ทุกชีวิต...นิพพานกันอยู่แล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เอกรินทรา, 23 พฤษภาคม 2012.

  1. หมาปากซอย

    หมาปากซอย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +11
    แล้วท่านเป็นอะไรละครับ... ท่านไม่ใช่ปุถุชนคนธรรมดาหรอกรึ...
    ตั้งแต่ไหนมาใครก็เข้าใจว่านิพพานคือหลุดวงโคจรไปแล้ว ไม่ต้องเวียนว่ายอีกแล้ว
    ที่ผมไม่เข้าใจความหมายของท่านคือ ที่ท่านบอกว่าทุกคนนิพพานอยู่แล้ว...
    นิพพานแล้ว... แล้วท่านจะมาเกิดทำมัยอีกละครับ...
    ง่ายๆเลยครับ ท่านตอบมาตรงๆครับ ไม่ต้องใช้สำบัดสำนวนที่คนธรรมดาอย่างผมอ่านแล้วยิ่งงง ตอบมาชัดๆครับว่าทำมัย"คนที่นิพพานต้องมาเกิดอีก" แค่นั้นครับ
     
  2. mailgolf

    mailgolf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +306
    เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ย่อม มี
    เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
    เมื่อสิ่งนี้ ไม่มี สิ่งนี้ ย่อมไม่มี
    เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...................เอาตรงประเด็นเลย คุณ คิดว่า สิ่งที่เรียกว่า การ"ภาวนา" หรือการปฎิบัตินั้นไม่ถูกต้อง เช่น คำว่า ศิล สมาธิ ปัญญา คือไม่จำเป็นต้องเคร่งครัด หรือ ต้องปฎิบัติอะไร เช่น ฆ่าสัตว์ได้เมื่ออยากฆ่า กินเหล้าได้เมื่ออยากกิน โกหกได้ถ้าจำเป็น...ไม่ต้องพิจารณาธรรมอะไรเช่น คำว่า "สัมมัปธานสี่" ไม่จำเป็น......แล้วยังไงต่อ ผมไม่เข้าใจ?:cool:
     
  4. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    น่าจะจริงของเขานะ ....เด็ก ๆ นั้นจิตใจใสบริสุทธิ์ พอโตมา กิเลสก็โตมาพร้อมกัน

    อย่างนั้นเราเป็นผู้ใหญ่ กิเลสหนา ตัณหามาก จงพากันไปกราบ พระอรหันต์ที่เป็นเด็ก ๆ กัน

    เถิด ยิ่งเกิดใหม่ยิ่งดีเพราะนิพพานของเขาจะบริสุทธิ์มากกว่าเด็กที่โตแล้ว.......
     
  5. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในตลาดแห่งหนึ่งมีชายบ้าผู้หนึ่ง ชายบ้าผู้นี้มีความเชื่อว่า ตัวเขาเองเป็นพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่นมาอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อครั้งปฐม เขาวิ่งไปนู้นที่นั้นที่นี่ ในมือของเขาถือตะเกียงอันหนึ่ง และ แหกปากร้องไปว่า "จริงๆๆ นะคุณ ฉันคือพระพุทธเจ้า ฉันคือพระศรีอาริย์ คุณเองก็คือพระพุทธเจ้า คุณคือพระพุทธเจ้ากัสสปะ คุณคือพระพุทธเจ้าศากยมุนี เราทุกคนคือผู้ตื่นผู้เบิกบานอยู่แล้ว จริงๆๆนะคุณ"

    แต่ก็นั้นแหละ ผู้คนที่อยู่ในตลาดไม่มีผู้ใดเชื่อเรื่องนี้ ดังนั้นไม่ว่าชายบ้าจะร้องเร่ ไปมากเพียงใด สิ่งที่เขาได้รับก็คือเสียงหัวเราะ ชายบ้าเป็นเพียงตัวตลกในสายตาคนเหล่านั้น "ดูนั้นสิ ไอ้นี่มันบ้า ดูคำพูดที่มันพูดสิ ช่างเพี้ยนจริงๆๆ เฮ้ๆๆๆ พระพุทธเจ้า หรือ มันบอกว่าเราทุกคนเป็นพระพุทธเจ้า ช่างบ้าจริงๆๆ พระพุทธเจ้า..ดูมันคิดได้"

    บ้างก็ว่า "ไอ้นี่มันบ้า ใครๆๆก้รู้ว่าพระพุทธเจ้านะ เป็นชายคนหนึ่งที่ตรัสรู้แล้ว เป็นครูผู้คอยสอนคอยชี้ทาง นู้นมาสองพันกว่าปีแล้ว ไม่มีที่อื่นอีก เป็นผู้ซึ่งยืนอยู่บนจุดสุงสุดของการเกิดและตาย นู้นรูปเคารพท่านในวัด ดูมันสิมันบ้า อยากเป็นพระพุทธเจ้า "

    จากนั้นคนทั้งหลายก็เอาก้อนหิน ข้างไปยังชายบ้านั้นผู้นี้ และ แล้วชายบ้าผู้น่าสงสาร ผู้ซึ่งเจ็บปวดทุกข์ทน ก็วิ่งหนึไป เขาวิ่งหนีไปจนวิ่งเข้าไปยังวัดร้างแห่งหนึ่ง และ เบื้องหน้านั้นเอง ภาพที่เขาเห็นก็คือ พระพุทธรูปไม้เก่าๆๆ องค์หนึ่ง

    ทันใดนั้นเองบางสิ่ง บางอย่างก็เกิดขึ้นกับชายบ้าผู้นี่ เขากรีดร้องลั้น พร้อมโยนตะเกียงไฟไปยังพระพุทธรูปไม้เก่าๆนั้น และ แล้วไฟก็ลุกไหม้พระพุทธรูปนั้น

    ชายบ้ากรีดร้อง พร้อมน้ำตา เขากล่าวว่า "ฉันจะเผาท่าน ฉันจะเผาท่าน ฉันจะจัดงานศพให้พระองค์ พระพุทธเจ้า ฉันจะเผาร่างอันไร้วิญญาณ ที่ซึ่งคนทั้งหลายผู้มืดบอดได้ฆ่าท่าน อันที่จริงก็ไม่ได้มีแต่คนทั้งหลาย ดอกนะ ตัวฉันเองก็เป็นผู้มีส่วนในการฆาตกรรมท่านในครั้งนี้ด้วย "


    จบแล้วนะจ๊ะ หลานๆๆ กับนิทานวันนี้ นะจ๊ะ นะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2012
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ไอ้ที่มีอยู่แล้ว นะ เขาเรียกว่า อวิชชา ในจิต

    ต้องบอกว่า ทุกชีวิต อวิชชา กันอยู่แล้ว

    ทุกชีวิต ติดกิเลสกันงอมแงม อยู่แล้ว

    แต่ถ้าจะเอานิพพาน ต้องดับอวิชชาให้ได้ก่อน

    พวกที่ออกมาพูดปาวๆ รู้ว่า นิพพานเป็นอย่างไร หรือว่า ว่างเป็นอย่างไรนั้น เห็นกิเลสหนากันทุกคน

    ลองสำรวจตัวเองก่อนว่า กาม ราคะ โทสะ โมหะ ทุกข์ต่างๆ กิเลสตัวต่างๆ นั้นอยู่ครบไหม ถ้ายังอยู่ครบ ก็อย่าเพิ่งพูด ว่า รู้จักนิพพาน

    เพราะพระนิพพานจะปรากฎแจ้ง แก่ผู้สิ้นกิเลสตัณหาเท่านั้น
     
  7. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ลุง

    นิพพาน กับ อวิชา อย่างไหนสำคัญกว่ากัน
     
  8. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    บ๊ะ พ่อหนุ่ม แล้วถ้าไม่มีโคลนจักมีบัวไหมล่ะ อวิชชากับนิพพานก็เป็นเช่นนี้แล
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    เอ็งว่า ความโง่ ของคน กับ ความสุขของคน อย่างไหนสำคัญกว่ากันหละ
     
  10. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ไอ้เรื่องว่า ถ้าไม่มี อวิชชา และ จะไม่เจอนิพพาน แล้วไปอ้างความสำคัญของอวิชชา มันก็ไม่ถูกหรอก
    เหมือน คนบอกว่า ถ้าไม่มีขี้กลาก ก็ไม่มียาทา แล้วบอกว่า มันต้องมีขี้กลากสิ มันจึงจะมียาทา
    แล้วบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ฉันว่า ขี้กลากสำคัญนะ
     
  11. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    นาน และ นาน-น๊าน-นาน

    จริงอยูที่ว่า ทุกชีวิต...นิพพานกันอยู่แล้ว (มีความเป็นพุทธะซ่อนอยู่ภายใน)

    เพราะธรรมชาติ ของ สัตว์ ย่อมเลือก สิ่งที่ดีที่สุดให้กับตน(คือพุทธะปัญญา) แล้ว นำมากำจัด กิเลส-ตัณหา ที่อยู่ภายในตน ทำลายมันเสียให้สิ้นซาก
    เพียงแต่ว่า ช้า กับ เร็ว

    คือขึ้นอยู่กับความเพียรในปัจจุบันด้วย (การเพาะบ่ม ให้ความเป็นพุทธะ เติบโตขึ้น เติบโตขึ้น)
    เพียรน้อย ก็ ช้า
    เพียรมาก ก็ เร็ว
    เพียรผิด ก็ หลงทาง..เลย
    ยิ่งเพียรผิดมาก ยิ่งหลงทางมาก

    เร็วที่สุดก็ ๑วัน ๒วัน...๑๐ปี ๒๐ปี...๑๐๐ปี ๒๐๐ปี
    ช้าก็ ๑พันล้านปี ๒พันล้านปี หรือ ซัก...๑พันล้านอสงไขย ๒พันล้านอสงไขย

    ก็เลือกเอานะ จะทุกข์นาน หรือ ทุกข์นานๆ หรือ ทุกข์นาน..น๊าน..นาน หรือ จะทุกข์โคตรนาน..เลยว่ะ

    เลือกที่จะเพียรแบบไหน ก็เลือกเอา


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2012
  12. theerasp

    theerasp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +36
    สาธุ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จ้า ครูทั้งหลาย ใจฟู หลงอีกแย้ว
     
  13. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวิหารแห่งเทพ บุ๊ดด้าร์ บาทหลวงชราผู้เฝ้าวิหาร กำลังปฏิบัติศาสนากิจอยู่ด้วยความเพียรอย่างยิ่ง

    "เขาร่ำร้อง โอ้ๆๆๆ ท่านมหาเทพ พระองค์ผู้สถิตย์อยู่ในสรรพสิ่ง พระองค์ผู้ดำรงอยู่มาแต่ครั้งปฐม ผู้ซึ่งเป็นนิรันดร์ ข้าคือทาสรับใช้ของพระองค์ พระองค์ผู้เป็นแสงนำทาง ผู้ซึ้งข้าพระองค์หวังที่จะพบ ขอพระองค์จงเปิดประตูแก่ข้าน้อยด้วยเถิด"

    วันแล้ววันเล่า บาทหลวงชรา ยังเฝ้าร่ำร้องถึงบุ๊ดด้าร์ และ รอคอย เขาทำทุกอย่างตรามคัมภีร์ตามที่ได้ถูกสอนตามที่ ถูกปลูกฝังมา เขาเชื่อว่า สิ่งนี้คือหนทางไปหามหาเทพ ในสักวันหนึ่ง มหาเทพผู้ซึ่งตนเองไม่เคยพบ แต่เชื่อว่ามีอยู่ เชื่อว่า ในอนาคตสักวันตนนั้นจะได้พบ สักวันหนึ่งในอนาคต
    แต่อนิจจา เขาไม่รู้หรือว่า อนาคตนั้นไม่เคยมีอยู่จริง ความคิดที่ผูกกับอนาคตคือยาพิษ มันขวางไม่ให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงตัวเองได้แบบฉับพลัน เป็นข้ออ้างของคนผู้ซึ่งต้องการหนีจากตัวเอง

    และแล้วภายใต้ความสิ้นหวังนั้น บาทหลวงผู้น่าสงสาร ก็แห้งเหี่ยวตายไปพร้อมความเชื่อนั้น

    นะจ๊ะ นะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2012
  14. theerasp

    theerasp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +36
    แล้ว วิธีแก้ของ บาทหลวงจะทำอย่าไงละปู่
     
  15. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    มาป่านนี้แล้ว...ยังไม่มีผู้กล้าเข้ามาเลย
     
  16. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    จะเฉไฉไปไหนล่ะท่านทั้งหลาย
    ผมบอกว่า...พากันมาเยอะๆ...มาช่วยกันอธิบายพระสูตรที่ผมโพสต์
    ถ้าไม่ตรงกับที่คุณท่านๆปฏิบัติกันมา...แสดงว่าพระพุทธเจ้ากล่าวผิด
    หรือว่า...ที่ไม่ตรงกับที่คุณท่านๆปฏิบัติกันมา...เพราะท่านไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า
    ธรรมชาติแห่งการไม่ปรุงแต่ง ธรรมชาติแห่งการไม่มีตัวตน สัพเพ ธัมมา อนัตตา งัยล่ะท่าน...
     
  17. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    เอ็งถามหาวิธี หรือ แสดงว่าเอ็งมิเข้าใจในนิทานที่ลุงเล่าให้ฟังเลยล่ะ สิหลานรัก เอ็งเห็นอะไรไหม? ทำอย่างไร? ทำอย่างไร? นี่แหละมนุษย์ล่ะ

    ฉันรู้ดีว่าความทุกข์ ความสับสนอยู่ที่นั้น ฉันรู้ว่าความตายอันเป็นจุดสิ้นสุดของความเป็นฉันอยู่ที่นั้น ฉันรู้ว่าความโกรธอยู่ที่นั้น แต่...ได้โปรด บอกฉันด้วยว่า ฉันจะจัดการมันอย่างไร? โปรดบอกฉันด้วยว่า ฉันจะไม่โกรธ ไม่โลภ จะมีปัญญา และ ความกรุณาได้อย่างไร?

    เห็นไหม? คำถามว่าอย่างไร? นี่แหละที่ทำให้มนุษย์ พลาดเป้าล่ะ พ่อหนุ่ม มนุษย์คิดในลักษณะ ของเวลา กล่าวก็คือมนุษย์ ต้องการเวลา เพื่อให้บรรลุผลบางประการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่จะเป็นอะไรบางอย่าง?

    อะไรบางอย่างที่ดำรงอยู่ในอนาคตกาล แต่คำถามคืออนาคตมีอยู่จริง?หรือ หรือมีแต่เพียงในความคิดของมนุษย์ เมื่อเวลาเลื่อนไหลไป เวลา ณ ตรงนี้ก็กลายเป็นอดีต เวลาที่เคยเป็นอนาคตก็กลายเป็นปัจจุบันนี้ แล้วอนาคตจักมีอยู่ได้อย่างไร?

    มันมีอยู่ แต่ในความคิดเท่านั้น นักการเมืองพูดว่า จงเชื่อฉัน แล้วฉันจะมอบสังคมในอุดมคติให้กับคุณ พระพูดว่าจงทำตามที่ฉันบอกแล้วเธอจะได้ สวรรค์ ไม่ตกนรก เหอๆๆๆๆ หลานชายเหล่านี้ คือยาพิษ เห็นไหม? มันกีกกันมนุษย์ ไม่ให้ เปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทั้งๆๆที่เขามีศักยภาพ

    แต่คนทั้งหลายก็ชอบแบบนี้ ชอบฝันกลางวัน ชอบสิ่งที่เลือนลอย สิ่งนี้ช่างดูสอดคล้องกับประสบการณ์ เราต้องใช้เวลาเพื่อนั้งรถจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ เราต้องใช้เวลาเพื่อจะสร้างบ้านเรือนหลังใหญ่ เห็นไหม?

    แต่ในด้านของจิตใจ เราต้องใช้เวลาที่จะไม่โกรธ ไม่โลภ จะมีปัญญา มีความกรุณา มีอิสรภาพจริงๆๆหรือ? เคยมีใครถามบ้างไหม? เพื่อจะเป็นมนุษย์ที่แท้เราจำเป็นต้องใช้เวลา จริงๆๆหรือ หรือมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้แบบทันทีทันใดและเวลาเป็นเพียงมายาภาพ


    ดูสิ นี่เวลาผ่านมาหลายหมื่นปี ตั้งแต่มนุษย์คนแรกอุบัติขึ้นมา และเผ่าพันธ์ของเราก็ได้สร้างผลกระบทต่อโลก แบบไม่มีใครเคยทำได้ แต่ในด้านของจิตใจแล้ว มนุษย์หาได้เปลี่ยนแปลงไหม?

    คนในยุคนั้นหรือยุคนี้ ยังคงมีความทุกข์ ยังคงมีความเกลียดชัง โลภ ยังปราศจากอิสรภาพ ทั้งๆๆที่เราก็ดูจะฉลาดขึ้น สมองใหญ่ขึ้น มีความรู้มากขึ้น อรรยธรรมเจริญขึ้น แต่มันเพราะอะไร? หรือบางทีมันไม่เกี่ยวกับเวลาหรอก มันไม่เคยเกี่ยวหรือมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่แรก

    มนุษยชอบที่จักผลักภาระ ดังนั้นเขาจึ่งมักรู้สึกสบายใจที่จะ คิดในลักษณะเวลา ทั้งนี้ก็เพื่อหนีความจริง ทั้งนี้เพราะเมื่อมนุษย์เกิดความคิดว่าตนขาดหายอะไรบางอย่าง เขาก็เลือกที่จะมองไปยังสิ่งตรงข้าง ถ้าเขารู้สึกว่าเขาขี้เหนียว เขาก็จะหันไปหาทางพิสูตรตัวว่าตนเองใจกว้างชอบทำทาน ตนเป็นคนที่รักการแบ่งปัน ไม่ใช่ขี้เหนียว เมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โกรธ เขาก็จะแสวงหาวิธีการเพื่อจักดการความโกรธนั้น วิธีการเพื่อนำพาไปสู่ความไม่โกรธ เห็นไหม? นี่แหละมนุษย์ มนุษย์กลัวเกินกว่าที่จะยอมรับความจริงในสิ่งที่ตัวเองเป็น ดังนั้นเขาจึ่งอาศัยสิ่งเหล่านี้เพื่อหนีจากโลกแห่งความจริง ปลอบโยนตัวเอง

    แต่มนุษย์จะหนีความจริงไปได้นานเท่าไหร่ล่ะ หรืออันที่จริงแล้ววิธีแก้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ การกระทำอะไรทั้งนั้น นอกจากยอมรับความจริง เผชิญหน้า กับมัน



    อันที่จริงปัญหา ทั้งมวลของมนุษย์นั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่ความคิด ของตัวเขา ความคิดต้องการเวลา เพื่อสะสมข้อมูล ประสบการณ์ และสิ่งนี้นำไปสู่อัตลักษณ์ของความเป็นฉัน ฉันที่ต้องการสืบต่อ ต้องการเวลา เพื่อสั่งสมประสบการณ์ เพื่อให้บรรลุถึงประสบการณ์บางอย่างที่ต้องการ สิ่งนี้ก่อให้เกิดความต้องการการสืบต่อของจิตสำนึกความเป็นตัวตนนั้น สิ่งนี้แล ที่นำไปสุ่ความต้องการที่จะเป็นอะไรสักอย่าง ได้อะไรมาสักอย่างเพื่อเติมเต็ม ทั้งนี้เพราะความเป็นฉันจะดำรงอยู่ได้ก็โดยการสืบเนื่องของเวลา


    พรุ่งนี้ฉันจะดีขึ้น เพราะฉันคิดว่าตัวฉันนั้นจะดำรงอยู่จนถึงวันพรุ่งนี้ เดี๋ยวฉันจะไปผับ ฉันจะทำนี่ในลำดับต่อไป เห็นอะไรไหม? นี่แลเป็นผลของความต้องการจะสืบต่อความเป็นฉันทั้งนั้น ลองสังเกตุความคิดของตัวเองดูสิ ลองสังเกตุดูสิว่ามีตัวฉันผู้ซึ่งเป็นคนไม่ดีพอที่ต้องการที่จะดีกว่านี้ จริงๆๆหรือเปล่า? มีฉันผู้รู้สึกว่าตัวเองทุกข์และต้องการอิสรภาพจริงๆๆหรือเปล่า ลองสังเกตุดู สิ่งที่เป็นจริง โดยปราศจากข้อสรุปทางความคิด หรือทฤษฏี เอ็งอาจจะบอกว่ามันไม่มีหรอก ก็อนัตตาไง ไร้ตัวตน พระพุทธเจ้าบอกไว้ เห็นไหม? เอ็งไม่ได้สนใจที่ปัญหาเลยเอ็งสนใจที่คำตอบเสียแล้ว แต่คำตอบนี้ใช้ได้จริงๆๆหรือ เอ็งเข้าใจมันจริงๆๆหรือ? นั้นแลคือประเด็น


    ที่นี้จิตสำนึกของความเป็นฉันจะจบลงได้ไหม? หรือความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวกูจะสิ้นสุดลงได้ไหม? สิ้นสุดลงแบบฉับพลัน และ เป็นไปเอง อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องอาศัยวิธีการใดๆๆเลย นี่แลคือประเด็นล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2012
  18. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    จะมีประโยชน์อะไรเล่า ที่จักอธิบาย เลิกเสียทีเถอะนะจ๊ะ การอธิบายถ้อยคำของคนอื่น จากนี่คือสิ่งที่เขาพูด นี่คือสิ่งที่เขาสอน นี่คือสิ่งที่ข้าได้อ่านมา

    มาเป็นนี่คือสิ่งที่ข้าพบ แลนี่คือสิ่งที่ข้าเห็น และ ประจักษ์ด้วยตัวของข้าเอง ด้วยประสบการณ์จักดีกว่านี้นะจ๊ะ พ่อหนุ่มมือสอง
     
  19. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คุณนึกคิดไปเอง ด้นเดาไปเองทั้งนั้นแหละ
     
  20. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    น่าจะใช่นะ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ผมคิดไปเอง
    คุณกำลังจะหมายความว่า...พระพุทธองค์ก็คิดไปเอง
    ธรรมที่ตรงๆ หลุดพ้นกันง่ายๆ พระพุทธองค์ก็ทรงกล่าวไว้
    ไม่เห็นว่า...จะมีการนั่งสมาธิ...หรือตามดูตามรู้เลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...