นได้อย่างไร ฉะนั้นเราจึงปฏิบัติกินน้อยนอนน้อย แต่ปฏิบัติมาก หลวงปู่ท่านกล่าวถึงเหตุผล

    ๓. ฉันอาหารมังสวิรัติตลอดชีวิต เหตุผลในการฉันมังสวิรัติตลอดชีวิต หลวงปู่ท่านต้องการปฏิบัติโดยไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ หลวงปู่ท่านจึงสมาทานฉันมังสวิรัติตลอดชีวิต

    ๔. ไม่สรงน้ำตลอดชีวิต
    โดยธรรมชาติมนุษย์ทุกรูปทุกนาม จะมีการอาบน้ำชำระล้างร่างกาย เพราะร่างกายมนุษย์นั้นถ้าไม่ชำระล้างก็คือกองปฏิกูล เต็มไปด้วยของเหม็นสิ่งสกปรก ถ้าเราไม่ได้อาบน้ำแม้แต่เพียงวันเดียว เราจะรู้สึกอึดอัด มีกลิ่นไม่พึงปรารถนาเต็มไปหมด หลวงปู่ท่านบอกว่าที่ไม่สรงน้ำ เพราะต้องการทำในสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปทำได้ยาก ฤาษีก็ดี โยคีก็ดี ในอดีตท่านก็ไม่อาบน้ำ ท่านก็ยังอยู่ของท่านได้ แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ ถ้าไม่สรงน้ำดีด้วยซ้ำไป จะได้ไม่ต้องกังวล ว่าถึงเวลาสรงน้ำแล้ว ถ้าไม่สรงน้ำเวลาอากาศร้อนเราก็เฉย ๆ เวลาอากาศหนาว ยิ่งสบายไม่ลำบาก แต่ถึงแม้หลวงปู่ท่านจะไม่สรงน้ำ แต่ศิษย์ทุกคน สาธุชนทั้งหลายที่ได้เจอได้กราบหลวงปู่ ต่างจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลวงปู่ช่างผ่องใส งามสง่าเหลือเกิน มองอย่างไรก็ไม่อิ่มตา และกลิ่นกายของหลวงปู่ ก็มีกลิ่นหอมเย็นๆ ซึ่งทุกคนที่เข้าใกล้หลวงปู่ว่าจริง น่าอัศจรรย์แท้

    ๕. หลวงปู่อธิษฐานบวชตลอดชีวิต
    ดังที่กล่าวแต่เบื้องต้นแล้วว่า ก่อนบวชหลวงปู่ท่านเบื่อหน่ายในชีวิตเพราะท่านเห็นด้วยปัญญาแล้วว่า ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจะหาอะไรเป็นแก่นสารไม่มีเหลือ เมื่อจะบวชจึงอธิษฐานขอบวชตลอดชีวิต ผู้เขียนในกราบเรียนถึงเรื่องส่วนตัวของท่านว่า หลวงปู่ขอรับหลวงปู่อธิษฐานบวชไม่สึก และหลวงปู่บวชเมือ่อายุ ๓๕ ปีแล้ว หลวงปู่ไม่เคยมีคู่มาก่อนเลยหรือครับ หลวงปู่ท่านเมตตาตอบว่า ถ้าหมายถึงภรรยาไม่มีแต่คนรักเคยมี เมื่อตัดสินใจบวชก็บอกเขาว่าถ้าเธอต้องการมีคู่ก็มีได้เลยไม่ต้องรอกันนะ เพราะเมื่อบวชคิดว่าจะไม่สึกตลอดชีวิต แต่เขาไม่เชื่อเขาคิดว่าเราต้องสึกไปหาเขาแน่ จนเมื่อเราบวชได้สามพรรษาเขาเห็นว่าไม่สึกแน่เขาจึงแต่งงาน งานแต่งงานก็นิมนต์เรา เราก็ไปอนุโมทนา เมื่อเขามีลูก เขาก็พามาให้เราผูกข้อมือให้ เราคิดแต่เพียงว่าทุกอย่างที่ผ่านไปไม่ว่าจะผ่านไปนานแล้วหรือเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้ก็ตามมันเป็นเพียงอดีตเรา ไม่ยึดติดกับมันไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งสิ้น ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม เมื่อผ่านไปมันคืออดีต เราอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ถูกต้อง เราจึงอยู่กับปัจจุบันเท่านั้นและไม่ใช่ว่าเราคิด เมื่อเราบวชตั้งแต่ยังไม่บวช ตั้งใจว่าบวชเมื่อไร จะขอบวชตลอดชีวิตและตั้งแต่บวชวันแรกจนถึงวันนี้ ไม่เคยแม้แต่น้อยเลยที่คิดจะสึก


    ขอบคุณที่มา : http://thaprachan.wordpress.com
    บันทึกและเรียบเรียงประวัติโดย
    นายมนตรี กาญจนนพวงศ์
    (อาจารย์มนต์ ซับกระทิง)
    ๙ มกราคม ๒๕๔๙


    หมายเหตุ
    กัลยาณธรรมท่านใดต้องการอ่านประวัติหลวงปู่แบบละเอียด ให้คลิกเข้าไปเปิดอ่านได้ที่ Link ที่นำมาวางค่ะ
     
  15. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ประวัติ...สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต)

    [​IMG]
    สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต)

    สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต)
    (นามเดิม: จุนท์ พราหมณ์พิทักษ์) เป็นพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย ดำรงตำแหน่งรักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต กรรมการมหาเถรสมาคม และแม่กองสนามหลวง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารและผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดมกฎกษัตริยาราม ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฎเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๒ โดยมีราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระวันรัต ศรีวชิรญาณวงศวิวัฒ ปริยัติพิพัฒนพงศ์ วิสุทธิสงฆปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลคัมภีรญาณสุนทร ธรรมยุตติกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี

    สมเด็จพระวันรัต มีนามเดิมว่า จุนท์ พราหมณ์พิทักษ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กันยายน ๒๔๗๙ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีชวด ณ บ้านเกาะเกตุ ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายจันทร์และนางเหล็ก พราหมณ์พิทักษ์ ท่านสำเร็จการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ จากโรงเรียนวัดคิรีวิหาร ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด จากนั้น ได้เข้าพิธีบรรพชาเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๙๑ ณ วัดคิรีวิหาร ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด โดยมีพระวินัยบัณฑิตเป็นพระอุปัชฌาย์ กระทั่งอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๙๙ ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร โดยมี สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น สุจิตโต) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระวินัยบัณฑิต (ถาวร ฐานุตตโร) วัดคิรีวิหาร จ.ตราด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูวิสุทธิธรรมภาณ (แจ่ม ธัมมสาโร) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังอุปสมบทได้ศึกษาพระปริยัติธรรม จนสอบได้ประโยคเปรีญธรรม ๙ ประโยค จากสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร

    ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ สมเด็จพระวันรัต ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระพรหมมุนี ได้ปฏิบัติหน้าที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ นั่งพระเสลี่ยงกลีบบัว (พระยานมาศพระนำ) และราชรถน้อย (รถพระนำ) อ่านพระอภิธรรมนำขบวนพระอิสริยยศในการเคลื่อนพระศพ จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทสู่พระเมรุ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

    ส่วนภาระหน้าที่พิเศษยากที่จะหาผู้ใดทำหน้าที่นี้ได้ในยุคปัจจุบัน คือ การที่ได้รับมอบหมายจากเถรสมาคมเป็นผู้ตรวจสอบการคำนวณปฏิทินหลวง (ปฎิทินจันทรคติของไทย) และให้ความเห็นก่อนที่จะประกาศใช้ในแต่ละปี นอกจากนี้ยังเดินหมุดและคำนวณปฎิทินปักขคณนาสำหรับวันลงอุโบสถให้กับคณะสงฆ์ธรรมยุตด้วย

    ขอบคุณที่มา : วิกิพีเดีย
     
  16. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    ประวัติ...หลวงปู่สุภา กฺนตฺสีโล

    [​IMG]
    หลวงปู่สุภา กฺนตฺสีโล

    หลวงปู่สุภา กฺนตฺสีโล พระอริยสงฆ์ ๕ แผ่นดิน ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี

    ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ตำบลฉลอง อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

    มีผู้กล่าวว่า...กว่าจะมีพระอรหันต์ปรากฏในโลกย่อมนานแสนนาน ทั้งเมื่อพระอรหันต์ปรากฏแล้วก็จะมีเพียงผู้คนไม่กี่ร้อยกี่พันคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจในความเป็นพระอรหันต์และได้รับการโปรดด้วยธรรมะอันลุ่มลึก และพิสดารจนสามารถเข้าถึงแก่นแท้แห่งชีวิตและความเป็นอนิจจัง ด้วยว่าพระอรหันต์ย่อมแสดงกิริยาอาการหรือสื่อความเป็นพระอรหันต์มิได้แต่เพียงน้อยนิด ด้วยสมเด็จพระทศพลญาณทรงปรับโทษสูงถึงอาบัติปาราชิก แม้จะมีภูมิธรรมอันเป็นพระอรหันต์ก็ตามที ดังนั้นแม้จะไม่พบอาจพบพระอรหันต์ได้ในชีวิตนี้ ก็ยังมีพระสุปฏิปันโนอันเป็นเนื้อนาบุญของสัตว์โลก ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนให้ได้บูชาสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก สมเด็จพระญาณไตรโลกนารถบรมศาสดาทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า พระสุปฏิปันโนเปรียบเสมือนนาข้าวอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอินทรีย์สาร อันมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าวให้รวงข้าวอันเต่งทุกเม็ด ให้ผลแก่ร่างกายมนุษย์และสัตว์เมื่อบริโภค ข้าวเปลือกเปรียบเสมือนทานบารมีที่พุทธศาสนิกชนได้หว่านลงในเนื้อนาบุญของสัตว์โลก พระสุปฏิปันโนย่อมให้ต้นข้าวและรวงข้าวอันมีโภคผลในการหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้ล่วงลับดับไป จากโลกนี้แล้วและให้ความอยู่ดีมีสุขแก่ผู้ที่ยังต้องดำรงชีวิตอยู่ในโลกอันเต็มไปด้วยกิเลสและตัณหาอันเชี่ยวกราดเสมือนเรืออันแข็งแรงพาผู้โดยสารข้ามวังวนแห่งกิเลสไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ตามกำลังแห่งศรัทธาปสาทะและความตั้งใจอันบริสุทธิ์ของแต่ละบุคคล

    ดังนั้นจะขอนำท่านไปพบกับหลวงปู่สุภา กฺนตฺสีโล ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี พระสุปฏิปันโนผู้เป็นเนื้อนาบุญอันไพศาลของโลกอีกองค์หนึ่ง ซึ่งชีวิตท่านอุทิศแล้วแด่พระพุทธศาสนาและอุทิศแก่การโปรดสัตว์ผู้ยากให้พ้นจากวังวนของกิเลสและตัณหา แผ่เมตตาธรรมโดยถ้วนหน้าแก่ทุกชีวิตที่เข้ามาพึ่งใบบุญ สงเคราะห์แก่ทุกผู้ทุกนามโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ สายตาของท่านมองดูสัตว์โลกด้วยความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ประเสริฐ มองลึกเข้าไปจากเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับและยศถาบรรดาศักดิ์จอมปลอม ทุกคนจึงได้รับการปฏิบัติจากหลวงพ่อสุภา กันตสีโลโดยเท่าเทียม


    ปฐมบทของหลวงปู่สุภา กฺนตฺสีโล
    ครอบครัวของท่านขุนภักดี หรือผู้ใหญ่บ้านพล วงศ์ภาคำและนางสอ วงศ์ภาคำ เป็นที่เคารพของชาวบ้านคำบ่อ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ทั้งนี้เพราะท่านผู้ใหญ่พลสร้างแต่ความดี มีน้ำใจและบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎรในปกครองอย่างเสมอหน้า ว่ากล่าวตักเตือนด้วยความเมตตา เมื่อพบผู้กระทำผิดอันพอจะอภัยได้ และกระทำการจับกุมอย่างเด็ดขาดในกรณีที่กฎหมายไม่อาจจะละเว้นหรือตักเตือนได้ ทุกคนจึงพร้อมที่จะร่วมมือกันท่านผู้ใหญ่พลในทุก ๆ ด้าน บ้านคำบ่อจึงอยู่กันอย่างสงบสุขตลอดมา

    วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๓๙ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก คุณแม่สอก็ให้กำเนิดบุตรชายคนที่ ๘ ในสกุลวงศ์ภาคำ เป็นเด็กที่มีความอ้วนท้วนสมบูรณ์ หน่วยก้านบอกว่าต่อไปจะเป็นคนดีของบ้านเมืองและคนดีศรีวงศ์ตระกูล ท่านผู้ใหญ่พลจึงให้นามบุตรชายคนนี้ว่า “สุภา” อันประกอบด้วย “สุ” แปลว่า “ดี” และ “ภา” มาจากส่วนหนึ่งของสกุลว่า “วงศ์ภาคำ” ซึ่งมีความหมายว่าคนดีของตระกูลวงศ์ภาคำนั่นเอง

    หลวงปู่สุภามีพี่น้องทั้งหมด ๘ คน คือ

    ๑. นางสี วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    ๒. นายเสน วงศ์ภาคำ (บวชเป็นพระภิกษุ – มรณภาพ)
    ๓. นางผม วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    ๔. นางเกตุ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    ๕. นายจันทร์เพ็ง วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    ๖. หลวงปู่สุภา กฺนตฺสีโล
    ๗. นางมาลีจันทร์ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
    ๘. นางกา วงศ์ภาคำ (ยังมีชีวิตอยู่)

    หลวงปู่สุภาเป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัว เมื่อตอนเป็นเด็กท่านอ้วนท้วนสมบูรณ์ ผิวขาว หน้าตาน่ารักน่าชัง ท่านใช้ชีวิตอย่างเช่นเด็กทั่ว ๆ ไปในสมัยนั้น คือเที่ยววิ่งซุกซนไปตามประสาจะมีโอกาสเรียนเขียนอ่านก็ต่อเมื่อพ่อแม่พาไป ฝากวัดให้พระท่านสอนหรือไม่ก็ให้พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ที่รู้หนังสือสอนให้ วัดจึงเป็นสถานที่แห่งเดียวที่เด็กชายไปแสวงหาความรู้ เช่นเดียวกับคนอีสานส่วนใหญ่สมัยนั้น คือมักจะให้ลูกบวชเป็นเณร

    เมื่อหลวงปู่สุภาอายุได้ ๗ ขวบ วันหนึ่งในขณะที่ท่านและเพื่อน ๆ ออกไปวิ่งเล่นที่ริมทุ่งชายป่า ได้พบกับพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกลดพักอยู่ใต้ต้นตะแบกใหญ่ เด็กคนอื่น ๆ ที่เห็นพระรูปนั้นไม่ได้สนใจ ต่างพากันวิ่งเล่นกันต่อ เว้นไว้แต่เด็กชายสุภาซึ่งมีจิตใจโน้มมาทางธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย จะเห็นได้จากการที่ชอบเข้าใกล้พระ ชอบไปวัด ดังนั้นเมื่อท่านเห็นพระธุดงค์รูปนั้นปักกลดพักอยู่ ก็แยกตัวออกจากเพื่อน ๆ ตรงเข้าไปกราบ เมื่อพระภิกษุชราที่นั่งพักอยู่ภายในกลดเห็นเด็กชายหน้าตาน่ารักเข้า มากราบอย่างสวยงามเหมือนกับได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี จึงมองเด็กน้อยคนนั้นด้วยความเมตตา เพิ่งดูลักษณะอยู่ครู่เดียว จึงบอกเด็กน้อยว่า ต่อไปภายหน้าจะได้บวช เมื่อบวชแล้วอย่าลืมไปหาท่าน พระภิกษุรูปนี้คือ หลวงปู่สีทัตต์ จำพรรษาอยู่ที่วัดท่าอุเทน จังหวัดนครพนมนั้นเอง แต่ในเวลานั้น เด็กชายสุภายังไม่ได้นึกอะไร ได้แต่นั่งคุยกับหลวงปู่สีทัตต์อยู่ครู่หนึ่ง จึงนมัสการลากลับ ไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ

    เมื่อหลวงปู่สุภามีอายุได้ ๙ ขวบ บิดามารดาได้นำท่านบวชเป็นสามเณร โดยมีพระอาจารย์สอน เป็นพระอุปัชฌาย์ สามเณรสุภาได้ศึกษาพระธรรมวินัยกับพระอาจารย์สอน เป็นเวลา ๑ ปี หลังจากนั้นท่านได้เดินทางไปเรียนมูลกัจจายน์ที่วัดไพรใหญ่ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระอาจารย์มหาหล้าและฆราวาสชื่อ อาจารย์ลุย เป็นผู้สอน สามเณรสุภาได้ใช้เวลาศึกษามูลกัจจายน์อยู่ที่วัดไพรใหญ่เป็นเวลาหลายปี เมื่อเรียนจบแล้วได้กราบลาอาจารย์เพื่อหาความรู้เพิ่มเติม จึงได้ออกเดินทางมานมัสการหลวงปู่สีทัตต์ ที่วัดท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม หลวงปู่สีทัตต์ ท่านเป็นพระป่า มีชื่อเสียงทางด้านวิปัสสนากรรมฐานและทรงวิทยาคมทางด้านคาถาอาคมไสยเวท ซึ่งท่านได้ศึกษาวิชาอาคมด้านต่าง ๆ มาจากสมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว

    สมเด็จลุนท่านเป็นสุดยอดปรมาจารย์ของประเทศลาว พระเกจิอาจารย์ทางภาคอีสานแถบลุ่มแม่น้ำโขงที่มีชื่อเสียงโด่งดังล้วนฝากตัว เป็นลูกศิษย์ท่านทั้งสิ้น สมเด็จลุนท่านมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมาย เหลือจะบรรยายเป็นตัวอักษรได้ จะขอกล่าวไว้พอเป็นสังเขป สมเด็จลุนท่านสามารถเดินข้ามแม่น้ำโขงด้วยเท้าเปล่า และบางครั้งท่านจะไปนั่งสรงน้ำกลางแม่น้ำโขง นี่คืออิทธิปาฏิหาริย์ของท่าน และในบรรดาลูกศิษย์ของสมเด็จลุน หลวงปู่สีทัตต์ ถือเป็นศิษย์เอกที่ได้รับการถ่ายทอดตำราวิทยาคม จากสมเด็จลุนจนหมดสิ้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ลูกไม้จะหล่นไกลต้น

    เมื่อสามเณรสุภาได้กราบนมัสการหลวงปู่สีทัตต์แล้ว ได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่สีทัตต์ได้รับสามเณรสุภาเป็นศิษย์ด้วยความยินดี นับว่าหลวงปู่สีทัตต์เป็นพระอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานองค์แรก ของสามเณรสุภา

    สามเณรสุภาได้เริ่มฝึกกรรมฐานและออกธุดงค์กับ หลวงปู่สีทัตต์ ซึ่งท่านได้พาสามเณรสุภาธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว หลวงปู่สีทัตต์ได้พาไปที่ถ้ำภูเขาควาย เป็นถ้ำขนาดใหญ่มีความสวยงามน่าอยู่ ในถ้ำแห่งนี้มีพระสงฆ์ไปปฏิบัติธรรมรวมกันมาก ถ้ำภูเขาควายเปรียบเสมือนถ้ำสำนักตักศิลา ที่มีพระสงฆ์ลาวและไทยไปจำพรรษาและแลกเปลี่ยนวิชาอาคม หนทางที่จะไปถ้ำถูเขาควายลำบากมาก เต็มไปด้วยสิ่งเร้นลับ พระธุดงค์ที่เดินทางไปถ้ำภูเขาควาย ถ้ามีวิชาอาคมไม่แก่กล้าพอ มักจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้เป็นจำนวนมาก

    สามเณรสุภาได้ติดตามหลวงปู่สีทัตต์ไปธุดงค์จนอายุครบอุปสมบทในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ หลวงปู่สีทัตต์จึงได้อุปสมบทให้สามเณรสุภาภายในถ้ำภูเขาควาย โดยมีหลวงปู่สีทัตต์เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเถระที่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดถ้ำภูเขาควายเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “กนฺตสีโล”

    หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงปู่สุภา ได้อยู่ปฏิบัติธรรมต่อไปอีกระยะหนึ่ง จากนั้นได้ติดตามหลวงปู่สีทัตต์กลับมาจำพรรษาที่วัดท่าอุเทน เพื่อดำเนินการก่อสร้างพระธาตุท่าอุเทน เมื่อมีเวลาว่างท่านจะพาหลวงปู่สุภาและลูกศิษย์ออกธุดงค์แล้วกลับมาจำพรรษา ที่วัดท่าอุเทน จนกระทั่งสร้างพระธาตุท่าอุเทนเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่สุภาได้อยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงปู่ สีทัตต์ เป็นเวลานานถึง ๘ ปี

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๓ หลวงปู่สุภาได้กราบลาหลวงปู่สีทัตต์ เพื่อเดินทางธุดงค์วัตรและออกจากถ้ำภูเขาควาย เดินทางกลับตามที่หลวงปู่สีทัตต์แนะนำ และ หลวงปู่สีทัตต์ท่านยังได้บอกว่าท่านจะได้พบกับอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่ง หลวง ปู่สุภาออกเดินทางไปตามเส้นทางที่หลวงปู่สีทัตต์แนะนำ เมื่อถึงจังหวัดหนองคายก็ออกธุดงค์เข้ากรุงเทพฯ เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ท่านได้สอบถามพระเกจิอาจารย์ที่เก่งทางด้านวิปัสสนากรรมฐานด้านพุทธาคม มีคนเล่าลือว่า อาจารย์ศุข (หลวงปู่ศุข) อยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ท่านจึงได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ จนมาถึงอำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท เมื่อมาถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านได้คลานเข้าไปกราบหลวงปู่ศุข ซึ่งขณะนั้น หลวงปู่ศุข ท่านทราบแล้วว่าจะมีพระภิกษุมาจากประเทศลาว หลวงปู่ศุขจึงถามท่านว่ามาจากประเทศลาวใช่หรือไม่? ท่านจึงตอบและกราบเรียนหลวงปู่ศุขว่า ท่านมีความประสงค์ที่จะมาศึกษาด้านวิปัสสนากรรมฐานและวิชาอาคม หลวงปู่ศุข จึงรับไว้เป็นศิษย์ หลวงปู่สุภาได้ศึกษาวิชาต่าง ๆ จากหลวงปู่ศุขเป็นเวลา ๓ ปี หลวงปู่ศุขได้ถ่ายทอดวิชาด้วยความเมตตาต่อลูกศิษย์เป็นอย่างมาก ถึงแม้ หลวงปู่สุภาจะบวชเป็นพระภิกษุนานถึง ๔ พรรษาแล้วก็ตาม แต่หลวงปู่ศุขก็ยังเรียกท่านว่า “เณรน้อย” ในขณะที่หลวงปู่สุภาได้มอบตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข ท่านมีอายุมากแล้ว แต่ท่านยังปฏิบัติธรรมและนั่งสมาธิเป็นเวลานาน ๆ ทุกวัน หลวงปู่สุภาให้ความเคารพนับถือหลวงปู่ศุขเป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่ศุขจึงนับเป็นพระอาจารย์องค์ที่สองของท่านต่อจากหลวงปู่สีทัตต์

    ในเรื่องเกี่ยวกับวิทยาคม หลวงปู่ศุขได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาต่าง ๆ ให้กับหลวงปู่สุภา เมื่อหลวงปู่ศุขนั่งกรรมฐาน หลวงปู่สุภาท่านก็นั่งด้วย หากติดขัดปัญหาธรรมก็ไปกราบเรียนถามท่านก็เมตตาแนะนำให้ทุกครั้ง ท่านจะปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วให้ลูกศิษย์ศึกษาทำความเข้าใจ หลวงปู่สุภาท่านค่อย ๆ ศึกษาดูว่าหลวงปู่ศุข ทำอย่างไร? ในเวลาที่ท่านปลุกเสกวัตถุมงคลก็ไปคอยสังเกต พระคาถาต่าง ๆ หลวงปู่ศุขก็สอนให้บ้าง จดจำเองบ้าง และไปขอท่านบ้าง แต่อย่างไรก็ตามไม่มีลูกศิษย์คนใดจะปฏิบัติจนบรรลุได้เหมือน หลวงปู่ศุขบางครั้งเวลาลงยันต์ทำตะกรุดต้องลงไปทำในใต้น้ำไม่มีใครเห็น จะเห็นก็ต่อเมื่อตอนท่านขึ้นจากน้ำแล้ว

    หลวงปู่สุภาท่านศึกษาวิทยาคมจากการอ่านตำราที่ท่านจดเขียนไว้บ้าง ดูจากกรรมวิธีที่หลวงปู่ศุขทำให้ดูบ้าง เรียนถามท่านบ้าง ท่านก็แนะนำให้พอสมควร ใครสนใจมากก็ได้มาก ใครไม่สนใจก็ไม่ได้เลย แต่ส่วนใหญ่หลวงปู่ศุขท่านจะเน้นเรื่องการรักษาศีลและการปฏิบัติมากกว่า เพราะท่านสอนว่าถ้าศีลบริสุทธิ์ คุณวิเศษจะมีมาเอง หลวงปู่สุภาได้ศึกษาธรรมและวิทยาคมต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะความรู้ในทางธรรมและวิทยาคมต่าง ๆ ในครั้งนั้นมีพระภิกษุไปปฏิบัติธรรมและเรียนวิชาอยู่กับหลวงปู่ศุขด้วยกันหลายสิบรูป ซึ่งปัจจุบันมรณภาพกันไปหมดแล้ว เท่าที่ทราบในเวลานี้มีเพียงหลวงปู่สุภาเพียงรูปเดียวในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกันที่ยังมีชีวิตอยู่นับถึง


    ล่าสุดได้มาสร้างวัดแห่งหนึ่งและได้รับพระราชทาน นามจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า วัดสีลสุภาราม และหลวงปู่สุภายอมรับเป็นเจ้าอาวาสเป็นวัดแรกในชีวิต

    หลวงปู่สุภา นับเป็นตัวอย่างของการปฏิบัติอยู่ในความเพียร ความวิริยะ อุตสาหะ ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม แม้วัยล่วงเลยมากว่าหนึ่งศตวรรษ แต่หลวงปู่สุภาไม่เคยย่อท้อในชีวิตของท่าน มีแต่คำว่าให้และสร้างทุกอย่างสำเร็จ ด้วยเมตตาบารมีธรรมของท่าน

    ขอบคุณที่มา : http://www.phuket-it.com
    กัลยาณธรรมท่านใดต้องการอ่านประวัติหลวงปู่แบบละเอียด ใ้ห้อ่านได้ที่ คลิก
     
  17. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    หลวงพ่อธุดงค์ ตอน... ปักกลดที่เขาชอนเดื่อ

    [​IMG]

    ปักกลดที่เขาชอนเดื่อ

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ เมื่อพักอยู่ที่พระพุทธบาทแล้ว หลวงพ่อปานก็นำย้ายกลดมาที่เขาวงพระจันทร์ขึ้นไปปักกลดกันอยู่บนยอดเขา เวลานั้นบันไดก็ไม่มี ต้องเดินแบกกลดบุกป่าขึ้นไปบนยอดเขา ไปตามทางที่เขามีอยู่บ้าง ไม่ใช่ทางบ้าง ไต่เขาขึ้นไป พอถึงยอดเขาก็ปักกลด การปักกลดก็ทำตามปกติ

    หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ที่เขาวงพระจันทร์นี้มีพระบรมสารีริกธาตุ วันนี้ ถ้าพวกเธอปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นที่พอใจของพระพุทธเจ้า พวกเธอจะเห็นพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าองค์ไหนปฏิบัติไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ควร จะมองไม่เห็น

    เมื่อถึงเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้ห่วงเรื่องการกินข้าวกินปลากับใคร เพราะถือว่าเรากินกับเทวดาได้ บนยอดเขาใครจะไปใส่ (เวลานั้นบ้านอยู่บนยอดเขาไม่มี เชิงเขาก็ไม่มี อยู่ไกล) พอขึ้นไปปักกลดเสร็จ มีบ่อน้ำอยู่ไปอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งพิงโคนต้นไม้ ซึ่งมันร่มดีและก็เย็นสบาย ๆ นั่งหลับตาเจริญภาวนา นึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อย่าลืมว่าการธุดงค์ จิตจะต้องวางนิวรณ์ทั้งหมด มันมี แต่ว่าจงทำเหมือนคนไม่มีนิวรณ์ นั่นคือ ไม่นึกถึงมัน ไม่สนใจในมัน และประการที่ ๒ การไล่เบี้ยฌาน เข้าฌาน ๑ ,๒ ,๓ ,๔ ,๕ ,๖ ,๗ ,๘ ,๘ ,๗ ,๖ ,๕ ไล่มา ไล่ไปไล่มา ไล่มาไล่ไปให้มันคล่อง มันเพลินในฌาน หลังจากนั้นก็ใช้ทิพพจักขุญาณ บางจุดใช้ทิพพจักขุญาณบ้าง จุตูปปาตญาณบ้าง ญาณ ๘ ประการ ใช้ให้มันคล่อง ให้มันเพลินอยู่ในฌาน เพลินอยู่ในญาณ ไม่ใช่ไปชมต้นไม้ต้นไร่

    พอถึงที่สบายใจ ลืมตาขึ้นมา เห็นใบไม้มีสภาพไม่เสมอกัน ใบไม้หล่นมา ก็คิดในใจว่าใบไม้นี่ เมื่อก่อนจะเกิด มันก็ผลิเป็นตุ่มเล็ก ๆ เหมือนกับคนเหมือนกับเด็ก ที่เราเกิดมาเป็นเด็ก ต่อมาก็ค่อย ๆ โตขึ้นมาเต็มที่ เป็นหนุ่มเป็นสาวใบก็เขียว ต่อไปใบก็เริ่มเหี่ยว และก็แห้งเหมือนกับคนแก่ในที่สุดหลุด ก็คือตาย เหมือนกับคนตาย เปรียบเทียบกับร่างกายของเราอันนี้เป็นวิปัสสนาญาณ ใช้กับต้นไม้ ใช้กับบ่อน้ำ ใช้กับอะไรทุกอย่าง มองเห็นทุกอย่างเป็นวิปัสสนาญาณ จิตก็เป็นสมาธิ สมาธิไม่ใช่ไปนั่งเข้าฌานกันอยู่ตลอดเวลา

    สมาธิต้องทรงตัว วิปัสสนาญาณต้องทรงตัว พรหมวิหาร ๔ ต้องทรงตัว ต้องระงับนิวรณ์ ๕ ประการทรงตัว จิตมีการคล่องในสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการ (คำว่า คล่อง คือว่ามีความเข้าใจในสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการทั้งหมด) ถึงแม้ว่าเราจะยังตัดไม่ได้ แต่ก็ต้องคล่องก็หมายความว่า สักกายทิฏฐิอย่างต่ำคือ นึกว่าตาย อย่างกลางคือ นึกว่าร่างกายมันจะต้องตายและก็สกปรก มีชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความสกปรก อย่างสุงสุดคือร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา โดยมากก็จะใช้ข้อสุดท้าย กับข้อที่ ๒

    ต่อจากนั้นไปก็ความมั่นใจในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์และระงับอารมณ์ของกามคุณ ระงับอารมณ์ของโทสะ เล่นฌานให้คล่อง แต่ไม่ติดในฌานไม่มีการถือตัวว่าคนกับคน คนเหมือนคน คนเท่าคน เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน จิตไม่ฟุ้งซ่าน คือ จิตหวังคิดว่าเวลานี้เราตาย เราไปนิพพานกันแน่ เราไม่ต้องการ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เราต้องการเฉพาะนิพพานจุดเดียว

    แล้วก็เดินไปเดินมา หลวงพ่อปานท่านก็ปล่อยตามอัธยาศัย พอเดินเข้าไปในป่ามันเป็นป่ารกชัฏ ตอนนี้ก็ไปเจอะพระองค์หนึ่ง เวลานั้นเวลาประมาณบ่ายสัก ๒ โมง ท่านกำลังนั่งฉันข้าวอยู่องค์เดียวและกับข้าวมีมากเหลือเกินมีแกงเป็ด มีแกงไก่ มีแกงหมู โอ๊ย.จิปาถะ กินสัก ๑๐ คนก็ไม่หมด ท่านนั่งฉันตุ้ย ๆ อายุมากแล้ว อายุประมาณสัก ๔๐ เศษ ๆ อ้วน ๆ ผิวดำ ๆ พอเข้าไปใกล้ท่าน ก็ยกมือไหว้ท่านถามว่า หลวงพ่อขอรับ เพิ่งฉันเช้าหรือขอรับ ท่านบอก เออ..ข้ากินแต่เช้าว่ะ มันยังไม่อิ่ม ข้าก็กินเรื่อยไป ก็ถือว่าข้ากินข้าวเช้า ก็ถามว่าหลวงพ่ออยู่วัดไหนขอรับ

    ท่านบอกว่า เดิมทีเดียวท่านอยู่ที่จังหวัดอยุธยา แต่ว่าเวลานี้ไม่ได้อยู่ที่นั่นเสียแล้วออกมาจากวัด หาวัดอยู่ไม่ได้ ข้าก็อยู่ตามป่าตามดง ถามว่า หลวงพ่อขอรับ กับข้าวประเภทนี้หลวงพ่อไปนำมาจากไหน มีหมูเห็ด เป็ดไก่ มากมาย ท่านก็บอก เอ็งก็ดูเอาสิ (คำว่า เอ็งก็ดูเอาสิ นั่นหมายความว่าต้องใช้ทิพพจักขุญาณ) ก็เลยใช้กำลังใจเป็นทิพพจักขุญาณ

    พอใช้กำลังใจเป็นทิพพจักขุญาณเท่านั้นแหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท หลวงพ่อองค์นั้นกลายเป็นพรหม เป็นพรหมชั้นสูงมาก เป็นพรหมชั้นพระอรหัตมรรค เป็นพรหมชั้นที่ ๑๖ และกับข้าวทุกอย่างนี่ไม่มีอะไรเป็นของจริง ไอ้หมูเห็ด เป็ดไก่ใบไม้ทั้งนั้น

    พอเห็นภาพอย่างนั้น ก็ถามท่านบอกว่า ขอประทานอภัยครับ หลวงพ่อเป็นพรหมใช่ไหม ท่านบอก เออ..ใช่ ถามว่า หลวงพ่อมาเพื่ออะไร ท่านก็บอกว่า ก็มาเยี่ยมพวกเอ็ง ข้าเห็นว่าพวกเอ็งยังไม่ว่าง ข้าก็เลยมานั่งกินข้าวที่นี่ ก็เลยบอกว่า กับข้าวแบบนี้ ชาวบ้านเขาไม่กินกันหรอกขอรับ เพราะว่าเป็นใบไม้บ้าง เป็นท่อนไม้บ้าง ท่านบอก เออ..มันก็ไม่เป็นอาบัติ ถามว่า พรหมยังต้องกินข้าวหรือ ท่านบอก ไม่กิน (แต่ท่านก็ยังไม่แสดงอาการกายเป็นพรหม) ถามว่า ท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๑๖ ใช่ไหม ท่านบอกว่าใช่ ตามความรู้สึกเวลานั้นว่าท่านเป็นพระอรหัตมรรค ก็ถามว่าท่านเป็นพระอรหันต์หรือยังครับ ท่านบอก ยังแค่มรรคอยู่ยังไม่ใช่ผล ถามว่า ท่านตายจากคนไปกี่ปี ท่านบอกว่าประมาณ ๔๐๐ ปีเศษ ๆ และถามท่านว่าการที่มาเยี่ยม มีความประสงค์อะไร ท่านก็ตอบบอกว่า มาสงเคราะห์พวกเธอ พวกเธอมาดีมาหวังดีและเดินไปทุกทางที่ไหน ก็ใช้กำลังวิปัสสนาญาณด้วย มีสมาธิด้วย มีศีลด้วย มีพรหมวิหาร ๔ ด้วย กำลังใจตัดสังโยชน์ด้วย อย่างนี้ดีมาก

    ถามท่านว่าอย่างพวกผมนี่จะไปนิพพานชาตินี้ได้ไหม ท่านก็ตอบว่าการถามแบบนั้นเป็นการถามของคนโง่ คนฉลาดจะไม่ถามกัน เพราะว่าการจะไปนิพพานหรือไม่ไปนิพพานไม่ใช่คำพยากรณ์ของใคร มันเป็นเรื่องของการปฏิบัติถูกเท่านั้น เลยถามท่านบอกว่า เวลาที่ปฏิบัติเวลานี้ถูกหรือยัง ท่านบอกว่า ถูกแล้ว แต่ความเข้มข้นของจิตใจน้อยไปหน่อย ถามว่าขี้เกียจเกินไปใช่ไหม ท่านบอกว่า ไม่ใช่ การขยันเกินไปเป็นของไม่ดี จิตต้องปล่อยไปตามอารมณ์มันบ้าง อย่างบังคับอย่างเดียว อย่าบังคับให้อยู่เฉพาะกำลังฌาน อย่าบังคับให้อยู่เฉพาะกำลังวิปัสสนาญาณ บางครั้งก็ดูต้นไม้ ดูใบไม้ ดูดอกไม้ ที่มันแกว่งไปแกว่งมาตามกระแสลม สร้างความเพลิดเพลินตามปกติเสียบ้าง จิตจะได้ไม่เครียด หลังจากนั้นแล้ว ก็จับสิ่งที่เราเห็น เป็นวิปัสสนาญาณ

    ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า ที่นี่มันเป็นป่า ไปเที่ยวบ้านฉันไหม ก็บอกว่า ไป พอบอกไป ท่านบอก เอ้าไปกันได้แล้ว ๓ องค์ ก็เลยไปกันทันที การไปก็ไม่มีอะไรมากไปด้วยอานุภาพของท่าน พอท่านบอกไปได้ละ ก็ถึงเลย ไม่เห็นอะไรข้าง ๆ เลย พอไปถึงเข้าท่านสวยสดงดงามมาก ท่านก็บอกว่า เดิมฉันอยู่ที่จังหวัดอยุธยา ตายมา ๔๐๐ ปีเศษ ฉันชื่อ สิงห์ เวลานี้เป็นพระอนาคามี

    ท่านก็ชี้มาที่อาตมา ท่านบอกว่า ฉันเคยเป็นพ่อเธอมาหลายชาติ เมื่อเธอปฏิบัติอย่างนี้ เป็นที่ชอบใจของฉัน เธอจะไม่กลับถอยหลังอีก คำว่าถอยหลังไปเกิดเป็นมนุษย์จะไม่กลับไปอีก ขอให้ตั้งใจตรงเฉพาะนิพพานเข้าไว้แล้วท่านก็พาชมสหัมบดีพรหม ในเขตสหัมบดีพรหมทั้งหมดกว้างใหญ่ไพศาลมาก น่าอยู่ น่าเลื่อมใส ท่านถามว่าชอบใจไหม ก็บอกว่าดินแดนของพรหมนี่ชอบใจ แต่ว่าก็ไม่เคยคิดจะอยู่พรหม อยากจะไปนิพพาน ท่านก็ให้แหงนหน้าขึ้นไปดู เห็นนิพพานอยู่สภาพใกล้นิดเดียว ท่านก็พาไปที่นิพพาน ท่านบอกนี่วิมานของเธอ วิมานใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ เพราะการก่อสร้างของเธอทุกชาติ เธอสั่งสมบารมีมามาก เธอเคยพบพระพุทธเจ้ามาหลายองค์ จำวิมานของเธอไว้

    เวลาที่ใช้กำลังฌานสมาบัติ ก่อนจะใช้กำลังฌานสมาบัติ ใช้พรหมวิหาร ๔ ก่อน และใช้กำลังวิปัสสนาญาณให้ถึงที่สุด คือไม่ต้องการภพทั้ง ๓ มนุษยโลก เทวโลก และพรหมโลก ต้องการนิพพาน ให้ใจมันแน่วแน่และตรงดิ่งมาที่นี่ทันที มานั่ง มานอนเล่นให้มันสบายเสียก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยไปเที่ยวที่อื่น จะไปที่ไหนก็ได้ ก่อนจะหลับมาหลับที่นิพพาน อธิษฐานเวลาตื่นเข้าไว้ว่าเวลาเท่านั้นเท่านี้เราจะลงมา จงทำอย่างนี้ทุกวัน อารมณ์จะชิน เมื่ออารมณ์ชินแบบนี้ สังขารุเปกขาญาณมันจะเกิดขึ้น เป็นวิธีง่าย ๆ และเวลาตายจริง ๆ มันก็จะตรงมาที่นี่

    ก็เลยบอกท่านบอกว่าเวลานี้ผมปรารถนาพุทธภูมิ ท่านบอกว่าไม่มีความหมายเวลานี้เธอจงทำตามแบบพุทธภูมิไปเถอะ แต่เมื่ออายุ ๔๐ ปีเศษ ต้องลาพุทธภูมิ เพราะเวลานั้นจะเกิดมีการผันผวนในด้านพระศาสนาเกิดขึ้นมามาก แต่ก็ไม่ใช่มีใครเขาทำผิดทุกสำนักทำถูกหมด แต่ถูกเล็กหรือถูกใหญ่ ถูกหมดหรือไม่หมดเท่านั้น ถูกครบหรือไม่ครบทุกสำนักเขาก็ทำถูก อย่าไปว่าเขาทำผิด เพียงแค่ใจเขานึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ถือว่า ทำถูกแล้ว แต่กำลังยังอ่อนเกินไป เขาต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ และคนของเธอ เมื่อสมัยที่เธอเกิดในสมัยก่อน ๆ เธอเคยเป็นกษัตริย์บ้าง เป็นแม่ทัพบ้าง เป็นรองแม่ทัพบ้าง เป็นพ่อเมืองบ้างอย่างนี้ คนที่เขาช่วยเธอมีมาก เพราะเธอปรารถนาพุทธภูมิ พุทธภูมินี่เธอปรารถนามานานแล้ว แต่ว่าชาตินี้ต้องลาพุทธภูมิ ช่วยพระศาสนา ช่วยเฉพาะในกลุ่มของเรา ไม่ใช่คนอื่น คนอื่นจะสอนเขาไม่ได้ เขาจะไม่จำ ในเมื่อเขาไม่จำ ก็ไม่เกิดประโยชน์ คนอื่นช่างเขา เขาจำหรือไม่จำก็ช่าง เอาแต่คนของเราและเธอก็จะสามารถขนคนพวกนั้นมานิพพานได้ไม่น้อยกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เหลือจากนั้นอีกเล็กน้อย เขาจะอยู่บนสวรรค์บ้าง ไปพรหมโลกบ้าง และต่อไปเขาก็จะไปนิพพาน เมื่อคุยกับท่านเสร็จ ท่านก็พาเที่ยวบริเวณของนิพพาน ท่านก็ชี้วิมานของแต่ละบุคคล องค์นั้นวิมานอยู่ตรงนี้ องค์นี้วิมานอยู่ตรงนี้ วิมานมีแล้วทั้งหมด

    ก็รวมความว่า เวลานั้นก็เลยรู้สึกตัวว่า เอ๊ะ..เรามีวิมานที่นิพพาน การเป็นพระพุทธเจ้าก็มานิพพาน ปรารถนาพุทธภูมิก็มานิพพาน ปรารถนาสาวกภูมิก็มานิพพาน ในฐานะที่หลวงพ่อปานท่านแนะนำ ท่านชวนให้ปรารถนาพุทธภูมิ ก็ขอปฏิบัติตามสายพุทธภูมิก่อน แต่ว่าที่หลวงพ่อเนียมสั่งว่า สังโยชน์ ๑๐ ประการต้องคล่องตัว ก็ต้องทำด้วยเหมือนกันก็เป็นอันว่าหลวงพ่อเนียมก็ดี หลวงพ่อโหน่งก็ดี หลวงพ่อปานก็ดี ท่านรู้ดีว่ามีความจำเป็นเรื่องการกำจัดสังโยชน์ ๑๐ ประการ

    และการกำจัด ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะตัดได้ขาด มีความจำเป็นต้องยับยั้งอารมณ์ของสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการ คือ สักกายทิฏฐิที่มีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา ต้องยับยั้งทิ้งไว้เสีย คิดว่ามันเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ เข้ามาผสมกัน มีอาการ ๓๒ ไม่ช้ามันก็ตาย เราไม่เป็นอรหันต์ก็ช่าง เรายอมเคารพนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ยับยั้งในกามารมณ์ ยังยั้งในความโกรธ ไม่หลงในรูปฌานและอรูปฌาน ไม่ถือตัวตัวตนแม้แต่กับหมาเราก็เล่นได้ หมาเล่นกับเรา เราก็เล่นกับหมา หมาตะกายหลังตะกายหน้าก็ปล่อยตามใจหมา เราไม่ถือตัวไม่ถือตน และอารมณ์เราก็ไม่ฟุ้งซ่านหวังนิพพานไปที่เดียว และเราก็ไม่เห็นว่าพรหมโลก เทวโลก มนุษยโลกดี เราเห็นนิพพานดี เอากันแค่เป็นประเพณีนิยมหรือประจำใจ จะเป็นอรหันต์หรือไม่ ไม่สำคัญ

    หลังจากนั้น เมื่อท่านพาเสร็จจบ ท่านก็บอกว่าเวลานี้มันสว่างแล้ว (ขึ้นไปตั้งแต่บ่าย ๓ โมงเย็น ไปพักเดียว ท่านบอกว่า สว่างแล้ว)? เดี๋ยวหลวงพ่อปานจะคอย แต่ว่าหลวงพ่อปานท่านรู้นะว่ามากับฉันไม่ใช่ท่านไม่รู้ ก็กลับลงมาที่เดิมพอเข้ากลด ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อปานเคาะกระดิ่งเล็ก ๆ เป็นสัญญาณบอกให้ออกมาบิณฑบาต ก็นุ่งสบงทรงจีวรตามปกติออกบิณฑบาต พอถือบาตรออกจากกลดก็ปรากฏว่ามีคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คนแก่มากนั่งเป็น ๒ แถวเรียงรายกัน ก็เดินบิณฑบาตตรงกลาง แต่ข้าวที่เอามาเหมือนกันหมด คือข้าวสีเหลืองน้อย ๆ มีดอกไม้คนละดอกใส่บาตร

    ก็เป็นอันว่า วันนั้นกินข้าวเทวดากับนางฟ้า พอท่านใส่บาตรกันเสร็จ หลวงพ่อปานก็ให้พรว่า เอวัง โหตุ (เป็นพรของพระสมัยโบราณที่ท่านให้กัน) ทุกท่านก็กราบ ท่านหัวหน้าท่านบอกว่าผมดีใจมากที่พวกท่านมาโปรดเพราะกำลังต่อนี้ไปแสงสว่างร่างกายผมจะมีมากขึ้น และอีกองค์หนึ่งที่รองจากหัวหน้า ท่านบอกว่า ทั้ง ๓ องค์นี่เพิ่งกลับจากนิพพานใช่ไหมก็ตอบว่า ใช่ ท่านบอกก็ดีแล้ว เพราะที่เป็นอย่างนี้ดีผมจึงมาใส่บาตร ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ผมก็ไม่มาใส่บาตร ท่านต้องเอาบาตรไปแขวนกับต้นไม้ จะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม จะมีเทวดากับนางฟ้ามาใส่บาตรเสมอ ถามท่านว่า ทั้งหมดท่านเป็นเทวดาบ้าง เป็นนางฟ้าบ้าง เป็นพรหมบ้าง ทำไมถึงไม่มาในรูปของเทวดา นางฟ้าหรือพรหม

    ท่านบอกมาในรูปเดิมนี้ดีกว่า เมื่อก่อนผมจะตายจากความเป็นคน ผมรูปร่างขนาดไหน อายุเท่าไร แก่ขนาดไหน หนุ่มขนาดไหน ผมมาตามนั้นดีกว่า มีความสบายใจกว่าดีกว่าที่ให้ท่านเห็นว่าศักดิ์ศรีของผมมันสูง และการแสดงตนเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ศักดิ์ศรีสูงมาก รูปร่างก็สวยเกินไป ไม่ดี หลังจากนั้นท่านก็ลากลับ

    หลังจากนั้น หลวงพ่อปานก็บอกว่า เรายังจะไม่ไปกัน เราจะค้างที่นี่อีก ๑ คืน พอตกเวลากลางคืน หลวงพ่อปานก็เรียกเข้าประชุม เวลาประชุมก็ไม่มีการอธิบายอะไร บอกทุกคนเริ่มเจริญภาวนา จับพุทธานุสสติเป็นอารมณ์โดยเฉพาะ ไม่เอาอย่างอื่น พอเริ่มทำเท่านั้นแหละ ปรากฏว่า พระบรมสารีริกธาตุองค์โตกว่าบาตรตั้งเยอะ เป็นดาวสว่างจัดขึ้นมาจากเขาวงพระจันทร์ ขึ้นมาจริง ๆ เวลานั้น ๗ ดวง แสงสว่างมาก ท่านก็ลอยนิ่งสูงขึ้นไปประมาณสัก ๒-๓ เท่ายอดไม้ แสงสว่างจัด ในที่สุดก็กลับลงมา กลับลงมาก็หายเข้าที่เดิม หลวงพ่อปานก็ลืมตา ท่านถามว่า ทุกองค์เห็นพระบรมสารีริกธาตุไหม ก็ตอบท่านว่า เห็น ท่านถามว่ากี่องค์ บอกว่า ๗ องค์ หลวงพ่อปานบอก ใช่ ใช้ได้ ๆ ครบ สมาธิดีวิปัสสนาญาณดี

    หลังจากนั้นตอนเช้าหลวงพ่อปานก็ชวนกันถอนกลด เดินทางต่อไปมันเป็นในป่า ท่านก็ไม่ได้บอกว่าในป่ามันป่าอะไร ไม่ได้ถามท่านไม่มีความจำเป็น มันจะเป็นป่าอะไรก็ช่างเราก็เดินกันเรื่อย ๆ มา เวลาเดินมาเทวดาชั้นจาตุมหาราชท่านก็เดินมาด้วย พวกดาวดึงส์ก็มากันมาก ท่านก็ชี้ชมสถานที่ต่าง ๆ ในอดีต ชมบ้านชมเมืองในอดีต ชมสนามรบในอดีต ชมภาพของคนตายในอดีต (ชมคนอื่นไม่สำคัญเท่าชมตัวเอง เวลานั้นท่านเป็นไอ้นั่น เวลานี้ท่านเป็นไอ้นี่ ท่านมารบกับเขาตรงนี้ มาฆ่าตรงนี้ มาถูกห่าตายตรงนี้บ้าง มาฆ่าเขาตายตรงนี้บ้าง) ว่ากันเรื่อยไป ว่าอดีตเป็นชั้น ๆ เป็นสมัย ๆ หลายสมัย

    พอไปถึงใกล้เขาใหญ่ มาทราบตอนหลังนี้เขาเรียกว่าเขาชอนเดื่อ ถ้าเดินธรรมดา ๆ จากพระพุทธบาทมาชอนเดื่อถ้าจะใช้เวลา ๑ วัน น่ากลัวจะแย่เหมือนกัน ท่านเดินแบบสบาย ๆ รู้สึกว่าไม่เหนื่อยเป็นกำลังของหลวงพ่อปานบ้าง เทวดาท่านช่วยบ้าง

    พอถึงเขาชอนเดื่อ ท่านก็ปักกลดหน้าเขาชอนเดื่อ เวลานั้นก็ปรากฏว่ามีพระองค์หนึ่งอยู่ที่เขาชอนเดื่อ พระองค์นั้นท่านก็ออกมารับรอง ท่านรู้จักกับหลวงพ่อปานดีมาก เมื่อปักกลดเสร็จ พวกเราจะพัก เห็นท่านเข้าก็เข้าไปกราบท่าน ท่านเป็นพระมีอาวุโสแล้ว อายุประมาณ ๓๐ เศษ เกือบจะ ๔๐ พวกเราเพิ่ง ๒๐ กว่า ๆ นิดเดียว ท่านเห็นเข้า ท่านก็ชมว่าพระ ๓ องค์นี้ดี เก่งมากแต่ว่าก็ยังเก่งแค่หากินกับเทวดา (นี่ท่านรู้ด้วย)? หลวงพ่อปานก็ถามว่าท่านหากินกับเทวดาหรือท่านหุงข้าวกิน ท่านบอกผมไม่หุงข้าวกินด้วย ไม่หากินกับเทวดาด้วย ผมอยู่ด้วยกำลังของปีติ (คำว่า ปีติ คือ ความอิ่มใจ) หลวงพ่อปานถามว่า น้ำต้องฉันไหมท่านบอก น้ำต้องฉัน แต่ข้าวไม่ต้องฉัน ร่างกายท่านสมบูรณ์ ผิวเหลืองสวย หน้าตาดี

    หลวงพ่อปานถามว่า ท่านนิยมอะไร ศัพท์อย่างนี้พวกเราไม่เข้าใจกัน ท่านบอกว่าเวลานี้ท่านกำลังอยู่ในขั้นฌานโลกีย์ แต่ว่าทรงอภิญญา ๕ สามารถจะทำอะไรก็ได้ตามชอบใจ แต่ว่าสิ่งที่ไม่ทำอย่างเดียวก็คืออาหาร ไม่ทำอาหารมาเพื่อกิน อยู่ด้วยธรรมปีติพวกเราฟังแล้วก็ชื่นอกชื่นใจมาก ก็คิดในใจว่าคนที่อยู่ในธรรมปีตินี่อย่างน้อยต้องเป็นพระอรหันต์ แต่ความจริงไม่ใช่ แค่ฌานโลกีย์ แค่อภิญญาโลกีย์ก็สามารถทำได้

    แล้วต่อมาท่านก็คุยกับหลวงพ่อปาน ตามเรื่องตามราวของคนแก่อายุไล่เลี่ยกันหลวงพ่อปาน ๖๐ ปีเศษ ท่านก็ ๕๐ เกือบจะ ๖๐ อยู่แล้ว อายุใกล้กันมาก พวกเราก็มีหน้าที่นั่งฟัง แต่ที่ท่านคุยกันพวกเราไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ท่านคุยเรื่องไอ้นั่นมีที่นั่น ไอ้นี่มีที่นี่ โอ้โฮ..ท่านชี้ไปในหุบในเขา มีเหว มีทองคำ มีอะไรต่ออะไร มีผีมีสาง ท่านชี้ไปที่ไหน เราก็พลอยเห็นด้วย ท่านเก่งจริง ๆ


    ขอบคุณที่มา : หนังสือหลวงพ่อธุดงค์
     
  18. PORNPIMOL

    PORNPIMOL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2008
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +545
    สวัสดีค่ะพี่หญิง วันนี้หนิงโอนเงินไปให้ช่วง/20.11 จำนวน 1005 บาท ค่ะ ตอนนี้ลดน้ำหนักกลัวขึ้นเขาไม่ไหว 555555555555 พี่หญิงอย่าลืมจัดที่นั่งให้หนิงกะเจ๊โหน่งนั่งด้วยกันนะ ขอบคุณค่ะ
     
  19. rainrain31

    rainrain31 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +64
    สวัสดีค่ะ พี่หญิง โอนเงินให้เรียบร้อยแล้วนะคะ ๑,๐๐๐ บาท ทางเอทีเอ็ม
    เวลา ๑๔.๓๕ น.

    อนุโมทนากับทุก ๆ ท่านที่จะเดินทางร่วมบุญกันในทริป ๓ ด้วยค่ะ
     
  20. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    [​IMG]



    [​IMG]
    [​IMG]
    ขออนุโมทนา สาธุ ๆ
    กับท่านทั้งหลายที่ได้ร่วมทำบุญสร้างกุศลทุกอย่าง
    ในกาลนี้ด้วยครับ
    การสะสมบุญ คือ การสะสมความสุข
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2011

แชร์หน้านี้

Loading...