ทำอย่างไรให้ได้โสดาบัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เจริญจิต, 5 ตุลาคม 2010.

  1. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>เอกวีร์*, Tboon, องคุลิมาล </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    สติมีแล้วหรือยัง รู้จักตัวสติจริง ๆ แล้วหรือยัง

    อะไรคือสติโลกีย์หรือสติแบบโลก ๆ อะไรคือสติสำหรับปฏิบัติขัดเกลา อะไรคือสัมมาสติ

    ปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม อยู่ตรงไหน ฐานเดิมของจิตเป็นอย่างไร

    อะไรคือความปกติของจิต อะไรคืออาการของกิเลส

    เข้าให้ถึง แยกให้ออก ทำความเข้าใจให้ชัดเจน คลายความหลงให้ได้ ถ้ายังคลายไม่ได้ ก็ยังไม่ต้องพูดถึงโสดาบันก็ได้

    ทั้งหมดที่กล่าวมา ถ้าทำได้ก็เป็นแค่เพียงการเริ่มต้นอย่างถูกทางเท่านั้นเอง

    ต่อไปยังจะต้องรู้จักการละกิเลสอีก จิตถึงจะพัฒนาก้าวหน้าได้ วางได้อย่างแท้จริง
     
  3. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    หลักการคือ...


    ย้อนความรู้สึกจากนอกกาย เข้าไปในกาย เข้าไปสู่ใจ


    ปล่อยคลายใจ ให้ปล่อยสิ่งที่หมักหมมออกมาไปเรื่อยๆ


    จนผิวของใจบางพอ ที่สิ่งที่แฝงอยู่ในใจแหวกออกมาให้เห็น


    ทำลายความยึดมั่นถือมั่น ว่าใจเป็นตัวตนของเรา ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้


    ไม่มีอะไรในโลกแม้แต่ใจเรา เป็นความจริง


    มีแต่สิ่งที่แหวกออกมาให้เห็นเท่านั้น ที่จริงแท้
     
  4. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ปุถุชน ทำอย่างไรให้ได้โสดาบัน

    การเจริญอริยมรรค หรือ สติปัฏฐานสี่ นี่เป็นมรรควิธี

    ส่วนคนที่จะเจริญมรรค ก็ต้องเห็นทุกข์ เห็นความทุกข์ คนเป็นทุกข์บางคนเขาก็ไม่เห็นคือไม่รู้ว่าทุกข์เกิดอย่างไร เป็นทุกข์แค่ไหนก็กลับมาเห็นกายเห็นจิตไม่ได้ คิดว่าทุกข์มาจากภายนอก หรือจะหายได้เพราะปัจจัยภายนอก
    ส่วนการเห็นทุกข์ของคนบางคน บางคนต้องเป็นทุกข์มากๆถึงเห็น บางคนไม่ได้ทุกข์อะไรมากแต่เห็นได้ และรู้ว่าทุกข์มาจากกายและจิตนี่เอง การพิจารณากายและจิต เห็นสมุทัย เห็นเหตุแห่งทุกข์ความเกิดแก่เจ็บตาย เห็นไตรลักษณ์ ก็หาทางจะพ้นจากทุกข์นี้ ก็จะหามรรค หาทางดับทุกข์

    การเรียนรู้ สมุทัย และ มรรค ก็จะเกิดขึ้น
    ตามจริตของคนที่มาทางสายศรัทธา สายสมาธิ สายปัญญา การปฏิบัติก็มีวิธีต่างกันไป
    ค้นหาได้จากจริตหก ราคะ โทสะ โมหะ วิตก ศรัทธา พุทธิ ..
    ที่ควรหากรรมฐานที่เข้ากับจริตตน

    การเจริญสติ เห็นรูปนามตามจริงที่ตกอยู่ในกฏไตรลักษณ์ จะทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา

    เมื่อเห็นว่า การขาดสติ เป็นที่มาของการปรุงแต่งในอัตตา และการเจริญสติเป็นหนทางที่เห็นจิตเดิมในสภาพที่ยังไม่ได้ปรุงคือมีความปกติไม่มีเราเขา ก็จะพยามยามสร้างสติให้ตนเองให้มาก ซึ่งการดำรงชีวิตภายนอกทำได้ยาก เพราะมีการกระทบกระทั่งทางอารมณ์มาก การบวชหรือเข้ากรรมฐานเพื่อเจริญสติสมาธิให้ต่อเนื่อง จนเกิดพละห้าอินทรีย์ห้า เพื่อให้เห็นรูปนามตามจริง จึงเป็นหนทางที่ดีที่ควรปลีกเวลาเข้าปฏิบัติ



    6
     
  5. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    พิจารณาให้เห็นทุกข์อย่างจริงจัง ใจยอมรับจริงๆ จนเห็นโทษของการเกิดว่าเป็นทุกข์จริงๆ จนอยากไปพระนิพพานจริงๆ ถ้ายังไม่รักพระนิพพาน เป็นพระโสดาบันไม่ได้ครับ

    เมื่อนั้นคุณจะขวนขวายต่อด้วยการไล่สังโยชน์ทีละข้อ ให้ทรงได้จริงๆ ครบสามข้อแรกก็เป็นได้ครับ

    สังโยชน์ทั้งสามข้อแรกนั้นใช้แค่อนุสสติเท่านั้นก็บรรลุได้

    อนุสสติที่ว่าก็คือ
    ๑. มรณานุสสติ (ยอมรับว่าตัวจะต้องตายแน่)
    ๒. พุทธานุสสติ (ยอมรับความดีของพระพุทธเจ้า)
    ๓. ธัมมานุสสติ(ยอมรับความดีของพระธรรม)
    ๔. สังฆานุสสติ(ยอมรับความดีของพระสงฆ์)
    ๕. ศีลานุสสติ(รักษาศึล ๕ ให้บริสุทธิ์จริงๆ)
    ๖. อุปสมานุสสติ(ต้องการพระนิพพานจุดเดียว)

    ที่สำคัญให้ศึกษากับท่านที่เป็นพระอริยเจ้านะครับ จะเป็นหนังสือ หรือฟังเสียงเทศน์ของหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง หรือ พระทางสายวัดป่า หรือสายใดก็ได้ที่ปฏิบัติตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้านะครับ

    ในช่วงที่คุณปฏิบัติให้คุณหมั่นอธิษฐานจิตขอให้พบคู่ปรับ(ญาติธรรม)ที่สอนเราได้ ถ้าคุณปรารถนาพระนิพพานอย่างจริงจังแล้วหละก็ พระท่านจะเมตตาสงเคราะห์คุณเอง ย้ำ..ขอให้ปราถนาพระนิพพานอย่างจริงจัง ตั้งเป้าไว้เฉพาะพระนิพพานเท่านั้น

    สาธุ ขอให้สมความปรารถนาทุกประการเถิด
     
  6. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ....ละความชั่ว....ทุกอย่าง

    ....ทำความดี....ทุกอย่าง

    ....ทำจิตให้ผ่องใส......จะได้ปัญญา ตามกำลัง
     
  7. เทพสำราญ

    เทพสำราญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    308
    ค่าพลัง:
    +888
    การจะเข้าสู่อารมณ์แห่งโสดาบันได้นั้น มีหลายวิธีและหลายทางตามจริตของตัวท่านเอง
    ที่สำคัญมีหลักใหญ่ อยู่ 3 หลัก หรือที่เรียกว่า คุณสมบัติของพระโสดาบันนั่นเอง
    หลักที่ว่า คือ
    1. การละตัวตนในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    2.การละความสงสัยในเรื่องที่ไม่มีสาระแก่นสารต่างๆ
    3.การที่ใจเรารู้แตกฉานใน สมมุติบัติเบื้องตนที่ว่า ด้วย ศิล วัตร ข้อปฎิบัติต่างๆ
    เมื่อน้อมใจเข้าสมาธิ ลึกเข้าถึง ญาน ระดับต่างๆ น้อมนึกสิ่งดีงามพิจารณ์ ไตร่ตรองธรรม
    ทั้งหลาย เข้าใจนึกรู้อยู่ในความว่างเปล่า ในความอิ่มเอิบในพลังธรรม .....
    หากใจถอดสมมุติบัญญัติที่สูงขึ้นไป ความก้าวหน้าในการบรรลุธรรมก็สูงส่งยิ่งขึ้น ...
    (ธรรมบรรยาย เทพสำราญ ศิษย์ มหาเทวเทพ)
     
  8. รักษ์11

    รักษ์11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +516
    ดีหมดทุกอย่งเลย แล้วอย่างไหน ที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด

    อนุโมทนามิครับ
     
  9. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา จะเริ่มตรงไหน จึงจะได้ โสดาบัน

    ขออนุญาตครับ
    ตามความเป็นจริงคำถามนี้ไม่น่าตอบหรอกครับ ดูว่าจะห่างไกลเกินความเป็นจริง
    แต่ในความเป็นจริงอีกด้านหนึ่ง ผู้ที่มีบุญบารมีอันสูงส่งพอประมาณ พอที่จะทำได้อาจจะผ่านมาอ่านคำตอบนี้ก็ได้
    จากประสบการณ์ของผมที่มีครูบาอาจารย์มากมายนั้น พอสรุปได้ว่า การจะสำเร็จธรรมชั้นสูงนั้น
    มีอยู่วิธีเดียวจริงๆ คือ ท่านต้องเสาะหาครูบาอาจารย์ที่ท่านมีบุญบารมีพอที่จะสอนได้
    เท่านั้นยังไม่พอ ท่านต้องมีเวลาในการอบรมสั่งสอนอย่างเต็มที่อีกด้วย
    สุดท้าย ตัวท่านที่ปรารถนาที่จะบรรลุโสดาบันนั้น ท่านจะมีเวลาในการรับการอบรมสั่งสอน
    อย่างน้อย 3-6 เดือนในครั้งแรก และมีเวลาอุทิศตนในการปฏิบัติอย่างเต็มที่หรือไม่
    ผมก็ไม่คิดว่าจะมีท่านผู้ใดจะเอาจริงเอาจังหรอกครับ เพราะถ้าท่านมีบุญบารมีจริงเป็นพวก อุคฏิปัญโญ หรือ วิปปฏิปัญโญ
    หรือเป็นพวกเนยยะแบบเข้มข้นจริงๆ
    ท่านคงรับรู้อะไรบางอย่างมาตั้งแต่ อายุ 5-8 ขวบแล้วและสามารถเสาะหาวิธีหาครูบาอาจารย์เอาเองได้
    หรือบางท่านที่ติดตามอ่าน ข้อคิด ข้อเขียน คำตอบต่างๆของผมในเว็บนี้ ก็น่าจะสรุปได้ว่าต้องทำอย่างไร ครูบาอาจารย์อยู่ที่ไหน มีวิธีการอย่างไร
    ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา จะเริ่มตรงไหน
    ความจริงถ้าท่านสามารถไปได้ถึง สติวิณะโญ หรือสติกึ่งอัตโนมัติ หรือ แค่จิตเปิดแล้วสว่างไสว อยู่ซักเดือน สองเดือน ก็เหลือประมาณแล้ว
    ที่พูดมานี้ รู้แค่ หายใจเข้า ภาวนาว่า พุทธ หายใจ ออก ภาวนาว่า โธ ก็น่าจะทำได้แล้ว
    ถ้าท่านมีบุญบารมีที่สะสมมาแต่ชาติก่อนๆมามากพอ


    ผมเคยสนทนากับครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่มาเข้าหลักสูตรเข้มข้นนี้
    พวกญาติโยมที่วัดท่านไม่เข้าใจ ก็พากันแห่มาอ้อนวอนท่านให้กลับวัด
    "เจ้าอาวาสหาย"เขาว่าอย่างนั้น ท่านทนรบเร้าไม่ไหวก็กลับไป
    กลับไปไม่กี่วันท่านก็กลับมาอีก จนชาวบ้านเขาเข้าใจ ว่าท่านจะกลับไปแน่ๆไม่ต้องมาตาม
    ท่านว่าบวชมาตั้งนาน เพิ่งจะเข้าใจ ท่านว่าของท่านอย่างนั้น
    หลวงพ่อท่านนี้ท่านเป็นพระมหานิกายนะครับ พระมหานิกายที่ใส่สบงจีวร ที่มาจากร้านสังฆภัณสีแจ๊ดๆนี่ละครับ

    ขอถามจริงๆเถอะครับ ที่ถามนี่ถามทำไม ถามเพื่อตั้งอกตั้งใจเพื่อนำไปปฏิบัติเอง แบบยอมทุ่มเทเวลาให้เต็มที่
    หรือว่าถามเพราะอยากจะถาม

    เมื่อปฏิบัติไป จิตจะลดจะละ กิเลส ออกไปๆ
    แล้วท่านต้องไม่ไปเอามันกลับมาอีก


    หรือจะเอาแบบสำเร็จธรรมชั้นสูงแล้วมาอ้างว่า ชันอริยะยังเสพกามได้ หลับนอนกับภรรยาได้ ผมก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน
    เคยแต่ได้ยินได้ฟังเท่านั้น และท่านยีนยันว่าการเสพกามนั้นเพื่อทดสอบเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อความรื่นรมย์ ไม่ใช่เพราะกิเลส

    ครูบาอาจารย์ที่ท่านได้รับการยกย่องอย่างสูง เพราะบวชตอนอายุ หกสิบ แล้วยังสำเร็จทัน แถมท่านยังมีบุตรชายของท่านมาสืบต่อเป็นเจ้าอาวาสที่วัดท่านอีกต่างหาก คือ พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่เฟื่อง โชติโก วัดธรรมสถิต สถานที่ตั้งสถานีวิทยุเสียงธรรม 96.25 Mhz อ.เมือง จ.ระยอง ถ้าสนใจก็ลองหาหนังสืออ่านเอาเอง หรือจะไปถาม พระลูกชายท่านก็ได้

    พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงไว้แล้วอย่างชัดเจนชัดแจ้งว่า
    1. ปฏิบัติ ง่าย สำเร็จ ง่าย
    2. ปฏิบัติ ง่าย สำเร็จ ยาก
    3. ปฏิบัติ ยาก สำเร็จ ง่าย
    4. ปฏิบัติ ยาก สำเร็จ ยาก

    ท่านจะเป็นจะเอาแบบไหน ก็ขึ้นกับตัวท่านเอง

    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  10. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ก็แค่อยู่กับปัจจุบันให้ได้มากๆ มีความสุขอยู่ในปัจจุบันให้มากๆ ทำใจให้เป็นปกติ
    เมื่ออยู่กับปัจจุบันมากๆ แล้วก็เห็นว่ากายกับใจนี้แยกกันได้ใจจะอยู่กับปัจจุบันก็ได้อยู่ในอดีต อนาคตก็ได้ แต่กายนี้อยู่ในปัจจุบัน เมื่ออยู่กับปัจจุบันมากแล้วก็เริ่มรู้จักตัวเอง เริ่มรักตัวเอง ไม่ต้องหนีตัวเองไปอยู่ในโลกความคิด อยู่กับอดีตแสนหวานบ้าง อยู่กับวิมานที่สร้างไว้ในอนาคตบ้าง พอเริ่มรักตัวเองก็เริ่มรักคนอื่นได้ มีเมตตากรุณาเป็นปกติอยู่ก็เรียกว่ามีศีลทุกข้อ และพอเรามีความสุขในปัจจุบันมันก็ไม่ต้องลังเลสงสัยเรื่องอะไร เพราะการที่เราลังเลสงสัยเรื่องอะไรเกิดจากจิตมีโลภะ คือคิดในเชิงผลประโยชน์กับเรื่องนั้น เช่นว่าคนรู้จักที่เราเคยเจอหนสองหนและจะไม่ได้เจออีกแล้วทำอะไรอยู่อย่างนี้เราไม่สนใจ เพราะไม่มีผลประโยชน์กับเรา เมื่อมีความสุขในปัจจุบันก็ไม่ต้องไปหวังประโยชน์จากเรื่องอะไรเพราะมีความสุขอยู่แล้ว
     
  11. mkmk_kmkm1

    mkmk_kmkm1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +220
    พอมีความอยาก ไม่ว่าอยากได้อะไรก็เป็นกิเลศแล้ว ปฎิบัติจริงด้วยการ 1.ละ อุปาทานในรูปนาม (สักกายทิฏฐิ) 2.ละ สีลัพพรตปรามาส (รักษาศิลเพื่ออยากได้อยากมีอยากเป็นอยากรวย ฯลฯ) 3.ละ วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) อย่าให้มีความอยากเกิด รักษาศิลไว้เป็นบาท แล้วปฏิบัติตามที่เขียนมา
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,499
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ขอบคุณทุกๆท่านที่ให้ความรู้แก่บัวในตมค่ะสาธุ
     
  13. Heartsutra

    Heartsutra Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +98
    ละสักกายทิฏฐิในเด็ดขาด(สัญโญชน์ข้อนี้สำคัญมาก)

    กล่าวคือพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต อยู่เป็นนิจฯ อาศัยปริญญา ๓ ขั้นแรกญาตปริญญาคือรู้จักสภาวะกันก่อน ขั้นสองตีรณปริญญาเห็นสามัญญลักษณะ คือ ไตรลักษณ์ทั้งสาม ขั้นสามปหานปริญญา ชื่อก็บอกอยู่แล้ว คือขั้นละได้ แทงตลอดอริยสัจ(เป็นอาการของมรรค แทงตลอดสัจจะทั้ง ๔ ยังเป็นอนัตตา ในส่วนนิโรธ ก็ยังเป็นอาการอยู่ ยังไม่ใช่นิโรธสัจจ์จริงๆ เพียงพิจารณานิโรธสัจจ์เป็นอารมณ์)

    เจริญวิปัสสนา ทำลายอวิชชา
    เจริญสมถภาวนา สำรอกราคะ
    ของคู่กันขาดกันไม่ได้ ไม่อย่างนั้นไม่ครบองค์อริยมรรค

    เฮ้อ พักนี้มีแต่คนอย่างไป(อายตนะนิพพาน) ยังไงกระผมก็กราบอนุโมทนาสาธุด้วย

    กระผมว่าท่านลองฝึกมโนมยิทธิดูสิครับ ลีลาการวิปัสสนาแบบนี้หาได้ยากในปัจจุบัน
    เป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่ท่านได้แนะแนวทางเอาไว้

    สาธุ อนุโมทามิฯ
     
  14. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    ผมว่าหาอาจารก่อนดีกว่าครับ ตั้งต้นเองค่อนข้างยาก
    บางทีอ่านเเล้วดูเหมือนเข้าใจเเต่มันก็ไม่กระจ่าง เสียเวลามากถ้าศึกษาด้วยตนเอง
     
  15. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    การจะเป็นพระโสดาบัน ง่ายๆ อย่างนี้หรือ?

    ขออนุญาติครับ

    การจะเป็นพระโสดาบัน ง่ายๆ อย่างนี้หรือ?

    ต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่า ตัวผมเองนั้น คุ้นเคย แต่พระอริยะเจ้า สายธรรมยุติ และ สายลูกศิษย์ขององค์หลวงปู่ใหญ่ ทั้งที่ท่านเป็นพระ และ เป็นฆราวาส

    ต้องขออภัยจริงๆที่ความรู้ผมน้อย การไปมาหาสู่ก็ไม่กว้างขวางพอ
    จึงจะขอเรียนถามท่านว่า ศิษย์สายอื่นๆ ที่ท่านเป็น ชั้นโสดาบันอย่างที่ท่านว่า มีบ้างไหม
    อยู่ที่ไหนบ้าง ท่านมีวิธีปฏิบัติ ความเป็นอยู่อย่างไร
    เพราะเห็นท่าน websnow ก็บอกว่า ชั้นโสดาบัน แวะ มาเว็บนี้บ่อย
    รู้อะไร เห็นอะไร ก็ ขอเมตตา แนะนำกันบ้างนะครับ
    เพราะผมนั้น รู้อะไร เห็นอะไร บอกเล่าออกไป ก็มี บางท่านบอกว่า ผมขี้โม้ ก็มี
    แต่สำหรับผมนั้น แค่จะอนุโมทนากับไคร ผมก็อ่านข้อเขียนของท่านย้อนไปดูเป็นหางว่าวโน่นละครับ
    และขออย่าได้คิดว่า ผม มาถาม มาตอบ เพื่อ ยกตน ข่ม ท่านซะละครับ

    ขออนุโมทนาบุญในกุศลผลบุญที่ท่านได้สร้างไว้
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  16. จิตโต

    จิตโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +163
    เป็นผู้ไม่ประมาท หมั่นฝึกอบรมบ่มอินทรีย์จนบารมีแก่กล้า
    มรรค มีองค์ ๘ มัชฌิมาปฏิปทาเป็นทางในการดำเนินในการประพฤติปฏิบัติ
    เจริญในองค์สติปัฐฐาก ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม
    เข้าหาครูบาอาจารย์ที่ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เป็นผู้ชี้ทางในการปฏิบัติ

    สุดท้าย....จะเป็นโสดาบันหรือไม่เป็น ไม่ได้อยู่ที่ความอยาก...
    เปรียบด้วยมะม่วง หากไม่มีการเพาะบ่ม รอเวลาที่เหมาะสม จนกลายเป็นมะม่วงสุก
    มันเป็นเพียงแค่มะม่วงดิบ รสชาติความหวานหอมย่อมไม่เหมือนมะม่วงสุก

    หากบารมีและปัจจัยที่สร้างสมอบรมถึงพร้อม....
    ถึงบุคคลผู้นั้นจะอยากเป็นหรือไม่อยากเป็นโสดาบัน...
    ย่อมเป็นสมบัติโดยเฉพาะตัวของบุคลลผู้นั้น....
     
  17. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    [​IMG]


    มูลกรรมฐาน

    กุลบุตรผู้บรรพชาอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้แล้ว ใครเล่าไม่เคยเรียนกรรมฐานมา บอกได้ทีเดียวว่าไม่เคยมี พระอุปัชฌาย์ทุกองค์เมื่อบวชกุลบุตรจะไม่สอนกรรมฐานก่อนแล้วจึงให้ผ้าภายหลังไม่มี ถ้าอุปัชฌาย์องค์ใดไม่สอนกรรมฐานก่อน อุปัชฌาย์องค์นั้นดำรงความเป็นอุปัชฌายะต่อไปไม่ได้ ฉะนั้นกุลบุตรผู้บวชมาแล้วจึงได้ชื่อว่าเรียนกรรมฐานมาแล้ว ไม่ต้องสงสัยว่าไม่ได้เรียน

    พระอุปัชฌายะสอนกรรมฐาน 5 คือ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน ตโจ หนัง ในกรรมฐานทั้ง 5 นี้ มีหนังเป็นที่สุด ทำไมจึงสอนถึงหนังเท่านั้น? เพราะเหตุว่า หนัง มันเป็นอาการใหญ่ คนเราทุกคนต้องมีหนังหุ้มห่อ ถ้าไม่มีหนัง ผม ขน เล็บ ฟัน ก็อยู่ไม่ได้ ต้องหลุดหล่นทำลายไป เนื้อ กระดูก เอ็น และอาการทั้งหมดในร่างกายนี้ ก็จะอยู่ไม่ได้ ต้องแตกต้องทำลายไป คนเราจะหลงรูปก็มาหลง หนัง หมายความสวยๆ งามๆ เกิดความรักใคร่แล้วก็ปรารถนาเพราะมาหมายอยู่ที่หนัง

    เมื่อเห็นแล้วก็สำคัญเอาผิวพรรณของมัน คือผิว ดำ-ขาว-แดง-ดำแดง-ขาวแดง ผิวอะไรต่ออะไร ก็เพราะหมายสีหนัง ถ้าไม่มีหนังแล้ว ใครเล่าจะหมายว่าสวยงาม? ใครเล่าจะรักจะชอบจะปรารถนา? มีแต่จะเกลียดหน่ายไม่ปรารถนา ถ้าหนังไม่หุ้มห่ออยู่แล้ว เนื้อเอ็นและอาการอื่นๆ ก็จะอยู่ไม่ได้ ทั้งจะประกอบกิจการอะไรก็ไม่ได้ จึงว่าหนังเป็นของสำคัญนัก จะเป็นอยู่ได้กินก็เพราะหนัง จะเกิดความหลงสวยหลงงามก็เพราะมีหนัง ฉะนั้นพระอุปัชฌายะท่านจึงสอนถึงแต่หนังเป็นที่สุด ถ้าเรามาตั้งใจพิจารณาจนให้เห็นความเปื่อยเน่าเกิดอสุภนิมิต ปรากฏแน่แก่ใจแล้ว ย่อมจะเห็นอนิจจสัจจธรรม ทุกขสัจจธรรม อนัตตาสัจจธรรม จึงจะแก้ความหลงสวยหลงงามอันมั่นหมายอยู่ที่หนังย่อมไม่สำคัญหมาย และไม่ชอบใจ ไม่ปรารถนาเอาเพราะเห็นตามความเป็นจริง เมื่อใดเชื่อคำสอนของพระอุปัชฌายะไม่ประมาทแล้ว จึงจะได้เห็นสัจจธรรม

    ถ้าไม่เชื่อคำสอนพระอุปัชฌายะ ย่อมแก้ความหลงของตนไม่ได้ ย่อมตกอยู่ในบ่วงแห่งรัชชนิอารมณ์ ตกอยู่ในวัฏจักร เพราะฉะนั้น คำสอนที่พระอุปัชฌายะได้สอนแล้วแต่ก่อนบวชนั้น เป็นคำสอนที่จริงที่ดีแล้วเราไม่ต้องไปหาทางอื่นอีก ถ้ายังสงสัย ยังหาไปทางอื่นอีกชื่อว่ายังหลงงมงาย ถ้าไม่หลงจะไปหาทำไม คนไม่หลงก็ไม่มีการหา คนที่หลงจึงมีการหา หาเท่าไรยิ่งหลงไปไกลเท่านั้น ใครเป็นผู้ไม่หา มาพิจารณาอยู่ในของที่มีอยู่นี้ ก็จะเห็นแจ้งซึ่งภูตธรรม ฐีติธรรม อันเกษมจากโยคาสวะทั้งหลาย

    ความในเรื่องนี้ ไม่ใช่มติของพระอุปัชฌายะทั้งหลายคิดได้แล้วสอนกุลบุตรตามมติของใครของมัน เนื่องด้วยพุทธพจน์แห่งพระพุทธองค์เจ้า ได้ทรงบัญญัติไว้ให้อุปัชฌายะเป็นผู้สอนกุลบุตรผู้บวชใหม่ ให้กรรมฐานประจำตน ถ้ามิฉะนั้นก็ไม่สมกับการออกบวชที่ได้สละบ้านเรือนครอบครัวออกมาบำเพ็ญเนกขัมมธรรม หวังโมกขธรรม การบวชก็จะเท่ากับการทำเล่น พระองค์ได้ทรงบัญญัติมาแล้ว พระอุปัชฌายะทั้งหลายจึงดำรงประเพณีนี้สืบมาตราบเท่าทุกวันนี้ พระอุปัชฌายะสอนไม่ผิด สอนจริงแท้ๆ เป็นแต่กุลบุตรผู้รับเอาคำสอนไม่ตั้งใจ มัวประมาทลุ่มหลงเอง ฉะนั้นความในเรื่องนี้ วิญญูชนจึงได้รับรองทีเดียวว่า เป็นวิสุทธิมรรคเที่ยงแท้


    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
     
  18. meng2010

    meng2010 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +35
    เอามาจาก คุณ สันโดษ ไม่มีเราบรรลุเลย 5555
     
  19. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0001.jpg
      scan0001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      285
  20. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    คำสั่งสอนของหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร

    "พระอรหันต์ไม่มีหญิงหรือชาย ธรรมมิได้แยกหญิงหรือชาย

    ดุจน้ำก็ย่อมเป็นน้ำ ไม่มีตัวผู้ ตัวเมีย พระเข้านิพพานได้ ฆราวาส

    ก็เข้านิพพานได้"


    “ลูกรัก เมื่อใดก็ตามที่เจ้าต้องการสมาธิ และถ้าเผอิญเจ้าไปเจอพระพุทธเจ้า ต้องฆ่าพระพุทธเจ้า ถ้าเจอพระธรรมต้องเผาพระธรรมทิ้ง และถ้าเจอพระสงฆ์ต้องหนีให้ไกลจากพระสงฆ์”

    ทั้งนี้ก็เพราะว่า ถ้าขณะที่เรากำลังรวมจิตกับกายแล้ว เผอิญไปเจอพระพุทธเจ้าในสมาธิ เดี๋ยวจิตเราก็จะวิ่งตามพระพุทธเจ้าไปแล้ว หากเจอพระธรรมก็ต้องไปใส่ใจพระธรรมไม่ใส่ใจต่อตัวเอง สมาธิแบบนี้จึงไม่ใช่สมาธิที่แท้จริง อีกประการหนึ่ง ความรู้ที่เกิดจากกายรวมใจนี้ เป็นความรู้ที่จบสิ้นหาข้อยุติได้ แต่ความรู้ที่ใจเลื่อนลอยออกไปนอกกายไม่มียุติ ที่ไม่มียุติก็เพราะมันเลื่อนลอยไปตามอารมณ์ที่จะชักพาฉุดกระชากลากถูผู้นั้นไปนั่นเอง





     

แชร์หน้านี้

Loading...