นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    (cry)(cry)(cry)
    (cry)(cry)(cry)
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
     
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    [​IMG]<!-- google_ad_section_end --> [​IMG]<!-- google_ad_section_end -->
     
  4. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=5Go6I2_PpBU"]Longer Than...[/ame]......................
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
  6. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=HObj51jN3JU&feature=related"]เสน่หา...[/ame].................................
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นิทานเซน : ขอทานซื้อขนมเปี๊ยะ

    乞丐买饼》[​IMG]

    มีวัดเซนแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อในการทำขนมเปี๊ยะอย่างมาก ขนมเปี๊ยะที่ทำออกมานอกจากขนาดใหญ่แล้วยังหอมหวานชวนรับประทาน ดึงดูดให้ผู้คนทั่วทุกสารทิศขึ้นเขามายังวัดแห่งนี้เพื่อขอซื้อขนมเปี๊ยะมาลิ้มลอง

    วันหนึ่ง มีขอทานผู้หนึ่งเดินทางมาจากแดนไกลเพราะได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือถึงความอร่อยของขนมที่วัดแห่งนี้ เมื่อมาถึงวัดจึงได้เอ่ยปากต่อพระลูกวัดเพื่อขอลิ้มลองรสชาติขนมเปี๊ยะอันเลื่องชื่อ ทว่าบรรดาพระลูกวัดเมื่อเห็นท่าทางสกปรกโกโรโกโสของขอทานผู้นี้ก็นึกรังเกียจ จึงไม่ยอมให้ขอทานเข้าไปยังครัวของวัดเพื่อรับขนมเปี๊ยะ จนเกิดการฉุด ลาก ผลัก ดึง กันอยู่ในบริเวณวัด

    ในตอนนั้น เจ้าอาวาสได้มาพบเห็นเหตุการณ์ จึงได้กล่าวปรามพระลูกวัดว่า "บรรพชิตต้องมีเมตตาธรรม เหตุใดพวกเจ้าจึงปฏิบัติตนเช่นนี้" จากนั้นเจ้าอาวาสจึงคัดเลือกขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ด้วยตัวเอง และนำมามอบให้กับขอทานด้วยความนบนอบ โดยไม่คิดเงิน

    เมื่อขอทานเห็นดังนั้นก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอันมาก และรับประทานขนมเปี๊ยะรสเลิศจนหมด ก่อนจากไป ขอทานได้ควักเงินทั้งหมดที่มีอยู่น้อยนิดออกมามอบให้กับเจ้าอาวาสเป็นค่าขนมเปี๊ยะ พลางกล่าวว่า "นี่เป็นเงินทั้งหมดที่ข้าขอทานมาได้ หวังว่าท่านเจ้าอาวาสจะรับไว้" เจ้าอาวาสรับเงินค่าขนมเปี๊ยะมาจริงๆ จากนั้นจึงประนมมือพลางกล่าวอวยพรขอทานว่า "ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดี"

    เหล่าพระลูกวัดเห็นดังนั้นก็เกิดความกังขายิ่งนัก และเอ่ยถามเจ้าอาวาสว่า "ในเมื่อท่านบริจาคขนมเปี๊ยะให้เป็นทานแล้ว ไยจึงรับเงินมา?" เจ้าอาวาสจึงกล่าวตอบว่า "ขอทานเดินทางมาไกลแสนไกลเพียงเพื่อลิ้มลองรสชาติขนมเปี๊ยะของวัดเรา ดังนั้นเราจึงมอบขนมเปี๊ยะให้เขาโดยไม่คิดเงิน ส่วนการที่เขาจ่ายค่าตอบแทนก็แสดงว่าขอทานผู้นี้มีความดีงามในจิตใจ รู้จักวิถีการปฏิบัติตัวในสังคม ด้วยเหตุนี้เราจึงรับเงินนั้นไว้เพื่อเติมเต็มความเคารพในตนเองของเขา ซึ่งจะเป็นแรงขับให้เขามีความสำเร็จยิ่งขึ้นไปในอนาคต"

    ปัญญาเซน เจ้าอาวาสบริจาคขนมเปี๊ยะให้เป็นทาน สามารถดับความทุกข์จากความหิวโหยของขอทาน ส่วนการรับเงินค่าตอบแทนกลับมาถือเป็นการเติมเต็มความเคารพในตนเองให้กับขอทาน เนื่องเพราะท้องอิ่มเป็นเพียงการตอบสนองความต้องการทางร่างกายเพียงชั่วครั้งคราว แต่การเติมเต็มความเคารพในตนเองให้กับจิตวิญญาณของคนคนหนึ่ง จะเป็นแรงผลักดันเกื้อหนุนให้คนผู้นั้นไปตลอดทั้งชีวิต

    http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9530000157650]
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันสิ้นโลก??? 21-12-2012 (โปรดใช้วิจาณญาณในการอ่าน)

    เรื่องราวต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่มีอยู่จริง โปรดใช้วิจารณญาณของผู้อ่านเองนะจ้ะ
    โลก

    ในวันที่21

    เดือน 12

    ปี 2012


    โลกจะอวสานจริงหรือ


    1.ทางวิทยาศาสตร์ NASA ออกมาบอกว่าสนามแม่เหล็กโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
    2.ทางโหราศาสตร์ บ่งบอกว่าจะเกิดการเรียงตัวกันของ โลก กาแล็คซี่ทางช้างเผือก และดวงอาทิตย์
    3.ทางโบราณคดี ชาวมายามีปฏิทินถึงเพียงแค่ปี 2012 และระบุวันจุดจบของโลกไว้
    4.ทางการทำนาย นอสตราดามุสได้ทำนายไว้กับราศีตีความแล้วสอดคล้องกับทางโหราศาสตร์
    5.ทาง UFO ผู้ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวได้บอกเค้า(แล้วแต่ความเชื่อ)
    6.ทางความคิดผมเอง ศาสนาพุทธและคริส ได้ระบุวันจุดจบไว้แล้วในปี พุทธศักราชและคริสศักราช
    คำ ทำนายเรื่องวันสิ้นโลกนี้ มาจากวันในปฏิทินของชาวเผ่ามายัน (ชาวเผ่าโบราณที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาตอนกลาง) ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 21 ธันวาคม ปีคศ. 2012
    ไม่ว่าจะทางใด ดูจากหลาย ๆ ทางแล้วชี้ไปในปีเดียวกัน ความเชื่อมั่นกับสิ่งที่จะเกิดในปี 2012 นั้นน่าจะมีอะไรเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ แต่ที่แน่ ๆ ในปัจจุบันผมมั่นใจว่ามันน่าจะเริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยสังเกตุจากผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี่เอง เมื่อกลับมามองดูปี 2012 ก็เลยมานั่งพิจรณาดูเล่น ๆ (การนับเลขฐานสิบจะนับศูนย์ถึงเก้า) ถ้าเราตัดเลขสองออกก็จะได้เลขนับ 0->1->2 เมื่อมาดูเป็นปี พ.ศ. มันเป็นปี 2555 (เลยสวยมาก) ถ้าเราตัดเลขสองออกเช่นกัน จะได้เลข 5 เรียงตัวกัน 3 ตัวผมขอโยงไปเรื่องโหราศาตร์ที่จะมี โลก กาแล็คซี่ และดวงอาทิตย์ ที่จะเกิดการเรียงตัวกัน ผลลัพธ์นั้นคงบอกไม่ได้ อาจเกิดผลกระทบรุนแรงต่อโลกหรืออาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้นั้นยังมีอีกมากมายทั้งในอวกาศและจักรวาล

    1.ปฏิทินมายัน
    ทำไมต้องเชื่อปฏิทินของชาวเผ่ามายัน
    เป็น ที่ยอมรับว่าปฏิทินของชาวมายันมีความเที่ยงตรงอย่างมาก เที่ยงตรงกว่าปฏิทินระบบที่เราใช้กันในสากลมากมาย เพราะชาวมายันทำปฏิทินจากระบบดวงดาว โดยปฏิทินนี้ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอะไรเลยถึง 380,000 ปี (ในขณะที่ปฎิทินที่เราใช้ต้องมี Leap Year ทุกๆ 4 ปีเป็นต้น)
    จะเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น
    คำ ถามนี้เป็นปัญหาโลกแตก (literally speaking) จริงๆ เพราะนอกจากจะเกี่ยวกับเรื่องวันสิ้นโลกแล้ว ยังเป็นคำถามที่ไม่มีใครให้คำตอบที่แน่นอนได้ มีเพียงการคาดเดา การผูกโยงข้อมูลต่างๆ เพื่อทำนายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันสิ้นโลก (ดู 21 December 2012, Articles you need to read.) เหตุการณ์ที่คาดเดากันว่าจะเกิดและเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องมีทั้งเรื่องของ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบนดวงอาทิตย์ที่จะเกิดผลกระทบยิ่งใหญ่กับระบบสุริยะ จักรวาลและโลกของเรา ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นจนถึงวันที่ 21 ธันวา 2012 การเปลี่ยนขั้วของขั้วโลกเหนือใต้ ฯลฯ
    แล้วชาวมายันทำนายไว้ว่าอย่างไร
    ชาว มายันไม่ได้เขียนชัดเจนว่า วันที่ 21 ธันวา 2012 จะเป็นวันสิ้นสุดของโลก มีผู้คนจำนวนมากเชื่อว่า มันคือวันที่โลกจะเปลี่ยนแปลงจากยุคหนึ่งเป็นอีกยุคหนึ่ง และเรามีหน้าที่ที่จะต้องเตรียมรับมือกับวันนั้นให้ได้ เพื่อความอยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลง และหลังจากวันนั้น โลกของเราจะมีสันติสุขอย่างแท้จริง
    ปฏิทินของชาวมายันโดยคร่าว
    จาก ปฏิทินของชาวมายัน เรากำลังอยู่ในช่วงปลายของ 1 วันแห่งระบบจักรวาล หรือ End of a Galactic Day ซึ่งระยะเวลา 1 วัน แห่งระบบจักรวาลนั้นยาวนานถึง 25,625 ปี และแบ่งได้เป็น 5 ช่วง ช่วงละ 5,125 ปี และขณะนี้เราอยู่ในช่วงปลายของช่วงที่ 5 แล้ว
    ชาวมายันบอกว่า นับจากปี 1999 เราจะมีเวลา 13 ปีที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติและจิตสำนึกของการอยู่บนโลกใบนี้เพื่อที่จะรอดจาก การทำลายล้าง และในขณะเดียวกัน ก็ก้าวสู่เส้นทางที่จิตสำนึกใหม่ปูให้กับการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ตามศาสตร์ของชาวมายัน ทุกๆ 5,125 ปี ดวงอาทิตย์จะเกิดปรากฏการณ์บางอย่างที่สัมพันธ์กับศูนย์กลางทางช้างเผือกอัน กว้างใหญ่ และจากปรากฏการณ์นั้นเอง ดวงอาทิตย์จะได้รับ “ประกายไฟ” (Spark of light) ซึ่งทำให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงและส่งผ่านความร้อนรุนแรงมากขึ้น อย่างที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “Solar Flares” และยังทำให้ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลต่อมายังโลก เกิดการสับเปลี่ยนขั้วโลก และทำให้เกิดหายนะทางธรรมชาติตามมามากมาย ปรากฏการณ์เหล่านี้ ชาวมายันเชื่อว่าเป็นเพียงกระบวนการทางธรรมชาติกระบวนการหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสม่ำเสมอ เปรียบเหมือนการหายใจของคน และจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงหรือหยุดไป เหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้ง (4 รอบแรกของปรากฏการณ์จากดวงอาทิตย์) และจะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 5 เมื่อครบ 5,125 ปี ซึ่งก็คือวันที่ 21 ธันวาคม 2012 นั่นเอง


    2.Planet X NIBIRU
    Planet X NIBIRU ที่มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลกเราจะตัดผ่านมาใกล้โลกอีกครั้ง ดาวดวงนี้จะผ่านมาที่วงโคจรของเราทุกๆ3600 ปี
    นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทวีปแอตแลนติกหายไป นั่นอาจเป้นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องโนฮากับเรือสมัยน้ำท่วมโลก
    ดาวดวงนี้จะเข้ามาใกล้โลกเรื่อยๆปี 2009 จะสามารถมองเห็นทางขั้วโลกใต้ด้วยกล้องส่องดาว
    ปี 2011 จะสามารถมองเห้นด้วยตาเปล่า ขนาดเท่าดวงจันทร์ของเรา ดาวดวงนี้เป็นสีแดง
    ปี 2012 จะเริ่มมีปฏิริยาต่อมวลสภาพอากาศบนโลก เศษหินในอวกาศที่มากับดาวนิบิรุจะตกลงมาบนพื่นโลก เป็นฝนดาวตกอันตรายต่อมวลชีวิตทั้งโลก
    วันที่ 21 ธันวาคม 2012 หายนะครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดบนพื้นแผ่นดิน อย่างใครไม่เคยคาดคิดมาก่อน
    วัน14 กุมภาพันธ์ 2013 วันนั้นเป็นวันที่ โลก +นิบิรุ+ดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่แนวแกนเดียวกัน แกนแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนไป
    โลก จะหยุดหมุนรอบตัวเอง 3 วัน แผ่นดินจะแยกตัวเป็นเสี่ยง น้ำทะเลจะเป็นคลื่นมหาอภิสึนามิ ถล่มตามเมืองชายทะเลทุกแห่ง เมื่อแผ่นดินเคลื่อนตัวตามเปลือกโลก ลาวาก็จะถลักขึ้นมาเกิดเป็นภูเขาไฟมากมาย


    3.UFOบอก????(แล้วแต่ความเชื่อ)
    “อู แรนเดอร์ โอลิเวียร่า” ผู้ซึ่งอ้างว่าเคยได้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวผู้โด่งดังนั้น ก็อ้างว่าเขามีโทรจิตที่เห็นภาพอนาคตจากการบอกเล่าของมนุษย์ต่างดาว ว่าในปี ค.ศ.2012 นั้น จะมีแสงสว่างมากที่สุดในกาแลกซี่และสะท้อนไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัว สิ่งมีชีวิตและโลกจะปั่นป่วนอย่างยิ่ง

    4.หลุมดำ????
    ในที่นี้ก์อคือทั้งหลุมดำของแกแล็กซี่ทางช้างเผือกและวหลุมดำพที่อาจเกิดขึ้นเองตามที่มนุษย์สร้างCERN
    ในทางศาสนาพุทธ
    ถึงอย่างไรก็ยังผู้แย้งว่าพระพุทธเจ้าได้เคยตรัสกับพระอานนท์ไว้
    ว่าในพุทศศาสนาจะมีอายุ5000ปีและมันจะเสื่อมลงในตัวของมันเอง

    ที่มา www.eduzones.com

    . สุมิตร-นักวิทยาศาสตร์ NASA ยืนยัน มีภัยพิบัติล้างโลก 2012... ข่าวล่าสุด 23 พ.ค.52 ช่อง 11‏ - มีคำตอบ - กูร
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2010
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  11. primrose

    primrose เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +527
    สมาชิกเวบนี้เพี้ยน ๆ เยอะนะคะ .... -*-"
     
  12. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=y2YYT4t6DFE"]..........[/ame]...............................
     
  13. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=TYcQ3nWcd28"]ริมฝั่งหนองหาร...[/ame]........................
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    The 12th Planet - ตอนที่ 6

    NIBIRU

    Chapter Eight: Kingship of Heaven

    The Great Planet
    Oh the great planet
    As his apprearance, dark red...
    The Heaven he devides in half,
    And stands as Nibiru.
    นี่คือบทนำในจารึกโบราณ (ที่ตามมาด้วยคำพรรณนาอีกยาวยืด แต่ผมไม่ยกมา) ที่กล่าวถึงความผิดปกติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว อุทกภัยและวาตภัยใหญ่โตที่เกิดขึ้นเมื่อดาวเคราะห์นิบิรุปรากฏบนท้องฟ้า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติดังกล่าวโดยเฉพาะน้ำท่วมและพายุ เป็นปรากฏการณ์ที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบันครับ ว่าเมื่อดาวเคราะห์สองดวงโคจรมาใกล้กันมากๆ(แต่ไม่ชนนะ) ผลจากแรงดึงดูดจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น

    [​IMG]



    ภาพวาดโบราณที่ขุดพบที่นิปเปอร์ แสดงให้เห็นเกษตรกรกลุ่มหนึ่งมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อสังเกตการขึ้นของดาวเคราะห์ดวงที่ 12 (ในภาพใช้สัญลักษณ์กางเขน) เอ... ลงแหงนหน้ามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแบบนี้เนี่ย เป็นไปได้ไหมว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ หนึ่ง..จะมีขนาดที่ใหญ่เอามากๆ สอง..มีแสงสว่างในตัวเอามากๆ หรือ สาม...ทั้งสองข้อมารวมกัน

    ในบทเอไสยะห์, อาโมส และจ็อบของคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเก่าก็กล่าวถึงดาวดวงนี้ด้วยเช่นกัน ในส่วนของรายละเอียดขอก็บไว้เล่าในเล่มหลังๆละกันนะครับ เพราะเกี่ยวกับเนื้อหาในคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเก่าโดยตรงเลย

    นักวิชาการหลายคนวิเคราะห์ภาพนี้แล้วลงความเห็นว่า น่าจะเป็นภาพการสังเกตดาวหางของคนโบราณมากกว่าการดูดาวเคราะห์ ในขณะที่อีกกลุ่มระบุว่าถ้าเป็นดาวหางสัญลักษณ์ที่ใช้แทนก็น่าจะมีหางสิ เพราะคนโบราณเหล่านี้ก็คุ้นเคยกับดาวหางดีอยู่ เอาเป็นว่าอย่าไปฟังเค้าเถียงกันเลยครับ เรามาสรุปเอาเองดีกว่าว่ามันคือภาพของดาวเคราะห์ที่มีพฤติกรรมคล้ายดาวหางต่างหากเล่า ฮา ฮา...

    นอกจากลักษณะของวงโคจรแล้ว MARDUK / NIBIRU ยังมีส่วนที่คล้ายกับดาวหางอีกกล่าวคือ ดาวหางบางดวงที่พวกเรารู้จักเช่น ดาวหางฮัลเลย์นั้นจะปรากฏให้พวกเราเห็นทุกๆ 75 ปี และหายไปอีกเป็นระยะเวลายาวนานจนกว่าจะวนกลับมาอีกครั้ง สำหรับนักดาราศาสตร์ใช่ว่าพวกเขาจะมีโอกาสพบเห็นดาวหางดวงเดิมซ้ำอีกครั้ง เพราะดาวหางบางดวงสามารถมองเห็นได้เพียงครั้งเดียวในชั่วชีวิตหนึ่งของผู้สังเกต (เช่น ดาวหางฮัลเลย์) บางดวงหนักไปกว่านั้นเพราะหนึ่งรอบวงโคจรของมันกินเวลานับเป็นพันๆปี

    ตัวอย่างก็คือดาวหาง Kohoutek ที่ถูกค้นพบในปี 1973 ดาวหางดวงนี้โคจรใกล้โลกที่สุดเมื่อปี 1974 ด้วยระยะห่าง 75,000,000 ไมล์ มันหายไปสู่ด้านหลังของดวงอาทิตย์หลังจากนั้นไม่นานนัก นักดาราศาสตร์ทำนายว่ามนุษยชาติจะเห็นดาวหางดวงนี้อีกครั้งราวๆ 7,500 - 75,000 ปีข้างหน้า เกิดแล้วตายอีกกี่ชาติล่ะครับเนี่ยถึงจะเห็น -_-'

    วงโคจรของ Planet X

    แล้ววงโคจรของนิบิรุจะยาวเท่ากับดาวหาง Kohoutek ไหม? คำตอบคือไม่ ส่วนจะยาวเท่าไหร่ยังไม่มีใครกล้ายืนยัน

    จริงๆแล้วนักดาราศาสตร์ปัจจุบันก็ตั้งความหวังเอาไว้เหมือนกันครับว่า น่าจะมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อีกดวง(ที่ไม่ใช่เซดนา)รอการค้นพบของพวกเขาอยู่ สาเหตุที่ทำให้นักดาราศาสตร์พากันคาดการณ์เช่นนั้นก็เพราะ พฤติกรรมอันแสนประหลาดของดาวเคราะห์รอบนอกหลายๆดวง ที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังโดนรบกวนจากแรงดึงดูดของเทหวัตถุขนาดใหญ่ ซึ่งเรายังไม่ทราบว่ามันเป็นอะไรในปัจจุบันนี้

    จารึกเกี่ยวกับดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ของชาวสุเมเรียนกล่าวว่า หนึ่งวงโคจรหรือหนึ่งคาบของดาวดวงนี้กินเวลา 3,600 ปี โดยตัวเลข 3,600 นี้ถูกเขียนเป็นสัญลักษณ์ของวงกลมขนาดใหญ่ วงกลมอันสมบูรณ์แบบที่เรียกกันว่าชาร์ (Shar) ซึ่งตีความได้สามความหมายคือ ดาวเคราะห์/วงโคจร/3600

    บันทึกของนักบวชเบรอสซัสแห่งบาบิโลเนียน ได้กล่าวถึงผู้ปกครองแผ่นดินทั้ง 10 ก่อนยุคน้ำท่วมโลก (สากลเหลือเกินนะครับ ชาติไหนตำนานใดก็ล้วนแล้วแต่มีเรื่องของน้ำท่วมโลกแทบทั้งสิ้น) หรือที่รู้จักกันในนามของ 10 Kings of Chaldeans ที่นอกจากจะระบุพระนามของกษัตริย์ผู้ปกครองทั้งสิบพระองค์แล้ว ยังมีช่วงปีที่แต่ละพระองค์ขึ้นครองราชย์ก่อนผลัดแผ่นดินอีกด้วย ที่น่าแปลกใจก็คือเวลารวมทั้งหมดจากกษัตริย์องค์แรกจนถึงองค์ที่ 10 กินเวลา 120 ชาร์ หรือ 432,000 ปี

    ส่วนรายนามกษัตริย์สุเมเรียนฉบับหนึ่งกล่าวถึงผู้ปกครองแผ่นดินแห่งราชวงศ์เทพ ทำการปกครองนครรัฐแรกของโลกคือเอริดู (Eridu) กษัตริย์สองพระองค์มีคำนำหน้านามว่า อา(A) อันหมายถึงแหล่งกำเนิดหรือต้นตระกูล
    A.LULIM ปกครองแผ่นดิน 28,800 ปี
    A.LAL.GAR ปกครองแผ่นดิน 36,000 ปี
    สองกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน 64,800 ปี
    คนหรือเปล่าครับนั่น! ทำไมถึงได้อายุยืนปานนั้น จากชื่อของเมืองและกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงอันน่าพิศวง ประการแรกคืออายุขัยของกษัตริย์เหล่านั้น ประการที่สองก็คือช่วงเวลาในแต่ละรัชกาลหารด้วย 3600 ได้อย่างลงตัว

    [​IMG]



    ข้อสังเกตดังกล่าวนำไปสู่บทสรุปบางประการครับ กล่าวคือแต่ละยุคของกษัตริย์เหล่านั้นไปมีส่วนสัมพันธ์กับวงคาบของมหาวงจรศักดิ์สิทธิ์หรือ Shar อันกินเวลา 3600 ปับนโลก ถ้าสมมติ(สมมตินะครับ เพราะเอกสารโบราณกล่าวไว้เช่นนั้น)ว่ากษัตริย์โบราณยุคก่อนน้ำท่วมโลกเป็นเชื้อสายของ Nefilim (หรือ Anunnaki) ตามที่เอกสารโบราณกล่าวอ้างและเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงที่ 12 จริง มันก็ไม่น่าแปลกที่อายุขัยและช่วงรัชกาลของกษัตริย์โบราณจะใช้หน่วยนับจากดาวเคราะห์ดวงที่ 12 คือรอบละหนึ่งชาร์หรือ 3600 ปี อนึ่ง... ดาวเคราะห์ MARDUK / NIBIRU มักถูกคนโบราณนำมาเชื่อมโยงกับสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า Winged disc ซึ่งบางครั้งถูกแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาทหรือกางเขน ซึ่งเข้ากับชื่อ Planet of Crossing พอดี๊ พอดี...

    เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว... บางท่านอาจทักท้วงขึ้น

    สมมติว่า Anunnaki หรือ Nefilim เดินทางมายังโลกในฐานะผู้ปกครองแผ่นดินจริง รวมทั้งครองราชย์เป็นระยะเวลา 28,800 หรือ 36,000 ปีจริง อะไรหมายถึงปีที่ว่า ปีของโลกมนุษย์หรือปีของ Planet X?

    เป็นคำถามที่น่าคิดมากครับ ปีในความหมายของพวกเราคือคาบเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบหนึ่งรอบ ซึ่งเราใช้เป็นหน่วยนับอายุขัยของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์สีฟ้าดวงนี้ ดังนั้นคำว่าปีของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงใดๆก็ตาม จึงน่าจะวัดตามคาบเวลาหนึ่งรอบที่ดาวดวงนั้นโคจรรอบดาวแม่ของตนด้วย โอ้โหเฮะ... เวลา 28,800 ปีบนโลกนับว่ายาวนานพออยู่แล้ว ถ้าสองหมื่นกว่าปีที่ว่าเป็นปีของดาวเคราะห์นิบิรุล่ะครับมันจะยาวนานขนาดไหนสำหรับพวกเรา?

    บังเอิญว่าในจารึกโบราณค่อนข้างชี้ชัดว่าปีในเนื้อความหมายถึงปีของโลกมนุษย์ นั่นหมายถึงบางครั้งการเทียบอายุของ Anunnaki จำเป็นต้องดูบริบทประกอบให้ดีๆว่าจารึกกำลังกล่าวถึงปีบนดาวดวงใดอยู่ อย่าลืมว่า Anunnaki ผู้มีอายุ 10 ปีนิบิรุจะมีอายุถึง 36,000 ปีโลก! ฟังแล้วก็อดนึกถึงเรื่องในพุทธศาสนาไม่ได้ ในข้อที่ว่านอกจากชมพูทวีปอันหมายถึงโลกมนุษย์ของเราแล้ว ในสากลจักรวาลยังประกอบด้วยทวีปอื่นๆที่มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอาศัยอยู่ หนึ่งวันของพวกเขากับหนึ่งวันของเรายาวไม่เท่ากัน ซึ่งก็นับว่าสอดคล้องกับเรื่องราวในจารึกโบราณของตะวันออกกลางอยู่ว่าไหมครับ?

    นอกจากนั้น วลีที่ว่า พันปีโลกเท่ากับหนึ่งปีสวรรค์ยังเป็นแนวความเชื่อสากลในหลายๆศาสนาอีกด้วย...

    Chapter Eight: Kingship of Heaven

    ข้อสังเกตอีกอย่างจากนักโบราณคดีก็คือ อารยธรรมของมนุษย์ก้าวกระโดดไปในช่วงที่บรรจบกับการมาเยือนของเทพเจ้าตามจารึกโบราณอย่างน่าพิศวง กล่าวคือ มนุษย์เริ่มเข้าสู่ยุคนิโอธีลิคเมื่อประมาณ 11,000 BC, ยุคเครื่องปั้นดินเผา 7,400 BC และอารยธรรมแบบปุบปับที่โผล่ขึ้นแบบไม่รู้ที่มาของชาวสุเมเรียนเมื่อประมาณ 3,800 BC

    จากข้อนี้แสดงให้เห็นว่าเหล่าผู้ปกครองจากห้วงอวกาศลงมาเยือนโลก และช่วยเร่งพัฒนาของมนุษยชาติอยู่เป็นช่วงๆ นั่นอาจจะหมายถึงพวกเขาเดินทางไปกลับระหว่างดาวแม่และโลกได้ไม่สะดวกนักเนื่องจากข้อจำกัดของระยะทาง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยคาบเวลาที่ดาวแม่โคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุดเป็นช่วงเวลาของการเดินทาง ซึ่งช่วงดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบทุก 3600 ปีเท่านั้น แหม... ยังกะอ่านนิยายวิทยาศาสตร์เลยครับ สารภาพตรงๆว่าผมเองก็ยังไม่ค่อยจะศรัทธาเท่าไหร่ ^^

    ย้อนกลับมากล่าวถึงดาวเคราะห์ปริศนาที่ได้ชื่อว่า Kingship of Heaven กันอีกที คำพรรณนาเกี่ยวกับ MARDUK/NIBIRU ที่ว่าทรงอาภรณ์เป็นรัศมีน่าจะเป็นรายละเอียดของดาวเคราะห์มากกว่าสำนวนกวีพาไป กล่าวคือดาวเคราะห์ดวงดังกล่าวคงมีแสงสว่างเอามากๆ ควรมีความร้อนอันเกิดจากแกนกลางของตัวมันเอง และมีบรรยากาศหนาแน่นซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่กักความร้อนแล้ว ยังสามารถทำปฏิกิริยากับความร้อนภายในและแผ่รังสีออกสู่ห้วงอวกาศได้

    [​IMG]



    ใน Enuma Elish คุณได้ทราบแล้วถึงการเฉี่ยวชนดาวดวงอื่นๆของ MARDUK/NIBIRU ก่อนที่จะมาชนกับ TIAMAT เข้าโครมเบ้อเริ่ม ตรงนี้แหละครับที่นักคิดนักเขียนหลายๆคนสงสัยกันว่า ปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตอาจจะเริ่มขึ้นตอนนี้เพียงแต่ว่ายังไม่พบสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม การเฉี่ยวชนที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับดาวดวงต่างๆนั้นมีส่วนเป็นไปได้ อย่าลืมว่าดาวเคราะห์ดวงต่างๆ เช่น ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ยูเรนัส หรือเนปจูนนั้นแม้มีสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต แต่อย่างน้อยดาวเคราะห์ที่ผมเอ่ยนามมาทั้งหมดก็ล้วนอุดมไปด้วยแร่ธาตุอันเป็นองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของชีวิต

    ปฏิกิริยาอันเกิดจากการเฉี่ยวชนได้ฟอร์มรูปแบบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเอาไว้ จนกระทั่งเมื่อมาชนเอาจังๆกับดาวเคราะห์เทียแมท จุดอุบัติของสิ่งมีชีวิตโบราณในรูปอินทรีย์สารจึงถือกำเนิดขึ้น เนื่องจากดาวเคราะห์คู่กรณีทั้งสองมีองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ตรงกันคือน้ำ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิต(อย่างน้อยก็ในรูปแบบที่พวกเรารู้จัก) โดยเฉพาะเมื่อตำนานโบราณย้ำนักย้ำหนาเกี่ยวกับการมีมหาสมุทรและแหล่งน้ำของดาวเคราะห์สองดวงนี้

    นี่ไม่ใช่แนวคิดอันเลื่อนลอยนาคุณ แม้แต่วงการวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเองก็ยังยอมรับว่า เป็นไปได้ที่กุญแจสำคัญของการอุบัติสิ่งมีชีวิตบนโลกของเรานั้นมาจากห้วงอวกาศ เจ้ากุญแจดังกล่าวอาจเป็นก้อนอุกกาบาต ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง หรืออะไรก็ตามที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่กล้าระบุ ถ้าคุณเคยอ่านแนวคิดของซุปดึกดำบรรพ์ (Primeval soup) คุณจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก แถมจะคล้อยตามทฤษฎีนี้เอาได้ง่ายๆด้วยสิครับ ฮา ฮา...

    [​IMG]

    [​IMG]




    ป.ล. ถ้ามีเวลาเดินแผงหนังสือโปรดมองหา เอกภพ สรรพสิ่ง และมนุษยชาติ ที่แปลโดยคุณรอฮีม ปรามาท มาอ่านเสีย ใครที่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ก็ให้ไปยืมจากห้องสมุด(ผมเชื่อว่ามี) ลองอ่านบทที่ 5 จากธุลีสู่ชีวิต แล้วคุณจะเข้าใจเนื้อหาของ 12th Planet ในบทที่เจ็ดและแปดนี้มากขึ้น

    MARDUK/NIBIRU ทรงโรมรันกับ TIAMAT จนสะท้านทั่วระบบสุริยะ เศษชิ้นส่วนของดวงจันทร์บริวารแห่งเทียแมทกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยบ้าง ดาวหางบ้างอย่างที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ กระนั้นก็มีอยู่ไม่น้อยที่สะเก็ดดาวเหล่านั้นถูกแรงดึงดูดของเทียแมทดึงเข้าถล่มตัวเองในลักษณะของห่าอุกกาบาต

    ...เทหวัตถุนับไม่ถ้วนที่โหมลงมา อาจมีสักชิ้นที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในการสร้างอินทรีย์สารขึ้นมาอย่างช้าๆ โดยกินเวลานับพันล้านปี

    ในปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่มั่นใจว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกของเราเกิดขึ้นได้เพราะวัตถุจากห้วงอวกาศ เพียงแต่ยังไม่มีใครบอกได้เท่านั้นเองว่าวัตถุเจ้ากรรมดังกล่าวเป็นอะไรและมาจากไหน นี่เป็นคำถามที่ยังค้างคาใจใครหลายๆคนและรอวันให้คำตอบนั้นมาถึงโดยเร็ว

    Enuma Elish: the Epic of Creation ของเมโสโปเตเมียโบราณกลับอธิบายคำตอบส่วนหนึ่ง ซึ่งวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่สามารถอธิบายได้ ก็นับว่าสมชื่อ Epic of Creation อยู่หรอก จริงไหมครับ :)

    Chapter Nine: Landing on Planet Earth

    และแล้วก็ผ่านตาไปสำหรับ Enuma Elish มหากาพย์แห่งการก่อเกิดในเวอร์ชั่นบาบิโลเนียน ที่กล่าวถึงดาวพระเคราะห์ปริศนารวมถึงรายละเอียดอื่นอีกจิปาถะที่ผมพอจะสรุปให้คุณๆฟังกันได้อย่างย่นย่อที่สุด

    Enuma Elish: Epic of Creation ทรงคุณค่าต่อมนุษยชาติอย่างล้นเหลือในฐานะมรดกโลก ทรงคุณค่าต่อนักประวัติศาสตร์ในฐานะวรรณกรรมโบราณชิ้นเอก และทรงคุณค่ากับพวกเราสาวกนิกาย Ancient Astronaut เพราะเป็นบันทึกปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ ที่ยืนยงเหนือห้วงเวลามาจนถึงทุกวันนี้

    ณ ที่นี่ บทที่เก้านี้ นายโซนิคจะพาคุณย้อนกลับมายังเวอร์ชั่นสุเมเรียน เพื่อพบกับการเดินทางอันน่าตื่นใจของสิ่งมีชีวิตบางเผ่าพันธุ์ พวกเขาเดินทางจากดาวเคราะห์ดวงที่สิบสองมายังโลก ด้วยสาเหตุบางประการที่เรายังไม่ทราบชัดนอกจากคาดเดากันไปตามหลักฐานที่มี

    [​IMG]



    ถ้าเรื่องราวหลุดโลกไปหน่อยผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ แต่ยืนยันกับคุณๆที่กำลังอ่านอยู่ครับว่าทั้งหมดเป็นผลพวงของการศึกษาตีความอย่างยาวนานของนักวิชาการบางกลุ่ม พวกเขาทุ่มเวลาเป็นสิบๆปีกว่าจะได้ผลงานลักษณะนี้ออกมา ดังนั้นวางใจได้ครับว่าคุณไม่ได้อ่านผลงานนั่งเทียนของใครคนใดคนหนึ่งอยู่ และเราไม่เคยบังคับให้ใครเชื่อหรือคล้อยตาม แค่สรุปมาให้อ่านเอาสนุก อ่านพอเป็นพื้นฐานในการศึกษาเพิ่มเติม(หากคุณสนใจ) เพราะในปัจจุบันเนื้อหาแขนงนี้มีแหล่งข้อมูลอยู่มากมายทั้งที่เป็นหนังสือหรือบนเน็ต

    และนี่คือบันทึกทางประวัติศาสตร์ (ถ้าคุณเลือกที่จะเชื่อว่ามันเป็น) ของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง ซึ่งเดินทางมายังโลกเมื่อประมาณสี่แสนปีที่แล้ว สิ่งมีชีวิตที่ชาวเมโสโปเตเมียขนานนามว่า the Nefilim/Anunnaki เทพเจ้าผู้เสด็จลงมาจากเบื้องบน

    สู่ผืนพิภพ...

    ในห้วงแห่งรุ่งอรุณของยุคบุกอวกาศ มนุษย์สามารถนำพาตัวแทนของตนเยื้องย่างก้าวแรกลงบนดวงจันทร์ ถึงกระนั้นเรายังไม่สามารถพาตัวแทนไปเยือนดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆได้เลย ที่ทำได้ก็เพียงแต่ใช้ยานอัตโนมัติที่ไร้มนุษย์โดยสารบินไปสำรวจดาวดวงใกล้ๆเท่านั้น การท่องไปยังดวงดาวต่างๆเป็นความฝันของมวลมนุษยชาติว่าคงจะเป็นไปได้ในอนาคตที่กำลังจะมาถึง ในความปลื้มปิติของความฝันนี้ เราอาจลืมไปว่าเมื่ออดีตกาลนานมาแล้ว มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งได้ทำความฝันของเผ่าพันธุ์ตนให้เป็นจริง พวกเขานำยานอวกาศมาเยือนดาวเคราะห์ดวงที่สามของระบบสุริยะที่มีนามว่า Planet Earth สำเร็จมาแล้วเช่นกัน

    ผมขอเรียกมนุษย์กลุ่มนั้นว่า Nefilim ตามคำเรียกของคนโบราณนะครับ เพราะมนุษย์มาจากคำว่า มน + อุษย แปลว่าผู้มีความคิดจิตใจอันประเสริฐ ตามคำจำกัดความนี้ Nefilim ย่อมสามารถจัดเป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์หนึ่งได้เช่นกัน ส่วนจะเหมือนหรือต่างจากโฮโมเซเปี้ยนอย่างพวกเราแค่ไหนขอยกยอดไปอธิบายในบทหลังๆ ตอนนี้ขอเล่าเรื่องของ Nefilim (หรือ Anunnaki)ไปพลางๆก่อน

    เราไม่ทราบว่าเนฟิลิมและอารยธรรมของพวกเขาอุบัติขึ้นมาเมื่อใด ทราบเพียงแต่พวกเขาอาศัยอยู่บนดาวยักษ์ดวงใหญ่ที่ชื่อนิบิรุ (MARDUK/NIBIRU) ด้วยวงโคจรอันยาวไกลเกินจะจินตนาการ ดาวเคราะห์นิบิรุจึงเสมือนหนึ่งยานอวกาศขนาดยักษ์นำพาบรรดาเนฟิลิมท่องไปสุดห้วงอวกาศ และวนกลับสู่ระบบสุริยะเมื่อถึงกาลวาระของมัน

    จนกระทั่งวันที่เทคโนโลยีของเนฟิลิมเข้าขั้นเหยียบอวกาศ พวกเขาพากันออกเดินทางสำรวจดาวเคราะห์ต่างๆในระบบสุริยะ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าโลกของเราก็ได้ถูกพวกเขาส่งยานมาสำรวจแถมปักหลักตั้งรกรากอยู่เป็นเวลายาวนาน มรดกที่เนฟิลิมทิ้งไว้ให้คือคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ Nefilim-พระเจ้าจากอวกาศสอนมนุษยชาติให้รู้จักที่จะฝันแล้วแหงนมองท้องฟ้า เฉกเช่นเดียวกับที่ยะโฮวาสอนให้อับราฮัมกระทำเมื่อนานมาแล้ว

    เรื่องราวของพวกเขาถูกบันทึกไว้ในรูปของพงศาวดารดึกดำบรรพ์ ตำนาน และกลายเป็นเทพปกรณัมในภายหลัง มนุษย์ปัจจุบันต้องอาศัยการตีความ ใช้วิทยาศาสตร์เข้าคลี่คลายเงื่อนงำของข่าวสารที่ซ่อนเร้นเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนล่ะครับว่า บางเรื่องง่ายแสนง่าย บางเรื่องยากจนรากเป็นเลือด โดยเฉพาะบันทึกเชิงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าและดาวเคราะห์

    ในเวอร์ชั่นบาบิโลเนียนของ Enuma Elish คุณคงจำกันได้ว่าดาวเคราะห์ของเทพเจ้า Enlil คือดาวเนปจูน แต่ในเวอร์ชั่นสุเมเรียนที่เรากำลังพูดถึงนั้น ชาวสุเมเรียนกลับยกดาวเคราะห์ดวงหนึ่งให้กับ Enlil ดาวดวงนี้มีสัญลักษณ์เป็นเจ็ดดาวเหนือ เอ๊ย...ดาวเจ็ดจุด (seven dot) ไอ้เจ้าสัญลักษณ์ที่ว่านี้แหละครับที่เป็นตัวยืนยันว่า ตำนานการมาเยือนของพระเจ้าจากอวกาศไม่น่าจะเป็นเพียงเรื่องเหลวไหลที่คนรุ่นหลังคิดกันขึ้นมาเอง แถมยังสอดคล้องกับความเป็นจริงเสียด้วย ทำไมน่ะหรือ?

    ท่านที่เคยอ่านเรื่องราวของชาวสุเมเรียนมาบ้างคงทราบกันดีว่า โลกของเราถูกคนโบราณยกให้เป็นดาวเคราะห์ของเทพเอนลิล มีสัญลักษณ์แทนตัวด้วยจุดเจ็ดจุดอันหมายความว่าโลกคือดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด - ในสายตาของเนฟิลิม

    มั่วหรือเปล่าคุณโซนิค... หลายท่านอาจทักท้วงมา เพราะโลกของเรานั้นเด็กอมมือมันยังรู้เลยว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่สามในบรรดาดาวบริวารของดวงอาทิตย์ นั่งนับนอนนับยังไงก็ได้อันดับสาม มั่ว มั่ว มั่ว...

    [​IMG]



    เอ๋... คุณนับยังไงครับถึงได้อันดับสาม? อ้อ... นับจากดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางใช่ไหมครับ อันนั้นผมไม่เถียงหรอกเพราะมนุษย์เราอาศัยอยู่ด้านในของระบบสุริยะ ดังนั้นการลำดับดาวเคราะห์ของเราจึงเป็นปกติธรรมดามากที่จะเรียงจากในไปหานอก

    ทีนี้ถ้าเกิดเราอาศัยอยู่นอกระบบสุริยะล่ะครับ พวกเราอยู่บนดาวซักดวงที่ถัดจากพลูโตออกไปและต้องการเดินทางมายังโลก ในระหว่างเดินทางนั้นเราต้องทำปูมการเดินทางว่าผ่านดาวเคราะห์ดวงใดมาบ้าง เราจะจัดอันดับดาวเคราะห์ตามรายทางอย่างไรครับ? get แล้วใช่ไหมเอ่ย :) จากนอกระบบสุริยะดาวเคราะห์ดวงแรกที่พวกเราต้องผ่านคือพลูโต ต่อมาเป็นดาวเนปจูน และผ่านยูเรนัสเป็นอันดับที่สาม-ไม่ใช่ผ่านโลก สี่ก็เป็นดาวเสาร์ ห้าดาวพฤหัส หกดาวอังคาร...

    โดยมีโลกของเราเป็นดาวเคราะห์ลำดับที่เจ็ด ถูกต้องไหมล่ะครับ?

    ชาวสุเมเรียนโบราณไม่ได้แทนสัญลักษณ์ทางตัวเลขให้กับโลกเพียงดวงเดียวหรอกนะครับ ดาวศุกร์(อันควรเป็นลำดับที่แปดเมื่อนับจากภายนอกเข้ามา)ก็มีสัญลักษณ์เป็นดาวแปดแฉก ตัวแทนของเทวีอิชตาร์(Ishtar)เทพธิดาแห่งสงครามและความรัก ส่วนดาวอังคสารนั้นเล่าก็เป็นตัวแทนของเทพ Nergal (ภายหลังคือ Nabu) ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ของบัลลังก์ที่มีดาวหกแฉกลอยอยู่เบื้องบน ซึ่งดาวอังคารก็นับเป็นอันดับหกหากคุณเดินทางเข้าสู่ใจกลางระบบสุริยะ คิดว่าบังเอิญหรือเปล่าครับแบบนี้?

    นอกจากนั้นก็มีสัญลักษณ์อื่นๆที่น่าสนใจ เช่น ดวงอาทิตย์-ดวงจันทร์ ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์สากลที่เราใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ สัญลักษณ์ดังกล่าวมีต้นกำเนิดมาจากตะวันออกกลางนี่เอง และที่ลืมเสียไม่ได้ก็คือสัญลักษณ์ของดาวเคราะห์ที่ผลุบๆโผล่ๆตามตำนานโบราณ เครื่องหมายกางเขนอันเป็นตัวแทนของ Nibiru: the Planet of Crossing

    ในหนังสือ 12th Planet ของ Zecharia Sitchin กล่าวถึงสถานี(Sattion)ทั้งเจ็ดของเนฟิลิม อันหมายถึงจุดผ่านทางหลักๆจากดาวเคราะห์ของพวกเขามาสู่โลกมนุษย์ รายชื่อของสถานีดังกล่าวได้แก่


    สถานีแรก

    The Sattion of Marduk -House of Holiness.
    สถานีที่สอง
    Where the field separates.
    สถานีที่สาม
    Lord of Poured - Out fire.
    สถานีที่สี่
    Holy place of destinies.
    สถานีที่ห้า
    The roadway.
    สถานีที่หก
    Traveller's ship
    สถานีที่เจ็ด
    House of building life on Earth.
    เชื่อกันว่าชื่อของแต่ละสถานี เป็นคำพรรณนาถึงการเดินทางผ่านดาวเคราะห์แต่ละดวง สถานีแรกหมายถึงพลูโต, สถานีที่สองคือเนปจูน,... จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทางคือโลกของเรา ที่ซึ่งตำนานกล่าวไว้ว่าเป็นที่ๆเทพเจ้า Marduk ทรงกำหนดให้เป็นเรือนพำนัก(House of Resting) ที่ปวงเทพจะใช้เป็น the house of building life on Earth เป็นลำดับต่อๆไป

    Chapter Nine: Landing on Planet Earth

    Aeronautics and Space Administration of the Nefilim

    ลองมาดูกันนะครับ ว่าปูมการเดินทางของนักบินอวกาศยุคโบราณเหล่านี้มีเรื่องราวของการเดินทางสู่ระบบสุริยะ กว่าจะมาถึงโลกของเราอย่างไรบ้าง

    Nefilim แบ่งโซนเป้าหมายของพวกเขาออกเป็นสองโซนใหญ่ๆ โดยเรียกว่าโซนแห่งความสับสนและโซนแห่งการเดินทางตามลำดับ ภาพจากต้นฉบับโบราณแสดงการแบ่งภาพของห้วงอวกาศออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆด้วยกัน ส่วนแรกประกอบด้วยสัญลักษณ์แทนดาวเคราะห์เจ็ดดวง จากพลูโตเรียงมาจนถึงโลก ส่วนที่สองเนฟิลิมใช้เป็นจุดชี้เส้นทางของพวกเขา ประกอบด้วยสัญลักษณ์ของดวงจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวพุทธ และดวงอาทิตย์ตามลำดับ ทั้งสองส่วน(หรือโซน-เขตแดน)ถูกคั่นกลางด้วยสัญลักษณ์รูปแท่งในรูปแบบ 7 ต่อ 4 ครับ

    มากล่าวถึงโซนชี้ทางกันก่อน สัญลักษณ์ของดวงจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวพุทธ ดวงอาทิตย์ถูกเรียกรวมกันว่า GIR.HE.A อันหมายถึง celestial waters where rockets are confused, MU.HE (confusion of spacecraft - ยังจำความหมายของ MU และ SHEM ในบทแรกๆได้อยู่ใช่ไหมครับ ^^) หรือ UL.HE (band of confusion) ก็แปลกดีเหมือนกันว่าทำไมเนฟิลิมจึงระบุเขตแดนเหล่านี้ว่าเป็นโซนแห่งความสับสน

    บางทีเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับดาวเทียมของโลกเราอย่างสดๆร้อนๆน่าจะให้คำตอบได้...

    เมื่อเร็วๆนี้วิศวกรของ Comsat (Communication Satellite Corporation) ได้ค้นพบปรากฏการณ์ทางธรรมชาตที่เล่นตลกกับดาวเทียมของพวกเขา ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้รบกวนจนดาวเทียมหลายดวงเกิดอาการรวนหรือไม่ก็ปิดวงจรของตัวไป สาเหตุเกิดการการรบกวนของอนุภาคจาก Solar flares และแสงสะท้อนจากดวงจันทร์ซึ่งเป็นแสงอินฟราเรด คาดว่าอาการลักษณะเดียวกันคงเกิดขึ้นกับยานอวกาศของเนฟิลิมด้วย พวกเขาจึงระบุเขตอันตรายต่อวงจรของระบบขับเคลื่อนว่าเป็น zone of confusion เมื่อเดินทางเข้ามาใกล้โลกและต้องผ่านไปยัง ดาวศุกร์ ดาวพุทธ และดวงอาทิตย์




    [​IMG]



    พลูโตและดวงจันทร์คารอน



    [​IMG]




    ดาวเสาร์ เทพผู้ลงทัณฑ์


    ในบทที่เจ็ด Enuma Elish คุณได้เรียนศัพท์ภาษาบาบิโลเนียนที่ใช้เรียกดาวเคราะห์ไปหลายคำแล้ว ในบทนี้ผมจะสอนศัพท์ภาษาสุเมเรียนอีกหลายคำให้คุณด้วยเช่นกันครับ :)

    สู่ระบบสุริยะ

    ...ดาวเคราะห์ดวงแรกที่เนฟิลิมต้องเดินทางผ่านคือดาวพลูโต ชื่อพลูโตในภาษาสุเมเรียนคือ SHU.PA (supervisor of SHU) ซึ่งตามความเชื่อของพวกเขานั้นดาวพลูโตจะทำหน้าที่ประหนึ่ง รปภ. เอ๊ย... องครักษ์คอยปกป้องทางเข้าสู่แกนกลางของระบบสุริยะ ต่อจากพลูโตก็จะเป็น IRU (loop-ดาวเนปจูน) ยานอวกาศของเนฟิลิมใช้เนปจูนเป็นจุดสังเกตในการตีวงโค้งหรือลูปเพื่อปรับเป้าหมายของยานให้ตรงทิศทาง ในบางครั้งเนปจูนถูกเรียกว่า HUM.BA (swampland vegetation) สักวันหนึ่งหากมนุษย์มีโอกาสเยือนเนปจูน เราคงจะได้ทราบกันแหละครับว่าดาวเนปจูนจะมีแหล่งน้ำสมกับชื่อ swampland อย่างที่เนฟิลิมเรียกขานกันไหม

    ...ดาวยูเรนัสถูกเรียกว่า Kakkab Shanamma (planet is the double) ซึ่งก็เป็นข้อพิสูจน์ภูมิความรู้ทางดาราศาสตร์ของคนโบราณ(ที่ได้รับการถ่ายทอดจากเนฟิลิม)อีกเช่นเคย พวกเขารู้ในสิ่งที่วิทยาศาสตร์ศตวรรษที่ยี่สิบเพิ่งจะรู้เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ ว่ายูเรนัสเปรียบเหมือนฝาแฝดของเนปจูนอย่างแท้จริงทั้งขนาดและรูปร่าง ในตำราว่าด้วยรายชื่อดาวเคราะห์ของสุเมเรียนเล่มหนึ่งเรียกยูเรนัสว่า EN.TI.MASH.SIG หรือดาวผู้นำสรรพชีวิตสีเขียว หรือว่าภายใต้บรรยากาศและพื้นผิวของดาวยูเรนัสมีแหล่งน้ำอยู่ด้วยเช่นกันครับ?

    ต่อจากยูเรนัสเนฟิลิมต้องผ่านดาวเสาร์ ดาวยักษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกเป็นสิบเท่า ใครๆก็ประทับใจวงแหวนอันสวยงามของดาวพระเคราะห์ดวงนี้ แต่ภายใต้ความงามเหล่าเนฟิลิมได้ระบุถึงความน่าเกรงขามแห่งอันตรายที่มีต่อยานอวกาศของพวกเขา เราไม่อาจแน่ใจได้ครับว่าอันตรายที่ว่ามาจากแรงดึงดูดของดาวเสาร์ซึ่งแน่ล่ะว่าดาวดวงบะเฮิ่มขนาดนั้นต้องมีแรงดึงดูดอันมหาศาล หรือมาจากวงแหวนอันประกอบด้วยวัตถุธาตุที่สามารถทำอันตรายกับยานที่เดินทางมาด้วยความเร็วสูงกันแน่



    [​IMG]



    ดาวพฤหัสและดวงจันทร์บริวาร




    [​IMG]



    เมฆหมอกบนดาวเนปจูน สามมุม ถ่ายโดยกล้องฮับเบิล 1994


    ก็เป็นอันว่าการเดินทางของเนฟิลิมในเที่ยวนี้เกิดอาการพระเสาร์แทรกโดยพระศุกร์ไม่จำเป็นต้องเข้า เนฟิลิมจึงเรียกดาวเสาร์ว่า TAR.GALLU (the great destroyer) ความหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากดาวเสาร์นี้สะท้อนออกอย่างชัดเจนในวัฒนธรรมของโลกยุคหลังโดยเฉพาะตะวันออกกลาง ที่ให้บทบาทของดาวเสาร์เป็นดาวประจำองค์ของเทพแห่งการลงทัณฑ์

    มีรายละเอียดกล่าวถึงในจารึกโบราณที่พบที่ Akitu ดังนี้


    It has been created like a weapon;

    It has charged forward like death
    The Anunnaki who are fifty,
    it has smitten...
    The flying, birdlike SHU.SAR
    it has smitten on the breast
    จารึกไม่ได้ระบุเอาไว้ครับว่ามัน(it)ที่ทำลาย SHU.SAR (ชื่อของพาหนะที่แปลว่า the flyingsupreme chaser) และนักบินทั้งห้าสิบคนนั้นเป็นอะไร นอกจากบ่งเป็นนัยๆว่าเป็นผลอันเกิดจากดาวเคราะห์ดวงใหญ่ เทพแห่งการลงทัณฑ์ที่มีนามว่าดาวเสาร์

    ...เนฟิลิมเรียกดาวเคราะห์ดวงที่ห้าว่าบาบูรู(Barburu) - the bright one ในบางครั้งก็เรียกว่า SAG.ME.GAR (great one, where the space are fastend) นอกจากนั้นยังมีฉายาเพิ่มเติมว่า SIB.AN.NA-ผู้นำทางแห่งสวรรค์ และอธิบายถึงบทบาทของดาวพฤหัสในการใช้กำหนดเส้นทางของยานอวกาศ เนฟิลิมต้องระวังจนตัวลีบเมื่อยานเดินทางผ่านเขตอoัตรายอย่าง Asteroid belt ที่คั่นระหว่างดาวพฤหัสและดาวอังคาร

    UTU.KA.GAB.A (light established at the gate of the waters) เป็นชื่อเรียกของดาวอังคาร ความหมายของชื่อดาวดังกล่าวผูกติดกับกำไลสวรรค์ (celestial bracelet) อันเป็นชื่อที่ชาวสุเมเรียนโบราณและไบเบิลใช้เรียก Asteroid belt อย่างลึกซึ้ง แสงสว่างแห่งประตูน้ำ(UTU.KA.GAB.A)หมายถึงจุดที่ตั้งอยู่ ณ ประตูซึ่งกั้นกางระหว่าง upper waters และ lower waters ของระบบสุริยะ ประตูนี้เป็นคำอธิบาย Asteroid belt ในสไตล์สุเมเรียนที่กั้นดาวเคราะห์ชั้นในกับชั้นนอกออกจากกัน ในบางครั้งดาวอังคารถูกเรียกว่า Shelibbu - ผู้ที่อยู่ใกล้ศูนย์กลาง(ของระบบสุริยะ)

    ยานอวกาศ

    ภาพประหลาดที่ปรากฏบนผนึกโบราณแสดงให้เห็นถึงวัตถุบางอย่างลอยผ่านดาวอังคารไป นั่นเป็นภาพของยานอวกาศที่เนฟิลิมโดยสารมาและกำลังทำการติดต่อกับสถานีสื่อสารบนโลกอยู่ Zecharia Sitchin กล่าวเอาไว้ในหนังสือของเขาว่า

    "ภาพวัตถุที่ปรากฏในงานเขียนโบราณชิ้นนี้ที่จริงคือภาพสัญลักษณ์ของดาวเคราะห์ดวงที่สิบสอง, the Winged Globe แต่รายละเอียดของมันดูต่างออกไป มันดูคล้ายเครื่องจักรมากกว่าสัญลักษณ์ตามปกติ ดูที่ปีกของ winged globe สิครับ คล้ายกับแผงสุริยะที่ยานอวกาศอเมริกันใช้แปลงพลังงานจากดวงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าหรือเปล่า เสาอากาศสองเส้นนั่นก็ด้วย...


    [​IMG]


    ...ยานรูปวงกลมที่มีมงกุฏครอบอยู่ด้านบน ด้านข้างประกอบด้วยปีกและเสาอากาศ ตำแหน่งของยานถูกระบุว่าลอยอยู่บนสวรรค์ กึ่งกลางระหว่างดาวอังคาร(สัญลักษณ์ดาวหกแฉก) โลกแล้วก็ดวงจันทร์ เห็นแล้วคุณคิดว่ามันเป็นอะไรล่ะครับ?"

    บนโลกเทพเจ้ากลุ่มหนึ่งกำลังทักทายนักบินซึ่งยังอยู่บนสวรรค์ใกล้กับดาวอังคาร ภาพของนักบิน(เนฟิลิม)สวมชุดเต็มยศที่ทำเอาท่อนล่างกลายเป็นมนุษย์ปลาไปเลย นี่อาจจะเป็นต้นตอแห่งตำนานมนุษย์มัจฉาของชาวโดกอนแห่งอาฟริกา แต่ที่แน่ๆเนฟิลิมเหล่านี้คือบรรดามนุษย์มัจฉาของเทพเจ้าอีอา(EA) หรือ ENKI เทพและนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสภาเทพนั่นเองครับ

    ...และแล้วพวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด

    The 12th Planet - ตอนที่ 6 - Earth chronicles - Mythland | The Mysterious World,เรื่องลึกลับ,UFO,จานบิน,มนุษย์ต่างดาว,เอเลี่ยน,ดาวอังคาร,Nibir

    บทความอื่นที่เกี่ยวข้องมีทั้งหมด 9 ตอน
    http://mythland.org/v3/forum-12-1.html

    อื่นๆ
    http://palungjit.org/threads/ดาวเคราะห์ดวงที่-12-planet-x.153085/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2010
  15. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    [​IMG]

    พี่ปราบบบบบบบบ!!!

    ลูก มีแย้ว

    หาโต๊ะ กะ ไม้คิว ด่วน
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลูก มีแย้ว
    สามี ก็มีแย้ว นั่งประกบอยู่เนี่ย แหะ แหะ >> [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2010
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ...........catt2..........​
     
  18. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    rabbit_sleepy......[​IMG]
     
  19. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    ......................???????????
     
  20. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    วันนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสกับผมว่า
    พระพุทธองค์ : ถ้าเธอปรารถนาจะเป็นอย่างเราเธอก็เป็นได้

    ผมหยุดคิดตัดสินใจพักนึง....แล้วกราบทูลพระองค์ว่า
    ผม : ข้าพระบาทปรารถนาพระนิพพานในชาติปัจจุบัน

    พระพุทธองค์ทรงตรัสกับผมอีกว่า
    พระพุทธองค์ : .............................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...