ทุกชีวิต...นิพพานกันอยู่แล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เอกรินทรา, 23 พฤษภาคม 2012.

  1. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    ไหนล่ะ...คุณ chottana
    อย่าอธิบายแบบเข้าใจคนเดียว...เอาให้ชาวบ้านเค้าเข้าใจด้วย
     
  2. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
    อกุศลเจตสิกไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งอกุศลมูลจิตไม่ได้แล้ว มีอยู่

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
    เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
    ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้
    การสลัดออก ซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
    เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว

    อกุศลเจตสิกปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีอกุศลมูลจิตแล้วไซร้
    การสลัดโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำแล้ว อกุศลเจตสิกปรุงแต่งแล้ว
    จะไม่พึงปรากฏในขันธ์ ๕ นี้เลย

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว
    ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะอกุศลเจตสิกอันไม่เกิดแล้ว
    ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งอกุศลมูลจิตไม่ได้แล้ว มีอยู่

    ฉะนั้น การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติที่เกิดแล้วเป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ
    ความจริงประโยคนี้เป็นประโยคเหตุ
    ปกติวิสัยพระพุทธองค์ท่านกล่าวผลก่อนเหตุเสมอ
    ฉะนั้นการสลัดซึ่งโลภะ โทสะ โมหะออก อกุศลมูลจิตที่เกิดแล้วเป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำแล้ว อกุศลเจตสิกปรุงแต่งอกุศลมูลจิตแล้วจึงปรากฏ
     
  3. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณ ะย่อมมี.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม, ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว;
    คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา(ธัมมัฏฐิตตา),
    คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา (ธัมมนิยามตา),
    คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตา)
     
  4. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ฉะนั่น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติ ที่มันเกิดอยู่เเล้ว มันมีอยู่เเล้วบนโลกนี้อยู่เเล้ว เนี่ยละ

    จึงเป็นปัจจัย ให้ปรากฏธรรมที่ไม่สามารถปรุงเเต่งได้อีกต่อไป คือ นิพพาน
     
  5. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    พ่อหนุ่ม มันไม่ใช่อนาคตไม่สำคัญดอกนะ พ่อหนุ่ม มันอยู่ที่ว่าเราเห็นแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังของความทะยานอยาก ของเรา อันเป็นผลมาจากความคิด หรือจิตของเรานี้ที่แสวงหาการสืบต่อหรือไม่ ถ้าเข้าใจเราก็จะพบว่าทำไมมนุษย์จึ่งมี ความทะยานอยากที่จะเป็นอะไรสักอย่างอยู่เสมอๆๆ นั้นแล อันนี้เข้าใจยากจากการฟัง หรือ อ่าน แต่เราต้องสังเกตุตัวเราจริงๆๆนะจ๊ะ นะจ๊ะ ลุงมิอาจจะมอบความหยั่งเห็นให้ได้ดอกนะ

    ความจริงเมื่อเราสัมผัส ปัจจุบัน ขณะ เราก็สัมผัส อดีต อนาคต แลปัจจุบันไปพร้อมๆๆกันนั้นแล มิได้ต่างกันดอกนะ เพราะปัจจุบันนี้ก็เคยเป็นอนาคตมาก่อนและกำลังกลายเป็นอดีตจริงไหม? ดังนั้นเวลาจริงๆๆจึ่งเป็นมายาภาพ ตัวตนจึ่งไม่มี เพราะตัวตนของเรานี่ต้องอาศัยเวลา เพื่อสั่งสมภาพลักษณ์เกี่ยวกับตัวเองจริงไหม? เอ็งเป็นใคร พ่อแม่ชื่ออะไร มีการศึกษามาทางไหน อะไรที่ชอบอะไรที่ไม่ชอบ ภาพลักษณ์เกี่ยวกับตัวเองที่เรามี หรือสำนึกความเป็นฉันนี่มันต้องใช้เวลาสั่งสมมา ยิ่งใช้เวลามากเท่าไหร่เราก็ยิ่งมีภาพลักษณ์หรือความรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น(ซึ่งบ่อยครั้งมักเป็นภาพลักาณ์ที่ไม่จริงแลหลอกตัวเอง) และ เราก็ยึดติดราวกับว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง

    ใช่แล้วกุญแจไขความลับ นั้นแลอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบัน คือเวลาที่เรามีชีวิตอยู่จริงๆๆ เราสัมผัสชีวิตจริงๆๆนั้นแล สมาธิคือสิ่งนี้ สมาธิคือ การที่มนุษย์เราหันกลับมาสนใจตัวเองอย่างที่เป็นอยู่จริงๆๆ มิใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น พูดเหมือนง่าย แต่ที่จริงไม่ง่ายดอกนะ เพราะเราทุกคนมักกลัวเกินกว่าที่จะมองดูตัวเราเองอย่างที่เป็นอยู่จริงๆๆ ชีวิตเราส่วนใหญ่สูญเปล่าไปกับความขัดแย้งนั้นแล อย่างเมื่อเราสังเกตความจริง สมมติว่าเราพบว่าในความเป็นจริงแล้วเราเป็นคนชอบพูดเท็จ เราก็แค่ตะหนักรู้ว่าใช่ จากนั้นเราพิจารณาดูเหตุ และ แรงจูงใจว่ามันเป็นเพราะอะไร? โดยไม่ต้องแสวงหาวิธีการ หรือ อะไรบางอย่างเพื่อหนีจากความจริงนี้ เพราะ นั้นเป็นเพียงการ เสแสร้งว่า เราไม่ใช่ได้เป็นคนช่างเท็จ เป็นการหลอกตัวเอง กล่าวคือถ้าเราทำอย่างงี้ เราจะผลักดันตัวเองไปอยู่ ในโลกแห่งแนวความคิด หรือโลกตามตำนานปรัมปรา ไม่เคยออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เพื่อที่จะสังเกตสิ่งที่เป็นจริง มองเห็นมัน คุ้นเคยกับมันจริงๆ เราจึ่งต้องใส่ใจตัวเองอย่างที่เป็นอยู่จริงๆๆ จะต้องไม่มีการตัดสิน การประเมินค่า ไม่มีความคิดเห็น และ ไม่มีความกลัว นี่คือสมาธิ เรามักใช้ลมหายใจในการทำสมาธิก็เพื่อดึงใจของเขาให้มาอยู่ที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ สติที่กระจัดกระจายมาอยู่นี่ เพื่อตัวเราเอง เพื่อใส่ใจตัวเราเองอย่างแท้จริง และนั้นแล ประตูแห่งสัจจะ จะเปิดนะจุดนี้ สิ่งที่มีชีวิตชีวานี้คือสิ่งที่เราเป็นอยู่จริง คือ ความโกรธของเรา ความทุกข์ระทมของเรา ความโลภของเรา ความโหดร้ายของเรา ความรุนแรงความผิดหวัง และ ปวดร้าวทรมาน ตลอดจน ความรัก ความสุขสมหวัง ความสงบ สันติ เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม น้ำตา การเข้าถึงเรื่องเราทั้งหมดนี้คือสัจจะ และ สัจจะนั้นให้ความเข้าใจ นี่คือสาระสำคัญจริงๆๆของสมาธิ ความเข้าใจที่แท้จริงในชีวิตก็เกิดนะจุดนี้ มิใช่เพราะทฤษฏี หรือ เพราะได้ไปฟัง หรือ ตีความคำพูดของใคร ที่เราคิดว่าจริง นั้นเป็นเพียงอาหารสมอง จะมีประโยชน์อะไรที่แนวคิดที่สูงสงแต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับชีวิต ไม่ได้ชี้นำให้มนุษย์กับมาตระหนักถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นอย่างแท้จริง

    ลุงจักให้วิธีปฏิบัติ นะจ๊ะ นะจ๊ะ

    วิธีนี้ เป็นวิธีแบบดั้งเดิมที่พระพุทธองค์ใช้ ในคืนตรัสรู้จ๊ะ ลุงดัดแปลงให้มันดูร่วมสมัยมากขึ้นลองปฏิบัติดู นะจ๊ะ นะจ๊ะ

    หายใจครั้งแรก หายใจเข้ายาวตระหนักรู้ว่าเราหายใจเข้ายาว หายใจออกยาวตระหนักรู้ว่าเราหายใจออกยาว

    หายใจครั้งที่สอง หายใจเข้าสั้นตระหนักรู้ว่าเราหายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้นตระหนักรู้ว่าเราหายใจออกสั้น

    หายใจครั้งที่สาม เมื่อหายใจเข้าตระหนักรู้ว่าเรากำลังมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจออกตระหนักรู้ว่าเรากำลังมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม

    สามตอนนี้เป็นการเรียกสติที่ล่องลอยของเราให้มาอยู่ที่นี่ ตรงนี้ จ๊ะ

    ต่อมา

    หายใจครั้งที่สี่ หายใจเข้าตระหนักรู้ว่าเรากำลังสัมผัสพลังในการมีชีวิต ความสงบ และสันติ หายใจออกตระหนักรู้ว่าเรากำลังปลดปล่อยความหวาดระแวง กังวล และ สัมผัสความสงบ สันติ

    หายใจครั้งที่ห้า หายใจเข้าตระหนักรู้ว่าเรากำลังสัมผัสความเบิกบาน หายใจออกตระหนักรู้ว่าเรากำลังสัมผัสความเบิกบาน

    หายใจครั้งที่หก เมื่อหายใจเข้าตระหนักรู้ว่าเรากำลังสัมผัสกับความสุข หายใจออกตระหนักรู้ว่าเรากำลังสัมผัสกับความสุข

    หายใจครั้งที่เจ็ด หายใจเข้าตระหนักรู้อาการต่างๆๆของจิตของเรา (ความสั่นไหวของมันเมื่อถูกกระทบและเราไปรับรู้)หายใจออกตระหนักรู้อาการต่างๆๆของจิตของเรา( ความสั่นไหวของมันเมื่อถูกกระทบและเราไปรับรู้)

    หายใจครั้งที่แปด หายใจเข้าตระหนักรู้ความระงับ(ดับไปเอง)ของอาการสั่นไหวต่างๆๆของจิตของฉัน ศานติภาวะ หายใจออกตระหนักรู้ตระหนักรู้ความระงับ(ดับไปเอง)ของอาการสั่นไหวต่างๆๆของจิตของฉัน ศานติภาวะ

    หายใจครั้งที่เก้า เมื่อหายใจเข้าตระหนักรู้ว่าภาวะที่แท้ของจิตของฉัน(ว่าง) หายใจออกตระหนักรู้ว่าภาวะที่แท้ของจิตของฉัน(ว่าง)

    หายใจครั้งที่สิบ เมื่อหายใจเข้า ฉันกำลังเติมเต็มความสุขและสันติ หายใจออก ฉันกำลังเติมเต็มความสุขและสันติ

    หายใจครั้งที่สิบเอ็ด หายใจเข้าตระหนักรู้ว่าจิตของฉันมีสมาธิ หายใจออกตระหนักรู้ว่าจิตของฉันมีสมาธิ

    หายใจครั้งทีสิบสอง หายใจเข้าตระหนักรู้ว่าจิตของฉันถูกปลดปล่อยและเป็นอิสระ หายใจออกตระหนักรู้ว่าจิตของฉันถูกปลดปล่อยและเป็นอิสระ

    หายใจครั้งที่สิบสาม หายใจเข้าตระหนักรู้ถึงความไม่คงทนของสิ่งทั้งปวงเป็นเรื่องธรรมดา หายใจเข้าหายใจออกตระหนักรู้ถึงความไม่คงทนของสิ่งทั้งปวงเป็นเรื่องธรรมดา

    หายใจครั้งที่สิบสี่ หายใจเข้าตระหนักรู้ว่าสิ่งต่างๆๆย่อมเสื่อมสลายไป หายใจออกตระหนักรู้ว่าตระหนักรู้ว่าสิ่งต่างๆๆย่อมเสื่อมสลายไป

    หายใจครั้งทีสิบห้า หายใจเข้าตระหนักรู้ว่าจิตของฉันแสวงหาความหลุดพ้น หายใจออกตระหนักรู้ว่าจิตของฉันแสวงหาความหลุดพ้น

    หายใจครั้งที่สิบหก หายใจเข้าปล่อยวาง หายใจออกปล่อยวาง


    สุดท้ายนี้พระพุทธเจ้า ไม่เคยสอนอะไรทั้งนั้น นอกจากมรรคาของการปฏิบัติซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงของชีวิต ดูมรรคมีแองค์แปดก็จักเข้าใจว่ามันชี้ตรงมาที่การลงมือทำ คนที่คิดว่า เพียงแค่ได้ฟังคำสอน และ หลอกตัวเองว่า เข้าใจ แต่ไม่ลงมีปฏิบัติให้เห็นเอง นั้นเป็นพวกศึกษาธรรมแบบ สุนัขหางด้วน ตีงูที่หาง นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้วยังเป็นภัยร้ายแรงถึง ตัว นะจ๊ะ นะจ๊ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤษภาคม 2012
  6. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ธรรมจากศูนย์ไปสู่ศูนย์..
    หรือจากศูนย์กลับไปศูนย์ เลยไม่เห็นว่า ยังสลัดอะไรไม่ได้ พวกกิเลสที่แล่นมาแล้วดับไป ไม่ใช่ปล่อยมันไว้อย่างนั้นเพราะจะไปสู่ศูนย์ แล้วนิพพานอย่างเดิม นิพพานอยู่แล้ว เพราะนิพพานชั่วขณะหรือนิพพานชั่วคราว ไม่อาจเป็นนิพพานจริงได้ หากยังไม่ทำลายกิเลส หรือเหตุปัจจัยของการเกิด


    <CENTER>๓. นิพพานสูตรที่ ๓
    </CENTER>[๑๖๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ
    ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค
    ทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ... เงี่ยโสตลงสดับธรรม ลำดับนั้นแล
    พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
    ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุง
    แต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออก
    ซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึง
    ปรากฏในโลกนี้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็น
    แล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัด
    ออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว
    จึงปรากฏ ฯ

    <CENTER>จบสูตรที่ ๓</CENTER><CENTER>



    </CENTER><CENTER>๔. นิพพานสูตรที่ ๔
    </CENTER>[๑๖๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ
    ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค
    ทรงชี้ให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ... เงี่ยโสตลงฟังธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระ-
    *ภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า ความไม่หวั่นไหว
    ย่อมมีแก่บุคคลผู้อันตัณหาและทิฐิอาศัย ย่อมไม่มีแก่ผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัย
    เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ก็ย่อมมีปัสสัทธิ เมื่อมีปัสสัทธิ ก็ย่อมไม่มีความยินดี
    เมื่อไม่มีความยินดี ก็ย่อมไม่มีการมาการไป เมื่อไม่มีการมาการไป ก็ไม่มีการจุติ
    และอุปบัติ เมื่อไม่มีการจุติและอุปบัติ โลกนี้โลกหน้าก็ไม่มี ระหว่างโลกทั้งสอง
    ก็ไม่มี นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

    <CENTER>จบสูตรที่ ๔</CENTER><CENTER></CENTER>


    อรรถกถาตติยนิพพานสูตร

    ......​

    และด้วยสูตรแม้นี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย พระนิพพาน ไม่เกิด มีอยู่ ฉะนั้น แม้ถ้าวิญญูชน ผู้กระทำไม่ให้ประจักษ์ในพระนิพพานนั้นไซร้ ก็ย่อมไม่มีความสงสัย หรือความเคลือบแคลงเลย. เพื่อจะบรรเทาความเคลือบแคลงของเหล่าบุคคล ผู้มีความรู้ในการแนะนำผู้อื่น ในข้อนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้.
    การสลัดออกอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามและอารมณ์มีรูปเป็นต้นที่เวียนซ้าย คือที่มีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากนั้น ย่อมปรากฏโดยมุข คือการถอนออกจากทุกข์ หรือเพราะกำหนดรู้ อันมีการพิจารณาที่เหมาะสม พระนิพพานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสังขตธรรมทั้งหมด ซึ่งมีสภาวะเป็นเช่นนั้น คือมีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากนั้น พึงเป็นเครื่องสลัดออก.
    ก็พระนิพพาน อันเป็นเครื่องสลัดออกจากทุกข์นั้น ก็คืออสังขตธาตุ.
    พึงทราบให้ยิ่งขึ้นไปอีกเล็กน้อย.
    วิปัสสนาญาณก็ดี อนุโลมญาณก็ดี ซึ่งมีสังขตธรรมเป็นอารมณ์ ย่อมไม่อาจจะละกิเลสได้โดยเด็ดขาด. อนึ่ง ญาณในปฐมฌานเป็นต้น ซึ่งมีสมมติสัจจะเป็นอารมณ์ ย่อมละกิเลสได้ ด้วยวิกขัมภนปหานเท่านั้น หาละได้ด้วยสมุจเฉทปหานไม่. ดังนั้น อริยมรรคญาณอันกระทำการละกิเลสเหล่านั้นได้เด็ดขาด ก็พึงเป็นอารมณ์ ซึ่งมีสภาวะผิดตรงกันข้ามจากญาณทั้งสองนั้น เพราะญาณซึ่งมีสังขตธรรมเป็นอารมณ์ และมีสมมติสัจจะเป็นอารมณ์ ไม่สามารถในการตัดกิเลสได้เด็ดขาดนั้น ชื่อว่า อสังขตธาตุ. อนึ่ง พระดำรัสที่ส่องถึงบทแห่งพระนิพพาน ซึ่งมีอยู่โดยปรมัตถ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นอรรถที่ไม่ผิดแผก ดังบาลีนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย พระนิพพาน ไม่เกิด ไม่มี อันปัจจัยอะไรๆ ไม่แต่ง ไม่ปรุง มีอยู่, จริงอยู่ คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ซึ่งมีอรรถไม่ผิดแผก ดังที่ตรัสไว้ว่า<SUP>๔-</SUP> สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาดังนี้.
    ____________________________
    <SUP>๔-</SUP> องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๗๖


    อนึ่ง นิพพานศัพท์ มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ ตามเป็นจริง แม้ในอารมณ์บางอย่าง เพราะเกิดมีความเป็นไปเพียงอุปจาร เหมือนศัพท์ว่า สีหะ. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบอสังขตธาตุว่ามีอยู่โดยปรมัตถ์ แม้โดยยุติ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า เพราะพระนิพพาน มีสภาวะพ้นจากสิ่งที่มีภาวะตรงกันข้ามนั้น นอกนี้ เหมือนปฐวีธาตุ หรือเวทนา. <CENTER>
    จบอรรถกถาตติยนิพพานสูตรที่ ๓ ​

    ----------------------------- </CENTER>
    .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘ นิพพานสูตรที่ ๓ จบ.


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2012
  7. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    เอามาเทียบเคียงกันได้อยู่ พระสูตรของพระองค์จะสอดคล้องรองรับกันอยู่ เเบบนี้ละ
     
  8. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    กาลครั้งหนึ่ง พระรูปหนึ่งกำลังเทศน์ สอนวัชรสูตร ให้ชาวบ้านฟัง ทันใดนั้นเองหาราวาสชายคนหนึ่งชื่อผังอวิ้นก็ถามขึ้นว่า

    "พระคุณท่าน ๆๆ ก็ในพระสูตรมีถ้อยความว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีบุคคล แล้วใครกันที่เป็นคนหัวโล้น ใครกันที่นุ่งเหลือง และ กำลังนั้นอธิบายพระสูตรอยู่ตรงนี้"

    พระนั้น นิ่งไปเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร? จึ่งถามไปว่า "แล้วโยมคิดว่าที่อยู่เบื้องหน้านี่คือใครกันล่ะ?"

    ผังอวิ๋นมิตอบอันใดนอกจาก บทกลอนสั้นๆๆว่า

    "ไม่มีตัวตน และ ไม่มีบุคคล
    แล้วจะมีญาติพี่น้องและคนแปลกหน้าได้อย่างไร?
    ขอร้องเถอะ ขอร้อง เลิกกันเสียทีการบรรยาย
    เป็นการดีกว่าที่จะแสวงหาความจริงโดยตรง
    ธรรมชาติแห่งวัชรปัญญานั้น
    ขจัดได้แม้เพียงฝุ่นแค่ธุลี
    จากถ้อยคำของคนอื่นที่สดับมา
    สู่นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าประจักษ์
    ไม่เห็นหรือว่าเหล่านี้ที่ทำกันอยู่ล้วนเป็นเพียง
    สิ่งที่ไร้แก่นสาร"

    พระรูปนั้นหันไปทางฆาราวาสผัง แล้วถอนหายใจ

    จบจ๊ะ นิทานวันนี้ของลุง นะจ๊ะ นะจ๊ะ
     
  9. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    อกุศลเจตสิกของคุณตาปลา...
    คือ...ธรรมชาติเหรอ...มั่วแล้วครับท่าน...
     
  10. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณ ะย่อมมี.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม, ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว;
    คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา(ธัมมัฏฐิตตา),
    คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา (ธัมมนิยามตา),
    คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตา)

    ที่คุณ chottana กล่าวมานี้...ก็ตรงกับที่ผมโพสต์ไปคือ นิพพานคือความเป็นเช่นนั้น เป็นอยู่อย่างนั้น และไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น
     
  11. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    มั่วแล้วครับคุณปุณฑ์...อธิบายแบบภาษาชาวบ้าน
    ให้คนอื่นเข้าใจด้วยครับ...คุณจะค้านผมไม่ว่า แต่ยกเหตุผลประกอบให้ละเอียดชัดเจน
    ส่วนของคุณเทพอนุบาลนั้น...ไม่รู้ท่านบ่นอะไรอยู่...เอากันชัดๆตรงๆเลยครับ
    ปล่อยไก่ให้ชาวบ้านเห็นไปทำไม....
     
  12. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณ ะย่อมมี.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม, ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว;

    ผมหมายถึง ธรรมธาตุ คือ โลกมนุษย์ สวรรค์ นรก
    เป็นความตั้งอยู่ 3 โลกนี้เป็นธรรมดา ธรรมชาติ
    เป็นกฏตายตัวตามธรรมชาติ
    เมื่อมีสิ่งที่เป็นปัจจัยกันเเละกัน ทั่ง3โลกธาตุนี้ จะมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เเล้วดับไป เเต่ก็ต้องดูด้วยอะไรดับเพราะข้อเเรกก็บอกเเล้วธรรมธาตุมีความตั้งอยู่เป็นธรรมดา มีกฏตายตัวอยู่เเล้ว ที่มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป คือ ภพ ชาติ ชรา มรณะ

    นิพพานจะปรากฏได้ก็ต้อง สลัดออก จากธรรมชาติที่มัน มีการเกิดปรากฏ อาศัยกันเกิดด้วย
    ก็ต้องรู้ความหมายของการสลัดด้วยว่า เค้าสลัดยังไง เเล้วสลัดอะไรออก ก็ต้องศึกษาดีๆ
     
  13. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ลุงก็แค่คนเล่านิทาน จ๊ะ เอ็งอย่าสนใจเลยนะจ๊ะ พ่อหนุ่ม
    ว่าแต่พ่อหนุ่มรู้จักวิธีจับงู ไหม ล่ะจ๊ะ
    พระบรมศาสดาตรัสว่า

    "ในโลกนี้ บางคนเล่าเรียนธรรมเพื่อยกตนข่มผู้อื่น เพียงเพื่อกล่าวแก้วาทะของผู้อื่น ( เอาชนะ ผู้อื่นด้วยการโต้เถียง ) เขามิได้ไตร่ตรองเนื้อความแห่งธรรมด้วยปัญญา มิได้รับประโยชน์จากการเรียนธรรมศึกษาธรรม เป็นไปเพื่อโทษและทุกข์แก่เขา เปรียบเหมือนคนต้องการงูพิษ เมื่อเจองูพิษแล้วจึงจับมันที่หาง งูพิษย่อมเอี้ยวตัวมากัดผู้นั้นถึงตาย หรือเจียนตาย ทั้งนี้เพราะเขางูไม่ดี จับไม่ถูกต้องตามวิธีจับ ฉันใด บางคนเรียนธรรมไม่ดีก็ฉันนั้น ย่อมเป็นโทษทุกข์สิ้นกาลนาน ส่วนบางคนเล่าเรียนธรรมมาด้วยดี ไตร่ตรองเนื้อความแห่งธรรมด้วยปัญญา เขาย่อมได้รับประโยชน์แห่งการเล่าเรียนธรรมเป็นไปเพื่อความสุข เปรียบเหมือนคนจะจับงูพิษ เขาเอาไม้ง่ามหนีบคองูไว้ก่อนแล้วจึงจับที่คอ งูกัดไม่ได้ แม้หางของมันจะพันแขนขาบ้างก็ไม่ถึงตายหรือทุกข์ปางตาย เขาย่อมนำงูไปทำประโยชน์ตามที่ปรารถนาได้"

    ในไบเบิ้ลมีว่า


    "จงหมั่นตักเตือนเขาทั้งหลายให้ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ จงตักเตือนพวกเขาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า มิให้โต้เถียงกันเรื่องคำต่างๆซึ่งไร้ค่า มีแต่จะทำลายผู้ฟัง จงพยายามอย่างสุดกำลังที่จะทำให้ตัวท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงพอพระทัย เป็นคนงานที่ไม่ต้องอับอาย และใช้ถ้อยคำแห่งความจริงอย่างถูกต้อง จงหลีกห่างจากการพูดจาไร้สาระไม่ยำเกรงเพราะเจ้า ซึ่งจะนำให้ผู้หมกมุ่นให้ยิ่งต่ำทรามลง"
    2 ทิโมธี ข้อ 14-16


    "อย่าข้องแวะกับการโต้แย้งต่างๆอันโง่เขลาไร้สาระ เพราะท่านรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท ฝ่ายผู้รับใช้พระเจ้าต้องไม่ทะเลาะวิวาท แต่เขาต้องสุภาพอ่อนโยนต่อทุกคน สามารถสอนผู้อื่นได้ ไม่เจ้าอารมณ์ เขาต้องชี้แจงอย่างสุภาพแก่บรรดาผู้ต่อต้านเขาโดยหวังว่าพระเจ้าจะทรงให้คนเหล่านี้กลับใจมารู้ถึงความจริง"
    2ทิโมธี 22-25


    ช่างสอดคล้องจริงๆๆ เอ็งว่าไหม? พ่อหนุ่ม


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤษภาคม 2012
  14. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    เจตสิกคือธรรมชาติสิ่งหนึ่งที่ประกอบกับจิต และปรุงแต่งจิตให้ประพฤติเป็นไปตามนั้น มี ๕๒ ดวง
    ( อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ อกุศลเจตสิก ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕ )
    -----------------------------------------------------------------
    ที่มา อภิธัมมัตถะสังคหะ ปริทเฉทที่ ๒ หน้า ๑
     
  15. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    สรุปแล้วก็ไม่ได้เรื่องสักคน
    อธิบายให้คนฟังเข้าใจง่ายๆไม่เป็น
    เพราะตัวเองหลงทาง...แล้วดันทุรังจะเอาชนะ...
     
  16. มนุสสเทโว

    มนุสสเทโว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +30
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
    เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
    ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้
    การสลัดออก ซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว
    ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
    ฉะนั้น การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติที่เกิดแล้วเป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ

    สรุป
    ผมเปรียบเทียบแบบง่ายๆ ทำนองเดียวกับด้านบนที่อ้าง

    เพราะนิจจังมีอยู่อนิจจังจึงปรากฏ
     
  17. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่

    อันนี้ก็เหมือนกัน...คุณมนุสสเทโว
    บอกมาได้อย่างไร...ว่ามันคืออนิจจัง...มั่วชัดๆ
    อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว...ไม่ได้หมายถึงอนิจจังเลย
    นี่แหละหนา...กอดคอพากันหลงทางชัดๆ...
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอ็งจะต้องการให้คนอื่นสรุปว่าอะไร สรุปแบบที่เอ็งคิดอย่างนั้นหรือ
    ไหนเอ็งลองอธิบายมาก่อนดีกว่าว่า เอ็งเข้าใจว่า พระสูตรนั้นพระพุทธองค์ต้องการบอกว่าอะไร
    แล้วค่อยมาถกว่า จริงหรือไม่
     
  19. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ถือว่า ข้าเตือนแล้วนะจ๊ะ ข้าลบไปแล้วล่ะ อ้อพ่อหนุ่มเจ้าของกระทู้ ข้าไม่มีเอี่ยวกับแก็ง
    ที่ตีกับเอ็งอยู่นะจ๊ะ ข้าเข้ามาคุยกับไอ้หนุ่ม theerasp นี่ มิมีเอี๋ยว
    ถ้าเอ็งค่อยๆๆ อธิบายไปไม่พูดเหมือนยกตนข่มท่าน ก็จะดีกว่านี้นะ
    ส่วนคนไหนรู้หรือไม่รู้คนที่รู้เขาดู ทีเดียวเขาก็รู้แล้ว มิต้องออกอาการดอกนะจ๊ะ
    เพราะมันรังแต่จะกลายเป็นปมมัดตัวเองว่าพูดเปล่าๆๆ แต่ไม่รู้ว่าที่ตัวเองพูดนะมันคืออะไร นะจ๊ะ นะจ๊ะ

    ข้ามันก็แค่ลุงแก่ ผ่านมาเล่านิทานจ๊ะ ใครจ๊ะเข้าใจหรือไม่ก็ตามใจนะจ๊ะ เพราะธุระไม่ใช่

    ข้าจักทำอไรได้ล่ะมันเป็นความรับผิดชอบของแต่ล่ะคน

    นะจ๊ะ นะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤษภาคม 2012
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เฮ้อ!!!

    เราเวียนว่ายเข้าไปภพน้อยใหญ่ อันยาวนานนับไม่ถ้วนเพราะอะไร?

    เพราะไม่รู้จักวิธีการสลัดออก ใช่หรือไม่?

    การสลัดออก เมื่อมีการสลัดออก ก็แสดงว่า ต้องมีสิ่งที่ติดอยู่ เพื่อให้สลัดออก ใช่หรือไม่?

    แล้วอะไรที่มีความสามารถในการสลัดออกซึ่งราคะ โทสะ โมหะ เมื่อมีสติปัญญาเต็มเปี่ยม

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...