บันทึกของพระคุณลุงคนเชียงใหม่ถึงหลานๆ เรื่องภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ลุงคนเชียงใหม่, 21 ตุลาคม 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. rawats_99

    rawats_99 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,947
    เราไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวตายหรอกครับมันตายอยู่แล้วครับ...ที่จริงผมก็เตรียมอยู่บ้างเล็กน้อยไม่ต้องไป...ให้มันมากมายนัก..เพราะถ้าหากว่าเวลาเรามาถึง...หนีไม่พ้นหรอกครับ...มีใครหนีได้บ้างความตายน่ะ..ที่สำคัญขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ก็เร่งพัฒนายกระดับจิตกันดีกว่า..เืมื่อความตายมาถึงก็ไม่เสียดาย...ถามว่าที่ๆจะไปนั้นไม่เปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่..อาจจะไม่เจอภัยจากธรรมชาติแต่เจอภัยจากการแย่งกันกิน..โรคระบาด...ปล้น...:cool:ใครรู้บ้าง?
     
  2. ต้นที่สาม

    ต้นที่สาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +1,074
    อ้าวไปกันใหญ่
    การฆ่าตัวตายโดยมากมักเกิดจากโทสะ..
    (ยกบางกรณีออก เช่นสมัยพุทธกาลมีภิกษุที่ฆ่าตัวตาย
    ..แต่บางรูปบรรลุอรหันตมรรค อรหันตผลก่อน...)
    จิตดวงสุดท้ายดับลงพร้อมกับโทสะก็ไปเกิดในนรก


    "การฆ่าตัวตาย" ตามหลักทางพุทธศาสนาถือว่า เจตนาเท่านั้นเป็นกรรม คือ หากทำอันใดด้วยเจตนา จะปรารถนาดี หรือปรารถนาร้าย ถือว่า ต้องพร้อมด้วยเจตนา การฆ่าตัวตายของท่านไม่สำเร็จด้วยความพยายาม หรือด้วยความกลัวหากพยายามแล้ว แต่ไม่สำเร็จนั้น เจตนาของท่านถือว่า เป็นเจตนากรรม (คือทำด้วยความประสงค์) นั้นเป็นบาป
    หลักการฆ่าตัวตายอันถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์มีชีวิตให้ตายที่ทำแล้วเกิดผลตามแนวพุทธ ปาณาติบาตนั้นมีองค์ ๕ คือ
    ๑.ปาโณสัตว์มีชีวิต (ตัวเราก็เป็นสัตว์มีชีวิต)
    ๒.ปาณสญญิตาตนรู้ว่าสัตว์มีชีวิต (รู้ว่าตนเองมีชีวิต)
    ๓.วธกจิตตํมีจิตคิดจะฆ่า (ประสงค์ที่จะฆ่าตัวเอง)
    ๔.อุปกกโมมีความพยายาม (ลงมือฆ่าตัวเอง) และ
    ๕.เตนมรณํสัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น (ตัวตายตามประสงค์)
    ถ้าหากองค์ทั้ง ๕ สำเร็จครบทุกข้อ ถือว่าเจตนานั้นเป็นบาป และมีผลส่งถึงอนาคตหรือชาติต่อๆ ไป
    ผู้ป่วยเป็นโรคร้าย หรือโรคเรื้อรัง รักษาไม่หาย จึงฆ่าตัวตายหนีโรคร้าย เป็นบาป เพราะหนีการชดใช้กรรมฝ่ายอกุศล การฆ่าการทำร้ายร่างกายคน หรือสัตว์ เมื่อหมดกรมบาปจากนรกแล้ว (ในกรณีที่ตกนรก) มาเกิดเป็นคน จะมีโรคประจำตัว ส่วนจะเป็นโรคมาก โรคน้อย โรคร้ายแรง หรือไม่ร้ายแรง อยู่ที่ทำบาปมามากน้อยเพียงใด
    ทำให้เขาบาดเจ็บมากน้อย ทรมานเพียงใดเราก็ได้รับเพียงนั้น ครั้นถึงเวลาต้องชดใช้กรรมบาปต้องมีโรคร้ายติดตัวรักษาไม่หาย กลับฉลาด หนีกรรมบาป ด้วยการฆ่าตัวตายก็เหมือนผู้พิพากษาตัดสินความผิดให้ชดใช้กรรมบาปในคุก ๒๐ ปี หรือตลอดชีวิต แต่แหกคุกหนีออกมาได้ โทษเดิมก็ยังไม่หมด ต้องชดใช้ต่อไป แต่ต้องเพิ่มโทษใหม่ที่หนีการลงโทษให้ติดคุก
    กรณีการฆ่าตัวตายหนีโรคร้ายก็เช่นกัน กรรมเขาให้เกิดมาชดใช้กรรมบาป ที่ทำร้ายคนทำร้ายสัตว์ ความไม่รู้จึงหนี จึงต้องได้โทษเพิ่ม โทษเก่าก็ไม่หมดโทษใหม่ก็มา
    โทษเก่า คือ เมื่อเกิดมาใหม่ก็โรคร้ายหรือขี้โรคติดตัวตั้งแต่เด็ก หรือเล็กๆ เพราะเป็นคดีค้างเก่า
    โทษใหม่ คือ ฆ่าตัวตายหนีโรค ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายต่อไปอีก ๕๐๐ ชาติ หรืออีกหลายชาติ
    มนุษย์แม้จะยกย่องตัวเองว่า เป็นสัตว์ประเสริฐ มีสมองดีเลิศกว่าสัตว์ทั้งปวงในโลก แต่ในเรื่องฆ่าตัวตาย มนุษย์กลับกลายเป็นว่า เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มีสมองคิดเรื่องฆ่าตัวตาย ไม่อาจเปรียบเทียบกับเชื้อโรคเชื้อรา ที่มนุษย์พยายามหาวิธีการฆ่า ในขณะที่ตัวมันเองไม่ยอมตายง่ายๆ พยายามทุกวิถีทางที่จะปรับตัวเองพัฒนาตัวเอง จนในที่สุดยาปฏิชีวนะไม่สามารถทำลายมันได้อีกต่อไป
    ถ้ามองในมุมของการฆ่าตัวตาย มนุษย์ไม่น่าจะใช้คำว่าสัตว์ประเสริฐ สัตว์อื่นๆ (ยกเว้นมนุษย์) ต่างหากที่น่าจะเรียกตัวเองว่าสัตว์ประเสริฐ
     
  3. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,032
    เราว่าคุณคนเมืองเว้คงพูดออกจะติดประชดล้อเล่น อ่ะ ขำขำล่ะม้างงงง
     
  4. ปักษีทอง

    ปักษีทอง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +0
    ไปไหนไปกันนะ หาคุณวิกรม ก็ OK นะ ชวนกันเยอะๆนะ
     
  5. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    การที่ใครสักคนจะรอดจากภัยพิบัติอาจจะไม่ใช่เกิดจากการเตรียมสถานที่หลบภัยหรือเตรียอุปกรณ์และอาหารน้ำดื่มพร้อมครับ ในมุมมองของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปในเรื่องนี้

    ผมมองแค่เพียงว่าตัวเองต้องพร้อมที่จะตายได้ไม่ว่าจะว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตในปีสองปีนี้ แต่ขอตายอย่างมีสติโดยที่จิตใจประคองการระลึกถึงพุทธานุสสติได้ตลอดเวลาจนวาระสุดท้าย
     
  6. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    คนจำนวนหนึ่ง ที่ถูกเลือกให้รอด จากมหาภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึง เขามีหน้าที่เป็นเมล็ดพันธุ์ของมนุษย์ยุคหน้า

    [​IMG]

    แล้วมันก็มีการโปรแกรมลงใน ดีเอ็นเอ.เขา ก่อนจะออกมาหายใจนอกท้องแม่ว่า ต่อไป ต้องทำอย่างนี้ อย่างนั้น เป็นขั้นเป็นตอนมาเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่า รับรู้อยู่ภายในของตัวเอง

    ซึ่งแต่ละคนที่ถูกเลือก ก็จะมีหน้าที่ต่างๆ กันไป เขาทำของเขาเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก


    เช่น บางคนก็เป็นผู้ป่าวประกาศ ให้คนทั้งหลายเตรียมตัว บางคนก็เป็นผู้ระวังภัย บางคนก็เป็นคนจัดหาแหล่งที่อยู่ที่กิน บางคนก็เป็นหน่วยธุรการ จิปาถะ สารพัดหน้าที่

    ใครจะมาเกลี้ยกล่อมเป่าหูยังไง ให้พวกเขาเหล่านี้ ปลงตกกับความตาย หายใจทิ้งไปวันๆ เฝ้ารอวันโลกแตกดับ ทำชีวิตเหมือนกอสวะ ลอยเอื่อยๆ ไปตามน้ำ คนเหล่านี้เขาไม่ทำหรอก<!-- google_ad_section_end -->

     
  7. danmra

    danmra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +80
    ถ้าคุณกำลังขับรถไปตามถนน อยู่ๆก็มีคนตะโกนว่า "คุณอีก10เมตรข้างหน้ามีตะปูโรยเต็มถนน " คุณจะทำอย่างไร ระว่าง
    1.ไม่สนใจขับลุยไปเลย
    2.สนใจแต่ไม่เตรียมอะไรไปเลย ขับไปงั้นๆ
    3.สนใจ จอด เตรียมแม่แรง เช็คล้อสำรอง เตรีมไม้กวาดไว้กวาด เผื่อไว้ เป็นต้น

    แล้วผมจะเข้ามาตอบอีกครั้งนะครับ
     
  8. คนเมืองเว้

    คนเมืองเว้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +8
    รถที่มีระบบยางรถชนิดที่ใช้ในการแข่งขัน
    ในปาริส-ดาการ์ที่มีระบบะยางและสูบยางอัตโนมัติ
    ก็ไม่น่าวิตกกังวลครับ

    ร่างกายและจิตเราทำอะไรได้มากกว่านั้นแน่นอนครับ
     
  9. danmra

    danmra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +80

    ครับ ผม แต่ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันล่ะครับ
     
  10. SiamK

    SiamK Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +54
    ชะลอรถครับ แล้วก็มองจุดที่ตะปูโรย จากนั้นจัดการเก็บตะปูครับ เปิดไฟขอทางด้วยนะครับเดี๋ยวคันหลังชนเอา ^^
     
  11. ชัยธนันท์

    ชัยธนันท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    859
    ค่าพลัง:
    +1,488
    เออจริงสิน่ะ ก็พวกสัตว์ทั้งหลายเกิดมามีสัญชาติญาณเลยครับเช่น หมา แมว พอพวกมันโตมันก็พร้อมเป็นพ่อ เป็นแม่ดูแลลูกๆไม่เห็นมีใครมาช่วย เหมือนมนุษย์เลย ผมขอสนับสนุนความคิดคุณ พนมกุเลนครับ
     
  12. คนเมืองเว้

    คนเมืองเว้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +8
    ตาปูเรือใบอยู่ใต้น้ำ
    วิบากกรรมซ่อนซ้ำใต้้เงาของเจ้ากรรมนายเวร
    น่าจะตามไปเก็บกวดยากถ้ายังไม่เกิดการอโหสิกรรม
     
  13. ต้นที่สาม

    ต้นที่สาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +1,074
    พระพุทธเจ้าได้นำทางไปสู่ทางเดินที่ว่า
    มนุษย์เกิดมาแต่กรรมเดิมที่ เหนี่ยวนำให้มาสู่การเกิด
    แต่พระองค์เป็นตัวอย่างแห่งการไม่สยบยอมต่อ
    อะไรก็ตามที่จะมากำหนดชีวิตให้จบลงอย่างไร

    พระองค์ทรงสั่งสอนให้เลือกกระทำกรรมใหม่
    และสามารถนำไปสู่การหลุดพ้นจากวัฎสังสาร
    หรือไม่กลับมาเกี่ยวข้องกับการเกิดในรูปแบบที่กรรม
    เป็นตัวกำหนด
    พระองค์คุลิมาร เป็นตัวอย่างของมนุษย์
    ที่ไม่สยบยอมต่ออะไรก็ตามที่มากำหนดชีวิต
    ศาสนาพุทธแหวกม่านความเชื่อของศาสนาพราห์ม
    ที่บอกว่าชีวิตทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่า คน สัตว์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เทพเจ้าได้
    กำหนดมาไว้แล้ว คำสอนที่เอ่ยถึงเทพพรหมต่างๆแสดงว่ามีจริง

    แต่หัวใจอยู่ที่...........................................
    พระพุทธเจ้าได้สอนแนวทางที่ให้สามารถก้าวพ้นขอบบ่อ
    ที่บอกว่าอะไรก็ตามที่มากำหนดให้ต้องยอมรับโชคชะตาที่ส่งมาให้เกิด
    และทรงสั่งสอนเสมอว่า มนุษย์เป็นภพภูมิเดียวที่สามารถ
    สร้างกรรมใหม่ของตนได้ เลือกแดนเกิดของตนได้
    ถ้ายังไม่สามารถก้าวพ้นขอบบ่อแห่งห้วงกรรม
    หรือแม้แต่การก้าวพ้นขอบบ่อ โดยการบรรลุอรหันต์

    ++++++++++++++++++++++++++++
    ส่วนคำว่า "อรหัต" อ่านว่า “อะ-ระ-หัด” หรือ “ออ-ระ-หัด” เจ้าคุณทองดี ได้ให้ความหมายไว้ว่า ความเป็นพระอรหันต์ ความสำเร็จเป็นพระอรหันต์
    อรหัต หมายถึง ธรรมที่พระอรหันต์ได้บรรลุ คือ พระนิพพาน เรียกเต็มว่า พระอรหัต หรือ พระอรหัตผล
    คำว่า อรหัต กับคำว่า พระอรหันต์ มีความหมายต่างกัน คือ อรหัต เป็นชื่อของคุณธรรม ส่วน อรหันต์ เป็นชื่อของบุคคลผู้บรรลุอรหัต
    ในขณะที่คำว่า "อรหันต์" อ่านว่า “อะ-ระ-หัน” หรือ “ออ-ระ-หัน” เจ้าคุณทองดี ได้ให้ความหมายไว้ว่า ผู้ห่างไกลจากกิเลสแล้ว ผู้หักกำของวงล้อสังสารวัฏได้แล้ว ผู้ควรแก่ปัจจัย ผู้ไม่มีความลับในเรื่องการทำบาป
    อรหันต์ หมายถึง ผู้บรรลุอรหัตผลแล้ว ผู้สิ้นกิเลสแล้ว เรียกเต็มว่า พระอรหันต์ ในคำไทยเรียกตามเสียงบาลีว่า พระอรหัง ก็มี
    คำว่า อรหัต กับ อรหันต์ มักใช้สับกัน เช่น ใช้ว่า
    “เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า พระเถระก็ได้บรรลุพระอรหันต์”
    +++++++++++++++++++++++++++++
    ผมไม่แน่ใจว่าคนที่สยบยอม ก็คือผู้ลังเลสงสัย
    ต่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    หรือไม่ อันนี้ผมไม่แน่ใจครับ
    แต่ผมคนหนึ่งครับเลือกที่จะเดินตามทาง
    กบถ ไม่สยบยอมแก่ พระเจ้าหรืออะไรก็ตามที่มากำหนด
    ชีวิตในวัฎสังสารให้เป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ตามแนวทางที่พระพุทธองค์ได้
    สั่งสอนและเดินนำทางไปแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2011
  14. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
    องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
    แสงสว่างที่ปลายทางรอด : พลังพีระมิด
    เรียบเรียงโดย จีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ
    9 พฤศจิกายน 2554


    องค์ความรู้ ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นในปลายปี พ.ศ. 2555 นั้น มีรายละเอียดแทบทุกอย่างเหมือนกับความรู้ที่ปรากฏอยู่ในกระทู้ของคุณลุงคน เชียงใหม่ ในเว็บพลังจิต (http://palungjit.org/บันทึกของพระคุณลุงคนเชียงใหม่ถึงหลานๆ-เรื่องภัยพิบัติ-311084.html) ซึ่งให้ข้อมูลโดย “คุณวิกรม หลานของพระคุณลุง” และหลายท่านคงพร้อมที่จะเชื่อ เพื่อรักษาชีวิตของตนเองและครอบครัว ฉะนั้น หากมีความเชื่อแล้วควรเจาะลึกลงไปในหลายๆ รายละเอียด หาข้อมูล เหตุ และผล ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลาย ของแต่ละเหตุการณ์อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ

    องค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้กล่าวถึงมหันตภัยโลกครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ว่า เป็นปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลก ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อเวียนมาครบรอบ 13,000 ปี นั่นหมายความว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไปประมาณ 13,000 ปี โลกเราจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกายภาพใหม่กันอีกครั้ง และเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ประหลาด และจำเพาะจะต้องเกิดขึ้นในยุคนี้เท่านั้น มหันตภัยที่จะเกิดขึ้นเปรียบเหมือนกับการรื้อบ้านหลังเก่าทิ้ง เพราะใช้อยู่อาศัยมานาน จนเสา พื้น ฝ้า เพดาน หลังคา ผุ รั่ว เกินความสามารถที่จะซ่อมแซมให้ดีได้ดังเดิม การรื้อและสร้างใหม่จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

    ผู้ที่จะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในแต่ละครั้ง ต้องอาศัย “แสงสว่าง” ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด

    1. แสงแห่งธรรม หมายถึง การบรรลุธรรม บุคคลผู้สามารถเข้าถึงแสงสว่างของจิตได้แล้ว บุคคลผู้นั้นย่อมพ้นทุกข์ ก้าวผ่านมหันตภัยครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างแน่นอน

    2. แสงสว่างที่ปลายทางรอด เป็นเทคนิคของการแสวงหาทางรอดของครู อาจารย์ ผู้รู้ แต่ละท่าน ที่จะช่วยเหลือลูกศิษย์ ด้วยการให้ปัญญา แนวทางเพื่อรักษาชีวิต และการอยู่รอด ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันตามความชำนาญ ความเป็นเลิศ ของแต่ละองค์ แต่ละท่าน สำหรับพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ท่านได้แนะนำการใช้ “พลังพีระมิด” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 นับเป็นเวลาร่วม 15 ปีแล้วที่พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณได้บอกถึง “เหตุ” การเปลี่ยนแปลงของระบบสุริยจักรวาลมาโดยตลอด และ “เหตุ” สุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เกิดจากการเรียงตัวของดาวทุกดวงในสุริยจักรวาล รวมทั้งดาวอาคันตุกะ จากนอกระบบสุริยจักรวาล ซึ่งเดินทางมาเยือนในทุกๆ รอบ 13,000 ปี

    [​IMG]

    ดาวอาคันตุกะดวงนี้มีมวลขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าดาวพฤหัสหลายเท่าตัว เป็นดาวเคราะห์สีแดงลักษณะกลมรี คล้ายลูกรักบี้ และในอนาคตจะโคจรเข้ามาเรียงตัวอยู่ติดกับโลกของเราเลยทีเดียว

    ปรากฏการณ์เรียงตัวของดวงดาว 12 ดวงนี้ จะเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค. 55 – 14 ก.พ. 56 ซึ่งหมายความว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว พลังงาน แรงดึงดูด จากดาวทุกดวง จะมีมากที่สุด
    จนถึงขั้นสามารถทำให้แกนขั้วโลกจากทิศเหนือ-ใต้ พลิกเปลี่ยนเป็นชี้ไปทางทิศตะวันออก-ตะวันตก และ ในอนาคตเราจะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแทนทิศตะวันออก

    ขอเรียนย้ำอีกครั้งว่า การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกจนถึงขั้นเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ได้นั้น ไม่ได้จำเพาะว่าจะต้องเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธ.ค. 55 เพียงวันเดียว แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน ระหว่างวันที่ 21ธ.ค.55 จนถึงวันที่ 14ก.พ.56 (56วัน) กำหนดวันเกิดเหตุที่แน่นอน พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จะติดตามและสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพลังงานอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถระบุวันเกิดเหตุได้อย่างแม่นยำอีกครั้ง

    แต่ในอนาคตเมื่อใกล้กับวันเกิดเหตุการณ์จะมีสิ่งบอกเหตุที่สำคัญคือ หากมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้านทิศเหนือ มนุษย์จะเห็นว่าตำแหน่งของดาวเหนือเปลี่ยน ราวกับว่าอยู่ไกลออกไปมากกว่าแต่ก่อน จึงพลอยทำให้แสงสว่างของดาวเหนือลดลงด้วย ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วดาวเหนือยังคงอยู่ที่เดิม แต่แกนขั้วโลกต่างหากที่กำลังเปลี่ยนทิศ ซึ่งสื่อความหมายว่า ขั้วโลกพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนขั้วจากเหนือ-ใต้ เป็นขั้วตะวันออก-ตะวันตก

    สงสว่างที่ปลายทางรอด : พลังพีระมิด
    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้เผยแพร่ความรู้ของชาวแอตแลนตีสเกี่ยวกับการใช้พลังพีระมิด ด้วยจุดมุ่งหมายหลักที่สำคัญคือเป็นการเตรียมความพร้อม ให้มนุษย์รู้จักการปรับโครงสร้างเซลล์ เนื่องจากทั้งในภาวะก่อนจะเกิดมหันตภัยอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งเป็นช่วงการเกิดวิกฤตพลังงานจากพายุสุริยะ และ ช่วงเวลารับผลกระทบสูงสุดจากพลังงานย้อนกลับซึ่งเป็นพลังงานลบจาก กาแลคซี่อันโดรเมดาในวันที่เปลี่ยนชะตาดาวเคราะห์โลก ที่เปลี่ยนขั้วโลกจากทิศเหนือภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก เข้าสู่ขั้วโลกตะวันออกภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม เป็นเวลาประมาณ 13,000 ปี
    ในทั้งสองช่วงเวลาที่กล่าวมา มนุษย์จะได้รับพลังงานเสียเข้าสู่ร่างกายจากปริมาณน้อยไปหามากตามลำดับของ วิกฤตพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงการย้อนกลับของพลังงานลบจากกาแลคซี่ อันโดรเมดาที่ส่งแรงปะทะอย่างมหาศาล พุ่งเข้าหาพลังงานบวกของดวงอาทิตย์ ทำให้จุดดับใน ดวงอาทิตย์เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง และ ทวีความถี่มากยิ่งขึ้นตามลำดับ โลกเป็นแหล่งรับมวลสารพิษและพลังงานแม่เหล็กโลกที่มีค่าเป็นลบซึ่งเกิดจาก ปฏิกิริยาดวงอาทิตย์ และส่งไปถึงดวงจันทร์ ตามลักษณะของแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวที่มีต่อกัน ในเส้นทางการย้อนกลับของแรงดึงดูดจากดวงจันทร์มายังโลกอีกครั้งเช่นนี้ โลกได้รับโมเลกุลสีแดงอมม่วงของน้ำจากดวงจันทร์ซึ่งมีมวลที่หนักกว่าน้ำใน โลก และโมเลกุลสีแดงอมม่วงเหล่านี้จะแทรกซึมลงในทุกส่วนของโลกที่มีน้ำเป็นองค์ ประกอบ เช่น ถ้ารวมตัวกับเมฆฝน จะทำให้มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะแถบชายทะเล จนทำให้ฤดูกาลเปลี่ยน คือมีแต่ฤดูฝน ไม่มีฤดูหนาว ถ้าฝังตัวลงในน้ำ จะสามารถ ยก ดัน น้ำให้สูงขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้พื้นที่ริมชายทะเลมีน้ำท่วมสูง ซึ่งการท่วมสูงเช่นนี้มิได้เกิดจากการหนุนของน้ำทะเล หากโมเลกุลสีแดงอมม่วงเหล่านี้แทรกซึมเข้าสู่เซลล์ที่ประกอบด้วย น้ำ เลือด และน้ำเหลือง ทำให้มนุษย์มีปัญหาด้านสุขภาพ เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยที่รักษาได้ยากยิ่งขึ้น เริ่มจากอาการปวด เมื่อย ถ้าไปถึงสมองจะมีอาการมึนงง หากปริมาณโมเลกุลของน้ำเพิ่มมากขึ้น จะมีอาการท้องเสีย ท้องเดิน เรื้อรัง รักษาไม่หายขาด และในที่สุดเซลล์จะเน่า เป็นการเน่าจากภายในเนื้อเยื่อก่อนและเน่าลามออกมาที่ผิวหนังออกสีแดงอมม่วง (องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ แนะนำการใช้หลอดแกนพีระมิด ชนิดเจาะ 4 รู เพื่อดึงพลังปราณช่วยดันและละลายโมเลกุลน้ำสีแดงอมม่วงจากดวงจันทร์ออกจากร่างกาย)
    ยิ่ง ไปกว่านั้น หากโครงสร้างเซลล์ มืด ดำ คล้ำ ร่างกาย จะดูดซับสารพิษจากพลังงานเสียได้มากและรวดเร็วกว่า ทำให้เสียชีวิตได้เร็วเกินคาด สำหรับบุคคลที่เคยฝึกจิตเรียนรู้หลักธรรมของศาสนา (ทาน ศีล สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน) และรู้หลักการใช้พลังพีระมิดจะได้รับผลพลอยได้อย่างยิ่งยวด คือ ได้ทำความสะอาด ฟอก และซ่อมแซมเซลล์อยู่เป็นประจำ กระทั่งกลายเป็นเซลล์ใส จึงดูดซับสารพิษได้น้อย และยังสามารถพื้นฟูเซลล์ ดันสารพิษเหล่านั้น ออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว จึงยังคงรักษาชีวิตให้รอดอยู่ได้ และในครานี้มนุษย์บางคน บางกลุ่ม จะรู้ซึ้งถึงอานิสงส์ของแสงสว่างแห่งธรรม สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าถึง “ธรรม” คงต้องอาศัยแสงสว่างจากพลังมโนธาตุในพีระมิดของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ช่วยให้พลังดุจดังเกราะกำบังประคองจิตให้เป็นปกติ ไม่เสียสติไปกับความโหดร้ายรุนแรงของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน หลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนแต่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น แผ่น ดินไหวอย่างรุนแรง เสียงแผดร้อง คำรามอย่างบ้าคลั่งของฟ้า ลมพายุ แผ่นน้ำแข็งที่เกิดจากคาร์บอนมอนนอกไซด์ หล่นจากฟากฟ้า และในท้ายที่สุดคือ การเกิดน้ำท่วมใหญ่กวาดล้างสรรพสิ่งโสโครก ปฏิกูล ผลพวงจากโลกใบเก่าทิ้งไปกับน้ำ ถึงจุดสิ้นสุดวิวัฒนาการที่เกิดจากน้ำมัน หรือฟอสซิลดำ

    มนุษย์จะมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายไม่มีการใช้อุปกรณ์ใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องด้วย “ไฟฟ้า” อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานดี จิตใจโอบอ้อมอารี แบ่งปันกันใช้ เงินตราหมดค่า และเริ่มมีวิวัฒนาการใหม่ไปตามลำดับ โดยเน้นเรื่องของ “จิต” เป็นหลัก กล่าวได้ว่าเป็นอีกยุคสมัยหนึ่งที่การฝึกปฏิบัติธรรมจะกลับมาเฟื่องฟู มนุษย์จะได้ศึกษา ปฏิบัติตามแก่นธรรมที่แท้จริงของพระพุทธองค์ เนื่องจากมีความเหมาะสมหลายๆอย่างเป็นองค์ประกอบ เช่น พลังงานปราณ พลังมโนธาตุ สมบูรณ์ เหลือแต่ผู้มีศีลธรรม ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ อากาศเย็นสบาย เพราะขั้วโลกเปลี่ยนทิศ ประเทศไทยจึงอยู่ในเขตอบอุ่นไม่ใช่เขตร้อน ดังแต่ก่อน ฯลฯ

    วิธีป้องกันและแก้ไข
    มนุษย์มีหลายทางเลือกเพื่อรักษาชีวิต องค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เสนออีกหนึ่งทางเลือก เพื่อถนอมรักษาชีวิตที่มีค่าไว้ด้วยวิธีปฏิบัติตัว
    ตลอดช่วงเวลา 3 วัน 3 คืน วาระแห่งการปรับโครงสร้างของโลก และสุริยจักรวาล ซึ่งมีผลสืบเนื่องมาจากสาเหตุ 2 ประการ คือ การทำหน้าที่ของ ดาวถ่วงดุล และ การเรียงตัวของดาวทั้ง 12 ดวง ผนึกพลังงานบวกอัดแน่นเข้าด้วยกัน เมื่อพลังงานรวมตัวจนถึงอัตราสูงสุด จะเกิดการรีดตัวเป็นเส้นตรง พุ่งออกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือก ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงเข้าหาพลังงานลบของกาแลคซี่อันโดรเมดา ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกหลายพันเท่า การ พุ่งปะทะของพลังงานบวกกับพลังงานลบ และการพลิกวงโคจรของดาวถ่วงดุลในครั้งนี้ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ของ แสง เสียง การสั่นไหว และน้ำในโลก ดังรายละเอียดต่อไปนี้

    1. ในเวลาประมาณบ่ายสามโมง (15.00 น.) จะมีแสงสว่างวาบมาจากท้องฟ้า เป็นแสงมหัศจรรย์ มีประกายเจิดจ้าอย่างไม่มีประมาณ ไร้สิ่งเปรียบเทียบ เพราะเป็นแสงที่เกิดจากการปะทะ พุ่งชน เสียดสีของพลังงานบวกกับพลังงานลบจากสองกาแลคซี่ ทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ต่างได้รับแสงสว่างนี้ถ้วนทั่วกัน รวมทั้งมนุษย์ในโลก เสียงโจษขานอึงคะนึงจากกลุ่มคนทั่วทิศทาง ถามไถ่กันขรมว่าเป็นแสงอะไร หากได้ยินเช่นนี้แล้วให้รีบหลับตาหลบอยู่ในที่พักอาศัย ไม่ต้องติดตามมวลชนออกไปเพื่อหาต้นกำเนิดของแสงบาดตาที่มีอานุภาพทำให้ตาบอด ได้ทันที

    2. ถัดมาในตอนกลางคืนเวลาประมาณสามทุ่ม ( 21.00น. ) ถึงวาระที่ดาวอาคันตุกะหรือดาว ถ่วงดุลจะได้ทำหน้าที่ถ่วงดุลโดยมิได้ตั้งใจ หากแต่เป็นเพราะ ถึงเวลาต้องโคจรออกจากระบบ สุริยจักรวาลแล้ว ดาวถ่วงดุลจึงโคจรเคลื่อนที่ออกจากแนวเรียงตัวทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่วงโคจรเดิม คือมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้วยมวลขนาดมหึมาและเข้ามาเรียงชิดติดกับโลกซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาด เล็กกว่ามาก จึงส่งอิทธิพลแรงดึงดูดอย่างมหาศาลต่อโลก สามารถ ดึง เบียด และ พลิกแกนขั้วโลกที่ชี้ทิศเหนือ ให้หันไปทางทิศตะวันออกได้ทันที กระบวนการ ดีดตัว พลิกตัว ของดาวถ่วงดุล และการพลิกเปลี่ยนทิศของแกนขั้วโลก ทำให้เกิดเสียงดังกึกก้องกัมปนาท เป็นพลังงานเสียงที่มีอัตราความดังสูงเกินพิกัด เสียงคำราม แผดก้อง เขย่าขวัญ เกินประมาณดังมาจากทั่วสารทิศ ทำให้แก้วหูแตกได้ฉับพลัน จึงควรหาอุปกรณ์สำหรับอุดหูเพื่อป้องกันแก้วหูแตก หรือขวัญผวาไปกับการได้ยินสรรพสำเนียง แปลกประหลาดที่บาดหู บาดใจ เหล่านั้น

    3. การปะทะกันของพลังงานบวกกับพลังงานลบ ทำให้แสงมีคลื่นความถี่สูง การพลิกวงโคจรของดาวถ่วงดุลและแกนโลก ทำให้มีอัตราความดังของเสียงอย่างไม่มีประมาณพุ่งเข้ามาในโลกเต็มชั้น บรรยากาศ แผ่นดิน ผืนน้ำ แผ่นหินเปลือกโลก เป็นสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง โลกตกอยู่ในความมืดสนิทอย่างไม่รู้วันรู้เวลา ถึงนาทีชีวิตที่ต้องพึ่งพลังพีระมิดจากหลอดแกนชนิดเจาะ 4 รู ซึ่งนอกจากช่วยขับโมเลกุลสีแดงอมม่วงของน้ำจากดวงจันทร์ออกจากร่างกายแล้ว ในวาระนี้ยังทำหน้าที่เป็นแกนพลังงานให้จิตเกาะเกี่ยว ไม่เสียสติไปในช่วงที่มีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเกินมาตรวัด

    4. ถึงเวลาของคลื่นความถี่สูง ที่เกิดจากการปะทะของพลังงานบวกกับพลังงานลบ รวมทั้งการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จะส่งผลกระทบต่อแผ่นน้ำแข็งที่เกิดจากคาร์บอนมอนนอกไซด์ ซึ่งสามารถแก้ไขและป้องกันโดยใช้พลังพีระมิดจัดเรียงเป็น เครื่องสลาย เมฆ หมอก ฝน หิมะ (A DEVICE TO MELT CLOUDS, DISINTEGRATE FOG AND THAW SNOW.) ใช้ประโยชน์ได้ไกลในรัศมีโดยรอบประมาณ 5 กม. เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฝนตก ฟ้าผ่า และการหล่นจากท้องฟ้าของแผ่นน้ำแข็งที่เกิดจากคาร์บอนมอนนอกไซด์ กระแทกกระหน่ำซ้ำเติม ทำให้การเผชิญสถานการณ์ของมวลมนุษยชาติเลวร้ายยิ่งขึ้นอีก

    5. เตรียมอาหารเสริมพลังพีระมิด รัดเก็บติดไว้กับตัวเพื่อประทังชีวิตยามรู้สึกหิว ทานอย่างน้อยวันละ 3 เวลา ตลอดช่วงเวลา 3 วัน 3 คืน และดื่มน้ำให้มาก พลังมโนธาตุและพลังปราณในอาหารเสริมพลังพีระมิดเป็นพลังงานละเอียดที่จำเป็น ต่อการดำรงอยู่ของจิตและกาย ในภาวะคับขันเป็นอย่างยิ่ง
    หากเตรียมตัวพร้อมและปฏิบัติตนด้วยความไม่ประมาท จะสามารถรักษาชีวิตรอดไว้ได้ มีโอกาสเริ่มชีวิตใหม่กันอีกครั้งกับขั้วโลกตะวันออก

    ตลอดระยะเวลาประมาณ 13,000 ปี ในอนาคตข้างหน้า “พีระมิด” ซึ่งมีรากฐานมาจากอารยธรรมของชาวแอตแลนตีส จะถูกนำมาใช้เป็นวิชาหรือศาสตร์พื้นฐานที่สำคัญของวิวัฒนาการทางจิต หรือวิทยาศาสตร์ทางจิตอีกครั้ง และหากเมื่อถึงปลายยุคหน้า เมื่อวิทยาศาสตร์ทางจิตเริ่มก้าวสู่จุดอิ่มตัวและจุดเสื่อม เหตุการณ์การเรียงตัวของกลุ่มดาวในระบบสุริยจักรวาลจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และแกนขั้วโลกตะวันออกจะหันหลับไปหาขั้วโลกทางทิศเหนือ เป็นการรื้อบ้านหลังเก่าที่ผุพังทิ้งและสร้างบ้านหลังใหม่กันอีก สลับไปมาเช่นนี้เป็นรอบๆ ดังความรู้ที่ปรากฏเป็นหลักฐานในปฏิทินมายัน ซึ่งเป็นปฏิทินทางดาราศาสตร์ ที่บอกเล่ารายละเอียดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ระบบสุริย จักรวาลโคจรเคลื่อนที่ผ่านทั้ง 3 กาแลคซี่ในรอบเวลา 1 วันจักรวาล หรือ 26,000 ปี ตามเวลาของโลก

    มนุษย์ในยุคพลังงานน้ำมันนี้ มีโอกาสดีที่ได้ร่วมรับรู้ และมีส่วนร่วมในประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเรียบเรียงได้ทั้งหมด เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าแก่การจดจำ จารึก และจะกล่าวขานเป็นตำนานอีกครั้ง ตามกาลเวลาที่ผ่านไปเนิ่นนาน เฉกเช่นเดียวกับตำนานของมหาอาณาจักรแอตแลนตีส ที่ล่มสลายไปเมื่อ 13,000 ปีที่ผ่านมา และทุกท่านคงจะเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า “สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา ตามกาละของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ สลาย” วนไปมาเป็นรอบๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดตลอดไป
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,802
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,142
    ค่าพลัง:
    +70,535

    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา 19พย.2554

    ที่สวนบูรณรักษ์ธรรม อ.แม่ริม ท่านได้สอนวิธีเพิ่มเติมอีกวิธีที่จะมองเห็นอนาคต


    ต่อไปนี้เป็นใจความโดยสรุปครับ


    " การมองเห็นอดีต เห็นได้ชัด เพราะ สิ่งต่างๆนั้นเกิดแล้ว และ พลังงานภาพ แสง สี เสียง ยังอยู่ครบ

    การมองเห็นอนาคต ยังมีปัจจัยหลายอย่าง ที่ทำให้เกิด

    การจะเห็นอนาคตได้ชัด ต้อง

    สลายตัวตนให้ได้มากที่สุดเท่านที่จะทำได้

    เพราะ ตัวตน ( ขันธ์ห้า -รูปกาย เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ / ทัศนะของ ข้าพเจ้า TRISHULA) เป็นเครื่องบัง เครื่องปรุงแต่ง ให้รู้ผิดพลาดได้มากอยุ่



    ตอ่ไปนี้ เป็นวิธีใช้สมาธิ อีกวิธีหนึ่ง เพื่อผลของการเห็นอดีต อนาคต




    ------นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก

    ให้คลายอารมณ์และทุกอย่างเป็นความว่าง


    แล้วเอาเส้นแรงจากแถบปิระมิดที่วางไว้ด้านหน้า-ด้านหลัง มาถูเข้าที่ฐานกาย
    ( สูงสองนิ้วมือจากสะดือ ) จากหน้าทะลุหลัง และหลังทะลุหน้า กลับไปมา


    และ เอามาถูที่ฐานใจ ( ระดับราวนมสองข้าง หรือ ที่ก้อนเนื้อหัวใจ )

    เมื่อทำถูก จะเกิดแสงสว่างขึ้น


    ให้น้อมนำมาเก็บไว้ที่ฐานอารมณ์ตรงในโพรงจมูก

    ( ตรงที่เป็นหวัดคัดจมูก ต่ำกว่าระดับตาที่สาม ระหว่างหัวคิ้ว มาประมาณสองนิ้วมือ )



    ถ้าตัวตนเราเบาบางมาก

    ไม่ว่าจะลืมตา หรือ หลับตา

    แสงสว่างจากภายในและ-ภายนอก จะสว่างเท่ากัน



    เมื่อแสงสว่างนอก-ในเท่ากันแล้ว

    และใจวางเฉยเป็นกลางได้จริง

    ให้ฝึกนึกเห็นอดีต หรือ อนาคต

    ดูอดีตให้คิดตรึกเล็กน้อยที่สมองก็จะเห็น

    ดูอนาคต ก็นึกที่ฐานใจ ก็จะเห็น


    (อดีตจะเห็นได้ง่ายกว่า เพราะ เป็นสิ่งเกิดแล้วดังกล่าวข้างต้น)

    อนาคตนั้น เมื่อเห็นภาพแล้ว ถ้าใจไม่อุเบกขา ภาพจะจางหรือกระด้างไป
    ไม่เห็นต่อเนื่องเป็นเรื่องราว


    -----------------


    รอสักระยะ ทีมงามเว็บอิงธรรมคงนำมาอัพเดทไว้ในเว็บ

    ตอนนี้ เอามาลงล่วงหน้าก่อนครับ






    ปล. สอนเพื่อ ให้แต่ละท่านที่อยากพิสูจน์ ได้เห็นด้วยตนเอง

    ใช้เป็นเครื่องมือให้ตนเอง

    ให้สลายตัวตนได้มาก ก็ชัดเท่านั้น

    แต่สรรพสิ่งในวัฏฏะล้วนอยุ่ในไตรลักษณ์ ทำจิตให้ได้ดวงตาเห็นธรรมคือสิ่งสำคัญที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 พฤศจิกายน 2011
  16. ต้นที่สาม

    ต้นที่สาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +1,074
    อนุโมทนา
    คงมีสักวันที่จะได้มิบุญไปกราบพระอาจารย์อีกสักหนหนึ่ง
     
  17. สุคะโต

    สุคะโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +1,975

    ขออนุญาตแบ่งปัน link นะครับ และปริ้นเป็น hard coppy เพื่อแจกญาติ
    พี่น้อง
     
  18. กรรมบัลดาล

    กรรมบัลดาล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +13
    ทุกสิ่งนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในที่สุด
    ถ้าอยู่ต่อเพือมีโอกาสสร้างบุญบารมีต่อไปก็ควรอยู่
    แต่ถ้าอยู่รอดไปเพื่ออยู่ไปวันๆอีกก็อย่าดิ้นรนเลยไร้ประโยชน์ที่จะรอด

    ความหมายอยู่ที่การอยู่ตอนนี้ต่างหาก
     
  19. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    แสงสว่างที่ปลายทางรอด : พลังพีระมิด


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2011
  20. กรรมบัลดาล

    กรรมบัลดาล สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +13
    จะมีโอกาสขึ้นไปกราบพระอาจารย์รัตน์
    หรือครูบาอาจารย์ที่พี่ๆลุงๆป้าๆน้าๆอาโพสส์มาได้อย่างไรบ้าง
    ใครช่วยจัดทริปหน่อยได้ใหม
    จะได้ขนๆคนที่บ้านไปบ้าง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...