ถามเป้าหมายของการนั่งสมาธิ ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หัดนั่ง, 4 มิถุนายน 2013.

  1. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154
    เป้าหมายการนั่งสมาธิคือ?

    เป้าหมายการนั่งสมาธิก็เพื่อบุญ

    เอาแค่ให้ได้ catt25 รู้สึกว่าจิตรสงบก่อน

    แล้วขั้นตอนต่อไปก็ค่อยศึกษา

    และปฎิบัติต่อ อนุโมทนาครับ.
     
  2. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    อย่้าได้คิดว่า ธรรมนั้น จะรู้ จะเห็น ได้ง่ายๆ

    ขออนุญาตครับ

    ผมมีความรู้สึกว่า ท่านกำลังพูดถึง ธรรม ที่เกินเลยไปจากส่วนที่ท่าน รู้จริงๆ เห็นจริงๆ

    เพราะที่ท่านพูดอยู่นี่ เป็นเรื่องของธรรม ในระดับ ใกล้เคียง ระดับ "อนาคามี"

    แม้ครูบาอาจารย์ฝ่ายธรรมยุติ บางท่านจะบอกว่า


    "โยม ทีึ่โยมปฏิบัติอยู่นี่นะ เลยนี่ไปนิดเดียว ก็ถึงขั้น อนาคามี แล้ว"

    แต่ผมก็ยังคิดตามพระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุติ ที่ท่านเมตตา มอบ
    พระรูปหล่อเนื้อทองคำ รุ่นแรก ขององค์หลวงตามหาบัว ให้ผมมาว่า
    (พระองค์นั้นเป็นโค๊ตเลขตัวเดียว คาดว่าน่าจะเป็นพระประจำตัวของท่านเอง)


    "ถ้าดูตามตั้งแต่เริ่มปฏิบัติ จนมาถึงนี่ และ ขยันปฏิบัติไประดับนี้ไปเรื่อยๆ ชาตินี้ โยมมีสิทธิ์สำเร็จ"
    "แต่ก็ยังเหลืออีกใกลมาก ไม่ใช่ไกลลิบๆ ไม่ใช่ไกลมากธรรมดา"
    "แต่ไกลมากระดับ ข้ามเขาหลายๆลูกโน่นละ"


    (ท่านบอกเมื่อประมาณปี ๒๕๓๘)

    แต่ที่ครูบาอาจารย์พระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุติ ท่านแปลกใจมากๆคือว่า

    ๑ ผมปฏิบัติมาเอง ผมปฏิบัติด้วยตนเอง โดยไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหนมาสอน
    และผมไม่เคยไปถือศีลที่วัดไหนอีกด้วย(ก่อนหน้านั้น)

    ๒ เมื่อผมเห็นจิตของตนเองอย่างแจ่มชัดแล้ว ไม่นานนัก ผมก็เห็นจิตของคนที่เข้ามาใกล้ตัวผมด้วย
    เห็นว่าเขาคิดอะไร เหมือนกับว่า เขาได้พูดมันออกมาพอได้ยินด้วย

    ยิ่งเวลาเข้าใกล้สาวๆ พวกเขาคิดอะไร ผมจะรู้หมด
    จิตผมก็ยิ่งสำรวมระวังมากขึ้น

    ต่อมาผมก็เลยปฏิบัติไปเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่รีบ ไม่ร้อน

    จนผมมาช่วยท่าน อ.ทิพากร รินไธสงค์ สร้างพระใหญ่ชัยภูมิ
    ผมจึงเข้าใจ เรื่องราวในไตรโลกได้มากยิ่งขึ้น

    จนเห็นความแตกต่าง ความจริงเท็จ ในเรื่องราวต่างๆในหมู่ชาวพุทธได้อย่างชัดเจน

    เพียงแต่ว่า ท่าน อ.ทิพากร รินไธสงค์นั้น ท่านก็มีกฏเกณฑ์ ที่เข้มงวดของท่านเอง
    ที่มีแต่คนใกล้ชิดเท่านั้น จึงจะรู้ได้หมด

    ตัวผมเองรักษาระยะห่างกับท่านพอสมควร ไม่เข้าไปใกล้มากเกินไป
    แต่ผมก็อยู่ไม่ห่างมากเกินไปเช่นเดียวกัน

    เมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่หาคนช่วยท่านไม่ได้ ผมจึงจะเข้าไปใกล้ท่านมากยิ่งขึ้น

    ผมเป็นคนประเภท ถ้ามีคนทำได้ดีอยู่แล้ว ผมจะไม่เข้าไปยุ่งด้วย
    แต่ถ้าขาดตกบกพร่องเมื่อไร ผมถึงจะเข้าไปร่วมด้วย

    และขอสารภาพตรงๆว่า ผมจะไม่พูดอะไร ไม่ทำอะไร ที่เกินเลยจาก
    ขีดความสามารถของตน

    ยิ่งเรื่องธรรมด้วยแล้ว จะเห็นว่า
    ผมไม่เคยพูดถึง "อนัตตา"
    ผมไม่เคยพูดถึง "การเกิดดับ"

    ผมเพียงแต่พูดถึง "เหตุ-ผล" , "ถาม-ตอบ" การสะสมปัญญา เท่านั้น

    อย่าลืมว่า ท่านที่ปฏิบัติธรรมนั้น

    นอกจากสภาวะจิตของท่านจะเปลี่ยนไป จากการขัดเกลากิเลส แล้ว
    การสร้างบุญ-บารมี ของท่าน ก็จะ รอบคอบ รัดกุม ยิ่งใหญ่ ตามไปด้วย
    ท่านจะสามารถแสาะหา สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับท่าน ได้เอง
    ตามสภาวะจิต ที่เปลี่ยนไป
    ตามสภาวะ บุญบารมี ที่เปลี่ยนไป

    จึงเป็นไปไม่ได้ว่า

    เมื่อสภาวะจิตเปลี่ยนไป บุญบารมีเปลี่ยนไป
    กลับมีสิ่งแวดล้อม เหมือนเดิมทุกประการ

    บอกว่าปฏิบัติแทบเป็นแทบตาย กลับมองไม่ออกว่า
    สิ่งรอบตัวนั้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ในความรู้สึกของตน

    บอกว่าปฏิบัติแทบเป็นแทบตาย กลับมองไม่ออกว่า
    สิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูก สิ่งไหนดีกว่า สิ่งไหนดีที่สุด

    แล้วการปฏิบัตินั้นๆ จะมีประโยชน์อันใด

    ขอโมทนราบุญ ขออนุโมทนราบุญร่วมกับทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  3. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    การเข้าไประงับสังขารได้เป็นความสุขอย่างยิ่ง
     
  4. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    สังขารมีทั้งมรรค มีทั้งกิเลส

    ขออนุญาตครับ

    เมื่อกำลังสติ กำลังสมาธิ ถูกสะสมจนเต็มเปี่ยม
    บางครั้ง ครูบาอาจารย์เรียกว่า ผ่านฌานสี่
    ก็ถึงเวลา พิจารนาธรรมเพื่อเดินปัญญา

    ถ้าท่านสะสมกำลังสติ สะสมกำลังสมาธิต่อไป
    ก็จะเข้าไปในอรูปฌานสี่

    การระงับสังขารหลังจาก การสะสม กำลังสติ กำลังสมาธิเต็มแล้ว
    จะเป็นฌานโง่ คือ เดินปัญญาได้ ก็ไม่เดิน ติดสุขอยู่อย่างนั้น

    เพราะการเดินปัญญา มีสองวิธีคือ
    ๑ มันเกิดขึ้นเอง สังขารฝ่ายมรรคผุดคำถามขึ้นมาในจิต
    จิตจะผุดคำตอบขึ้นตามมา สลับกันไปต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
    เมื่อชำนาญมากๆ ก็สามารถ กำหนดตั้งคำถามขึ้นมาเองได้
    แต่คำตอบก็ยังคงผุดขึ้นมาเองเหมือนเดิม

    ๒ การโน้มนำสังขารให้ตั้งคำถามขึ้นมา แล้ว คำตอบก็จะผุดขึ้นตามมา
    เหมือนวิธีแรก

    แต่ถ้า กำลังสติ กำลังสมาธิ อ่อนลงเมื่อไร
    สังขารที่เกิดขึ้นมาก็จะเป็น จิตคิดฟุ้งซ่าน

    นักปฏิบัติส่วนมาก แยกแยะไม่ออกว่า
    สังขารที่เกิดขึ้นนั้น เป็น กิเลส เป็น จิตคิดฟุ้งซ่าน
    หรือ เป็นสังขารฝ่ายมรรค ที่เกิดภายใต้กำลังสติ กำลังสมาธิที่เต็มเปี่ยม

    บางท่านสังขารฝ่ายมรรคเกิดขึ้นมา กลับละทิ้งย้อนกลับไปพิจารนาลมหายใจต่อไป

    ก็เลยไม่ก้าวหน้า เพราะปัญญาไม่เกิด
    วนซ้ำปฏิบัติสมถะสมาธิอยู่อย่างนั้น

    ก้าวไปเดินปัญญาไม่เป็น

    สรุป
    ความรู้ที่เกิดขึ้น ที่ผุดขึ้นมาในจิต ภายใต้ กำลังสติ กำลังสมาธิที่เต็มเปี่ยม ก็คือ ปัญญา

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญร่วมกับญาติธรรมทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...