นี่ ๆ เหล่านักปฏิบัติ จ๋าาา ช่วยวิสัชนา ตอบ นู๋บี ทีซิ ว่า ขรัวตาจะตีไหมค้าาาาาาาา ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย 5th-Lotus, 20 ตุลาคม 2009.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    28 เมษายน
    ปฏิบัติการมารครองโลก คำนำ 6.......ลัทธิซาตานนิยม




    มีหลักฐานเอกสารมากมายที่พิสูจน์ว่า ไพค์เป็นหัวหน้าสอนลัทธิซาตานเหมือนกับไวฮอพท์ นอกจากจดหมายที่เขาเขียนถือมาสซีนีใน คศ.1871 แล้ว เขายังเขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่งถือสภาแพลลาเดียน เมื่อวันที่ 14 กรกฏาคม 1889 อธิบายถึงคำสอนของพวกมารร้ายเกี่ยวกับการสักการะบูชาซาตานด้วย ส่วนหนึ่งของจดหมายกล่าวว่า


    "สิ่งที่เรากล่าวแก่ฝูงชนก็คือ เราเคารพสักการะพระเจ้า แต่มันเป็นพระเจ้าที่คนเคารพโดยไม่ต้องมีความเชื่อ ศาสนาจะถูกรักษาไว้ในความบริสุทธิของคำสอนแห่งซาตาน.......ใช่แล้ว ซาตานคือพระเจ้า และอโดเน (ชื่อที่พวกซาตานเรียกพระเจ้าที่เราเคารพบูชา) ก็เป็นพระเจ้าด้วย เพราะความสมบูรณ์นั้น เกิดขึ้นได้จากพระเจ้า 2 องค์ ดังนั้นคำสอนของซาตานจึงนอกรีตนอกรอยศาสนาและความจริง และศาสนาแห่งปรัชญาอันบริสุทธิ์ ก็คือการเชื่อในเรื่องซาตานเท่ากับเชื่อในอโดเน แต่ซาตานพระเจ้าแห่งแสงสว่างและพระเจ้าแห่งความดีกำลังต่อสู้กับอโดเน พระเจ้าแห่งความมืดและความชั่วอยู่เพื่อมนุษยชาติ"


    คำโฆษณาของพวกซาตาน ได้ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า ทุกคนที่คัดค้านศาสนาคริสต์เป็นพวกปฏิเสธพระเจ้า นี่เป็นการโกหกของพวกเผยแพร่ลัทธิมารร้ายระดับสูง เพื่อให้มนุษย์เห็นว่า มันเป็นไปไม่ได้ ที่จะสถาปนาแผนการปกครองจักรวาลของพระผู้เป็นเจ้าบนโลกนี้ ดังที่มันได้พูดไว้กับพ่อแม่คนแรกของเราในสวนแห่งเอเดน ซึ่งคัมภีร์บทแรกหรือปฐมกาลกล่าวไว้


    พวกนักเผยแพร่ลัทธิมารร้าย จะทำงานอยู่ในความมืด และมันจะอยู่หลังฉากตลอดเวลา พวกนี้จะปิดบังตัวเองและจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนไว้เป็นความลับ แม้แต่กับคนที่มันหลอกลวงให้มาทำงาน พวกนี้รู้ว่าความสำเร็จขั้นสุดท้าย ในการยึดอำนาจของรัฐบาลโลกนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปิดบังตัวเอง และจุดประสงค์ที่แท้จริงไว้เป็นความลับ จนกว่าพวกมันจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นราชาของโลกได้โดยเด็ดขาด


    ใน คศ.1925 พระคุณท่านโรดิเควช อาร์คบิชอปแห่งซานติอาโก ประเทศชิลี ได้พิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "The Mystery of Freemasonry Unveiled" เพื่อเปิดโปงว่าพวกอีลูมินาติ พวกซาตานและพวกลูซีเฟอร์ตั้งสมาคมลับซ้อนสมาคมลับขึ้นมาอย่างไร ท่านได้แสดงหลักฐานมากมายที่พิสูจน์ว่า แม่แต่พวกเมสันระดับที่ 32 และ 33 ก็ยังไม่รู้ว่าในลอดจ์แห่งแกรนด์ โอเรียนท์และพวกแพลลาเดียนที่ปฏิรูปขึ้นใหม่ของไพค์ กำลังทำอะไรกันอยู่ ในหน้า 108 ท่านได้อ้างว่า ก่อนที่ไพค์จะเลือกเลมมีให้มารับตำแหน่งผู้นำขบวนการปฏิวัติโลกต่อจากมาสซีนีนั้น เลมมีเป็นพวกบ้าคลั่งและเป็นพวกซาตาน แต่หลังจากที่เค้าได้รับเลือกแล้วเขาก็ยอมรับอุดมการณ์ของพวกลูซีเฟอร์


    สำหรับคริสเตียนโดยทั่วไปแล้วทุกคนต่างก็ยอมรับว่า โลกนี้มีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติอยู่ 2 อย่าง อย่างหนึ่งคือสิ่งที่เราเรียกว่าพระเจ้า ซึ่งคัมภีร์เรียกพระองค์ด้วยนามต่างๆ และอีกอย่างหนึ่งคือสิ่งที่เราเรียกว่ามารร้าย ซึ่งก็มีหลายนามด้วยเหมือนกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่จะต้องจดจำก็คือพระคัมภีร์บอกเราว่า บรรดาผู้ที่หันห่างออกจากพระผู้เป็นเจ้านั้น จะถูกพวกลูซีเฟอร์ ซาตานและมารร้าย สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย และพวกเขาจะเกลียดผู้ปกครองของตนเอง เกลียดตัวเองและเกลียดชังซึ่งกันและกัน และพวกเขาจะรู้ว่า พวกเขาถูกล่อลวงให้หันห่างออกจากพระเจ้า และสูญความรักและมิตรภาพไปตลอดกาล


    เมื่อท่านอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ท่านจะเข้าใจว่าการต่อสู้ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ มิใช่เป็นการต่อสู้ในโลกแห่งวัตถุ และมิใช่เป็นการต่อสู้ชั่วคราว มันเริ่มมาตั้งแต่ในส่วนของจักรวาลที่เราเรียกว่า "โลกแห่งสวรรค์" แล้วจุดประสงค์ของมันก็คือ เพื่อที่จะดึงจิตใจมนุษย์ให้หันห่างจากความดีงาม ความรัก หรือพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะต้องเปิดเผยความจริงในเรื่องนี้ให้กับคนที่กำลังเดินไปสู่กับดักของมัน ได้ทราบมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สงครามและการปฏิวัติทำให้พวกมารร้ายเก็บเกี่ยววิญญาณของมนุษย์ไปได้มาก เพราะ "หลายคนที่ถูกเรียกและน้อยคนนักที่ถูกเลือก" (มัธธิว 20:16, 22:14) เรามักจะได้ยินสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ว่าเป็น "สงความเพื่อความปราถนาของมนุษย์" นั่นเป็นความจริงเพียงครึ่งหนึ่งและมันเลวยิ่งกว่าการโกหกเสียอีก แผนการของไวฮอพท์ต้องการที่จะ


    1.ทำลายระบบกษัตริย์รวมทั้งรัฐบาลแห่งชาติทั้งหมดที่มีอยู่
    2.ทำลายมรดกหรือสิ่งที่ตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น
    3.ทำลายทรัพย์สินส่วนบุคคล
    4.ทำลายความรักชาติ
    5.ทำลายสถาบันครอบครัว ในฐานะที่เป็นหน่วยแรกสุดของการกำเนิดอริยะธรรม
    6.ทำลายศาสนาทุกศาสนาที่มีอยู่ เพื่อที่จะสร้างอุดมการณ์ลูซีเฟอร์บนมนุษย์ได้

    jimmy

    ปฏิบัติการมารครองโลก คำนำ 6.......ลัทธิซาตาน&#
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    30 เมษายน
    ปฏิบัติการมารครองโลก คำนำ 7.......แผนการขั้นสุดท้าย

    กองบัญชาการของพวกวางแผนการร้ายในตอนหลังจาก คศ.1700 นั้นอยู่ในแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมัน อันเป็นสถานที่ตั้งของธนาคารร๊อธไชล์ด ซึ่งใช้เป็นแหล่งติดต่อกับนักการเงินสากลอื่นๆ ที่ "ขายวิญญาณของตนให้แก่มารร้าย" หลังจากการเปิดโปงของรัฐบาลบาวาเรียเมื่อ คศ.1786 พวกพระชั้นสูงของลัทธิลูซีเฟอร์ ก็ได้ตั้งกองบัญชาการของพวกตนขึ้นใหม่ในสวิสตเซอร์แลนด์ แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา กองบัญชาการของพวกนี้ตั้งอยู่ในอาคารฮาโรลด์ แพรต ในเมืองนิวยอร์ค โดยมีร๊อคกี้เฟลเลอร์ ทำหน้าที่แทนร๊อธไชล์ด(ในสหรัฐอเมริกา) ในเรื่องเกี่ยวกับการเงิน

    ในขั้นสุดท้ายของแผนการร้าย รัฐบาลจะประกอบด้วยกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจเด็ดขาด วิหารของพวกซาตาน มหาเศรษฐีสองสามคน พวกนักเศรษฐศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่่า อุทิศตัวให้กับแนวทางของลูซิเฟอร์ ที่เหลือทั้งหมดจะถูกรวมเข้าเป็นเป็นกลุ่มมนุษย์ลูกครึ่งโดยการผสมเทียมที่ทำกันทั้งโลก ในหนังสือ "The Impact of Science on Society" หน้า 49-51 ผู้เขียนเบอร์ทรันด์ รัสเซล ได้กล่าวว่าจะมีการใช้ ผู้หญิงไม่เกิน 30% ของจำนวนผู้หญิงทั้งหมด และผู้ชาย 5 % ในการผสมพันธุ์ การผลิตประชาชาติใหม่นี้ จะทำการเข้มงวดในด้านรูปแบบและจำนวนตามที่รัฐต้องการ

    คำบรรยายที่ผู้นำระดับบริหารของพวกแพลลาเดียน (ก่อตั้งโดยไพค์) กล่าวกับที่ประชุมสมาชิกของแกรนด์ โอเรียนท์ ลอดจ์ แห่งปารีส เนื่องในโอกาสครบรอบศตวรรษว่า

    "ภายใต้อิทธิพลของเรา นักกฏหมายของพวกโกยิม (ฝูงวัวความมนุษย์) จะถูกลดให้เหลือน้อยลง ความเชื่อถือในกฏหมายจะถูกทำลาย โดยอำนาจการตีความโดยอิสระเสรี ในเรื่องที่สำคัญๆ ศาลจะตัดสินตามที่เรากำหนดให้ พวกเขาจะปกครองกันเองและเป็นเครื่องมือให้แก่เรา โดยที่เราไม่ต้องไปยุ่งกับพวกเขา แม้แต่วุฒิสมาชิก และฝ่ายบริหารระดับสูงกว่านั้นก็ยังยอมรับสภาของเรา..."

    จะปฏิเสธไหมว่าแผนการร้ายที่ไวฮอพท์ปรับปรุงแก้ไขภายหลัง คศ.1800 ได้เป็นไปทุกอย่างตามที่กำหนดไว้แล้ว ดังจะเห็นได้จาก อาณาจักรรัสเซียและเยอรมันถูกทำลายลง ส่วนอังกฤษและฝรั่งเศษถูกลดฐานะลง กลายเป็นมหาอำนาจระดับสาม กษัตริย์ต่างๆ ก็ต้องมีอันหล่นจากบัลลังค์ราวกับผลไม้ที่สุกจนเต็มแก่แล้วและประชาชาติก็ถูกแบ่งให้เป็น 2 ค่ายให้เป็นปรปักษ์กัน เพราะคำโฆษณาที่พวกอีลูมินาติปลุกระดม สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ผ่านมาเราได้เห็นคนคริสเตียนเดินหน้าเข้าห้ำหั่นประหัตประหารกันเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

    การปฏิวัติครั้งใหญ่ในรัสเซียและจีน ก็เป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ลัทธิคอมมิวนิสต์ถูกสร้างขึ้น จนกระทั่วมันมีความแข่งแกร่งเท่ากับคริสตจักร วิกฤตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตะวันออกกลางและทั่วโลกก็กำลังเป็นชนวนก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมา หลังจากนั้น ด้วยความโง่ของคนความปั่นป่วนวุ่นวายครั้งใหญ่ก็จะเกิดขึ้น และการเป็นทาสทั้งร่างกาย ความคิดและจิตใจก็จะตามมา เว้นแต่เราจะหยุดมันเสียก่อนในขณะนี้

    เราก็ได้เห็นแล้วว่า คอมมิวนิสต์กำลังโตวันโตคืนในประเทศเสรีนิยม หน่วยข่าวกรองของอังกฤษ แคนาดา และสหรัฐ สามารถที่จะจับผู้นำคอมมิวนิสต์ได้ภายใน 24 ชั่วโมงที่ได้รับคำสั่ง แต่ทำไมพวกนี้ถึงไม่ได้รับอนุญาตให้จัดการ คำตอบน้ั้นง่ายนิดเดียว

    นั่นคือ เป็นเพราะนโยบายรัฐบาลประเทศดังกล่าว ได้รับการแนะนำจากพวกตัวแทนของอีลูมินาตินั่นเอง

    ถ้าหากเอฟบีไอ หรืออาซีเอ็มพีจับกุมพวกคอมมิวนิสต์ ศาลสูงของประเทศเหล่านี้ก็จะหาเหตุปล่อยตัวพวกเหล่านี้ไป เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไรว่า พวกคอมมิวนิสต์ มิได้ถูกเลี้ยงไว้เพื่อสร้างหายนะในขั้นสุดท้าย



    jimmy

    ปฏิบัติการมารครองโลก คำนำ 7.......แผนการขั้น&#
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    30 เมษายน
    ......

    กับปรากฏการณ์เสื้อแดง เวลาคงจะเป็นตัวชี้วัดครับ ในกลุ่มคนเสื้อแดงเองก็ประกอบด้วยหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีจุดหมายต่างกัน คงต้องดูทิศทางของเค้าและการขยายผลครับ ถ้าเราศึกษาเรื่องอีลูมินาติได้ลึกพอสมควรเราจะรู้ว่าคนที่ถูกเค้าใช้ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่าถูกเค้าใช้อยู่ จนสถานการณ์บีบหรือเลยเถิดจนถลำตัวลึกเข้าไปแล้วก็ต้องเป็นไปตามแผนที่บงการอยู่เบื้องหลังวางเอาไว้ ซึ่งตรงนี้จะตามทันได้ยากอันตรายมากครับ ที่สำคัญคืออย่าไปเหมารวมว่าการเรียกร้องทั้งหมดเป็นการล้มเจ้า คนที่มาด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมก็เยอะครับ แม้แต่ตัวแกนนำเองก็ตาม เพราะฉะนั้นข้อมูลต่างๆที่ออกมาจึงทำให้ประชาชนสับสนไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดและถูกชี้นำได้โดยง่ายครับ

    ในกรณีที่แย่ที่สุดของเราคือรัฐบาลใช้กำลังเข้าปราบปราม(ก็เข้าทางเค้า)แล้วม๊อบแตกกระจายไปในหลายจังหวัด มีการจราจล ความรุนแรงและการประทะในจังหวัดต่างๆ ของหลายๆ กลุ่ม จนต่างชาติต้องเข้ามา โดยเฉพาะเจ้า UN นี่ เค้าอ้างได้แล้วทีนี้ ว่ารัฐบาลเผด็จการใช้กำลังทหารเข่นฆ่าประชาชน (เหมือนกับที่เค้าทำกับหลายๆ ประเทศด้อยพัฒนาเพื่อล้มรัฐบาลของประเทศนั้นๆ***) จับตาดูความเคลื่อนไหวของต่างชาติที่มาในลักษณะต่างๆ ครับ เช่น ฑูตของบางประเทศที่เข้าไปในกลุ่มเสื้อแดง โดยเฉพาะ UN, สหภาพยุโรป, สหรัฐ และ อังกฤษ และอาเซียนบางประเทศว่าจะมาไม้ไหนกันบ้าง ถ้าเมื่อไหร่ที่ความรุนแรงขยายตัวแล้วกลุ่มประเทศเหล่านี้ขยับมากขึ้นจนเริ่มน่าเกลียด ก็มีความเป็นไปได้สูงครับ ว่าเราโดนของเค้าเข้าแล้ว.....( ตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ, จีนกับใต้หวัน, อินเดียกับปากีสถาน, เวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้, ประเทศในสหภาพโซเวียตเดิม เกือบทุกคู่มีเชื้อชาติเดียวกันแต่ก็โดนปั่นจนเละมีสงครามแล้วก็ไปซื้ออาวุธของเค้ามาห้ำหั่นกันเอง )

    กับเรื่องปฏิบัติการมารครองโลก ผมเห็นว่าอาจจะช่วยให้คนไทยส่วนหนึ่งให้ "รู้ทัน" วิธีการและรูปแบบที่เค้าใช้บ่อนทำลายชาติต่างๆ ทำให้เราไม่เลือกข้างจนกว่าจะเห็นอะไรชัดเจนจริงๆ ซึ่งไม่ง่ายเลยครับ เพราะอาจจะมีมือที่มองไม่เห็นเดินหมากกันอยู่ข้างบน และคนไทยด้วยกันก็มาด่า มาทะเลาะ ฆ่ากันหนักขึ้นเรื่อยๆ ประมาณว่าเปิดประเด็นปุ๊บทะเลาะกันได้ทันที!!!

    อย่างน้อยก็ขอให้มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมองทะลุสิ่งเหล่านี้ครับ แล้วไม่ไปเป็นเบี้ย เป็นเหยื่อหรือเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และผมเชื่อว่าพวกเราจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าครับ



    jimmy

    ...... - Windows Live
     
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    18 พฤษภาคม
    เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว

    " ผู้ชุมนุมเป็นแค่ "เบี้ย" เบี้ยที่เค้าต้องการให้ตาย ตายให้มากที่สุดเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เป้าหมายคือการยกระดับความรุนแรงในสายตาของต่างชาติ ยิ่งรุนแรง ยิ่งทำให้ภาพพจน์ของเทศไทยเสียหาย ถ้าผิดพลาด รัฐบาลไทยจะกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลวหรือ "Failed State" click!! คือไม่สามารถบริหารจัดการประเทศตัวเองได้ เพื่อเป็นข้ออ้างและเหตุผลในการเข้ามาแก้ปัญหาหรือไกล่เกลี่ย หรือเรียกให้สวยหรูว่าเข้ามาเพื่อ "สร้างสันติภาพ" แต่ที่จริงแล้วคือความพยายามเข้ายึดครองประเทศไทย ล้มสถาบันหลักคือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จัดระบบระเบียบใหม่อย่างที่เค้าต้องการ เลือกคนของเค้าให้มาเป็นผู้นำสูงสุด เปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นไทยไปสู่ทาส หลังจากนั้นก็จัดให้มีการเลือกตั้ง ทำเหมือนจะถอยออก เอาหน้ากากของ "ประชาธิปไตย" สวมทับไว้อีกที ทำเหมือนจะให้มีประชาธิปไตยเต็มใบ แต่จะยังคงทหารและฐานที่มั่นทางทหารไว้ และเค้าจะเลือกคนของเค้าไว้แล้วให้เป็นผู้นำประเทศในตำแหน่ง "ประธานาธิบดี" ผ่านทางระบบเลือกตั้ง อย่างที่เกิดขึ้นแล้วในติมอร์ อิรัค หรืออัฟกานิสถาน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ เค้าทำสำเร็จและเข้ายึดครองไปแล้วในหลายๆ ประเทศ พูดได้ว่าแนบเนียนและแทบดูไม่ออกเลยล่ะครับ "




    terran
    เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว - W

    วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

    ระดมความคิดแก้วิกฤติชาติ....... " เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว " 2/

    วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

    ระดมความคิดแก้วิกฤติชาติ..." เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว " 3/


    หน่วยงาน CIA ( Central Infiltration Agency )

    "ทำหน้าที่เปลี่ยนกระดาษให้เป็นทองคำ"








    วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

    ระดมความคิดแก้วิกฤติชาติ..." เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว " 4/


    ปฏิบัติการระบบสามประสาน (Triniti)





    วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

    ระดมความคิดแก้วิกฤติชาติ....... " เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว " 5/


    ทำลายภูมิคุ้มกันของประเทศ





    ระดมความคิดแก้วิกฤติชาติ..." เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว " 6/


    สิ้นความเป็นไทย - แล้วจงตายอย่างทาส


    วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

    ระดมความคิดแก้วิกฤติชาติ..." เมื่อถึงวันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว " 7/


    มันมากับความมืด ???
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2010
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

    The Book.......ปฏิบัติการมารครองโลก


    หนังสือแนะนำโดยคุณ Civilcool ครับ เผื่อท่านใดที่สนใจศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับที่มาของกลุ่มอีลูมินาติและกลุ่มที่เกี่ยวข้องต่างๆ ว่ามีบทบาทอย่างไรในระดับโลก เหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในโลกในอดีตที่ผ่านมาและสิ่งที่ถูกวางไว้ให้เกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการที่พวกเค้าสร้างหรือก่อสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ขึ้นมาอย่างไร การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศมหาอำนาจครั้งสำคัญๆของโลก ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศษ อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา และ

    หนึ่งในนั้นก็คือ "การล้มเจ้า" หรือความพยายามล้มระบบกษัตริย์ลงในทั่วทุกมุมโลก เพื่อหยิบยื่นสิ่งนึงที่เค้าเรียกว่า "ประชาธิปไตย" เข้าไปในหลายประเทศ และ "คอมมูนิสต์หรือสังคมนิยม" เข้าไปในอีกหลายประเทศ ซึ่งกระทำโดยคนกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างแนวทางความคิด รูปแบบการปกครอง และศาสนา เพื่อนำไปสู่สงครามระหว่างประชาชาติ เพื่อตักตวงผลประโยชน์จากสงครามและการยึดครองในที่สุด

    ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็น ภาพร่างและการก่อ "สงครามโลกครั้งที่่ 3" ซึ่งใกล้เข้ามาเต็มที และถูกกำหนดไว้แล้วให้เกิดขึ้นในอนาคตและสิ่งที่เราจะต้องพบเจอซึ่งจะตามมาหลังจากการสิ้นสุดของสงคราม

    โดยส่วนตัวถ้าใครติดตามบล๊อกนี้มาตลอด ผมแนะนำว่า "ต้อง" อ่านครับ ลองเชื่อมต่อประวัติศาสตร์เหล่านี้เข้าด้วยกัน เพื่อให้เรารู้จักพวกเค้า ขีดความสามารถของพวกเค้า ให้เรารู้ทันและกำหนดเส้นทางชีวิตของตัวเองให้ทันกับกระแสเหล่านี้ "เตือนคนรอบข้างและออกจากแมทริกหรือวิถี(ที่เราคิดว่านี่คือชิวิต)ที่เค้าสร้างให้เราอยู่" เพราะเมื่อเรารู้ก่อน เราจะได้เปรียบในการเตรียมพร้อมและเพื่อให้เราอยู่รอดได้อย่างไม่ลำบากเกินไป??? และสุดท้ายหนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นในปี 1959 หรือ 51 ปีมาแล้ว ก็คือเรารู้เรื่องนี้ช้าไป 51 ปีแีล้วครับ



    [​IMG]
    ด้วยพระนามแห่งพระเจ้า ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

    หนังสือ เล่มนี้ พยายามที่จะชี้ให้เราเห็นว่า สาเหตุแห่งความปั่นป่วน วุ่นวาย การปฏิวัติ และการสงครามที่เกิดขึ้นในโลกนี้นั้น เป็นฝีมือของคนเพียงไม่กี่คน ซึ่งเป็นตัวแทนของสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า "อิลลูมินาติ" หรือ "ซาตาน" เนื้อหาในเล่มอาจจะยากในตอนแรก สำหรับผู้ที่ไม่สนในประวัติศาสตร์ แต่ถ้าหากว่าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบแล้ว คุณจะต้องสนใจประวัติศาสตร์ขึ้นมาทันที...(บางส่วนจากคำนำ)

    สารบัญ

    บทที่ 1 ขบวนการปฏิวัติโลก
    บทที่ 2 การปฏิวัติในอังกฤษ ค.ศ. 164-166
    บทที่ 3 บุคคลผู้ก่อให้เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศส ค.ศ. 1789
    บทที่ 4 การสิ้นอำนาจของ นโปเลียน
    บทที่ 5 การปฏิวัติอเมริกา
    บทที่ 6 กลเม็ดทางการเงิน
    บทที่ 7 เหตุการณ์ก่อนการปฏิวัติในรัสเซีย (เลนิน)
    บทที่ 8 การปฏิวัติในรัสเซีย ค.ศ. 1917
    บทที่ 9 แผนการทางการเมือง
    บทที่ 10 สนธิสัญญาแวร์ซายส์
    บทที่ 11 สตาลิน
    บทที่ 12 การปฏิวัติในสเปน
    บทที่ 13 สงครามกลางเมืองในสเปน
    บทที่ 14 นายพลฟรังโก
    บทที่ 15 ยุคแห่งความหวาดกลัวของการปฏิวัติ
    บทที่ 16 เหตุการณ์นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
    บทที่ 17 สงครามโลกครั้งที่ 2
    บทที่ 18 อันตรายในปัจจุบัน
    ฯลฯ

    ISBN :9789749482384
    ผู้ เขียน : วิลเลียม กาย คาร์
    สำนักพิมพ์ : 14 พับลิเคชั่น 8/7 หมู่ 1 ซ.เสรีีไทย แขวงคลอกกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม.10240
    โทรศัพท์ : 02-234-1864 , 02-630-7102
    โทรสาร : 02-234-1864






    <!---->
    <!--check entry comment -->วันศุกร์ ที่ 14 พฤษภาคม 2553
    ผมเตือนแล้วนะครับ
    Posted by เบดูอิน , ผู้อ่าน : 608 , 14:37:04 น.
    หมวด : การเมือง <!-- retweet and facebook --><!-- keep in file social.html --><!-- end retweet and facebook -->
    [​IMG] พิมพ์หน้านี้


    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>วันนี้ไม่มีข่าวไหนจะดังมากไปกว่าข่าวของเสธฯแดงถูกยิงอีกแล้ว ว่ากันตามจริงแล้วเสธฯแดงเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง อาจจะเป็นหมากที่รู้ความลับ หรือหากโดนลอบสังหารน่าเป็นประโยชน์ต่อไอ้โม่งก็เป็นได้ จะว่าไปแล้ววันนี้ที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นในประเทศไทย ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นั้นคือกระบวนการที่พยายามจะเปลี่ยนแปงรัฐไทยอย่างแท้จริง ทั้งๆที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ค่อยๆนำประเทศไทยเปลี่ยนที่ละน้อยๆไปการสู่ความเป็นประชาธิปไตย สังเกตุได้จากการเลิกทาส การเลิกไพร่ การจัดให้มีการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น แต่ก็ไม่ทันใจคนบางกลุ่มที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นรัฐไทยใหม่ในทันทีทันใด ส่วนตัวละครจะเป็นใครบ้างนั้น คิดว่าทุกท่านคงทราบดี หลายคนวิเคราะห์ว่าเป้าจริงๆของ กลุ่ม 2475 คือการล้มล้างสถาบันสูงสุดเลยทีเดียว

    วันนี้ขบวนการเหล่านี้ยังมีอีกหรือไม่ ตอบได้เลยว่ามี มีมาโดยตลอด ซึ่งก็อาจจะแฝงตัวมากับกลุ่ม องค์กร ขบวนการต่างๆ แม้แต่การเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ทางภาคใต้ก็เชื่อมโยง กับขบวนการเหล่านี้พอสมควร จึงไม่แปลกที่ต้องโยนรัฐปัตตานีลงไปให้ดู อย่าลืมนะครับว่า ใครเป็นผู้สัญญาว่าหากเสรีมาลายูร่วมกันต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถ้าชนะจะให้คนมาลายูเป็นกษัตริย์ปกครองดินแดนแถบนี้ แต่พอชนะจริงๆเกมส์พลิกเมื่อไทยก็มีเสรีไทย ตัวละครตรงนี้พันกันยุ่งไปหมด

    <H3 class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 10pt; TEXT-INDENT: 36pt">ขอกลับมาในยุคที่มีสภาปฏิวัติ หรือสภาโจ๊ก ผมเคยถูกวางให้เป็นนายอำเภอ อำเภอหนึ่งแบบไม่รู้ตัว จนผมขำก๊ากเลย หากปฏิวัติสำเร็จ ผมก็เป็นใหญ่ไม่เบาที่เดียว ยุคนั้นมี พล.อ.ชวลิต หรือบิ๊กจิ๋ว เป็นตัวละครสำคัญ ในส่วนตัวผมยังคิด(คิดนะครับ)ว่าบิ๊กจิ๋ว ไม่น่าจะเป็นผู้ที่มีแนวคิดล้มสถาบันสูงสุด แต่ท่านจะทำงานในเชิง ลับ ลวง พลาง ตลอดมา อย่างเช่นสงครามสั่งสอนเวียดนามนั้นก็ได้ท่านเดินทางลับสุดยอดไปเจรจากับประธานเหมาเจ๋อตุง แห่งจีน มีคนที่รู้เรื่องนี้น่าจะไม่เกินสองสามคน ครั้งนั้นหากความลับแตกเสียก่อนบิ๊กจิ๋วเป็นกบฎแน่นอน ตอนสภาปฏิวัติก็ใช่เขาละ ที่ลวงทุกคนจนสภาโจ๊กเละดังจ๊าก

    <H3 class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 10pt; TEXT-INDENT: 36pt">เหตุการณ์ครั้งนี้พวกเราคงจำได้ เรื่อง ล้มปีน ล้มทุน ล้มเจ้า ที่ท่านพูดออกมา ต้องบอกว่าหากจะพูดถึงกลุ่มทุนใหม่ ทุกคนต้องมองไปที่ ท่านทักษิณ จริงๆแล้วกลุ่มทุนใหญ่ที่เป็นเงาทมึนๆอยู่เบื้องหลัง ทักษิณมีอยู่ และไม่แน่กลุ่มทุนนี้แหละคือเบื้องหลังทั้งหมด ใครหรือกลุ่มทุนนี้ ใครที่ทำให้เราขุด “คอคอดกระ” ไม่ได้นั้นแหละมันครับ มีนักการเมืองคอยเป็นทาสรับใช้อยู่ด้วยทุกยุคทุกสมัย ไม่แน่กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวทุกกลุ่มน่าจะมีสักกลุ่มที่น่าจะ(ผมใช้คำว่าน่าจะนะครับ)ได้รับทุนมาทำงาน(ผมไม่ได้บอกว่ากลุ่มไหนนะครับ ท่านหาเองบ้างซิ)

    <H3 class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 10pt; TEXT-INDENT: 36pt">ส่วนเหตุการณ์ล้มปืนเริ่มตั้งแต่มีการปล้นปืนที่ จ.นราธิวาส เป็นต้นมา ส่วนล้มทุนท่านไปคิดกันเอง ใบ้หน่อยก็ได้ทุนต่างชาติใดที่ได้ครอบครองทรัพย์สินในประเทศมากที่สุด......? ส่วนล้มเจ้านั้น มันมีที่มาที่ไปอย่างยาวนาตั้งแต่ 2475 มาแล้ว เอากันจริงๆคอมมูนิสต์ สำหรับประเทศไทยนะครับ ยังไม่ถึงกับล้มล้างสถาบันฯเลยทีเดียว ผมเคยคุยกับอดีตสหายบางท่าน ว่าหากปฏิวัติสำเร็จ ก็จะปกครองแบบสังคมนิยมที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

    <H3 class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 10pt; TEXT-INDENT: 36pt">เป็นที่แน่ใจได้ว่า พระมหากษัตริย์ไทย ได้พยายาม ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองอยู่แล้วแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่คณะราษฎร์ รวบรัดตัดตอนเร็วไป ซึ่งตรงนี้มีนัยยะสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง ว่าทำไมถึงรีบ..?? เกิดอะไรขึ้นหรือ..?? ภายใน....มีใครคิดเป็นใหญ่..?? ความจริงรัชกาลที่ 7 พระองค์ท่านเข้าพระทัยคำว่าประชาธิปไตยดีที่สุด นั้นก็หมายความว่าพระองค์เองพร้อมเสมอที่จะเป็นประชาธิปไตย...แต่ใครไม่ยอม..?? ฉะนั้นเมื่อ เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 พระองค์จึงใช้คำว่า “ทรงสละพระราชอำนาจให้กับประชาชนทุกคน ไม่ได้ให้กลุ่มหนึ่งกลุ่มใด” คำว่ากลุ่มหนึ่งกลุ่มใด หมายความเฉพาะคณะราษฎร์เท่านั้นหรือ..??????????..และคำว่า “อิสราธิปไตย”ที่พระองค์ทรงเรียกนั้นแสดงว่าพระองค์รู้เรื่องประชาธิปไตยมากที่สุด ทุกวันนี้เห็นได้ชัดว่า อิสราธิปไตยหรือประชาธิปไตยที่อิสระมีไม่จริง เพราะเป็นประชาธิปไตยแบบครอบงำโดยมีเงินเป็นตัวแปร แม้แต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปแล้ว พระองค์ท่านยังทรงติดตามว่าจะมีใครหรือเชื้อพระวงค์องค์ไหนบ้างที่จะ มาทำลายหรือขัดขวางการปกครองในระบบนี้อีกหรือไม่ ขอให้ท่านได้ไปอ่าน เรื่อง สายลับ พ. 27 ที่ http://www.oknation.net/blog/nangrong ท่านจะมีความชัดเจนมากขึ้น

    <H3 class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 10pt; TEXT-INDENT: 36pt">อีกตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันว่าพระมหากษัตริย์เป็นประชาธิปไตยคือ พระราชดำรัชของรัชกาลปัจจุบันที่ว่า “เราไม่เคยทำอะไรนอกรัฐธรรมนูญ” หรือ “จะให้เราทำตัวอย่างไรก็บอกมา” นี่แสดงว่าในหลวง พระองค์ท่านทรงเป็นแบบอย่างชองประมุขที่ดีงามของการปกครองในระบบประชาธิปไตยเสมอมา

    <H3 class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 10pt; TEXT-INDENT: 36pt; TEXT-ALIGN: justify">แต่...มีใครละที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นรัฐไทยใหม่ หรือการเมืองใหม่..?? ที่แน่ๆมีกลุ่มทุนสามาลย์อยู่เบื้องหลังแน่นอน แต่อย่าให้ผมชี้เลย ไม่มีโจรที่ไหนยอมรับหรอกว่าตัวเองเป็นโจร... การจะรู้เรื่องนี้ดี ผู้ที่เป็นสายลับ บางคนต้องเนียบจริงๆ ยอมโดนโขกโดนสับ ยอมโดนด่า จะเข้าไปจับเสือต้องปลอมเป็นเสือ และต้องปลอมให้เนียน เนียบ ชนิดที่ใครมองก็บอกว่าใช่จริงๆ เสือเห็นยังบอกเลยว่าพวกกูนี่หว่า.. แล้วใครละที่จะอาสาปลอมตัว..?? หากถูกจับได้ตายอย่างเดียว แต่มีครับ ผมชี้ไม่ได้หรอก อาจจะเป็นบุคคลที่ทุกท่านกำลังด่าอยู่ก็ได้ แฮะๆๆจ้างก็ไม่บอก..??

    <H3 class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 10pt; TEXT-INDENT: 36pt">บิ๊กจิ๋ว พี่วีระ หรือใครๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่รู้ซิ.... ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์คน ยังใช้ได้เสมอ ให้เวลาเป็นผู้ตอบเถอะ โปรดติดตามอย่ากระพริบตา

    <H3 class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 10pt; TEXT-INDENT: 36pt">เสธฯแดงหรือ? ก็แค่ถูกตัดตอนเท่านั้นเอง คนไทยต้องมีสติ อย่าเอากรณีเสธฯแดงมาเป็นเงื่อนไข เสธฯแดงอยู่ที่เท่าไหร่ของตอนก็ไม่รู้ หนังเรื่องนี้ยาวครับมีอีกหลายตอน....ถ้าประชาชนวุ่นวาย รัฐเอาไม่อยู่ น่าจะได้เห็นกรรมการมาทำหน้าที่นะครับ กรรมการจะทำหน้าที่จัดสรรค์ผลประโยชน์ โดยมีประชาชนเป็นเครื่องมือ ให้นึกถึง ติมอร์ ให้ดีนะครับ การแบ่งแยกโดยถูกต้อง นี่คือปฏิบัติการมารครองโลก ผมเคยเตือนมาแล้ว ทั้งหลายทั้งปวง จะต้องมีประชาชนเป็นตัวแปร และตอนนี้ประชาชนไทยพร้อมที่จะเป็นตัวแปรแล้ว พี่น้องสามจังหวัดภาคใต้ พี่น้องเหนือ-อีสาน พี่น้องเสื้อแดง พี่น้องเสื้อเหลือง ระวังจะตกเป็นเครื่องมือ ผมดูทุกอย่างมันอื้ออำนวยจริงๆ

    <H3 class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 10pt; TEXT-INDENT: 36pt">พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อยู่ในวังวลนี้แล้ว จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม โปรดอย่าลืมเด็ดขาดว่า “ขบวนการมารครองโลก” ใช้เงิน ใช้ทุน มาเป็นเครื่องมือทั้งสิ้น ยาวนานมาถึงพันๆปีมาแล้ว (ปฏิบัติการมารครองโลก “PAWNS IN THE GAMS” โดยวิลเลี่ยม กาย คาร์-หามาอ่านแล้วจะเข้าใจเหตุการณ์ในโลกนี้)
    <H3 class=MsoNormal style="MARGIN: 0cm 0cm 10pt; TEXT-INDENT: 36pt">(ผมตะโกนแล้วครับ) พี่น้องคนไทยครับ หากท่านจะไปเที่ยวปัตตานี ไปข่อนแก่น หรือไปเชียงราย จะต้องขอวีซ่า มีหนังสือเดินทาง แบบนี้อยากเป็นไหม??? ถ้าไม่อยากเรียกสติกลับคืนโดนด่วน ผมเตือนแล้วนะครับ....



    </H3></H3></H3></H3></H3></H3></H3></H3></H3></H3>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://www.oknation.net/blog/somdej/2010/05/14/entry-1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2010
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    บุญเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติสมาธิเพียงอย่างเดียว

    --------------------------------------------------------------------------------

    1. จักร เมื่อปฏิบัติสมาธิอยู่ จักรจะช่วยป้องกันสิ่งที่ไม่ดีมากระทบผู้ปฏิบัติ เพราะ จักรมีรัตนะเจ็ด ได้แก่ จักรแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว และดวงแก้วมณี
    2. ธรรม คือ กุศลธรรม
    3.ธาตุธรรมหยาบและละเอียด ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ให้ชีวิตที่ยังไม่เป็นตัวเป็นตน

    ดิน -เนื้อ หนัง ตายแล้วเป็นดิน
    น้ำ - โลหิตในร่างกาย
    ลม - คือลมปราณ ลมหายใจ
    ไฟ - อุณหภูมิในร่างกาย ความดันสูง ความดันต่ำ
    4. กำเนิดธาตุธรรมเดิม ทำให้สรรพสัตว์และวิญญาณธาตุเป็นตัวเป็นตน
    5. กายสิทธิ์ เป็นผู้เลี้ยงทุกกายและทุกภพ
    6. ภพนิพพาน เป็นที่ประทับของต้นธาตุต้นธรรมแก่ๆ สุดละเอียดของฝ่ายสัมมาทิฐิ
    ภพ 3 เป็นโลกนรก มนุษย์ เทพและพรหม เป็นกามภพ เป็นภพเวียนว่ายตายเกิดเต็มไปด้วยกิเลสและมาร

    ภพโลกันต์ เป็นที่ประทับของธาตุธรรมสุดหยาบของฝ่ายอธรรม

    การนั่งปฏิบัติสมาธิจะต้องเอาจิตกับใจเดินสมาบัติพร้อมกันในศูนย์กลางกายให้เกิดพลัง กำหนดจุดการปฏิบัติดังนี้

    ขอให้ทุกท่านยื่นมือทั้งสองออกไปข้างหน้าแล้วยกขึ้นยกลง เมื่อรู้สึกตึงอยู่ข้างในกลางกายหรือเห็นแสง เราก็เอามือขวาทับมือซ้ายน้อมจักรเข้าสู่พลังจิตตั้งแนวนอนและสะกิตจิตให้หมุนซ้ายหน้าขวาหลังตามลูกศรที่แสดงในภาพรูปจักร และค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ จนให้เกิดสรรพรังสีเป็นพลังแสงแผ่ขยายให้เป็นวงกว้างออกไปไม่มีที่สิ้นสุด จากศูนย์กลางกายออกไปเต็มกายเต็มกายสิทธิ์และนอกกายสิทธิ์ออกเป็นวิชารบ เมื่อแสงกระทบสิ่งใดที่เห็นในสมาธิในกายหรือนอกกายเรา ทำให้หงุดหงิดไม่สบายใจ เราก็อธิษฐานจนกว่าสิ่งที่มากระทบนั้นสลายไป ถ้าเราบังคับได้ก็จงปฏิบัติเช่นนี้ต่อไปให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ อย่าหยุด หยุดแล้วอาจถูกมารเล่นเอาได้ ดังที่แสดงในภาพที่ 1– 3 ดังนี้
    วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง




    วิธีนี้เป็นการสะสางธาตุธรรมส่วนหยาบและส่วนละเอียดของสัตว์โลกและอากาศโลก ไปในตัวเพื่อยกฐานะการปฏิบัติวิปัสสนาให้สูงขึ้น ถ้าใครปฏิบัติได้สูงถึงชั้นเทพหรือชั้นพรหมแล้ว จะเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงชัดขึ้นตามสภาพความเป็นจริงเท่าที่ปฏิบัติได้ และสามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยตนเองและบังคับสิ่งที่ต่ำกว่าได้ตามหลักสัจธรรม

    เป้าหมายสูงสุดของฝ่ายสัมมาทิฐินั้นก็คือมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของมนุษย์เราทุกคน จงพยายามปฏิบัติให้ได้ในชีวิตนี้ การปฏิบัติจะทำให้กำเนิดธาตุธรรมเดิมซึ่งทำให้เป็นตัวเป็นตนนั้นแก่กล้ายิ่งขึ้น จึงรู้ว่าโลกมนุษย์เรานี้เป็นอนิจจังจริงๆ เราอย่าไปสนใจ จงตั้งใจปฏิบัติไปและเอาความรู้นี้มาสอนมนุษย์ทั้งหลายให้เข้าใจด้วยกันเถิด

    ตัวเราเป็นที่ตั้งและเป็นที่วัดผลของการปฏิบัติจะรู้ผลด้วยตัวเราเองอย่าเอาตำราต่างๆที่รู้ไม่จริงมาเป็นวิชาปฏิบัติจะไม่ส่งผลดีในการปฏิบัติถ้ามีสิ่งใดมากระทบในขณะที่อยู่ในสมาธิเราต้องแก้เดี๋ยวนั้นทันทีตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นการปฏิบัติสมาธิทำได้ทุกสถานที่ทุกอิริยาบถหลับตาก็ได้ลืมตาก็ได้ให้เกิดพลังแสงเพื่อให้หลุดพ้นพลังจิตเกิดจากการปฏิบัติแต่เพียงอย่างเดียวถ้าสมาธิจิตไม่สูงแล้วผู้นั้นจะไม่เป็นตัวของตัวเองและจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำไปแล้วนั้นผิดหรือถูกส่วนมากทำตามกันมาทั้งนั้นผลสุดท้ายภัยวิบัติต่างๆก็จะตอบสนองแน่นอนดังที่มีข่าวปรากฏอยู่บ่อยๆในหน้าหนังสือพิมพ์จงสังวรณ์ไว้ด้วย

    รูปที่ 1 ธาตุละเอียดเกิดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติสมาธิที่ถูกวิธีจากธาตุหยาบ ทำให้ธาตุละเอียดนิ่งส่งผลเป็นรัศมีแผ่เป็นวงกว้างออกไปเป็นฌานจนผู้ปฏิบัติสามารถแก้กรรมเก่าและประหารกิเลสของตนเองจนสำเร็จได้ในชีวิต

    รูปที่ 2 พลังอำนาจของธาตุละเอียดมีปัญญาและบุญบารมีช่วยผลักดันให้ฌาณเข้าสู่ โลกุตตรธรรมและบังคับสรรพสิ่งที่อยู่ในรัศมีของฌานไม่ให้ทำผิดศีลธรรมและส่งผลให้ธาตุหยาบของผู้ปฏิบัติเจริญภาวนามีชัยชนะต่อสิ่งทั้งปวงในทางโลกและทางธรรม เมื่อเดินสมาธิของฝ่ายสัมมาทิฐิจนมั่นคงแล้ว จึงค่อยปฏิบัติของฝ่ายมิจฉาทิฐิไปด้วย จะได้ครบวงจรของสัจธรรมและจะไม่มีศัตรูอีกต่อไป การปฏิบัติทางฝ่ายสัมมาทิฐิ จักรจะต้องหมุนตามเข็มนาฬิกาส่วนของฝ่ายมิจฉาทิฐิ จักรก็จะเดินทวนเข็มนาฬิกา ขอให้ปฏิบัติพร้อมกันไป ฌาณจะได้ทำหน้าที่ขยายออกอย่างเต็มที่จากกำลังสนับสนุนของธาตุละเอียดโดยการขยายออกของฌานและย่อเข้ามาของญาณหยั่งรู้ทั้งสองแบบนี้ให้ได้สัดส่วนเท่ากันและพร้อมกันจนสนิทเป็นเนื้อเดียวกันหมด การปฏิบัติอย่างอื่นก็ให้เดินตามปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง
    ธาตุหยาบคือกายสรรพสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในโลกมาร ถ้าไม่มีธาตุหยาบ (กายมนุษย์) แล้ว ก็ไม่มีธาตุละเอียดในกายเกิดขึ้นได้ ใจก็ยังครองเป็นใหญ่อยู่ มักจะทำตามอารมณ์ของตนอยู่เสมอ และไม่เข้าใจทุกสิ่งที่ทำไปแล้วนั้นว่าผิดหรือถูก
    ธาตุหยาบเป็นที่ตั้งที่ยึดที่รู้ของทุกคน การปฏิบัติจะทำให้ธาตุละเอียดมีพลังมากขึ้นต่อเนื่องส่งผลผ่านทางจิตให้ธาตุหยาบเจริญในทางธรรม การสะสางธาตุธรรมโดยวิธีเช่นนี้จะทำให้ธาตุหยาบแยกออกจากธาตุละเอียดแล้วจะรู้สึกหงุดหงิดไปด้วยและควบคุมกายของตนให้นิ่งไม่ได้ เพราะวิชากรรมฐานจะต้องฝ่าฟันเอาชนะธรรมชาติให้จงได้ และธาตุทั้งสองจะมีความละเอียดเติบโตและมีพลังไม่เท่ากัน มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการปฏิบัติ เมื่อสำเร็จขั้นต้นไปแล้ว ขั้นสูงต่อไปก็จะประสบเช่น เดียวกันอีก จะมีความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นแน่นอน ถ้ามีผู้คอยชี้แนะก็จะดี ธาตุหยาบก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น และจะไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆที่จะมากระทบอีกต่อไป
    เมื่อปฏิบัติจนสำเร็จแล้ว วัตถุธาตุต่างๆภายนอกกายที่ด้อยกว่าก็จะถูกกำจัดหมดไป ธาตุละเอียดก็จะมีพลังเข้มแข็งมั่นคง สะดวกในการขยายฐานต่อไปอีก เพราะสรรพสิ่งก็มีธาตุที่จุดศูนย์กลางอันเดียวกันกับเรา
    เมื่อได้ถึงขั้นโลกุตรฌาณแล้ว จะรู้แจ้งเห็นจริงสัจธรรมและจะเข้าใจคำว่า “ผิดศีลก็ยังได้บุญ”
    การปฏิบัติสมาธิถูกวิธี ญาณก็จะทำหน้าที่รวบรวมเก็บข้อมูลของธรรมไว้ในตัวผู้ปฏิบัติเหมือนกับเรามีเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์อยู่ในตัวเรา ถ้าประสงค์จะรู้สิ่งใดก็เพียงสะกิดจิตเข้าไปเท่านั้น ก็จะรู้ได้ทุกเรื่องอย่างถ่องแท้ ซึ่งวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นสูงยังเป็นของทางโลก เข้าไม่ถึงทางธรรมและก็ไม่สามารถกำจัดภัยธรรมชาติได้


    คำทับศัพท์
    มนุษย์สร้างบรรยากาศ
    องค์ศาสดาสร้างทุกอย่าง
    พลังธาตุจิตสร้างทุกองค์ศาสดา
    ให้หลุดพ้นกิเลสทางใจ
    ถ้าบังคับใจได้ ก็สามารถครองโลกได้

    http://www.geocities.com/knowledge_meditation/
    เครดิต VANCO
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE width="100%" bgColor=#bbddff border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    หลายวันก่อนผมได้ไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของท่านอาจารย์

    ไชย ณ พล (ศิยะ ณัญฐสวามี) ท่านเล่าเรื่องราวประสบการณ์
    ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับมาร ไว้ค่อนข้างละเอียดดี คิดว่าน่าจะมี
    ประโยชน์ต่อผู้อ่านผู้ปฏิบัติหลายๆท่าน ในลานธรรม (ในลาน
    ธรรมที่ผ่านมายังมีการคุยกันเรื่องมารน้อย) ก็เลยคัดลอกมา
    ให้อ่านกัน ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ลองมาฟังข้อคิดเห็น
    ประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติธรรมระดับอาจารย์ที่เป็นฆราวาสบ้าง
    :)
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>จากคุณ : WhiteSpirit [ 24 มี.ค. 2543 / 18:48:43 น. ]



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พวกมาร คือ พวกมิจฉาทิฏฐิที่ซ่า และคะนองไปเรื่อย ทำหน้าที่
    ขัดขวางคนดีและขวางมนุษย์ไม่ให้พบสิ่งดีๆ บางทีก็มาแอบอยู่
    ในหมู่คนดี สร้างความดีพอประมาณแล้วก็ทำให้หมู่คณะปั่นป่วน
    แตกแยก เช่น พระเทวทัต เป็นต้น

    แต่เมื่อพูดถึงมารนั้น ไม่ได้มีเฉพาะมารในมิติต่างๆเท่านั้น มาร
    หรือผู้ขวางความสุขนี่มี ๕ จำพวกด้วยกัน ที่พระพุทธองค์ทรง
    จำแนกไว้คือ
    ๑. กิเลสมาร มารคือกิเลสของเราเอง ขวางความสุข ความสำเร็จ
    ของเราเอง
    ๒. ขันธมาร มารคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณของเรา
    เองที่หลอกตัวเอง ให้หลงผิดเรื่อยมา
    ๓. อภิสังขารมาร คือระบบกรรมโดยรวมที่เราเคยทำไว้ ซึ่งนับ
    ไม่ถ้วนที่คอยปิดกั้นเราบ้าง ขวางให้เราสะดุดบ้าง เมื่อวิบาก
    กรรมชั่วมาทวงแล้วทำให้เราสูญเสียบ้าง
    ๔. เทวปุตตมาร คือพวกวิญญาณมิจฉาทิฏฐิทั้งหลายซึ่งกระจาย
    อยู่ในทุกมิติในทุกโลก คอยแกล้งผู้อื่น กวนผู้อื่นตามอำนาจกิเลส
    ในตน
    ๕. มัจจุมาร คือ ความตายที่ท่านพระยายมทั้งหลายนำมาหยิบยื่น
    ให้ตามจังหวะกรรมและสภาพขันธ์

    ดังนั้นมารที่อยู่กับเราเกือบตลอดและบางทีพวกเราก็เผลอเลี้ยง
    มันไว้ คือกิเลสมารในใจของเราเอง ซึ่งล่อหลอกให้เราวิ่งไปหา
    ความทุกข์หรือสุขระคนทุกข์ หรือสุขแล้วก็ทุกข์อยู่เนืองๆ

    อีกตัวหนึ่งคือขันธมาร ที่บังอาจข่มขี่ทำตัวเป็นนายเรามาตลอด
    ที่เราดิ้นรนกันอยู่ทุกวันนี้ก็หาสิ่งต่างๆ มาปรนเจ้านายขันธ์เหล่านี้
    ใช่ไหมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย เราเป็นทาสของขันธมารมานานแสน
    นานและอาจต้องเป็นต่อไปตราบเท่าที่ยังไม่ประกาศอิสรภาพเสียที

    อภิสังขารมารนั้นเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง เราเป็นผู้สร้างมายา
    แห่งกรรมกันขึ้นมาเองแท้ๆ แต่สร้างแล้วมันกลับมากำกับเราเสีย
    จนดิ้นไม่หลุดบางทีก็ขัดขวางเรา บางทีก็ทำลายเรา ทุกกรรมที่ทำ
    แล้วก็จะเกิดผู้เกี่ยวข้อง ๔ กลุ่มทันทีคือ เจ้ากรรม ลูกกรรม ผู้รับ
    ผลต่อเนื่องและนายเวร ทั้ง ๔ กลุ่มบุคคลนี้ ก็จะเข้ามาในชีวิตของ
    เราเป็นระลอกๆ ถ้าเป็นผลกรรมดีก็ส่งเสริมเรา ถ้าเป็นผลกรรมชั่ว
    ก็บั่นทอนเรา ถ้าทั้งดีทั้งชั่วก็ได้ทุกขลาภ ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นชุด
    ของชะตาชีวิตในแต่ละชาติ ดังนั้นต้องมีวิธีบริหารดวงชะตาชีวิต
    ที่มีประสิทธิภาพไปศึกษากันซะให้ดี

    พวกเทวปุตตมารนี่ คือมารที่อยู่ในมิติต่างๆ ของมหามิติมีทั้งที่เป็น
    พรหม เทพ อสุรกาย เปรต มนุษย์ และเดรัจฉาน เทวปุตตมารเอง
    ก็ยังแบ่งเป็น ๒ พวก คือมารขาว กับมารดำ

    มารขาว คือมารที่เป็นเทพพรหมที่ท่านดูแลเราอยู่ ต้องการให้เราฝึก
    วิชชาก็จัดชุดแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบต่างๆ มาให้เราทำโดยไม่มี
    เจตนาทำลายเรา เวลาส่งมาท่านก็ใช้มนุษย์หรือสัตว์ในคอนโทรลของ
    ท่านนั่นแหละทำหน้าที่ต่างๆตามที่ท่านต้องการ

    มารดำ คือพวกที่ต้องการแกล้งจริงๆ มารดำทั้งหมดที่เป็นมารเพราะ
    อำนาจกิเลสตันหาในตน กิเลสที่ทำให้คนหรือวิญญาณเป็นมารมากที่สุด
    คือ ความอิจฉาริษยา ความพยาบาท และความหลงผิด

    พอเป็นมารแล้วก็จะขวางความสำเร็จของผู้อื่นหรือบั่นทอนสิ่งที่เขา
    สำเร็จแล้ว เช่น ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพียรก็เจอหลายชุด
    แม้ทรงสำเร็จแล้วก็ยังเจออีกหลายชุด กระทั่งสุดท้ายก็พวกมารนั่น
    เองที่มาขอให้พระองค์เข้าพระนิพพานเพื่อไม่ให้มนุษย์ได้รับธรรมะ
    มากไปกว่านี้ นี่มารเขาขวางทั้งความสำเร็จบุคคลและประโยชน์สังคม
    โดยรวม หลวงพ่อคงเองท่านสำเร็จช้าข้างบนมาต่ออายุให้เป็น ๑๐๐ ปี
    เพื่อขยายเวลาสอนธรรมะ มารก็มาขอ ๒๐ ปี เหลือ ๘๐ ปี ท่านเล่าให้
    ฟังแล้วท่านก็ไปตอน ๘๐ จริงๆ ดูซีพระอรหันต์ท่านกรุณาแม้กระทั่งมาร

    นั่นคือมารดำ เวลามารดำเข้ามาหวังบั่นทอนหรือทำลาย ท่านมารขาวก็
    อาจปล่อย เพื่อให้เราได้ใช้วิชาในสถานการณ์จริงก็ได้สำหรับบางคน

    มารชุดสุดท้ายคือมัจจุมาร ซึ่งก็คือความตาย ก็พวกเราไม่เห็นใครอยาก
    ตายเลย ทั้งที่ไม่อยากพอถึงเวลาพระยายมก็บังคับให้ตายใช่ไหม จึงเรียก
    ว่าเป็นมารขวางการดำรงชีวิตของเรา

    มารนี่เป็นสิ่งที่เราต้องเจอกันแน่ทุกคน เจอทุกประเภทด้วย หลีกเลี่ยง
    ไม่ได้เรามาดูกันหน่อยก็ดีว่า เวลาเจอเราควรจะทำอย่างไร

    เวลาเผชิญมารนั้น อย่าตื่นเต้นตกใจ จงพิจารณาเหมือนกับการเข้าสู่
    สนามกีฬา ถ้าเกมนั้นน่าเล่นก็เล่น ถ้าเป็นเกมที่ไม่น่าเล่นก็เดินหนีเสีย อย่า
    ไปเสียเวลาด้วย

    และในยามเผชิญมารนั้น ต้องพิจารณาให้ดีว่าเรากำลังเจริญธรรม ดังนั้น
    ควรยกระดับธรรมให้สูงส่งและมั่นคง อย่าให้หลงกลมารไปละเลงกรรมล่ะ
    เดี๋ยวก็ได้กรรมแทนธรรมเท่านั้นเอง

    การสู้เพื่อชัยชนะและการสู้เพื่อธรรมะนั้นแตกต่างกันเกือบสิ้นเชิง เรา
    ลองมาพิจารณาเทคนิควิธีการที่พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาเผชิญมาร
    ดีกว่า เคยดูบทพาหุงกันไหม ยังจำได้ไหมว่าพระองค์ทรงเจออะไรมา
    บ้าง ลองสวดซิ

    ชุดที่ ๑ พาหุงสะหัส สะมะภินิมนิมิตะสาวุธันตัง ครีเมขลัง อุทิตะโฆระสะ
    เสนะมารัง ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวันตุ เตชะยะ
    มังคะลานิ กล่าวถึงตอนพญามารขี่ช้างมาด้วยอาวุธอันน่าสะพรึงกลัว
    พระองค์ทรงสงบ และไม่ได้โต้ตอบ แต่ด้วยทานบารมีที่พระองค์ทำไว้
    แล้ว โดยมาก ซึ่งพระแม่ธรณีเป็นพยานมาตลอด พระนางจึงออกมา
    บีบมวยผมเป็นน้ำไล่เหล่ามารไป

    ชุดที่ ๒ มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะ
    มะถัทธะยักขัง ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสาภะวันตุ เต
    ชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนพญามารได้ส่งลูกสาวทั้ง ๓ คือ นางราคะ
    นางตันหา และอรตี ที่จริงเราเคยเจอมาแล้วทั้ง ๓ มายั่วยวนให้กิเลส
    ของพระองค์กำเริบ พระองค์ทรงเอาชนะด้วยขันติบารมี ไม่ไหลไปตาม
    มารยาของนาง

    ชุดที่ ๓ นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ
    สุทารุณันตัง เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ
    เตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนที่พระเทวทัต ปล่อยช้างนาฬาคีรีที่
    กำลังตกมันมาทำร้ายพระองค์ ทรงแผ่เมตตานุภาพให้ช้างนั้นสงบ
    สิโรราบได้

    ชุดที่ ๔ อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถัง
    คุลิมาละวันตัง อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ
    เตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนที่องคุลีมาลต้องการปลงพระชนม์
    เพื่อเอาหัตถ์ของพระองค์ ทรงใช้ฤทธิ์ที่เหนือกว่า ยังศรัทธาให้เกิด
    แก่องคุลีมาลและโปรดให้บรรลุธรรม รายนี้ทำได้ เพราะได้ทรงตรวจ
    ดูด้วยพระญาณตั้งแต่เช้าตรู่แล้วทรงทราบว่าองคุลีมาลมาเกิดชาตินี้
    ด้วยอธิษฐานที่จะสำเร็จธรรมกับพระองค์จึงทรงมาโปรดด้วยความ
    ตั้งพระทัย

    ชุดที่ ๕ กัตวานะ กัฎฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฎฐะวะจะนัง
    ชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะโสมะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสาภะวะตุ
    เตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนนางมาณวิกากล่าวหาว่าพระองค์หลง
    รักนางและทำนางท้อง แล้วด่าหาว่าพระองค์ไม่รับผิดชอบ พระองค์
    ทรงใช้สันติไม่ทำร้ายตอบ สังคมจำนวนมากเข้าใจผิดไป ร้อนถึงพระ
    อินทร์ต้องทรงลงมาช่วยคลี่คลายความเข้าใจผิดของผู้คนในสังคม
    ไม่เช่นนั้นสังคมจะรับกรรมหนัก

    ชุดที่ ๖ สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง
    อะติอันธะภูตัง ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา
    ภะวะตุ เตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงตอนที่พวกนิครนธ์ตั้งขบวนโต้วาที
    กับพระพุทธเจ้าเรื่องสัจจะ พระองค์ทรงใช้ปัญญาที่มั่นคงโต้ตอบไป
    แต่ก็ไม่ได้โปรดให้บรรลุธรรม

    ชุดที่ ๗ นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิงปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ
    ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินาชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ
    เตชะยะมังคะลานิ กล่าวถึงพระยานาคมิจฉาทิฏฐิในบาดาล ซึ่งพระองค์
    ทรงโปรดให้พระโมคคัลลานะไปปราบด้วยอิทธิฤทธิ์ให้หายหลงผิด

    ชุดที่ ๘ ทุคคาหะทิฎฐิภุชะเคนะสุทัฎฐะหัตถังพรหมังวิสุทธิชุติมิทธิพะกา
    ภิธานังญาณาคะเทนะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เตชะยะ
    มังคะลานิ กล่าวถึงตอนที่พระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันตเถระหายตัวขึ้น
    ไปปราบพรหมผู้หลงผิดในพรหมโลกด้วยญาณที่ยิ่งกว่า

    นั่นคือเทคนิควิธีที่พระองค์ทรงใช้เผชิญมารซึ่งทรงใช้คุณธรรมทั้งสิ้น
    ถ้าเห็นว่าโปรดไม่ได้ก็ทรงปล่อยไป แม้เขาทำร้ายอยู่ก็ไม่ทรงทำร้ายตอบ
    คนอื่นต้องมาช่วย แต่ถ้าเห็นว่าพอที่จะโปรดได้ก็จะทรงใช้ฤทธิ์บ้าง
    ปัญญาบ้างโปรดไป

    ดังนั้นการเผชิญมารนี่ไม่ใช่ไปเอาชนะคะคานห้ำหั่นกันให้แหลกลาญ
    เพียงแค่ประคองตนไม่ให้ตกอยู่ใต้อำนาจของมารหรือไม่ไหลไปตาม
    การหลอกล่อของมารก็ OK แล้ว และถ้าเป็นพวกที่โปรดได้ก็โปรดไป
    โปรดไม่ได้ก็ปล่อยไป คุยไม่รู้เรื่องก็เฉยไว้ เจริญบารมีตระกูลอุเบกขา
    ขันติไปเลย

    ส่วนพวกที่เป็นมารทั้งหมด ซ่าแล้วก็ต้องรับกรรมไปตามระเบียบ
    อยู่อเวจีกันเป็นแถว พวกที่โปรดแล้วกลับใจได้ก็เข้าอริยะกันเป็นแถว
    เช่นกัน

    ถาม : ประสบการณ์การเจอมาร อาจารย์เจอบ้างไหม พอจะเล่าได้ไหมครับ

    ตอบ : มารที่เจอบ่อยที่สุด คือกิเลสของตัวเอง ก็ไม่มีอะไรมากกิเลสของ
    เรากำเริบเองนี่ พวกเราเข้าใจไหม จะได้ไม่ต้องเล่าเพราะทุกคนมีประสบ
    การณ์ มารข้างนอกก็เจอบ้างนิดๆหน่อยๆพอให้ชีวิตมีรสชาติ

    เวลามารข้างนอกมานี่ ไม่ว่าจะเป็นเทวปุตรมารจำพวกใดก็ตาม ส่วนใหญ่
    ก้จะมาลองของแบบซุกซน ที่มาแกล้งก็มีบ้างเหมือนกัน ถ้าบังเอิญเราไป
    ทำให้เขาโกรธหรือหมั่นไส้ ตอนที่เจอบ่อยที่สุดคือตอนที่อยู่ที่ถ้ำที่เมือง
    กาญจน์ ตอนนั้นอยู่ในถ้ำตามลำพังมีพระไตรปิฎกไปเล่มหนึ่ง วันหนึ่งจุด
    เทียนนั่งอ่านพระไตรปิฎกอยู่ อยู่ๆก็มีแสงวาบมาจากตอนบนของถ้ำลง
    มาข้างหน้า ก็เงยหน้าขึ้นดูเห็นเป็นยักษ์ตนหนึ่งหล่อมาก ตัวสูงใหญ่ ใครว่า
    ยักษ์น่ากลัว ตัวจริงเขาหล่อมาก เรายังสู้ไม่ได้เลย พอเงยหน้าขึ้นดู เขาส่ง
    รังสีอะไรไม่ทราบมาที่หน้าผากเรา เหมือนมันจะเจาะเข้าไปข้างในหัว แต่
    เจาะไม่เข้า เราก็เฉยเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันคล้ายเป็นการยิง แต่ไม่ใช่
    ปืนนะ มันออกจากหัวเขามาสู่หัวเรา พอมันไม่เข้าเขาก็มีท่าทางละอายใจ
    ก็กลับไป ไม่พูดไม่จาเลย

    ถาม : อาจารย์คิดว่าเขามีวัตถุประสงค์อะไรครับ

    ตอบ : คงมาลองมั้ง ใครมานั่งหัวโด่แผ่รัศมีแถวนี้ ถิ่นของข้า ก็เลยลอง
    ดูซิว่าเอ็งแน่มาจากไหน บุกถิ่นข้าไม่บอกไม่กล่าว

    ถาม : อย่างนี้ก็มีเหรอครับ เราไปปฏิบัติธรรมเขาทำทำไม ไม่บาปหรือครับ

    ตอบ : บาปมันก็บาป แต่เขาคงคะนอง คนคะนองก็มักจะอย่างนี้แหละสร้าง
    บาปเนืองๆ เป็นนักปฏิบัติธรรมก็ใช่ว่าพวกนี้ไม่กล้ายุ่งนะ ขนาดพระอรหันต์
    ยังโดนเลย สมัยหนึ่งพระสารีบุตรนั่งสมาธิอยู่ อยู่ๆรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ครู่
    หนึ่งก็หายไป จึงหันไปหาพระโมคคัลลานะ บอกว่าเมื่อกี้มีอาการแปลกๆ ท่าน
    อยู่ดีๆ ก็ปวดศีรษะขึ้นมา พระโมคคัลลานะมีตาทิพย์นี่ท่านเห็นท่านก็บอกว่า
    อาวุโสสารีบุตรมีอานุภาพมากหนอ เมื่อครู่นี้มียักษ์ อันธพาลมาทุบศีรษะท่าน
    ยังไม่เป็นไรแค่ปวดศีรษะเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งยักษ์ตนนี้มีกำลังมาก ถ้าเป็น
    คนธรรมดาจะต้องถึงแก่ชีวิตเป็นแน่ เห็นไหมพระอรหันต์ยังโดนเลย ดังนั้น
    อย่าประมาท จะฟังปรากฏการณ์อื่นๆ อีกไหม

    ถาม : ฟังครับ ฟัง สนุกดี

    ตอบ : ฟังเพื่อความเข้าใจในกลไกต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมเผื่อตัวเองต้อง
    เจอบ้างนะ อย่าเอาสนุก นั่นไม่ใช่สาระ ที่ถ้ำนั่นอีกเช่นกัน ถ้ำนี้เฮี้ยน อีกไม่กี่วัน
    ต่อมาเรานั่งสมาธิอยู่ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมเต็มถ้ำไปหมด ก็ลืม
    ตาขึ้นดูเห็นคนเป็นหมื่นอัดกันอยู่รอบถ้ำ ข้างในตีตะโพนเหมือนจะออกรบ
    ยอมรับเลย เห็นครั้งแรกประหวั่นนิดๆ นี่มันอะไรกัน ก็ถ้ำโล่งๆเราอยู่คนเดียว
    ทำไมคนมาจากไหนเยอะแยะ มาทำอะไรกันตึงตัง ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นมารแต่ก็
    พยายามทรงอุเบกขาอยู่ให้ใจหายหวั่น ยังไม่ทันไรก็มีแสงวาบมา ๒ ดวงจาก
    ปากถ้ำ ในดวงแสงนั้นเป็นของผู้สูงศักดิ์ในเมืองไทย พอแสงวาบนั้นปรากฏ
    คนนับหมื่นก็หายวับไปทันที เราจึงได้รู้ว่าคนจำนวนมากที่อึกกะทึกครึกโครม
    นั้นเป็นภาพลวงตา และแสงวาบนั้นเป็นบารมีของท่านผู้สูงศักดิ์ที่ดูแลอาณาเขต
    อยู่ ท่านมาห้ามพวกนั้นไม่ให้มารบกวนเรา ต้องขอบคุณท่านมาก วิชาภาพลวง
    ตานี้เป็นของพวกคนธรรพ์ นี่คือประสบการณ์เล็กๆน้อยๆ ถ้าเล่ามากเดี๋ยว
    ไม่ได้นอน ถ้าพวกเราเจอแบบนี้พอจะประคองจิตใจไหวไหม

    ถาม : ผมโกยก่อนละ อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

    ตอบ : โกยก็ไม่ได้อะไรซี นี่ยังดีนะเป็นการเผชิญมาอย่างง่ายๆ ถ้าเราเจอมาร
    ตามลำพังนี่จะง่าย เพราะไม่มีตัวแปรอื่น แค่เราคุมตัวเองให้อยู่แค่นั้นเอง
    แต่ถ้ามารมาทางอื่น เช่นเข้าสิงหรือเข้าแฝงคนมาสิ อันนั้นจัดการยากที่สุด

    ถาม : เป็นยังไงครับ

    ตอบ : จะฟังเหรอ เรื่องนี้ยาวหน่อยนะ ตัวแปรมันเยอะ มารหลายตัว และใช้
    มนุษย์หลายคน

    ถาม : ฟังครับยังไม่ง่วงเลย

    ตอบ : งั้นเอาย่อๆนะ จำไว้เลยนะ ถ้าเราบำเพ็ญกิจคนเดียว มารก็จะทำกับเรา
    ถ้าทำกับเราโดยตรงไม่ได้ ก็หลอกหลอนด้วยภาพลวงตา หรือด้วยธรรมะเพี้ยนๆ
    หรือแกล้งโน่นนี่บ้างตามประสา แต่ถ้าเราทำอะไรเพื่อสังคมมารก็จะมาเป็น
    กระบวนมารตามสายสังคมเช่นกัน จะสมดุลกับสิ่งที่เราทำ

    อย่าฟังเรื่องราวเลยนะ เดี๋ยวเป็นการกระทบตน กระทบคนอื่น และถึงฟังก็เป็น
    สิ่งที่เข้าใจยาก เพราะมันลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกินกว่าเราจะเข้าใจและค่อยๆ
    สะสางได้ ต้องใช้เวลากว่า ๒ ปี เรามาดูกันแค่ข้อที่น่าสังเกตุและบทเรียนต่างๆ
    ดีกว่านะ เป็นประโยชน์กว่า

    ข้อแรก ที่ควรสังเกตุเวลาใครจะบรรลุธรรมสำคัญหรือใครจะสร้างประโยชน์
    ยิ่งใหญ่ให้เพื่อนมนุษย์ มารจะมาขวางอย่างเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงพบนั่นแหละ
    และดูซีนักเกื้อกูลที่ยิ่งใหญ่ไม่ว่ามหาตมะคานธี กาลิเลโอ พระเยชูคริสต์ เคเนดี้
    ล้วนถูกมารเล่น บั่นทอนและทำลายทั้งสิ้น มารนี่คือสิ่งที่ศาสนาคริสต์เรียกว่า
    ซาตาน อันเดียวกัน

    ข้อที่สอง เวลาเจอมารที่เป็นกระบวนนี่ เขาจะวางแผนจัดสถานการณ์ให้เราเจอ
    ปัญหา ชนิดไม่ว่าเลือกทางไหนก็ต้องเสีย ไม่มีได้

    ข้อที่สาม วิธีการที่เขาใช้จะสกปรกมาก อย่าไปถามหาความเป็นธรรมให้เสียเวลา
    ป่วยการ

    ข้อที่สี่ เวลามารครอบงำใครมาแกล้งเรานี่ คนนั้นมักจะมีอาการสุดเหวี่ยง เช่น
    หน้ามืดตามัวในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างรุนแรง และเวลาที่เขาครอบงำใคร มนุษย์
    คนนั้นก็จะมีเล่ห์เหลี่ยมที่สกปรกด้วย เช่น ยุแหย่ ส่อเสียดให้เกลียดกัน หรือ
    ดูหมิ่นคนที่เคารพนับถือกัน สร้างความคิดและถ้อยคำชั่วร้ายไว้ พอโทรมาหา
    เราก็บอกว่าคนนั้นพูด พอโทรไปหาคนนั้นก็บอกว่าเราพูด แม้เราเป็นคนไม่พูด
    เรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว ก็อาจเป็นเหตุให้คนหูเบาด้อยปัญญาข้องใจและบาด
    หมางไปได้

    ข้อที่ห้า เวลาลิ่วล้อของมารหรือมนุษย์ที่มารควบคุมใช้ทำงาน เขาเหล่านั้นจะ
    กลายเป็นคนชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในโลก สามารถพูดหน้ามือเป็นหลังมือ
    ดำเป็นขาว ขาวเป็นดำได้หน้าตาเฉย ไม่มีความละอายและจะเนรคุณกันได้สุดๆ
    พวกเราต้องระวัง คนที่มารคุมนี่ต้องหลีกให้ห่างไว้

    ข้อที่หก เทวปุตรมารจะมาตามกิเลสตัณหา ส่วนมัจจุมารจะมาตามกรรม ทั้ง
    สองกรณีจะมีอาการปรากฏที่ขันธ์

    ข้อที่เจ็ด เวลามารครอบงำใครทำงาน อย่าเข้าใจว่ามนุษย์คนนั้นเป็นคนทำ
    ทั้งหมดนะ มารที่แฝงเขาอยู่ควบคุมให้เขาทำโดยอาศัยนิสัยชั่วและอารมณ์
    ร้ายบวกกับความไม่เข้าใจกับความไม่พอใจกิเลสตันหาของคน เป็นฐานขับ
    เคลื่อน ถ้ามารจะครอบงำผู้ชายทำงานส่วนใหญ่จะใช้ความพยาบาท ถ้ามาร
    จะครอบงำผู้หญิงทำงานส่วนใหญ่จะใช้ความอิจฉาริษยาเป็นฐาน ถ้ามาร
    ครอบงำหญิงชายที่เป็นคนรักทำงานส่วนใหญ่จะใช้ฐานความหึงหวงในตัว
    เขา เวลามารจะคุมใครทำงานจะมากระตุ้นและอาศัยกิเลสตัณหาในตัวคนนั่น
    แหละ เลยดูเหมือนคนทำ ที่จริงคนเป็นเหมือนหุ่นที่ถูกชักใยอยู่ ถ้าคนมี
    อารมณ์ร่วม เจตนาร่วมด้วย ก็ร่วมกระบวนการมารเต็มๆกรรมจะหนัก
    ถ้าไม่มีอารมณ์ร่วมหรือเจตนาร่วมเป็นแค่หุ่นให้เขาชักเฉยๆกรรมก็น้อยลง

    ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรครับ ว่าใครเป็นมาร หรือเวลามารมาหลอกล่อ
    เราให้ทำอะไรที่ไม่ดี มีอะไรเป็นที่สังเกตุไหมครับจะได้ระวังไว้ก่อน

    ตอบ : เป็นคำถามที่ดีมาก มีสองส่วนนะ ส่วนแรกถ้ามารพยายามมาครอบงำ
    เรา ใช้เราเพื่อวัตถุประสงค์ใดประสงค์หนึ่งของเขาเราจะรู้ได้อย่างไร

    ให้เราสังเกตุดูภาวะในตัวเราให้ละเอียดถ้ามีอะไรหนักบนหัว หรือหนักที่หลัง
    โดยไม่มีสาเหตุ หรือเดี๋ยวก็เบลอเดี๋ยวก็ตื่นตัวดี บางทีทำอะไรไปไม่รู้ตัว
    หรือบางทีรู้ตัวแต่ควบคุมไม่ได้ อารมณ์รุนแรงแปรปรวนมาก อธรรมอย่าง
    ใดอย่างหนึ่งพยายามดึงให้เราทำตาม เช่น ราคะ หรือความแค้น หรือความ
    อิจฉา หรือกิเลสตัวใดตัวหนึ่ง หรือเจ็บปวดอวัยวะบางส่วนโดยหาสาเหตุ
    ไม่ได้ หรือมีเหตุให้ชีวิตต้องพัวพันกับอบายมุขมากผิดปกติ เหล่านี้สันนิษฐาน
    ได้ว่ามารกำลังพยายามหลอกล่อหรือควบคุมเราอยู่ มารบางพวกเป็นวิญญาณ
    ชั้นต่ำจะมีกลิ่นเหม็นอบอวลหรือเหม็นอยู่ในตัว อย่างผู้หญิงคนหนึ่งเขาบอก
    ว่าบางวันจะมีกลิ่นเหม็นออกมาจากปากเขา เขาบอกว่ากลิ่นมันเหมือนซากศพ
    นั่นเป็นมารในภูมิต่ำ

    ถ้าเป็นคนอื่นถูกมารครอบงำ เราจะสังเกตุได้อย่างไรว่าเป็นตัวเขาเองหรือ
    เป็นมาร

    ไม่ว่าจะเป็นมารข้างในหรือข้างนอก ถ้าเยอะก็จะเป็นพวกจิตประสาทไม่สม่ำ
    เสมอ พฤติกรรมร้ายกาจ สามารถพูดดำให้เป็นขาว ขาวให้เป็นดำได้โดยไม่มี
    ความละอาย ชอบยุยงให้คนเกลียดชังกัน มีความพยาบาทจ้องทำลายกรุ่น
    อยู่ในใจ หรืออยากจะอวดดีมากผิดปกติ มีอาการประหลาดผิดปกติของ
    มนุษย์มาก ซึ่งเขารู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง เมื่อเกิดอาการผิดปกติเขามักควบคุม
    ตัวเองไม่ได้และแปรเปลี่ยนเร็วมาก บางทีจากคนที่ดูดี innocent ภายใน
    นาทีเดียวอาจกลายเป็นคนชั่วร้ายตาวาวในอีกหนึ่งนาที กลายเป็นคนราคะจัด
    เหมือนพวก hysteria ยังไงยังงั้น ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ หรือบางทีมารเอง
    ไม่พอใจเขา เดินๆอยู่ก็รู้สึกถูกทุบหัวล้มลงหมดสติไปเลยก็มี ซึ่งทั้งหมดนี้
    ไม่ใช่อาการปกติของคนประเสริฐทั่วๆไป อย่างเช่นยุให้คนเกลียดกัน ไม่มี
    คนดีที่ไหนเขาทำกัน เพราะมันเป็นกรรมใหญ๋จะทำให้ชีวิตคนนั้นหายนะเอง
    คนประเสริฐจะสนับสนุนให้คนเข้าอกเข้าใจกัน สมานสามัคคีกัน แต่ช่วงใด
    ที่มารครอบงำแล้วจะยุแหย่ ส่อเสียด ให้คนเกลียดกันโดยไม่มีความละอาย

    และทั้งมารครอบเราหรือมาครอบคนอื่น เวลามารมาแต่ละครั้งบรรยากาศ
    หรือ vibration จะเปลี่ยน ถ้าจิตเราละเอียดจะรับได้ทันที vibration จะ
    เปลี่ยนไปอย่างไรก็แล้วแต่ว่ามารนั้นมาจากมิติไหน ถ้าเป็นเปรตก็มีหลาย
    แบบ ร้อนแห้งๆ บ้างหนาวยะเยือก ทั้งที่อากาศกำลังร้อนบ้าง แต่จะไม่มีไข้
    นะ เหมือนมีเขม่าอยู่ทั่วไปทั้งๆที่อากาศโปร่งบ้าง เป็นต้น ถ้าเป็นพวกเทพนี่
    จะรู้สึกเคลิ้มสบาย กามเทพนี่ท่านก็เป็นเทวดาเวลามายุเราละก็พาใจเราหวือ
    หวาน่าดูล่ะ หรือพรหมบางท่านเป็นมิจฉาทิฏฐิมา เราจะสงบแต่ท่านดันสอน
    สัจจะเราผิดเสียนี่ ที่จริงท่านหวังดีแต่เพราะท่านเข้าใจผิด ท่านก็สอนตามที่
    ท่านเข้าใจ พอเราเชื่อก็เลยพลอยหลงผิดไปด้วยก็มี ท่านเลยได้ชื่อว่าเป็น
    มารโดยไม่ได้ตั้งใจ หรืออย่างเวลาเจ้ากรรมนายเวรของเรามา พวกนี้ถือว่า
    เป็นมารของทุกคนโดยตำแหน่ง ก็จะแล้วแต่กรรมที่มาทวงกัน แต่จะสังเกตุ
    ได้ว่าเวลาท่านจะบีบเราเข้าสู่ตาจนเพื่อไปรับกรรมนั้น แม้เราจะคิดอย่างแต่
    ดันตัดสินใจไปอีกอย่าง ท่านจะดึงเราหรือบีบเราไปตามกลไกของบ่วงกรรม
    สติสมาธิต้องดีมากจึงจะเห็นสิ่งเหล่านี้ จึงบอกว่าคนส่วนใหญ๋นั้นน่าสงสาร
    เจออะไรอยู่ก็ไม่รู้ว่าตนอยู่กับอะไรเลยกลายเป็นหุ่นรีโมตกันหมด

    ถาม : แล้วพวกนั้นเขาจะเป็นอย่างไรครับ

    ตอบ : พวกมนุษย์หุ่นรีโมตนั่นเหรอ

    ถาม : ไม่ใช่ครับ หรือใช่ก็ได้ คือพวกที่เกี่ยวข้องกับกระบวนมารทั้งหลาย

    ตอบ : ไม่ว่าพวกไหนก็ตาม ทุกพวกรวมทั้งพวกเราด้วยและทั้งมาร ทั้ง
    มนุษย์ที่ถูกมารครอง เขาก็จะเป็นไปตามกรรมที่กระทำ ซึ่งเป็นระบบที่เป็น
    ธรรมที่สุดในโลก

    ข้อที่แปด เวลากระบวนการมารมานี่ แม้เราจะทำดีแสนดีอย่างไร ก็จะถูก
    กล่าวหาไปในทางร้ายหมดเลย สารพัดจะกล่าวหาโดยเป็นเท็จทั้งหมด
    หรือเท็จมากกว่าจริง

    ข้อที่เก้า มารมักจะมีความอาฆาตฝังใจ พระเทวทัตเป็นมารของพระพุทธเจ้า
    ก็เพราะแรงอาฆาตนั่นเอง ดังนั้นมารทุกตัวนี่มีกิเลสหนาตัณหาเหนียวแน่นอน

    ถาม : อาจารย์ครับขอขัดจังหวะได้ไหมครับ คนดีๆแล้วมารอาศัยได้ไหมครับ

    ตอบ : แม้เป็นคนดีระดับหนึ่งแล้วก็อย่าประมาท พระโมคคัลลานะเล่าให้ฟัง
    ในพระไตรปิฎกว่า สมัยหนึ่งเมื่อท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว ท่านรู้สึกปวดท้องขึ้น
    มาทันใด ก็ส่องจิตสำรวจดูพบว่ามีมารมาอยู่ในท้อง ท่านก็บอกว่า มารเอ๋ย
    เรารู้นะว่าเจ้าอยู่ในนั้นออกมาเสีย พอมารรู้ว่าพระโมคคัลลานะรู้และท่านมี
    สัมปชัญญะสมบูรณ์ก็ทำอะไรท่านไม่ได้ มารก็ออกมา

    เห็นไหมขนาดพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์เป็นเลิศยังโดนมารกวนเลย จะมาสิงท่าน
    ใช้งาน ดังนั้นเป็นคนดีใช่ว่าจะปลอดภัย พระพุทธเจ้าก็เจอทั้งก่อนสำเร็จ
    และหลังสำเร็จแล้วหลายต่อหลายชุด แต่ถ้าบริสุทธิ์หรือเข้มแข็งแล้ว มาร
    จะทำโดยตรงไม่ได้เลย กระนั้นพวกเขาก็ทำโดยอ้อม อย่างเช่นใช้นาง
    จิญจมาณวิกา หรือใช้ช้างนาฬาคีรีเป็นต้น ดังนั้นมีระบบระวังดีกว่า อย่า
    เสี่ยงเลย

    ถาม : อาจารย์พอจะยกตัวอย่างได้ไหมครับ

    ตอบ : ตัวอย่างอะไร

    ถาม : คือเวลามารมานี่เขามาทำอะไรหรือทำอย่างไร คือมีพฤติกรรมอย่างไร
    พวกเราจะได้รู้และระวังได้ถูก

    ตอบ : ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง เช่น บางครั้งมารปลอมเป็นเราไปลวนลามคน
    อื่นในฝัน ทำให้คนนั้นเข้าใจผิดคิดว่าเราถอดจิตไปลวนลามเขาทั้งๆที่เราไม่รู้
    เรื่องเลย

    บ้างก็ปลอมเป็นเราไปเข้าฝันคนอื่นว่าเราเข้าไปในห้องและปัดของบนหิ้งหัว
    นอนหล่นลงมา คนที่หลับอยู่เขารู้สึกเจ็บจึงตกใจตื่น เห็นของกองอยู่ข้างตัว
    เต็มไปหมดก็เข้าใจว่าเป็นฝีมือเรา เขาก็โทรศัพท์มาเพื่อจะถาม ปรากฏว่าสาย
    ติดแต่ไม่มีคนรับสาย ส่วนเรานอนหลับอยู่ไม่รู้เรื่องและไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์
    ด้วย นี่คือลักษณะการทำงานและความสามารถของมาร เขาจะใส่ไฟคนให้เข้าใจ
    ผิดกันและจะคุมหมดทุกทาง ไม่ให้เสียงโทรศัพท์ดังเพื่อให้คนอื่นเข้าใจผิด
    ทั้งๆที่เราหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องอะไรเลย

    บ้างก็จารนัยรายงานให้เราฟังว่าคนนั้นทำอย่างนี้ อย่างนั้นลับหลังเรา เพื่อให้
    ผิดใจกัน นั่นเป็นตัวอย่างพฤติกรรมเฉพาะมารจากมิติอื่น

    เวลามารมาครอบงำมนุษย์นี่ก็มีได้หลายพฤติกรรมมาก ตัวอย่างจริงที่เราพบ
    เห็นมาแล้ว เช่น บ้างก็ครอบงำ กระตุ้นหญิงซึ่งเป็นกุลสตรีมากให้พิศวาสเรา
    อยู่ดีๆ หญิงนั้นก็ตรงมาบอกว่า ไม่รู้เป็นอะไรค่ะ เวลาได้ยินเสียงอาจารย์ทีไร
    อารมณ์แบบนั้นมันเกิดขึ้นทุกทียับยั้งไม่ได้เลย ทั้งๆที่เราทั้งคู่ไม่ได้มีใจหรือ
    ความต้องการทำนองนั้นจากกันและกันเลย เป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมกันดีๆ
    เราก็เลยต้องอยู่ห่างๆกันไว้ก่อน

    บ้างก็ครอบงำเพศตรงข้ามให้หลงรักพิศวาสเราโดยไม่เหมาะสม บางคนไม่
    เข้าใจก็หาว่าเราไปทำให้เขารัก กล่าวหาเราไปต่างๆนาๆ กรณีเช่นนี้มารจะ
    เลือกทำกับคนเก่าคนแก่ ที่มีเชื้อจากอดีตเท่านั้น คนไม่มีเชื้อแต่กาลก่อน
    มารก็ทำไม่ได้

    บ้างก็ใช้วิธียุแหย่ให้คนแตกแยกกัน เช่นอาจจะแฝงคนหนึ่งๆให้พูดจาใส่ไฟ
    ด้วยเรื่องที่เป็นเท็จหรือเป็นเค้าจริงในความหมายเท็จ และยุให้คนฟังเชื่อ
    และนำไปพูดต่อ และไปยุคนที่สาม สี่ ห้า คนที่มีนิสัยชอบฟังคนว่ากัน ชอบ
    เรื่องนินทาอยู่แล้วก็เลยกลายเป็นลิ่วล้อให้กับมารไปโดยไม่ได้ตั้งใจ นำไปสู่
    การทำให้หมู่คณะแตกแยก

    ฉะนั้น พวกที่ชอบเอาปากไว้ที่หูนั้นล้วนสร้างกรรมหนักกันทุกขณะ ช่วยทำ
    กิจมารให้สำเร็จเรียบร้อยเกิดผลเสียต่อสังคม ถูกมารหลอกไปติดบ่วงกรรม
    กันเป็นแถว

    นี่แหละพระพุทธเจ้าจึงทรงย้ำนักย้ำหนา อย่าเชื่อเพราะฟังตามๆกันมา อย่า
    ฟังคนนินทาว่าร้ายกัน อย่านินทาใคร อย่าส่อเสียดให้คนเกลียดกัน แต่จงทำ
    ให้ผู้คนเข้าใจกันสมานสามัคคีกัน คนที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าจึงพลาดได้ แต่คน
    ที่ทำตามที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำนี่มีไม่มากนะในยุคนี้

    นั่นเป็นตัวอย่างของมารที่มากับคนซึ่งมีลักษณะเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง
    ซึ่งจัดการควบคุมค่อนข้างยาก

    ในกรณีที่คนเป็นมารด้วยกิเลสของเขาเอง คืออำนาจกิเลสมารในใจเขากำเริบ
    และทำชั่วนั้นมีเยอะ ทุกคนคงเคยประสบกันมามาก ส่วนใหญ่ก็มาในรูปของ
    ความเนรคุณและพฤติกรรมทรามนานา ซึ่งอันนี้ซิน่าเป็นห่วงสังคม เพราะ
    พฤติกรรมมนุษย์ทรามเท่าไร สังคมจะเสื่อมมากเท่านั้น

    ตัวอย่างเช่นบางคนมาเบียดเบียนเรา ขอให้เราช่วยเหลือสารพัดทั้งรูปธรรม
    นามธรรม กลับหาว่าเราไปรบกวนเขาอย่างนี้ก็มีแปลก

    บางคนเอาชื่อเราไปใช้กลับหาว่าเราเอาชื่อเขาไปใช้ เป็นการพูดกลับหน้ามือ
    เป็นหลังมือ อย่างนี้ก็มี ตลก

    หรือบางพวกขอให้เราช่วยนั่นช่วยนี่ พอเราช่วยเสร็จเขาได้ประโยชน์โดยไม่
    ได้เสียอะไรเลย คงคิดอยากตอบแทนบอกจะให้โน่นให้นี่ เราก็เฉย พอถึง
    เวลากลัวว่าจะต้องเสียเลยกลับหาว่าเราหลอกลวงเอาเงินเอาทองเขา ทั้งๆ
    ที่เราไม่เคยเรียกร้องและไม่เคยรับอะไรจากเขาเลย เขาต่างหากที่ได้ประ
    โยชน์ไปแล้วจากการช่วยของเรา เนรคุณปานนี้ก็มีแล้วในยุคนี้น่าสงสารนะ

    บางคนอยากได้สิทธิประโยชน์บางอย่างของเราหรือของส่วนรวมโดยไม่
    ยอมเสียสละอะไรเลย เราเห็นไม่เหมาะสมก็ไม่ให้ไป พอเขาไม่ได้ก็ไม่พอใจ
    แล้วชักชวนคนอื่นไม่ให้ร่วมอะไรกับเรา ด้วยความคิดว่าเมื่อฉันไม่ได้ร่วม
    คนอื่นก็จงอย่าได้ร่วมเลย เมื่อจะชักชวนคนอื่นไม่ให้ร่วม ก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น
    การกล่าวร้ายป้ายสีนานา คนอิจฉาและใช้วิธีการสกปรกปานนี้สร้างกรรมชั่ว
    พัวพันชะตาตนเองอย่างนี้ ก็มีแล้วในยุคนี้น่าสงสารนะ

    ถาม : น่าสงสารเหรอครับ ผมว่าน่ารังเกียจมากกว่า

    ตอบ : ที่น่าสงสารเพราะกรรมที่เขาทำมันจะบั่นทอนและทำลายชีวิตเขาเอง
    แต่เขามองไม่เห็น ช่างเขาเถิด นั่นเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราคือเราต้อง
    ใช้ประโยชน์จากทุกสถานการณ์ให้ได้

    ถาม : ความชั่วมีประโยชน์หรือครับ

    ตอบ : ความชั่วเป็นโทษต่อผู้กระทำ เราไม่ใช่ผู้กระทำก็ไม่จำเป็นต้องรอรับ
    ผลนั้น เมื่อไม่รับผลนั้นเราก็สามารถเลือกใช้ประโยชน์หรือโทษได้ตามสติ
    ปัญญาและอัธยาศัย อย่างเช่น สมมติว่าคนกำลังกล่าวร้ายป้ายสีเราอยู่นั้น
    เราสามารถใช้สถานการณ์ เช่นนี้ ประเมินคุณภาพคนต่างๆ ได้เลย ถ้าใคร
    หูเบาเขลาปัญญาเราก็ไม่ควรให้เขาร่วมอะไรกับเราจริงๆ เพราะพวกนี้ไม่มี
    ปัญญาในตนเองเป็นแค่ทาสข้อมูล ไม่เกิดปัญหาวันนี้ก็เกิดในวันข้างหน้า

    คนหูเบาเขลาปัญญาปากพล่อยจึงมักเป็นแค่เหยื่อของสถานการณ์ และมัก

    พลอยตกเป็นลิ่วล้อให้

    อ่านทั้งหมดได้ที่นี่ค่ะ
    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001028.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2010
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    17 มกราคม
    สมาคมฟรีเมสันส์ [Freemason ]คือ สมาคมอะไร และมีความเป็นมาอย่างไร?

    สมาคมฟรีเมสันส์ [Freemason ]คือ สมาคมอะไร และมีความเป็นมาอย่างไร?

    ในพจนานุกรม คำว่า เมสัน (MASON) แปลว่า ช่างก่อตึก ก่ออิฐ หิน ปูนหรือช่างก่ออาคาร คำๆนี้เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากกระบวนการช่างโบราณแขนงหนึ่งคือพวกช่างหิน (STONEMASON)

    ตั้งแต่ ยุคโบราณมาแล้วที่มนุษย์รู้จักนำหินชนิดต่างๆจากแหล่งต่างๆมาตัดแต่งหรือแกะ สลัก แล้วนำหินเหล่านั้นมาจัดเรียงตัวขึ้นโดยใช้เทคนิคพิเศษเฉพาะทางในการจัด เรียงและยึดเกาะกัน เพื่อให้หินเหล่านั้นกลายเป็นสิ่งก่อสร้างรูปทรงต่างๆ พวกช่างหินสร้างผลงานถาวรทางวัตถุมากมายอย่าง เช่นโบสถ์ วิหาร สถูป รูปเคารพต่างๆมาแต่โบราณกาลก่อนคริสต์ศักราชเป็นเวลายาวนานซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นความอัศจรรย์ทางการก่อสร้างมาจนถึงปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดสามารถหาคำตอบได้ว่าพวกช่างหินนำวิทยาการในการก่อสร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาจากที่ใด ความมหัศจรรย์ของสิ่งก่อสร้างด้วยหินอย่างเช่น สิ่งก่อสร้าง ปิรามิด ในประเทศอียิปต์ หรือโบสถ์วิหารอันงดงามมากมายในยุโรปยุคกลางเฉกเช่น วิหารโนเตรอดาม(NOTRE DAME) ในประเทศฝรั่งเศส

    กลุ่ม ช่างหินเหล่านี้จึงมักถูกมองว่ามีความรู้และพรสวรรค์เหนือกว่าช่างสกุลอื่นๆ มาตั้งแต่โบราณแล้ว และจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่กลุ่มช่างหินเหล่านี้ต่างก็เลือกใช้วิธีการดำรง อยู่ในวิทยาการของพวกตนด้วยวิธีการปกปิดและถ่ายทอดให้อยู่เฉพาะในกลุ่มของตน และต่อมาเมื่อกลุ่มมีสมาชิกมากขึ้นก็เปลี่ยนกลายเป็นสมาคมวิชาชีพ(GUILDS) อันเป็นรูปแบบสถาบันสังคมที่เป็นที่นิยมของกลุ่มพ่อค้าและกลุ่มช่างฝีมือผู้ ทำธุรกิจที่ต้องการปกป้องธุรกิจของพวกตนให้ออกห่างจากการเข้าฉกฉวยผล ประโยชน์ของเหล่าพวกขุนนางที่มีอิทธิพลอย่างมากมายในยุโรปสมัยยุคกลาง

    แต่ ต่อมาเมื่อสมาชิกในสมาคมมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดการแบ่งแยกย่อย สมาคม ออกเป็นเครือข่ายย่อยๆตามที่ต่างๆอีกมากมาย สมาคมช่างหินก็เช่นกันที่มีการแยกออกมาเป็นสมาคมย่อย “ช่างหินอิสระ” (FREE STONEMASONS) กลุ่มนี้เองที่ต่อมาตัดคำว่า STONE ออกเหลือเพียงFREEMASONSแต่ก็ยังคงความหมายเดิมนั่นเอง
    เรื่อง ราวของสมาคมฟรีเมสันส์เริ่มต้นเป็นที่น่าสนใจก็เนื่องจากความสัมพันธ์ของ สมาคมกับสมาคมลับกลุ่มอื่นๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเร้นลับในการก่อตั้ง คือกลุ่มอัศวินแห่งพระผู้เป็นเจ้า (KNIGHTS TEMPLAR) และกลุ่มนักบวชแห่งไซออน(PRIORY OF SION) สมาคม สองกลุ่มนี้มีบันทึกประวัติรวมถึงการเปิดเผยภารกิจค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นกลุ่มสมาคมที่มีแนวของการปฏิบัติที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาคริสต์ความ สัมพันธ์นี้เองที่ทำให้สมาคมฟรีเมสันส์ที่ไม่ใช่กลุ่มองค์กรศาสนามิใช่เป็นเพียงแค่การรวมกลุ่มกันของกลุ่มคนที่มีวิชาชีพช่างก่อสร้างด้วยกัน เองเท่านั้น แต่เป็นการรวมกลุ่มของผู้ที่มีความเชื่อไปในทิศทางเดียวกันอีกด้วย ....โดยเฉพาะความเชื่อจากศาสนาคริสต์ที่แตกต่างจากความเชื่อตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลภาคพันธสัญญาใหม่ของคริสต์ชนทั่วไปในปัจจุบัน ถึงขนาดกล่าวว่ามีการบันทึกไว้ในหลักธรรมคำสอนที่สำคัญของการเข้าเป็นสมาชิกสมาคมฟรีเมสันส์คือ จงมอบความรักและความอาทรแก่กัน และ เชื่อในหลักของความจริง ความจริงในข้อที่ว่านี้เองที่ถูกตีความไปว่าเป็นการสื่อถึง ศาสนา คริสต์ ที่ยังคงมีเรื่องราวของความจริงหลายอย่างที่น่าสงสัยและเพราะหลักการนี้เอง ที่ทำให้สมาคมฟรีเมสันส์ถูกมองโดยสังคมภายนอกว่าพวกเขาเป็นสมาคมที่เป็น ศูนย์รวมของเหล่าคนที่มีแนวคิดเป็นขบถหัวรั้นไม่ยอมอยู่ภายใต้กรอบของสังคม

    มีการพยายามค้นคว้าจากหลายๆแหล่งข้อมูลว่า ความจริง ที่เป็นความเชื่อของเหล่าฟรีเมสันส์นิคในปัจจุบันคืออะไร? และหนึ่งในข้อเสนอ(ในลักษณะทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด)นั้นคือ “เหล่าฟรีเมสันส์นิคต่างเชื่อในทฤษฏีการจัดระเบียบโลกใหม่” (NEW WORLD ORDER)

    ทฤษฎีการจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) คือ ความคิดในการจัดระเบียบโลกใหม่ตามแผนคิดฝัน โลกที่เป็นสังคมเดียว รัฐบาลบริหารเพียงรัฐบาลเดียว เศรษฐกิจรวมเศรษฐกิจเดียวที่สามารถควบคุมได้โดยรัฐบาล มีประเทศเดียวในโลกที่จะเป็นศูนย์กลางอำนาจในการบริหารและตั้งรัฐบาล โดยที่อาจกำหนดปักเอาไว้ที่กรุงวอชิงตันดี.ซี.และใช้เครือข่ายการบริหารที่ กระจายออกไปตามเมืองหลวงใหญ่ต่างๆเช่น ลอนดอน ปารีส โรม ออตตาวา แคนเบอร์รา หรือโตเกียว โดยที่ประเทศต่างๆจะเป็นเพียงรัฐๆหนึ่งหรือเมืองๆหนึ่งเท่านั้น (ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศไทย ประเทศต่างๆก็จะเป็นเพียงจังหวัดๆหนึ่ง) โดยที่อำนาจการปกครองจะลดหลั่นกันไปตามความสำคัญและขนาดของประเทศนั้นๆ รัฐบาลของประเทศต่างๆที่เคยเป็นประเทศ ก็จะเป็นเพียงรัฐมนตรีของคณะรัฐบาลกลางเท่านั้น ทรัพยากรต่างๆหรือทรัพย์สินต่างๆที่ในทุกพื้นที่ทั่วโลกก็จะต้องถูกจัดเข้า มาอยู่ในระบบบริหารทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกลาง ในตัวระบบยังคงใช้การปกครองในรูปแบบประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิเลือกตั้งผู้ นำและผู้บริหารไปตามอายุและวาระเช่นเดิม แต่ก็เป็นเพียงเครื่องมือที่มาใช้บังหน้าให้เห็นถึงความมีประชาธิปไตยเพื่อ ป้องกันการลุกฮือต่อต้านจากประชาชนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาเริ่มรู้สึกว่า ถูกปกครองโดยระบบอำนาจเบ็ดเสร็จหรือเผด็จการ แต่ทว่าจะอย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบตามปรัชญาของมันเอง ...ที่ถูกเขียนขึ้นมาแต่เริ่มแรกในเมื่อกลุ่มผู้ควบคุมกลไกอำนาจของสังคมที่ แท้จริงสามารถผลักดันใครก็ได้ที่เป็นคนของตน...ให้ขึ้นมาทำงานให้เอื้อต่อผล ประโยชน์ในกลุ่มในพวกพ้องของตนให้ลงตัว ให้ขึ้นมาเป็นหมากเป็นผู้บริหารอยู่ตรงฉากหน้า

    นักวิเคราะห์ผู้อ้างทฤษฎีนี้กล่าวว่า “หาก เรามองย้อนไปถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆในโลกที่เกิดมากขึ้นๆทุกวัน และการแก้ปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมันดูคล้ายจะเป็นไปในทำนองยิ่งแก้ก็ ยิ่งยุ่งเสียมากกว่า ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาก็ดูจะยิ่งห่างไกลความเป็นไปได้มากขึ้นทุกที ทั้งหมดมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในปีค.ศ.๑๙๑๙ ในที่ประชุมสัญญาสงบศึกสงครามโลกครั้งที่ ๑ ที่ประเทศฝรั่งเศส ในครั้งนั้นประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน(Woodrow Wilson) ได้แสดงทัศนะวิสัยว่าเขาต้องการเห็นโลกที่มีความสุขมีความเที่ยงธรรมไม่แก่ง แย่งชิงดีกันและต้องมีประชาธิปไตยในแนวเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือที่มาของแนวคิดที่จะจัดตั้ง องค์กรสันนิบาตชาติ (League of Nations) แต่แนวคิดของวิลสันก็ไม่สมหวังเมื่อเขากลับมาแพ้ในการไม่เห็นชอบจากสภา คองเกรสที่คว่ำกฎหมายการเข้าร่วมองค์กรสันนิบาตชาตินี้ ทว่าแนวคิดนี้ของวิลสันกลับถูกตอบรับโดยกลุ่มเอกชนที่มีอิทธิพลทางธุรกิจ ระดับโลก กลุ่มคนกลุ่มนี้มีพลังอำนาจครอบคลุมวงการธุรกิจอุตสาหกรรมและการเงินทั่ว ทั้งยุโรปและในสหรัฐอเมริกาหนุนหลัง กลุ่มนักธุรกิจเหล่านี้มองไปถึงเส้นทางก้าวเข้าสู่อำนาจเบ็ดเสร็จเพื่อควบ คุมโลกให้ดำเนินไป โดยอาศัยลักษณะการมองโลกแบบองค์รวมเพื่อหวังเข้าควบคุมกลไกต่างๆของโลก ด้วยการนี้จึงมีการริเริ่มก่อตั้งองค์กรกลางที่จะทำหน้าที่สร้างความ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดองค์กรที่จะประสานงานในระบบเครือข่ายภายในประเทศสหรัฐกับองค์กร อื่นๆในประเทศต่างๆทั่วทั้งโลก จึงได้เกิด “องค์กรความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” (Council On foreign Relations : CFR) ขึ้นในสหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. ๑๙๒๑ โดยอาศัยเงินทุนสนับสนุนจากกลุ่มการเงินทรงอิทธิพลต่างๆของสองฟากฝั่งสมุทร แอนแลนติก เช่น กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่เซซิล โรดส์(Cecil Rhodes) กลุ่มธุรกิจเจพีมอร์แกน (JP.Morgan) เจ้าของธุรกิจอุตสาหกรรมเหล็กกล้าที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา กลุ่มธุรกิจของโรธส์ไชลด์ (Rothschild) ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทการเงินทรงอิทธิพลจากอังกฤษ กลุ่มธุรกิจคาร์เนกี (Carnegie) เจ้าของกิจการรถไฟและการวางรางรถไฟของสหรัฐอเมริกา กลุ่มร็อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller) บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการพลังงานสหรัฐอเมริกา โดยจุดประสงค์แห่งการก่อตั้งองค์กรนี้ขึ้นโดยเปิดเผยนั้นก็เพื่อศึกษาถึง สภาพสังคม สภาพการเมือง และเศรษฐกิจระหว่างประเทศทั่วโลก เพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลส่งให้กับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่ภาระหน้าที่ที่เปิดเผยนั้น CFR คือองค์กรที่ ให้การสนับสนุนต่อพลวัตทางสังคมโลกและต้องการเห็นสังคมของนานาชาตินั้น ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน อันประกอบไปด้วยความอารีเกื้อกูลประโยชน์ซึ่งกันและกันโดยใช้การต่างประเทศ ของแต่ละประเทศต่างร่วมจับมือกันเพื่อช่วยสร้างแนวความคิดแบบองค์รวมเพื่อ แก้ปัญหาในระดับนานาชาติ หรือที่เรียกว่า ถังความคิด (Think Tank) โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว นั่นคือก้าวแรกเริ่มของ ทฤษฎีโลกหนึ่งเดียว (One World) ซึ่งก็คือแนวความคิดแรกที่ต่อมาจะพัฒนากลายเป็นการจัดระเบียบโลกใหม่นั่นเอง”

    ทำไม ต้องมีการจัดระเบียบโลกใหม่และใครจะได้รับผลประโยชน์จากการจัดระเบียบโลก ใหม่? ผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์จากการจัดระเบียบโลกใหม่ก็คือเหล่ากลุ่มนักธุรกิจ อิทธิพลการเงินทั้งหลายที่ร่วมกันก่อตั้งองค์กรที่ให้ความร่วมมือระหว่าง ประเทศเหล่านั้นนั่นเอง โดยใช้อาวุธที่เรียกว่า ระบบทุนนิยม กระบวนการขั้นต่อมาที่ใช้พิสูจน์ความสำเร็จของการก่อตั้งองค์กรความร่วมมือ ระหว่างประเทศก็คือเหตุการณ์ในปีค.ศ.๑๙๒๙ เมื่อวันที่๒๔ตุลาคม เหตุการณ์ที่เรียกกันว่า แบล็คมันเดย์(Black Monday) เป็นเหตุการณ์ซึ่งหุ้นในตลาดหุ้นวอลล์สตรีตของสหรัฐอเมริกาดิ่งลงเหวอย่าง เป็นประวัติการณ์ที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเงินของโลก ซึ่งผลพวงจากการล่มของตลาดหุ้นวอลล์สตรีตครั้งนั้นส่งผลกระทบไปสู่ตลาดหุ้น ต่างๆทั่วทั้งโลกพากันร่วงระนาว เหตุการณ์นี้ได้พิสูจน์ว่า โลกสมัยใหม่ในระบบทุนนิยมนั้น การที่กระแสการเงินการลงทุนเป็นไปอย่างเสรีและตลาดเสรีนี้เองที่ทำให้มีการ วางเครือข่ายตลาดเงินตลาดทุนประสานกันไปทั่วทั้งโลกของกลุ่มประเทศที่ใช้ ระบบทุนนิยม การดิ่งเหวของหุ้นในตลาดอย่างรุนแรงและติดต่อกันหลายๆวัน ...เช่นในเหตุการณ์เมื่อคราวแบล็คมันเดย์นั้นนอกจากจะทำให้เศรษฐกิจเกือบ ทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาล้มระเนระนาด ในโลกของทุนนิยมสมัยใหม่มันยังส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วทั้งโลกพลอยรับผลกระทบไป ด้วย เป็นเรื่องที่ร้ายแรงพอๆกับสถานการณ์สงคราม เนื่องจากผลของมันสามารถฉุดให้เศรษฐกิจทั่วทั้งโลกเกิดอาการแกว่งไหวอย่าง รุนแรงพอที่จะส่งผลต่อเนื่องทำให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจล่มสลายไปพร้อมกันทั่ว ทั้งโลกได้
    นักวิเคราะห์ท่านเดิมยังกว่าอีกว่า “เหตุ การณ์แบล็คมันเดย์นี้ คือบทการทดสอบอำนาจในการใช้เศรษฐกิจการเงินเข้าควบคุมกลไกของโลกโดยคนกลุ่ม หนึ่งที่สามารถมีศักยภาพเพียงพอในการเล่นกลกับการลงทุนในกระดานหุ้นซึ่งล้วน เป็นกลุ่มคนเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่มีอำนาจทางการเงินมากพอที่จะสามรถนำ เงินทุนเข้าโจมตีตลาดต่างๆได้ตามใจชอบในระบบเศรษฐกิจของทุนนิยมในโลกใหม่คน กลุ่มนี้กำลังพยายามพิสูจน์...ให้เห็นชัดถึงทฤษฎีการควบคุมความเป็นไปต่างๆ ให้ได้ด้วยเกมทางเศรษฐกิจของพวกเขา ให้เป็นบทพิสูจน์ทฤษฏีที่ชัดเจนว่าในโลกของทุนนิยมนั้นผู้ที่กุมอำนาจทาง เศรษฐกิจก็สามารถกุมอำนาจทาสังคมได้ และอำนาจใหม่คืออำนาจทางเศรษฐกิจนี้เองที่มีอานุภาพรุนแรงต่อการผลักดันกลไก ของโลกใหม่ยิ่งเสียกว่าการทำสงครามด้วยอาวุธเสียอีก”
    ความ ล้มเหลวของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้ที่ก็พยายามจะจัดระเบียบโลกใหม่ด้วยเช่นกันแต่ด้วยทฤษฎีอำนาจรัฐจะได้มา ก็ด้วยการยึดครองด้วยกำลังคนและอาวุธเท่านั้น เหมือนอย่างที่อเล็กซานเดอร์มหาราชหรือจูเลียส ซีซ่าร์ และนโปเลียน โบนาปาร์ต เคยกระทำ การพยายามที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจในการจัดระเบียบโลกด้วยวิธีนี้อีกครั้งของ ฮิตเลอร์ ...ผลคือความล้มเหลวของสงครามโลกครั้งที่๒และฮิตเอร์ต้องพบกับจุดจบกับการ ใช้อำนาจแบบตรงไปตรงมาวิธีนั้นด้วยการปลิดชีพตัวเองเมื่อเขาแพ้สงครามอย่าง ราบคาบในปีค.ศ.๑๙๔๕ ตอกย้ำถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของวิธีอำนาจนิยมแบบการใช้อำนาจแบบตรงไป ตรงมา การจะได้มาซึ่งอำนาจนิยมด้วยวิธีการใช้กำลังอย่างตรงไปตรงมาใช้ไม่ได้ผลอีก แล้ว ทฤษฎีการใช้เศรษฐกิจนำการเมืองการทหาร เป็นบทสรุปสำหรับเกมส์อำนาจยุคใหม่นี้ และกลุ่มที่สามารถประกอบทฤษฎีนี้ให้เป็นมองเห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้ก็ไม่ใช่ เพียงกลุ่มที่มีกำลังทหารอยู่ในมือเพียงเท่านั้นอีกต่อไป แต่เป็นกลุ่มที่มากด้วยบารมีทางด้านการเงิน นักธุกิจนักอุตสาหกรรม ซึ่งกลุ่มที่มีอำนาจมากทางด้านการเงิน กลุ่มทุนธุรกิจเหล่านี้ก็คือกลุ่มที่ร่วมกันก่อตั้งองค์กรที่ให้ความร่วมมือ ในระดับโลกเหล่านั้นนั่นเอง การจัดตั้งธนาคารโลก, ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(FED) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ขึ้นก็เพื่อแผนปูทางของการเข้าสู่อำนาจเบ็ดเสร็จด้วยการใช้เศรษฐกิจเป็น เครื่องมือ เป็นเกมส์ที่กลุ่มเหล่าทุนธุรกิจที่มีอำนาจเหล่านี้ใช้เพื่อกดดันประเทศ ต่างๆให้อยู่ภายใต้อุ้งมือของกลุ่มการเงินเหล่านี้
    ผล กระทบทางตรงที่สุดจากการกำเนิดขึ้นของเหล่ากลุ่มมีทุนธุรกิจที่มีอำนาจและ แนวคิดทฤษฏีการจัดระเบียบโลกด้วยการใช้ตัวเศรษฐกิจนำการเมืองการทหารก็คือ ในประวัติศาสตร์ของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยของการเมืองสหรัฐอเมริกาในทุกๆสมัย กลุ่มธุรกิจเหล่านี้สามารถส่งให้คนของตนเข้าไปร่วมอยู่ในคณะรัฐบาลเพื่อเป็น หูเป็นตาและเป็นมือเป็นไม้ต่อสายอำนาจเข้าไปควบคุมคณะทำงานของคณะรัฐบาล และถึงขนาดที่ในบางสมัยกลุ่มทุนธุรกิจที่มีอำนาจเหล่านี้จะมีอำนาจมากถึง ขนาดสามารถส่งกลุ่มคนของตนไปเป็นตัวประธานาธิบดีของสหรัฐเลยก็มี ที่จะเข้าไปประสานประโยชน์ให้กับพวกพ้องในวงธุรกิจของตน หรือแม้แต่จะสั่งเก็บประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนไหนที่เข้มาขัดขวางการ ดำเนินการทางผลประโยชน์ของกลุ่มตน
    ซึ่ง กรณีที่โด่งดังที่สุดก็คือการลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น.เอฟ.เคนเนดี้ เมื่อปี ค.ศ.๑๙๖๓ ซึ่งมีหลักฐานมากมายที่สามารถจะทำให้เชื่อได้ว่าเคนเนดี้ถูกสังหารด้วย สาเหตุทางการเมือง เพราะการที่เขาเข้าไปขวางขบวนการสร้างอำนาจอย่างเป็นระบบในสหรัฐอเมริกา ถูกสังหารโดยกลุ่มคนที่มีอำนาจสามารถควบคุมระบบต่างๆของสหรัฐอเมริกาได้ ...เมื่อนำมาผูกเข้าการความน่าพิศวงของการถูกลอบสังหารของบุคคลระดับชั้นนำ ในสังคมอเมริกาอีกสองคนในเวลาต่อมาภายในปีเดียวกันค.ศ.๑๙๖๘ โรเบิร์ต เคนเนดี้ วุฒิสมาชิกน้องชายของจอห์น.เอฟ.เคนเนดี้ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะได้เป็น ประธานาธิบดีคนต่อไป กับ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษย์ชนชื่อดัง บุคคลผู้ที่ไม่เพียงเรียกร้องสิทธิให้กับคนผิวดำ แต่เขายังเกียจชังและต่อต้านสงคราม โดยเฉพาะปัญหาสงครามในเวียดนาม “หลังจากที่ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิงเข้าพบและเจรจากับประธานาธิบดีจอห์น.เอฟ.เคนเนดี้ในปีค.ศ.๑๙๖๓ เพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้าที่เคนเนดี้จะถูกลอบสังหาร ดร.คิงมีสีหน้าพอใจและมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าความคิดเห็นของเขาได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีจากประธานาธิบดี เขาถึงกับเดินออกมาจากทำเนียบขาวแล้วตรงไปยังจตุรัสวอชิงตันกล่าวต่อหน้าผู้ ชุมนุมที่มาคอยให้กำลังใจและรับฟังผลการเจรจาครั้งนั้นเป็นเรือนแสน ....ด้วยวาทะ ข้าพเจ้ามีความฝัน (I have a dream) ซึ่ง หลังจากนั้นต่อมามีการแถลงข่าวจากท่านประธานาธิบดีถึงแผนการที่จะมีการทบทวน การถอนทหารสหรัฐอเมริกาออกจากสงครามเวียดนาม และตัวประธานาธิบดีเคนเนดี้ก็ออกคำสั่งที่ว่านั้นจริง คำสั่งได้ถูกเซ็นไปแล้ว แต่คำสั่งนั้นไม่เคยถึงมือของระดับปฎิบัติการแต่อย่างใด จนกระทั่งอีกไม่นานเขาก็ถูกสังหารและผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษา การลินดอน.บี.จอห์นสันก็คือคนของกลุ่มอิทธิพลดังกล่าวนั่นเอง ซึ่งหลังจากการขึ้นตำแห่งรักษาการแล้วสงครามเวียดนามก็กลับยิ่งเขม็งเกลียว เข้าไปอีกเพราะมีการสั่งระดมพล ระดมเงิน ระดมอาวุธเข้าไปสู้รบกันอย่างเต็มอัตรามากขึ้นไปอีก กระทั่งภาพได้เริ่มมองเห็นเงาร่างชัดเจนขึ้นว่าเหตุผลในการลอบสังหาร ประธานาธิบดีเคนเนดี้เกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด มันคือเกมส์อำนาจปริศนาอย่างชัดเจน”
    หรืออย่างการที่ เดวิด ร็อคกี้เฟลเลอร์ สามารถส่งคนของเขาคือดร.เฮนรี คิสซิงเกอร์ เข้าไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในคณะรัฐบาลของประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน โดยนำแผนหนึ่งของเขาเข้าไปด้วยนั่นคือการเปิดทางผลประโยชน์ของกลุ่มธุรกิจ ของเขาให้ออกไปสู่ประเทศทางตะวันออกและทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเปิดฐานการบริโภคออกไปสู่ภูมิภาคนี้ “ภาพ เห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อประธานาธิบดีนิกสันได้เปิดความสัมพันธ์ที่ปิดกั้นกัน มาอย่างยาวนานกับค่ายคอมมิวนิสต์จีนแผ่นดินใหญ่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สหรัฐ อเมริกาก่อตั้งประเทศภายหลังสงครามประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ”
    และ ต่อมาในปี ค.ศ.๑๙๘๑ ก็เกิดการลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐขึ้นอีกครั้งคือการลอบสังหาร ประธานาธิบดี โรนัลด์ รีแกน เหตุการณ์ยิ่งทำให้ภาพมองรวมของทฤษฎีที่กลุ่มอำนาจกำลังควบคุมโลกนี้ชัดเจน ยิ่งขึ้น “มี เหตุการณ์หนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ทางการเมืองเชื่อว่าเป็นไม้ตายที่ทำให้รี แกนได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นประธานาธิบดีในปีค.ศ.๑๙๘๐ ซึ่งตอนนั่นคือเหตุการณ์การจับตัวประกันในสถานทูตสหรัฐประจำกรุงเตหะรานประ เทศอิหร่านค.ศ.๑๙๗๙ จากเหตุการณ์ครั้งนั้นเองที่รีแกนใช้กลยุทธ์แยบคายที่เรียกกันว่า ออคโตเบอร์ เซอร์ไพรส์ (October Surprise) ในการวางข้อตกลงอย่างลับๆ เพื่อที่ให้กองกำลังของอิหร่านยอมปล่อยตัวเจ้าหน้าที่สถานฑูตสหรัฐทั้งหมด ออกมาอย่างปลอดภัย งานนั้นรีแกนจึงได้หน้าเต็มๆ จนเขาหลงระเริงกับอำนาจของตนที่สามารถปลดเงื่อนตายกรณีนั้นได้โดยที่หลงลืม ไปว่าเขาไม่ได้กระทำการเพียงลำพัง มีระบบต่างๆที่หนุนหลังเขาอยู่มากมาย ซึ่งก็คือระบบที่เคยหนุนอำนาจของประธานาธิบดีที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังมาทุก ยุคทุกสมัยแล้วนั่นเอง ในกรณีลอบสังหารรีแกนนั้นก็เชื่อว่าเพื่อเป็นการข่มขู่รีแกนไม่ให้ออกนอกลู่ นอกทาง เพราะเมื่อรีแกนรอดตายจากการลอบสังหารครั้งนั้นเขาก็ทำตัวเป็นเด็กดีและ บริหารประเทศต่ออย่างราบรื่นต่อไปอีกถึง ๒สมัย ๘ปี ด้วยการสานผลประโยชน์มากมายให้กับกลุ่มอำนาจอย่างไม่เคยมียุคใดสมัยใดที่จะ มีความคล่องตัวในการจัดงบประมาณจำนวนมากมายมหาศาล ให้กับวงอุตสาหกรรมทางด้านพลังงานและสงคราม อันเชื่อกันว่าเป็นสองอุตสาหกรรมหลักที่กลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจต่างๆใน สหรัฐควบคุมดูแลอยู่ ตัวอย่างหนึ่งก็คือการเกิดขึ้นของอภิมหาโครงการยักษ์โครงการหนึ่งที่แทบทำ ให้สหรัฐอเมริกาล่มจม เพราะขาดดุลงบประมาณอย่างมหาศาลในช่วงปลายทศวรรษที่๘๐ ก็คือโครงการ สงครามดวงดาว (Star Wars) โครงการนี้ใช้จ่ายเงินอย่างมหาศาลที่สุดเท่าที่เคยมีการใช้งบประมาณกันมาใน ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาจนเกือบทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาต้องล้มละลาย จึงต้องถูกพับฐานที่เป็นโครงการที่ล้มเหลวค้างเติ่งไปในที่สุด
    และ แล้วก็มาถึงสมัยที่กลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจพวกนี้สามารถส่งคนของตนเข้าไปไว้ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาได้ คือ ประธานาธิบดี จอร์จ.เอช.ดับเบิ้ลยู.บุช ผู้มาจากตระกูลบุช หนึ่งในตระกูลใหญ่ผู้ทรงอำนาจทางเศรษฐกิจ การเงิน และอุตสาหกรรมและร่ำรวยขึ้นจากการอาศัยช่องทางทางอำนาจทางการเมืองเปิดทาง ให้กับตน ร่วมมือกับกลุ่ม(ตระกูล)ทุนอำนาจทางเศรษฐกิจอื่นๆ เคียงข้างกับกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ของโลกตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ ตระกูลนักธุรกิจชาวอเมริกาเชื้อสายยิวที่ร่ำรวยมาจากธุรกิจอุตสาหกรรมด้าน พลังงาน ผู้ก่อตั้งบริษัทสแตนดารด์ ออยล์ (Standard Oil) กลุ่มอิทธิทางเศรษฐกิจตระกูลคาร์เนกี้ ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการผลิตเหล็กของสหรัฐอเมริกา กลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจกลุ่มตระกูลรอธส์ไชลด์ ตระกูลนายธนาคารชาวยิวที่ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อโลกในช่วงการปฎิวัติยุโรป เมื่อศตวรรษที่๑๙ ปัจจุบันฐานอำนาจทางการเงินของตระกูลก็ยังมีอยู่ทั่วโลก เป็นกลุ่มประกอบการทางการเงินที่มั่งคั่งมากที่สุดในโลกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจกลุ่มตระกูลเจ.พี.มอร์แกน เป็นกลุ่มตระกูลผู้ให้เงินสนับสนุนต่อบริษัทเจเนรัลด์ อิเล็คทริค (General Eletric)ของ นายโทมัส เอดิสันผู้ประดิษฐ์หลอดไฟเรืองแสงชิ้นแรกของโลก ตระกูลผู้ได้ดำเนินการวางรางรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐในช่วงค.ศ.๑๙๐๐ อีกทั้งลงทุนในโรงงานผลิตเหล็กชื่อ ยู.เอส.สตีล คอมปานี (U.S.Steel Company) และยังชื่อว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนการเงินกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาหลายสมัย กลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจกลุ่มตระกูลฮาร์ริแมน ด้วยการเข้าหุ้นกับตระกูลวอล์คเกอร์ ได้เข้าสู่ธุรกิจการขนส่งข้ามทวีปตั้งบริษัทขนส่งที่ต่อมาใช้ชื่อว่า บราว์บราเธอร์ฮาร์ริแมน (Brown Brothers Harriman) บริษัทใหญ่โตที่ทำการขนส่งระหว่างสองฟากฝั่งมหาสมุทรแอนแลนติก และตระกูลวอร์คเกอร์ที่เข้าร่วมหุ้นกับตระกูลฮาร์ริแมนนี่เองที่มีสาย สัมพันธ์กับตระกูลบุช เมื่อจอร์จ วอร์เกอร์คนที่นำตระกูลวอร์คเกอร์เข้าร่วมหุ้นกับตระกูลฮาร์ริแมนคือพ่อตา ของจอร์จ.เอช.ดับเบิ้ลยู.บุช ประธานาธิบดีคนที่๔๑ของสหรัฐอเมริกาจากตระกูลบุชที่ร่ำรวยขึ้นเมื่อเริ่มต้น เข้าสู่ธุรกิจด้านการพลังงาน และซื้อบริษัทขุดเจาะน้ำมันเดรสเซอร์ อินดัสตรี (Dresser Industries) ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจทางด้านพลังงานของกลุ่มตระกูลบุชและเพื่อนๆถือว่าเป็นกลุ่มพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
    และ เพราะการที่ตระกูลบุชทำธุรกิจเกี่ยวกับทางด้านการขุดเจาะน้ำมัน เป็นที่ทราบกันดีว่าภูมิภาคของประเทศแถบเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกกลาง นั้นมีทรัพยากรชนิดหนึ่งมีค่ายิ่งกว่า ทองคำคือ น้ำมัน ตั้งแต่ศตวรรษที่๒๐ที่โลกต้องการน้ำมันเพื่อหล่อเลี้ยงระบบยานพาหนะและระบบ อุตสาหกรรม น้ำมันจึงเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของโลกยุคปัจจุบัน ถึงกับมีความเชื่อเกิดขึ้นว่าหากใครสามารถควบคุมแหล่งน้ำมันของโลกได้ก็เท่า กับกุมชะตาของโลกนี้ทั้งโลก ไม่เช่นนั้นแล้วกลุ่มโอเปค (OPEC) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของประเทศผู้ส่งออกและผลิตน้ำมัน รายใหญ่ๆของโลกก็จะไม่สามารถมีอำนาจต่อรองกับประเทศมหาอำนาจที่แท้จริง ประเทศต่างๆของโลกได้....อย่างเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
    เหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่ การเปิดฉากถล่มตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ เมื่อ วันที่ ๑๑ กันยายน ค.ศ.๒๐๐๑ หรือเหตุการณ์ที่มีชื่อเรียกต่อมาในภายหลังว่า เหตุการณ์ ๙๑๑ คือโฉมหน้าที่แจ่มชัดที่สุดของการมีอยู่ของกลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจโลกที่มี ความพยายามที่จะ จัดระเบียบโลกใหม่ มันคือความล้มเหลวของความพยายาม จัดระเบียบโลกใหม่ จากกลุ่มที่เคยตกเป็นเครื่องมือในการใช้จัดระเบียบโลกใหม่ ปัจจุบันพวกเขาจึงต้องออกมาจับมือกันเพื่อแสวงหากลุ่มอำนาจของตนเอง โอซามา บินลาเดน ก็คือหนึ่งในหุ่นเชิดที่เคยถูกกลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจเหล่านี้หลอกใช้งาน เป็นหมากหนึ่งในการเดินเกมส์ของพวกเขา แต่แล้วต่อมาเมื่อบินลาเดนค้นเจอเบื้องหลังและล่วงรู้ถึง แผนการจัดระเบียบโลก มากกว่านั้นซึ่งนอกเหนือจากแผนการจัดระเบียบโลกแล้ว สิ่งที่บินลาเดนเจออีกอย่างหนึ่งคือ เป้าหมายสุดยอดของสหรัฐอเมริกา (หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เป้าหมายสุดยอดของพวกกลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจโลกที่กำลังเดินเกมส์จัด ระเบียบโลกกันอยู่นี้) ก็คือการพยายามก่อตั้งองค์การน้ำมันโลกที่มีสหรัฐเป็นประธานขึ้นมานั่นเอง และเมื่อสหรัฐสามารถมีอำนาจในการครอบคลุมจัดการต่อ “แหล่งน้ำมันใหญ่” ในตะวันออกกลางได้สำเร็จนั้น สหรัฐอเมริกาก็จะสามารถควบคุมสภาวะน้ำมันและพลังงานของโลกให้อยู่ในกำมือได้ ทั้งหมดนั่นเอง และการจัดระเบียบโลกใหม่ตามทฤษฎีก็จะเริ่มเป็นผลอย่างเป็นรูปธรรมด้วยการใช้ พลังงานสำคัญของโลกชนิดนี้ ในควบคุมสภาวะเศรษฐกิจของโลกทั้งโลกให้อยู่กำมือของพวกกลุ่มมีอำนาจอิทธิพล ทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง แต่ว่ากันว่านอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าสาเหตุใหญ่แห่งความเกลียดชังสหรัฐ อเมริกาของบินลาเดนไม่ได้มีสาเหตุมาจากเหตุผลด้านการเมืองแต่เพียงอย่าง เดียว แต่เพราะผลเนื่องมาจากการที่ครอบครัวของเขาที่ประกอบกิจการธุรกิจธนาคารที่ ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในซาอุดิอารเบียเคยมีความสัมพันธ์คบค้าธุรกิจกับ กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่กับในสหรัฐอเมริกาตระกูลบุชซึ่งก็คือหนึ่งในลูกค้าราย ใหญ่ของตระกูลบินลาเดนที่กู้เงินไปเพื่อลงทุนในการเปิดธุรกิจโรงงานขุดเจาะ น้ำมันในตะวันออกกลาง จึงมีความสงสัยกันว่าบิน ลาเดนน่าจะมีตื้นลึกหนาบางกับคนในตระกูลบุชอยู่ด้วยก่อนแล้ว และ หากนำกรณีการเสียชีวิตอย่างปริศนาจากสาเหตุเครื่องบินตกระหว่างไปติดต่อ เจรจาความในสหรัฐอเมริกาของซาเล็ม บินลาเดน พี่ชายของโอซามา บินลาเดน ผู้ร่วมค้ากับกลุ่มพลังงานในตระกูลบุชเมื่อปีค.ศ.๑๙๘๘ ก็ทำให้น่าคิดได้ว่า เหตุการณ์การก่อการร้ายถล่มตึกเวิร์ดเทรดเซ็นเตอร์ “๙๑๑” .........ที่มี สาเหตุมาจากการขัดผลประโยชน์กันทางด้านผลประโยชน์ทางธุรกิจเพียวๆ โอซามา บินลาเดนเคียดแค้นสหรัฐอเมริกาผู้มากับแผนการสกปรกในการ จัดระเบียบโลก และไม่ต้องการให้สหรัฐสามารถขึ้นมาจัดระเบียบโลกได้สำเร็จเมื่อสหรัฐฯเข้า แทรกแซงเข้าควบคุมเอเปกและเส้นทางน้ำมันพลังงานของโลกได้สำเร็จ เขาจึงจัดตั้งเครือข่ายอัล-เคดา (al-Qaeda) ซึ่งเป็นภาษาอารบิคที่แปลว่าฐานทัพหรือค่ายทหาร ซึ่งบินลาเดนหมายความถึงการเป็นฐานทัพหรือค่ายทหารสำหรับการสู้รบของการปฎิ วัติศาสนาอิสลามทั่วโลก โดยการกวาดล้างอิทธิพลตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาออกจากประเทศ มุสลิม แล้วจัดตั้งการปกครองโดยผู้ที่เชื่อถืออิสลามเข้าแทนที่ จริงๆแล้วอุดมการณ์ทางสังคมหรือศาสนานั่นเป็นเพียงอุดมการณ์ที่ชูขึ้นเพื่อ ทำให้เพื่อนชาวมุสลิมทั่วทั้งโลกต้องรับบาปผิดชอบสิ่งที่เขากระทำไปด้วย .......เพื่อให้ขบวนการอัล-เคดาของเขากลายเป็นองค์กรที่มีอุดมการณ์ เพื่อหักเหประเด็นที่แท้จริง(ที่ปกปิด)ว่า บิน ลาเดน เองต้องการล้างค้าสหรัฐอเมริกาในสิ่งที่สหรัฐได้กระทำในการแทรกแซงสิ่งต่างๆ ทั่วทั้งโลกไปโดยเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง (ผลประโยชน์ของพวกกลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจผู้เริ่มต้นวาระ การจัดระเบียบโลก นั่นเอง!)
    แต่ บทสรุปของการพยายามจะ จัดระเบียบโลกใหม่ ของพวกกลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เริ่มจะเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้นแล้วภายหลังสงครามอิรักและอัฟกานิสถานเมื่อ สิ่งต่างในสภาพและสถานการณ์ที่เกินจะควบคุมกับสงครามที่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะ เข้ายึดชัยภูมิได้สำเร็จ แต่พวกเขากลับต้องพบว่ายังต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆที่ติดตามมาอีกมากมายในการ จัดระเบียบสังคมใหม่ให้กับประเทศที่ตนใช้ข้ออ้างต่างๆนานายึดมาจนได้ทั้งที่ แท้จริงต้องการจะยึดก็เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจหาใช่เพื่อ ปลดปล่อยประเทศหมู่พวกนั้นจากทรราชย์อย่างที่อ้างไม่! และ ดูท่าทีว่าสหรัฐอเมริกาจะพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆที่ เป็นอยู่ในตอนนี้ให้สงบสุขได้เลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการก่อการร้ายภายใน และการขู่การก่อการร้ายตามประเทศมหาอำนาจต่างๆทั่วโลกของ กลุ่มอัล-เคด้า ที่นับวันยิ่งจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น “แต่เมื่อพวก เขา (กลุ่มอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก) เลือกเดินแต้มมาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเขาก็คงไม่ยอมหยุดอย่างง่ายๆ ยังต้องดันทุรังขี่บนหลังเสือที่หาทางลงอย่างไม่โดนเสือขบไม่ได้เสียที สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้เห็นว่าการจัดระเบียบโลกใหม่ที่กลุ่มอำนาจที่แท้จริง อยู่เบื้องหลังคณะรัฐบาลหรือแม้แต่ตัวประธานาธิบดีสหรัฐและใช้วิถีทางบังคับ ให้สหรัฐดำเนินนโยบายตามที่พวกเขาต้องการ พวกเขาต้องการ การจัดระเบียบโลกใหม่ แต่มันไม่ใช่เกมส์ที่ง่ายเลยในการจัดระเบียบสังคมของโลกที่แตกต่างกันทั้ง ทางเผ่าพันธุ์ วัฒนธรรมประเพณี และวิถีทางสังคมอย่างหลายหลากที่มีอยู่ในโลกนี้ กลับกันการที่ยิ่งพยายามจะกำหนดบทบาทหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระแสความเป็น ไปไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมืองของประเทศถิ่นไหนก็ตามมันจะยิ่งสร้างปัญหาพอกพูนอย่างต่อเนื่อง มากจนไม่รู้จักจบมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เหมือนอย่างที่สถานการณ์ของโลกกำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน”
    ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวและยกตัวอย่างมา(เสียอย่างยืดยาว)กับสมาคมฟรีเมสันส์ก็คือ กล่าวกันว่าการ พยายามที่จะเป็นศูนย์กลางอำนาจของโลกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีเค้าชัดเจนขึ้นจากเหตุการณ์ต่างที่เรียงตัวกันเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น ศตวรรษที่ ๒๐ อันที่จริงแล้วไม่ได้คิดวางแผนกันมาเพียงแต่เริ่มต้นในสมัยของประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน แต่แนวคิดในการจัดระเบียบโลกใหม่เริ่มต้นในสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่การประกาศ อิสรภาพจากอังกฤษในปี ค.ศ. ๑๗๘๓ แล้ว แกน นำผู้ก่อการปฎิวัติในสงครามประกาศอิสรภาพครั้งนั้นรวมทั้งอีกมากมายในหมู่ เหล่าของกองทัพปฏิวัติเป็นสมาชิกฟรีเมสันส์ และอาจเชื่อได้ว่าด้วยองค์กรของฟรีเมสันส์นี้เองที่ทำให้เกิดการประสานงานระหว่างเครือข่ายสำนักต่างๆที่นำไปสู่ชัยชนะของกองทัพสหรัฐในสงครามได้ ชัยชนะในครั้งนั้นเป็นดั่งเครื่องจุดประกายให้เห็นถึงประสิทธิภาพจากการร่วม มือประสานงานกันที่ในระบบเครือข่ายระหว่างองค์กรอย่างขีดสุด มันเป็นการพิสูจน์ถึงพลังอำนาจของความสมานฉันท์ในหมู่พี่น้องจากการร่วมมือ และความมีภราดรภาพกันระหว่างองค์กรต่างๆ ต่อมาในที่สุดชัยชนะได้นำความ ภาคภูมิใจอย่างสูงส่งให้คนอเมริกันที่เริ่มคิดไปไกลถึงว่าควรจะเป็นเผ่า พันธุ์อเมริกันที่จะใช้โอกาสจากภราดรภาพนี้ในการเดินหน้าจัดระบบระเบียบโลก โดยเริ่มต้นจาก ๑๓ รัฐที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษต้องขยายแนวต่อเข้ายึดดินแดนต่างๆในอาณานิคม อื่นๆที่สเปนและฝรั่งเศสยึดครองอยู่ แล้วความหวังนั้นยังขยายไกลไปถึงทั่วทั้งอเมริกาเหนือจรดอเมริกาใต้ จากนั้นก็จะรุกขยายข้ามน้ำข้ามทะเลออกไปยังยุโรป และทวีปต่างๆและอาจรวมไปถึงทั่วทั้งโลกที่คิดกันขึ้นแล้วนับตั้งแต่บัดนั้นเพราะนั่นคือสิ่งที่เหล่าฟรีเมสันส์นิคต่างยึดถือเป็นความเชื่อและศรัทธาที่ปฏิบัติสืบๆต่อกันมาโดยที่ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ (Dogma) เป็นปรัชญาหนึ่งที่ใช้ในการปลุกเร้าวิญญาณของพวกเขาให้ลุกขึ้นสู้และทำให้ อเมริกันชนสามารถเดินหน้าไปสู่ชัยชนะในสงครามประกาศสู่อิสรภาพ

    มี สิ่งบอกเหตุที่เกิดขึ้นหลายประการที่ชี้ว่าชาวอเมริกันในสงครามประกาศ อิสรภาพครั้งนั้นได้รับแรงบันดาลใจในการต่อสู้มาจากสมาชิกฟรีเมสันส์ที่เดิน ทางมาจากยุโรปโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟรีเมสันส์นิคจากฝรั่งเศส(และการเข้าร่วม เป็นพันธมิตรของฝรั่งเศสต่ออเมริกาก็ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้อเมริกาได้ รับชัยชนะในสงครามครั้งนี้)หนึ่งในหลักฐานก็คือในสงครามครั้งนั้นมี ปรัชญาหนึ่งที่ฝ่ายปฎิวัติมักใช้ในการปลุกเร้าวิญญาณของเหล่าผู้คนในระดับ ล่างให้ลุกขึ้นสู้กับกองทัพอังกฤษ ลุกขึ้นต่อต้านอำนาจของอังกฤษที่ครอบงำอเมริกาอยู่ ปรัชญานั้นก็คือ “การบรรลุสู่แสงสว่าง” (Enlightenment) ซึ่งปรัชญานี้เป็นปรัชญาของเหล่าฟรีเมสันส์นิคสายฝรั่งเศสที่รับทอดมาจากกลุ่มอิลลูมิเนติ (Illuminati) ในยุโรป อิลลูมิเนติซึ่งเป็นภาษาละตินแปลว่าความรู้แจ้งเห็นจริงหรือแสงสว่าง ปรัชญานี้ในส่วนลึกได้แสดงไว้ถึงแนวทางในการสร้างสังคมแบบใหม่ คือ สังคมแบบหนึ่งเดียวด้วยเชื่อว่าสังคมกำลังล่มสลายด้วยความฉ้อฉลของพวกกลุ่ม คนที่มีอำนาจบารมีกลุ่มหนึ่งซึ่งนั่งตักตวงผลประโยชน์จากคนระดับล่าง สังคมจึงต้องมีการวางโครงสร้างใหม่ ตามสโลแกน Novus Ordo Seclorum ซึ่งคำๆนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ New World Order นั่นเอง

    ซึ่ง แนวทางเช่นนี้สำคัญอย่างมากในการร้อยรัดใจผู้คนในยามสงครามที่ต้องการให้ทุก คนเป็นหนึ่ง มันจึงกลายเป็นอุดมการณ์ที่เหล่าผู้นำในผู้ร่วมก่อการปฏิวัติในสงครามประกาศ อิสรภาพ คนอย่าง จอร์จ วอชิงตัน,โทมัส เจฟเฟอร์สัน, เบนจามิน แฟรงคลิน, จอหน์ แฮนคอค, พอล ริเวีย, เบเนดิคต์ อาร์โนลด์, จอหน์ พอล โจนส์ (เหล่าคนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น founding fathers ของ สหรัอเมริกา)ได้รับมาจากฟรีเมสันส์นิคฝรั่งเศสและแทบจะเห็นด้วย (และตอบตกลงเป็นฟรีเมสันส์นิค) ในทันทีเพื่อนำมาใช้เป็นอุดมการณ์ในการต่อสู้กับกองทัพรัฐบาลอังกฤษ นี้เองคือความลับของสมาคมฟรีเมสันส์ เป็นเหตุผลที่ทำให้การกล่าวอ้างในหนังภาพยนตร์เรื่อง National Treasure ที่ว่าจอร์จ วอชิงตัน เบนจามิน แฟรงคลิน และพอล ริเวีย หรือแม้แต่คนอื่นๆในกลุ่มผู้นำก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นสมาชิกของสมาคม ลับ ‘ฟรีเมสันส์’ เป็นความจริง ถึงแม้หลักฐานและแนวคิดทั้งหมดที่มีจะเป็นเพียงทฤษฏีสมคบคิดก็ตาม....
    “แต่ การที่เกิดแนวคิดต่างๆทฤษฎีต่างๆมากมายเหล่านี้ขึ้นได้นั้น มันไม่ได้ใช่เรื่องที่คิดกันขึ้นเองตามอำเภอใจแต่อย่างใด แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากแนวคิดของความน่าจะเป็นที่มีน้ำหนักแห่งความ น่าเชื่อถืออยู่ก่อนแล้วทั้งสิ้น การมองโลกแต่เพียงด้านเดียว บางครั้งก็มักทำให้เราเป็นคนโง่ที่ไม่ทันข่าวสาร หรือไม่ทันเกมต่างๆที่เล่นๆกันอยู่ โลกไม่เคยมีคำว่าตรงไปตรงมาเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ และคงจะไม่มีจวบจนกระทั่งกระทั้งสิ้นโลก โลกเรานี้มีสิ่งที่ปลิ้นปล้อน หลอกลวง วิ่งเพ่นพ่านกันไปทั่วทุกหนทุกแห่งไม่ว่าวงการใดๆ แม้แต่สิ่งที่กล่าวกันว่าเป็นความจริงแท้ ในบางครั้งก็เอาเพียงความจริงนิดเดียวมาฉาบหน้าเอาไว้เท่านั้น เบื้องหลังนั้นคือความหลอกลวงล้วนๆ การมองโลกด้วยการใช้แนวคิดและทฤษฎีต่างๆเข้ามาสืบค้น เข้ามาอ้างอิง ที่อาจมองว่าไกลอย่างเหลือเชื่อนั้น มันอาจใกล้ความจริงเพียงแค่เอื้อมได้ หากทำใจยอมรับโลกอีกด้านหนึ่งให้ได้ โลกอีกด้านที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เหลือเชื่อ สิ่งที่ไม่เคยคาดคิดกันว่าจะเกิดขึ้น โลกที่เราเคยมองว่าเร้นลับ แต่หากเรามองโลกด้านนั้นด้วยแนวคิดที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นวิทยาศาสตร์อย่างที่เราเคยใช้ตรรกะของวิทยาศาสตร์มาหาบทสรุปของสิ่งที่ เคยเป็นความมหัศจรรย์ซึ่งไกลเกินจริง แต่เมื่อวิทยาศาสตร์หาคำตอบได้สิ่งนั้นๆก็ได้กลายมาเป็นความเป็นไปได้ และความเป็นไปได้เหล่านั้นก็จะเรียงตัวให้เราไขว่หาความรู้ หาคำตอบได้อย่างมากมายหลายๆเรื่องที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็น ก็ปรากฏให้เห็นเป็นจริงขึ้นในทุกวันนี้”
    Patz: January, 2010
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ฟรีเมสัน-อิลูมิเนติ กับการปฏิวัติยุโรป

    ฟรีเมสัน-อิลูมิเนติ กับการปฏิวัติยุโรป

    ใน ยุคที่ ”แสงสว่างแห่งปัญญา” อันเกิดจากศักยภาพของมนุษย์ ผู้ซึ่งสามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ พ้นไปจากการครอบงำทางความคิดอันล้าหลังของศาสนจักร ได้เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทั้งยุโรป…องค์กรลับอย่างฟรีเมสันก็ได้แสดงตัวให้ชาว ยุโรปได้รับรู้กันในฐานะ ”สมาคมแห่งภราดรภาพ” หรือ ”สมาคมของผู้ที่มีความสุขต่ออิสรภาพ” และได้ประกาศคำขวัญในหมู่มวลสมาชิกเอาไว้ว่า”เสรีภาพ-ความเสมอภาค-และ ภราดรภาพ”ที่ในระยะเวลาต่อมามันได้กลายมาเป็นคำขวัญของบรรดาขบวนการปฏิวัติ โค่นล้มอำนาจการปกครองของรัฐบาลต่างๆในยุโรปไปโดยลักษณะใดก็ไม่อาจทราบ ได้…???

    อย่างไรก็ตาม…แม้นว่าองค์กรอย่างฟรีเมสันจะถูกกล่าวหา หรือตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีบทบาทในการต่อต้านอำนาจของฝ่ายศาสนามาโดยตลอด แต่ปรัชญาและแนวคิดของฟรีเมสันนั้นยังคงผูกติดอยู่กับกลิ่นอายทางศาสนาอยู่ ไม่น้อย นั่นก็คือการให้ความยอมรับต่อสิ่งสูงสุดในทางจิตวิญญาณหรือ ”พระเจ้า” เพียงแต่การอธิบายความหมายหรือการตีความในเรื่องพระเจ้าของฟรีเมสันนั้น ออกจะพิลึก พิสดารแตกต่างไปคนละเรื่องคนละราวกับพระเจ้าในความหมายเดิมๆที่ชาวคริสต์เคย รับทราบในหลายแง่หลายมุมด้วยกัน ซึ่งก็คงไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลากล่าวถึงในที่นี้…

    แต่โดยบรรยากาศ ความร้อนแรงในยุค ”แสงสว่างแห่งปัญญา” กำลังสาดส่องอยู่ทั่วยุโรปนั้น สมาคมลับอีกแห่งหนึ่งที่ชาวยิวมีส่วนเข้าไปพัวพันตั้งแต่จุดเริ่มต้น และมีบทบาทในการรองรับความหิวกระหายเสรีภาพ-ความเสมอภาค-ภราดรภาพของชาว ยุโรปได้ถนัดถนี่ยิ่งกว่าฟรีเมสันก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน นั่นก็คือองค์กรที่ใช้ชื่อว่า ”อิลูมิเนติ” ( illuminati ) ซึ่งโดยความหมายที่ถอดความมาจากภาษาละตินนั้น ก็หมายถึง ”แสงสว่าง” หรือ ”ความรู้แจ้ง”ไม่ต่างไปจาก ”แสงสว่างแห่งปัญญา” เช่นเดียวกับคำว่า ”เอ็นไลท์เทนเม้นท์” นั่นเอง…

    บทบาทของ ”อิลูมิเนติ” นั้นได้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างชัดเจนในยุโรปตั้งแต่ประมาณช่วงปี ค.ศ. ๑๔๙๒ ในบรรดาเมืองสำคัญๆ ของประเทศเสปน อันเป็นแหล่งรองรับวิทยาการที่หลั่งไหลจากจักรวรรดิอิสลามเข้ามาสู่ยุโรปใน ช่วงแรกๆ นั่นเอง เช่น เมือง เซวิลล์, คอร์โดบา และทอเลโด ฯลฯ เป็นต้น หลังจากนั้นบทบาทของ ”อิลูมิเนติ” ก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นมาในฝรั่งเศสในช่วงปี ค.ศ. ๑๖๒๓-๑๗๒๒ และแพร่สะพัดไปสู่ประเทศอังกฤษในช่วงระยะเดียวกัน ก่อนที่จะลุกลามไปสู่เยอรมันโดยเฉพาะในแคว้นบาวาเรียในช่วงปี ค.ศ. ๑๗๗๗ โดยชาวยิวที่มีชื่อว่า ”อาดัม ไวซ์ชวาปท์” และได้แพร่ต่อไปยังโปแลนด์ สวีเดน เดนมาร์ค ฮังการี ออสเตรีย ฯลฯ ก่อนที่จะไปปรากฏตัวชัดเจนในประเทศรัสเซียตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๗๙๐ เป็นต้นมา…

    องค์กรอย่าง อิลูมิเนตินั้น… แตกต่างไปจากฟรีเมสันตรงที่สามารถสลัดหลุดออกมาจากกรอบความคิดในเรื่อง ”พระเจ้า” ได้อย่างสิ้นเชิง หันมาให้ความสำคัญกับ ”ความรู้” และ ”ความมีเหตุมีผล” ที่เกิดจากการ ”ค้นคิดอย่างเป็นอิสระ” ภายใต้ศักยภาพความเป็นมนุษย์ อันเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับการยึดมั่น-ศรัทธาแทนความเชื่อในเรื่องสิ่งสูงสุด ทางศาสนา…หรือที่เรียกๆ กันว่าแนวทาง ”ความรู้นำไปสู่สุขคติ” (Gnosticism)…

    บทบาท ขององค์กรฟรีเมสันและอิลูมิเนติ ที่ต่างก็แผ่กระจายเข้าไปมีอิทธิพล เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วทั้งยุโรปในขณะนั้น มันจะมีที่มา-ที่ไปแตกต่างกันหรือไม่? เพียงใด? ก็แล้วแต่…แต่สิ่งที่ทำให้ฟรีเมสันและอิลูมิเนติมีความเหมือนกันและสอดคล้อง กันและกันก็คือ องค์กรทั้งสองล้วนแล้วแต่เป็นสมาคมลับ และต่างก็เป็นสมาคมที่ชาวยิวเข้าไปมีบทบาทในการก่อตั้งและขับเคลื่อนมา ตั้งแต่แรกด้วยกันทั้งคู่…???

    และภายใต้ความเหมือนกันหรือสอดคล้อง ต้องกันเช่นนี้… บทบาทขององค์กรทั้งสองยังมักจะถูกกล่าวถึงหรือถูกนำไปเกี่ยวโยงพัวพันกับ ความเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจและทัศนคติทางสังคมที่กำลังก่อตัวขึ้นมาในประเทศต่างๆทั่วทั้งยุโรป ในช่วงระยะนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า…???

    ในการปฏิวัติฝรั่งเศสปี ค.ศ. ๑๗๘๙ หัวหอกสำคัญในการก่อการปฏิวัติโค่นล้มอำนาจพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ เพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐ ที่เรียกกันว่าพวก ”จาโคแบงส์” (Jacobins) ได้ถูกกล่าวหาหรือตั้งข้อสงสัยว่า มีความสัมพันธ์และเกี่ยวโยงกันอย่างใกล้ชิดกับองค์กรอิลูมิเนติ แม้นว่าคำขวัญที่ถูกใช้ในการปฏิวัตินั้นกลับเป็นคำขวัญที่ไม่แตกต่างไปจากคำ ประกาศของพวกฟรีเมสันกันเลยแม้แต่นิด นั่นก็คือคำว่า ”เสรีภาพ-เสมอภาค-และภราดรภาพ”นั่นเอง…???

    ในการก่อการปฏิวัติเพื่อ โค่นล้มอำนาจของพระเจ้าเฟอร์ดินันด์ที่ ๗ ในประเทศเสปน ช่วงปี ค.ศ. ๑๘๑๙ “นักสาธารณรัฐนิยม” ผู้เป็นหัวหอกสำคัญในการปฏิวัติอย่าง ”ราฟาเอล เดล เรียโก อิมูเนซ” ก็เป็นที่รู้จักกันในฐานะสมาชิกคนสำคัญขององค์กรฟรีเมสันกันมาตั้งแต่แรก…

    ใน อิตาลี…ถึงแม้นจะไม่มีการเอ่ยถึงบทบาทของฟรีเมสันหรืออิลูมิเนติชัดเจนซัก เท่าไหร่นัก แต่ในการปฏิวัติในอิตาลีนับตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๒๐ เป็นต้นมา หรือหลังจากที่พระจักรพรรดินโปเลียนผู้สร้างคุณูปการให้กับชาวยิวทั่วทั้ง ยุโรปได้พ่ายแพ้ในสงครามวอเตอร์ลู และอำนาจของกษัตริย์และศาสนจักรกำลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ในอิตาลี องค์กรที่ทำการเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติหรือเพื่อต่อต้านอำนาจของกษัตริย์ และพระสันตะปาปาในอิตาลี ที่มีชื่อว่า ”คาร์โบนา” นั้น แม้นว่าจะเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของชาวคริสต์ก็ตาม แต่ก็เป็นที่รับทราบกันอย่างชัดเจนว่าได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มพ่อค้าชาว ยิวอย่างเต็มที่ หรือกลุ่ม ”อิตาลีหนุ่ม” ที่พยายามก่อการปฏิวัติต่อมาหลังจากนั้น ก็ได้รับความสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากชาวยิวในอิตาลีที่ไม่ใช่เพียงแค่ใน เรื่องเงินๆ-ทองๆเท่านั้น แต่ยังมีการระดมอาสาสมัครชาวยิวเข้าร่วมก่อการปฏิวัติกับกลุ่มอิตาลีหนุ่ม ภายใต้การนำของ ”กิเซปป์ มาสินี” อย่างเปิดเผย…

    ในรัสเซีย เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ ๑ ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการปกครองประเทศ หลังจากได้ทำสงครามกับพระจักรพรรดินโปเลียนเป็นต้นมา จนเกิดการกดดัน การจำกัดสิทธิต่างๆ ของชาวยิวในรัสเซีย ชาวยิวในรัสเซียก็ได้หันมาจัดตั้งสมาคมในรูปแบบต่างๆ ที่เรียกกันว่า ”เฮฟวรา” อันสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความจัดเจนในการใช้รูปแบบของ ”องค์กรบังหน้า” ที่กระจัดกระจายอยู่ในนามสมาคมนานาชนิด ไม่ว่า ”สมาคมเลี้ยงอาหารคนจน”, ”สมาคมศิลปะและการฝีมือ”, ”สมาคมพิธีศพ”, สมาคมเลี้ยงเด็กกำพร้า”, ”สมาคมหาคู่”…ฯลฯ แต่ภายใต้กิจกรรมของสมาคมต่างๆ ที่ดูเหมือนกับไม่ได้มีจุดประสงค์และเป้าหมายใดๆ ที่อาจจะกระทบต่อนโยบายกำจัดสิทธิ์ซึ่งรัฐบาลรัสเซียมีต่อชาวยิวเลยนั้น โดยการเชื่อมโยงของเครือข่ายสมาคมต่างๆ เหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้ชาวยิวในรัสเซียสามารถสร้าง ”อำนาจรัฐซ้อนรัฐ” หรือ ”อำนาจการปกครองตัวเอง” ซ้อนอยู่ในอำนาจของรัฐบาลรัสเซียได้สบายๆ หรือสามารถใช้สมาคมต่างๆ ดูแลปกครองชาวยิวตามตัวบทกฎหมายของชาวยิวเอง แม้นว่ารัฐบาลรัสเซียจะมีคำสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ไม่ให้ชาวยิวหรือชนชาติส่วนน้อยใดๆ ทำการปกครองตัวเองภายในแผ่นดินรัสเซียก็ตาม…ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจนัก ที่เมื่อเกิดการปฏิวัติโค่นล้มระบบซาร์ในรัสเซีย ช่วงปี ค.ศ. ๑๙๑๗ กลุ่มกำลังที่มีส่วนสำคัญในการปฏิวัติไม่ว่ากลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ”บอลเชวิค” หรือ ”เมนเชวิค” ก็แล้วแต่ ต่างก็ถูกระบุถึงการมีสัมพันธ์โยงใยอยู่กับสมาคมลับอย่างอิลูมิเนติ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับชาวยิวในรัสเซียที่ล้วนแต่เติบโตขึ้นมา ภายใต้เครือข่ายขององค์กรบังหน้าในลักษณะรัฐซ้อนรัฐกันมาตั้งแต่แรก…

    บทบาท ของชาวยิวไม่ว่าโดยฐานะตัวบุคคล โดยองค์กรทั้งในแบบลับๆ หรือเปิดเผย ที่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมในยุโรปนั้น…ว่าไปแล้วค่อนข้างเป็นอะไรที่สับสน สลับซับซ้อน จนยากที่จะควานหาเป้าหมาย แนวทางกันได้ชัดๆ มีทั้งบทบาทที่แสดงออกในลักษณะ ปิดบัง ซ่อนเร้นจนยากที่จะหาร่องรอยหลักฐานใดๆมาเป็นข้อพิสูจน์ได้ มีทั้งลักษณะที่เปิดเผยตรงไป-ตรงมาซึ่งถูกแสดงออกผ่านนักธุรกิจ พ่อค้า หรือเครือข่ายอำนาจทางการค้า อันเป็นบทบาทที่เคยหนุนช่วยอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในบางช่วงบางระยะ แต่ก็กลับมามีบทบาทในการโค่นล้มอำนาจกษัตริย์ในช่วงระยะต่อมา มีทั้งตระกูลคหบดีชาวยิวที่อาศัยความมั่งคั่งทางการค้าแผ่ขยายเครือข่ายเข้า ไปในหมู่ชนชั้นสูงในยุโรป ใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจรัฐจนกลายเป็นเครือญาติของราชวงศ์และชนชั้นขุนนาง สืบต่อกันมาเป็นรุ่นๆ แต่ก็มีเครือข่ายของชาวยิวอีกกลุ่มหนึ่งที่อาศัยความเจ็บปวดเคียดแค้นของชน ชั้นกรรมาชนแผ่ขยายความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอำนาจที่เกิดขึ้นมาใหม่โดย นักปฏิวัติผู้พยายามโค่นล้มระบบขุนนางและกษัตริย์ลงไปให้ได้ และยังมีชาวยิวในแต่ละบุคคลที่อาศัยสติปัญญา ความเฉลียวฉลาดเฉพาะตัวแสดงบทบาททั้งในฐานะผู้กระตุ้นให้เกิดลัทธิทุนนิยม ขึ้นมาในยุโรป รวมทั้งเป็นผู้ที่ให้กำเนิดลัทธิคอมมิวนิสต์อันเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับทุน นิยม จนบรรดาผู้ที่เชื่อมั่น-ศรัทธาต่อความคิดของชาวยิวทั้งสองฝ่ายต้องหันมา ประหัตประหารกันเองทั่วทั้งยุโรปและทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมาอีกด้วย….ฯลฯ ฯลฯ

    แต่ ภายใต้ลักษณะที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน สับสน และผิดแผกแตกต่างกันปานประดุจถูกแยกให้กลายไปเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกันและกัน เช่นนี้ สิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้ก่อให้เกิดการละลายหรือการเจือจางความเข้มข้นใน ”ความเป็นยิว” อันเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาในแต่ละรุ่นแต่ละรุ่นตลอดชั่ว อายุของเผ่าพันธุ์นับเป็นพันๆ ปีที่แล้วลงไปได้เลย…??? อารมณ์ความรู้สึกของชาวยิวแต่ละบุคคล หรือชาวยิวที่อยู่ในแต่ละกลุ่มก้อนองค์กรไม่ว่าจะเป็นยิวฝ่ายไหนก็แล้วแต่ แม้นว่าจะกระจัดกระจายพลัดพรากกันไปในแต่ละประเทศ เติบโตขึ้นมาในสังคมที่มีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน อยู่ในสถานะทางชนชั้นที่แตกต่างกันจนอาจก่อให้เกิดทัศนคติที่แตกต่างกันใน ลักษณะเช่นใดก็ตามที…แต่ท้ายที่สุดแล้ว…สายเลือดและวิญญาณของเผ่าพันธุ์ที่ ถูกปลูกฝัง ตอกย้ำกันอย่างเอาจริงเอาจังมาตั้งแต่ยุคอับราฮัม อิสอัค ยาโคปมาโดยตลอด…ก็ยังสามารถโลดแล่นอยู่ในตัวตนของชาวยิวแต่ละรายได้เสมอๆและภายใต้อารมณ์ความรู้สึกที่ถูกฝังอยู่ในจิตวิญญาณของชาวยิวอย่างลึกซึ้ง เช่นนี้ ทำให้ความแตกต่างในหมู่ชาวยิวทั้งหลาย กลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกนำมาปรับใช้เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกลมกลืนระหว่าง กันและกัน และนำไปสู่จุดมุ่งหมายอันเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ??? จุดมุ่งหมายที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเลยตั้งแต่ต้น…นั่นก็คือจุดมุ่งหมายที่ ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อเผ่าพันธุ์ของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น…???

    ด้วย เหตุนี้ไม่ว่าองค์กรลับอย่างฟรีเมสันจะแสดงการยอมรับต่อการมีอยู่พระ เจ้า ในขณะที่องค์กรอิลูมิเนติปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า…แต่ท้ายที่สุด…ภายใต้ เครือข่ายการเคลื่อนไหวของทั้งสององค์กรที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งยุโรป ก็ดูจะนำมาซึ่งผลสรุปอันเดียวกัน…นั่นก็คือ ในขณะที่ชนชาติต่างๆ ในยุโรปต่างก็ปั่นป่วนวุ่นวายจนกระทั่งมีผลลุกลามกลายเป็นความวุ่นวายของ ทุกๆชนชาติทั่วทั้งโลก…ชนชาติที่ยังคงแข็งแกร่งจนอาจจะปกครองโลกทั้งโลกได้ ในวันใดวันหนึ่งก็คงเป็นชนชาติที่สืบเชื้อสายมาจาก ”ผู้ที่ปล้ำสู้กับพระเจ้า” หรือชนชาติ ”อิสราเอล” นั่นเอง…???
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE class=FullView id=layoutManager cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD class=region id=FullViewNav></TD><TD class=region id=MainFocus><TABLE class=spAToolbarTable style="WIDTH: 100%" cellSpacing=0><TBODY><TR><TD></TD><TD align=right>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    New World Order จัดระเบียบโลกใหม่

    ระเบียบโลกใหม่ และ…รัฐบาลโลก

    นับ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ ๒๐ หรือปี ค.ศ. ๑๙๐๐ เป็นต้นมา…จะเป็นเพราะความชุลมุนวุ่นวายอันเนื่องมาจาก ความขัดแย้งทางอำนาจและผลประโยชน์ในหมู่ชาติต่างๆ ในยุโรป ที่ปรากฏสืบเนื่องมาโดยตลอด และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสงครามครั้งแล้ว ครั้งเล่า หรือจะมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกด้วยหรือไม่? ก็แล้วแต่ บรรดาชาวยุโรปจำนวนไม่น้อย ได้เริ่มออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของ "รัฐบาลโลก” (World Government) ที่จะทำหน้าที่ขจัดความขัดแย้งแตกต่างทางการเมืองและผลประโยชน์ระหว่างชาติ ต่างๆ ด้วย “การทำโลกให้เป็นโลกเดียว” (One World) หรือ ”การสร้างสรรค์ระเบียบใหม่” ให้กับโลก (New World Order)…

    กลุ่มคน ที่พยายามนำเสนอแนวคิดเหล่านี้ มีทั้งประเภทที่หนักไปในทางคิดฝันกันในเชิงอุดมคติ เช่น "เฮอร์เบิร์ต จอร์จ เวลส์” หรือ "เอช.จี.เวลส์” นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงก้องโลก ที่ได้กล่าวถึงแนวคิดเหล่านี้เอาไว้หลายครั้งหลายหนในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือถึงกับเคยเขียนถึงสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๓๙ ในหนังสือชื่อ "One World State” ส่วนนักคิดและนักปรัชญาอย่าง "เบอร์ทรัล รัซเซล” ได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๔๖ ถึงความหวังต่อ "สันติภาพถาวร” ถ้าหากมี "รัฐบาลโลก” ถูกจัดตั้งขึ้นมาบนพื้นฐานความเห็นชอบของนานาชาติ เพื่อควบคุมภยันตรายจากอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งกำลังเริ่มก่อให้เกิดความตึงเครียดกับโลกทั้งโลกมาตั้งแต่ช่วงระยะนั้น ….หรือนักปราชญ์อาวุโสอย่าง "อาโนลด์ ทอยน์บี” ก็ถือได้ว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดที่ว่านี้และได้กล่าว ไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๖๑ ถึงความหวังที่จะมีรัฐบาลโลกเพื่อนำมาซึ่งหลักประกันสำหรับความอยู่รอดของ มวลมนุษยชาติในยุคนิวเคลียร์…

    ในขณะเดียวกัน…กลุ่มคนที่ไม่ได้มองแนว คิดเหล่านี้เพียงแค่ในเชิงอุดมคติ แต่ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงเป็นจัง ขึ้นมา และมีจุดมุ่งหมายที่หนักไปในลักษณะของความทะเยอทะยานอันมีแรงผลักดันมาจาก ความรู้สึกถึงความสูงส่งของเผ่าพันธุ์และชนชาติของตัวเองกันเป็นการเฉพาะ ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เช่น แนวความคิดของ "เซซิล จอห์น โรเดส” นักธุรกิจเหมืองแร่และเจ้าที่ดินใหญ่ชาวอังกฤษที่ถือกำเนิดในแอฟริกาใต้ และเป็นผู้มีส่วนผลักดันให้เกิดประเทศ "โรดิเซีย” (ซิมบับเว) ก็เคยเสนอแนวความคิดในลักษณะเช่นนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี ค.ศ. ๑๙๐๐ ถึงความต้องการที่จะให้ประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษจัดตั้ง "สหพันธ์รัฐบาลโลก” (Federal World Government) เพื่อที่จะช่วยปกป้องดูแลให้เกิดสันติภาพขึ้นมาในโลกที่มีชาวผิวขาวปกครอง และมีภาษาอังกฤษใช้เป็นภาษาหลัก…หรือ "ไลโอเนล เคอร์ติส” นักคิดชาวโปรเตสแตนท์ที่ได้เขียนหนังสือชื่อ "Commonwealth of God” ในปี ค.ศ. ๑๙๓๘ ปลุกเร้าให้สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ "ทำงานของพระเจ้า” (Work of God) ด้วยการรวมตัวกันจัดตั้ง "รัฐบาลโลก” เพื่อให้เกิดอาณาจักรของพระเจ้าที่ใช้ภาษาอังกฤษขึ้นมาในโลกนี้…

    แต่ นอกเหนือไปจากนั้น…แนวคิดในเรื่อง "รัฐบาลโลก” ก็ยังได้ถูกพูดถึง หรือได้ถูกสะท้อนออกมาผ่านทัศนคติของกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะถือได้ ว่า เป็นกลุ่มที่มีพลังมากที่สุด!!! ในการขับเคลื่อนแนวความคิดดังกล่าวให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้จริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่อุดมคติที่เลื่อนลอย หรือเป็นแค่แนวความคิดที่เลอะเทอะ ไร้สาระดังเช่นกลุ่มอื่นๆ… นั่นก็คือกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายและแรงบันดาลใจมาจากความต้องการที่จะขยายขอบ เขตของผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเองให้กว้างขวางออกไปให้ได้มากที่สุดเท่า ที่จะมากได้… หรือบรรดากลุ่มอภิมหาธุรกิจทั้งหลายทั้งในซีกตะวันตกและตะวันออกของมหาสมุทร แอตแลนติก อันประกอบไปด้วยกลุ่มนายธนาคารระหว่างประเทศ กลุ่มนักอุตสาหกรรม การค้า รวมไปถึงชนชั้นขุนนางในยุโรป…

    ด้วยอำนาจอิทธิพลทั้งในทางการ เมืองและเศรษฐกิจอันกว้างขวางใหญ่โตมหึมา… การผลักดันให้แนวความคิดดังกล่าวเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา…จึงก่อให้เกิดการ เคลื่อนไหวในการพัฒนากลุ่มก้อนองค์กรนานาชนิด ให้อุบัติขึ้นมารองรับแนวความคิดเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง…ไม่ว่าจะเป็นการก่อ ตั้ง "ราชสมาคมว่าด้วยกิจการระหว่างประเทศ” (Royal Institute for International Affairs) ขึ้นมาในประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๙๑๙ ตามมาด้วยการก่อตั้ง ”สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” หรือ "CFR” ขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๙๒๐ การรวมตัวกันของนักธุรกิจการเงินในอเมริกาและอังกฤษที่จัดให้มีการประชุม เพื่อสร้างระบบการเงินโลกที่ "เบรตตัน วูดส์” ในปี ค.ศ.๑๙๔๔ ซึ่งได้นำไปสู่การจัดตั้งธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในเวลาต่อมา ไปจนถึงการรวมตัวของผู้นำทางการเมืองในการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ ในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ …

    นอกเหนือไปจากนั้น กลุ่มอิทธิพลทางการเมืองและทางการค้าเหล่านี้ยังพยายามสร้างเครือข่ายเชื่อม ประสานผลประโยชน์ทางการเมืองและทางการค้าขึ้นมาด้วยองค์กรที่เรียกกันว่า "บิลเดอร์เบอร์ก” ในปี ค.ศ. ๑๙๕๔ และยังมีส่วนผลักดันให้เกิดองค์กร "ตลาดร่วมยุโรป” หรือ "European Common Market” (EEC)ในปี ค.ศ. ๑๙๕๗ ที่ได้กลายมาเป็น "สหภาพยุโรป” ในทุกวันนี้ เกิดการจัดตั้ง "คณะกรรมการ ๓ ฝ่าย” หรือ "The Trilateral Commission” เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายอำนาจของพันธมิตรอเมริกาเหนือ-ยุโรป-เอเชียเข้าด้วย กันในปี ค.ศ. ๑๙๗๓ จัดตั้ง ”องค์การการค้าโลก” หรือ "World Trade Organization” (WTO) ในปี ค.ศ. ๑๙๙๕… ฯลฯ บรรดาความเคลื่อนไหวเหล่านี้… ล้วนแล้วแต่ดำเนินสืบเนื่องกันมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ภายใต้จุดมุ่งหมายที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะนำพาโลกไปสู่การ "ทำให้โลกเป็นโลกเดียว”…โลกที่ได้รับการ "จัดระเบียบขึ้นมาใหม่” ให้อยู่ภายใต้อำนาจของ "รัฐบาลโลก”…???

    แนวคิดในลักษณะที่ว่านี้…อัน ที่จริงก็ไม่ได้มีการแสดงออกในลักษณะปิดบังหลบ ซ่อนกันซักเท่าไหร่นัก หรือมันค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมาในแนวเดียวกันกับที่ "เอช.จี.เวลส์” ได้เคยให้คำแนะนำเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าสามารถกระทำได้ในลักษณะที่เรียกว่า "การสมคบคิดอย่างเปิดเผย” (open conspiracy) นั่นเอง…ด้วยเหตุนี้…นับตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๒๒ มาแล้ว หรือเพียงแค่ประมาณ ๓ ปีเท่านั้นหลังจากได้มีการจัดตั้งสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยมีอภิมหา นักธุรกิจร็อคกี้เฟลเลอร์ ดำรงตำแหน่งประธานสภา บทความในนิตยสาร "ฟอร์เรจน์ แอฟแฟร์” ของ CFR ที่เขียนโดยสมาชิกขององค์กรชื่อว่า "ฟิลลิป เคอร์” ซึ่งได้จุดประกายความคิดเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจนมาตั้งแต่นั้นแล้ว ก็ได้ระบุว่า… "ตราบใดที่ประเทศต่างๆ ในโลกนี้ยังถูกแยกให้เป็นอิสระจากกันและกัน…สันติภาพและความรุ่งโรจน์ที่จะ มีต่อมวลมนุษยชาติย่อมไม่อาจปรากฏเป็นจริงขึ้นได้ และกว่าที่จะมีการคิดค้นสร้างสรรค์ระบบความร่วมมือระหว่างชาติขึ้นมาได้ จริงๆ…ปัญหาที่แท้จริงในขณะนี้น่าจะอยู่ที่ว่า… ทำอย่างไรที่จะทำให้มีรัฐบาลโลกเกิดขึ้น…”

    นอกเหนือไปจากนั้น…สมาชิก คนสำคัญๆ ของ CFR ในแต่ละยุค แต่ละรุ่น ก็เคยแสดงออกถึงแนวความคิดในลักษณะดังกล่าวอย่างไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้นอะไร มากมายนัก ไม่ว่าจะโดย "เซอร์ ฮาโรลด์ บัตเลอร์” ที่ได้แสดงความเห็นในวารสาร CFR ในปี ค.ศ. ๑๙๔๘ ว่า…"จะอีกนานเท่าไหร่สำหรับชีวิตของรัฐชาติ…จะอีกนานเท่าไหร่ที่เขาทั้ง หลายพร้อมที่จะยอมเสียสละบางส่วนของบูรณภาพ โดยไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจจนไม่อาจ ยอมรับได้…เมื่อนั้นนั่นแหละที่…ระเบียบโลกใหม่… ก็จะปรากฏตัวขึ้นมาและจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นสหประชาชาติที่แท้จริง หรือการนำไปสู่การกำหนดชะตากรรมร่วมกันของโลกใบนี้…”

    แม้กระทั่ง ทายาทตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ อย่าง "เนลสัน ร็อคกี้เฟลเลอร์” ก็ได้เขียนถึงแนวคิดเหล่านี้ไว้ในหนังสือเรื่อง "Future of Federalism” ในขณะเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค ในปี ค.ศ. ๑๙๖๒ และได้ยืนยันถึงแนวคิดเหล่านี้อีกครั้งต่อสำนักข่าว เอ.พี. ในระหว่างการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๘ ว่าเขาต้องการที่จะใช้ฐานะความเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ในการผลักดันเพื่อให้เกิดการริเริ่มสร้างสรรค์อันจะนำไปสู่ "การจัดระเบียบโลกใหม่”…เช่นเดียวกับ "จอร์จ บอลล์” สมาชิกคนสำคัญของ CFR ผู้เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเศรษฐกิจของอเมริกา ที่ได้เคยขายความคิดเหล่านี้ไว้ในระหว่างการปราศรัยต่อคณะกรรมการหอการค้า ระหว่างประเทศของอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๗ ว่า "เขตแดนทางการเมืองของรัฐชาตินั้นคับแคบเกินไป และจำกัดขอบเขตกิจกรรมของธุรกิจสมัยใหม่ บรรษัทที่มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินกิจการระดับโลกย่อมหวังที่จะเห็นแนวโน้ม ของโลกที่ไม่เพียงแต่สินค้าเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี… แต่ยังต้องรวมถึงปัจจัยการผลิตทั้งหมดที่ไม่ควรถูกจำกัดขอบเขตโดยความเป็น ชาติอีกด้วย…” หรือ "เลสลี เกลบ์” ประธาน CFR ที่ได้ยืนยันเอาไว้ในรายการโทรทัศน์ในอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๙๓ ว่า องค์กรอย่าง CFR ได้กล่าวถึงเรื่องราวของระเบียบโลกใหม่มานานแล้ว และถือเป็นแนวความคิดพื้นฐานของ CFR ที่ได้ตอกย้ำมาโดยตลอดถึงการทำให้โลกเป็นโลกเดียว….

    ภายใต้บทบาทของ กลุ่มคนเหล่านี้ ที่ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลและความผูกพันใกล้ชิดกับรัฐบาลอเมริกันมาในแต่ละยุค แต่ละสมัย จึงทำให้ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดว่า เหตุใดผู้นำทางการเมืองของอเมริกาในแต่ละยุคต่างก็ได้สืบทอดแนวความคิดเหล่า นี้ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ไม่ว่า ”แฟรงค์กลิน ดี. รูสเวลท์” ที่ใกล้ชิดกับ CFR ตั้งแต่เป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค และรับเอาบันทึกช่วยจำของ CFR ไปใช้เป็นนโยบายต่างประเทศอเมริกาในช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประธานธิบดี "เฮนรี่ ทรูแมน” ที่ถึงกับประกาศเอาไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ ว่า…”เป็นสิ่งที่ง่ายมากสำหรับชาติต่างๆ ที่จะเป็นสหพันธรัฐโลก เหมือนอย่างที่เราได้เป็นสหรัฐอเมริกาอยู่ในทุกวันนี้…” หรือ "เจมส์ พี.วาร์เบอร์ก” สมาชิกคณะกรรมาธิการวุฒิสภาว่าด้วยกิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๕๐ว่า…"เราจะต้องมีรัฐบาลโลก…ไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม คำถามมีอยู่แค่เพียงว่า มันจะบรรลุความเป็นไปได้ด้วยการยินยอมหรือโดยการบังคับ…เท่านั้นเอง…” และแนวคิดเช่นนี้ก็ได้ปรากฏให้เห็นสืบทอดกันมาโดยตลอดไม่ว่าจะโดยรัฐบาลของ รีพับลิกันหรือดีโมแครตก็ตาม…

    คำประกาศถึง "การจัดระเบียบโลกใหม่” ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นในวันที่ ๑๑ กันยายน ปี ค.ศ.๑๙๙๐ โดยประธาธิบดี "จอร์จ บุช” แห่งพรรครีพับลิกัน หลังสงครามเย็นได้ทำท่าว่าใกล้จะยุติลงไป จึงเป็นสิ่งที่มีเนื้อหาไม่ต่างอะไรไปจากแผน "ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” ในยุครัฐบาลประธานาธิบดี ”บิล คลินตัน” แห่งพรรคดีโมแครต หรือที่รู้จักกันในนาม "แผนยุทธบริเวณใหม่ของยุทธการสหรัฐ-ทางการเมือง-การทหาร” (Political-Millitary-A new Theater of Operation) หรือ "แนวทางยุทธศาสตร์ในอนาคตของสหรัฐอเมริกา” ที่ถูกประกาศออกมาในปี ค.ศ .๑๙๙๘.. และสิ่งเหล่านี้ได้ถูกยกระดับให้เป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้นไปอีกโดย ประธานาธิบดี ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๑ ด้วยการประกาศแนวทางของรัฐบาลอเมริกันต่อประเทศต่างๆ ในโลกเอาไว้ว่า…"ใครก็ตามที่ไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้างอเมริกา…ผู้นั้นก็คือ ฝ่ายผู้ก่อการร้าย” ซึ่งถือได้ว่า เป็นคำประกาศที่ไม่ต่างไปจากการสถาปนาตัวเองให้เป็น ”รัฐบาลโลก” อย่างเป็นทางการ…นั่นเอง!!!

    แต่ในขณะที่รัฐบาลอเมริกาได้สถาปนา ตัวเองให้กลายมาเป็นรัฐบาลโลกกันไปแล้ว นั้น… ลึกลงไปในหน้าตาของความเป็นรัฐบาลอเมริกัน…ก็คงไม่ได้มีแต่ชาวอเมริกันที่มี บุคลิกโง่ๆ เซ่อๆ อย่างเช่นประธานาธิบดี "จอร์จ ดับเบิลยู. บุช” เท่านั้น…ที่แสดงออกถึงความต้องการที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางความเป็นไปของโลก ทั้งโลกในปัจจุบันและในอนาคตข้างหน้า…. เพราะภายใต้ความเป็นรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุคแต่ละสมัยมันมักจะถูกแวดล้อมไป ด้วยบรรดา "ชาวยิว” หรือบรรดา ”ชนชาติที่พระเจ้าได้เลือกสรรแล้วให้เป็นผู้ปกครองโลก” สอดแทรกอยู่ภายในทำเนียบประธานาธิบดีอย่างเป็นเครือข่าย… และดูเหมือนว่าบรรดากลุ่มคนเหล่านี้นี่แหละ… ที่น่าจะเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญเอามากๆ หรือมีบทบาทอยู่เบื้องหลังการกำหนดทิศทางของโลกอย่างแท้จริง…???






    พรรคมารอิลูมินาติและพรรคอสูรฟรีเมสัน เอาคนเข้าขบวนการบิดเบือนพุทธศาสนาได้อย่างไร

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

    องค์กรลับเละทฤษฏีสมรู้ร่วมคิดในอเมริกา (American Conspiracy Theory)


    " Jesuits Order "

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2010
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อีกครั้งกับทวีปที่หายไป และความเกี่ยวพันกับอารยธรรมอียิปโบราณและดาวอังคาร<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->จากการศึกษาโดยพลังจิต ทำให้ทราบว่า การเปลี่ยนแปลงของพลังงานจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลก (สสาร) ในทุกรอบ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) การเปลี่ยนสภาพของสสารระหว่างพื้นดินกับพื้นน้ำ เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจน และอยู่ในอัตราส่วนของการมีพื้นดิน 1 ส่วนและพื้นน้ำ 3 ส่วนเสมอ ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกสักกี่ครั้งก็ตาม<O:p</O:p
    เมื่อบุคคลได้ศึกษาสมาธิ-วิปัสสนา จนกระทั่งได้บรรลุธรรมและเจริญทางต่อไปจนกิเลสลดน้อยลงตามลำดับ บุคคลเหล่านี้จะเห็นสภาพการเกิด-ดับ เกิด-ดับ อยู่เนืองนิจ เห็นธรรมชาติของแรงสืบต่อของพลังงาน หรือกรงสันตติที่มีการสั่นสะเทือน ตึ๊บๆตึ๊บๆ อยู่ทุกๆรอบของ 1 วินาที และใช้แรงสันตติหรือแรงสืบต่อนี้ ย้อนกลับไปดูพลังงานที่เคยสร้างเหตุไว้ในอดีต และจะส่งผลเกิดขึ้นในอนาคตอย่างไร ตลอดจนหาทางแก้ไขเพื่อเหล่ามวลมนุษย์ในปัจจุบัน และถ้า ผู้รู้ เหล่านี้ สามารถดำรงตนอยู่เหนือวิมุตติได้ สิ่งที่จะเกิดตามมาตามวิถีของจิต คือการมีญาณทัศนะ ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางสมองหรือใจ บุคคลใดที่เดินทางมาถึงจุดนี้ได้แล้ว สามารถที่จะเลือกทางของตนเอง ระหว่างการไม่ลงมาระคนกับกิเลส ดำรงสภาพการเป้นพระอรหันต์ไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย หรือ จะลงมาระคนกัน โลก เป็นโพธิสัตว์เพื่อทำหน้าที่ของตนให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามวิบากที่เคยสร้างไว้ในอดีต จนกระทั่งเชื้อ หรือเหตุหรือพลังงานเหล่านั้นหมดไปโดยสิ้นเชิง จึงจะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป<O:p></O:p>
    ระยะเวลา 10,000 ปี นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก ถ้าทุกคนสามารถจำอดีตที่ผ่านมาได้ คงจะรู้ว่าแต่ละคนได้เวียนว่ายตายเกิดกันมาคนละหลายครั้งแล้ว และเนื่องจากทุกครั้งขอกงกการเกิดมาเป้นมนุษย์ เราต้องอยู่ในท้องแม่นาน 9-10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการลบความทรงจำในอดีต ทักษะ ความชำนาญ ความรู้พิเศษที่เคยมีนแต่ละชาติ อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ต้องใช้เวลาของการพัฒนาไปตามลำดับ และในบางครั้งการพัฒนาความรู้เหล่านั้นก็ต้องหยุดชะงักลงไปอีก เพราะอายุขัยของการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นสั้นเกินไป คือไม่ถึง 100 ปี ก็ต้องถึง การตาย อีกครั้ง<O:p></O:p>
    การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลกครั้งล่าสุดได้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) ที่ผ่านมา การศึกษาจากประวัติศาสตร์ ทำให้รู้ว่าในบริเวณที่เป็นมหาสมุทรแอตแลนติก ในปัจจุบันนี้ น่าจะเคยมีสภาพเป็นแผ่นดิน มีบ้านเมือง และผู้คนอาศัยมาก่อน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ยังคงให้ความสนใจและศึกษามาอย่างต่อเนื่องตราบจนปัจจุบันนี้<O:p></O:p>
    ความรู้ที่ได้จากการใช้ พลังจิต และ แรงสันตติ เข้าไปดูอดีตจึงทำให้รู้ว่า เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง<O:p></O:p>
    เมื่อ 10,000 ปี (10,000 ปีเศษ) ที่ผ่านมา ทวีปแอตแลนติก (มหาสมุทรแอตแลนติกในปัจจุบันนี้) เคยมีอดีตที่รุ่งเรืองเป็นผืนแผ่นดินที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ หลากภาษา ต่างวัฒนธรรม รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อยกระจายอยู่ทั่วทวีป โดยมีอาณาจักรแอตแลนตีสเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม<O:p></O:p>

    อาณาจักรแอตแลนตีสมีอดีตที่รุ่งเรืองมากในทุกๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ พลังจิต ถึงขั้นสามารถติดต่อกับชาวอังคารและได้ติดต่อมาโดยตลอด ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จักกับ ชาวดาวอังคาร กันบ้างเล็กน้อยก่อนกลับมาสู่เรื่องราวของอาณาจักรแอตแลนตีสอีกครั้ง<O:p></O:p>

    ดาวเคราะห์โลกหรือโลกของเราไม่ได้เป็นดาวเพียงดวงเดียวในสุริยจักรวาล ดาวอังคารก็เป็นเพียงดาวดวงหนึ่งในจำนวนดาวหมื่นแสนล้านๆๆ ดวงในสุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก และจักรวาลเฉกเช่นเดียวกับโลกของเรา ฉะนั้นผู้ที่ศึกษาจึงไม่ควรรีบด่วนที่จะปฏิเสธว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตปรากฏอยู่บนดาวอังคารหรือดาวดวงอื่นๆ เนื่องจากมนุษย์เราตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดจากศูนย์กลางที่เรียกว่า แรงโน้มถ่วงของโลก จึงทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปยังดาวดวงอื่นๆได้ นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามศึกษาค้นคว้ามาเป็นเวลานาน จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ จึงสามารถค้นพบวิธีเดินทางไปถึงดาวดวงอื่นได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่สามารถเจาะลึกไปจนถึงขั้นทำความรู้จักและมีความสัมพันธ์ต่อกันกับสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นๆ โดยเฉพาะบนดาวอังคารได้เลย พวกเราเคยจินตนาการหรือไม่ว่า ภาพของมนุษย์ชายหญิงอย่างพวกเราที่มี 2 ขา 2 เท้า 2 แขน 2 มือ ฯลฯ ได้กลายเป็นภาพของสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์ต่างดาวในสายตาของชาวดาวอังคาร ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ฯลฯ ไปเสียแล้ว<O:p></O:p>

    โครงสร้างทางกายภาพหรือองค์ประกอบของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ บนดาวอังคารมีความแตกต่างจากดาวเคราะห์โลก โดยสิ้นเชิง จึงเป็นเหตุให้ชาวดาวอังคารมีรูปร่าง ตลอดจนการดำรงชีวิตที่ไม่เหมือนมนุษย์โลกด้วยเช่นกัน อาทิ<O:p></O:p>
    การเกิดและการมีอายุขัย มนุษย์โลกอาศัยการเกิดจากเชื้อของพ่อและฝังตัวอ่อนอยู่ในท้องของแม่ประมาณ 9-10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการลบความทรงจำที่มีในอดีต จนกระทั่งคลอดออกมาเป็นทารก เจริญวัยเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา และเสียชีวิต มีอายุได้ไม่เกิน 100 ปี หรือ 100 ปีเศษเท่านั้น แต่สำหรับชาวอังคาร พวกเขามีสภาพเป็น พลังงาน ไม่ได้ประกอบโครงสร้างเป็น รูป หรือ ร่างกาย อย่างชัดเจน<O:p></O:p>

    การเกิดของพวกเขาน่าจะเรียกว่าเป็นการ อุบัติ ขึ้นมากกว่าเพราะเป็นการรวมตัวของพลังงานขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ โดยอาศัยพลังงานจากธาตุสีเหลือง หรือธาตุเมตตาเป็นตัวกำหนด (ไม่ต้องอาศัยการตั้งครรภ์) เมื่อกระบวนการเกิดใหม่เสร็จสิ้น พวกเขาจะดำรงความเป็น พลังงาน ไปเรื่อยๆ มีชีวิตเป็นนิรันดร์ คือมีอายุขัยมากเป็นหมื่นๆ ปี จึงทำให้พวกเขาได้รู้เห็นปรากฏการณ์และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เคยเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์โลกมาโดยตลอด และเนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง จึงสามารถล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย<O:p></O:p>

    อาหารและการดำรงชีวิต เนื่องจากโครงสร้างของร่างกายมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มนุษย์โลกประกอบด้วยกายหยาบและกายละเอียด ในขณะที่ชาวดาวอังคารมีสภาพเป็นกายละเอียดหรือพลังงานเพียงอย่างเดียว ดังนั้น อาหาร และ การดำรงชีวิต ของมนุษย์โลกและชาวดาวอังคารจึงแทบจะไม่เหมือนกันเลย<O:p></O:p>

    กายหยาบ เป็นโครงสร้างที่ประกอบขึ้นเป็นรูปร่างกาย และมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตา อาหารที่ใช้บำรุงหล่อเลี้ยง คือ อาหารหลัก 5 หมู่ นำเข้าสู่ร่างกายโดยทางปาก ระบบทางเดินอาหาร และอาศัยก๊าซออกซิเจนเพื่อช่วยในการสันดาปและการทำงานของหัวใจและปอด<O:p></O:p>

    กายละเอียด เป็นกายในรูปของพลังงานที่เนื่องด้วยกระแสลมปราณและวิญญาณ (ธาตุรู้) ฉะนั้นอาหารของชาวดาวอังคารจึงอยู่ในรูปของพลังงานด้วยเช่นกัน ได้แก่กระแสลมปราณ และธาตุเมตตา (กุศล) ซึ่งเป็นธาตุสีเหลืองๆ และมีอิทธิพลต่อความนึกความคิด ดังนั้นการกระทำหรือการทำลายชีวิตอื่นๆ ฯลฯ จะเป็นสาเหตุทำให้พลังงานหรือกายละเอียดและพลังจิตของพวกเขาอ่อนกำลังลง และจะดำรงชีวิตอยู่อย่างลำบาก<O:p></O:p>

    อาหารที่สำคัญสำหรับพวกเขาอีกอย่างหนึ่ง คือ น้ำ<O:p></O:p>
    พระภิกษุสงฆ์หรือผู้ฝึกจิตที่เข้ากรรมฐานเป็นเวลาหลายๆ วัน หรือเป็นแรมเดือน บุคคลเหล่านี้มิได้ทานอาหาร พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำ ปิติ และกระแสลมปราณ<O:p></O:p>
    ชาวดาวอังคารไม่มีศาสนา ไม่รู้จัก นิพพาน เพราะพวกเขาส่วนใหญ่พอใจในการมีสิ่งชีวิตที่เป็นนิรันดร์ เหตุการณ์วิกฤตใดๆ ที่เคยเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์โลกในอดีต ชาวดาวอังคารเคยรู้เคยเห็นมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะการวนรอบของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครบรอบ 10,000 ปี ด้วยความปราถนาดีและอยากช่วยเหลือมนุษย์โลก ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ในครอบครัว สุริยจักรวาล เดียวกัน ชาวดาวอังคารจึงได้ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลกตั้งแต่ยุค อาณาจักรแอตแลนตีส ซึ่งเป็นยุคที่มีผู้สนใจศึกษาเกี่ยวกับ พลังจิต อย่างแพร่หลาย พร้อมทั้งได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการสร้างและการใช้ประโยชน์จากรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิด<O:p></O:p>


    ชาวดาวอังคารสร้างบ้านเรือนอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน เพื่อให้ปลอดภัยจากรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์ เนื่องจากสภาพของการมีกายละเอียด (พลังงาน) ทำให้พวกเขาทนต่อแสงแดดได้ไม่มากนัก ประตูทางเข้าจะปิดสนิทเมื่อเวลา 03.00 น. เพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดด<O:p></O:p>
    ชาวดาวอังคารสามารถใช้พลังจิตสร้างรูปหยาบให้ปรากฏต่อสายตามนุษย์โลกได้ แต่เนื่องจากการที่พวกเขาส่วนใหญ่มีพลังจิตสูงคลื่นความถี่จากพลังงานของพวกเขาอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์โลกได้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องสะกดจิตมนุษย์โลกให้หยุดการเคลื่อนไหวก่อนที่พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้น<O:p></O:p>

    พลังจิตและการเดินทาง กายละเอียดหรือพลังงาน หรือ กายทิพย์ เป็นกายที่เนื่องด้วยกระแสลมปราณและวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) อาศัยน้ำ ธาตุเมตตา (กุศล) และกระแสลมปราณเป็นสิ่งหล่อเลี้ยง<O:p></O:p>
    พวกเราคงรู้จักและเคย ฝัน กันทุกคน มีทั้งฝันดีและฝันร้าย มิหนำซ้ำในบางครั้งเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วยังคงจำความฝันได้อย่างแม่นยำเหมือนกับได้ไปเผชิญกับสิ่งที่ฝันมาจริง การฝันเป็นการท่องเที่ยวด้วยกายทิพย์หรือกายละเอียด โดยมีกระแสลมปราณทำหน้าที่ดุจสายใยแห่งชีวิต ตามไปทั่วทุกหนแห่ง และหากสายใยของกระแสลมปราณขาดไป บุคคลผู้นั้นจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เนื่องจากกายทิพย์ไม่สามารถกลับเข้าซ้อนอยู่กับกายหยาบได้ ผู้ที่มีพลังจิตสูงสามารถใช้กายทิพย์เดินทางไปที่ใดก็ได้ตามความต้องการ โดยที่กายหยาบหรือตัวรูปร่างกายอยู่ในที่อีกแห่งหนึ่ง<O:p></O:p>

    พระพุทธองค์เป็นผู้ที่มีพลังจิตและญาณหยั่งรู้ที่เรียกว่า พระสยมภูญาณ ที่สามารถรู้เห็นความเป็นไปของสัตว์โลก พระพุทธองค์ทรงใช้ญาณหยั่งรู้เป็นประจำทุกเช้า เพื่อทรงตรวจดูว่าในแต่ละวันพระองค์จะไปโปรดใครได้บ้าง อย่างเช่นในกรณีของท่านองคุลีมาล ที่ถูกอาจารย์สอนให้ทำในสิ่งที่ผิดและเป็นบาปอย่างมหันต์ ด้วยการสั่งฆ่าคนได้ให้ครบ 1,000 คน ก่อนจึงจะได้เรียนขั้นสุดยอดของวิชา และคนลำดับที่ 1,000 ก็คือแม่ของตน เมื่อพระพุทธองค์ทรงรู้โดยพระสยมภูญาณ จึงทรงเมตตาช่วยท่านองคุลีมาลให้พ้นจากวิบากกรรมที่จะต้องฆ่าแม่ของตนเองด้วยความไม่รู้ และกลายเป็นบาปหนัก<O:p></O:p>

    ในเช้าวันเกิดเหตุนั้น พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่กันคนละเมืองกันท่านองคุลีมาล ไม่สามารถเสด็จได้ด้วยพระองค์เองได้ทัน จึงทรงโปรดด้วย กายทิพย์ ใช้พลังจิตสร้างรูปหยาบปรากฏต่อสายตาของท่านองคุลีมาล ทรงช่วยท่านองคุลีมาลให้พ้นจากกรรมหนักที่กำลังจะทำมาตุฆาต (ฆ่าแม่) และทรงเทศนาโปรดจนสำเร็จ บรรลุเป็นพระอรหันต์<O:p></O:p>
    ในครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงถอดกายทิพย์ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระพุทธมารดา ซึ่งกำลังเสวยผลบุญอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นสถานที่อยู่ของพระอินทร์หรือท้าวสักกะ(สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่ต่ำกว่าสวรรค์ชั้นดุสิต ผู้ที่เสวยผลบุรอยู่ในชั้นที่สูงกว่าสามารถเดินทางลงมายังสวรรค์ชั้นที่ต่ำกว่าได้)<O:p></O:p>
    ส่วนกายหยาบหรือตัวรูปร่างกายของพระพุทธองค์มีเทวดาอาสาคอยเฝ้าปกป้องรักษาไม่ให้เกิดภัยอันตราย เพราะถ้าหากกายหยาบสูญสลายหรือบาดเจ็บ กายทิพย์หรือกายที่เนื่องด้วยกระแสลมปราณ จะไม่สามารถกลับเข้าสู่ร่างได้เลย บุคคลนั้นก็ต้องเสียชีวิต<O:p></O:p>

    พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาในการเทศนาโปรดพระพุทธมารดาและเหล่าเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเวลาประมาณ 45 นาที แต่ถ้าเทียบเป็นเวลาของมนุษย์โลก จะนานประมาณ 3 เดือน ในครั้งนั้นพระพุทธมารดา ท้าวสักกะ (พระอินทร์) และกลุ่มเทวดาอีกเป็นจำนวนมาก ได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน ท้าวสักกะได้ปาวารณาตนอาสาขอทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมให้มีอายุไปจนครบ 5,000 ปี และในระหว่าง 5,000 ปี นั้น พระพุทธศาสนาจะเข้าสู่กลียุคถึง 5 ครั้งด้วยกัน จำต้องมีเทวดาอาสาลงมาจุติเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยแก้ไขให้คำสอน (ธรรมะ) ของพระพุทธองค์ให้ดำรงอยู่อย่างถูกต้องเหมือนดังเดิม เทวดาที่อาสาลงมาทำงานรับใช้ศาสนาทั้ง 5 องค์ 5 วาระนี้เรียกว่า องค์ธรรมิกราช ดังนั้นพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม จึงเป็นศาสนาที่มีเทวดาคอยรักษาดูแล<O:p></O:p>
    เมื่อกล่าวถึงเทวดาทั้งหลาย ท่านเหล่านี้อยู่ในสภาพของกายละเอียด อาหารของเทวดาก็คล้ายคลึงกับชาวดาวอังคาร เนื่องจากเทวดา พรหม มีแต่เฉพาะกายละเอียดและวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) ที่ยังดับไม่ได้ อาหารคือตัวบุญ ตัวกุศลที่เคยทำไว้ในอดีตเมื่อครั้งเกิดมาเป็นมนุษย์ ใช้เป็นพลังงานบุญช่วยหล่อเลี้ยงสร้างแสงสว่างให้กายทิพย์ของตนเอง ดังนั้นบุญญาธิการของเหล่าเทวดา พรหม จึงวัดกันด้วย แสงสว่าง และในทำนองเดียวกันธาตุเมตตา (บุญ,กุศล) จะเป็นพลังงานที่ช่วยเสริมสร้างพลังจิตและหล่อเลี้ยงกายละเอียดของชาวดาวอังคารให้เข้มแข็ง<O:p></O:p>

    บนดาวอังคารจะมีวัตถุรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิดอยู่มากมายเพื่อใช้ประโยชน์ในการสะเทินพลังงานความร้อนและแสงจากดวงอาทิตย์ และยิ่งไปกว่านั้นพีระมิดยังเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยมนการเดินทางท่องจักรวาลหรือเดินทางไปยังดาวดวงอื่นๆ โดยเฉพาะดาวเคราะห์โลกของเรา<O:p></O:p>
    การเดินทางในแต่ละครั้ง สิ่งที่พวกเขาใช้เป็นพาหนะคือสิ่งหรือวัตถุที่พวกเราเคยเห็นและเรียกกันว่า ยาน หรือ จานบิน อาจจะมีหลายๆรูปแบบ ก่อนการเดินทางพวกเขาต้องตรวจสอบหรือเช็คก่อนว่าจะใช้ เส้นแสง เส้นใด เดินทางไปยังจุดหมาย หลังจากนั้นผู้ที่จะเดินทางก็จะเข้าสู่กระบวนการ โดยเริ่มจากการนำยานพร้อมลูกเรือที่จะเดินทางเข้าไปยังพีระมิดใหญ่ เพื่อใช้พลังจิตเปลี่ยนสภาพของยานพาหนะจากวัตถุให้เป็นพลังงานแสงและพุ่งทะลุออกไปทางยอดแหลมของพีระมิด เข้าสู่เส้นทางของ เส้นแสง ที่ได้เลือกไว้แล้ว และเมื่อเข้าสู่เขตบรรยากาศของโลกแล้ว ถ้าหากพวกเขาอยากปรากฏตัวต่อสายตาของชาวโลก พวกเขาจะใช้พลังจิตเปลี่ยนสภาพของยานพาหนะจากพลังงานแสงให้เป็นวัตถุ ดังที่พวกเราบางคนเคยมีโอกาสได้พบเห็นมาบ้างแล้วในระยะที่ไกลพอสมควร เนื่องจากถ้ายานหรือจานบินปรากฏให้เห็นในระยะสายตาปกติ อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อนัยน์ตาหรือเซลล์ในร่างกายของมนุษย์โลกได้ เนื่องจากความถี่ของเสียงที่เกิดจาการทำงานของเครื่องยนต์ในยานอยู่ในระดับที่มีความถี่สูงมากเกินกว่าที่ร่างกายของมนุษย์จะรับได้ เราจึงได้เห็นจานบิน หรือฝูงจานบินในระยะที่ไกลๆ เท่านั้น<O:p></O:p>

    ชาวดาวอังคารชอบที่จะเดินทางมายังดาวเคราะห์โลกของเราเสมอ ความรู้เกี่ยวกับพลังพีระมิดได้ถ่ายทอดให้กับชาวแอตแลนตีสและในยุคนั้น ชาวแอตแลนตีสได้ใช้คริสตัลซึ่งเป็นแก้วหินใส สร้างเป็นพีระมิดที่มีขนาดใหญ่ไว้ทั่วราชอาณาจักร และแต่ละคนจะมีพีระมิดคริสตัลขนาดเล็กเก็บไว้ใช้ประจำตัว ชาวแอตแลนติสที่มีพลังจิตสูงโดยเฉพาะกลุ่มนักบวชจะเป็นผู้ที่เดินทางไปในสถานที่ต่างๆด้วยพลังจิต ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เข้าไปในพีระมิดคริสตัล และใชัพลังจิตเปลี่ยนสภาพของกายหยาบให้เป็นพลังงานแสง พุ่งออกไปในทางยอดแหลมของพีระมิดคริสตัล เข้าสู่เส้นทางของ เส้นแสง ที่ได้เลือกไว้เรียบร้อยแล้ว<O:p></O:p>
    ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่มนุษย์โลกก้าวไปถึงครั้งล่าสุด คือการสร้าง ปรมาณู เป็นอาวุธร้ายแรง และนำมาทำลายล้างมนุษย์ชาติ ดังเช่นการใช้ระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฺฮิโรชิมา และนางาซากิของประเทศญี่ปุ่น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2541-2542 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบพลังงานตัวใหม่คือ เส้นแสง และเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุดว่า เส้นแสง จะได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นอาวุธชนิดใหม่ที่ทรงอานุภาพยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูเสียอีก อาวุธเส้นแสง เป็นอาวุธที่ผลิตขึ้นเพื่อทำลายนิวเคลียสและเซลล์ในร่างกาย ซึ่งตรงกันข้ามกับระเบิดปรมาณูซึ่งจะทำลายวัตถุ เช่นอาคารบ้านเรือน อาวุธเส้นแสงชนิดใหม่นี้สามารถปรับความถี่และอำนาจของการกระจายของเส้นแสงได้ตามความต้องการเหมือนกับการทำงานของเตาไมโครเวฟ<O:p></O:p>

    ชาวดาวอังคารมีความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ทางจิตไปจนถึงระดับการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุให้เป็นพลังงานแสง และเปลี่ยนจากพลังงานแสงให้กลับเป็นวัตถุอีกครั้งซึ่งเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายของพลังงาน ซึ่งสูงกว่าพลังงาน เส้นแสง<O:p></O:p>
    มนุษย์โลกเมื่อครั้ง 10,000 ปีที่ผ่านมา ในยุคของอารยธรรมแอตแลนตีส ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้เคยพัฒนามาจนถึงการสร้าง อาวุธเส้นแสง แล้ว ความมีอำนาจ ความแตกต่างกันในแนวความคิดและความศรัทธาความเชื่อ ได้ทำร้ายเหล่ามวลมนุษยชาติมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งกระหายอำนาจมากเท่าใด ย่อมส่งผลร้ายได้มากเท่านั้น<O:p></O:p>

    บนทวีปแอตแลนติกในครั้งนั้นประชาชนได้แตกแยกออกเป็นหลายกลุ่ม จนในที่สุดเหลือประชาชนเพียง 2 กลุ่มใหญ่ที่ไม่สามารถปรองดองกันได้ ต่างผ่ายต่างมียุทโธปกรณ์ที่ล้ำหน้า ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้โดยสันติวิธี สงครางและอาวุธที่ทันสมัยมีอานุภาพร้ายแรงที่สุด คือศักดิ์ศรีของจอมทัพผู้อหังการ<O:p></O:p>

    ในครั้งนั้นนักบวชนามว่า รตะ (อ่านว่าระตะ) เป็นผู้ที่มีพลังจิตสูงและเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ความเมตตา ได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 1 เดือน ว่าจะเกิดสงครามใหญ่และอาณาจักรแอตแลนตีสจะถึงวาระของการล่มสลาย กลุ่มที่เชื่อคำพยากรณ์ของท่านรตะได้ต่อเรือขนาดใหญ่ บรรทุกผู้คนอพยพออกจากอาณาจักรแอตแลนตีส มาขึ้นฝั่งที่ดินแดนของประเทศอียิปต์โบราณ<O:p></O:p>
    เมื่อครบ 1 เดือน ตามคำพยากรณ์ของท่านรตะ สงครามใหญ่ได้เปิดฉากขึ้น และเนื่องจากผู้นำของทั้งสองกลุ่มต่างแข็งกร้าวเข้ากัน อาวุธ เส้นแสง ที่ทันสมัยที่สุดจึงถูกนำมาใช้ แรงกดอย่างมหาศาลที่เกิดจากการยิงอาวุธเส้นแสงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดต่อมนุษยชาติ และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลกตามลำดับ คือ<O:p></O:p>
    1. อาณาจักรแอตแลนตีส ซึ่งตั้งอยู่บนทวีปแอตแลนตีส ที่เคยเป็นศูนย์กลางของคาวามเจริญในแทบทุกด้าน ได้ถึงกาลอวสานล่มสลาย พื้นทวีปทรุดตัวลงไปอย่างรวดเร็วกลายสภาพเป็นพื้นน้ำในชั่วพริบตา ประชาชนที่กำลังสนุกสนานร่าเริง หรือขลุกอยู่กับภารกิจประจำวันต้องจบชีวิตลงอย่างเอน็จอนาจโดยที่ไม่ทันจะรู้ตัว หมดโอกาสที่จะช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากอันตรายได้ มนุษย์ สัตว์ อาคารบ้านเรือ พีระมิดคริสตัลและเค้าโครงของอารยธรรมทั้งหลาย ยังคงฝังซากของอดีตอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร เพื่อรอจังหวะเวลาของการวนรอบของเหตุการณ์ที่จะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง และถ้าหากคู่อริทั้ง 2 กลุ่มในอดีต ไม่สามารถก้าวพ้นไปจากวิบากหรือเหตุที่ได้สร้างไว้ได้การย้อนรอยของกรรมหรือพลังงานคงจะต้องเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อถึงเวลา<O:p></O:p>

    2. เพื่อเป็นการรักษาสภาพสมดุลของลักษณะทางกายภาพตามอัตราส่วนของการมีพื้นดิน 1 ส่วน และพื้นน้ำ 3 ส่วน จึงทำให้พื้นน้ำแถบทะเลอาหรับ เปลี่ยนสภาพเป็นทะเลทราย ที่เรียกว่าสะฮาราในปัจจุบันนี้ เนื่องจากปริมาณของน้ำได้ถ่ายเทไปรวมตัวกันที่มหาสมุทรแอตแลนติกปละฝังอาณาจักรแอตแลนตีสอยู่ใต้มหาสมุทร บริเวณกว้างใหญ่ไพศาลของทะเลทรายสะฮาราและคาบสมุทรอาหรับจึงกลายเป็นดินแดนมหาเศรษฐีของโลก เนื่องจากทรัพยากรที่ล้ำค่าคือ น้ำมัน การใช้อาวุธเส้นแสงคือ เหตุ หรือพลังงานที่คู่อริได้ร่วมกันสร้างไว้แล้ว ตั้งแต่ในอดีตเมื่อ 10,000ปีที่ผ่านมา<O:p></O:p>
    3. การเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำให้เกิดการเคลื่อนที่และการเปลี่ยนแปลงสภาพของพื้นน้ำและพื้นดินอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ทำให้แผ่นดินของทวีปยุโรปและทวีปเอเชียเคลื่อนเข้ามาชนกันในทันที แรงปะทะทำให้แผ่นดินทั้งสองทวีปถูกบีบ กลายเป็นภูเขาหิมาลัยสูงเสียดฟ้า และช่องว่าที่เกิดจากการคลายตัวของพื้นดินจะปรากฏให้เห็นเป็นแนวยาวจากภูเขาหิมาลัยในประเทศอินเดียผ่านหลายจังหวัดในประเทศไทย และไปสิ้นสุดที่ จ.กาญจนบุรี นักธรณีวิทยาเรียกช่องง่าที่เกิดขึ้นนี้ว่า รอยเลื่อน และ ถ้าเมื่อใด อาวุธเส้นแสง ถูกนำมาใช้อีกครั้ง เมื่อนั้นยอดเขาหิมาลัยจะเปลี่ยนสภาพจากยอดเขาสูง กลายเป็นที่ราบกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ที่สุดของเอเชียและของโลก และอาณาจักรแอตแลนตีสคงจะดันให้โผล่พ้นจาก้นมหาสมุทรเปลี่ยนสภาพไปเป็นพื้นทวีปที่กว้างใหญ่อีกครั้ง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงพื้นน้ำจากมหาสมุทรแอตแลนติกจะไหลไปรวมอยู่ที่ใดของโลก เพื่อทำให้เกิดความสมดุลตามอัตราส่วนของการที่พื้นน้ำ 3 ส่วนและพื้นดิน 1 ส่วน เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้น อาณาจักรแอตแลนตีสเป็นผู้ยิงอาวุธเส้นแสงจึงทำให้เกิดแรงกดอย่างมหาศาลลงไปบนพื้นทวีป จนจมลงไป ชาวแอตแลนตีสจึงต้องรับผลของเหตุที่ได้สร้างขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นในอนาคตหากมีประเทศใดยิงอาวุธเส้นแสงขึ้นอีกครั้ง ประเทศนั้นก็จะถูกกดให้จมลงไปกลายเป็นพื้นน้ำในพริบตาเช่นกัน และแรงกดที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง รวดเร็วนี้ จะไปดันอาณาจักรแอตแลนตีสให้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้ง<O:p></O:p>

    ท่านรตะสามารถล่วงรู้ว่า อาวุธเส้นแสง จะเป็นทั้งเหตุและผลของการล่มสลาย และฟื้นคืนกลับมาใหม่ของอาณาจักรแอตแลนตีส ตามกฎของการวนรอบในทุกๆ 10,000 ปี ความรู้สึกเสียดายอาณาจักรแห่งความศิวิไลซ์และความโศกสลดเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติเดียวกันได้ ในครั้งนั้นท่านรตะจึงได้ให้สัจจะหรือให้คำมั่นสัญญา ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างเหตุของท่านไว้ ซึ่งสัจจะนั้นมีความหมายว่า เมื่อใดที่ถึงวาระการวนรอบของเหตุการณ์เกิมท่านจะเป็นผู้มาช่วยฉุดแอตแลนตีสคืนกลับขึ้นมา<O:p></O:p>
    สัจจะที่ได้ให้ไว้ถือว่าเป็นภารกิจผูกมัด จดบันทึกเก็บเป็นพลังงานไว้ในใจ ซึ่งเจ้าของสัจจุ จะเพิกเฉยหรือลืมไม่ได้ เพราะเป็นเหตุที่ตนได้สร้างไว้ในอดีต<O:p></O:p>
    คณะของท่านรตะที่รอดชีวิตมา ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวพื้นเมือง อารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้แพร่กระจายในดินแดนของประเทศอียิปต์โบราณ จนพัฒนากลายเป็นอารยธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ในยุคต่อมา<O:p></O:p>

    ท่านรตะเป็นเพียงมนุษย์โลกคนหนึ่ง ที่เมื่อถึงอายุขัยก็ต้องตายและไปเกิดเป็นธรรมดา ความทรงจำและความมีพลังจิตสูงย่อมถูกลบไปเมื่ออยู่ในท้องแม่ ฉะนั้นเมื่อถึงวาระของการกลับมาทำหน้าที่ตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อชาวแอตแลนตีส ท่านรตะจำเป็นต้องสร้างวัตถุที่สามารถดำรงอยู่ได้เป็นเวลานับหมื่นปีเพื่อเป็นสัญญลักษณ์เตือนความทรงจำ และใช้เป็นตัวช่วยในการทำหน้าที่เมื่อถึงวาระตามสัจจะที่ได้กระทำไว้<O:p></O:p>
    ในครั้งนั้น ท่านรตะได้รับความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคารมาช่วยสร้างสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายให้ปรากฎไว้ในประเทศอียิปต์โบราณ รอเวลาที่ท่านรตะเวียนกลับมาเกิดใหม่และไขปริศนาอนาคต<O:p></O:p>

    สัญลักษณ์เหล่านั้นได้แก่ องค์สฟิงซ์ และมหาพีระมิดทั้ง 3 องค์ ซึ่งวัตถุแต่ละอย่างที่สร้างขึ้นจะให้ความหมายที่แตกต่างกันไป<O:p></O:p>
    พีระมิดทั้ง 3 องค์ได้สร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของโลก พีระมิดแต่ละองค์ตั้งอยู่ในระยะที่ห่างเท่าๆกัน และทุกองค์มีขนาดเดียวกัน โดยพีระมิดองค์ที่สร้างอยู่ตรงกลางจะสร้างคร่อมศูนย์กลางของโลกซึ่งมีลักษณะเป็นโพรง หรือหลุมพลังงานลึกลงไปใต้โลก ซึ่งท่านรตะได้ใช้พลังจิตวางแผ่นหินใหญ่สีดำที่เป็นแร่มโนธาตุ ปิดหลุมพลังงานเอาไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านรตะกลับมาเปิดแผ่นหินใหญ่นี้ด้วยตนเองในอนาคต และภายในพีระมิดอีก 2 องค์ ได้ขุดเป็นโพรงเชื่อมไปถึงหลุมพลังงานภายในพีระมิดองค์กลาง และมีองค์สฟิงซ์ทอดลำตัวยาวไปทางทิศตะวันตกและหันใบหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยองค์สฟิงซ์และองค์พีระมิดกลางได้ถูกสร้างให้อยู่ในแนวที่ตรงกัน<O:p></O:p>
    ก้อนหินแต่ละก้อนที่ใช้สร้างพีระมิดทั้ง 3 องค์ล้วนที่ขนาดใหญ่มากเกินกว่ากำลังของมนุษย์จะยกวางได้ วิธีการหรือเทคนิคของการสร้างในครั้งนั้น คือการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุจากหินก้อนใหญ่ให้เป็นพลังงานแสงก่อน และนำพลังงานแสงนั้นมาจัดวางลงในรูปแบบที่ต้องการ แล้วจึงค่อยใช้พลังจิตเปลี่ยนพลังงานแสงให้กลับเป็นวัตถุคือก้อนหินอีกครั้ง สำหรับองค์สฟิงซ์ที่มีขนาดใหญ่มากได้สร้างขึ้นจากก้อนหินก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียว สิ่งที่พิเศษที่สุด คือ ใบหน้าขององค์สฟิงซ์ที่มีลักษณะเหมือนใบหน้าของมนุษย์ ไม่ได้เกิดจากการแกะสลักลงบนหินแต่อย่างใด แต่เป็นผลงานการใช้พลังจิตกดประทับรูปหยาบของใบหน้าองค์ประมุขของชาวดาวอังคารลงไปบนก้อนหิน องค์สฟิงซ์ถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 2 อย่าง คือ<O:p></O:p>

    1.กระแสลมปราณจากดาวอังคารจะถูกเชื่อมไว้กับจมูกขององค์สฟิงซ์ เพื่อให้ชาวดาวอังคารได้ใช้ในระหว่างที่มาอยู่บนดาวเคราะห์โลก<O:p></O:p>
    2.จมูกขององค์สฟิงซ์เปรียบเหมือนเป็นประตูกล ประตูแรกที่ใช้สำหรับไขปริศนาความลับของทฤษฎีพีระมิดแอดแลนติก<O:p></O:p>

    พีระมิดและองค์สฟิงซ์ที่ท่านรตะและชาวดาวอังคารช่วยกันสร้างขึ้นในครั้ง 10,000 ปีที่ผ่านมา มีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นตัวกลไกเชื่อมโยงการทำงานของพลังจิต พลังพีระมิดพลังงานในโลกและพลังงานของดวงดาว เมื่อถึงเวลาครบรอบ 10,000 ปีของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพบนพื้นผิวโลกอีกครั้ง <O:p></O:p>
    แนวความคิดและความเชื่อในพลังของพีระมิดในยุค 5,000 ปีของอารยธรรมอียิปต์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ เป็นความเชื่อในสิ่งชีวิตหลังความตายว่า พวกเขาจะได้ไปอยู่ในเมืองที่มีความศิวิไลซ์มากที่สุด เส้นทางที่จะพาพวกเขาไป คือ โพรงพลังงานที่เป็นศูนย์กลางของโลกตั้งอยู่ภายในพีระมิดองค์กลาง ฉะนั้นพวกเขาจึงนำศพและสมบัติไปเก็บไว้ในห้องโถงพีระมิดให้ปลอดจากกการทำลายของพลังงานแม่เหล็กโลก ศพจึงไม่เน่าเปื่อยและรอวันที่จะมีชีวิตคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง นอกจากนั้นพีระมิดทั้ง 3 องค์ได้ถูกสร้างเพิ่มเติมจนกลายเป็นมหาพีระมิดที่มีขนาดแตกต่างกันเป็นองค์ใหญ่ องค์กลาง และองค์เล็ก ตามลำดับ ดังที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบันนี้<O:p></O:p>
    องค์สฟิงซ์และพีระมิดทั้ง 3 องค์มีความสัมพันธ์ มีความหมายซึ่งกันและกันเป็นอย่างยิ่ง ลึกลงไปใต้พื้นดินของเท้าคู่หน้าข้างขวาขององค์สฟิงซ์ จะเป็นแร่มโนธาตุสีดำชนิดเดียวกับที่เป็นแผ่นหินที่ใหญ่สีดำที่ปิดทับส่วนที่เป็นโพรงพลังงานภายในพีระมิดองค์กลางซึ่งกลไกของการทำงานจะเกิดขึ้นเมื่อครบวาระ 10,000 ปี และผู้ทรงพลังจิตให้กลับมาเกิดใหม่ เพื่อทำหน้าที่ตามสัจจะที่เคยให้ไว้ โดยการใช้พลังจิตดึงกระแสลมปราณจากดาวอังคารมาที่จมูกของสฟิงซ์เท่ากับเป็นการปลุกหรือสร้างความมีชีวิตใหม่ให้แก่องค์สฟิงซ์พลังกระแสลมปราณจะพุ่งลงไปหาแร่มโนธาตุสีดำ ที่อยู่ใต้เท้าขวาข้างหน้า พลังมโนธาตุและพลังกระแสลมปราณจะพุ่งต่อไปยังโพรงพลังงานศูนย์กลางของโลกซึ่งอยู่ใต้พีระมิดองค์กลาง และดันแผ่นหินสีดำเผยออก และ ลม หรือพลังงานยังถูกดันต่อไปถึงศูนย์กลางของพีระมิดอีก 2 องค์ จนในที่สุด ลม หรือ พลังงาน นั้นถูกดันไปจนถึงอาณาจักรแอตแลนตีส ที่ฝังตัวนิ่งสงบอยู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก<O:p></O:p>
    การคืนสัจจะได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 แต่เงื่อนไขสำคัญที่สุดที่จะช่วยดึงให้อาณาจักรแอตแลนตีสโผล่ขึ้นมาคือก ได้มีการใช้อาวุธเส้นแสงอีกครั้ง ซึ่งชนวนของการเกิดสงครามใหญ่ก็ได้ส่อเค้าให้เห็นกันบ้างแล้ว<O:p></O:p>
    บทส่งท้าย<O:p></O:p>

    ศาสนาพุทธของพระสมณโคดมได้สืบทอดอายุมาจนถึงปัจจุบันนี้ รวมเวลาได้ 2,547 ปีแล้ว และจะดำรงอยู่ต่อไปจนครบ 5,000 ปี ยุคปัจจุบันนี้ เรียกกันว่า เป็น ยุคกึ่งพุทธกาล ที่หลักธรรมคำสอนของพระสมณโคดมถูกบิดเบือนจนผิดเพี้ยนไปจากคำสอนเดิมที่ได้รับการชำระและสังคายนาในครั้งแรง หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน เมื่อพุทธศตวรรษที่ 2 (พ.ศ. 200-300) ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งในครั้งนั้นพระองค์ได้โปรดให้ส่งพระสมณฑูต 2 รูป นามว่า พระโสณะเถระ และพระอุตตระเถระ ออกเดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ
    <O:pพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงทำบุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญสูงสุด จนเรียกได้ว่าเป็น ยุคทอง ของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว หลังจากเวลาที่ผ่านไปกว่า 1,000 ปี พระพุทธศาสนาได้แยกย่อยออกเป็นหลายนิกายหลายลัทธิ และลัทธิสำคัญได้เข้ามาเผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิอีกครั้งในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือลัทธิลังกาวงศ์ ซึ่งมีสิ่งที่แตกต่างไปจากพระพุทธศาสนาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชอยู่หลายประการ เช่น พระสงฆ์เริ่มฉันเนื้อสัตว์, มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ให้มีสมณศักดิ์ ฯลฯ<O:p></O:p>
    จากยุคสุโขทัย-กรุงศรีอยุธยา-กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ระยะเวลาผ่านไปอีกร่วม 1,000 ปี การถ่ายทอดและสืบทอดหลักธรรมคำสอนย่อมมีความผิดเพี้ยนเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน หลักธรรมและวิธีฝึกปฏิบัติที่ถูกต้องยังคงมีเหลืออยู่ไม่ได้สูญหายไปจนหมดสิ้น เพียงแต่บุคคลที่สนใจจะมีโอกาสได้เข้าไปศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นความถูกต้องเหล่านั้นหรือไม่ (หรือจะรอเวลาให้เกิดเหตุการณ์ การวนรอบ เสียก่อนจึงค่อยคิด)พลังงานเสียง พลังงานแสง ตลอดจนธาตุบริสุทธิ์ของพระสมณโคดมยังคงเป็นพลังงานที่มีอยู่ในโลดนี้ ฉะนั้นผู้รู้ ผู้มีพลังจิต ยังคงสามารถเข้าไปค้นพบพลังงานเสียง พลังงานแสง (ภาพพระพุทธองค์) และพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ได้อยู่เสมอ ตราบจนกระทั่งครบ 5,000 ปี ซึ่งในวันนั้น พลังงานเก็บพลังงานตกค้างทุกชนิดของพระสมณโคดมจะมารวมตัวกันและถูกทำลายโดยเตโชธาตุ (ธาตุไฟ) จนหมดสิ้น เป็นการปิดฉากพระพุทธศาสนาที่มีศาสดาทรงพระนามว่า พระสมณโคดม และจะเป็นการเริ่มต้นของศาสดาองค์ใหม่ที่ทรงพระนามว่า ศรีอารยเมตไตรย ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้คนในยุคนั้นจะมีอายุยืน มีโอกาสในการประพฤติปฏิบัติธรรมได้นาน เนื่องมาจาก แกนพลังงานโลก ได้คืนกลับมาสู่ความเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว

    สมาชิกเก่าๆ คงได้เคยผ่านตาข้อมูลชุดนี้มาบ้างแล้ว วันนี้นำมาให้อ่านกันอีกครั้งเพื่อเทียบเคียงกับสถานการณ์ปัจจุบันครับ<!-- google_ad_section_end -->

    ----------------
    ข้อมูลชุดนี้ได้มาจากการศึกษาและค้นพบของ พระอาจารย์รูปหนึ่ง แล้วท่านได้
    ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ฟัง ผมพบในเว็บหนึ่งเป็นเว็บเล็กๆที่ลูกศิษย์ท่านสร้างไว้
    แต่ขออนุญาติไม่เปิดเผย ณ ที่นี้ครับ ผมเกรงจะมีการปรามาสเกิดขึ้น ท่านค้น
    พบเส้นแสงและสอนให้ใช้สมาธิกับเส้นแสงนั้นเพื่อประโยชน์ด้านต่างๆ

    ถ้าอ่านและพิจารณาจากหลายๆข้อมูล จะเห็นว่ามีความเกี่ยวเนื่องกันอย่าง
    น่าแปลก เราจะเห็นว่าอักษรอีโรกลิฟฟิคก็มีรูปญาณบินแบบต่างๆ ฟาร์โรอียิปส์
    โบราณได้รับถ่ายทอดวิทยาการในการคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวเสมอจึงมีชีวิต
    ที่ยืนยาวเป็นหลายร้อยปีพันปีและมีพลังจิตที่สูงมากสามารถแสดงปาฏิหารย์
    ต่างๆได้จนประชาชนคิดว่าเป็นเทพเจ้า<!-- google_ad_section_end -->

    http://palungjit.org/threads/อีกครั...ยวพันกับอารยธรรมอียิปโบราณและดาวอังคาร.18598/
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>10 ภาพลวงที่คุณไม่ควรเชื่อสายตาตัวเอง</TD><TD vAlign=baseline align=right width=85>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>1 มิถุนายน 2553 00:59 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> “อย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น" เป็นคำอธิบายดีที่สุดสำหรับ 10 "ภาพลวงตา" ที่ไซแอนทิฟิกอเมริกันคัดมานำเสนอจากภาพดีที่สุด 169 ภาพ


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ความสว่างและสีสันมีผลอย่างมากต่อการรับรู้ สำหรับภาพนี้สร้างขึ้นโดย เอ็ดวาร์ด เอช.อเดลสัน (Edward H. Adelson) จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ส (Massachusetts Institute of Technology) ซึ่งสี่เหลี่ยม A และ B เป็นสีเทาเฉดเดียวกัน แต่หากใครไม่เชื่อสามารถปริ้นท์นี้ออกมา แล้วตัดสี่เหลี่ยมทั้งสองมาเทียบเฉดสีกันได้ เหตุที่เราเห็นเฉดสีสี่เหลี่ยมทั้งสองต่างกัน เพราะสมองของเราไม่ได้รับรู้ความสว่างและสีที่แท้จริงของสี่เหลียมแต่ละอัน หากแต่เราประเมินความสว่างและสีของสี่เหลี่ยม A และ B จากการเปรียบเทียบกับสี่เหลี่ยมอื่นที่อยู่รอบๆ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=582 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=582>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ภาพหอเอียงเป็นหนึ่งในภาพลวงตาอย่างง่ายๆ และเป็นหนึ่งในภาพที่ทำให้เราเข้าใจเรื่องการรับรู้ความลึกได้มากที่สุด โดยเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เฟรเดอริก คิงดอม (Frederick Kingdom) อาลี ยูนเนสซี (Ali Yoonessi) และ เอลีนา เจออร์กิว (Elena Gheorghiu) จากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ (McGill University) สังเกตว่าภาพหอเอนเมืองปิซาที่เหมือนกันทุกกระเบียดนั้น ดูคล้ายเอนในมุมที่แตกต่างกัน ที่เราเห็นเช่นนี้ เพราะหอเอนในสองภาพไม่เอนเข้าหากันและไม่เอนห่างออกจากกัน สมองจึงเกิดการรับรู้ที่ผิดพลาดว่า หอเอนทั้งสองไม่ขนานกันและกำลังแยกห่างจากกัน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อเราจ้องไปที่ภาพนี้ เส้นประสาทที่จอเรตินาจะปรับเข้ากับสิ่งกระตุ้นที่ไม่เปลี่ยนแปลงนี้และจะหยุดตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น หากเราเบือนสายตาไปที่อื่นเรายังจะได้เห็นภาพหัวกะโหลกไปสักพัก ก่อนที่เส้นประสาทของจอเรตินาจะเปลี่ยนไปตอบสนองต่อสภาวะกระตุ้นใหม่ ทั้งนี้ลองจ้องที่ตัว x ตรงดวงตาขวาของหัวกะโหลกนาน 30 วินาที แล้วมองไปที่กระดาษเปล่าหรือผนังว่างๆ เราจะเห็นภาพหัวกะโหลกปรากฏขึ้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=462 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=462>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> บางครั้งเรามองเห็นสีที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ อย่างภาพนี้บริเวณที่กากบาทเล็กๆ สีสันต่างๆ ปรากฏเหมือนมีสีสันกระจายรอบๆ ที่ว่างซึ่งกากบาทตัดกัน เป็นปรากฏการณ์ที่รู้จักว่า "การกระจายสีนีออน" เพราะคล้ายกับเปล่งแสงของนีออน ซึ่งมีการรายงานการค้นพบนี้โดย ดาริโอ วาริน (Dario Varin) จากมหาวิทยาลัยมิลาน (University of Milan) อิตาลี เมื่อปี 1971 และมีการค้นพบอีกครั้งหลังจากนั้นไม่กี่ปีโดย แฮร์รี วาน ทุยจ์ล (Harrie van Tuijl) จากมหาวิทยาลัยนิจเมเกน (University of Nijmegen) เนเธอร์แลนด์ แต่สาเหตุโดยธรรมชาตินั้นยังเป็นที่ทราบ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=589 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=589>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สมองของเราถูกปรับให้รับรู้ ระลึกและจดจำใบหน้าไปอย่างประหลาด จากการศึกษาภาพที่บ่งบอกเพศของ ริชาร์ด รัสเซลล์ (Richard Russell) นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเกตตีเบิร์ก (Gettysburg College) นั้น ภาพใบหน้าด้านซ้ายถูกรับรู้ว่าเป็นภาพของผู้หญิง ขณะที่ภาพด้านขวาถูกรับรู้ว่าเป็นภาพของผู้าย ทั้งๆ ที่สองภาพนี้เหมือนกัน ยกเว้นการปรับความต่างของแสงระหว่างตาและปาก และส่วนอื่นของภาพหน้าด้านขวาที่เข้มกว่าภาพหน้าด้านซ้าย ภาพนี้แสดงให้เห็นว่าความต่างของแสงมีความสำคัญต่อการตีความเพศบนใบหน้า และอาจจะอธิบายได้ว่าเหตุใดเครื่องสำอางจึงทำให้ผู้หญิงดูเป็นหญิงมากขึ้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ในฐานะที่เป็นสัตว์สังคมมนุษย์มีความสนใจจดจ่อต่อจุดที่คนอื่นกำลังมอง ปวัน สิงห์ (Pawan Sinha) นักวิจัยด้านการมองจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ส (Massachusetts Institute of Technology) แสดงให้เราเห็นด้วยภาพนี้ว่า สมองของเราประเมินทิศทางการจ้องมองจากการเปรียบส่วนที่มืดของดวงตา ซึ่งเป็นม่านตาและตาดำกับส่วนที่เป็นสีขาวของดวงตา ในภาพซ้ายซึ่งเป็นสีปกติเราเห็นชายในภาพมองไปด้านซ้ายของเขาเอง แต่อีกภาพที่ปรับสีตรงกันข้าม เราเห็นเขามองในทิศทางตรงกันข้าม แม้ว่าหน้าเขาจะหันไปทางซ้ายของเขาเองก็ตาม ถึงเราทราบว่าท่านม่านตาของภาพขวานั้นคือตาขาวจากการกลับสีของภาพ แต่เราก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของเราได้

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=529 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=529>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> วิธีที่เรามองสิ่งต่างๆ นั้นขึ้นอยู่กับกรอบความคิดของเรา ในภาพ "ข้อความรักจากโลมา" นี้ หากให้ผู้ใหญ่มอง เขาจะเห็นคู่รักเปลือยกอดกันอย่างรักใคร่ แต่หากให้เด็กๆ มองแล้วพวกเขาจะเห็นแต่โลมาเท่านั้น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ศิลปะ "ออพอาร์ต" (op art) เป็นภาพเคลื่อนไหวของโครงสร้างที่หยุดนิ่ง ซึ่งทำให้เกิดการรับรู้ของการเคลื่อนไหว ในภาพนี้เป็นภาพ "อินิกมา" (Enigma) อันโด่งดังของ อิเซีย เลอเวียงท์ (Isia Léviant) ศิลปินฝรั่งเศส ซึ่งถูกนำมาตีความอีกครั้งโดย จอร์จ โอเตอโร-มิลลัน (Jorge Otero-Millan) นักประสาทวิทยาและวิศวกรจากสถาบันประสาทวิทยาแบร์โรว์ (Barrow Neurological Institute) ในฟีนิกซ์ สหรัฐฯ ซึ่งวงแหวนสีเขียวเหมือนกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ราวกับรถยนต์เล็กๆ นับล้านกำลังขับเลี้ยวหักศอก การเคลื่อนไหวของดวงตาอย่างรวดเร็วนี้ซึ่งเรียกว่า "ไมโครแซคเคดส" (microsaccades) นี้ตอบสนองกับภาพนี้

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=600>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ภาพที่ไม้น่าจะเป็นไปได้อย่างภาพสามเหลี่ยม "เพนโรส" (Penrose) นี้ให้ภาพ 3 มิติที่ฝืนกฎของธรรมชาติ โดยแต่ละมุมของสามเหลี่ยมดูน่าจะเป็นจริง ดังนั้นสมองจึงยอมรับวัตถุนี้ทั้งหมด แม้จะไม่สามารถเป็นจริงได้

    อยางไรก็ดี เบรน แมคเกย์ (Brian McKay) ศิลปินรายหนึ่งได้สร้างสามเหลี่ยมที่ไม่น่าจะมีอยู่จริงที่ว่านี้ขึ้นมา ณ เมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย ด้วยความร่วมมือกับอาหมัด อาบัส (Ahmad Abas) ซึ่งเป็นสถาปนิก แต่มีบางมุมเท่านั้นที่จะมองเห็นสถาปัตยกรรมนี้เป็นรูปสามเหลี่ยม

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=516 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=516>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สมองของเรานั้นค่อยพัฒนาให้ตรวจตราสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วซึ่งมีความสำคัญต่อการอยู่รอด ในภาพ "ฟูดสเคป" (foodscape) ที่สร้างขึ้นโดยคาร์ล วอร์เนอร์ (Carl Warner) นั้น มีเนื้อและขนมปังที่กระตุ้นวงจรในสมองของเราให้ระลึกถึงอาหาร ขณะเดียวกันก็นึกถึงภูมิทัศน์อื่นๆ เ่น ต้นไม้ถนน และสิ่งก่อสร้าง เป็นต้น

    ยังมีภาพลวงตาที่น่าทึ่งรวม 169 ภาพที่ไซแนทิฟิกอเมริกันรวบรวมไว้ในวารสาร "มายด์" (MIND) ในฉบับพิเศษ "169 สุดยอดภาพลวงตา" (169 Best Illusions)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>Science - Manager Online</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    จักรวาลนั้นเริ่มต้นเกิดขึ้นมาเองเลย เหมือนโอปปาติกะ (ชอบคำตอบนี้มาก)

    อันนี้คิดเพิ่มต่อเติมเอาเอง แบบว่าเป็นลูกอีช่างคิด ง่ะ

    จิตจักรวาลเริ่มแรกก็คงจะเกิดขึ้นมาเอง เหมือนโอปาติกะ
    ไม่มีใครสร้างและไม่มีใครทำลายได้

    ทฤษฎี BIG BANG ก็คล้ายๆกับว่าอยู่ๆความว่างเปล่าในเอกภพก็เกิดการระเบิดขึ้น
    มากมาย แต่มีที่จุดหนึ่งณ.GOLDEN POINT ที่เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาได้ มันเกิดขึ้นเอง
    จากความไม่รู้ตัว บางทีก็มีคนบอกว่าความว่างเปล่าแต่เดิมมันไม่บริสุทธิ์ มันมีพลังงานแฝงอยู่
    มันก็ค่อยๆสะสมตามเวลาที่ผ่านไป พอได้ที่มันก็ระเบิดตูมๆๆๆ

    หลวงปู่หลอดสอนว่า จิตเกิดจากความไม่รู้ จิตเกิดจากอวิชชา

    อวิชชาก็คือความไม่รู้

    โลภ โกรธ หลง ก็เกิดมาจากอวิชชา ความไม่รู้

    จิต ก็เกิดมาจากอวิชชา ความไม่รู้

    สุขุมรูป มีรูปตา หู จมูก ลิ้น กาย 5 กองนั้น รวมกันเข้าเรียกว่า จิต
    ด้วยอำนาจกรรมชั่ว(อวิชชา ความไม่รู้)ในสุขุมรูป 5 กอง ก็เกิดหมุนกันเข้าเป็น
    รูป ปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเอง ไม่หยุดนิ่ง เป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ข้างใน
    เรียกว่า รูปวิญญาณ หรือจะเรียกว่า รูปถอดก็ได้

    จิตหมุนติ้วๆ ก็เพราะวิญญาณหมุนรอบตัวเอง เป็นเหตุให้จิตเกิด – ดับสืบต่อ

    จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้

    จนกว่ากรรมชั่วเหตุเกิดจะหมดไป(อวิชชา ความไม่รู้ หมดไป) ชีวิตรูปถอด หรือวิญญาณ
    ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม "รูปวิญญาณ" ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว(อวิชชา)สืบต่อมาแต่
    ชาติแรกเกิดก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้มันก็กระจายไป
    ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณมันก็กระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้นโดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้นจึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่างบริสุทธิ์สว่างของจักรวาลเดิมเข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า "นิพพาน"


    เราคิดเองเออเองนะ พอดีมีจินตนาการอยู่นิดหน่อย อ่านมากแล้วก็เลยฟุ้งซ่านมาก อะนะ

    เพราะความว่างเปล่ามันไม่รู้ตัวมันก็เลยรวมหัวกันระเบิดตัวเองเล่นกันสนุกสนาน
    แบบว่าว่างงานมานานไม่มีไรทำ พลังงานแฝงมันสะสมมานาน เลยซ่าส์ คะนอง คึก
    เลยระเบิดตัวเองเล่นซะงั้น ถ้ามีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ ก็คงจะยิงพลังงานไประเบิดคนอื่นแทน (555)
    (เรียกว่า กรรมชั่ว รึเปล่า? หุหุหุ)
    แบบว่าพลังงานมันสะสมมากมันก็อึดอัด ต้องระบายออกบ้างจะได้สงบๆ โปร่ง โล่ง แล้วก็ เบา สบาย 555
    แต่ดันโชคร้ายเพราะไปทำกรรมชั่ว กรรมเลยสนอง ดันติด golden point โดยไม่ตั้งใจ
    ถูกวิญญาณจับคู่ได้เป็นต้นธาตุ-ต้นธรรม เป็นคู่กรรม จิต-วิญญาณ แล้วเดินเครื่องเกิดการหมุน
    แล้วหยุดตัวเองไม่เป็น แบบว่าโง่ อะ (555) แล้วท่าทางมันไม่ได้เกิดเฉพาะของดีๆอย่างจิตบริสุทธิ์
    แต่ของไม่ดี อย่างกิเลสตัณหา โลภ โกรธ หลง มันก็เกิดด้วย มันเป็นของคู่กันมั้ง
    (เหมือนการถลุงแร่บริสุทธิ์ มันก็ได้ขี้แร่ออกมาด้วย เป็น by product)
    มาเป็น แพคเกจ เลย มันเลือกไม่ได้ ด้วยจิ ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ วนลูป จนเวียนหัว
    กลายเป็น เลข 8 หาจุดเริ่มและจุดปลายไม่ถูก

    ที่กลายมาเป็นแบบนี้ก็เพราะยังมีอวิชชาเป็นสมบัติประจำตัวอยู่ เหมือนพวกเรานี้ไง
    มีแต่อวิชชาบังตา กิเลสบังใจ
    มันก็เกิดแล้วก็ขยายตัวเองออกไปเรื่อยๆ กลายเป็นเอกภพที่ขยายตัวไม่หยุด
    ออกลูกออกหลาน ตามมาอีกเพรียบ รวมทั้งตัวเราด้วยก็เกิดดับสืบต่อ หยุดเกิดไม่เป็น
    ต้องมาเรียนรู้วิธีจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ต่างๆ ที่ทำสำเร็จหยุดหมุน หยุดเกิด
    หยุดภพ หยุดชาติได้แล้ว เรียกว่า ดับอวิชชา ดับความไม่รู้ ได้แล้ว
    เพราะเกิดวิชชามาแทนที่ เกิดปัญญาดับอวิชชาได้ถาวร
    เข้าถึงพระนิพพาน เป็นความว่างที่สว่างบริสุทธิ์
    ก็จะได้จบกิจของตัวเองไป จะได้เสวยแต่ความสุข สงบ สันติ ถาวร ไม่ต้องมีเกิดๆดับๆตลอดไป
    แบบว่ากำจัดพลังงานแฝง(อวิชชา ความไม่รู้)ได้หมดจด ไม่มีการสะสมพลังงานอีก
    ก็ไม่ต้องมีอึดอัด ไม่มีพลังงานเสียที่ต้องระบายออก
    ก็เสถียร สถาพร ตลอดศก ตลอดไป เป็นชีวิต สงบสุข มีแต่สันติ นิพพานเป็นนิรันดร์

    พูดง่าย แต่ทำได้ยาก เนอะ

    ความว่างเปล่าที่ไม่รู้ กับความว่างบริสุทธิ์สว่างแบบพระนิพพาน น่าจะเป็นคนละสภาวะกัน
    ความว่างที่ยังมีอวิชชาเป็นส่วนหนึ่งของตน กับความว่างที่ไม่มีอวิชชาคือพระนิพพาน
    ก่อนเกิดเพราะความไม่รู้(อวิชชา) จึงเกิดขึ้นเอง พอเกิดมาแล้วทำตนให้รู้แจ้งก็ดับสนิทไม่ต้องเกิดอีกต่อไป

    รู้วิธีที่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้แสดงมรรควิธีไว้
    ทำให้ถูกต้องตามมรรควิธี ก็ได้ผลเป็นรู้แจ้งตามท่านไป แต่ถ้าทำไม่ถูกวิธี ก็งมๆ กันต่อไป
    เราก็ยัง งมๆ อยู่เหมือนกัน ก็มันยากนี่นา (ใครทำได้แล้ว มายกมือซะดีๆ อิอิ)<!-- google_ad_section_end -->

    on the mode เพ้อเจ้อ หุหุ

    เคล็ดลับวิชาสูงสุดคืนสู่สามัญ อาจจะเป็น "รู้ตัว" ก็ได้นะ เพราะตอนเกิดมันไม่รู้ตัวไง
    ถ้ารู้ตัว มันก็อาจจะไม่เกิดก็ได้ แต่ใครจะมีสติรู้ตัวได้ทุกวินาทีหนอ ยิ่งรู้ได้แบบออโต้รับรองไม่มีพลาด
    วกกลับมาที่ สติปัฏฐาน4 ฝึกเจริญสติ รู้ตัวเนืองๆ ปาย อย่าขี้เกียจ

    http://palungjit.org/threads/มาลองค...ีอยู่-และดำรงอยู่-ได้อย่างไร-^^.247887/page-2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2010
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" align=center bgColor=#ff3300 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=bg_white colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR align=middle><TD class=bg_white width=1>
    [​IMG]


    </TD><TD class=verdana11 align=right>more >> </TD></TR><TR><TD class=bg_white colSpan=2>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]คำถาม [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]อยากทราบข้อคิดของเรื่องพระมหาชนก โวหารต่าง ๆ ที่มีในเรื่อง [วรรณภา ศิริภากรชัย (ab710@thaimail.com)] [/FONT]


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=4 width="100%" bgColor=#ffffcc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>[FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]คำตอบ[/FONT]

    พระมหาชนก มีที่มาจากวรรณคดีในพระพุทธศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสดับพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธัมมสาโร) วัดราชผาติการาม เมื่อ พ.ศ. 2520 เนื้อหาสาระกล่าวถึงพระมหาชนกทรงกระทำความเพียรอย่างยิ่งยวด จนกระทั่งได้ครองราชสมบัตินำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่กรุงมิถิลา ด้วยพระปรีชาสามารถสูงส่ง อยู่มาวันหนึ่งเสด็จประพาสอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นต้นมะม่วง 2 ต้น ต้นที่มีผลดีถูกข้าราชบริพารดึงทึ้ง กระทั่งโค่นล้มลง ส่วนต้นที่ไม่มีลูก ตั้งอยู่อย่างตระหง่าน พระมหาชนกทรงเกิดธรรมสังเวช ดำริจะเสด็จออกผนวช
    เนื้อหาสาระในพระราชปรารภ...
    "...การที่พระมหาชนกจะเสด็จออกทรงแสวงหาโมกขธรรม ยังไม่ถึงวาระเวลาอันสมควร เพราะว่าได้ทรงสร้างความเจริญแก่มิถิลายังไม่ครบถ้วน กล่าวคือข้าราชบริพาร "นับแต่อุปราชจนถึงคนรักษาช้าง คนรักษาม้า และนับนับแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอมาตย์ ล้วนจาริกในโมหภูมิทั้งนั้น ไม่มีความรู้ทั้งทางวิทยาการ ทั้งทางปัญญา ยังไม่เห็นความสำคัญของผลประโยชน์แท้แม้ของตนเอง จึงต้องตั้งสถานอบรมสั่งสอนให้เบ็ดเสร็จ" อนึ่ง พระมหาชนกยังต้องทรงปรารภเรื่องการอนุบาลต้นมะม่วงตามวิธีสมัยใหม่เก้าวิธีอีกด้วย
    "ด้วยประการเช่นนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงดัดแปลงเนื้อเรื่องในมหาชนกชาดกให้เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน โดยที่พระราชดำริว่า พระมหาชนกจะบรรลุโมกธรรมได้ง่ายกว่า หากได้ประกอบพระราชกรณียกิจในโลกให้ครบถ้วนก่อน"
    "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแปลมหาชาดกเสร็จสมบูรณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2531 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พิมพ์ในโอกาสเฉลิมฉลองกาญจนาภิเษกแห่งรัชกาล ให้เป็นเครื่องพิจารณาเพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของสาธุชนทั้งหลาย
    "ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์" ​

    "พระมหาชนก" ฉบับพระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเน้นความเจริญรุ่งเรืองของดินแดนสุวรรณภูมิ กรณีที่พระมหาชนกทรงมุ่งเดินเรือมาค้าขาย แสดงตำแหน่งที่ตั้งของเมือง พยากรณ์ทางอุตุนิยมวิทยาและโหราศาสตร์ ด้วยแผนที่ฝีพระหัตถ์ถึง 4 แผ่น ทรงปรารภเรื่องการเกษตรกรรม และการจัดการศึกษาอย่างทั่วถึงแพร่หลาย ทรงแสดงให้เห็นว่า ความเพียรที่บริสุทธิ์เป็นคุณธรรมสำคัญที่ต้องรื้อฟื้นขึ้นมา เพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิต และเป็นมรดกธรรมแก่กุลบุตร กุลธิดา ชาวไทยในอนาคตกาล
    พระราชนิพนธ์เรื่องนี้ทรงสร้างสรรค์ใหม่ ต่างสำนวนจากที่เคยปรากฏในวงวรรณคดีไทยให้ทันสมัย เพื่อพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย และจะเป็นแบบอย่างแก่ชาวโลกด้วย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษทรงคุณค่าน่าอ่าน ​

    ความเพียรที่บริสุทธิ์เป็นคุณธรรมอันประเสริฐที่ต้องรื้อฟื้นขึ้นมา เพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ทรงพัฒนาเมืองอวิชชา เป็นเมืองคนดี มีวิชชา มีคุณธรรม
    "คุณธรรมนำชีวิต" ให้เป็นมรดกธรรมแก่กุลบุตร กุลธิดาชาวไทยสืบไปด้วยดี ​

    "พระมหาชนก" โดยย่อ
    พระมหาชนก 1 ในชาดก 10 ชาติ ดังกล่าวแล้ว เป็นชาดกแห่งการบำเพ็ญเพียร หรือวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่ง เนื้อหาสาระโดยย่อ...
    พระเจ้ามหาชนก กษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา มีพระราชโอรสสองพระองค์ พระนามว่า อริฏฐชนก และ โปลชนก เมื่อสวรรคตแล้ว พระอริฏฐชนก ได้ครองราชสมบัติ และทรงตั้งพระโปลชนกเป็นอุปราช
    อมาตย์ผู้ใกล้ชิดได้กราบทูลใส่ร้ายว่า พระอุปราชโปลชนกคิดไม่ซื่อ พระอริฏฐชนกหลงเชื่อสั่งจองจำพระโปลชนก แต่พระโปลชนกตั้งจิตอธิษฐานและหลบหนีไปได้ ภายหลังได้รวบรวมพลมาท้ารบ และเอาชนะได้ในที่สุด พระอริฏฐชนกสิ้นพระชนม์ในที่รบ พระเทวีที่กำลังทรงครรภ์จึงปลอมตัวหนีออกนอกเมือง ด้วยความช่วยเหลือของท้าวสักกเทวราชจึงเสด็จหนีไปจนถึงเมืองกาลจัมปากะ ได้พราหมณ์ผู้หนึ่งอุปการะไว้ในฐานะน้องสาว
    ต่อมาทรงประสูติกาล ตั้งพระนามพระโอรสตามพระอัยยิกาว่า "มหาชนก" จวบจนกระทั่งมหาชนกเติบใหญ่ และได้ทราบความจริง ก็คิดจะไปค้าขายตั้งตัว แล้วจะไปเอาราชสมบัติคืน จึงนำสมบัติกึ่งหนึ่งของพระมารดาไปขาย แลกเป็นสินค้าออกเรือไปยังสุวรรณภูมิ
    และแล้ว...ระหว่างทางในมหาสมุทร เรือต้องพายุล่มลง ลูกเรือตายหมด ยังแต่พระมหาชนกรอดผู้เดียว ทรงอดทนว่ายน้ำในมหาสมุทรด้วยความเพียร 7 วัน 7 คืน จนได้พบนางมณีเมขลา และสนทนาธรรมในเรื่องของความเพียร ในที่สุดนางมณีเมขลาได้อุ้มพระมหาชนกไปส่งยังมิถิลานคร
    ฝ่ายมิถิลานคร พระโปลชนกได้สวรรคต เหลือเพียงพระราชธิดา นาม "สีวลีเทวี" ก่อนสวรรคตทรงตั้งปริศนาเรื่องขุมทรัพย์ทั้งสิบหกไว้สำหรับผู้จะขึ้นครองราชย์ต่อไป แต่ไม่มีผู้ใดไขปริศนาได้ ​

    เหล่าอมาตย์จึงได้ประชุมกันแล้วปล่อยราชรถก็แล่นไปยังที่มหาชนกบรรทมอยู่ เหล่าอมาตย์จึงเชิญเสด็จขึ้นครองราชย์ และอภิเษกกับสีวลีเทวี ทรงไขปริศนาต่างๆ ได้ และทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ​

    วันหนึ่งพระมหาชนกทรงประทับบนคอช้างเพื่อทอดพระเนตรอุทยาน ใกล้ประตูอุทยานมีมะม่วง 2 ต้น ต้นหนึ่งมีผล ต้นหนึ่งไม่มีผล ผลนั้นมีรสหวานเหลือเกิน พระมหาชนกทรงเก็บมาเสวยผลหนึ่งแล้วเสด็จเข้าอุทยาน
    คนอื่นๆ ตั้งแต่พระอุปราชลงมา ต่างก็แย่งเก็บผลมะม่วง จนต้นมะม่วงต้นนั้นโค่นลง พระมหาชนกทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็เกิดความสังเวช ที่คนทั้งหลายหวังแต่ประโยชน์อย่างขาดปัญญา รำลึกได้ว่านางมณีเมขลาเคยสั่งให้พระองค์ตั้งมหาวิทยาลัย จึงได้ปรึกษากับพราหมณ์
    ในที่สุด ได้ตั้งมหาวิทยาลัยปูทะเลย์ขึ้น โดยรำลึกว่า ขณะที่ทรงว่ายน้ำในมหาสมุทรทั้ง 7 วัน 7 คืนนั้น มีปูทะเลยักษ์มาช่วยหนุนพระบาท ​

    "พระมหาชนก" วรรณคดี ระดับชาติ
    อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงหนังพระมหาชนก ไว้ดังนี้ ​

    "พระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก เป็นหนังสือขนาดกำลังเหมาะแก่การอ่าน...หนังสือหนาเพียง 167 หน้า โดยเป็นเนื้อเรื่องเพียง 83 หน้า นอกนั้นเป็นภาพประกอบ พระราชปรารถนาและภาคผนวก แต่จากจำนวนหน้าเนื้อเรื่องนั้น ประกอบด้วยพระราชนิพนธ์ถึง 3 ภาษา คือภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และอักษรเทวนาครีกำกับคาถาบาลีทุกคาถา ท่านที่ได้อ่านแล้ว 1 ครั้ง หรือมากกว่า...จะได้บทเรียนแง่คิด เพิ่มพูนขึ้นทุกครั้งที่อ่าน
    "งานวรรณกรรมนี้จึงเปรียบเสมือนเพชรที่เจียระไนด้วยช่างฝีมือประณีต สูงคุณค่า แต่ละเหลี่ยม แต่ละมุม ล้วนดึงดูดใจให้หยุดคิด พินิจพิจารณา นักพัฒนาก็ได้แง่คิดมุมมองในวิถีทางของการพัฒนาที่ยั่งยืน...
    "นักภาษาศาสตร์ก็จะได้เห็นถึงความไพเราะงดงามของภาษา และการเปรียบเทียบระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ ผู้รู้ทางด้านศาสนาก็จะได้แง่คิดทั้งในแง่จารีตของการสืบทอดพระศาสนาเป็นลายลักษณ์อักษรและความลุ่มลึกของปรัชญาชีวิตที่เป็นพุทธปรัชญา ท่านที่เป็นครูก็จะเห็นแง่มุมมากมายในการสั่งสอน เรียนรู้ และอบรมบ่มนิสัยเยาวชนของเรา" ​

    "กรณีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงมีความแน่วแน่ในการประกอบพระราชกรณียกิจ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของทวยราษฎร์ตลอด 50 ปี ที่ทรงครองราชย์ เพราะทรงถึงพร้อมด้วยความเพียร และความเพียรนั้นก็คือประเด็นหลักของพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ เห็นได้ชัดจากบทสนทนาระหว่างพระมหาชนกที่ว่ายน้ำลอยคออยู่ในมหาสมุทร 7 วัน 7 คืน จนได้สนทนาธรรมกับเทพธิดามณีเมขลา เริ่มด้วยสนทนาว่า
    "นี้ใคร เมื่อแลไม่เห็นฝั่ง ก็อุตสาหะพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรท่านรู้อำนาจประโยชน์อะไร จึงพยายามว่ายอยู่อย่างนี้หนักหนา"
    พระมหาชนกตอบว่า... "ดูก่อนเทวดา เราไตร่ตรองเห็นปฏิปทาแห่งโลก และอานิสงส์แห่งความเพียร เฉพาะฉะนั้น ถึงจะมองไม่เห็นฝั่งเราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร"

    พระมหาชนก ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 9 มีลักษณะเด่นแตกต่างจากเดิม 5 ประการ ... ​

    "ประการแรก เป็นการรื้อฟื้นธรรมะเรื่องความเพียรมาแสดงใหม่ โดยทรงดัดแปลงเนื้อเรื่องให้เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน ทรงปรับปรุงภาษาจากพระอรรถกถาชาดกให้กระชับ ง่ายแก่การเข้าใจ และอ่านสนุกยิ่งขึ้น ทรงมีจินตนาการที่นักเขียนพึงมีในการสร้างสรรค์การเดินเรื่องให้ตื่นเต้นน่าอ่าน เช่น กำหนดให้ปูทะเลเป็นผู้ช่วยพระเอก เป็นต้น และเป็นที่มาของชื่อมหาวิทยาลัยปูทะเลย์ อันเทียบได้กับการเพี้ยนเสียงมาจากโพธิยาลัย"
    "ประการที่ 2 ทรงพิจารณาเห็นว่า การสอนธรรมะจะต้องใช้ศิลปะเข้าช่วย และเนื่องจากเนื้อหาของเรื่องทรงดัดแปลงให้เป็นเรื่องร่วมสมัยแล้ว จึงทรงโปรดให้ศิลปินช่วยเขียนภาพประกอบเรื่อง เป็นศิลปะไทยร่วมสมัย... ทรงพระราชทานพระราชดำริให้ออกแบบจัดหน้าเป็นแบบหนังสือเทพนิยายของฝรั่ง แต่ก็ให้ปรับปรุงให้เป็นศิลปะไทยร่วมสมัย ทั้งถึงพร้อมความไพเราะในภาษา ความงดงามของภาพประกอบ และในธรรมะที่เป็นแก่นสาร จึงเทียบได้กับหนังสือศักดิ์สิทธิ์ในวัฒนธรรมชนชาติต่างๆ ...เป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของสังคมไทยในปัจจุบัน"
    "ประการที่ 3 พระมหาชนก ฉบับพระราชนิพนธ์ ยังทรงแสดงให้เห็นว่า ผลงานของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ เช่น การที่ทรงสามารถกำหนดที่ตั้งของเมืองโบราณในวรรณคดีเก่าแก่ได้ ผลการวิจัยว่า ระยะทาง 1 โยชน์ เป็นระยะทางแท้จริงเท่าไรกันแน่ โดยคำนวณจากระยะทางระหว่างเมืองโบราณนั้น เทียบกับมาตราวัดความยาวของอินเดีย ของไทย และของยุโรป เป็นต้น แผนที่ฝีพระหัตถ์ 4 แผ่น ที่ทรงเขียนขึ้นโดยเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าส่วนพระองค์ แสดงให้เห็นว่าทรงรอบรู้ในศิลปศาสตร์สำหรับพระมหากษัตริย์ ซึ่งสามารถคำนวณทิศทางความเร็วของคลื่นลม และโหราศาสตร์ ทำให้การดำเนินเรื่อง พระมหาชนก ของพระองค์ความสมจริง..."
    "ประการที่ 4 ในฐานะกษัตริย์แห่งสุวรรณภูมิ ทรงแสดงให้เห็นถึงความเจริญมั่งคั่งของดินแดนแห่งนี้ ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของนานาประเทศตั้งแต่อดีตกาล เชื่อกันว่าใครได้มาค้าขายกับสุวรรณภูมิแล้วจะร่ำรวยกลับไป"
    และ "ประการที่ 5 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชนิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษด้วย ทำให้เราสามารถเทียบเคียงความหมายของทั้ง 2 ภาษาให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน อีกทั้งใช้เป็นตำราเรียนภาษาก็ได้ และทำให้ผลงานของพระองค์สามารถเผยแพร่ไปได้ทั่วโลก ทรงเป็นนักเขียนที่โลกจะรู้จัก ผลงานพระราชนิพนธ์ของพระองค์ จะเป็นประโยชน์ยิ่งแก่การสร้างความสุขความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนแก่ชาวโลกสืบไป"
    และแล้ว ได้สรุปด้วยวาทะอันสุนทรีย์ที่ควรจดจำรำลึก...
    "คำว่า 'พระมหาชนก' แปลว่าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ หรือพ่อหลวง รากศัพท์เดียวกับคำว่า คิง ในภาษาอังกฤษ หรือ เคอนิก ในภาษาเยอรมัน เรื่องราวของ 'พระมหาชนก' จึงเป็นเรื่องราวของความเพียรของพระมหากษัตริย์ ผู้ไม่ท้อถอย ไม่เกียจคร้าน ไม่บกพร่อง ไม่อ่อนแอ เป็นความเพียรที่สะท้อนถึงความกล้าหาญ กล้ากระทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ที่ชอบธรรม เพื่อความผาสุกของประชาราษฎร์..."
    "พระมหาชนก"...พระราชนิพนธ์ระดับโลก



    ที่มา : ประกาศ วัชราภรณ์. พระราชปณิธานในหลวง. กรุงเทพฯ : ประพันธ์สาส์น, 2542. หน้า 213-229.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.praphansarn.com/new/c_lift/detail.asp?ID=139

    กระทู้ที่เกี่ยวเนื่อง
    http://palungjit.org/threads/ตามรอย-พระมหาชนก.248273/
    http://palungjit.org/threads/เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองใน-พระมหาชนก.242792/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2010
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โลกนี้ล้วนเป็นมายาสมมุติ อย่าได้ลุ่มหลงอยู่เลย จงใช้ปัญญาของเจ้า ไตร่ตรองดู

    องค์พระเมตไตรยต้องบุรพกรรม

    <TABLE class="sites-layout-name-one-column sites-layout-hbox" cellSpacing=0 xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml"><TBODY><TR><TD class="sites-layout-tile sites-tile-name-content-1">องค์พระเมตไตรยต้องบุรพกรรม


    สมัยหนึ่ง ที่องค์พระเมตไตรยต้องบุรพกรรม มาเกิดเป็นนางยักษ์ รูปร่างร้ายอยู่ในป่า องค์พระ โคตมะกำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเอราวดี ด้วยสัพพัญญุตาญาณทราบว่า นางยักษ์นี้ได้ก่อสร้างบารมี 30 ทัศมามากมาย แต่เพราะผลกรรมที่กระทำกาเมสุมิจฉาจารกับภรรยาผู้อื่น จึงมาเกิดเป็นนางยักษ์ชาตินี้ พระองค์จึงเสด็จมาโปรด นางยักษ์แลเห็นลักษณะอันประเสริฐ จิตเลื่อมใสก้มลงกราบ เมื่อองค์พระโคตมะตรัสเทศนาพระธรรม นางยักษ์ปลงใจเด็ดขาด ตัดเอาเต้านมทั้งสองถวายเป็นพุทธบูชา อานิสงส์นางยักษ์ตัดเต้านมทั้งสองมากระทำสักการบูชาพระตถาคตครั้งนั้น ส่งผลให้นางยักษ์พ้นจากอิตถีเพศ คือ ท่านจะเกิดเป็นหญิงแต่เพียงชาติเดียวเท่านั้น นางยักษ์นี้ได้สร้างพุทธวิริยบารมีมาถึง 80 อสงไขยกัป คือ ปรารถนาอยู่ในใจถึง 36 อสงไขยกัป ลั่นวาจาว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าอีก 28 กัป

    และในกาลก่อน พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า "มหุตชินสีห์" ได้ทรงพยากรณ์ว่า "ท่านจะเวียนว่ายตายเกิดสืบต่อไปอีก 16 อสงไขยกัป ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรย ในอนาคตกาล" และในท่ามกลางพระพุทธศาสนาของพระพุทธโคดม ท่านจะมาช่วยสืบอายุพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองไปจนตลอด 5,000 ปี

    กาลต่อมา ในชาติหนึ่งที่พระเมตไตรยมาเกิดเป็นมนุษย์ชาวไร่ กระทำไร่เลี้ยงชีวิตอยู่ริมภูเขา ตักกคีรี ซึ่งเป็นภูเขาเดียวกับที่ฝูงลิงถ่ายอุจจาระใส่ผ้าอาบของพระพุทธเจ้านั้นเอง ขณะที่เมตไตรยกระทาชายวิ่งไล่ขับฝูงลิงที่ลงมากินแตงโมในไร่นั้น ก็เลยวิ่งเลยถลำ ไปเหยียบเอาพระฉาย คือ เงาของพระพุทธเจ้าโดยไม่ทันสังเกต เมื่อเหลียวมาพบพระโคตมะ จิตเลื่อมใสศรัทธา จึงนำเอาแตงโมมาถวาย 7 ลูก แต่มีลูกหนึ่งที่รอยหนูกัดเป็นโพรง กุศลผลทานครั้งนั้น จะส่งท่านมาเกิดเป็นพระยาจักรพัตราธิราชอันประเสริฐ ในท่ามกลางศาสนาของพระตถาคต และจะช่วยสังคายนา ชำระสะสางพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป ศาสนาของพระพุทธโคดมจะปกแผ่ไปทั่วทั้งเมืองคนขาว เมืองคนเทา ปกแผ่ไปทั่วโลก ส่วนวิบากกรรมที่ท่านได้เหยียบเงาพระตถาคตนั้น เมื่อท่านได้มาเกิดเป็นมนุษย์จะมีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ บนศรีษะก็จะมีรอยแผลเป็น ดุจดังรอยหนูเจาะแตงโม แต่ในภายหลัง ท่านจะมีผิวพรรณวรรณะ สวยสดงดงามดั่งเทพบนสวรรค์ เพราะได้บริโภคของทิพย์ ของพระอิศวรเทพเจ้า

    ตามบุรพกรรมสัญญาที่มาระหว่างองค์พุทธที่ 4 และองค์พุทธที่ 5 ทำให้องค์พระเมตไตรยโพธิสัตว์ จะต้องมาช่วยสืบอายุพุทธศาสนาของพระพุทธโคดม จวบจนครบพุทธกาลดั่งนี้แล และในระหว่างกาลแห่งการรักษาศาสนจักร อาณาจักรแห่งองค์พุทธที่ 4 จะอยู่ในนามว่า "ภายใต้รังสีพระศรีอาริยเมตไตรย" เพราะอำนาจสิทธิแห่งวงศ์ศาสนจักรยังเป็นขององค์พุทธที่ 4 แต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
    อดีตกรรม


    เอกัง สะมะยัง ในสมัยหนึ่งพระพุทธโคดมได้เสด็จเลียบมาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง ในแคว้นสุวัณณภูมิ ซึ่งไหลผ่าน ภูเขาตักกคีรี พระองค์ลงสรงน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็เอาผ้าอาบตากไว้บนฝั่งแม่น้ำ จึงเสด็จขึ้นประทับอยู่บนภูเขาลูกนั้น มีลิงแม่ลูกอ่อนฝูงหนึ่งอุ้มลูกออกจากชายป่า พลันก็ถ่ายอุจจาระของมันลงบนผ้าอาบของพระองค์ ซ้ำเอาหว่านเล่นเสียเลอะเทอะ คงเหลืออยู่ชายเดียว ณ บัดนั้นก็ได้มีนกยางปอน (นกยางขาว) ตัวหนึ่งบินมาจับลงที่ศรีษะของแม่ลิงตัวหนึ่ง แล้วก็เหลียวหน้ามองไปโดยรอบทั่วทุกทิศ ในทันใดรัศมี ซึ่งเป็นสีต่าง ๆ ได้พุ่งปราดออกจากพระเขี้ยวทั้งสี่ของพระพุทธเจ้า พระอานนท์ผู้อุปัฏฐาก จึงทูลถามเหตุการณ์อันประหลาดนั้น พระองค์ทรงตรัสพยากรณ์ว่า:-

    "ดูก่อนอานนท์ ผ้าอาบของตถาคต ได้แก่ ศาสนาที่ตถาคตวางไว้ ลิงแม่ลูกอ่อนที่มาถ่ายมูลเลอะเทอะหมดถึง 3 ชายนั้น ได้แก่ กองทัพ ซึ่งจะมารบราฆ่าฟันกันตาย เหลือที่จะคณานับ ศาสนาของตถาคตจะเสื่อมทรุดไปถึง 3 ใน 4 ส่วน คงค้างอยู่แต่เพียงส่วนเดียวและนกยางขาวที่บินมาจับหัวแม่ลิงนั้น คือ พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ จะมาปราบอธรรม และช่วยสืบอายุศาสนาของตถาคต เริ่มตั้งแต่ 2,500 ปีขึ้นไป จนครบ 5,000 ปี"

    "พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์กับตถาคต ได้สร้างกรรมไว้ในอดีตชาติ" พระองค์ทรงเล่าให้พระอานนท์ฟังต่อไปว่า

    "อันชาติหนึ่งสองเราสหายสนิท
    ช่วยกันคิดเอาบัวมาอธิษฐาน
    เพื่อเสี่ยงทายบารมีพุทธกาล
    ให้บัวบานบอกแจ้งเป็นผู้ใด"

    ในชาตินั้นเราทั้งสองจึงเอาดอกบัวมาคนละดอก เข้าไปอธิษฐานในพระวิหารว่า ถ้าใครจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อน ก็ขอให้ดอกบัวของผู้นั้นบานก่อน

    ครั้นวันรุ่งขึ้นพระตถาคตได้เข้าไปดูดอกบัวนั้น แต่ยังไม่ทันสว่างแจ้ง เห็นดอกบัวของพระศรีบานก่อน ด้วยความที่อยากเป็นพระพุทธเจ้าก่อนพระศรี จึงลักเปลี่ยนดอกบัวของพระศรีมาไว้ที่พระตถาคต สับเปลี่ยนกันเสีย

    "บัวของน้องบานแล้วนะพี่จ๋า
    สัมพุทธาน้องย่อมได้ไปก่อนแน่
    แต่ไฉนบัวในมือเดี๋ยวหุบเดี๋ยวก็แบ
    พุทธยังไม่เที่ยงพุทธยังไม่แท้น่าอายจริง"

    ฝ่ายพระศรีนั้นเขาฌานแก่ รู้ว่ามีการสับเปลี่ยนบัว จึงทำนายว่า "โอ! สหายท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อนเราจริง แต่ทว่าฝูงมนุษย์ยุุคนั้นจะเป็นคนขี้ลักขี้ล่าย และใช้เงินดำ เงินแดง เงินกระดาษกัน อย่างพร่ำเพรื่อ มนุษย์จะไม่ซื่อสัตว์ต่อกัน จะทุจริต คิดมิชอบนานาประการ พระสงฆ์องค์เณรพุทธบริษัทในศาสนานั้น จะหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ เดี๋ยวบวช เดี๋ยวสึก เดี๋ยวหุบ เดี๋ยวแบดังบัวดอกนี้"

    เพราะกรรมที่พระพุทธโคดมได้สับเปลี่ยนบัว ถึงแม้ว่าพระองค์และเหล่าพระอรหันตสาวกจะเข้าพระนิพพานไปแล้วก็ตาม แต่กรรมนั้นยังติดอยู่ในศาสนาของพระองค์ ตราบเท่าทุกวันนี้ ที่เหลือไว้แต่สมมติสงฆ์ในศาสนาของพระองค์ จึงรู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ศาสนาสามส่วนก็ถูกพราหมณ์ ยักษ์ และมารเอาไปครอง เหลือจริงเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ข้อวัตรปฏิบัติจึงถูกปนเป็น จนแยกแยะไม่ออก ผู้คนเกิดมาสมัยหลัง จึงไม่เข้าใจทางปฏิบัติที่ถูกมรรค ถูกผล ถูกนิพพานในฝ่ายสัมมาทิฏฐิแต่ส่วนเดียว นั้นคืออะไร

    พระพุทธโคดมทรงเล่าอดีตกรรมจบลง พร้อมพยากรณ์เหตุการณ์สืบไปอีกว่า

    "เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาช่วยสืบอายุพุทธศาสนาในพุทธกาลของพระตถาคตนั้น จะมีสรรพวัตถุทั้งหลายบังเกิดขึ้นแก่โลก อย่างแปลกประหลาดเหลือจะคณานับ ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์นานาชนิด ก็จะไม่ได้ปั่นและทอด้วยมือ เหมือนในศาสนาของตถาคตจะมีแต่ผ้าเนื้อบริสุทธิ์ ฝูงมนุษย์จะไม่ติเตียนว่า เป็นขี้หูขี้ตาเขาเท่าจะวัดวา (วัดหลาและเมตร) ก็จะมีในยามนั้น แม่หญิงจะนุ่งซิ่นเสื้อลายเหมือนหนังแย้ จะนุ่งเสื้อผ้าแขนกุดขาก้อม หญิงชายจะนุ่งผ้าเป็นอย่างเดียวกัน จะว่าชายก็บ่จริง จะว่าหญิงก็บ่แม่น แม่หญิงจะหวีผมปกหน้า จะใส่ต่างหูยาวง้ำหน้า พ่อชายจะใส่หมวกหุ้มหน้า สิ่งที่ไม่รู้จะได้รู้ สิ่งที่ไม่พบเห็นก็จะได้เห็น พร้อมด้วยบุรพนิมิตอันชั่วร้ายต่าง ๆ ก็จะบังเกิดขึ้นแก่โลกมากมายยิ่งนักดังนี้

    1. ราชภัย ท้าวพระยาจะบังคับเบียดเบียนพลเมือง
    2. โจรภัย จะบังเกิดโจรผู้ร้ายปล้นสะดมทั่วไป
    3. อัคคีภัย ไฟจะไหม้บ้านเมืองไม่ขาดสาย
    4. อสุนีบาต ฟ้าจะผ่าสัตว์และคนล้มตายบ่อย ๆ
    5. เมทนีภัย แผ่นดินจะไหวสะท้านและแยกออกจากกัน
    6. วาตภัย จะเกิดลมพายุพัดพาบ้านเมืองพินาศ
    7. อุทกภัย น้ำท่วมบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นา
    8. ทุพภิกขภัย จะเกิดข้าวยากหมากแพงและอดอาหาร
    9. พยาธิภัย จะเกิดโรคระบาดคนและสัตว์ล้มตาย
    10. สัตถภัย จะรบราฆ่าฟันกันล้มตายร้ายแรง

    ในขั้นสุดท้าย แผ่นดินจะไหวเดือนละหลายครั้ง จะมีสุริยคราสและจันทรคราสบ่อยครั้ง จะเห็นผีพุ่งไต้บ่อยๆ ดาวหางและแสงประหลาดจะบังเกิดให้เห็นไม่ขาดระยะ จะได้ยินเสียงดังในอากาศคล้ายระเบิดและปืนใหญ่ แร้งกาจะบินลงเกาะบ้านเมืองอย่างผิดธรรมดา ฝูงมนุษย์จะเดือดร้อนและขวักไขว่กันไปมา จะบังเกิดสงครามฆ่าฟันกันตายเหมือนใบไม้ร่วงไปทุกหนทุกแห่ง ครั้นแล้วถึงกาลที่องค์พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกตามบุรพกรรมสัญญา


    กรรมของศาสนาของพระพุทธโคดม
    พุทธันดรที่ 4 นี้ เมื่อพราหมณ์ไปทูลขอศาสนาจากพุทธองค์แล้ว กาลต่อมาพอจะประกอบพิธีอะไร ก็จะประกอบตามพิธีพราหมณ์ของตนก่อน เพราะพวกพราหมณ์ยังบำเพ็ญบารมีสูงไม่ถึงพุทธ จึงไม่รู้ข้อวัตรปฏิบัติ ว่ามีมาอย่างไร และจะปฏิบัติอย่างไร เพราะต้นศาสนาก็ไม่รู้ ตรงกลางก็ไม่รู้ และปลายยอดของพระศาสนาก็ไม่รู้ รู้ว่าเขาไปนิพพานก็อยากไป แต่ไม่รู้ว่านิพพานอยู่ตรงไหน และจะเอาอะไรไป เพราะไม่รู้ข้อวัตรปฏิบัติของ อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นเช่นไร เมื่อขาดความเห็นที่ถูกมรรค ถูกผล ถูกนิพพาน ข้อวัตรปฏิบัติจึงแปรเปลี่ยนเป็นพิธีกรรมต่าง ๆ แพร่กระจายออกสู่ชาวพุทธ เมื่อจะทำการกุศลใดก็จะทำพิธีบูชายัญ และพิธีกรรมต่าง ๆ ของพราหมณ์ จนกลายเป็นประเพณีนิยมสืบกันทุกวันนี้

    มาร เมื่อได้พระพุทธศาสนามาแล้ว จึงทำการแก้ไข เปลี่ยนแปลงเสียใหม่ บอกชี้สิ่งที่ถูกให้เป็นผิด บอกสิ่งที่ผิดให้เป็นถูก ทำสิ่งชั่วร้ายให้เห็นเป็นของดี เห็นการทำดีเป็นสิ่งชั่วร้าย จนเป็นที่มาของคำว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป และเมื่อชาวพุทธจะสร้างบารมี ด้วยการนั่งสมาธิภาวนาก็บอกว่า เดี๋ยวจะบ้านะอย่านั่งเลย ไปหาพระประพรมน้ำมนต์ขอของขลังดีกว่า ไปสะเดาะเคราะห์ดีกว่ามานั่งปฏิบัติธรรมเอง พญามารหลอกลวงชาวพุทธให้วนเวียนอยู่ในอำนาจมาร ให้หลงโง่งมงายในเดรัจฉานวิชชา ทำให้จิตใจมืดบอด ทำให้ชาวพุทธไม่รู้หนทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง ประกอบการกุศลครั้งใดแทนที่จะเป็นบุญเป็นกุศล ก็กลับเป็นเวรเป็นกรรมอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะนิมิตหมายแห่งคุณงามความดี และทางที่บริสุทธิ์ พวกมารได้ตัดได้ปิดได้ฝังลงดินไปเสียแล้ว และถูกทางฝ่ายมารเข้าแทนที่ โดยปรมัตถ์แห่งการตัดหวายตัดลูกนิมิต เพราะหวายเป็นเส้นยาว เปรียบประดุจเส้นทางแห่งมรรค ผล นิมิต คือ ความสว่าง ความรู้แจ้งแห่งปัญญา เมื่อถูกปิด ถูกตัดเสียแล้ว มนุษย์ก็เดินหลงทาง ปฏิบัติไปไม่ได้อะไรก็เลยท้อใจ และเบื่อหน่าย ละเลิกทอดถอนการปฏิบัติไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง
    ยักษ์ เมื่อมารใช้ให้พราหมณ์ไปขอพระพุทธศาสนาจากพระพุทธโคดมในครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงยกให้ 2,500 ปีหลัง
    ส่วนที่หนึ่ง พราหมณ์เอาไปประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ
    ส่วนที่สอง มาร เอาไปตัดไปปิด และเอาฝังเอาไว้
    ส่วนที่สามนั้น พวกยักษ์เอาไปขายกิน เมื่อยักษ์ได้รับส่วนแบ่งพระพุทธศาสนามาแล้ว ตามประสาของยักษ์ชอบใช้แรง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เมื่อความเป็นยักษ์เริ่มสิงจิตใจผู้คน จนทั่วถึงกันทุกชนชั้นวรรณะ ตลอดจนถึงพระสงฆ์ ก็เริ่มโอ้อวดฤทธิ์เดชความสามารถ ความอยู่ยงคงกระพัน วัตถุมงคลเกิดขึ้นมากมายแทนการปฏิบัติบูชาที่ถูกต้อง ผู้คน เริ่มมีนิสัยละโมบ อวดใหญ่ ลำพอง คะนองเดช ตามสันดานของยักษ์ ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น จากการเห็นผิดเป็นชอบด้วยไฟแห่งโลภะ โทสะ และโมหะ ผลสุดท้ายชาวพุทธก็ทำลายล้างกันเอง ความเมตตาปราณีถดถอยออกจากจิตใจ ความละโมบมักมากก็ทวีคูณขึ้น การทำมาหากินจึงโกงกิน แก่งแย่งทำลายซึ่งกันและกัน เป็นที่มาของปัญหาคอรัปชั่นตามนิสัยยักษ์ คือ ชอบยักยอก ผลสุดท้าย ศาสนาที่ถูกมรรค ถูกผล ถูกนิพพาน ก็ไม่เหลือไว้คุ้มครองชาวพุทธ ตามปรมัตถ์ที่เหล่าพญาสัตว์ขอ " พระ" มาเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก โลกจึงขาดสันติสุขเพราะชาวโลกเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ความเมตตา ความสงบก็ขาดจากกัน ปลาใหญ่ก็กินปลาเล็ก คือ ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย ประเทศที่ใญ่่กว่าก็เปียดเบียนรังแกประเทศที่ด้อยกว่า บังเกิดความทุกข์ยากไปทั่ว ดังเช่นที่ประสบกันในทุกวันนี้ ทำไมศาสนาพุทธจึงเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกไม่ได้ตลอดพุทธกาล เหล่านี้เป็นเพราะกรรมอันใดเล่า กรรมแห่งศาสนาของพระพุทธโคดมมีมาเช่นไร

    ดุสิตเทวโลก ชั้นที่ 9 วิมานพระเมตไตรยมหาโพธิสัตว์
    ถึงกาลสะสางภพภูมิ สะสางโลก สะสางธาตุธรรม ให้ถูกมรรค ถูกผล ถูกนิพพานในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว รวบรวมฟองไข่ศาสนา ร้อยเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดแห่งโองการนวกาพรหม นามแม่กาเผือก เคลื่อนรัตนจักรแผ่นดินรัตนโกสินทร์ เข้าสู่ยุคถิ่นกาขาว-ชาวศิวิไลซ์ ภายใต้รังสีพระศรีอาริย์

    ขณะนั้น พระเมตไตรยมหาโพธิสัตว์มองลงมายังโลกมนุษย์แผ่นดินสุวัณณภูมิ ตามปรมัตถ์นาม แห่งโองการ นวกาพรหม เห็นพระพุทธโคดมลุกออกจากอาสนะบัวกลายเป็นหมู่สงฆ์แทนที่ ฉับพลันบังเกิดไฟลุกท่วมพระสงฆ์จึงทราบว่า ถึงเวลาที่จะต้องมากระทำศาสนกิจตามบุรพกรรมสัญญาที่ต่อองค์พุทธที่ 4 อีกทั้งเสียงเพรียกร้องของเหล่าทวยเทพน้อยใญ่่ทั้งหลายที่อาราธนาอัญเชิญพระองค์ดับทุกข์เข็ญ
    พระองค์ทรงเล็งเห็น ความเป็นมาของแผ่นดินสวัณณภูมิว่า แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ที่องค์พุทธที่ 4 ประทานนามแผ่นดินให้แก่ พระเจ้าทับไทยทอง เจ้าผู้ครองแผ่นดินแหลมทอง นำผังสุวัณณภูมิกลับไปยังบ้านเมือง ในพุทธพัสสาที่ 44 คือ ก่อนพระองค์ท่านปรินิพพานหนึ่งปี และพุทธศักราชที่ 100 องค์พระอวโลกิเตศวร ได้นำเสนอต่อธรรมสภาว่า ศาสนาพุทธของพระพุทธโคดม จะอยู่ในแผ่นดินมัธยมประเทศ (อินเดีย) ได้เพียงพันปีเท่านั้น แล้วจะเสื่อมหมดไปจากแผ่นดินแม่นี้ สมควรที่เหล่าทวยเทพจะหาแผ่นดินที่รองรับสืบอายุ พระพุทธศาสนา ที่ประชุมธรรมสภาต่างเสนอแผ่นดินศรีลังกา และแผ่นดินสุวัณณภูมิ องค์พระอวโลกิเตศวร และพระเมตไตรยทรงเล็งเห็นว่าจิตใจผู้คนในแผ่นดินสุวัณณภูมิละเอียดอ่อนกว่า เหมาะด้วยภูมิประเทศและผู้คน สมควรเป็นแผ่นดินที่จะสืบอายุศาสนาได้จวบจนสิ้นพุทธกาล

    ที่ธรรมสภา สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก่อนพุทธศักราช 2500 องค์อินทราธิราชเจ้า พร้อมเหล่าทวยเทพทั้งหลายได้ทราบว่า ถึงกาลที่พระพุทธศาสนาจะผันเปลี่ยนเวียนลงต่ำ ทรามเสื่อม ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น พระพุทธศาสนาก็จะอยู่ไม่ครบพุทธกาล จึงพร้อมเพรียงกันมาประชุมหาผู้ที่มีบารมีมากที่สุด ที่จะช่วยพระพุทธศาสนาได้แล้วเหล่าทวยเทพน้อยใญ่่ทั้งหลายเห็นว่า บารมีของพระเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ องค์ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยในภายหน้านั้น บารมีมากล้นสุดพอที่จะมาต่อชะตาเมือง ประสานศีลธรรม และสืบอายุพุทธกาลไว้ได้

    องค์อินทราธิราชเจ้าพร้อมทั้งเหล่าทวยเทพน้อยใหญ่ทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันไปอาราธนาอัญเชิญ พระเมตไตรยมหาโพธิสัตว์ ยังดุสิตเทวโลก ขออาราธนาอัญเชิญพระองค์ท่านมาช่วยสืบอายุพระพุทธศาสนา ด้วยเถิดพระเจ้าข้า...พวกเกล้ากระหม่อมขอธุลีการ ฝ่าพระบาท โปรดลงไปช่วยต่อชะตาชาวพุทธ ต่อชะตาบ้านเมืองและศีลธรรม สืบอายุอาณาจักรและพุทธจักรให้ครบพุทธกาล ขอได้ทรงพระเมตตาไปช่วยชาวโลก โปรดโลก เปิดธรรม ตัดเวร และอโหสิกรรม สะสางธาตุธรรม ชี้ทางที่ถูกต้องเที่ยงตรง และเที่ยงธรรม ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว แก่เหล่ามนุษย์ด้วยพระเจ้าข้า...ขอธุลีการฝ่าพระบาท...โปรดประทานพระมหาเมตตามหากรุณาชาวโลกเถิดพระเจ้าข้า...

    ดาวสงคราม-ดาวสันติ
    พระมาลัยได้กล่าวขี้น ท่ามกลางธรรมสภาว่า บัดนี้ใกล้วาระที่จะถึงกึ่งพุทธกาล ปรากฏว่าดาวเทพเจ้าสงคราม ได้ลงจุติยังโลกมนุษย์แล้ว เพื่อดับดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ทั้งนี้เป็นการดับดาวศาสนา ดาวสงครามจึงครองอำนาจ ก่อเหตุให้เกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ผู้ปกครองแว่นแคว้นทั้งหลายจิตใจมากด้วยอำนาจ โลภะ โทสะ และโมหะ ต้องการชิงความเป็นใหญ่ ต้องการเป็นจ้าวโลก โยนบาปสับเปลี่ยนให้ดาวศาสนาใช้กรรมวิบากของตน คนดีจะถูกเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเป็นซีกโลก ก่อเกิดเป็นสงครามโลกประหัตประหารชีวิตผู้คนด้วยอาวุธร้ายแรง สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะเกิดขึ้นในเมืองคนขาว สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้น เมืองคนขาวลุกลามไปถึงเมืองคนเหลือง และในครั้งที่สามจะเกิดขึ้นในเมืองคนเหลือง เทพเจ้าดาวสงครามต้องการทำลายความเจริญของแผ่นดินของพระศาสนา ดับดาวศาสนาอย่างสิ้นเชิง แล้ว "พระ" จะปกครองสัตว์โลกได้อย่างไรพระเจ้าข้า.......

    พระเมตไตรยทรงพิจารณาเยี่ยงพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายว่า กาลเวลานี้อายุสัตว์โลกน้อยต่ำกว่า 100 ปี ด้วยเหตุที่อายุสั้นนัก ชาวโลกก็จักมีกิเลสตัณหา ราคะมาก เพราะเกรงว่าจักตายเร็ว จึงแสวงหากามคุณหนุนเนื่องความอยาก รับศีลแต่ปาก แต่ใจรวนเรมากด้วยเล่ห์กล ปากกับใจไม่ตรงกัน แม้เพียงศีล 5 คือ นิจศีลก็พากันรักษาไม่ได้ จึงเป็นเหตุที่ยังไม่สมควรจะจุติเพื่อดับทุกข์เข็ญ และเมื่อกาลถึงกึ่งพุทธกาล ก็หมดเขตสาวกภูมิของพระศาสดาพุทธโคดม พระสงฆ์ถึงแม้จะเรียนรู้จนจบพระไตรปิฎกสักร้อยครั้งพันครั้ง แต่ไม่อาจบรรลุธรรมไปได้ เหล่าพุทธบริษัทที่เหลืออยู่ ก็ต้องภายใต้อำนาจยักษ์มารที่มาครองรักษาตามที่ได้ขอไว้กับพระศาสดา เมื่อขอต่อแล้วเอาไปปฏิบัติรักษาไม่ได้ เพราะว่าพวกเหล่านี้บารมีไม่เพียงพอ จึงไม่รู้แจ้งในข้อวัตรปฏิบัติ คุณของพระศาสนาก็เลยถูกปกปิด และเสื่อมไปเหลือเพียงค่า ซึ่งนับว่าเป็นอัครวิบัติของศาสนา ทำให้เกิดภัยพิบัติกวาดล้างผู้คน คนดีจะถูกเข่นฆ่า เหมือนหยกกับหินที่อยู่ปะปนกัน เมื่อภัยพิบัติมาย่อมต้องถูกภัยไปด้วยเช่นกัน

    เมื่อเป็นเช่นนี้ พระพุทธศาสนาก็จะอยู่ไม่ครบพุทธกาล กรรมของพระโคดม กับพระศรีอาริย์ก็จะไม่ขาดจากกัน ฉะนั้น พระบรมนิตยโพธิสัตว์ เห็นสมควรที่จะอาราธนาพระอริยะสาวก ที่มีหน้าที่สืบอายุพุทธศาสนาเสมือนหนึ่งพุทธกาล เอาพระศาสนามาคืนเจ้าของเดิม กรรมที่พระโคดมได้เปลี่ยนเอาดอกบัวพระศรีอาริย์ถึงจะขาดจากกัน นี้คือกรรมของพระศาสนา ต่อจากนั้นพระองค์ก็จะได้มาฟื้นฟูให้ใหม่ เปิดนิมิติออก ตัดเวรแก้กรรม แล้วนำสร้างบารมีขึ้นมาใหม่ให้ถูกมรรค ถูกผล ถูกนิพพาน ในฝ่ายสัมมาทิฐิแต่ส่วนเดียว

    แหล่งที่มา : www.palungjit.org โดย brushed


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://sites.google.com/site/snimnon/w
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2010
  16. ฤาษีตาไฟ

    ฤาษีตาไฟ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +4
    ขนลุกซู่ นําตาซึม รู้กันนะครับ
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ปี 2012 สำคัญไฉน ?อับดุล อะซีซ กลุ่มอัซซาบิกูน สำหรับโลโก้โอลิมปิก ลอนดอน 2012 ที่หลายคนวิพากวิจารณ์ว่าไม่ได้เรื่อง แต่มันกลับถูกผลักดันให้ใช้จนได้ พอแกะรหัสออกมาแล้ว สรุปมันคือคำว่า “ZION” โดยชัดเจนพวกไซออนิสต์มีเป้าหมายอะไรกับปี 2012 เป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป New world order บรรลุเป้าหมาย การเปลี่ยนโลก อิลลูมินาติในแต่ละประเทศจะทำสำเร็จหรือไม่? หันมาดูในประเทศไทย เสธ.ทหารนายหนึ่งได้เผยเอกสารลับทางเว็บไซท์ถึงคำสั่งจากอิลลูมินาติ ซึ่งเป็นรหัสภาษาฮิบรูให้มีการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ดูศาสตร์ของการถอดรหัสได้ที่Hebrew Gematria Code - The numerical valuation of Hebrew letters[ame=http://www.amazon.com/Baron-James-Rise-French-Rothschilds/dp/0865650284]Amazon.com: Baron James: The Rise of the French Rothschilds (9780865650282): Anka Muhlstein: Books[/ame][ame=http://www.bible-codes.org/mene-bible-prophecy-nun-tet-atbash.htm]A prophecy using the mystic meaning of Hebrew letters in Mene-Tekel-Parsin.[/ame]จากเอกสารลับข้างต้น สรุปได้ว่ามีคำสั่งดังนี้ Year 766 13 = เริ่มปฏิบัติการเปลี่ยนระบอบ วันที่ 13 สิงหาคม 2006 = 766Tai Elul 772 Thailand 28 Aug 2012 = สิ้นสุดปฏิบัติการ วันที่ 28 สิงหาคม 2012 = 772จะสังเกตได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงม็อบสนธิสู้อยู่กับรัฐบาลทักษิณ และเมื่อมีคำสั่งมา คมช. ทำรัฐประหารล้มรัฐบาล วันที่ 19 กันยายน 2006 (หลังคำสั่งปฏิบัติการ 1 เดือน 1 สัปดาห์)สำหรับประเทศไทยถูกคำสั่งให้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ปี 2006 และมีเป้าหมายให้เสร็จภารกิจในปี 2012 ซึ่งเราก็ต้องคอยจับตาดูว่า ในปีนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ใหม่ๆในเมืองไทยนอกจากนั้นแล้วในตำราหมอดู ดวงชะตา และไสยศาสตร์ ก็มักจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับปี 2012 โดยมีกล่าวถึงอย่างมากมาย นั่นก็เชื่อมโยงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวของอิลลูมินาติสากลล้างโลกหรือโละล้างมนุษย์ ?ปรัชญาของอิลลูมินาติเกี่ยวกับวันสิ้นโลกคือ ‘การต่อสู้ดินรนให้อยู่รอด’ กล่าวคืออิลลูมินาติไม่ได้เชื่อเหมือนศาสนาอิสลามและคริสต์ว่าวันสิ้นโลกคือวันสูญสลายของโลกภพปัจจุบัน ไม่มีสิ่งใดจะเหลืออยู่ ซึ่งเป็นการเริ่มของวันพิพากษา แต่สำหรับอิลลูมินาตินั้นกลัวโลกหน้า กลัวที่จะกลับไปเผชิญกับการถูกพิพากษา ฉะนั้นพวกเขาจึงหลอกตัวเองหรือปลอบใจตัวเองว่าวันสิ้นโลกหมายถึงการที่โลกเกิดภัยพิบัติรุนแรงถึงขั้นล้างโลก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมนุษย์กลุ่มหนึ่งจะสามารถอยู่รอดต่อไปได้ สามารถหนีอำนาจของพระเจ้าได้ด้วยกับการพัฒนาความสามารถทางด้านเทคโนโลยี ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นภาพยนตร์บางเรื่องที่ทำเกี่ยวกับเรื่องการสิ้นโลก เช่นดาวพุ่งชนโลกบ้าง น้ำท่วมโลกบ้าง แต่แล้วก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่รอดขยายเผ่าพันธุ์ต่อไป เดิมทีพวกเขาเคยปั่นหัวให้ชาวโลกตื่นตระหนกกับปี 2000 โดยเฉพาะชาวคริสต์ที่มักเชื่ออะไรตามคำร่ำลือก็หลงเชื่อไปตามๆกันว่าโลกจะแตก ถึงตอนนี้ ปี 2012 ปีสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงโลกของอิลลูมินาติ พวกเขาได้นำตัวเลขนี้มาปั่นหัวให้ชาวโลกส่วนหนึ่งตื่นตระหนกอีกครั้งกับข่าวลือที่ว่าดาวจะพุ่งชนโลก บ้างก็ว่าจะทำให้โลกหยุดหมุนชั่วขณะ แล้วจากนั้นจะหมุนกลับทิศ กลายเป็นว่าทำให้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ซึ่งจะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป ความจริงแล้วอิลลูมินาติไม่ได้เชื่ออะไรแบบนั้น แต่ในนัยยะของเขา เขาพูดเป็นเชิงอุปมา จริงๆมันก็คือการเปลี่ยนโลกนั่นเอง (Change) เกร็ดเสริมเดวิด มอร์ริสัน (David Morrison) นักวิทยาศาสตร์นาซ่าบอกว่าเรื่องโลกแตกปี 2012 โดยทางดาราศาสตร์แล้วถือเป็นแค่ “ข่าวลือ” เท่านั้น โดยที่ดร.มอร์ริสันระบุว่าเป็นอาการ “วิตกจักรวาล” (cosmophobia) ที่เอาไว้หลอกลวงผู้คนที่ไม่รู้สำหรับศาสนาอิสลามแล้วสามารถให้คำตอบได้เลยว่าเรื่องขี้โม้เรื่องโลกแตกปี 2012 หรือ โลกหมุนกลับทิศนั้นจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะกรณีเดียวที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกได้ก็คือวันสุดท้ายของมนุษย์และสรรพสิ่งในสากลจักรวาลนี้ และการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกในที่นี้ ไม่ได้เป็นไปตามหลักธรรมชาติ คือเป็นปาฏิหาริย์สุดท้ายที่เกิดขึ้นบนโลก ทั้งนี้เพื่อเป็นการเย้ยผู้ปฏิเสธศรัทธา (หรือพวกบูชาวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย) ที่ในขณะนั้นปฏิเสธสิ่งเร้นลับ ปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธสิ่งเหนือธรรมชาติโดยเฉพาะเรื่องนี้ว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แต่ถึงตอนนั้นเมื่อยอมรับความจริงมันก็สายไปเสียแล้ว ถึงแม้จะไม่มีใครรู้เวลาของวันสิ้นโลก แต่เราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าวันสิ้นโลกจะไม่เกิดขึ้นพรุ่งนี้ หรือวันศุกร์นี้ หรือปีหน้า เพราะสัญญาณใหญ่หลักๆนั้นยังไม่เกิดขึ้น นั่นก็คือการมาของบุคคลที่โลกรอคอย นั่นคืออิหม่ามมะฮดีย์, นบีอีซา (เยซู), และดัจญาล ตลอดจน Gog – Magog หรือยะอญูจญ์- มะอญูจญ์ บุคคลมหัศจรรย์เหล่านี้ต้องมาเสียก่อน จากนั้นจึงจะไม่สามารถพูดได้อีกแล้วว่าวันสิ้นโลกจะยังไม่เกิด สำหรับมุสลิมที่มีหลักศรัทธา (อากีดะฮฺ) คลาดเคลื่อนต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า สัญญาณวันสิ้นโลกเหล่านี้ไม่ใช่อุปมา สิ่งใดในศาสนาที่เป็นการอุปมาเราก็สามารถเข้าใจได้ง่ายว่ามันคืออุปมา แต่สำหรับเรื่องราวเหล่านี้ มีตัวบทหลักฐานที่ขยายรายละเอียดโดยชัดเจน ไม่สามารถตีความเป็นอื่นได้ เช่นเดียวกับวันสิ้นโลก ก็ไม่ใช่อุปมา และเรื่องดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อย่างที่หลายคนพยามให้เป็นในโลกภพนี้ นอกจากพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างแล้วก็ยังได้วางกฎเกณฑ์เอาไว้ด้วย นั่นก็คือสิ่งเรียกว่า “กฎธรรมชาติ” หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า “กฎธรรมดา” ก็คือความเป็นไปโดยปกติ คืออยู่ในกรอบของวิทยาศาสตร์แต่เนื่องจากบางครั้งบางครา พระเจ้าผู้สร้างกฎก็ประสงค์ที่จะทำสิ่งที่นอกเหนือกฎเช่น ไฟ ธรรมชาติของมันคือร้อน แต่พระองค์ก็สร้างปาฏิหาริย์โดยการทำให้มันเย็นสำหรับบางคน อย่างกรณีที่นบีอิบรอฮีมถูกสมมุติเทพของพวกอิลลูมินาติลงโทษโยนเข้ากองไฟหรืออย่างการกำเนิดทารก โดยธรรมชาติคือต้องมีอสุจิของเพศชายผสมกับไข่ของเพศหญิง แต่เมื่อพระองค์ประสงค์ให้มีปาฏิหาริย์นอกเหนือกฎ พระองค์ก็ทำให้ทารกกำเนิดมาเฉยๆอยู่ในมดลูกโดยไม่ต้องผ่านการปฏิสนธิ อย่างกรณีของนบีอีซา (เยซู) ทำให้นางมัรยัม (แมรี) ผู้บริสุทธิ์ไม่มีสามี จึงสามารถมีบุตรได้ และไม่ใช่บุตรแห่งเทพแต่ประการใดเช่นเดียวกับการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ไม่จำเป็นต้องมีดาวมาชนแล้วโลกหมุนกลับทิศ ไม่จำเป็นที่จักรวาลจะต้องม้วนกลืนกันตามทฤษฎีขยายตัวและหดตัว แต่หากพระเจ้าประสงค์จะให้ดวงอาทิตย์มันขึ้นผิดทิศซะเฉยๆ ผิดกฎธรรมชาติ มันก็ย่อมเป็นไปตามนั้น ..............................................................................</PRE>
    ปี 2012 สำคัญไฉน ? - 919d73</PRE>
     
  18. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    ป้าขวัญดูเส่
    ผลของวาติกันเคาน์ซิล(เพิ่งเห็นตะกี้เอง นี่คือเหตุการณ์ไม่นานนี้เองนะ คงประมาณปี2518-19ประมาณนี้มัง ลองค้นดูนะ)
    เห็นท่านทิจ กวาง ดิ๊กแล้วหดหู่ใจ
    พระของเขาต้องทำถึงขนาดนี้เพื่อสัญญลักษณ์แท้ๆเลย
    พระที่พม่าก็กล้าแรงแข็งขยัน(ท่าทีการรักษาศาสนาของเขาแข็งแรงมากนะ โดยเฉพาะพวกต่างศาสนาที่แทรกซึมด้วยวิธีต่างๆ เข้าไม่ถึง เขาพร้อมเพรียงกันมากนะ และประวัติศาสตร์เขาย้อนไปถึงสมัยก่อนพุทธกาลเลย เขานับเป็นหลักชัยของพุทธศาสนามากกว่าของเรานะ)
    ของเราเนือยๆกัน แล้วเข้าใจกันไปในทางปล่อยวางกันหมด
    น่ากลัวจินๆ วาติกัน
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เคยอ่านแล้วค่ะ เหล่าฮู...เมื่อก่อนก็สะเทือนใจมาก
    แต่ตอนนี้ ไม่สะเทือนใจแล้ว มีแต่ชื่นชมบารมีของท่านทิจ กวาง ดิ๊ก
    สถานะการณ์ เป็นเหตุให้แสดงวีรกรรม ความกล้าหาญ และปาติหารย์ การทดสอบจิตใจ
    เหมือนกรณี พระเยซู ถูกตรึงการเขน และยอมตาย โดยไม่มีพยาบาทโกรธแค้นใครๆ

    ความตาย ไม่ได้ดับทุกสิ่ง แต่ความตายให้กำเนิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าก็ได้
    การยอมตายถวายชีวิต เป็นพุทธบูชา ถือเป็นการบำเพ็ญบารมีขั้นสูง
    นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง และจะเกิดได้กับผู้ที่ต้องการบำเพ็ญบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป
    เหมือน พระพุทธเจ้าของเรา มีสหชาติเป็นพระเทวทัตเป็นบททดสอบที่ยิ่งใหญ่
    ถ้าไม่มีพระเทวทัต ก็ไม่มีเหตุการณ์ต่างๆดังที่บันทึกไว้ ก็นับว่า พระเทวทัตมีคุณาปการ
    กับชาวพุทธไม่น้อย เป็นทั้งตัวอย่าง เป็นทั้งครู ในอีกด้านหนึ่งที่ตรงข้ามกับพระพุทธเจ้า
    ให้เราสังวรณ์ตัวเองได้

    เราต้องมองให้ออก ศาสนาคริสต์อันเป็นคำสอนของพระเยซู ก็เป็นเรื่องหนึ่ง
    คนที่คลั่งศาสนาทำตามมติของมนุษย์ละเลยคำสอนของพระคริสต์(วาติกัน?) ทำตัวเคร่งครัด
    ในกฏของศาสนาแต่มีจิตใจบาปหยาบช้า ทำชั่วทำเลว บีบคั้น ข่มเหงผู้อื่นที่มีความเชื่อ
    ต่างจากตน น่ะ พระเยซู ท่านเรียกว่า พวกฟารีสี เป็นศรัทธาที่สูญเปล่า ซึ่งถ้าไปดูประวัติ
    ศาสตร์แล้ว ก็ตั้งแต่คริสเตียนเผยแพร่อาณาจักรของพระเยซูก็ลืมคำสอนของพระเยซู
    หมด ทำตามใจตัวเองกันทั้งนั้น ตั้งอาณาจักรเอง คิดเอง ทำเอง เพื่ออำนาจของพวกตน
    แล้วเอาศาสนามาเป็นเครื่องมือฆ่าคนที่คิดต่างจากพวกตัวเองไปมากมาย คำสอนของ
    ศาสนาไม่ได้เข้าถึงจิตวิญญาณของพวกเขาเลย เราเองก็ตั้งสติให้ดี อย่าตกเป็นเครื่องมือ
    ของกิเลส กระโดดเข้าสงครามศาสนากับเขา ขอให้เชื่อกฏแห่งกรรม เราทำตัวเราเองให้ดี
    ให้รอด ให้ถูกตามคำสอนของหลักศาสนาที่เรานับถือให้ถูก เราก็จะรอดจากภัยนี้ได้ ถ้าเรา
    ยังเข้าใจหลักศาสนาผิดๆ ไปทำเรื่องผิดๆ ไปร่วมก่อกรรมที่ผิดๆ เราก็จะแพ้ภัยตัวเองได้
    หลัก สันติ อหิงสา ธรรมะย่อมชนะอธรรม เป็นสัจธรรม ที่ทำได้จริง และเป็นชัยชนะที่
    ยั่งยืน บัณฑิตสรรเสริญ เป็นชัยมงคล เหมือนพระพุทธองค์ชนะพญามาร จึงได้ชื่อว่า
    ชัยชนะ ที่เป็นเลิศ เรื่องแบบนี้มันเข้าใจได้ยาก ทำได้ยาก แต่ถ้าผู้ใดทำได้ ศาสานาพุทธ
    ย่อมเจริญรุ่งเรืองแผ่ไปไพศาลแน่นอน แต่ถ้าใช้วิชาทางโลกเอาชนะคะคานคนไม่รู้ ก็จะ
    ชนะแบบโชกเลือด ผู้แพ้ก็จองเวร กลายเป็นเวรกรรมไม่จบไม่สิ้น

    ถ้าคนพุทธไม่ขยันปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง ไม่สร้างภูมิคุ้มกัน เอาแต่ทะเลาะเบาะแว้ง
    เอาคำสอนครูบาอาจารย์มาห้ำหั่นกันเอง ไม่สร้างเสริม ส่งเสริมกันในทางที่ถูกที่ควร
    ไม่ทำเรื่องคลุมเครือให้ชัดแจ้ง นี่แหละคือตัวบ่อนทำลายศาสนาพุทธของจริง
    ซึ่งคนที่ทำนี่แหละ อาจไม่รู้ตัวว่าได้ตกเป็นเครื่องมือของคนที่จ้องทำลายศาสนาพุทธ
    หรือไม่ เพราะวิธีการอื่นๆ ไม่ได้ผล ใช้ความรุนแรงแบบในเวียดนามก็ไม่ได้ผล
    เขาก็หันมาแทรกซึมบ่อนทำลายเนียนๆจากเนื้อในของตัวเอง บางคนตกเป็นเครื่องมือ
    ของเขาก็ยังไม่รู้ตัวก็มี เพราะ พวกนี้เขาฉลาด ไอคิว สูง เอาอำนาจ เกรีรติยศ ชื่อเสียง
    เข้ามาล่อแบบเนียนๆ ก็มาก แล้วมีแต่พวกหัวกระทิซะด้วย รวยแต่ชอบโกง ฉลาดแกมโกง
    ขยันและโคตรโกง ทำชั่วทำเลวได้แบบไม่มีละอายแถมมีเหตุผลเข้าข้างตัวเอง
    แบบเนียนๆ อีกด้วย นี่แหละ สงครามเลือดเย็นทำลายคนจากเนื้อในของคนๆนั้นเลยทีเดียว

    เนี่ยแหละ ที่อาเหล่ายาย รู้สึกได้ จากที่ค้นคว้ามา นานสองนาน

    การให้อภัยกับคนที่ทำผิดต่อเราเพราะความไม่รู้ มันก็ทำได้ยาก นะ

    แต่ก็ต้องทำให้ได้ ไม่งั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกฟารีสี ที่เคารพพระพุทธองค์แต่ปาก

    แต่ทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ไม่ได้

    ช่วยตัวเราเองให้รอด แล้วค่อยไปช่วยคนอื่น จะได้ไม่ไปพาให้คนอื่นเขาหลงทาง ชิมิ

    พอได้ปะคะ เหล่าฮู ตอนนี้ก็คิดแบบนี้แหละ ปล่อยวางบางเรื่อง เร่งทำกิจที่สำคัญของตน

    เพื่อพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง คือทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตน แล้วค่อยเผื่อแผ่ให้คนอื่น

    เพราะถ้าเราเข้าใจและปฏิบัติถูกตามหลักพุทธะ ตัวเราก็คือพระธรรม พระไตรปิฎก เคลื่อนที

    ที่ไม่มีใครมาทำลายได้ แล้วเราค่อยเผยแพร่สิ่งที่รู้ถูกรู้แจ้งแล้วให้คนอื่นเป็นธรรมทานต่อไป

    ถึงจะช่วยพระศาสดาเผยแพร่ปณิธานของท่านได้ถูกตามครรลองของพระพุทธองค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2010
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คำพยากรณ์ของ แม่พระแห่งฟาติมา ที่ผู้คนเฝ้ารอการเปิดเผย อย่างใจจดใจจ่อก็คือ “ความลับข้อที่สาม”ทว่า เมื่อสำนักวาติกันเผยแพร่ คำทำนายนี้ออกมาแล้ว บางคนกลับเชื่อว่า ความจริงยังถูกเปิดเผยไม่หมด
    ในปี 1944 ลูเซียได้เขียนคำพยากรณ์ข้อที่สามออกมา ซึ่งเธอบอกว่าตัวเองได้ยินจากพระแม่ขณะยังเป็นเด็กหญิงอายุ 10 ขวบ เมื่อปี 1917 จากนั้นได้มอบคำทำนายปิดผนึกนี้ให้แก่บิชอปแห่งไลเรีย พร้อมกับบอก ว่า พระแม่สั่งไม่ให้เปิดเผยแก่สาธารณชนจนกว่าจะถึงปี 1960 แล้วท่านบิชอปก็ส่งข้อความนั้นต่อไปยังวาติกัน ในปี 1960 พระสันตะปาปา พอล จอห์น ที่ 23 ได้เปิดผนึก คำพยากรณ์ออกอ่าน บรรดาผู้ศรัทธาต่างตั้งตาคอยการเปิดเผย แต่พระองค์ ปฏิเสธที่จะบอกถึงข้อความในคำพยากรณ์นั้น โดยบอกว่า “คำพยากรณ์นี้ไม่ เกี่ยวข้องกับยุคสมัยของข้าพเจ้า” เมื่อคำพยากรณ์กลายเป็น “ความลับ” ผู้คนจึงเริ่มคาดเดากันไป ต่างๆ นานาถึงเนื้อหาที่ยังถูกเก็บงำไว้ แคธลีน เอ. คีตติง ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Final Warning : Your Survival Guide to the New Millennium หรือ “คำเตือนครั้งสุดท้าย : คู่มือเอาชีวิตรอดในสหัสวรรษใหม่” บอกว่า
    “จอห์น ที่ 23 ถึงกับเป็นลมเมื่อได้อ่านความลับข้อที่สาม ประจักษ์พยานหลายคนบอกว่า นั่นเป็นเพราะคำทำนายระบุว่า พระองค์จะ ทรยศต่อคริสต์ศาสนิกชน และนำพาเหล่าคริสต์ศาสนิกชนไปให้ซาตาน สังหาร”

    คำทำนายโดยละเอียด

    "หลังจากที่ข้าพเจ้าได้อธิบายภาพนิมิตทั้งสองไปแล้ว ในทางด้านซ้ายมือของแม่พระและสูงขึ้นมาหน่อยนั้น เราเห็นเทวดาถือดาบที่ลุกเป็นไฟสว่างจ้าในมือซ้าย ไฟนั้นพลุ่งออกมาราวกับจะเผาผลาญโลกให้เป็นจุล แต่ไฟนั้นก็มอดดับลงเมื่อสัมผัสกับแสงเรืองรองที่แผ่ออกมาจากพระหัตถ์ขวาของแม่พระตรงไปที่เทวดานั้น เทวดาได้ร้องด้วยเสียงดังว่า " จงใช้โทษบาป จงใช้โทษบาป จงใช้โทษบาป"
    และเราเห็นแสงสว่างอันยิ่งใหญ่นั่นคือพระเป็นเจ้า ..เป็นบางอย่างที่คล้ายกับภาพสะท้อนในกระจกเมื่อคนนั้นเดินผ่าน เราเห็นพระสังฆราชในชุดสีขาว และเรามีความรู้สึกว่านั่นเป็นพระสันตะบิดา พระสังฆราช พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง กำลังเดินขึ้นไปยังภูเขาสูง ที่บนยอดมีกางเขนใหญ่ปักอยู่กางเขนนี้มีลำต้นเหมือนต้นไม้ก๊อกเปลือกหนา ก่อนที่จะถึงยอดภูเขานั้น พระสันตะบิดาได้เสด็จผ่านเมืองใหญ่ที่ครึ่งหนึ่งถูกทำลายย่อยยับและอีกครึ่งหนึ่งกำลังสั่นสะเทือน ด้วยความปวดร้าวและเศร้าใจ พระองค์ทรงภาวนาเพื่อดวงวิญญาณของบรรดาซากศพเหล่านั้นที่พระองค์เห็นในระหว่างทาง เมื่อมาถึงยอดภูเขา พระองค์ทรงคุกเข่าลงต่อหน้าไม้กางเขนใหญ่ พระองค์ถูกฆ่าโดยกลุ่มทหารสาดกระสุนและธนูมายังพระองค์ และในลักษณะเดียวกัน บรรดาพระสังฆราชและพระสงฆ์ นักบวชชายหญิงและบรรดาฆราวาสในฐานะต่างๆมากมายก็สิ้นชีวิตด้วย
    "เบื้องล่างของไม้กางเขนทั้งสองด้าน มีเทวดาสององค์ แต่ละองค์ถือภาชนะอยู่ในมือเอาไว้เก็บรวบรวมเลือดของบรรดามรณสักขีและใช้เลือดนั้นพรมบรรดาวิญญาณที่กำลังเดินทางไปหาพระเจ้า"
    (แปลจาก Inside The Vatican Magazine; January 2001)


    อาเหล่าฮู พินา ดูแล้วกัน ภายในศาสนาคริสต์เอง เขาก็มีการเตือนเป็นคำพยากรณ์
    เพื่อชี้ทางที่ถูกต้องให้ แต่ไม่รู้คนในศาสนาของเขาจะรู้ทันและกลับตัวกลับใจมาทำถูก
    กันได้หรือไม่ แต่ก็เป็นเรื่องภายในของคนในองค์กรของเขาจะตระหนักและจัดการกันเอง
    เหมือนๆ องค์กรพุทธของเราก็ต้องขัดเกลาภายในของเราให้ถูกต้องโปร่งใสมีจิตใจเป็น
    อันหนึ่งอันเดียวกัน ไปทางเดียวกันด้วยความสามัคคีภายในให้ได้ก่อนนั้นแหละ
    ที่ไหนๆ ก็มีปัญหา เพราะคนถูกกิเลสครอบงำ ไม่เว้นแม้จะเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณ
    พวกเราต้องสังวรณ์ตัวเองให้มากๆ ว่าทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้ถูกต้องตรงทางหรือยัง



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...