ทำไมนิพพานจึงเป็นสูญในสองความหมาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย phattanasak, 18 พฤศจิกายน 2009.

  1. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,651
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,019
    เอาจริงๆ สมัยก่อนผมก็คิดว่านิพพานคือเวลาเราตัดได้ทุกอย่างเเล้ว จิตเราดับไปคือไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปเเล้ว เเต่จริงๆเเล้ว หลังจากที่ผมศึกษาธรรมะมาอย่างจริงจัง นิพพานคือดินเเดนเเห่งหนึ่งสําหรับคนที่ตัดกิเลส ไม่ยึดติดในรูป รส กลิ่น เสียง หรืออะไรต่างๆอีกเเล้วอยู่กันครับ นิพพานเป็นดินเเดนหนึ่งครับ ไม่ใช่ตายเเล้วดับสูญไปเหมือนนอนหลับครับ คนที่ไปอยู่นิพพานได้คือพระอริยเจ้าหรือพระอรหันต์เเละผู้ที่ตัดทุกอย่างได้หมดเเล้วจนไม่เหลือกิเลสอะไรอีกต่อไปครับ เเละก็ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเเล้ว เจริญในธรรมครับ ถ้าผิดก็ขออภัยมาในที่นี้นะครับ เเต่ผมศึกษาอย่างถ้วนถี่เเล้ว คําตอบคืออันนี้จริงๆ
     
  2. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262
    เอาละ..พอหอมปากหอมคอ

    มาเข้ากระทู้ดีกว่า..เน้าะ

    ปริยัติ..ที่เข้าใจว่า..ดับสูญ..รวมถึงดวงจิต..

    ดวงจิตตัวนี้น่าจะหมายถึง..อาการการเกิด-ดับของ..ขันธ์ 5 มี เวทนา(ความรู้สึก ชอบ..ไม่ชอบ..เฉย ๆแบบงง ๆ ) สัญญา (ความจำได้) สังขาร (ความคิด)..วิญญาณ (การรับรู้ทางสฬายาตนะ)

    คนละความหมาย..กับ..จิต..ที่ปราศจากอวิชชา..ตัวหลง..ที่ทำให้คิดว่า..หากมีนั้นมีนี้แล้ว(ทั้งที่เป็นสังขารวัตถุ..และ นามธรรม)..จะดีมีความสุข

    จิตที่มีอวิชชานี้..ไปยึดสังขารวัตถุ..จึงทุกข์..เพราะของเหล่านี้มัน..ทุกขัง..อนิจจัง..ที่สุดก็..อนัตตา..ทุกข์เพราะไม่สมปรารถณา

    กระบวนการทำงานของขันธ์ 5 เกิดเพราะจิตอวิชชา..มีความปรารถณาจะรักษาสังขารวัตถุ..คือรูปที่หลงคิดว่าเป็นเรา..เสมือนโปรแกรมอัตโนมัติที่บรรจุใว้ในหุ่นยนต์เพื่อรักษาหุ่นยนต์ให้อยู่รอดปลอดภัย..

    ตัวอย่างเช่น..ถ้าไม่ดี..ต่อรูป..ก็..ผลักออก..หนีให้ห่าง..( มีสฬายาตนะรับรู้เหตุการณ์ภายนอก..มีสัญญาจำได้ว่าไม่ดี..มีเวทนาคือทุกขเวทนาเกิด..สังขารความคิดปรุง..วิภาวตันหาคือความไม่อยากมีสิ่งนั้นเกิด..จึงหนีจากสิ่งที่ไม่ชอบใจนั้นเสีย)

    เพราะคิดว่า..ลาภ..ยศ..สรรเสริญ..จะช่วยรักษารูปกายนี้ได้..จึงเป็นบ้า..หามาให้จงได้..เมื่อไม่ได้มา..ซึ่ง ลาภ..ยศ..สรรเสริญ หรือเสื่อมไป..ก็โกรธ..ก็ทุกข์

    ที่ทำไปทั้งหมดเพราะจะรักษารูปที่หลงคิดว่าเป็นเรา..นี้เอง

    เอ้าว..ลองคิดดูซิ..มีอะไรบ้าง..ที่อยากมีแล้วไม่ได้มีใว้เพื่อรูปกายนี้..หาดูซิ

    อาจจะเถียงว่า..ก็ลูกงัย..มีก็ว่าเพราะรักเด็ก..งั้นเวลาลูกเกเร..ก็อย่าไปบนไปด่ามันซิ..ที่ไปบ่นไปด่าลูกก็เพราะอยากให้ลูกได้ดี..จะได้ไม่มาทุกข์กายทุกข์ใจ(เรา)..มิใช่หรือ

    เพื่อให้เข้าใจจริง ๆ ว่า..รูปกายนี้ไม่ใช่เรา..ก็ให้รู้เท่าทันขันธ์ 5 พิจารณาขันธ์ 5 เป็นของว่าง..มีแต่ของที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป..เมื่อไม่ปรุงต่อ..กิเลสจึงไม่มี..จึงเรียกว่าสูญ..

    นิพพานจึงได้ชื่อว่า..สูญจากกิเลสทั้งปวง..

    เมื่อรู้เท่าทันขันธ์ 5..หากยังมีชีวิตอยู่..ก็อยู่กับขันธ์ 5 ได้แบบรู้เท่าทัน..ไม่ทุกข์..

    ฉะนั้น..นิพพาน..ทั้งปริยัติ..และการปฏิบัติ..ย่อมมีที่สุดคือ..ปฏิเวช..เป็นผลอย่างเดียวกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2009
  3. นภันต์ธรรม

    นภันต์ธรรม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    สาธุ สาธุ

    ได้ความรู้เพิ่มมากเลยต้องมาบ่อยๆแล้ว ขอบคุณทุกท่านมาก
     
  4. phattanasak

    phattanasak สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +5
    เห็นด้วย อย่างยิ่ง เลยครับบบ
    จะว่าไปแล้วก้อไม่ได้มีแต่พระพุทธองค์หรอกนะครับที่สอนเรื่องนี้
    บรรดาสาวกของท่านก้อเคยพาไปทัวร์กันมาแล้วด้วย
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** นิพพาน ****

    เป็นเหมือนดินแดน เหมือนอาณาจักร...
    ผู้ที่ไม่เอาดี ไม่เอาชั่ว ไม่ติดดี ไม่ติดชั่ว
    หมดสิ้นนิสัยสันดานทุกอย่างที่ทำให้เกิดอารมณ์
    เห็นอะไรก็ไม่เกิดอารมณ์ คือบรรลุอรหันต์
    เมื่อตายไปละสังขารไป ก็ไม่มีแรงอะไรดึงดูดยึดเหนี่ยวไว้กับโลกอีก
    จึงสามารถออกไปนอกโลกได้ ไม่ต้องกลับมาเกิดบนโลกอีก
    นิพพาน คือที่สุด คือเข้าถึงที่สุด
    จะไปนิพพานได้ จึงต้องตัดลดนิสัยให้หมดสิ้น
    นิสัยก็คือตัวที่ทำให้เกิดอารมณ์
    อารมณ์ คือตัวที่คอยสร้างการกระทำ ที่ซ้ำซาก ที่ไม่รู้จักจบสิ้น....

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** ทำดีหวังเอาดี ก็ไม่พ้นทุกข์ ****

    ถ้าเราตั้งใจทำดี เพราะหวังเอาดี...
    ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ....เพื่อกลับมาเอาดี
    ยังไม่ใช่หนทางหลุดพ้นทุกข์ไปนิพพาน...เพราะ เรายังไม่ได้ตัดนิสัยที่มันคอยแต่จะเอาดี
    ตัวกระทำ จากการทำดีเพราะหวังเอาดี....มันไม่ตาย
    เมื่อเราตายไปแล้ว...ตัวกระทำนี้ จึงจัดสรรให้มาเกิดเอาดีบนโลกอีกครั้ง
    เมื่อเกิดใหม่....ก็มีนิสัยเอาดีติดตัวมาตั้งแต่เกิด

    แต่ พระโคดมหลุดพ้นทุกข์ได้...เพราะ ไม่เอาทั้งดี ไม่เอาทั้งชั่ว
    คือ ตัดนิสัยทุกอย่างจนหมดสิ้น ไม่หวังอะไรบนโลกนี้อีกแล้ว
    ชาวพุทธเรา จำนวนมากที่ยังไม่หลุดพ้นทุกข์ เพราะยังมีนิสัยเอาดี
    จะหลุดพ้นไปนิพพานได้ ต้องไม่เอาทั้งดีทั้งชั่ว

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** พิจารณาค้นหาตัวกระทำ ****

    เรื่อง กรรมตามสนอง...ชาวพุทธเราก็ศึกษากันบ่อยๆ
    อย่างผู้ที่ฆ่าคนอื่นตาย สักวันเขาต้องได้รับกรรมตามสนอง จริงไหม ????
    ถามว่า....ตอนกรรมยังไม่ได้สนอง แล้วมันอยู่ที่ไหน ???
    แสดงว่า...สิ่งที่ทำไป มันต้องเกิดเป็นตัวตนใช่ไหม????
    แล้วตัวตนนี้ มันยังคงตามติดตัวเราไปใช่ไหม???
    ขนาดคนทำตายแล้ว มันยังตามไปได้อีกใช่ไหม ????
    แสดงว่า...ตัวตนนี้ มันส่งผลตอบแทนใช่ไหม???

    พระพุทธเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า...
    "ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน"

    นี้คือ สัจจะธรรม คือ ธรรมเที่ยง ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ
    ทุกย่างก้าวของพระโคดม ...จึงต้องพิจารณา
    ไม่ให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน ทั้งทางตรง และทางอ้อม
    ไม่ให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อน ทั้งเจตนา และไม่เจตนา

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    ถ้าเรายังมี นิสัยมุ่งเอาความว่าง
    ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ เพื่อมาเอาความว่างอีก
    ต่างจากพระโคดม ที่ไม่หวังอะไรอีกแล้วบนโลกนี้อีก คือ ตัดลดนิสัยจนหมดสิ้น

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    นิพพานเป็นเหมือนสภาวะที่สิ้นเหตุปัจจัย ไร้ภาชนะที่จะรองรับปฏิกริยาที่จะปรุงแต่งใหม่
    เป็นสิ่งที่อิงความศูนยตา(ความว่าง) แต่ไม่ใช่นิรัตตา(ความไม่มีตัวตน/สลาย)
    เป็นสิ่งที่คิดให้ตายถ้าไม่ถึงก็ยังไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง
    ปัจจเวกขณญาณ มีคำตอบ - - ชาตินี้ผมจะได้คำตอบมั้ยเนี่ย T_T
     
  10. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    เห็นพูดแต่นิพพานต่างนาๆแต่เอาเข้าจริงก็ยังไม่มีใครเคยสัมผัสกับมัน นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับตาบอดแต่บรรยายว่าสีแดงต่างจากสีเขียวอย่างไร
    คนเขียนคัมภีร์เคยนิพพานหรือคำตอบคือยังไม่เคย

    เพราะถ้าเคยเขาคงไม่สามารถมานั่งเขียนคัมภีร์ได้


    พระพุทธเจ้านิพพานเมื่อพระองค์ทรงจากไป มิใช่ยังอยู่บนโลกใบนี้ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าม้าที่สวยงามแต่มีขาเดียวเหล่านี้เป็นเช่นไร?
     
  11. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    พระธรรมโกศาจารย์" ชี้พุทธศาสนา-วิทยาศาสตร์ขัดกันเพราะไม่ได้มุ่งหวังปัญญา พาสู่ความงมงาย ส่วนหนังสือที่พยายามเชื่อมโยงพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ โดยดึงไอนสไตน์มาช่วยทำให้ “ขายดี” ทั้งที่ข้อมูลผิดพลาด(ทั้งทางพระพุทธสาสนาและทางวิทยาศาสตร์) "ท่าน ว.วชิรเมธี" ชี้เหตุคนไทยอ่อนทั้งพุทธและวิทย์ ระบุศาสนาและวิทยาศาสตร์มาจากพิมพ์เดียวกัน ต่างต้องช่วยสร้างวัฒนธรรมแห่งปัญญา แก้ปัญหาดับทุกข์

    ประชุมเสวนา “พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ สร้างสรรค์วัฒนธรรมแห่งปัญญา” ขึ้นเมื่อวันที่ 13 พ.ย.52 ณ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยความร่วมกับสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สวทน.) และหน่วยงานอีก 10 หน่วยงาน

    พระธรรมโกศาจารย์กล่าวว่า ความสนใจในการเชื่อมโยงพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์นั้น เป็นปลายคลื่นที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อกว่า 20 ปี ก่อนที่มีนักควอนตัมได้เข้าไปศึกษาพุทธศาสนาและพบแนวความคิดทางปรัชญาวิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องกับหลักการทางฟิสิกส์ควอนตัม ส่วนเมืองไทยเพิ่งมาพูดกันไม่นานนี้

    ทั้งนี้พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ ต่างก็มุ่งแสวงหาความจริง เสมือนหาตาน้ำซึ่งหากขุดจนพบที่สุดก็จะบรรจบกัน แต่ที่ขัดกันเพราะเราไม่ได้มุ่งหวัง “ปัญญา” ซึ่งเราอาจงมงายในวิทยาศาสตร์ได้ หากเราไม่แสวงหาปัญญา เมื่อวิทยาศาสตร์ว่าอย่างไรก็ว่าตาม

    ด้านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวว่าวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนานั้นแทบจะมีพิมพ์เดียวกัน เริ่มจากเจ้าชายสิทธัตถะได้สังเกตเห็นปรากฏารณ์ธรรมชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วเกิดคำถามว่าทำไม เช่นเดียวกับไอแซค นิวตัน เห็นลูกแอปเปิลหล่น (ไม่ต้องสนใจว่าแอปเปิลหล่นใส่หัวจริงหรือไม่) แล้วตั้งคำถามว่าทำไมไม่ลอยสู่ท้องฟ้า แต่หล่นสู่พื้นดินเสมอไป

    “พุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ ต่างใช้ท่าทีทางปัญญาเหล่านี้ต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว ทำให้เห็นความจริงของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าค้นพบความจริงแล้วนำมาดับทุกข์ ส่วนวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบความจริงแล้วมาประยุกต์เป็นเทคโนโลยีเพื่อดับทุกข์ แต่บางกรณีดับหมด บางกรณีทำให้เกิดทุกข์ใหม่” ท่าน ว.วชิรเมธีกล่าว

    ท่าน ว.วชิรเมธีกล่าวว่า ทั้งพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ต่างเริ่มต้นด้วยท่าทีของปัญญา ศรัทธาในธรรมชาติและมุ่งมั่นดับทุกข์ แต่ต่างกันที่พุทธศาสนาจะคำนึงถึงคุณค่าทางจริยธรรมเสมอ แล้ววิทยาศาสตร์คำนึงถึงเรื่องนี้หรือไม่ ขณะที่ปัญญาของวิทยาศาสตร์ติดอยู่ที่โลกียะ แต่ปัญญาในทางพุทธศาสนา เลยปัญญาจากห้องปฏิบัติการ และเป็นปัญญาที่ไม่เคยทำร้ายใคร

    อย่างไรก็ดี สำหรับหนังสือที่พยายามอธิบายพระพุทธศาสนาด้วยวิทยาศาสตร์ และเป็นหนังสือขายดี แต่พบว่าเต็มไปด้วยการอ้างอิงที่ผิดพลาด เพราะความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับทฤษฏีวิทยาศาสตร์ (คนเขียนมั่วทฤษฏีมานั้นเอง)
    แล้วทำไมจึงขายดี นั่นก็แสดงว่าชาวพุทธไทยนั้นอ่อนทั้งพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ หรือบางทีอาจไม่มั่นใจในพุทธศาสนาด้วยหรือไม่ จึงต้องนำไอน์สไตน์มาร่วมด้วยเพื่อให้ดูยิ่งใหญ่ผแต่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าไอสน์ไตน์ค้นพบอะไร)

    “ถ้าชาวพุทธพูดถึงพุทธศาสนาในท่าทีที่ต่ำต้อย จนต้องหยิบวิทยาศาสตร์มาร่วมด้วย แสดงว่าเราไม่เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา” ท่าน ว.วชิรเมธีกล่าว แล้วบอกว่า การที่หนังสือดังกล่าวขายดีนั้นจะเป็นการสั่งสมความรู้ที่ผิดๆ ให้สังคมไทย ซึ่งผู้ที่จะอธิบายพุทธศาสนาด้วยวิทยาศาสตร์นั้นต้องเป็น “กูรู” ในทั้งสองด้าน(ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลยทั้ง2อย่างแล้วมาเขียนถึง)
    พร้อมกันนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี ได้สรุปว่า ทั้งวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนานั้นต้องสร้างวัฒนธรรมแห่งปัญญา 4 อย่าง คือ 1.ปัญญาที่เป็นสากล 2.ปัญญาที่เราต้องการคือปัญญาที่ทำให้เราเข้าถึงการเป็นมนุษย์ที่เป็นจริงเป็นสากล

    “เวลานี้โลกมีปัญหามาก เพราะมนุษย์ตะวันตกก็เหยียดมนุษย์เอเชีย มนุษย์เอเชียก็เหยียดมนุษย์ในประเทศที่ด้อยกว่า ทำอย่างไรจึงจะสร้างปัญญา ทะลุกรอบคิดทั้งหมดแล้วมองว่าคนทั้งโลกเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเรา ไม่แบ่งมนุษย์ผิวเหลือง ผิวขาว ผิวดำ ก้าวข้ามสมมติไปเป็นเห็นมนุษย์เป็นมนุษย์ทั้งหมด” ท่าน ว.วชิรเมธีกล่าว

    3.ปัญญาที่สร้างความรักสากล ที่เห็นว่ามนุษย์ทั้งหลายอยู่ในกฎธรรมชาติเดียวกัน สถานะเดียวกัน มีเกิด แก่ เจ็บตาย และ 4.พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ต้องช่วยกันทำให้มนุษย์สร้างสรรค์สันติภาพสากล เพราะสันติภาพในทุกวันนี้เป็นเพียงสันติภาพที่มีแค่ชั่วคราว เพื่อรอสงครามที่จะเกิดขึ้นใหม่ หลังสิ้นสุดสุดสงครามโลกก็เกิดสงครามเย็น หลังจบสงครามเย็นก็เกิดสงครามเศรษฐกิจ ดังนั้นทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงสันติภาพสากล
     
  12. TKKH

    TKKH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +554
    ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ "นิพพาน" คือความดับสนิทแห่งเหตุปัจจัยนั้น
    คำว่า "ดับขันธ์ปรินิพพาน" ขันธ์ ก็ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ผมยังไม่เคยเห็นคำอธิบายในอรรถหรือในธรรมข้อใด ที่บอกว่า "ดับแค่ 4 ขันธ์ 3 ขันธ์ 2 ขันธ์ หรือ 1 ขันธ์" ครับ
    ความสงสัยที่ผู้ตั้งกระทู้ถาม ผมเองก็เห็นอย่างนั้นเหมือนกันครับ คือพระสายปฏิบัติท่าน ไปเห็นพระพุทธเจ้าท่านยังอยู่(คือหลังจากปรินิพพานแล้วยังเกิดมีเกิดเป็นขึ้นมาได้อีก) ก็ไม่รู้ว่าเป็นสัมมาสมาธิหรือไม่ หรือสำคัญว่าตัวเองได้บรรลุแล้วจริงๆ ถ้าสำคัญผิดจริงๆก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ใช่หรือมีเจตนาอื่นก็เข้าขั้น "อวดอุตตริมนุสสธรรม" ต้องอาบัติปาราชิก เพราะแม้แต่พระอรหันต์สาวกเบื้องซ้ายที่พระพุทธเจ้าท่านรับรองอย่างพระโมคคัลลานะ ท่านก็ยังมีสมาธิที่ไม่บริสุทธิ์ได้อยู่
    ดังปรากฏความใน พระไตรปิฎก วินัยปิฎก มหาวิภัง ความว่า

    [๒๙๘] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าวว่า ดูกรอาวุโส
    ทั้งหลาย เราเข้าอาเนญชสมาธิใกล้ฝั่งแม่น้ำสัปปินิกา ณ ตำบลนี้ ได้ยินเสียงโขลงช้างลงน้ำ
    เวลาขึ้นจากน้ำเปล่งเสียงดังดุจนกกระเรียน
    ภิกษุทั้งหลายพากัน เพ่งโทษ ติเตียน โพทะนาว่า ไฉนท่านพระมหาโมคคัลลานะ
    จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เราเข้าอาเนญชสมาธิใกล้ฝั่งแม่น้ำสัปปินิกา ณ ตำบลนี้
    ได้ยินเสียงโขลงช้างลงน้ำ เวลาขึ้นจากน้ำเปล่งเสียงดังดุจนกกระเรียน ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
    กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธินั้นมีอยู่ แต่ไม่บริสุทธิ์ โมคคัลลานะพูดจริง โมคคัลลานะ ไม่ต้องอาบัติ.

    [๒๘๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอวดอ้างคุณวิเศษด้วยสำคัญว่าได้บรรลุแล้วมี
    ความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ
    จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ไม่ต้องอาบัติเพราะสำคัญว่าได้บรรลุ.

    เป็นเรื่องที่ต้องพึงระวังอย่างยิ่ง ในเรื่องของสมาธิที่ไม่บริสุทธิ์ หรือมิจฉาสมาธิ เพราะอาจจะเกิดนิมิตที่ไม่ใช่ของจริงได้ เพราะถ้าหากพระพุทธเจ้ายังอยู่ พระอรหันต์ทั้งหลายที่ปรินิพพานไปแล้วยังอยู่ ก็แสดงว่าความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่มีจริง แสดงว่า "อมตะ" คือชีวิตที่มีสภาวะอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ก็มีอยู่จริงเหมือนอย่างที่ศาสนาพราหมณ์(ฮินดู)เขาว่า ถ้าจะบอกว่าไม่ใช่การมาไม่ใช่การไปหรือไม่ใช่การเกิดมีขึ้นมาอีกก็ไม่ใช่ เพราะว่ายังเห็นกันได้อยู่ บางท่านบอกว่าเดินผ่านไป เหาะไป ลอยไป นั่นแสดงว่าที่บางสำนักบอกว่ามีแดนนิพพานหรืออายตนะนิพพาน ก็เป็นจริง หรือ พระพุทธเจ้าที่เรียกชื่อกันว่า "พระนิพพาน" ที่ยังอยู่ในอายตนะนิพพานก็มีจริง แม่ชีท่านก็ขึ้นไปถวายข้าวทิพย์พระพุทธเจ้าได้จริง...แต่ผมสงสัยว่าถ้าพระพุทธเจ้าท่านยังมีอยู่จริงยังเจอตัวได้จริง แล้วทำไมพระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงรับรองอย่าง พระมหากัสสป จึงไม่ไปถามพระพุทธเจ้าล่ะว่า "สิกขาบทเล็กน้อยข้อไหน ที่ภิกษุต้องการ ให้ตัดออกไปเสียบ้างก็ได้" ที่ท่านตรัสกับพระอานนท์ก่อนจะปรินิพพาน ในมหาปรินิพพานสูตร นั้นมีข้อไหนบ้าง ถ้าถามได้ตั้งแต่ตอนทำสังคยานาครั้งที่ 1 ศาสนาพุทธก็คงไม่แตกแยกออกเป็น 200 กว่านิกายเหมือนอย่างทุกวันนี้....ฝากไว้ให้พิจารณาครับ

    ส่วนที่พระสายปริยัติท่านเห็นว่านิพพานคือ "ความดับแห่งขันธ์" ไม่เกิดมีเกิดเป็นขึ้นมาได้อีกไม่ว่าจะในสภาวะใดๆก็ตามนั้น ก็เพราะมีหลักฐานในอรรถในธรรมจำนวนมากในพระไตรปิฎกรองรับอยู่มากมายครับ แต่ผมพยายามหาหลักฐานในพระไตรปิฎกว่ามีอรรถมีธรรมข้อใดหรือไม่ที่บ่งบอกถึงความมีอยู่ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายตั้งแต่องค์ปฐมจนถึงพระพุทธเจ้าของเรา หลังปรินิพพานแต่ผมก็ยังหาไม่พบ...ส่วนใหญ่พบแต่หยิบเอามาบางช่วงบางตอน แต่นำมาไม่หมด...แล้วยังไปขัดกับอรรถกับธรรมอีกจำนวนมาก..ลือจะถึงยุค "สัทธรรมปฏิรูป" เสียแล้ว... แต่ถ้าใครพบของจริงแบบเต็มๆช่วยนำมาบอกกล่าวกันบ้างนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2009
  13. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ทางสายกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทา

    - ทางสายกลางที่แท้จริงมีหลักที่แน่นอน
    ความแน่นอนของทางสายกลางนั้น
    อยู่ที่ความมีจุด หมาย หรือเป้าหมายที่แน่ชัด

    เมื่อมีเป้าหมายหรือจุดหมายที่แน่นอนแล้ว
    ทางที่นำไปสู่จุดหมายนั้น หรือการกระทำที่ตรงจุด

    พอเหมาะพอดีที่จะให้ผลตามเป้าหมายนั้นแหละ คือ ทางสายกลาง

    ทางสายกลางที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทานี้
    มีจุดหมายที่แน่นอน คือ ความดับทุกข์ หรือภาวะ

    หลุดพ้นเป็นอิสระไร้ปัญหา

    - มรรค คือ ระบบความคิด และ การกระทำ
    หรือ การดำเนินชีวิตที่ตรงจุดพอเหมาะพอดีให้

    ได้ผลสำเร็จตามเป้าหมาย คือ ความดับทุกข์นี้
    จึงเป็นทางสายกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทา

    พุทธธรรม หน้า 582

    www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10959
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2009
  14. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>
    (พึงทราบความหมาย ของมัชเฌนธรรมเทศนา ที่เนื่องกับมัชฌิมาปฏิปทา)


    มัชเฌนธรรมเทศนา คือ ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นกลางๆ

    ตามธรรมชาติ คือ ตามสภาวะที่สิ่งทั้งหลายมันเป็นของมันเองตามเหตุปัจจัย

    ไม่ติดข้องในทิฏฐิ คือ ทฤษฎี หรือแนวความคิดเอียงสุดทั้งหลาย ที่มนุษย์วาดให้เข้ากับสัญญา

    ที่ผิดพลาด และ ความยึดความอยากของตนที่จะให้โลกและชีวิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

    มัชเฌนธรรมเทศนา หมายถึงหลักปฏิจจสมุปบาท อันได้แก่กระบวนธรรมแห่งการเกิดขึ้น

    พร้อมโดยอาศัยกันและกันของสิ่งทั้งหลาย กระบวนธรรรมปฏิจจสมุปบาทที่ชี้แจง

    เรื่องความทุกข์ (และความดับทุกข์) ของมนุษย์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    (ที่มาของศัพท์ว่า มัชฌิมาปฏิปทา)

    -การปฏิบัติ ข้อปฏิบัติ หรือวิธีปฏิบัติ
    มีศัพท์เฉพาะเรียกว่า ปฏิปทา

    คำว่า ปฏิปทาในที่นี้มีความหมายจำเพาะหมายถึง
    ข้อปฏิบัติ วิธีปฏิบัติ หนทาง วิธีการ

    หรือวิธีดำเนินชีวิตให้บรรลุถึงความดับทุกข์

    ปฏิปทาเช่นนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงกำหนดวางไว้แล้ว
    โดยสอดคล้องกับกระบวนการดับทุกข์

    ที่เป็นมัชเฌนธรรมเทศนา และทรงเรียกปฏิปทา
    นั้นว่ามัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ข้อปฏิบัติ

    มีในท่ามกลาง

    หรือ เรียกง่ายๆว่า ทางสายกลาง
    หมายถึง ข้อปฏิบัติ วิธีการ หรือทางดำเนินชีวิต

    ที่เป็นกลางๆ ตามธรรมชาติ สอดคล้องกับกฎธรรมชาติ
    พอเหมาะพอดีที่จะให้เกิดผล

    ตามกระบวนการดับทุกข์ของธรรมธรรมชาติ
    ไม่เอียงเข้าไปหาสุดสองข้างที่ทำให้ติดพัวพัน

    อยู่หรือ เฉไถลออกไปนอกทาง
     
  16. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    มัชฌิมาปฏิปทานี้ มีชื่อเรียกอย่างง่ายๆว่า
    มรรค ซึ่งแปลว่า ทาง

    ทางนี้ มีส่วนประกอบ 8 อย่าง
    และทำให้ผู้ดำเนินตามเป็นอารยะชน

    จึงเรียกชื่อเต็มว่า อริยะอัฏฐังคิกมรรค
    หรือ อารยะอัษฎางคิกมรรค

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า มรรคาที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทานี้
    เป็นทางเก่าที่เคยมีท่านผู้เดินทางถูกต้องไปถึงจุดหมาย
    เคยเดินกันมาในกาลก่อนแล้ว พระองค์เพียงแต่ทรงค้นพบ
    แล้ว ทรงเปิดเผยแก่มวลมนุษย์ ทรงทำหน้าที่แนะนำบอก
    ทางนี้แก่เวไนยชน (สํ.นิ.16/253/129)


    มรรคหรือมรรคานี้ เป็นวิธีปฏิบัติของมนุษย์ที่จะทำให้เกิดผล
    ตามกระบวนการดับทุกข์ของ ธรรมชาติ คือทำให้เหตุปัจจัย
    ต่างๆ ส่งผลสืบทอดกันไปจนสำเร็จเสร็จสิ้นตามกระบวนการ
    ของธรรมชาตินั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2009
  17. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262
    คุณไปกราบ..คนพูดเพราะๆ หลักการ ดีๆ ที่ถูกใจคุณเถอะ...

    หากคุณกล่าวว่า..
    ...พระพุทธเจ้านิพพานเมื่อพระองค์ทรงจากไป มิใช่ยังอยู่บนโลกใบนี้ แค่นี้ก็รู้แล้ว...

    เพราะ..หากคุณไปกราบ..รายชื่อที่คุณว่ามาว่าเป็นปราชญ์..อะไรนั้น..แล้วเทิอดทูนเป็นสรณะของคุณ..คุณจะกล่าวอย่างข้างบนนี้แล้ว..ผมก็ไม่ว่าอะไรคุณซักคำ..เลยเอ้าว

    แต่ถ้าคุณบอกว่า..นับถือพระพุทธเจ้า..แล้วมากล่าวคำอย่างนี้..ผมอยากจะบอกว่า..

    ทำไมถึงโง่อย่างนี้...

    ทำไมหรือ..

    ก็เพราะว่า..

    ก็..นับถือมาได้ยังงัย..ในเมื่อ..คุณไม่รู้ว่า..พระพุทธเจ้าสอนอะไร..เพื่ออะไร

    ท่านสอนให้ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์..ด้วยวิธีการ..1..2..3..4..เพื่อให้พ้นจากทุกข์..แล้วทุกข์คืออะไร..รู้ไหมพ่อนักวิชาการ..

    ถ้าไม่รู้..ก็เป็นการนับถือแบบงมงาย..หรือเรียกอีกอย่างว่า..นับถือแบบโง่ ๆ

    บ้า..จริง ๆ ..มีอย่างที่ไหน..นิพพานเมื่อพระองค์ทรงจากไป มิใช่ยังอยู่บนโลกใบนี้..ถ้าตายเสียอย่างเดียวแล้วก็เป็นอันหมดทุกข์กัน..ตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่จำเป็นไปลำบากลำบน..ไป..ละการทำชั่ว..ทำแต่กุศล..รักษาใจให้บริสุทธิ์..ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์

    ผมถึงบอกงัยว่า.ถ้าคุณไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้า..ที่คุณกล่าวมา..ผมก็จะไม่ว่าอะไรคุณซ้ากกก..คำ
     
  18. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    นรกหรือสวรรค์อยุ่ในใจมิต้องไปหาที่ไหน?หรอกครับ

    หากทำชั่วใจก็ต้องทนครองทุกข์ก็ไม่ต่างอะไรกับตกนรกทั้งเป็น

    หากทำดีละชั่วใจก็สุขสนุกสนานก็ไม่ต่างอะไรกับขึ้นสวรรค์อยู่แล้ว

    เพราะงั้นจึ่งมี2ทางให้เลือกระหว่างดีและชั่ว ถูกหรือผิด แล้ว

    จะไปแสวงหานรกสวรรค์โลกหน้าหาอะไร?

    บางคนบอกทำชั่วได้ดีมีถมไปงั้นคนที่ทำชั่วใจเขาเป็นสุขหรือไม่ คำตอบคือไม่ เพราะเขากลัวว่าวันหนึ่งความชั่วของตนจะถูกผู้อื่นล่วงรู้ หรือไม่ก็ผลจากการกระทำ(กรรม)ในอดีตของตน
    จะตามมาให้ผลตอบแทน นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับตกนรกทั้งเป็นแล้ว แล้วคุณคิดว่าเขาจะจากไปอย่างเป็นสุขไม่มีอะไรให้ห่วงหาได้จริงๆหรือ?
    ดังนั้น


    แต่คำถามคือจะเลือกทางไหน

    นั้นก็แล้วแต่คน

    คนโง่ย่อมไม่เชื่อคำปราชญ์ กล่าวไปก็เท่านั้น แต่คนฉลาดย่อมอยู่เหนือคำปราชญ์ ยังคงยึดมั้นถือมั้นแต่ในกะลามิยอมออก แน่ล่ะพระพุทธเจ้าทรงเป็นมหาศาสดา แต่การตัดสินว่าเพราะองค์เหนือกว่าผู้อื่น โดยมิเคยศึกษาแนวคิดของท่านอื่นแล้วนำมาเปรียบเทียบหรือวิเคราะห์ดุ เพราะคิดว่าไม่จำเป็น
    หรืออ้างว่ารู้แล้ว ทั้งที่ความจริงยังไม่เคยได้ลองคิดลองศึกษา

    ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกที่บอกว่าสีเหลืองผสมน้ำเงินแล้วได้เขียว แต่ไม่เคยลองผสมดู

    ใครว่าไงก็ว่างั้น


    คนที่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร? ย่อมมิทำเช่นนี้ ถึงแม้อันที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนอะไร?

    เขาย่อมเลือกที่จะเชื่อเพราะได้พิสูตรแล้วมิใช่ฟังตามๆใครมา หรือเชื่อเพราะคนนั้นเป็นครูเป็นพ่อเป็นแม่

    มิใช่เชื่อเพราะคัมภีร์เขียนไว้เช่นไร? ก็ว่าตามนั้น

    เขาบอกว่าคนเขียนเป็นพระเกจิ เป็นพระอรหันต์ แต่

    ถามหน่อยคุณเคยเห็นคนเขียนหรือเปล่า? เคยพบท่านเคยพูดคุยกับท่านหรือเปล่า แล้วคุณรู้ได้ไงว่าท่านจะไม่เข้าใจผิด


    คุณแค่เชื่อและเชื่อ แต่ไม่เคยศึกษาแนวคิดนั้นอย่างจริงจังและลองตรึกตรองดูว่าสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร?


    นี่ต่างหากเป็นการนับถือแบบงมงาย..หรือเรียกอีกอย่างว่า..นับถือแบบโง่ ๆ เพราะงั้นประเทศเราถึงล้าหลังเพราะมีคนพวกนี้อยู่เยอะ

    ท่านดาไลลามะท่านเองก็ไม่เคยเชื่อเพราะมีคนบอกให้ท่านเชื่อขนาดท่านเองเป็นถึงสังฆราชของทิเบต เป็นถึงผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ท่านเองศึกษางานของปราชญ์ต่างๆ แม้แต่วิชาควอนตัมฟิสิกส์ คุณจะพบเห็นได้ในงานเขียนของท่านเช่นจักรวาลในหนึ่งอะตอม

    ท่านไม่เคยสอนให้เชื่อเรื่องงมงาย ไม่เคยแม้แต่จะพูด ท่านแค่บอกว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไร โลกควรจะเดินไปในแนวทางไหน? เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสรู้อะไรมาตั้งแต่ต้น

    ความทุกข์เกิดขึ้นได้ด้วยใจและกาย ดับได้ก็ต้องด้วยใจและกาย แต่ทางที่จะไปถึงนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงสอนไว้แล้ว คุณก็รุ้อยุ่ ด้วยตัวของคุณเองไม่ใช่คัมภีร์ หรือพระสงฆ์องค์ใดจะมาช่วยคุณ

    ผมก็เคยเรียนพระพุทธศาสนา
    และอาจจะรู้เยอะกว่าใครบางคนแถวนี้ซะอีก ผมก็เคยสอบนักธรรมเอกถึงจะเทียบไม่ได้กับพระอริยเจ้าก็ตาม (แต่นั้นก็ม่ได้หมายความว่าผมจะรู้อะไรมากมายจริง)
    ผมก็รู้ว่าอริยสัจ4
    ขันธ์5
    มัชฌิมาปฏิปทา

    คืออะไร?


    ความเชื่อแบบงมงายต่างหากที่บดบังความงามของแนวคิด หากไม่แบ่งแยกออกไปก็ไม่ต่างอะไร?ตาบอดคลำหาทาง

    ครั้งหนึ่งพระมหาจักรพรรดิแห่งจีนแผ่นดินใหญ่(ว่ากันว่าเป็นท่านเหลียงอู่จิ้นตี้)ทรง เรียกตัวท่านโพธิธรรมเข้าไปพบ(ท่านโพธิธรรมแต่ก่อนก็เป็นเจ้าชาย ต่อมาเบื่อทางโลกจึ่งเจริญรอยตามพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของท่านและท่านยังเป็นพระสังฆราชองค์ที่28ของอินเดีย)

    เนื่องจากพระองค์ไม่เคยพบท่านโพธิธรรมเลย และทรงได้ข่าวว่ามีนักบวชจากแดนไกล

    เมื่อพระองค์ทรงพบก็ทรงตกตะลึงกับใบหน้าที่ช่างเหมือนผู้ร้าย แก็งมาเฟียของท่านโพธิธรรม แน่ล่ะพระองค์ทรงไม่เชื่อใจ นักบวชรูปนี้ที่มาพร้อมกับไม้เท้าขนาดใหญ่

    นี่หรือคือผู้รู้แจ้ง

    พระองค์ทรงถามว่าท่านเป็นใคร

    ท่านโพธิรรมตอบว่าเราก็ไม่รู้

    พระจักรพรรดิ์ก็ถามว่าท่านอาจรายน์ฝึกฝนอะไรมา

    ท่านโพธิรรมตอบว่า อาตมาไม่เคยฝึกฝนอะไร?

    พระจักรพรรดิ์ทรงถามว่าข้าพเจ้าทำนุบำรุงพระศาสนามานาน สร้างทุกอย่างข้าพเจ้าจะได้บุณเท่าไร?

    ท่านโพธิธรรมตอบว่า ไม่ได้อะไรเลยหรือถ้าได้ก็น้อยมาก (เพราะ พระเจตนาไม่บริสุทธิ์อันนี้ถ้าลองคิดตามดีๆ)

    งั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้อะไร

    สิ่งที่ทรงตรัสรู้นั้นไม่มี


    แต่แล้วพระองค์ก็ทรงสะดุจใจกับแววตาของท่านโพธิธรรมที่เหมือนว่าจะมองทะลุเข้าไปในแก่นแท้ของพระองค์

    พระองค์จึ่งทรงถามท่านโพธิธรรมว่าทำเช่นไรจึ่งจะเข้าถึงความสงบและความรู้แจ้งได้เนื่องจากงานเมืองก็ทำให้เพราะองค์หาความสงบไม่ได้มานามมากแล้ว และไม่มีนักบวชรูปใดทั้งพุทธและเต๋าที่จะสอนให้พระองค์พบความสงบจริงๆเลย)

    ท่านโพธิธรรมก็ทรงตอบว่ามหาบพิทธ ขอเชิญมหาบพิทธมาหาอาตมาในกลางดึกก่อนรุ่งสางเถอะและอาตมาจะบอกให้ อ้ออาตมามีข้อแม้ว่าพระองค์ต้องมาคนเดียว

    แน่ล่ะพระองค์ทรงว้าวุ่นพระทัยตกลงจะไปดีไม่ไปดี ประมาณว่าจะเอากูไปฆ่ารึเปล่า

    แต่แล้วก็ทรงไปเพราะองค์ทรงคิดว่า

    มองคนไม่ผิดแน่ว่าชายผู้นี้ไม่ธรรมดาต่างจากพระรูปอื่นๆ

    เมื่อพระองค์ไปพบท่านโพธิธรรมก็พบว่าพระองค์กำลังอยู่กับท่าน2ต่อ2 คงไม่ต้องบรรยายนะครับว่าเวลาคุณอยู่กับคนน่ากลัวคุณจะรุ้สึกอย่างไร?

    ท่านโพธิธรรมจึ่งกล่าวว่าอาตมาเชื่อว่าพระองค์จะต้องมา

    ขอพระองค์ทรงนั่งลงและหลับตา อาตมาจะอยู่ตรงนี้พร้อมไม้เท้านี้ที่ตรงหน้าพระองค์ (จะเห็นได้ว่าท่านไม่บอกหรือสอนอะไรเลย) และอาตมาขออย่างเดียวขอให้พระองค์ทรงจับจิตแท้ของพระองค์ให้ได้ หาให้พบในส่วนที่ลึกที่สุด

    แน่ละกลางดึกคืนนั้นช่างเงียบสงบ และไร้แม้แต่เสียงใดๆมีแต่ความมืดเท่านั้นกับเสียงลมหายใจของทั้ง2ท่าน
    กาลเวลาผ่านไปจนรุ่งเช้า พร้องกลับความเงียบสงบ

    ท่านโพธิธรรมจึ่งกล่าวว่าเจริญพร มหาบพิทธขอเชิญ มหาบพิทธทรงลืมพระเนตรเถอะ ข้าขอถามมหาบพิทธว่าพระองค์รู้สึกเช่นไร? ทรงจับจิตแท้ของพระองคืได้หรือยัง

    พระจักรพรรดิ์ทรงตอบว่า ข้าพเจ้ารู้สึกว่างเปล่า(ว่างจากความคิด จิตปรุงแต่งจากกิเลส ว่างพอที่จะคิดเรื่องใหม่ๆ) และสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในคัมภีร์ต่างหรือนักบวชรูปต่างๆล้วนสอนให้ข้าพเจ้าทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนี้ เมื่อข้าพเจ้าพยายามที่จะค้นหาจิตแท้ดั้งเดิมข้าพเจ้ากับค้นหามันไม่พบ แต่เมื่อข้าพเจ้าไม่คิดที่จะค้นหาข้าพเจ้ากับค้นหามันจนพบ

    ท่านโพธิธรรมจึ่งพูดว่าดีแล้วดีแล้ว ชีวิตก็มีเท่านี้แหละ พระองค์ทรงลืมไปได้ทั้งหมดนั้นแหละยิ่งดี ลืมที่จะค้นหา ลืมตัวตนที่ปรุงแต่ง

    ไม่มีใครทราบว่าพระมหาจักรพรรดิ์จีนทรงเข้าใจว่าอย่างไร ว่ากันว่าพระองค์ทรงน้ำพระเนตรไหล และตรัสว่าสรรพสิ่งล้วนว่างเปล่ามาตั้งแต่ต้น ท่านอาจารย์ก็ว่างเปล่าศิทย์ก็ว่างเปล่า บัดนี้ศิทย์เข้าใจแล้วว่า ความสงบเป็นเช่นไรในหัวใจศิทย์

    ดีมาหาได้ยากจริงๆเจ้าเป็นคนที่หาได้ยากจริงๆ และเราก็รักเจ้า ท่านโพธิธรรมกล่าว

    งั้นหนทางใดจึ่งจะทำให้เกิดการรู้แจ้งได้ ท่านอาจารย์

    ท่านโพธิธรรมจึ่งกล่าวว่า
    " ตราบใดที่ยังยึดติดอยู่กับการเกิดการตาย ย่อมไม่มีทาง
    รู้แจ้งได้ การจะรู้แจ้งได้นั้น ผู้นั้นต้อง เห็นแจ้ง ใน ธาตุแท้
    ของตัวเองให้ได้ก่อน การไม่เห็นแจ้งใน ธรรมชาติที่แท้แห่งตน
    แล้วพูดพล่ามเรื่องธรรมะ เรื่องกฎแห่งกรรมจึงเป็นสิ่งไร้สาระ หาความอันใดไม่ได้

    พุทธย่อมไม่ฝึกฝนอะไรอย่างไร้ประโยชน์
    ภาวนาอะไรอย่างไร้ประโยชน์ หรืออ้างคัมภีร์ใดๆที่ไร้ประโยชน์

    พุทธไม่ยึดติดในกรรม
    และผลของกรรม การพูดว่าพุทธะได้บรรลุอะไรบางอย่าง ทั้งที่ธรรมแห่งการรู้แจ้งมันไม่มีมาตั้งแต่ต้นนั้น
    เป็นการดูแคลนพุทธะโดยแท้ "

    ว่ากันว่าพระจักรพรรดิ์ทรงพอพระทัยมาและจะสร้างวัดให้ท่านแต่ท่านมิต้องการแค่เดินจากไป หลังจากนั้นเองพระพุทธศาสนาจึ่งเป็นศาสนาประจำชาติจีนอย่างแท้จริงและก่อให้เกิดพุทธแบบเช็นขึ้น

    ธรรมแบบของท่านไม่เคยอิงตำราพระไตรปิฏก ท่านบอกว่าคัมภีร์พวกนี้นั้นไร้สาระสิ่งสำคัญที่สุดคือแก่นของพุทธ(การรู้แจ้ง)การเข้าถึงนิโรธสมาบัติ การไม่ยึดติดจากตัวตนต่างหาก เพราะคัมภีร์พวกนี้ไม่เคยช่วยให้ใครหลุดพ้นจากการความทุกข์ อันเนื่องมาจากการเกิดดับได้ เพราะมันเป็นแค่กระดาษ มีเพียงแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่สามารถช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจากความทุกข์ของการเกิดดับได้ จิตของเราจะสงบได้ไม่ใช่เพราะใครสอนหรือมาทำให้มันสงบ เพราะเราจับจิตของเราให้ใครไม่ได้ มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะทำให้มันสงบได้

    ธรรมะ" เป็นนิชชีวะ คือ มิใช่สัตว์ บุคคล เพราะว่างเปล่าจากความมั่นหมายจากสัตว์บคุคลและธรรมะเป็นอนัตตา เพราะว่างเปล่าจากความมั่นหมายแห่งความเป็นตัวตน (ที่จะปฏิบัติตาม) ดังนั้นธรรมะจึ่งไมม่มีมาตั้งแต่ต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2009
  19. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ท่านไปถึงไหนแล้ว ไฉนเลยมาพูดเช่นนี้
    ผู้บรรลุอรหันต์ มิใช่ผู้ที่ต้องตายแล้วเสียหน่อย
    สภาวะนิพพาน สัมผัสได้เมื่อเข้าถึงปัจจเวกขณญาณ

    พุทธเซ็นข้าพเจ้าก็ชอบนะครับ ชอบมากๆด้วย
    เป็นพวกที่มองรวดเดียวจบ ดังนั้นคนหลงทางก็มีเยอะ
    แต่เหตุที่พวกเขายกเอาศูนยตาธารมะไว้เป็นหลักในการบรรลุธรรมนั้น
    ก็แน่อยู่แล้วไม่ต้องพิจารณาอย่างอื่นเลย
    รูปไม่ต่างจากความว่าง ความว่างไม่ต่างจากรูป
    จะกล่าวถึง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน

    ใช่ครับ กฎแห่งกรรมไม่ใช่คำตอบสำหรับการหลุดพ้นเลย
    มันมีจริง แต่มันไม่จำเป็นต้องคิดถึง ท่านโพธิธรรมเถระ ท่านรู้และเข้าใจดี
    ดังนั้น แค่ดำเนินชีวิตให้ดี วางตนในมรรคาที่ควรก็เพียงพอแล้ว

    ตื่นจากความว่าง ไม่มีคือว่าง บรรลุความว่างคือบรรลุความไม่มี
    สภาวะธรรมอันแท้เป็นกึ่งกลางระหว่างมีกับไม่มี

    ท่านโพธิธรรมท่านพูดสั้นๆ เพราะท่านขี้เกียจพูด
    ท่านไม่ธรรมดาเลย ไม่ใช่พระผู้ไม่มีฤทธิ์นะ ท่านมีสิ่งเหล่านั้นด้วย
    แต่ท่านไม่สนใจเลย เพราะท่านกล่าวว่ามันไม่จำเป็น
     
  20. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ท่านโพธิธรรมคือใคร?
    ผมไม่รู้

    พระพุทธเจ้าบรรลุอะไร

    คำตอบคือไม่มี

    ท่านตายอย่างไร

    ตายเยี่ยงปุถุชน ตายจากการมีตัวตน

    และตายจากกิเลส

    "ธรรมะ"คืออะไร

    ไม่มีความหมายเพราะ เป็นนิชชีวะ คือ มิใช่สัตว์ บุคคล เพราะว่างเปล่าจากความมั่นหมายจากสัตว์บคุคลและธรรมะเป็นอนัตตา เพราะว่างเปล่าจากความมั่นหมายแห่งความเป็นตัวตน (ที่จะปฏิบัติตาม)

    ดังนั้นจึ่งไม่จำเป็นต้องพูดเขียนหรือกล่าวถึงอะไรที่มันไม่มี

    หากไม่รู้ถึงใจตนย่อมมิเข้าใจ

    ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมเป็นใคร แล้วตัวท่านเองรู้หรือว่าท่านเป็นใคร ท่านรู้หรือว่าคนข้างๆท่านเป็นใคร
     

แชร์หน้านี้

Loading...